The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผลงานนำเสนอในงานวิชาการระดับชาติและนานาชาติ เครือข่ายศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 12
ณ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
วันที่ 20 มิถุนายน 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ผลงานนำเสนอในงานวิชาการระดับชาติและนานาชาติ เครือข่ายศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 12

ผลงานนำเสนอในงานวิชาการระดับชาติและนานาชาติ เครือข่ายศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 12
ณ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
วันที่ 20 มิถุนายน 2565

Keywords: ผลงาน,ประชุม,วิชาการ,ศิลปะ,วัฒนธรรม,เครือข่าย,ราชภัฏ,ภูเก็ต

งานประชมุ วชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ เครือขา่ ยศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั แหง่ ประเทศไทย ครงั้ ท่ี 12
ภายใตห้ วั ข้อ“แนวทางการพฒั นาเศรษฐกจิ สงั คม และศิลปะวฒั นธรรม อยา่ งยง่ั ยืนในบริบทหลังการระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

and conducts aligning with rules and regulations required by central and local governments. Stylish
and colorful face masks, ready-to-eat food, fresh vegetable, and trendy items seem to be the
bestselling goods of local market in the new normal age.

References:

Cambridge dictionary (2022). Flea market definition. Retrieved from
https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/flea-market

Christ Prentice, Vijay Devadas, and Henry Johnson. (2010). Cultural Transformations:
Perspectives on Translocation in a Global Age. © Editions Rodopi B.V., Amsterdam – New
York, NY.

Fred E. Jandt. (2017). An Introduction to Intercultural Communication: Identities in a Global
Community 9th Edition. SAGE Publications, Inc.

Lee, S-H, Chang S-C, Hou J-S & Feng C-H. (2008). Night market experience and image of
temporary residents and foreign visitors, International Journal of Culture, Tourism and
Hospitality Research, Vol. 2 (3), 217-233.

Timothy Coombs. (2015). Ongoing Crisis Communication: Planning, Managing, and Responding; the
fourth edition. SAGE Publications, Inc. California.

Whyte (1980) “The social life of small urban spaces”, the conservation foundation, Washington,
D.C

Wikipedia.org (2022). COVID-19 Pandemic. Retrieved from https://en.wikipedia.org/wiki/COVID-
19_pandemic_by_country_and_territory

World Health Organization (WHO). (2022). Coronavirus Thailand. Retrieved from
https://www.who.int/thailand/health-topics/coronavirus

234

งานประชุมวิชาการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ เครือขา่ ยศิลปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 12
ภายใต้หัวขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สงั คม และศิลปะวฒั นธรรม อย่างยง่ั ยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

ประวัติผ้วู ิจัย

1. ประวัติส่วนตวั นางสาวบำเพญ็ ไมตรีโสภณ
ชอ่ื -นามสกุล คณะรัฐประศาสนศาสตร์และสังคมศกึ ษา
ตำแหนง่ ปจั จุบนั มหาวทิ ยาลยั นานาชาตติแสตมฟอร์ด
30 พฤษภาคม พ.ศ. 2506
วัน เดอื น ปี เกดิ 1321 ถนนเขตวนา ต.ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 76120
ท่ีอยูป่ ัจจุบัน

เบอรโ์ ทรศัพท์ -
เบอรโ์ ทรสาร -
เบอร์โทรศัพท์มอื ถือ 081-623-5798

2. ประวตั ิการศึกษา

ปี พ.ศ.ทจี่ บ วฒุ ิการศกึ ษา สาขาวชิ า สถาบันที่จบ
2556 ปร.ด. พัฒนศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยศิลปากร
2530 ศศ.ม. โสตทัศนศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2527 ศศ.บ. ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลยั ศิลปากร

3. ประวัตกิ ารทำงาน

ชว่ งปี พ.ศ. ตำแหน่ง หนว่ ยงาน
ปัจจุบนั คณบดี คณะรฐั มหาวิทยาลยั นานาชาตแิ สตมฟอรด์
ประศาสนศาสตร์
และสังคมศึกษา

235

งานประชุมวชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ เครอื ข่ายศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั แห่งประเทศไทย คร้งั ที่ 12
ภายใต้หัวขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และศิลปะวฒั นธรรม อยา่ งยง่ั ยืนในบริบทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

1. ประวัตสิ ว่ นตัว ประวตั ิผวู้ จิ ัย
ชอ่ื -นามสกุล
ตำแหน่งปจั จบุ นั นายธนสนิ จนั ทเดช
อาจารย์ประจำหลักสตู รบรหิ ารธรุ กจิ
วนั เดอื น ปี เกดิ มหาวทิ ยาลัยนานาชาตติแสตมฟอร์ด
ที่อย่ปู ัจจบุ ัน 1 เมษายน พ.ศ. 2523
53/1652 หม่บู ้านพฤกษา20 ต.คคู ต อ.ลำลูกกา จ.ปทมุ ธานี 12130

เบอร์โทรศัพท์ 02-7694000
เบอร์โทรสาร -
เบอร์โทรศพั ท์มอื ถอื 090-5966596

2. ประวัตกิ ารศึกษา

ปี พ.ศ.ทจ่ี บ วุฒิการศกึ ษา สาขาวชิ า สถาบันทีจ่ บ
2559 บธ.ด.. บริหารธรุ กจิ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร
2548 บธ.ม. บรหิ ารธุรกิจ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร
2545 ศศ.บ. ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยนเรศวร

3. ประวตั ิการทำงาน

ช่วงปี พ.ศ. ตำแหน่ง หน่วยงาน
ปจั จบุ นั อาจารย์ประจำ มหาวิทยาลยั นานาชาตแิ สตมฟอร์ด

หลักสตู ร
บรหิ ารธุรกิจ

236

งานประชุมวิชาการระดับชาตแิ ละนานาชาติ เครือข่ายศิลปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั แหง่ ประเทศไทย ครัง้ ท่ี 12
ภายใต้หัวข้อ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ สงั คม และศลิ ปวฒั นธรรม อย่างย่ังยนื ในบริบทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

นาฏกรรมกับประเพณีประทปี ตีนกา

Dramatic Performance and Prateep Teenka Tradition

ริสสวณั อรชุน1 และพิสษิ ฐ์ บัวงาม2

1นาฏศิลปไ์ ทยศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี ปทุมธานี 025493278 [email protected]
2นาฏศลิ ป์ไทยศกึ ษา คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี ปทมุ ธานี 025493278 [email protected]

บทคัดย่อ

บทความฉบับนีม้ ุ่งศึกษาความสัมพันธช์ ุมชนกับองคค์ วามรู้ทางด้านนวตั ศลิ ป์ระว่างนาฏกรรมกับประเพณี
การจุดประทีปตีนกาเผือกของชาวชุมชนหมู่บา้ นเบญพาด ตำบลพังตรุ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี โดยมี
ความเชื่อพื้นฐานในทางพระพุทธศาสนาเรื่องตำนานพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ที่มี กำเนิดมาจากแม่กาเผือก
ความเชอ่ื ดงั กล่าวยังคงให้ลูกหลานและคนในชุมชนได้สืบสาน เนน้ ใหท้ กุ คนเกิดความกตัญญตู ่อผู้มพี ระคุณ มีความ
รักใคร่ สรา้ งความสามคั คีและความเข้มแข็งให้กบั ชุมชนเบญพาดสืบต่อไป โดยวธิ ีวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยศึกษาจาก
เอกสาร บทความวจิ ัย ดนตรี ศิลปะการแสดง รวมทง้ั จากการสัมภาษณ์ผ้เู ช่ยี วชาญ ปราชญ์ และผู้ท่เี ก่ยี วข้อง และ
ใชก้ ารวิเคราะห์เชิงพรรณนา

ผลการวจิ ัยพบว่า นาฏกรรมกบั ประเพณีของคนในสังคมท่ปี ฏบิ ตั สิ ืบทอดกันมาต้ังแตบ่ รรพบรุ ุษในรูปแบบ
ของนามธรรมเมือ่ นำเอาความรูเ้ ร่ืองของนาฏกรรมเข้ามาผสมผสานสามารถสือ่ ออกมาใหเ้ ห็นเป็นลักษณะรปู ธรรมได้
อยา่ งชัดเจนและแสดงถึงอัตลักษณ์ของท้องถิ่นโดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ชว่ งท่1ี กรรมวิธี ชว่ งที่ 2 วิถีบูชา และ
ช่วงที่ 3 ศรัทธาสัญลักษณ์ มีการสอดแทรกคำสอน และเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่างบ้าน วัด ชุมชน (บวร)
โดยถา่ ยทอดออกมาในรปู แบบต่าง ๆ ได้แก่ บทประพันธ์ ดนตรี เครอื่ งแตง่ กาย อปุ กรณ์การแสดง และกระบวนท่า
รำ
คำสำคญั : นาฏกรรม, ประเพณี, จุดประทปี ตนี กาเผือก

Abstract

This article aims to study the relationship of community with knowledge of innovative
crafts between dramatic performance and Prateep Teenka Tradition of Ben Pad Village, Pang Tru
Sub-District, Phanom Tuan District, Kanchanaburi Province. It was based on basic belief of Buddhism
on the Legend of 5 Buddhas who were born from a white crow. Such a belief has been inherited
by their children and local villagers, with an emphasis on gratitude towards their supporters,
passion, unity, and strength of Ben Pad Village. This research was conducted in the form of
qualitative research by studying documents, articles, research, music, performance arts, and
interviews with some experts, philosophers, and related people. Obtained data were analyzed by
using descriptive analysis.

The results revealed that when the tradition of local people that had been inherited from
their ancestors in abstract form was integrated with knowledge of dramatic performance, it could
represent concrete characteristics clearly as well as represent local identity. It was divided into 3
episodes: Episode 1 – Method; Episode 2 – the way of worshiping; and Episode 3 – symbol of faith.
It was also inserted with teachings and connection among home, temples, and community through
various formats including script, music, costume, show equipment, and dance moves.
Keyword: dramatic performance, tradition, Pateep Teenka Pueak

237

งานประชมุ วิชาการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ เครือขา่ ยศิลปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งท่ี 12
ภายใต้หวั ข้อ “แนวทางการพฒั นาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปวัฒนธรรม อย่างยั่งยืนในบรบิ ทหลังการระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

1. บทนำ (หวั ขอ้ ขนาด 16 หนา)

สังคมไทยเป็นสังคมท่มี ีความหลากหลายทางดา้ นภาษา วฒั นธรรม ประเพณี และ ศาสนา สงั คมไทยไม่ปิด

กั้นในเรื่องต่างๆเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องของศาสนา ดังนั้นส่วนใหญ่คนในสังคมไทยจึงนับถือศาสนาพุทธมากที่สดุ

ทั้งนี้เพราะศาสนาพุทธมีหลักคำสอนและแนวปฏิบัติที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้ผู้ปฏิบัติตามเกิดความ

เจรญิ รงุ่ เรอื งในชีวิต คนไทยส่วนใหญ่ท่ีนับถือพทุ ธศาสนานั้นส่วนมากจะสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจนกลายเป็น

รากฐานต่อวิถีชวี ติ ของคนไทยในทุกด้าน ทั้งทางด้านความเป็นอยู่ ภาษา ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และ วัฒนธรรม

ตลอดจนวันสำคัญต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนา จากความเลื่อมใสของศาสนิกชนท่ีมีต่อศาสนานี้ สิ่งเหล่านีจ้ ึงมีการ

กำหนดวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาขึ้นเพื่อให้ศาสนิกชนได้ประกอบพิธีกรรม รำลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยท่ี

เรยี กวา่ “การจัดพิธบี ชู า”

ศาสนา ความเชื่อ ความศรัทธา และ ประเพณี ถอื ไดว้ ่าเปน็ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทมี่ ีอยู่คู่กบั สังคมไทยมา
ทุกยคุ ทกุ สมัยมีการสืบทอด จากรนุ่ สู่รุน่ มาตั้งแต่บรรพบรุ ุษ ท่แี สดงใหเ้ ห็นถงึ ความเช่ือ ความศรัทธาอันหยั่งรากลึก
เพอื่ ใหป้ ฏบิ ตั ติ าม (ศราวธุ จันทร์ขำและอนุกลู โรจนสุขสมบูรณ์,2563: 16) ซ่ึงตรงกับ(จารุวรรณ ธรรมวัตร,2531) ท่ี
กลา่ ววา่ “ความเชอื่ ของมนุษย์แตล่ ะท้องถ่ินเกิดข้ึนด้วยสาเหตุจากการมปี ญั หาในการดำรงชีวิต เชน่ เม่ือประสบภัย
พิบัติ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกิดภัยธรรมชาติ หรือด้วยสาเหตุจากวิถีในการดำรงชีวิต เช่น ความเชื่อในคำสอนทาง
พระพุทธศาสนา การระลกึ ถงึ บรรพบรุ ษุ ผู้ล่วงลบั เปน็ ต้น เหล่าน้ีเมอ่ื มนุษยพ์ บเจอสิ่งอนั เปน็ ปัญหาในการดำรงชีวิต
จึงมีความคิดว่าน่าจะเกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งท่ีมนษุ ยม์ องไมเ่ ห็นดลบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น และความคิดเหล่าน้ที ่ี
มนุษยใ์ ห้ความเช่ือและความศรัทธาจงึ เป็นบ่อเกิดให้ต้องหาส่ิงท่ีจะเข้ามาเยยี วยาจติ ใจ มนษุ ย์จงึ สวดมนต์อ้อนวอน
ขอความชว่ ยเหลือจากอำนาจลกึ ลับเหนือธรรมชาติตลอดจนการจดั พิธีบูชาตามความเชื่อของแต่ละท้องถ่ินน้ัน ด้วย
การตอบสนองความต้องการหรือแสดงความกตญั ญูกตเวทีดว้ ยการบวงสรวง บชู า ฟ้อนรำ หรือประกอบพธิ ีกรรมต่าง
ๆ เปน็ ต้น” ซงึ่ สอดคลอ้ งกับ ธวชั ปุณโณทก (2550) ที่กลา่ วว่า “ความเชื่อ เกิดจากจติ ใตส้ ำนึกของมนุษย์ท่ีผูกพัน
หรือยึดตดิ ตอ่ สง่ิ ใดสิ่งหนงึ่ เช่นเชอื่ ในเรื่องของความเคารพยำเกรงต่อส่ิงท่ีอย่เู หนือธรรมชาติ ความศรัทธาต่อ
พระพุทธศาสนา เมือ่ เกิดความเช่ือ และศรทั ธาแลว้ ประการหน่ึงทสี่ ามารถตอบสนองความต้องการของส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ
คือการฟอ้ นรำ เพอ่ื แสดงถงึ การเคารพบูชา ต่อส่ิงศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ”

ประเพณีจุดประทีปตีนกาของหมู่บ้านเบญพาด ตำบลพังตรุ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี
เช่นเดียวกันที่มีหลากหลายของชาติพันธุ์ที่มาอาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชน เช่น ไทยทรงดำ (ลาวโซ่ง) รวมตัวกัน จัด
ประเพณีจดุ ประทีปตีนกาขึ้นในวันออกพรรษาของทุกปี โดยจะจัด 3 วัน 3 คืน ชาวบ้านจะนดั หมายกนั มาทำด้ายฟั่น
ตนี กาซง่ึ ทำมาจากฝ้ายนำมาฟ่ันเป็นรปู ตีนกา 3 แฉก หมายถึงเท้าของแมก่ าเผือกที่มอบไว้เป็นสัญลักษณ์ให้ลูกและ
กะพ้อจุดประทีป การนำไม้ไผ่มาตัดแบ่งครึ่ง แล้วนำกระบอกไม้ไผ่ตัดเล็ก ๆ มาวางบนรางกะพ้อ 9 จุด หมายถึง
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และธาตุทั้ง 4 เพื่อนำไปตั้งในจุดต่าง ๆ เมื่อเสรจ็ เรียบร้อยจะมพี ธิ ีเปิดงานโดยมีพระสงฆ์
กลา่ วสวดนำในวันออกพรรษาและเทศนาเก่ียวกับเร่ืองราวของแม่กาเผือกมาเป็นหลักธรรมคำสอน และความศรทั ธา
ในพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในความดีงามและที่สำคัญเชื่อมั่นในความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา และด้วยการรำลึกถึง
พระคุณของมารดาผู้ให้กำเนิดและถือว่าเป็นหน่ึงในพระอรหันต์ทีย่ ่ิงใหญ่ประจำบ้านจากน้ันพระสงฆ์จะเป็นผู้นำจุด
ประทปี ตีนกา (นายนำ้ เงิน เบญพาด : สัมภาษณ์, 2563) ซ่ึงสอดคล้องกับ (โชคดี ออสุวรรณ ,2550) กลา่ วว่า “ตอน
ปฐมกปั มพี ญากาเผือกได้ตงั้ ครรภแ์ ละออกไขจ่ ำนวน 5 ฟองตอ่ มาไดเ้ กดิ พายุลมแรงทำให้ลูกของตนถูกพายุพัดลอย
ไปตามสายน้ำไข่ทั้ง 5 ได้ลอยไปตามน้ำคนละทิศคนละทาง จนไขฟ่ องที่ 1 เเมไ่ กเ่ กบ็ ไปเล้ียง มีพระนามว่ากกุสันโธ
ไข่ฟองที่ 2 เเม่นาคราชเก็บไปเลี้ยง มพี ระนามว่าโกนาคมโน ไขฟ่ องท่ี 3 เเมเ่ ตา่ เกบ็ ไปเลีย้ ง มพี ระนามว่ากัสสโปไข่
ฟองที่ 4 เเม่โคเก็บไปเล้ียง มีพระนามว่าโคตโม ไข่ฟองที่ 5 เเม่ราชสีห์เก็บไปเลี้ยงมพี ระนามว่าศรอี ริยเมตไตรโน
พระโพธิสตั วท์ งั้ 5 ได้อยกู่ ับแม่เล้ียงของตนด้วยความกตญั ญู ตอ่ มาพระโพธิสตั วท์ ้ัง5 ได้ลาแม่เลี้ยงของตนออกบวช
เพื่อหาหนทางดบั ทุกข์จนมาเจอกันทปี่ ่าโดยไม่ได้นดั หมาย และได้สอบถามเรื่องราวความเป็นมาของแต่ละคนจึงได้
ทราบว่ามีแต่แม่เลี้ยงไม่รู้จักแม่ที่แท้จริง พระโพธิสัตว์ทั้ง 5 จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานดังไปถึงพรหมโลกถงึ หูท้าวผกา

238

งานประชุมวชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ เครือขา่ ยศิลปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 12
ภายใต้หวั ขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปวฒั นธรรม อย่างยั่งยนื ในบริบทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

พรหม จึงไดแ้ ปลงกายลงมาเป็นแม่กาเผือกและเล่าเรอ่ื งราวความเปน็ มาของตนให้ลูกทง้ั 5 ฟงั และบอกความจริงว่า
ตนเป็นมารดาผใู้ ห้กำเนิด ด้วยความซาบซ้งึ ในบญุ คุณของมารดาและความกตัญญขู องพระโพธิสัตวท์ ้งั 5 ทม่ี ตี ่อแม่กา
เผือก จึงทูลขอสัญลกั ษณ์เพื่อเก็บไวบ้ ชู ามารดา แม่กาเผือกจึงให้นำด้ายดิบมาฟ่ันเปน็ รูปตีนกาเพื่อจุดบูชาในวันพระ
ต่อมาไดจ้ ดั ในวันลอยกระทงของทกุ ๆ ปี”

จากเรือ่ งเล่ามขุ ปาฐะและนทิ านพ้นื บ้าน สอดแทรกวัฒนธรรมความเชื่อตั้งแต่โบราณและเป็นการสืบสาน
ประเพณีของท้องถิ่นและสิ่งที่สามารถจะทำให้ชุมชนหรือท้องถิ่นมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและทำให้คนภายในและ
ภายนอกได้เห็นและเข้าใจในประเพณีที่สำคัญนี้ สิ่งที่จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยง คือการสร้างนาฏกรรม เป็น
เคร่อื งมือในการพัฒนากลุม่ คน ชมุ ชนใหม้ คี วามก้าวหนา้ และเข้มแขง็ ประเพณีจึงเปน็ จุดแข็งของชุมชน เพ่ือให้งาน
ศลิ ปวัฒนธรรมน้ี คงอยู่ คู่ชมุ ชนอยา่ งย่งั ยนื สบื ตอ่ ไปได้

นาฏกรรม หมายถึง ศิลปะการฟ้อนรำและการละครที่สร้างขึ้นโดยมีความหมาย เครื่องแต่งกายทำนอง
ดนตรี บทร้อง ตลอดจนแนวคิดในการสร้างสรรคน์ าฏกรรมทัง้ ในรูปแบบจารีตแบบแผนยึดถอื ระเบียบการร่ายรำ
ตามแบบอย่างมาแต่โบราณ ตลอดจนนาฏยประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์ขึน้ ตามยุคสมัยและมีการพัฒนาไปตามกระบวน
ความคิดที่ แปลกใหม่ตามความถนดั ของผู้สร้างสรรคผ์ ลงานจากหลักฐานของการสร้างสรรค์นาฏกรรมในโลกทาง
ตะวันออกได้อธิบายความหมายของนาฏยศาสตร์โดย มนตรี ตราโมท (2525) ได้อธิบาย ทฤษฎีนาฏยศาสตร์ ซึ่งมี
การจดบันทึกไวเ้ ปน็ ภาษาสนั สกฤตเม่ือประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 4-5 บรรยายด้วยรปู แบบของรอ้ ยกรอง โดยมีหัวขอ้
ที่สำคัญ กล่าวถงึ ระบำดนตรี ภาษา การประพันธ์ บทละคร การผลติ การแสดง การฝึกซ้อม การแสดงทา่ ทางเพ่ือส่ือ
ความหมายทางอารมณ์ ที่เป็นเอกลักษณเ์ กดิ ขึ้นจากการเลียนแบบธรรมชาติและการสร้างสรรค์ของมนุษย์ท่ตี ้องมี
พื้นฐานทางด้านนาฏยศิลป์ไทยด้วย ซึ่งในแต่ละสังคมของวัฒนธรรม ลักษณะของการแสดงออกทางท่าทางเป็นที่
แตกต่างกนั ไปตามสภาพสงั คมคา่ นยิ มของเผ่าพันธ์ทุ ่ีมเี อกลกั ษณค์ วามมีคุณค่าทแ่ี ฝงไว้ด้วยภมู ิปัญญาของคนในสังคม
จึงเป็นเรื่องศาสตร์และศิลป์ที่รวมเอาศิลปะท่ารำหลากหลายแขนง ทั้งที่เป็นศาสตร์ด้านปราชญ์และศิลปะของ
ชาวบา้ น และศลิ ปะทส่ี ืบทอดกันมาในราชสำนกั ท้ังท่ีมีลักษณะความเป็นเอกลักษณ์ท่โี ดดเด่นท่แี ตกต่างกันออกไป
นอกเหนือจากความหมายที่ได้กล่าวมาขา้ งต้นแล้วน้ันยังมีผู้เชี่ยวชาญและผู้รู้ได้ให้ความหมายเก่ียวกับนาฏศิลป์ไว้
ดังน้ี

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึงกำเนิดและวิวัฒนาการของ
นาฏศิลปท์ ีผ่ ูกพนั กับมนษุ ย์ ดังนี้ (สรุ พล วริ ุฬห์รกั ษ์, 2547: 1)

“การฟ้อนรำเป็นประเพณีในเหล่ามนษุ ย์ทกุ ชาติทกุ ภาษา ไม่เลอื กว่าจะอยู่ ณ ประเทศถิ่นสถานใดในภพน้ี
คงมวี ธิ ฟี อ้ นรำตามวิสัยชาติของตนเองดว้ ยกันท้ังน้ัน อย่าวา่ แต่มนุษย์เลย ถึงแมส้ ัตวเ์ ดรัจฉานก็มีวิธีฟ้อนรำ ดังเช่น
สนุ ัขและไกก่ า เวลาใดสบอารมณข์ องมันเข้ามันกเ็ ตน้ โลดกรดี กรายทำกิริยาท่าทางได้ต่างๆ ฯลฯ”

ดว้ ยเหตนุ ี้หากสามารถนำเอาศาสตร์ทางด้านนาฏกรรมไทยมาสร้างสรรค์ ผสมผสาน กับความเชื่อ ความ
ศรัทธาตามหลักคำสอนทางพระพทุ ธศาสนาที่คนเห็นเป็นเพยี งแค่นามธรรมให้กลายเปน็ รูปธรรมและยังประโยชน์ที่
จะรักษา สืบทอด ประเพณีจุดประทีปตีนกาเผือกอันดีงามของชุมชนชาวบ้านเบญพาดไว้ให้เปน็ ประเพณีสืบทอด
ต่อไป

2. วตั ถุประสงค์

1. เพือ่ ศกึ ษาท่มี าของประเพณีจุดประทีปตนี กาเผอี ก
2. เพอ่ื สรา้ งสรรคน์ าฏกรรมชุดจุดประทีปตีนกาเผือก

3. วิธีดำเนนิ การวจิ ยั

ขอบเขตเนือ้ หา การศกึ ษาครง้ั น้ี คณะผู้วิจยั ได้ศึกษาประวตั ิความเป็นมา ความเชอ่ื และความศรัทธาของ
ประเพณีจุดประทีปตีนกา หมู่บ้านเบญพาด ตำบลพังตรุ อำเภอพนมทวน จังหวดั กาญจนบุรี

239

งานประชุมวชิ าการระดับชาติและนานาชาติ เครอื ข่ายศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั แห่งประเทศไทย คร้ังท่ี 12
ภายใต้หัวข้อ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สงั คม และศลิ ปวัฒนธรรม อยา่ งยั่งยนื ในบรบิ ทหลังการระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

ขอบเขตบคุ คล

นายน้ำเงิน เบญพาด ปราชญช์ าวบ้าน ผถู้ ่ายทอดประวตั แิ ละพิธีกรรมจุดประทีปตนี กา

ผศ.ดร.อภิลกั ษณ์ เกษมผลกูล

ขอบเขตพน้ื ที่ หม่บู า้ นเบญพาด ตำบลพังตรุ อำเภอพนมทวน จังหวดั กาญจนบรุ ี

เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ัย

คณะผวู้ ิจัยได้สร้างเครื่องมือวิจัย 2 ประเภท คือ การสร้างแบบสัมภาษณ์แบบมโี ครงสร้าง และ

