400 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยกับงานช่างทองหลวง เรื่อง : การระบายสีลวดลายไทยส าหรับงานลงยาสี หน้า 2 2. ผลงานการระบายสีชิ้นงานเครื่องประดบัทบัทรวง ดังภาพประกอบที่ 16-1 ถึง 16 - 5 ภาพที่ 16-1 การระบายสีโลหะเครื่องประดับทับทรวง
401 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยกับงานช่างทองหลวง เรื่อง : การระบายสีลวดลายไทยส าหรับงานลงยาสี หน้า 3 ภาพที่ 16-2 การออกแบบงานลงยาสีและประดับอัญมณี
402 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยกับงานช่างทองหลวง เรื่อง : การระบายสีลวดลายไทยส าหรับงานลงยาสี หน้า 4 ภาพที่ 16-3 รูปผลงานการออกแบบงานเครื่องประดับทับทรวง
403 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยกับงานช่างทองหลวง เรื่อง : การระบายสีลวดลายไทยส าหรับงานลงยาสี หน้า 5 ภาพที่ 16-4 รูปผลงานการออกแบบเครื่องประดับทับทรวงแบบไม่ลงยาสี
404 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยกับงานช่างทองหลวง เรื่อง : การระบายสีลวดลายไทยส าหรับงานลงยาสี หน้า 6 ภาพที่ 16-5 ผลงานเครื่องประดับทับทรวงชิ้นงานจริง
421 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง เรื่อง : การน าเสนอผลงานการเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 1 รูปแบบการน าเสนองาน (Presentation) การน าเสนองานทั้งวิธีการพูดรวมไปถึงการท าสไลด์พรีเซ็นเทชั่น (Presentation Slide) มีส่วนช่วยให้งาน ของประสบความส าเร็จได้ ซึ่งถือว่าส าคัญพอๆกับการเตรียมข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ขั้นตอนต่างๆมาเป็นอย่างดี โดยในฐานะผู้ที่เป็นคนน าเสนองาน (Presenter) ก็จ าเป็นต้องเข้าใจรูปแบบของการน าเสนองานให้ได้อย่างถ่องแท้ เพื่อให้ทุกๆการน าเสนองานนั้นตรงเป้าหมายและโดนใจกลุ่มผู้ฟังให้มากที่สุด และในบทความนี้ผมจะพามาท าความ รู้จักกับประเภทของการน าเสนองาน และลักษณะวิธีการน าเสนองาน (Presentation Style) ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับ การท าธุรกิจทั้งการการน าเสนองานภายในองค์กร และการน าเสนองานกับลูกค้าภายนอกองค์กรที่น าไปปรับใช้กับ วิธีการพูดของแต่ละคน รวมไปถึงการท าพรีเซ็นเทชั่น (Presentation) ได้ ประเภทของ Presentation การเสนองานรวมไปถึงการท าพรีเซ็นเทชั่น (Presentation) โดยหลักๆแล้วจะแบ่ง ออกเป็น 6 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ 1. การน าเสนอข้อมูล (Informative Presentation) ถือเป็นหนึ่งในประเภท Presentation ที่เห็นมากที่สุดใน การท าธุรกิจและนิยมใช้กันมากที่สุด กับการน าเสนอหรืออธิบายข้อมูลแบบตรงๆ โดยหลักของการน าเสนอประเภท นี้ก็คือการให้ข้อเท็จจริงและอธิบายรายละเอียด ในโครงการ หรือการน าเสนอแผนงานรูปแบบต่างๆ และข้อมูล จ าพวกตัวเลข สถิติ การเปรียบเทียบ ตาราง เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการน าเสนองานและรายละเอียดเนื้อหาที่ การน าเสนอประเภทนี้มีความเป็นทางการง ไม่ได้เน้นไปทางการสร้างความสนุกสนาน โดยเราจะเห็นการน าเสนอ ประเภท Informative Presentation ได้จากรูปแบบรายงานเอกสาร ป้ายประกาศภายในองค์กร รายงานการวิจัย รายงานสรุปผล สรุปความก้าวหน้าของธุรกิจ การแถลงผลประกอบการ และการท าพรีเซ็นเทชั่นก็มีเนื้อหาและ จ านวนหน้าค่อนข้างมากกว่ารูปแบบอื่นๆ 2. การสอนและแนะน า (Instructive Presentation) มักจะเห็นค าสอนและค าแนะน าบ่อยๆกับการเรียนการ สอนในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายกันแค่เปลี่ยนรูปแบบและสถานที่มาเป็นบรรยากาศของ การฝึกอบรม ในหัวข้อต่างๆที่ทางบริษัทก าหนดหรือหัวข้อที่พนักงานต้องการจะเรียนรู้เพิ่มเติม โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ ที่มาพร้อมกับการพัฒนาทักษะในแต่ละแขนงให้มีมากขึ้น การน าเสนอประเภทนี้ต้อง อาศัยทักษะของผู้น าเสนอค่อนข้างมาก เพราะต้องมีทั้งความรู้และทักษะด้านการถ่ายทอดค่อนข้างดีน าเสนอข้อมูล ที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจและรู้สึกอยากที่จะฟังไปจนจบ ตัวอย่างการน าเสนอที่เรามักเห็นกันในการท างาน เช่น การฝึกอบรมพนักงานในองค์กร (In-house Training) การท าเวิร์คช็อป (Workshop) การเข้าร่วมงานสัมมนา (Seminar) การเข้าอบรมคอร์สเรียนต่างๆ (Training Course) ซึ่งส่วนใหญ่ในการน าเสนอประเภทนี้มักจะมีการสร้าง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้น าเสนอหรือผู้สอนกับผู้ฟังมากที่สุดวิธีหนึ่ง
422 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง เรื่อง : การน าเสนอผลงานการเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 2 3. การน าเสนอแบบโน้มน้าวใจ (Persuasive Presentation) เป้าหมายของการน าเสนองานประเภทนี้คือ การท าให้ผู้ฟังคล้อยตาม ซึ่งเป็นการคล้อยตามในเชิงของการสร้างอารมณ์การมีส่วนร่วม โดยหลักของการน าเสนอ จะเห็นการเริ่มต้นด้วยปัญหาและตบท้ายด้วยวิธีแก้ไขหรือทางออกของปัญหา เจาะเข้าไปที่แก่นกลางจิตใจของผู้ฟัง และการโน้มน้าวใจนั้นสามารถน ามาใช้ได้กับการน าเสนอในหลายๆสถานการณ์ และน ามาใช้ร่วมกับการน าเสนอใน หลายๆประเภทได้เช่นกัน เช่น การน าเสนอแผนธุรกิจเพื่อขอเงินสนับสนุนจากผู้ร่วมทุน อาจน าเสนอด้วยเหตุผลที่ เน้นหนักกับข้อมูลแต่สามารถผสมผสานกับการโน้มน้าวใจ ให้ผู้ร่วมทุนนั้นคล้อยตามและเห็นความเป็นไปได้ใน โอกาสการเติบโตของธุรกิจ และเคล็ดลับหรือเทคนิคที่สามารถน ามาใช้อธิบายให้การน าเสนอนั้นดูน่าสนใจ ก็ สามารถท าเป็นภาพ (Visual) ในรูปแบบต่างๆ เช่น อินโฟกราฟิก การแสดงด้วยกราฟให้เห็นความเติบโต ที่ไม่ได้ อัดแน่นไปที่เนื้อหาเพียงอย่างเดียว 4. การน าเสนอแบบจูงใจ (Motivation Presentation) การน าเสนอลักษณะนี้เป็นการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) ให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง โดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นการสื่อสารเพื่อให้ผู้ฟังเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง และ มักจะเห็นได้กับการน าเสนออะไรก็ตามที่เป็นเรื่องเล่า (Story) ที่สามารถท าออกมาได้หลากหลายรูปแบบครับ เช่น เรื่องเล่าของธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งใน Company Profile หรือ Company Presentation การพูดต่อหน้าคนหลายร้อย คนแบบ TED Talk และหลายๆครั้งเราก็จะเห็นลักษณะการน าเสนอแบบสร้างแรงบันดาลใจ กับการพูดในลักษณะ Life Coach ในสื่อต่างๆ โดยการน าเสนอในประเภทการจูงใจนั้นก็ต้องสร้างความเชื่อมโยงด้านอารมณ์รวมถึงสร้าง ขวัญและก าลังใจให้กับทีมงานหรือผู้ฟังได้ด้วยเช่นกัน 