การสร้างแบบสังเกตแบบไม่มีสว่ นร่วม

วธิ ีการสร้างเครอ่ื งมือวจิ ยั ใช้กระบวนการ ดังต่อไปนี้

1. การสรา้ งแบบสัมภาษณแ์ บบมีโครงสร้าง

2. การสร้างแบบสังเกตแบบไมม่ สี ่วนรว่ ม

การทบทวนวรรณกรรม

1. วรรณกรรมศาสนา

วรรณกรรมศาสนาท่ีมีการกล่าวถงึ พญากาเผือกนน้ั มปี รากฏอยู่ในชาดกเรื่องกาเผือก

(พระพทุ ธเจ้า 5 พระองค์) ดงั น้ี พงศาวดารโยนกกล่าววา่ ศักราช 998 (พ.ศ.2079) ปี ชวด อัฐศก เจ้าฟา้ สุทโธธรรม

ราชาทรงบำเพ็ญพระราชกุศล แล้วมีพระราชโองการสถาปนาที่วังนางฟ้ากาเผือก เมืองเชียงแสนเป็น พระอาราม

ขนานนามว่า วัดเชตวัน แล้วอาราธนาพระมหาเถรวัดป่าไผ่ ดอนแท่นมาเป็นเจ้าอาวาส ในคัมภีร์ใบลานเรื่อง

กาเผือก ได้กล่าวไว้ว่า มพี ญากาเผอื ก 2 ตวั ผัวเมยี ทำรังอยทู่ ่ตี ้นมะเด่ือริมฝ่ังแมน่ ้ำต่อมาแม่กาเผอื กได้ออกไข่ 5 ฟอง

วันหนึง่ เม่ือสองกาเผือกออกไปหาอาหาร เกิดฝนตก ฟ้าคะนองพายุใหญ่พัดกระหน่ำ ไข่ทง้ั หมด ได้ถูกลมพัดตกน้ำ

ไหลกระจายไปคนละทาง แม่กาเผือกเมื่อกลับมาถึงรังไม่เห็นไข่ ก็พยายามตามหาแต่ก็ไม่พบ ด้วยความเศร้าโศก

เสียใจ แม่กาเผือกไมส่ ามารถระงับความอาลัยได้จงึ สิ้นใจตาย ด้วยอานสิ งส์แหง่ ความรักลูกจึงได้ไปเกิดอยูแ่ ดนพรหม

โลกชั้นสุธาวาส ชื่อท้าวผกามหาพรหม ส่วนไข่แต่ละฟองก็มีผู้นำไปฟักเลีย้ ง และในเวลาต่อมาพระโพธิสัตว์ ทั้ง 5

ก็ประสูติออกจากไข่ ปรากฏเป็นมนุษย์ 5 พระองค์ พอโตเป็นหนุ่ม ต่างก็ออกบวชเป็นฤาษี บำเพ็ญบารมีอยู่ในปา่

อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะไปหาอาหารผลไม้ และบำเพญ็ เพยี รธรรมทป่ี า่ ดอยสงิ คตุ ตระปิฎฐา ดว้ ยเหตปุ จั จยั ในกุศลบารมี

ธรรม ฤาษีทง้ั 5 ก็ไดม้ าพบกนั จงึ สอบถามความเป็นมาของกันและกัน จงึ ได้รู้วา่ แต่ละคนมีแมเ่ ลีย้ ง ส่วนแม่ที่แท้จริง

อยู่ที่ไหนกไ็ ม่รู้จงึ ได้ร่วมกันต้ังสัจจะอธิษฐานขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้า ดว้ ยอำนาจธรรมอันบรสิ ุทธ์ิของฤาษที ง้ั 5 คำ

อธิษฐานจึงดังก้องไปถึงพรหมโลก ท้าวผกามหาพรหม (แม่กาเผือก) จึงจำแลงเปน็ แม่กาเผอื กลงมา ฤาษีทั้ง 5 ก็รู้

ด้วยญาณทัศนะว่านี่แหละเป็นแม่บังเกิดเกล้า ด้วยความสำนึกในบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่กาเผือก ฤาษีทั้ง 5

จึงกราบขอรอยเท้าของแม่กาเผือกเอาไว้บชู า แมก่ าเผือกจงึ นำเอาฝ้ายมาฟั่น เป็นรูปตนี กาให้ไว้ใชเ้ ป็นไส้ประทีปจุด

บูชาทุกวันพระ ตอ่ มาฤาษีทั้ง 5 ได้บำเพญ็ บารมีจนได้เก้าพันปีทิพย์ จึงไดเ้ สวยชาติลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5

พระองค์ ตามลำดบั คือ

องค์ที่ 1 มีพระนามว่า พระกกสุ ันโธ ตามนามแมเ่ ลยี้ งท่ีเปน็ ไก่

องค์ท่ี 2 มพี ระนามว่า พระโกนาคมโน ตามนามแมเ่ ลยี้ งเป็นนาคราช

องค์ที่ 3 มีพระนามว่า พระกัสสโป ตามนามแมเ่ ลยี้ งเป็นเต่า

องคท์ ี่ 4 มพี ระนามว่า พระโคตโม (องค์ปัจจบุ นั ) ตามนามแม่เล้ียงเป็นโค

องคท์ ่ี 5 มพี ระนามว่า พระศรีอรยิ เมตไตรยโย ตามนามแมเ่ ลี้ยงท่ีเปน็ ราชสีห์

(พระศรีอริยเมตไตรยโย เป็นพระพุทธเจ้าท่ีจะทรงอุบัติในอนาคต) (อภิลักษณ์ เกษม

ผลกูล, 2552: 225)

วรรณกรรมเรื่องกาเผอื กเป็นเรือ่ งท่แี พร่หลาย ปรากฏหลายสำนวนในทกุ ภูมภิ าคของประเทศไทย มชี อ่ื เรยี กแตกต่าง

กันไป ได้แก่ แม่กาเผือก กาขาว พญากาเผือก พระเจ้าห้าตน พระเจ้าห้าพระองค์ ต้นเหตุลอยกระทง เป็นต้น แม้

รายละเอียดแต่ละสำนวนจะแตกต่างกัน แตโ่ ครงสร้างและเน้อื หาท่ีกล่าวถงึ กำเนิดของพระพทุ ธเจ้าทั้งหา้ พระองค์ว่า

เป็นลูกแม่กาเผือกกลับคล้ายคลึงกันมีเนื้อหาใจความสำคัญของนิทานเรื่องกาเผือกผูกโยงไปถึงกำเนิดของ

240

งานประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ เครือข่ายศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยแห่งประเทศไทย คร้งั ที่ 12
ภายใตห้ วั ข้อ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และศลิ ปวัฒนธรรม อยา่ งยงั่ ยืนในบรบิ ทหลังการระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

พระพทุ ธเจ้าห้าพระองค์ ซงึ่ เป็นความเชือ่ สำคัญประการหนึ่งของพุทธศาสนิกชนไทย ดงั หลักฐานในวรรณกรรมและ
ประเพณีต่าง ๆ เรือ่ งพระพทุ ธเจ้าห้าพระองค์ อนั เปน็ ท่สี ันนิษฐานว่าเป็นนิทานพ้ืนบา้ นท่ีนักปราชญ์ท้องถิ่นแต่งข้ึน
แพรห่ ลายผา่ นการเทศนแ์ ละคติการสร้างหนังสือธัมม์เร่ืองกาเผือกท่ีกล่าวถึง กำเนิดของพระเจ้าห้าพระองค์ ว่าล้วน
เป็นลูกกาเผือกด้วยกันถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญในวัฒนธรรมชาวบ้าน แสดงให้เห็นความคิดของคนไทย อ้างถึงใน
(ประคอง นิมมานเหมินท์, 2545: 56) นอกจากนี้ การสืบทอดวรรณกรรมพทุ ธศาสนาในอดตี นั้น สืบทอดและดำรง
อยู่ได้ด้วยความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องการถวายหนังสือเป็นธรรมทานที่ทำให้ได้รับ
อานิสงส์อย่างมาก (อาทิตย์ ชีรวณิชย์กุล, 2552: 170) นอกจากนี้ ผศ.ดร.อภิลักษณ์ เกษมผลกูล กล่าวว่า
“จากเรื่องราวตามตำนานแม่กาเผือก เปน็ การแสดงใหเ้ ห็นความสมั พันธ์ระหว่างพระโคตรมะ และพระศรี อารยิ ะใน
ฐานะทอี่ ยู่ใน “วงศ์ของพทุ ธะ” ที่นับเน่อื งกันเป็นวงศ์ด้วยการบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าให้เป็นวงศ์แบบปุถุชน
ซงึ่ ทำใหพ้ ระศรอี าริยะมีความศักด์ิสิทธิแ์ ละมีญาติพี่น้องและครอบครัว” ความแพร่หลายของเร่ืองกาเผือกที่ปรากฏ
ในวรรณกรรมมุขปาฐะ ท้ังนทิ านมขุ ปาฐะที่ชาวบา้ นเล่าสบื ต่อกันมา ไดแ้ ก่ นทิ านเรอื่ ง “แมก่ าเผอื กหรือพระเจ้าห้า
ตน” เรื่อง “พระพุทธเจ้าห้าพระองค์” และวรรณกรรมลายลักษณ์ ในรูปแบบของนิทานและคัมภีร์ ได้แก่ เรื่อง
“กาเผือก” และเรื่อง “อานสิ งส์ผางประทีป” และยงั มี “หนงั สือธรรม เร่ืองกาเผือก” ทพ่ี มิ พเ์ ป็นอกั ษรไทย นอกจาก
วรรณกรรมแล้ว ยังพบได้จากจิตรกรรมและสถาปัตยกรรม ตำนานสถานที่รวมถึงประเพณีพิธีกรรมที่ปรากฏใน
ท้องถน่ิ ตา่ ง ๆ เชน่ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง เร่อื ง “พระเจ้าหา้ พระองคแ์ ละประเพณพี ้ืนบ้าน” ในเจดยี พ์ ระพุทธบาทส่ี
รอย วดั ปา่ ดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ รปู ปน้ั ของแมก่ าเผือกและพระพทุ ธเจา้ ทัง้ ห้าพระองคท์ ่ี “ลาน”
แม่กาเผอื กพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ณ ศูนย์พัฒนาศีลธรรมเวียงกาหลง อำเภอเวียง ปา่ เปา้ จังหวัดเชียงราย อีกด้วย
(อภิลกั ษณ์ เกษมผลกลู : สมั ภาษณ์, 2563)

ความสำคัญและบทบาทของคติชนวิทยา
คติชนวิทยา เป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับวิถีทางในการดำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียม

ประเพณี ความเชื่อ คา่ นิยม ทไ่ี ด้รับการสืบทอดมาจากกลุม่ คน หรือจากรนุ่ สรู่ ุน่ เป็นเวลานาน การศกึ ษาด้านคติชน
วิทยาเป็นการศึกษาถึงมรดกทางวฒั นธรรมทีจ่ ะทำให้ผู้ศึกษาได้เห็นสภาพชีวติ ความเป็นอยู่ของสังคมน้ัน ๆ ได้อย่าง
ชัดเจน และสามารถเขา้ ใจอดีต เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจปจั จุบัน ตลอดจนรู้จักวางแผนเหตุการณใ์ นอนาคตไดอ้ ยา่ ง
ถูกตอ้ ง ดังนน้ั การศึกษาคติชนวิทยาจึงมคี วามสำคัญและประโยชน์หลายประการ คอื

2.1. คติชนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เข้าใจสภาพชีวิตมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
เพราะคติชนวิทยา ได้สะท้อนให้เห็นถงึ สภาพทางสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ค่านิยม ตลอดจนแนวทางใน
การดำเนนิ ชีวิตที่ได้ยึดถือประพฤตปิ ฏิบตั ิสืบทอดตอ่ กนั มาใหช้ นรุ่นหลังใหจ้ ดจำและนำมาปฏิบตั ิ

2.2 คตชิ นวิทยาจะใหค้ วามรแู้ ละอบรมส่งั สอน ดว้ ยคตชิ นจะใหค้ วามร้หู ลาย
ทางในชวี ติ ประจำวัน เช่น ความรเู้ รอื่ งประเพณีพธิ ีกรรมต่าง ๆ ตลอดจนความเชื่อ เพ่อื เป็นแนวทางในการประพฤติ
ปฏิบัติ นอกจากนี้ยังช่วยอบรมสั่งสอนคนในสังคม เช่น นิทานอีสป นิทานคติสอนใจ ที่ตอนท้ายของเร่ืองจะจบลง
ที่ว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คติชนจึงเป็นกลไกลทางสังคมที่ช่วยอบรมสั่งสอนให้ลูกหลานเป็นคนดีมีคุณธรรม
จริยธรรม

2.3 คติชนวิทยาเป็นแหล่งรวมความสามัคคี ทั้งนี้เพราะวิถีการดำเนินชวี ิต
ขนบธรรมเนยี มประเพณี จะเป็นลักษณะของชมุ ชน กลมุ่ คนทมี่ กี ารรว่ มแรงรว่ มใจกัน

2.4 คติชนช่วยควบคุมสังคม คติชนบางประเภทสามารถควบคุมความ
ประพฤติของคนในสังคมให้เป็นทย่ี อมรับ อกี ท้งั ใหก้ ำลังใจแก่บคุ คลที่ประพฤตติ นตามแบบอย่างที่สงั คมกำหนด เช่น
สุภาษิต คำพงั เพย คำคม สำนวนโวหารตา่ ง ๆ และเป็นเคร่ืองเตอื นใจใหค้ นในสังคมยึดถอื เป็นแนวทางในการปฏบิ ัติ

2.5 คติชนก่อให้เกิดความภูมิใจในท้องถิ่น ทำให้เห็นความสำคัญของ
วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีในท้องถิน่ สังเกตได้จากในแต่ละท้องถ่ินจะมีเรื่องเล่าตำนาน ที่อธิบายถึง
ประวัติความเป็นมาอันเป็นการสะท้อนให้เห็นระบบความคิดของคนโบราณที่ได้มีการสืบทอดมาเป็นระยะเวลาที่

241

งานประชมุ วิชาการระดับชาตแิ ละนานาชาติ เครอื ข่ายศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแหง่ ประเทศไทย ครงั้ ท่ี 12
ภายใต้หัวข้อ “แนวทางการพฒั นาเศรษฐกจิ สงั คม และศลิ ปวัฒนธรรม อย่างยงั่ ยืนในบริบทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

ยาวนานอันก่อให้เกิดความรัก ความหวงแหน และความ ภาคภูมิใจ ควรจะช่วยกันอนุรักษ์เพื่อเป็นมรดกทาง
วัฒนธรรมสบื ไป (ศิราพร ฐิตะฐาน ณ ถลาง, 2537: 32-33)

ท่มี าและความหมายของประเพณีจุดประทีปตนี กา
จากวรรณกรรมพุทธศาสนา สู่ประเพณีที่มีใจความสำคัญผูกโยงไปถึงกำเนิดของ

พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ซึ่งเป็นความเชื่อสำคัญประการหนึ่งของพุทธศาสนิกชนไทยถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญจน
กลายเป็น ประเพณบี ูชาแมก่ าเผือกของชาวบ้าน และจากนนิ าทานจึงกลายไปสู่ประเพณี สัญลกั ษณท์ ่ีแสดงให้เห็น
ถึงความหมายท่ีลึกซง้ึ ของประเพณีน้คี ือผ้าฝ้ายรูปตีนกา ให้เปน็ ไสป้ ระทีปจุดบูชาในวันเพ็ญเดือน 11 ช่วงประเพณี
ออกพรรษาของทุกปีเปน็ เวลาสามวันสามคืน ซ่ึงตรงกับวันเทโวโรหณะ หรือท่เี รียกตักบาตรเทโวนัน้ ชาวเบญพาดจะ
ตัง้ เสาไมไ้ ผใ่ ช้กะพอ้ คือภาชนะใส่นำ้ มันละหุ่งหรอื มะพร้าวตัง้ ไว้บนราวไม้ไผ่เกา้ ที่ ชาวบ้านใช้ด้ายตีนกาเก้าเส้นต่อคน
ทำเป็นไส้จุดประทีปพร้อมถวายดอกไม้ธูปเทียน จำนวนเก้าประทีปแทนพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ห้าที่ อีกสี่ที่แทน
ธาตุสี่คอื ดนิ นำ้ ลม ไฟทง้ั หมดนี้สะท้อนให้เห็นพิธีกรรมเกีย่ วกบั ความเชื่อที่มนุษย์สร้างข้ึนจนเป็นประเพณีสืบทอด
เพื่อเปน็ ศนู ยร์ วมความดีงามของชุมชนหลายประการ เชน่ ความรกั สามัคคี ความเคารพนับถือผูกพันกตัญญูที่มีต่อ
กันของชุมชนโดยเฉพาะชุมชนบ้านเบญพาด ที่ประกอบพร้อมด้วยพลังสามประสานคือ บ้าน วัด โรงเรียน สามคำ
“บวร” ที่ คุณหมอประเวศ วะสี ทา่ นใหน้ ิยามไว้น่าสังเกตคอื “ประเพณจี ุดประทปี ตนี กาของชาวบา้ นเบญพาดเป็น
เรือ่ งสรา้ งสรรค์ของชุมชนจนกลายเป็น “อัตลักษณ์” เฉพาะถิ่นก็นี่แหละทุกชมุ ชนมีเรื่องราว ขาดแต่การร่วมมือทำ
ให้ปรากฏเท่านั้นขอแม่กาเผือกบินไปบอกข่าวแก่ชาวโลกที่กำลังจะแตกร้าวนี้ด้วยเถิด”( เนาวรัตน์ พงษ์
ไพบูลย์,2562)

ชาวหมบู่ ้านเบญพาด ตำบลพังตรุ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบรุ ไี ด้หยิบยกเรื่อง
หลกั ธรรมคำสอนนมี้ าปฏิบตั ิ เพราะเช่อื ม่ันในความดีงามและท่ีสำคัญเช่ือม่ันในความกตัญญรู ู้คุณบดิ า มารดา ผู้ให้
กำเนดิ และถอื ว่าเป็นหนง่ึ ในพระอรหนั ตท์ ี่ยิง่ ใหญป่ ระจำบ้าน ทางชมุ หมบู่ ้านเบญพาดจงึ ไดน้ ำเรอ่ื งราวจากตำนานแม่
กาเผือกในปฐมภัทรกัปแรกมาเป็นหลักธรรมคำสอนใหล้ ูกหลานเป็นแบบอย่างดว้ ยเหตุนี้ นายน้ำเงิน เบญพาดจึง
นำมาจดั ทำเปน็ ประเพณีจดุ ประทปี ตีนกาเพื่อใหค้ นในหมู่บ้านได้เล็งเห็นถึงความสำคัญทางศาสนาและความสามัคคี
รกั ใคร่ กลมเกลียว ของคนในหมูบ่ ้านเบญพาด และด้วยความศรทั ธา และความเช่ือวา่ การไดร้ ว่ มพิธจี ุดประทีปตีนกา
เพื่อบูชามารดาของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์นั้น มีความสำคัญต่อพุทธศาสนิกชน และก่อให้เกิดอานิสงส์ เป็นดัง
ประทีปสง่ ผลให้เกิดดวงปัญญาสว่างไสว ได้เห็นแสงสว่างเห็นธรรมของอนาคต (นายน้ำเงิน เบญพาด : สัมภาษณ์,
2563)

คุณคา่ ของประเพณจี ดุ ประทีปตีนกา
ประเพณีจุดประทปี ตีนกา เป็นประเพณีประจำหมู่บ้านเบญพาด ตำบลพังตรุ อำเภอ

พนมทวน จงั หวดั กาญจนบุรี ท่ีจัดทำขึ้นในวันออกพรรษาของทกุ ปี ทกุ คนในหมู่บา้ นรวมตวั กนั เพ่ือจดั เตรียมงานโดย
ประเพณีจดุ ประทปี ตนี กา จะจดั 3 วนั 3 คืน ชาวบา้ นจะมกี ารรวมตัวนดั หมายกนั มาทำด้ายฟ่ันตีนกาและกะพ้อเพื่อ
จุดประทีปนำไปต้งั ในจุดตา่ ง ๆ ของงาน อุปกรณ์และองค์ประกอบในการจัดประเพณี 1) ด้ายฟน่ั ตนี กานำด้ายมาฟ่ัน
เป็นรูปตีนกา 3 แฉก หมายถึง เท้าของแม่กาเผือกที่มอบไว้เป็นสัญลักษณ์ให้ลูกทั้ง 5 พระองค์ ระลึกถึงคุณของ
มารดาผูใ้ หก้ ำเนดิ 2) กะพ้อจุดประทปี การนำไม้ไผม่ าตัดแบ่งครง่ึ แลว้ นำกระบอกไม้ไผ่ตดั เลก็ ๆ มาวางบนรางกะพ้อ
9 หมายถึง พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และธาตุทั้ง 4 (ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม) โดยใช้ไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายจาก
ธรรมชาตขิ องชมุ ชน มาทำเป็นเสาตง้ั สองข้างท่ีด้านหัวและปลาย แลว้ มีไมไ้ ผอ่ กี ลำทำเป็นไม้พาดบนระหว่างเสา ท่ีไม้
ไผ่ลำทพ่ี าดจะเจาะรูเกา้ รู เพ่ือวางกะพ้อสำหรับจดุ บูชา ในกะพอ้ จะใส่น้ำมันละหงุ่ หรอื น้ำมนั มะพรา้ วไวเ้ ป็นเชื้อเพลิง
เมื่อจัดเตรียมองค์ประกอบครบถ้วน ทุกคนในหมู่บ้านก็ร่วมกันจัดสถานที่เมื่อเสร็จเรยี บร้อยจะนิมนตพ์ ระสงฆ์มา
เจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์กล่าวนำสวด และเทศนาเกี่ยวกับเรื่องราวของแม่กาเผือกในต้นสมัยปฐมกัป และ
พระสงฆ์เป็นผู้นำจดุ ประทีปตีนกา ชาวชุมชนวัดเบญพาด อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี จึงพร้อมใจกันสรา้ ง
กุศลด้วยการจุดประทีปตีนกาเพื่อบูชามารดาของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ เป็นระยะเวลา 3 วัน 3 คืน คือใน

242

งานประชมุ วิชาการระดับชาติและนานาชาติ เครือขา่ ยศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 12
ภายใตห้ วั ข้อ “แนวทางการพฒั นาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปวัฒนธรรม อยา่ งยงั่ ยนื ในบริบทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

ระหว่าง ข้นึ 14 คำ่ เดอื น 11, ขน้ึ 15 คำ่ เดอื น 11 และแรม 1 ค่ำ เดือน 11 หรือในช่วงประเพณีออกพรรษาของ
ทุกปี โดยจดั ขนึ้ มามากกวา่ 200 ปี (นางบุญทนั เบญพาด : สมั ภาษณ์, 2563)

หลกั การและวิธีสรา้ งสรรคน์ าฏกรรมไทย
นาฏกรรมไทย ศิลปะการแสดง หรือการแสดงสร้างสรรค์ที่มีการเรียกแตกต่างกัน

ออกไปนั้น ลว้ นแลว้ แตเ่ ป็นการส่ือสารอีกรูปแบบหน่ึงของมนุษย์ทีใ่ ชท้ ่าทางแทนคำพูด แทนความคิด เป็นศิลปะที่
แสดงออกให้เห็ถึงอารมณ์ ความรู้สึก ถ่ายทอดจากโลกของนามธรรม ให้ออกมาเป็นรูปธรรม ด้วยการบูรณาการ
ศาสตร์ แห่งการเคลอื่ นไหว ลีลา จังหวะ อารมณ์ จนิ ตนาการ (พรี พงศ์ เสนไสย,2564 :124) ดงั นน้ั ในการสร้างงาน
นาฏกรรมจึงต้องคำนงึ ถึงองคป์ ระกอบยอ่ ย ดงั น้ี

4.1 การกำหนดรูปแบบการแสดง ต้องกำหนดให้อยู่ในจารีตประเพณี โดยทั่วไปนิยม
สร้างสรรค์ผลงานในแนวนี้เพราะเป็นท่ีทำได้ง่าย มีกฎระเบียบอันเป็นขอ้ บังคับทางนาฏศิลป์กำหนดให้อยา่ งเปน็
ระบบ

4.2 การกำหนดเวที ต้องคำนึงถึงขนาดของเวทกี ็เปน็ ส่วนสำคัญ เช่นการแสดงในโรง
ละคร หรอื แสดงเวทกี ลางแจ้ง หากเวทกี ารแสดงขนาดใหญค่ วรจะใช้ผแู้ สดงจำนวนมาก หากเวทเี ล็กควรจัดผู้แสดง
ให้เหมาะสมกับขนาดของเวที นอกจากนน้ั การใชส้ เี สียงและไฟกเ็ ปน็ ส่วนสำคัญอย่างย่ิงกบั การแสดง

4.3 การเลือกตัวผู้แสดง ผู้ออกแบบท่ารำหรือผู้ออกแบบการแสดงจะต้องเป็นผู้ท่ี
ศกึ ษาความรู้เกย่ี วกบั รปู ร่างโครงหน้าให้เหมาะสมกับการแสดงแตล่ ะประเภทให้ใกล้เคียงหลักฐานมากที่สดุ ผู้แสดง
ต้องมีคุณภาพทั้งฝมี ือบุคลิกรูปร่าง น้ำเสยี ง อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะชดุ ท่นี ำเสนอความเป็นชาติพันธ์ุนอกจากน้ัน
ผิวพรรณท่มี คี วามสำคัญ

4.4 การแปรแถว การแปรแถวเป็นจุดสำคัญอย่างหนึ่งของการประดิษฐ์ระบำใน
นาฏศลิ ป์ไทย นาฏศลิ ป์ไทยมีรปู การณ์แปรแถวท่หี ลากหลายและชดั เจน ซ่ึงสอดคล้องกบั กระบวนทา่ รำการแปรแถว
ของนาฏศลิ ปไ์ ทย เชน่ แถวปากพนงั แถวเฉยี ง แถวหน้ากระดาน แถวตอนเด่ียวเฉยี ง และแถวตอนคู่ เป็นต้น

4.5 การกำหนดทำนองเพลงและดนตรีประกอบการแสดง ทำนองเพลงมีความ
แตกต่างในด้านระดับเสียงและด้านความยาวของเสียง ทำนองเป็นองค์ประกอบของบทเพลงที่จำง่ายมากกว่า
องค์ประกอบอื่น ๆ ทำนองเพลงจะมีความหลากหลายลักษณะแตกต่างกันออกไป (สงัด ภูเขาทอง ,2548 : 166)
ดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะที่เกี่ยวกับเสียง ซึ่งมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นอาจจะลอกเลยี นเสียงมาจากธรรมชาติหรือเสียง
อื่นๆ ทั้งในแง่ของสุนทรียในแง่ของการเป็นมรดกของวัฒนธรรมการสะท้อนถึงความเป็นไทย และอารมณ์การ
ประณีตละเอยี ดอ่อนของบรรพบุรุษจากคณุ คา่ อันมหาศาลของดนตรีไทย (สภุ าสิรีร์ ปิยะพิพัฒน์, 2551: 7)