5. การน าเสนอเพื่อการตดัสินใจ (Decision-Making Presentation) ในทุกวันของการท างานและการท า ธุรกิจต้องเจอกับการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยซึ่งเป็นงานในหน้าที่ๆต้องท าประจ าวัน แต่หากเป็นเรื่องของ การต้องน าเสนอแผนงานเพื่อขออนุมัติงบประมาณ โดยอาจเป็นการขออนุมัติแผนงานประจ าปี การขออนุมัติเพื่อ แก้ปัญหาบางอย่าง การขออนุมัติในการจัดซื้ออุปกรณ์การท างานบางอย่าง ซึ่งการน าเสนอนั้นก็ต้องบอกถึงที่มาที่ ไปและผลที่จะได้รับเพื่อจะได้รับการอนุมัติจากผู้มีอ านาจหรือผู้ที่ได้ฟัง โดยส่วนใหญ่การน าเสนอประเภทนี้จะพูด กันด้วยเหตุและผลเป็นส่วนใหญ่ ที่อาจต้องเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นหลัก 6. การน าเสนอความก้าวหน้าโครงการ (Progress Presentation) การน าเสนอประเภทนี้จะเป็นการ สรุปผลจากการท าธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นแผนการตลาดที่ท าไป ผลของการใช้จ่ายงบประมาณในการสร้างโครงการ หรือ กิจกรรมต่างทั้งหมดที่ได้ท าไป โดยจะเป็นลักษณะของน าเสนอถึงสถานะในแต่ละช่วง อาจเป็นรายวัน รายเดือน ราย 3 เดือน หรือรายปี ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานแต่ละประเภท ทั้งนี้การน าเสนอความก้าวหน้าของโครงการจะ ช่วยให้เห็นถึงปัญหาหรืออุปสรรค ที่จ าเป็นต้องหาวิธีการแก้ไขให้โครงการผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
423 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง เรื่อง : การน าเสนอผลงานการเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 3 ลกัษณะวิธีการน าเสนองาน (Presentation Style) ลักษณะในการน าเสนอของตัวผู้พูดหรือผู้น าเสนอมีลักษณะดังนี้ 1. การพูดและสื่อด้วยภาพ (Visual Style) การน าเสนอด้วยภาพเป็นลักษณะการน าเสนอที่เป็นที่นิยม ในช่วงหลัง ที่ให้ความส าคัญกับความสวยงามของสไลด์หรือตัว Presentation ค่อนข้างมาก (เน้นภาพสวยงาม มากกว่าตัวหนังสือ) โดยจุดเด่นนอกเหนือจากจะใช้ภาพอธิบายแล้ว ตัวผู้น าเสนอเองก็ต้องมีทักษะในการสร้างแรง ดึงดูดให้ผู้ฟังสนใจและคล้อยตาม ซึ่งหากมองดูแล้วจะเหมาะกับคนที่พูดเก่ง เรียบเรียงประเด็นเก่ง น าเสนอเก่ง มี ประสบการณ์ในการน าเสนอมานาน และส่วนใหญ่จะเป็นการพูดในที่สาธารณะที่มีคนฟังจ านวนมาก ( Public Speaker) เป็นนักเล่าเรื่องราว (Storyteller) และเป็นผู้น าเสนอวิสัยทัศน์ตามเวทีต่างๆ (Visionary) ถ้านึกภาพไม่ ออกลองนึกถึงเมื่อครั้งที่ Steve Jobs ยืนกลางเวทีและน าเสนอ iPhone แต่ละรุ่นดูครับ 2. การพูดแบบอิสระ (Freeform Style) การน าเสนอหรือการบรรยายที่ไม่ใช้สไลด์หรือตัว Presentation ใดๆเลย หรือเรียกว่าการยืนพูดคนเดียวแบบเดี่ยวๆกลางเวที ซึ่งการน าเสนอในลักษณะนี้ผู้พูดต้องมีความช านาญ มาก มีวิธีเชื่อมเรื่องราวและล าดับใจความส าคัญที่เก่ง เหมาะกับการน าเสนอที่ไม่ต้องใช้เวลาที่ยาวมากจนเกินไป โดยเราจะเห็นการพูดหรือน าเสนอลักษณะนี้กับการขึ้นพูดเปิดตัวในงานอีเว้นท์ การขึ้นพูดในงาน Networking ต่างๆ รวมถึงการพูดในเชิงปลุกใจให้กับพนักงานฟัง (Pep Talk) หรืออาจเป็นรูปแบบการเสวนาสั้นๆไม่ยาวมากนัก ลองดูตัวอย่างจากการพูดใน TED Talk ก็ได้ครับเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้น 