4.6 หลักการออกแบบนาฏกรรม การออกแบบและการสร้างสรรค์แนวคิด รูปแบบ
กลวิธีของนาฏศิลป์ชุดหนึ่งๆนั้น จำต้องคำนึงถึงปรัชญาเนื้อหาความหมายท่ารำ ท่าเต้น โดยจำเป็นต้องคำนึงถึง
ทฤษฎีทางทัศนศิลป์และทฤษฎีแห่งการเคลื่อนไหวที่จะนำมาประยุกต์ในการออกแบบของตนอยู่เสมอ อ้างถึงใน
(สุรพล วิรฬุ รกั ษ์, 2547: 234) ซงึ่ สอดคล้องกบั (พีรพงศ์ เสนไสย, 2546: 22-23) กลา่ ววา่ การคดิ งานตอ้ งมคี วามคิด
ที่หลากหลาย คือ คิดสร้างให้เป็นของเก่าแก่โบราณและดั้งเดิมตามแบบแผนบรรพบุรุษ คิดสร้างให้เป็นการ
ผสมผสานนาฏยศลิ ป์หลาย ๆ จารีตเข้าด้วยกนั คิดสรา้ งทอี่ าศัยการหยบิ เพยี งเอกลกั ษณ์เด่นของนาฏยศลิ ป์น้ัน ๆ

4.7 หลักการออกแบบและประดษิ ฐ์เครื่องแต่งกายประกอบการแสดง การออกแบบ
เครอ่ื งแต่งกายน้ีผู้คดิ สร้างสรรค์ต้องมี จนิ ตนาการท่ไี ม่จำกัด เพอื่ ให้เกิดความแปลกตา เพอื่ สนองความคิด และ ให้
สัมพนั ธ์กับรูปแบบหรอื สไตล์ของฉากและ ใหก้ ลมกลืนกบั บรรยากาศของตัวละคร (เสาวลักษณ์ คงคาฉุยฉาย ,2549:
13) ส่วนการออกแบบศิลปะเครื่องประดับ (วัฒนะ จูฑะวิภาต, 2545: 142) กล่าวว่า ต้องคำนึงถึงความแตกต่าง
กายภาพของมนุษย์ ต้องเลอื กใช้เคร่อื งประดบั ให้เข้ากบั รูปร่างลักษณะต่อไปกท็ ำให้เข้ากบั เส้ือผ้าสแี ละลวดลายของ
ชุดเครื่องแต่งกายและข้อสุดท้าย ต้องดูกาลเทศะสถานที่ การเลือกใช้เครื่องประดับจึงต้องดูรูปทรงของแบบ
เครื่องประดับให้เหมาะสมกับรูปร่างหนา้ ตาสผี ิวแบบผมอายกุ าลเทศะ

243

งานประชุมวชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ เครอื ข่ายศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยแหง่ ประเทศไทย ครัง้ ที่ 12
ภายใต้หวั ข้อ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และศลิ ปวัฒนธรรม อยา่ งยัง่ ยนื ในบริบทหลังการระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

4. ผลการวจิ ยั และอภปิ รายผล

1. ด้านที่มาของประเพณีจุดประทีปตีนกา จากวรรณกรรมทางด้านศาสนาที่เป็นที่มาและประเพณีของ
เรอ่ื ง แมก่ าเผอื ก ผวู้ จิ ัยได้กำหนดแนวทางในการวิเคราะห์ ดงั นี้

จากการศึกษาหนังสือ พระไตรปิฎก เรื่อง พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ได้มีการกล่าวถึงเรื่องราว
เกี่ยวกับพระพุทธประวัติ ของพระพุทธเจ้าสมัยปฐมกัปในพระไตรปิฎกมาเป็นหลักธรรมคำสอนแก่ลูกหลาน และ
ชาดกเรอื่ งแม่กาเผอื ก (พระพุทธเจ้า 5 พระองค์) นน้ั พบว่า คติความเชื่อและการสืบทอดวรรณกรรมพุทธศาสนาใน
อดตี นนั้ สบื ทอดและดำรงอยไู่ ด้ด้วยความศรทั ธาของพทุ ธศาสนิกชนอาจจะก็มีการจดจำ เล่าต่อ และนำมาคัดลอก
ตอ่ ๆ กนั มาโดยขอใหพ้ ระสงฆแ์ ละปราชญ์ของชุมชน เปน็ ผูจ้ ารหนังสอื รวมถึงการปฏบิ ตั ิตนของบรรพชนท่ีมีการสืบ
ทอดโดยใชห้ ลักคำสอนทางพุทธศาสนาผ่านนิทานมาเป็นตัวเช่ือมทำให้เกิดความรักความผูกพันของคนในชุมชม ด่ัง
เช่นความเชอ่ื อันเป็นที่มาของเหตแุ ห่งการจดุ ประทปี ทีส่ ะท้อนให้เห็นพิธีกรรมเกย่ี วกบั ความเช่ือท่ีมนุษย์สร้างขึ้นจน
เป็นประเพณี ทส่ี ืบทอดเพ่ือเป็นศูนยร์ วมความดีงามของชมุ ชนหลายประการ เช่น ความรักสามคั คี ความเคารพนับ
ถอื ผกู พัน กตัญญทู ี่มตี อ่ กันในชมุ ชน โดยเฉพาะชุมชนบ้านเบญพาด ทีป่ ระกอบพร้อมด้วยพลังสามประสานคอื บ้าน
วัดโรงเรยี น สามคำ “บวร” ที่คุณหมอประเวศ วะรี ท่านให้นิยามไว้ (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, 2562) โดยมีการจัด
ประเพณีนี้ในวันออกพรรษา คือประเพณีจุดประทปี ตีนกา ที่มีตำนานสืบทอดกันมายาวนานกว่า 200 ปีทุกคนใน
หมู่บ้านรวมตัวกันเพื่อจัดเตรียมงานโดยประเพณีจุดประทีปตีนกาจะจัด 3 วัน 3 คืน ชาวบ้านจะมีการรวมตัวนัด
หมายกนั มาทำด้ายฟั่นตนี กาและกะพ้อเพ่ือจุดประทีปนำไปตั้งในจุดตา่ ง ๆ ของงาน อุปกรณแ์ ละองคป์ ระกอบในการ
จดั ประเพณี 1) ดา้ ยฟ่นั ตนี กา นำดา้ ยมาฟั่นเปน็ รูปตนี กา 3 แฉก หมายถึงเท้าของแม่กาเผือกที่มอบไวเ้ ป็นสัญลักษณ์
ให้ลูกทั้ง 5 พระองค์ ระลึกถึงคุณของมารดาผู้ให้กำเนิด2) กะพ้อจุดประทีป การนำไม้ไผ่มาตัดแบ่งครึ่ง แล้วนำ
กระบอกไม้ไผ่ตดั เล็ก ๆ มาวางบนรางกะพ้อ 9 จุด หมายถึง พระพุทธเจา้ 5 พระองค์และธาตุท้ัง 4 เมื่อจัดเตรียม
องคป์ ระกอบครบถ้วน ทกุ คนในหมู่บ้านก็ร่วมกันจัดสถานท่ี เมือ่ เสร็จเรียบร้อยจะมีพิธีเปิดงานโดยมีพระสงฆ์กล่าว
สวดนำในวนั ออกพรรษาและเทศนาเกี่ยวกบั เร่ืองราวของแมก่ าเผอื กในต้นสมัยปฐมกัป และพระสงฆเ์ ปน็ ผนู้ ำ
จุดประทปี ตนี กา

244

งานประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ เครอื ขา่ ยศิลปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยแหง่ ประเทศไทย คร้งั ที่ 12
ภายใต้หวั ข้อ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และศลิ ปวฒั นธรรม อย่างยง่ั ยืนในบริบทหลังการระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

2.ด้านสรา้ งสรรค์นาฏกรรมชดุ จดุ ประทปี ตีนกาเผอื ก ผู้วจิ ัยไดก้ ำหนดแนวทางในการวิเคราะห์น้ี
ตารางที่ 1:

หวั ข้อ ผลการวจิ ัย
การกำหนดลกั ษณะของทำนองเพลง พบว่า ในการกำหนดทำนองพลงในการแสดงมีจังหวะและทำนองจาก

ช้าไปเร็ว สลับกันในแต่ละช่วง เหตุที่ผู้วิจัยสร้างสรรค์ทำนองให้มี
ลักษณะที่ช้าเร็วต่างกันในแต่ละช่วงเพื่อให้สอดคล้องกับกระบวน
ท่าทางการแสดงและเป็นการสื่อให้เห็นบรรยากาศและเหตุการณ์ของ
ผู้คนในหมู่บ้านเบญพาดที่ออกมาช่วยกันฟั่นด้ายเป้นรูปตีนกา และ
ตอ้ งการให้ผู้ชมได้สัมผสั ถงึ กล่ินไอ ความรู้สึกเสมือนจรงิ ทำนองเพลงที่
ใช้บรรเลงประกอบการแสดงแบง่ ออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 เป็น
ทำนองที่สร้างขึ้นใหม่สื่อให้เห็นถึงยามรุ่งอรุณ ชาวบ้านที่มาพบปะกัน
เพื่อเตรยี มความพรอ้ มในประดษิ ฐ์อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในการบูชา จึงเป็นที่มาท่ี
แสดงให้เหน็ ถงึ จังหวะเริ่มจากช้าไปเรว็ เพื่อสื่อความเละรู้สึก ช่วงที่ 2
เป็นท่วงทำนองท่ีสร้างข้ึนใหม่โดยส่ือให้เห็นถึงพิธีกรรมการบูชาแม่กา
เผือก และพระโพธิ์สัตย์ทั้ง 5 พระองค์ จึงเป็นที่มาที่แสดงให้เห็นถึง
จังหวะ เเละท่วงทำนองที่ช้า มีบทพูดคลอไปกับเพลง สื่อถึงการบูชา
เพื่อสื่ออารมณ์และความรู้สึก ช่วงที่ 3 มีท่วงทำนองทำนองที่สร้าง
ข้ึนมาใหม่ สอ่ื ถงึ สัญลกั ษณ์ จงึ เปน็ ท่มี าท่ีแสดงให้เห็นถงึ จงั หวะเร็ว เพื่อ
สื่ออารมณ์และความรู้สึกเครื่องดนตรีที่ใช้เป็นบทประพันธ์เรียบเรียง
เพลงสร้างสรรคช์ ดุ การแสดง “จุดประทีบตีนกา” ใช้การเรยี บเรียงโดย
การผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีไทยและเครื่องดนตรีตะวันตก ซ่ึง
สอดคล้องกับ หลักการกำหนดทำนองเพลงของ(ปัญญา รุ่งเรือง
(2544:98) ไดก้ ลา่ วไว้ว่า ดนตรีไทยสรา้ งสรรค์คือการคดิ นอกกรอบใน
รูปแบบที่สร้างสรรค์ปรับปรุงวิธีการเล่นการรรวมวงการผสมวงใน
รูปแบบท่ีแตกต่างกนั ในปัจจุบันมวี ิธีการดงั น้ี โดยนำเคร่อื งดนตรไี ทยมา
เล่นกับดนตรสี ากลเลยโดยไม่ปรับเสียงและนำเครือ่ งดนตรีไทยมาเลน่
กับดนตรีสากลโดยปรับเสียงเป็นบันไดเสียงหนงึ่ ถ้าต้องเล่นโน้ตที่ดนตรี
ไทยไมม่ กี ใ็ ห้เคร่อื งดนตรอี น่ื เลน่ แทน

245

งานประชมุ วชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ เครือข่ายศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยแห่งประเทศไทย คร้ังท่ี 12
ภายใตห้ วั ข้อ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สงั คม และศลิ ปวฒั นธรรม อย่างยั่งยืนในบรบิ ทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

หวั ข้อ ผลการวจิ ัย
การกำหนดลักษณะเคร่ืองแต่งกาย
พบวา่ กลุม่ คนในส่วนใหญใ่ นหมู่บา้ นเบญพาด ส่วนมากเปน็ กลุ่มคนชน
และเคร่อื งประดับ ชาติพันธุ์ไทยทรงดำ (ลาวโซ่ง) ได้อพยพเข้ามาอาศัยตั้งแต่บรรพบุรษุ
คณะผู้วิจัยจึงได้นำแนวคิดเครื่องแต่งกายนี้มาเป็นต้นแบบในการ
การกำหนดลกั ษณะการออกแบบ ออกแบบสร้างสรรค์ข้ึนมาใหม่เพ่ือใหเ้ กดิ ความแปลกตาและเพื่อสนอง
สร้างสรรคท์ ่ารำในการแสดง ความคิดและจติ นาการทีม่ ีอยู่อย่างไม่จำกัด รปู แบบเครอื่ งแต่งกายต้อง
ไดร้ บั การออกแบบใหส้ มั พนั ธ์กบั รูปแบบหรอื สไตลข์ องการแต่งและฉาก
เพื่อให้มีเอกภาพในการแสดงชุดนั้น ๆ ดังนั้นเครื่องแต่งกายก็ควร
พิจารณาให้กลมกลืนกับบรรยากาศของตัวละคร อาจจะมีประเด็นที่
ต้องออกแบบเครื่องแต่งกายให้แตกต่างออกไปก็เป็นได้ โดยมีการ
อธบิ ายความหมายของรูปแบบดังน้ี ผแู้ สดงสวมครอปแขนกุด ตัวเสื้อสี
น้ำเงิน หมายถงึ ความศรัทธา กระโปรงผา่ บริเวณหน้าขาสองข้าง ชาย
ผ้าข้างหน้าเป็นรูปสามเหลี่ยม ปักด้วยเลื่อมเพชรและป้องอ้อย ขอบ
สะเอวเยบ็ ประดับเหรยี ญเงนิ กระโปรงสแี ดง ปกั เหรียญเงินและปักป้อง
อ้อยเลื่อมเพรชแบบไทยทรงดำ เย็บขอบด้วยผ้าไทยสีม่วงให้สื่อ
ความหมายไทยทรงดำหรือลาวโซ่ง ใส่เครื่องประดับเงิน สร้อยคอ(จ้ี
นาง) กำไลข้อเท้ากระดิ่งเงิน และใช้ดอกไม้ประดับบริเวณศีรษะ
ด้านซ้าย จอนหดู อกไมใ้ ส่ขา้ งซ้ายหมายถงึ การบชู า