3. การพูดแบบการสอน (Instructor Style) เมื่อไหร่ก็ตามที่รายละเอียดการน าเสนอนั้นมีความ สลับซับซ้อนที่ต้องอธิบาย การพูดนั้นจะมีการเปรียบเทียบหรือการใช้หลากหลายเนื้อหาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็ เหมือนกับอารมณ์ที่เราฟังอาจารย์สอนหรือบรรยายนั่นแหละครับ และนั่นก็ต้องมีข้อมูลมาประกอบการน าเสนอด้วย เช่นกันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้กับผู้ฟัง เราจะเห็นการพูดลักษณะนี้ได้จากการน าเสนอ ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีรายละเอียดมาก การอธิบายวิธีการใช้งานที่ยากจะเข้าใจ หรือในการท าวีดิโอสาธิตการใช้งาน ต่างๆ
424 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง เรื่อง : การน าเสนอผลงานการเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 4 4. การพูดแบบแนะแนวทาง (Coach Style) การพูดที่ใช้บุคลิกลักษณะอันโดดเด่นของตัวผู้พูดเพื่อให้ผู้ฟัง มีส่วนร่วมอยู่ตลอดเวลา การพูดในลักษณะนี้ต้องใช้พลังเป็นอย่างมากเพราะต้องกระตุ้นผู้ฟังอยู่ตลอด เสมือนกับ การกระตุ้นนักกีฬาให้ฝึกซ้อมและท าผลงานให้ดี โดยการพูดลักษณะนี้มักจะยกตัวอย่างสถานการณ์หรือเรื่องราวให้ ผู้ฟังมีส่วนร่วมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเหมาะกับการพูดในงานประชุมหรือการน าเสนอเรื่องต่างๆที่ต้องการชี้น าแนวทาง ให้ผู้ฟังท าตาม หรืออาจเป็นการพูดในสถานการณ์ที่ผู้ฟังต้องการให้เสนอแนะแนวทางบางอย่าง แล้วก็ยังเหมาะกับ การประชุมในลักษณะการระดมสมองเพื่อคิดไอเดียใหม่ๆได้อีกด้วย 5. การพูดแบบเล่าเรื่องราว (Storytelling Style) การพูดในลักษณะที่สร้างความเชื่อมโยงด้านอารมณ์กับ ผู้ฟังอย่างสูงสุด และดึงดูดให้ผู้ฟังอยู่กับคุณตั้งแต่ต้นจนจบ โดยส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องด้วยปัญหาหรืออุปสรรคที่ เกิดขึ้น ดึงให้ผู้ฟังอยู่ในภวังค์ตั้งแต่วินาทีแรกแล้วค่อยๆเพิ่มระดับเรื่องราวความเข้มข้นไปทีละขั้น จริงๆแล้วการพูด ลักษณะนี้จะเหมาะกับหลายๆสถานการณ์ที่มีระยะเวลาค่อนข้างมาก อย่างการพูดแบบ TED Talk และไม่ควรใช้กับ สถานการณ์ที่เป็นทางการมากๆ อย่างเช่น การน าเสนอข้อมูลของงาน การขายงานลูกค้า หรือการฝึกสอนทักษะ ด้านต่างๆ 6. การพูดแบบเชื่อมโยงประเด็น (Connector Style) การพูดในลักษณะที่รับฟังความคิดเห็นของผู้ฟังหรือ แบ่งปันประสบการณ์ที่เหมือนกัน แล้วน ามาประติดประต่อเรื่องราวผสมผสานกับการตั้งค าถามเป็นระยะๆ ลักษณะ การพูดจะใช้ท่าทางประกอบกับการพูดลักษณะแบบอิสระ (Freeform Style) ซึ่งช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับผู้ฟังได้ อย่างดีและผู้ฟังจะรู้สึกผ่อนคลายที่จะตอบค าถามต่างๆ การพูดลักษณะนี้เราจะเห็นได้จากการเริ่มต้นขายงานของ ทีมขาย ที่มักจะตั้งค าถามเพื่อดูว่าลูกค้ามีปัญหาอะไรบ้าง มีความคาดหวังอะไร อยากได้อะไร และทีมขายก็จะ เชื่อมโยงประเด็นเข้ากับสินค้าหรือบริการเพื่อน าเสนอทางออกที่ดีที่สุดให้ นับเป็นการพูดในลักษณะของการเป็น ผู้ฟังที่ดีวิธีหนึ่งเลยทีเดียวครับ 7. การพูดแบบสนทนา (Pechakucha Style) เทคนิคสไตล์ญี่ปุ่นกับการพูดที่ใช้สไลด์ไม่เกิน 20 สไลด์ โดย ใช้เวลา 15 วินาที/สไลด์ และใช้เวลาในการน าเสนอ 5 นาที นับเป็นการพูดที่ต้องเรียบเรียงกระบวนการคิดและ น าเสนอให้อยู่ในกรอบและตรงประเด็น เหมือนกับก าลังสนทนาอยู่กับคู่สนทนา ซึ่งมันเหมาะกับการพูดต่อหน้าคน หมู่มากและมีเวลาให้พูดหรือผู้น าเสนอใน แบบอัตโนมัติเมื่อครบ 15 วินาที (ยากและกดดันไม่ใช่เล่นครับส าหรับการ พูดลักษณะนี้) แต่ก็เป็นการฝึกฝนให้