ผู้วิจัยใช้ท่าทางธรรมชาติที่สื่อออกมาในรูปแบบนาฏศิลป์ไทย
สร้างสรรค์ โดยแบ่งออกเปน็ 3 ช่วง ดังนี้ ช่วงท่ี 1 ให้ชอ่ื ว่า “กรรมวิธี”
โดยการเล่าถึงกรรมวิธีการประดิษฐ์ด้ายฟั่น ผู้วิจัยได้นำท่าทางตาม
ธรรมชาติกับท่าทางนาฏศิลป์และจินตนาการให้เกิดสุนทรียแความ
สวยงาม โดยใหน้ กั แสดงร่วมกนั ออกมาประดิษฐด์ ้ายฟั่นชว่ งท่ี 2 ให้ช่ือ
ว่า “วิถีบูชา” โดยการเลา่ ถึงการบูชาความกตัญญขู องพระโพธิสัตว์ทั้ง
5 ที่มีต่อแม่กาเผือกผู้ให้กำเนิด ผู้วิจัยได้นำท่าทางตามธรรมชาติกับ
ท่าทางนาฏศิลป์และจินตนาการให้เกิดสนุ ทรียและความสวยงาม โดย
ใหน้ ักแสดงนำด้ายฟนั่ ไปหย่อนลงในกระพ้อเพอื่ การบูชา ชว่ งที่ 3 ให้ช่ือ
ว่า “ศรัทธาสัญลักษณ์” โดยการเล่นผ้าเพื่อแสดงสัญลักษณ์ด้ายฟ่ัน
ตนี กา

ผู้วจิ ัยไดน้ ำท่าทางตามธรรมชาติกับท่าทางนาฏศิลป์และจินตนาการให้
เกิดสุนทรียภาพและความสวยงาม โดยให้นักแสดงนำผ้าสีขาวทีแ่ สดง
ใหเ้ ห็นถงึ สัญลักษณข์ องด้ายฟน่ั มาทำเปน็ รปู ตีนกา (ด้ายฟน่ั ตนี กา)

งานวจิ ัยคร้ังนี้มีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษาท่ีมาของประเพณีจุดประทีปตีนกาเผือก ที่เป็นประเพณีอันสำคัญ
โดยมคี วามเชื่อพ้ืนฐานในทางพระพุทธศาสนาเรื่องตำนานพระพทุ ธเจ้า 5 พระองค์ท่ีมีกำเนิดมาจากแม่กาเผือกของ
ชุมชนหมู่บ้านเบญพาด ตำบลพังตรุ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี และวิเคราะห์กระบวนการสร้างสรรค์
นาฏกรรมเข้ามาผสมผสานสามารถสื่อออกมาใหเ้ ห็นเป็นลักษณะรปู ธรรมได้อย่างชดั เจนและแสดงถึงอัตลักษณ์ของ

246

งานประชุมวชิ าการระดับชาติและนานาชาติ เครือขา่ ยศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั แห่งประเทศไทย ครงั้ ที่ 12
ภายใตห้ ัวขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ สงั คม และศลิ ปวฒั นธรรม อย่างย่ังยืนในบรบิ ทหลังการระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

ท้องถิน่ ท่ยี งั เนน้ ให้ในชมุ ชนเกิดความกตัญญูต่อผมู้ ีพระคณุ มคี วามรกั ใคร่ สรา้ งความสามคั คีและความเข้มแข็งให้กับ
ชุมชนเบญพาดสืบต่อไป

สรุปผลการวจิ ยั
1.จากการศึกษาหนังสือ พระไตรปิฎก เรื่อง พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ พบว่าได้มีการกล่าวถึง

เรอ่ื งราวเกี่ยวกบั พระพุทธประวัติ ของพระพุทธเจา้ สมยั ปฐมกปั ในพระไตรปฎิ กมาเป็นหลักธรรมคำสอนแก่ลูกหลาน
และชาดกเรือ่ งแม่กาเผือก (พระพทุ ธเจ้า 5 พระองค)์ คติความเช่ือตำนานเรื่องแม่กาเผือก อันเป็นท่มี าของเหตุแห่ง
การจุดประทีปที่สะท้อนให้เห็นเกี่ยวกับความเชื่อที่มนุษย์สร้างขึ้นจนเป็นประเพณี ท่ีชาวชุมชนหมู่บ้านเบญพาด
ตำบลพังตรุ อำเภอพนมทวน จงั หวัดกาญจนบรุ ี ในวนั ออกพรรษา คือ 1) ด้ายฟน่ั ตนี กา นำดา้ ยมาฟน่ั เป็นรูปตีนกา
3 แฉก หมายถึงเท้าของแม่กาเผือกที่มอบไว้เป็นสัญลักษณใ์ หล้ ูกท้ัง 5 พระองค์ ระลกึ ถงึ คุณของมารดาผู้ให้กำเนิด
2) กะพ้อจุดประทีป การนำไม้ไผ่มาตัดแบ่งครึ่ง แล้วนำกระบอกไม้ไผ่ตัดเล็ก ๆ มาวางบนรางกะพ้อ
9 จุด หมายถึง พระพทุ ธเจ้า 5 พระองคแ์ ละธาตทุ ั้ง 4

2.หลักการและวธิ ีสร้างสรรค์นาฏกรรมไทย พบวา่ นาฏกรรมไทย ศิลปะการแสดง หรือการแสดง
สรา้ งสรรค์ทีม่ กี ารเรยี กแตกต่างกันออกไปนั้น ลว้ นแล้วแตเ่ ป็นการสื่อสารอีกรปู แบบหน่ึงของมนุษย์ท่ีใช้ท่าทางแทน
คำพูด แทนความคดิ ต้องคำนงึ ถึงองคป์ ระกอบย่อย ดงั นี้ 1) การกำหนดรูปแบบการแสดง พบวา่ ตอ้ งกำหนดรปู แบบ
ใหอ้ ยู่ในจารีตประเพณี โดยทั่วไปนิยม มีกฎระเบยี บอนั เป็นข้อบงั คับทางนาฏศิลปก์ ำหนดให้อย่างเป็นระบบและไม่
เกิดผลเสยี ต่อความเชือ่ ของชมุ ชน ต้องคำนงึ ถึงทำนองเพลงมคี วามแตกต่างในด้านระดับเสยี งและด้านความยาวของ
เสียง 2) การกำหนดทำนองดนตรี พบว่า องค์ประกอบของบทเพลงที่สำคัญจะอยู่ท่ีทำนองเพลงจะมีความ
หลากหลาย ลักษณะแตกต่างกันออกไปดนตรเี ป็นเรือ่ งของศลิ ปะที่เกีย่ วกับเสียง ซึ่งอาจจะลอกเลียนเสียงมาจาก
ธรรมชาติหรือเสียงอ่นื ๆ ทั้งในแงข่ องสนุ ทรีย ในแง่ของมรดกของวัฒนธรรม การสะท้อนถึงความเป็นไทยอัตลักษณ์
ของท้องถิ่นชุมชนที่ประณีตละเอยี ดอ่อน 3) การกำหนดหลักการออกแบบนาฏกรรม พบว่า การออกแบบและการ
สร้างสรรคแ์ นวคิด รูปแบบ กลวธิ ีของนาฏศลิ ปช์ ุดหนึง่ ๆนั้น จำตอ้ งคำนึงถงึ ปรัชญาเน้ือหาความหมายท่ารำ ท่าเต้น
โดยจำเปน็ ต้องคำนงึ ถึงทฤษฎีทางทัศนศิลปแ์ ละทฤษฎีแห่งการเคลื่อนไหวที่จะนำมาประยกุ ต์ในการออกแบบของตน
อยูเ่ สมอและส่ือสารผ่านท่าทางไปให้ผูช้ มเข้าใจได้ โดยมีสญั ลักษณท์ ี่จะช่วยใหง้ านนาฏกรรมน้ันสมบรู ณ์ คือ เครื่อง
แต่งกาย และเครือ่ งประดับที่ตอ้ งสร้างสรรคอื อกมาใหส้ อดคลอ้ งกบั แนวคดิ ในการสร้างสรรค์

อภปิ รายผล
1.ที่มาของประเพณีจุดประทีปตีนกา พบว่า คติความเชื่อและการสืบทอดวรรณกรรมพุทธ

ศาสนาในอดตี นน้ั สบื ทอดและดำรงอยูไ่ ดด้ ว้ ยความศรทั ธาของพทุ ธศาสนิกชนอาจจะกม็ ีการจดจำ เล่าตอ่ รวมถงึ การ
ปฏิบตั ิตนของบรรพชนทม่ี กี ารสืบทอดโดยใชห้ ลักคำสอนทางพุทธศาสนาผ่านนิทานมาเป็นตัวเชือ่ มทำใหเ้ กิดความรัก
ความผูกพันของคนในชุมชม ดั่งเช่นความเชื่ออันเป็นที่มาของเหตุแห่งการจุดประทีปที่สะท้อนให้เห็นพิธีกรรม
เกี่ยวกบั ความเชอื่ ท่ีมนษุ ย์สร้างขนึ้ จนเป็นประเพณี ทสี่ บื ทอดเพอ่ื เปน็ ศูนยร์ วมความดีงามของชุมชน

2.นาฏกรรมชดุ จดุ ประทปี ตีนกาเผือก เป็นการสื่อสารอีกรูปแบบหน่ึงของมนุษย์ที่ใช้ท่าทางแทน
คำพูด แทนความคิด เป็นศิลปะที่แสดงออกให้เห็ถึงอารมณ์ ความรู้สึก ถ่ายทอดจากโลกของนามธรรม ให้ออกมา
เปน็ รูปธรรมโดยต้องมีองค์ประกอบที่สำคญั ในการสร้างสรรค์ให้สมบูรณ์ เช่น 1) การกำหนดดนตรี ทำนองเพลง 2)
การกำหนดลักษณะเครื่องแตง่ กายและเคร่ืองประดบั 3) การกำหนดลักษณะการออกแบบสรา้ งสรรค์ทา่ รำในการ
แสดง

การกำหนดลักษณะของทำนองเพลง พบว่า การกำหนดทำนองพลงในการแสดงมีจังหวะและ
ทำนองจากช้าไปเร็ว สลับกันในแต่ละช่วง เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนท่าทางการแสดงและเป็นการสื่อให้เห็น
บรรยากาศ สัมผัสถึงกลิ่นไอ ความรู้สึกเสมือนจริงตลอดจนของผู้คนในชุมชนที่ออกมาช่วยกันจัดเตรียมงาน เพ่ือ
แสดงถงึ เหตกุ ารณ์ ความสามัคคี ความร่วมมือ โดยทำนองเพลงทีใ่ ช้บรรเลงประกอบการแสดงแบง่ ออกเป็น 3 ช่วง

247

งานประชมุ วิชาการระดับชาติและนานาชาติ เครือขา่ ยศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั แหง่ ประเทศไทย ครงั้ ท่ี 12
ภายใต้หัวขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สงั คม และศลิ ปวฒั นธรรม อยา่ งยง่ั ยืนในบรบิ ทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

ได้แก่ ช่วงที่ 1) เปน็ ทำนองทีส่ ร้างขน้ึ ใหม่สอื่ ใหเ้ ห็นถงึ ยามรุ่งอรุณ ชาวบา้ นที่มาพบปะกัน เพ่ือเตรยี มความพร้อมใน
ประดษิ ฐ์อปุ กรณ์ทีใ่ ชใ้ นการบูชา จึงเปน็ ทมี่ าทแ่ี สดงให้เห็นถึงจังหวะเร่มิ จากชา้ ไปเร็ว เพ่ือสอื่ ความเละร้สู กึ ช่วง
ท่ี 2) เปน็ ท่วงทำนองทีส่ ร้างขึ้นใหม่โดยส่ือให้เห็นถึงพิธีกรรมการบูชาแม่กาเผือกและพระโพธิ์สัตยท์ ั้ง 5 พระองค์ มี
บทพดู คลอไปกบั เพลง ส่อื ถงึ การบูชา เพื่อส่ืออารมณ์และความรู้สกึ ชว่ งท่ี 3) มีทว่ งทำนองทำนองท่ีสร้างขึ้นมาใหม่
ให้มจี ังหวะทเ่ี ร็ว เพื่อส่ือถึงสัญลกั ษณ์ การเลน่ ผา้ สขี าวทเ่ี สมือนด้ายฟ่ันที่ชาวบ้านใช้เปน็ สญั ลกั ษณส์ ำคัญในการบูชา
มาพนั ผกู ให้เป็นรูปตีนกาเผือก

การกำหนดลักษณะเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ พบว่า กลุ่มคนในส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน
เบญพาด สว่ นมากเปน็ กลุม่ คนชนชาติพันธุ์ไทยทรงดำ (ลาวโซ่ง) ไดอ้ พยพเขา้ มาอาศยั ตง้ั แต่บรรพบรุ ษุ คณะผวู้ จิ ยั จึง
ได้นำแนวคิดเครื่องแต่งกายนี้มาเป็นต้นแบบในการออกแบบและสร้างสรรค์ ให้เกิดความแปลกตาและเพื่อส นอง
ความคดิ และจิตนาการของผู้วิจยั ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดโดยมีการอธิบายความหมายของรูปแบบดงั นี้ ผู้แสดงสวมครอป
แขนกดุ ตัวเสือ้ สีนำ้ เงิน หมายถงึ ความศรัทธา กระโปรงผ่าบริเวณหน้าขาสองข้าง ชายผ้าขา้ งหนา้ เป็นรูปสามเหลี่ยม
ปักด้วยเลื่อมเพชรและปอ้ งอ้อย ขอบสะเอวเย็บประดับเหรียญเงินกระโปรงสีแดง ปักเหรียญเงินและปักป้องอ้อย
เลือ่ มเพรชแบบไทยทรงดำ เย็บขอบดว้ ยผา้ ไทยสีม่วงให้สื่อความหมายไทยทรงดำหรือลาวโซ่ง ใสเ่ คร่ืองประดับเงิน
สร้อยคอ(จนี้ าง) ข้อเทา้ กระดงิ่ เงนิ และใช้ดอกไม้ประดับบริเวณศรี ษะด้านซา้ ย จอนหูดอกไม้ใสข่ า้ งซา้ ยหมายถงึ การ
บูชา

การกำหนดลักษณะการออกแบบสร้างสรรค์ท่ารำในการแสดง พบว่า ผู้วจิ ัยใชท้ ่าทางธรรมชาติที่
สอ่ื ออกมาในรูปแบบนาฏศิลปไ์ ทยสร้างสรรค์ โดยแบง่ ออกเป็น 3 ช่วง ดังน้ี ชว่ งท่ี 1 ใหช้ ือ่ ว่า “กรรมวิธี” โดยการ
เล่าถึงกรรมวิธีการประดิษฐ์ด้ายฟั่น ผู้วิจัยได้นำท่าทางตามธรรมชาติกับท่าทางนาฏศิลป์และจินตนาการให้เกิด
สุนทรียแความสวยงาม โดยใหน้ ักแสดงร่วมกันออกมาประดิษฐ์ด้ายฟั่นช่วงที่ 2 ให้ชื่อวา่ “วถิ ีบชู า” โดยการเล่าถึง
การบูชาความกตัญญขู องพระโพธสิ ัตว์ทง้ั 5 ท่ีมีตอ่ แม่กาเผอื กผู้ให้กำเนิด ผ้วู ิจัยได้นำทา่ ทางตามธรรมชาติกับท่าทาง
นาฏศลิ ปแ์ ละจินตนาการให้เกิดสุนทรียและความสวยงาม โดยใหน้ กั แสดงนำด้ายฟั่นไปหย่อนลงในกระพ้อเพื่อการ
บชู า ชว่ งที่ 3 ใหช้ อ่ื ว่า “ศรัทธาสัญลกั ษณ์” โดยการเลน่ ผ้าเพือ่ แสดงสญั ลกั ษณ์ด้ายฟัน่ ตีนกา ผู้วิจัยได้นำทา่ ทางตาม
ธรรมชาติกับท่าทางนาฏศิลป์และจินตนาการให้เกิดสุนทรียภาพและความสวยงาม โดยให้นักแสดงนำผ้าสีขาวที่
แสดงให้เหน็ ถึงสัญลักษณข์ องดา้ ยฟัน่ มาทำเปน็ รูปตีนกา (ดา้ ยฟั่นตีนกา)

จากการอภิปรายและสรุปผลข้างต้น หากสามารถนำเอาศาสตร์ทางด้านนาฏกรรมไทยมาสร้างสรรค์
ผสมผสาน กับความเชื่อ ความศรัทธาตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่คนเห็นเป็นเพียงแค่นามธรรมให้
กลายเป็นรูปธรรมและยังประโยชน์ที่จะรักษา สืบทอด ประเพณีจดุ ประทีปตีนกาเผือกอันดงี ามของชุมชนชาวบ้าน
เบญพาดไว้ให้เปน็ ประเพณสี บื ทอดตอ่ ไป

5. ข้อเสนอแนะ

1. ควรนำเอกลักษณ์ของประเพณีอ่ืน ๆ มาสรา้ งสรรคเ์ ปน็ การแสดงชุดใหม่
2. สรา้ งสรรค์การแสดงเชงิ การท่องเท่ยี วของจังหวัดอื่น ๆ

6. บรรณานกุ รม

จารวุ รรณ ธรรมวตั ร. (2531). การถ่ายทอดภูมปิ ัญญาพ้ืนบ้านอีสานทิศทางหม่บู ้านไทย. กรุงเทพฯ: เจริญวิทย์การ
พิมพ์

จารุวรรณ ธรรมวัตร. 2543. ภูมิปัญญาอีสาน. มหาสารคาม: โครงการตํารา คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.

โชคดี ออสวุ รรณ (2550). พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน ตอนว่าดว้ ยพระสูตร. พิมพค์ ร้ังท่ี1. โรงพิมพ์ชุมนุม
สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.

248

งานประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ เครือขา่ ยศิลปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั แห่งประเทศไทย ครง้ั ท่ี 12
ภายใตห้ ัวข้อ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ สงั คม และศลิ ปวฒั นธรรม อย่างยง่ั ยืนในบรบิ ทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

ธวัช ปณุ โณทก. (2538). วฒั นธรรมพ้ืนบ้าน : คตคิ วามเช่ือ ความเชื่อพื้นบ้านอันสัมพันธ์กบั วิถีชีวิตในสังคมอีสาน.
ในเพญ็ ศรี ดกุ๊ และคณะฯ (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 4). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์.2562.จุดประทีปตีนกา. มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน 2562
จาก https://www.matichonweekly.com/column/article_200219

ประคอง นมิ มานเหมนิ ทร์.(2545).นทิ านพ้ืนบ้านศึกษา.พิมพค์ รั้งที่ 2 .โครงการตำราคณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั :กรุงเทพมหานคร

ปัญญา รุ่งเรอื ง.(2525).ประวัตกิ ารดนตรไี ทย.กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ
พีรพงศ์ เสนไสย.(2546).นาฏยประดิษฐ์.พิมพ์ครั้งที่ 1.มหาสารคาม : คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย

มหาสารคาม
พีรพงศ์ เสนไสย.2561.นาฏยปรัชญา .พมิ พ์ครง้ั ท่ี 1.มหาสารคาม : ภาควชิ าศิลปะการแสดง คณะศลิ ปกรรมศาสตร์

มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
วฒั นะ จฑู ะวภิ าต.(2545).การออกแบบเครื่องประดับ.กรงุ เทพฯ : สำนกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย
ศราวธุ จนั ทรขำและ อนกุ ลู โรจนสุขสมบูรณ์.(2563).นาฏกรรมกับพระพุทธศาสนาในล้านนา:วารสารมหาวิทยาลัย

นราธวิ าทราชนครนิ ทร์ สาขามนษุ ยศาสตรและสงั คมศาสตร ปีท่ี 7 ฉบบั ท่ี 2
ศิราพร ฐิตะฐาน ณ ถลาง. 2539.ในท้องถิ่นมีนิทานและการละเล่น :การศึกษาคติชนในบริบททางสังคมไทย:

กรุงเทพฯ : มตชิ น
สงัด ภเู ขาทอง (2532). การดนตรไี ทยและทางเขา้ สดู่ นตรไี ทย. พมิ พ์ครง้ั ท1ี่ . กรุงเทพฯ: เรอื นแก้วการพิมพ์.
สุภาสิรีร์ ปิยะพิพัฒน์,มนศักดิ์ มหิงษ์. (2551) ดนตรีไทยเพื่อการพัฒนาสุขภาพ. คณะศิลปกรรมศาสตร์

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี: ปทุมธานี
สุรพล วิรุฬห์รักษ์. (2547). หลักการแสดง นาฏยศิลป์ปริทรรศน์.พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลัย.
เสาวลักษณ์ คงคาฉยุ ฉาย.(2549).ศิลปะการตกแต่งเสอื้ .พิมพค์ รั้งท่ี 1. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์
อภิลักษณ์ เกษมผลกูล .(2552). ตำนานพระศรีอาริย์ในสังคมไทย : การสร้างสรรค์ และบทบาท (วิทยานิพนธ์

ปริญญาดษุ ฎีบัณทิต ภาควชิ าภาษาไทย คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวยิ าลยั .
อาทิตย์ ชีรวณิชย์กุล. (2552). ทานและทานบารมี: ความสำคัญที่มีต่อการรังสรรค์วรรณคดีไทย พุทธศาสนา.

วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบัณฑติ ภาควชิ าภาษาไทยบัณฑติ วิทยาลัย จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
น้ำเงนิ เบญพาด.(2563) .ประเพณีจุดประทีปตนี กา. สัมภาษณ์, 22 สงิ หาคม 2563
บุญทนั นพคณุ .(2563). ประเพณจี ุดประทีปตนี กา. สัมภาษณ์, 3 ตลุ าคม 2563
อภลิ กั ษณ์ เกษมผลกลู . ความเชื่อและชาติพนั ธ.์ สมั ภาษณ์, 9 ธันวาคม. 2563

249

งานประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ เครือขา่ ยศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั แห่งประเทศไทย ครัง้ ที่ 12
ภายใตห้ ัวขอ้ “แนวทางการพฒั นาเศรษฐกิจ สังคม และศลิ ปะวัฒนธรรม อย่างยั่งยนื ในบริบทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

อโยธยานาฏยวิจิตร: การสรา้ งสรรค์ดนตรแี ละนาฏศลิ ปไ์ ทยทไี่ ด้รบั
แรงบนั ดาลใจ จากร่องรอยทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละศลิ ปกรรมอยธุ ยา

Ayothaya Nadayavijitra: Creative of Thai Music and Dancing Art Received Motivation
from Ayutthaya Historical and Fine Arts Vestige

อมุ าภรณ์ กล้าหาญ1

อาจารย์ประจำสาขาวิชาดนตรีศกึ ษา คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนครศรอี ยุธยา

1Umaporn Klahan

Lecturer of Music Education Faculty of Humanities and Social Sciences
Phranakhon Si Ayutthaya Rajabhat University

คำสำคัญ: การประพันธ์เพลงไทย, เพลงมโหรีโบราณ, นาฏศิลป์ไทยแบบราชสำนัก, ประวัติศาสตรแ์ ละศลิ ปกรรม,

สมยั อยุธยา

ทีม่ า/ความสำคัญ แรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรค์

การแสดงชดุ “อโยธยานาฏยวิจิตร” เป็นผลงานสร้างสรรค์ทางดนตรีและนาฏศลิ ป์ไทย ท่ีมีแรงบนั ดาลใจจาก
การศึกษาร่องรอยทางประวตั ศิ าสตร์และงานศิลปะแขนงต่างๆ ในสมัยอยุธยา โดยเฉพาะเร่ืองการดนตรีและฟ้อนรำ
ปรากฏหลักฐานว่ามีบุคคลที่ทำหน้าที่โดยเฉพาะ โดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของสตรีชาววัง ตลอดจนกำหนดไว้ในกฎ
มณเฑียรบาล ซ่งึ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ (อา้ งในพงษ์ศลิ ป์ อรุณรัตน์ : ๒๕๕๓) ไดท้ รง
อธิบายไว้ว่า

“อนั ขนบธรรมเนียมฝา่ ยในพระบรมมหาราชวังกรุงรัตนโกสนิ ทร์มิได้คดิ ตง้ั ขน้ึ ใหม่ เอาขนบธรรมเนียม
ในพระราชวังคร้ังกรุงศรีอยุธยามาใช้เป็นแบบแผน จะว่าแต่เฉพาะขนบธรรมเนียมฝ่ายในพระราชวัง เมื่อครั้งตัง้ กรงุ
รตั นโกสนิ ทร์ยงั มีนารีทสี่ ูงศักดเ์ิ คยเปน็ ผู้หลักผ้ใู หญ่ในพระราชวังกรงุ ศรีอยุธยาอยู่หลายคน ท่ีสำคัญคือเจ้าฟ้าพินทวดี
พระราชธิดาพระเจ้าบรมโกษฐ เป็นต้น เป็นผ้บู อกแบบแผนขนบธรรมเนียมฝ่ายในพระบรมมหาราชวงั ที่ใชเ้ ป็นตำราสืบ
มา...ทเ่ี รยี กว่า ผหู้ ญงิ ชาววังน้ัน ที่จริงมีต่างกันเป็น ๓ ชัน้ จะเรยี กอยา่ งงา่ ย ๆ วา่ ชนั้ สงู ช้ันกลาง และชั้นต่ำ มีฐานะ
และโอกาสกับการทั้งการศึกษาอบรมผิดกัน ชั้นสูงคือ เจ้านายที่เป็นพระราชธิดา ประสูติและศึกษาใน
พระบรมมหาราชวัง เบื้องต้นฝึกหัดมารยาททั้งกิริยาวาจาและสัมมาคารวะ แล้วให้เรียนหนังสือและการเรือนแบบ
ต่าง ๆ ท้งั เยบ็ ปักถกั รอ้ ยทำกับขา้ วของกิน ท้ังสอนให้รู้เลอ่ื มใสในพระพุทธศาสนาด้วย แต่การสอนหนงั สือน้ัน เม่ืออ่าน
ออกเขยี นไดแ้ ล้วก็เป็นอนั ยุติ แล้วท่านผ้ใู หญ่ในวังพิจารณาเลือกแล้วนำถวายตัวเปน็ ขา้ ราชการฝา่ ยในได้รับเบี้ยหวัดแต่
นัน้ มา ราชการอนั เปน็ หนา้ ทส่ี ำคญั สำหรับชาววังทเี่ ป็นชนชนั้ สงู น้ัน ถา้ วา่ อย่างกว้างมเี ป็น ๔ ประเภท คอื