425 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง เรื่อง : การน าเสนอผลงานการเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 5 คุณมีความช านาญในการพูดแบบไม่ออกทะเลที่ดีครับ เมื่อคุณรู้ประเภทของการน าเสนองานและลักษณะการพูด ว่าควรใช้ในเวลาในสถานการณ์ไหน ก็ได้เวลาฝึกซ้อมและพัฒนาทักษะการพูดเพื่อเอาไว้ใช้ในการน าเสนองานกัน แล้วครับ https://www.popticles.com/business/presentation-types-and-styles/ หลกัความงามศิลปกรรมไทย ศิลปะไทย เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ซึ่งคนไทยทั้งชาติต่างภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ความงดงามที่สืบทอดอัน ยาวนานมาตั้งแต่อดีต บ่งบอกถึงวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น โดยมีพัฒนาการบนพื้นฐานของความเป็นไทย ลักษณะนิสัยที่ อ่อนหวาน ละมุนละไม รักสวยรักงาม ที่มีมานานของสังคมไทย ท าให้ศิลปะไทยมีความประณีตอ่อนหวาน เป็น ความงามอย่างวิจิตรอลังการที่ทุกคนได้เห็นต้องตื่นตา ตื่นใจ อย่างบอกไม่ถูก ลักษณะความงามนี้จึงได้กลายเป็น ความรู้สึกทางสุนทรียภาพโดยเฉพาะคนไทยและศิลปะไทยยังตัดเส้นด้วยสีด าและสีน ้าตาลเท่านั้น เมื่อเราได้สืบค้นความเป็นมาของสังคมไทย พบว่าวิถีชีวิตอยู่กันอย่างเรียบง่าย มีประเพณีและศาสนาเป็น เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมมาก่อน ดังนั้น ความผูกพันของจิตใจจึงอยู่ที่ธรรมชาติ แม่น ้าและพื้นดิน สิ่งหล่อหลอมเหล่านี้จึงเกิดบูรณาการเป็นความคิด ความเชื่อและประเพณีในท้องถิ่น แล้ว ถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมไทยอย่างงดงาม ที่ส าคัญวัฒนธรรมช่วยส่งต่อคุณค่าความหมายของสิ่งอันเป็นที่ยอมรับ ในสังคมหนึ่ง ๆ ให้คนในสังคมนั้นได้รับรู้แล้วขยายไปในขอบเขตที่กว้างขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่การสื่อสารทางวัฒนธรรม นั้นกระท าโดยผ่านสัญลักษณ์ และสัญลักษณ์นี้คือผลงานของมนุษย์นั้นเองที่เรียกว่า ศิลปะไทย ปัจจุบันค าว่า "ศิลปะไทย" ก าลังจะถูกลืมเมื่ออิทธิพลทางเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทนที่สังคมเก่าของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกแห่งการสื่อสารได้ก้าวไปล ้ายุคมาก จนเกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบ กับสมัยอดีต โลกใหม่ยุคปัจจุบันท าให้คนไทยมีความคิดห่างไกลตัวเองมากขึ้น และอิทธิพลดังกล่าวนี้ท าให้คน ไทยลืมตัวเราเองมากขึ้นจนกลายเป็นสิ่งสับสนอยู่กับสังคมใหม่อย่างไม่รู้ตัว มีความวุ่นวายด้วยอ านาจแห่ง วัฒนธรรมสื่อสารที่รีบเร่งรวดเร็วจนลืมความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เมื่อเราหันกลับมามองตัวเราเองใหม่ ท าให้ดูห่างไกลเกินกว่าจะกลับมาเรียนรู้ว่า พื้นฐานของชาติบ้านเมือง เดิมเรานั้น มีความเป็นมาหรือมีวัฒนธรรมอย่างไร ความรู้สึกเช่นนี้ ท าให้เราลืมมองอดีตตัวเอง การมีวิถีชีวิตกับ สังคมปัจจุบันจ าเป็นต้องดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ถ้าเรามีปัจจุบันโดยไม่มีอดีต เราก็จะมีอนาคตที่คลอนแคลนไม่มั่นคง การด าเนินการน าเสนอแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนศิลปะในครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนการค้นหาอดีต โดยเราชาวศิลปะต้องการให้อนุชนได้มองเห็นถึง ความส าคัญของบรรพบุรุษ ผู้สร้างสรรค์ศิลปะไทย
426 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง เรื่อง : การน าเสนอผลงานการเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 6 ความเป็ นมาของศิลปะไทย ไทยเป็นชาติที่มีศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของ ตนเองมาช้านานแล้ว เริ่มตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ศิลปะไทยจะวิวัฒนาการและสืบเนื่องเป็นตัวของตัวเองในที่สุด เท่าที่เราทราบราว พ.ศ. 300 จนถึง พ.ศ. 1800 พระพุทธศาสนาน าเข้ามาโดยชาวอินเดีย ครั้งนั้นแสดงให้เห็น อิทธิพลต่อรูปแบบของศิลปะไทยในทุก ๆ ด้านรวมทั้งภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม โดยกระจายเป็นกลุ่มศิลปะสมัย ต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่สมัยทวาราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี เมื่อกลุ่มคนไทยตั้งตัวเป็นปึกแผ่นแล้ว ศิลปะดังกล่าวจะตกทอด กลายเป็นศิลปะไทย ช่างไทยพยายามสร้างสรรค์ให้มีลักษณะพิเศษกว่า งานศิลปะของชาติอื่น ๆ คือ จะมีลวดลาย ไทยเป็นเครื่องตกแต่ง ซึ่งท าให้ลักษณะของศิลปะไทยมีรูปแบบเฉพาะมีความอ่อนหวาน ละมุนละไม และได้ สอดแทรกวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและความรู้สึกของคนไทยไว้ในงานอย่างลงตัว ดังจะเห็นได้จากภาพ ฝาผนังตามวัดวาอารามต่าง ๆ ปราสาทราชวัง ตลอดจนเครื่องประดับและเครื่องใช้ทั่วไป https://sites.google.com/site/silpathiythiy/laksna-khxng-silpa-thiy ลกัษณะของศิลปะไทย ศิลปะไทยได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย ซึ่งมีลักษณะ เด่น คือ ความเป็นอยู่และการด ารงชีวิตของคนไทยที่ได้สอดแทรกไว้ในผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้น โดยเฉพาะศิลปกรรม ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจ าชาติของไทย อาจกล่าวได้ว่าศิลปะไทยสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมพุทธ ศาสนา เป็นการเชื่อมโยงและโน้มน้าวจิตใจของประชาชนให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา ภาพไทย หรือ จิตรกรรมไทย จัดเป็นภาพเล่าเรื่องที่เขียนขึ้นด้วยความคิดจินตนาการของคนไทย มีลักษณะ ตามอุดมคติของกระบวนงานช่างไทย คือ 1.เขียนสีแบน ไม่ค านึงถึงแสงและเงา นิยมตัดเส้นให้เห็นชัดเจน และเส้นที่ใช้ จะแสดงความรู้สึกเคลื่อนไหว นุ่มนวล 2.เขียนตัวพระ-นาง เป็นแบบละคร มีลีลา ท่าทางเหมือนกัน ผิดแผกแตกต่าง กันด้วยสีร่างกายและ เครื่องประดับ 3.เขียนแบบตานกมอง หรือเป็นภาพต ่ากว่าสายตา โดยมุมมองจากที่สูงลงสู่ ล่าง จะเห็นเป็นรูปเรื่องราวได้ ตลอดภาพ
427 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง เรื่อง : การน าเสนอผลงานการเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 7 4.เขียนติดต่อกันเป็นตอน ๆ สามารถดูจากซ้ายไปขวาหรือล่างและบนได้ทั่ว ภาพ โดยขั้นตอนภาพด้วย โขดหิน ต้นไม้ ก าแพงเมือง และเส้นสินเทาหรือ คชกริด เป็นต้น 5.เขียนประดับตกแต่งด้วยลวดลายไทย มีสีทองสร้างภาพให้เด่นเกิดบรรยากาศ สุขสว่างและมีคุณค่ามาก ขึ้น ภาพลายไทย เป็นลายที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยมีธรรมชาติมาเป็นแรงดลบันดาลใจ โดยดัดแปลงธรรมชาติให้เป็น ลวดลายใหม่อย่างสวยงาม เช่น ตาอ้อย ก้ามปู เปลวไฟ รวงข้าว และดอกบัว ฯลฯ ลายไทยเดิมทีเดียวเรียกกัน ว่า "กระหนก" หมายถึงลวดลาย เช่น กระหนกลาย กระหนกก้านขด ต่อมามีค าใช้ว่า "กนก" หมายถึง ทอง กนกปิดทอง กนกตู้ลายทอง แต่จะมีใช้เมื่อใดยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด ซึ่งค าเดิม "กระหนก" นี้เข้าใจเป็นค าแต่ สมัยโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี โดยเรียกติดต่อกันจนเป็นค าเฉพาะ หมายถึงลวดลายก้านขด ลายก้านปู ลายก้างปลา ลายกระหนกเปลว เป็นต้น การเขียนลายไทย ได้จัดแบ่งตามลักษณะที่จัดเป็นแม่บทใช้ในการ เขียนภาพมี 4 ลาย ด้วยกัน คือลายกระหนก ลายนารี ลายกระบี่และลายคชะ เป็นต้น คณุค่าของศิลปะไทย 1.คุณค่าทางด้านศาสนา ศิลปะไทยส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากคติความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา ศิลปะไทยจึงมีคุณค่า ในการเผยแผ่ศาสนาและสืบทอดศาสนาในประเทศไทย เช่น การเขียนภาพจิตรกรรมหรือจ าหลักเรื่องราวทาง ศาสนา ชาดก พุทธประวัติ หรือวรรณคดีที่เกี่ยวเนื่องกับความเลื่อมใสในเทพเจ้า เมื่อคนได้สัมผัสหรือเห็นก็จะ เกิดความคุ้นเคยและซึมซับเรื่องราว ความเชื่อ ค าสอนหรือข้อธรรมะที่แฝงอยู่ในผลงานนั้นๆ หรือการสร้างพระ พิมพ์ พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์หรือเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ 2.คุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ จากการศึกษาศิลปะในแต่ละยุคจะท าให้ทราบถึงวิวัฒนาการ การ เชื่อมโยงด้านวัฒนธรรมของชุมชน เส้นทางการติดต่อคมนาคม ใช้เป็นหลักฐานเพื่อตรวจสอบว่าเป็นยุคสมัย ใดซึ่งเป็นข้อมูลที่ท าให้การศึกษาเหตุการณ์ต่าง ๆในประวัติศาสตร์ถูกต้องยิ่งขึ้น 3.คุณค่าทางด้านสุนทรียะหรือความงาม หมายถึง ความรู้สึกของอารมณ์และความงาม เช่น พระพุทธรูป ส าริดปางลีลา ศิลปะสุโขทัย กล่าวกันว่าเป็นงานศิลปะที่มีความงามเป็นเลิศ เพราะมีความสมบูรณ์ทั้งด้านการ สร้างสรรค์ลีลาที่อ่อนช้อย เลื่อนไหล รวมทั้งอารมณ์ที่นุ่มนวล เยือกเย็น ก่อให้เกิดความศรัทธาและประทับใจ
428 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง เรื่อง : การน าเสนอผลงานการเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 8 4.คุณค่าทางด้านการเมืองการปกครอง ในสมัยก่อนผู้ปกครองหรือพระมหากษัตริย์ได้น าศิลปะมาใช้เพื่อ ประโยชน์ในการเมืองการปกครอง เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างกัน หรือใช้เป็นสัญลักษณ์ของการเข้าไปมี อ านาจเหนือเมืองอื่น การติดต่อสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จะเห็นได้ว่าศิลปะมีคุณค่าในหลาย ๆ ด้านต่อสังคม ไม่จ ากัดเฉพาะการรับใช้ศาสนาหรือคุณค่าด้านศิลปะ ลายไทย ค าว่า “ลาย” หมายถึง เส้นที่เขียนหรือแกะสลักให้เป็นรูปต่าง ๆ บ่งบอกถึงภูมิปัญญาของคนไทย ช่างไทย ที่ มีจินตนาการ Imagination ในเชิงสร้างสรรค์ที่มีแบบอย่างเฉพาะตัวนับเป็นงานประดิษฐ์กรรม Invention ในเชิง ศิลปะชั้นสูง โดยช่างมองเห็นความงามของธรรมชาติที่ต้องมีการเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาจึงเกิดแรงจูงใจ Motivation ที่จะเก็บความงามของธรรมชาติไว้ให้คงอยู่โดยใช้วิธีการทางศิลปะ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม เป็น ต้น จึงมีการให้ความหมายของลายไทยตามลักษณะวิธีการสร้างสรรค์ ดังนี้ 1. ลายไทยในเชิงจิตรกรรม หมายถึง ลักษณะของลายที่เขียนลงไปบนพื้นเรียบ ๆ เป็นการเขียนลวดลายที่ มีลักษณะเป็น 2 มิติความงาม 2. ลายไทยในเชิงประติมากรรม หมายถึง ลายที่มีลักษณะยกจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย โดยจะมีความตื้นลึก มากกว่าลวดลายในงานจิตรกรรม อาจเป็นลายนูนต ่า ลายนูนสูง หรือลอยตัวก็ได้ 3. ลายไทยในเชิงสถาปัตยกรรม หมายถึง ลายที่ประกอบอยู่ในงานสถาปัตยกรรมมีทั้งแบบ 2 และ 3 มิติ ความเป็นมาของลายไทย จากความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา เป็นเหตุส าคัญให้ช่าง หรือศิลปินประดิษฐ์ลายไทยโดยได้แนวคิดมา จาก ดอกบัว พวงมาลัย ควันธูป และเปลวเทียน เป็นต้น น ามาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นลวดลายต่าง ๆ เช่น ลาย กนก ลายเปลวเพลิง ลายใบเทศ ลายพฤษชาติ ฯลฯ. จึงได้มีการศึกษาถึงที่มาของลายต่าง ๆ ดังนี้ คือ 1. การพัฒนาลายมาจากดอกบัว เป็นการน ารูปดอกบัวชนิดต่าง ๆ เช่น บัวหลวง บัวสัตตบงกช บัว สัตตบุษย์ ฯลฯ. มาพัฒนาโดยใช้จินตนาการเชิงสร้างสรรค์ด้วยการแบ่งครึ่งดอกบัว การรวมดอกบัวเข้าด้วยกันท า ให้เกิดลายกนกสามตัวและคลี่คลายเป็นลายอื่น ๆ ต่อไป
429 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง เรื่อง : การน าเสนอผลงานการเขียนลวดลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 9 2. การพัฒนามาจากลักษณะของเปลวไฟ เป็นการน าลักษณะการเคลื่อนไหวของเปลวไฟ เช่น เปลวไฟของ กองไฟ เปลวไฟของเทียนไข เปลวไฟของคบเพลิง ที่มีความพริ้วไหวมา สร้างสรรค์ให้เกิดลายที่สวยงาม 3. การพัฒนามาจากลักษณะของใบไม้ ส่วนมากจะเป็นใบ “ฝ้ายเทศ” เพราะเป็นใบไม้ที่มีรูปร่างรูปทรงที่ สวยงาม มาสร้างสรรค์เป็นลายใบเทศ 4. การพัฒนามาจากลักษณะของดอกไม้ ได้แก่ ดอกพุดตาล ดอกจอก ดอกแก้ว ดอกมะลิ ดอกผกากรอง ดอกบานเย็น ดอกพังพวย เป็นต้น ซึ่งลายดอกไม้เหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของลายไทย 5. การพัฒนามาจากลักษณะของใบผัก ที่นิยมใช้เขียนได้แก่ “ใบผักกูด” ซึ่งมีลักษณะกลมมล ไม่แหลมคม ช่างหรือศิลปินจึงน ามาสร้างสรรค์เป็นลวดลาย เช่น กนกผักกูด 6. การพัฒนามาจากลักษะของเถาวัลย์และไม้เลื้อย ทีมีการเกี่ยวพัน ลัดเลาะ การเลื่อนไหล ช่างหรือศิลปินจึง น ามาสร้างสรรค์ เป็นลายที่ต่อเนื่องกัน 7. การพัฒนามาจากลักษณะของสัตว์ ในลายไทยจะพบการผูกลายที่น ารูปแบบของสัตว์มาใช้ อาจเป็นรูป เหมือนจริงหรือดัดแปลงตามความคิดสร้างสรรค์ เช่น สัตว์ในป่าหิมพานต์ 8. การพัฒนามาจากลักษณะของคน เนื่องจากในอดีตศิลปะไทยไม่นิยมเขียนภาพแบบเหมือนจริงแต่อาจใช้ ลักษณะของคนแทนรูปเคารพของเทพเจ้าต่าง ๆ ในศาสนา เช่น พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร ฯลฯ ท าให้ ภาพคนในลายไทยไม่มีการแสดงกล้ามเนื้อเหมือนกับศิลปะแบบตะวันตก แต่จะเป็นภาพหรือลายที่มีลักษณะอ่อน ช้อย สวยงาม ตามจินตนาการ