๑) เรยี นวิชาประเภท ๑ เช่น หัดเขียนหนังสือและเรียนอักษรศาสตร์ถงึ ข้ันแตง่ โคลงฉันท์กาพย์กลอน
กระบวนช่างก็เรยี นถงึ ขนั้ ฝมี ืออย่างประณีต เช่น รอ้ ยดอกไมส้ ดและปักสะดึง ซึง่ ไมม่ ีทไ่ี หนอ่นื จะทำได้งามดเี หมือนที่ใน
วัง การพยาบาลไข้เจ็บกฝ็ ึกหดั ในข้นั น้ี ถา้ เปน็ ผูม้ อี ุปนิสัยชอบเรยี นเลขหรือความรู้เร่ืองพงศาวดารก็เริ่มเรียนในตอนน้ี
เจ้านายชน้ั พระราชธดิ าทรงศกึ ษาประเภทนี้เป็นพืน้ จงึ มกั เปน็ อาจาริณฝี กึ สอนคนชั้นหลงั ต่อๆ กันมา

๒) เป็นพนกั งานประเภท ๑ คอื ทำการงานต่าง ๆ ในราชสำนัก เช่น พนักงานพระภูษา พนักงานพระ
ศรี เป็นตน้ และมกี ารอย่างอื่นอีกหลายอย่าง หมอ่ มเจา้ และหม่อมราชวงศ์มักรบั ราชการในประเภทนี้ นอกจากน้ันมัก
เป็นผู้ทเ่ี คยรบั ราชการแต่รัชกาลก่อน ๆ จนอายุเป็นกลางคน

250

งานประชมุ วชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ เครอื ข่ายศิลปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยแหง่ ประเทศไทย ครั้งที่ 12
ภายใตห้ วั ขอ้ “แนวทางการพฒั นาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปะวัฒนธรรม อยา่ งยั่งยนื ในบริบทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

๓) เป็นนางอยู่งานประเภท ๑ คอื สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวทรงใช้สอย เชน่ เชญิ เคร่อื งราชปู โภคตามเสด็จ
และผลดั เวรกันประจำอยบู่ นพระราชมณเฑยี รคอยรับส่งั เปน็ ตน้ ล้วนแต่เปน็ สาวทั้งนน้ั

๔) เป็นมโหรีหรือหัดฟ้อนรำเป็นระบำและละคร ซึ่งเรียกกันว่า “ละคร (ฝ่ายใน)” ประเภท ๑ ใน ๒
พวกน้ีมักเลอื กท่มี แี ววฉลาดแต่อายยุ ังเยาว์เพราะเป็นการยาก ต้องฝึกหดั นานจึงจะทำได้

ราชการฝ่ายในทั้ง ๔ ประเภทที่กล่าวมาก็เป็นประเพณีมาแต่คร้ังกรงุ ศรีอยุธยา บางอย่าง เช่น มโหรี
ระบำ และละครใน ดูเค้ามูลอาจจะเป็นวิชาได้มาจากอินเดียแต่ดึกดำบรรพ์ ที่ว่าดังนี้เพราะเมื่อข้าพเจ้าตามเสด็ จ
พระพุทธเจ้าหลวงไปเมอื งชวา ไดเ้ ห็นเจา้ นครยกยาและเจา้ นครโซโลรับเสดจ็ ให้มรี ะบำนางในและละครซึ่งราชบุตรเล่น
เป็นตวั ละครรำถวายทอดพระเนตร นึกพศิ วงว่าระบำและละครหลวงของชวาช่างละม้ายคล้ายคลงึ กับของไทยเราเสีย
จรงิ ๆ จะวา่ ใครเอาอย่างใครก็ไมม่ ีหลักฐานท่ีจะคดิ เห็นได้ ครน้ั ภายหลังมาข้าพเจ้ามีกิจต้องคดิ ค้นเรื่องการขับรำของ
ไทยแต่โบราณ จงึ พบเคา้ เง่ือนของมโหรีและระบำกบั ละครใน ซงึ่ เคยมมี าในตา่ งสมัยเปน็ ช้ัน ๆ”

นอกจากนี้ยงั ปรากฏขอ้ ความที่กล่าวถงึ นางระบำในราชสำนักอยุธยาในโคลงทวาทศมาส ว่า

ระบำบรรเยศแกลง้ ถวายโฉม
คอื อัปสรสวรคคใ์ น ฟากฟา้
มหรสพพบแลโลม ลาญสวาดิ
โอบ้ ่เหนหน้าหน้า โศกศลั ย์ ฯ

จากหลักฐานดังกล่าว จึงได้นำมาสู่การสร้างสรรค์ผลงานตามจินตนาการ เป็นนางอัปสรฟ้อนระบำ
ประกอบการบรรเลงมโหรีแบบราชสำนกั อยธุ ยาเพือ่ บชู าสิ่งศกั ดสิ์ ิทธิ์

แนวคดิ ในการออกแบบท่ารำ

ภาพที่ ๑ ภาพทา่ รำเทพพนมในตำรารำฉบับพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ สดุ าสวรรค์
ภาพเขียนลายเส้นรงค์บนสมดุ ไทยดำ

การออกแบบท่ารำได้ใชต้ ้นแบบท่ารำจากหนังสอื ตำรารำ ฉบบั พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ สุดาสวรรค์ ซ่ึง
เปน็ ภาพเขยี นลายเส้นรงคบ์ นสมดุ ไทยดำ มาผสมผสานกับจินตนาการในการสรา้ งกระบวนรำแบบตัวนาง ใหส้ อดคล้อง
กบั ท่วงทำนองและลลี าของดนตรี

251

งานประชุมวชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ เครือขา่ ยศิลปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยแหง่ ประเทศไทย คร้ังท่ี 12
ภายใตห้ วั ขอ้ “แนวทางการพฒั นาเศรษฐกิจ สังคม และศลิ ปะวฒั นธรรม อย่างย่งั ยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

เครอ่ื งแตง่ กาย

ในการออกแบบเคร่อื งต่างกาย ไดแ้ บบมาจากภาพจติ รกรรมทวารบาลทอ่ี ย่ดู า้ นหลังพระประธานในวัดใหญ่
สวุ รรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ซง่ึ เปน็ ภาพของนางอปั สร ๒ นาง นำมาจดั ทำเคร่อื งแต่งกายประกอบด้วย ภูษาผา้ ลาย
อย่าง ศริ าภรณ์ กรอบพักตร์พร้อมกรรเจยี กจร สนองเกลา้ ถนิมพิมพาภรณ์ มีกรองศอ ทบั ทรวง สงั วาลย์ รัดพัสตร์
พาหรุ ัด ทองกร กำไลข้อเท้า และเล็บมือ

ภาพที่ ๒ ภาพทวารบาลด้านหลงั พระประธานวัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบรุ ี
จากหนังสือชุดจิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย วดั ใหญ่สุวรรณาราม

ภาพท่ี ๓-๔ การแตง่ กายและท่ารำชุดอโยธยานาฏยวิจติ ร

252

งานประชมุ วชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ เครอื ขา่ ยศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั แหง่ ประเทศไทย ครัง้ ที่ 12
ภายใต้หวั ขอ้ “แนวทางการพฒั นาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปะวฒั นธรรม อยา่ งย่งั ยนื ในบริบทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

เครือ่ งดนตรีท่ใี ช้

ผจู้ ัดทำได้เลอื กใช้เครือ่ งดนตรที ีป่ รากฏหลักฐานวา่ มกี ารประสมวงอยใู่ นสมยั อยุธยา จากวงมโหรเี คร่อื งหก ซงึ่
เปน็ วงดนตรีทใ่ี ช้ขบั กล่อมในราชสำนัก ประสมกับเครื่องปพ่ี าทย์ สอดคล้องกบั หลักฐานในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา มี
ภาพจิตรกรรมและภาพจำหลกั ไมแ้ สดงการเล่นดดี สตี เี ปา่ เป็นกลุ่ม โดยมีเคร่ืองมือมโหรี เช่น ซอสามสาย กระจบั ป่ี เป็น
ต้น บรรเลงร่วมกบั เคร่อื งมือป่ีพาทย์ เช่น ระนาด ฆ้องวง เป็นตน้ ซงึ่ ปรากฏในเพลงยาวไหวค้ รูมโหรที ี่แต่งข้ึนไล่เล่ียกัน
นน้ั ระบแุ บบแผนวา่

ขอเดชะเดชาภูวนาถ พระบาทปกเกล้าเกศี
ขา้ ผจู้ ำเรียงเร่ืองมโหรี ซอกรับกระจบั ปีร่ ำมะนา
โทนขลุ่ยฉิ่งฉาบระนาดฆอ้ ง ประลองเพลงขับกลอ่ มพร้อมหนา้
ขอเจรญิ ศรสี วัสดท์ิ ุกเวลา ให้ปรีชาชาญเชีย่ วในเชงิ พิณ ฯ

จงึ นำมาประสมเปน็ วงมโหรีเครื่องแปด ประกอบด้วยเคร่อื งดนตรี ได้แก่ ซอสามสาย กระจบั ป่ี ขลยุ่ เพียงออ ระนาดเอก
ฆอ้ งวงใหญ่ ฉ่งิ กรบั พวง โทน-รำมะนา

ภาพท่ี ๓ จติ รกรรมฝาผนงั แสดงการเล่นมโหรี ภาพท่ี ๔ วงมโหรเี คร่อื งหก
เครอ่ื งหก (ท่มี า : ดนตรีไทยเดมิ )

แนวคิดในการจดั ทำเพลง

เปน็ การประพันธ์เพลงสำหรบั วงมโหรโี บราณ ลลี าและอารมณ์ของเพลง เป็นเสียงทนี่ ่มุ นวล สงบ สอื่ ถงึ การใช้
เสยี งเพ่อื สักการะบชู าส่งิ ศักด์สิ ทิ ธ์ิ ทำนองเพลง มี ๔ ส่วน ดงั นี้

สว่ นท่ี ๑ ทำนองนำ มีความยาว ๒ บรรทัด หรือ ๑๖ ห้องเพลง บรรเลง ๑ เที่ยว ไม่ใช้หน้าทบั
ส่วนที่ ๒ ทำนองเพลง อัตราจงั หวะ ๒ ชั้น เป็นเพลงท่อนเดยี ว ใชห้ นา้ ทบั พระทอง มคี วามยาว ๑๐ บรรทัด
หรือ ๕ หน้าทบั บรรเลง ๓ เที่ยว
สว่ นที่ ๓ ทำนองเพลงอตั ราจงั หวะช้ันเดยี ว เป็นเพลงท่อนเดยี ว มีความยาว ๔ บรรทัด บรรเลง ๔ เท่ียว
ส่วนที่ ๔ ทำนองจบ มีความยาว ๒ บรรทดั บรรเลง ๑ เท่ยี วต่อเนือ่ งจากชน้ั เดยี วแล้วทอดจังหวะลงจบ
บนั ไดเสยี งและกลุ่มเสยี ง ใช้บันไดเสยี งแบบเพนตะโทนคิ เสียงซอล มเี สยี งหลกั ๕ เสียง คอื เสียงลำดบั ท่ี ๑ ๒
๓ ๕ ๖ ของบนั ไดเสยี ง ไดแ้ ก่ ซอล ลา ที เร มี เป็นเสยี งควบคุมในการสร้างทำนองเพลง การดำเนินทำนองเป็นทำนอง
ทางกรอ แบบเพลงมโหรี

253

งานประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ เครือข่ายศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั แห่งประเทศไทย คร้งั ที่ 12
ภายใตห้ วั ขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปะวัฒนธรรม อยา่ งยง่ั ยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

โน้ตเพลง

ทำนองนำ

---ซ ---ม ---ร ---ท ---- ---ล ---ท - ร-ม

- - - ซ - - - ม - - - ร - - - ท - - - - - ล – ท - รํ – ร - ม – ซ

สองชั้น (๓ เทย่ี ว) - ท – มํ รํ ท – ล -ซ–ม -ร–ม -ซ–ล ----
---- -ลลล - ท – รํ -ท–ล รํ ท – ล -ซ–ล - ท – รํ ---ท
---ซ ---ล มรทร -ม–ซ - มํ รํ ท -ล–ซ --ลท รํ ท – ล
---ม ---ร ลซมซ ลท–ล -ท–ล -ซ–ล ทลซม -ร–ซ
---ร ---ม -ท–ล -ซซซ ---ม รมซล - ท – รํ -ท–ล
---- -ซ–ล -ท–ม -ซ–ล -ท–ล -ซ–ล - ท – รํ ---ท
---ล -ลลล ---ล ท ล รํ ท --ลท รํ ท ล ซ -ม–ซ ---ล
---ร มรมซ -ร–ม -ซ–ล - มํ รํ ท -ล–ซ --ทล ซล–ท
- - - ท รํ ท ล ซ ล ท รํ ท ลซ–ล ทลซม -ร–ซ -ล–ท ----
- - - มํ - รํ – ท ---ท ---ล -ท–ล -ซ–ล ทลซม -ร–ซ
---ม ---ร

ช้ันเดยี ว (๔ เท่ียว) ทลซม ซล-- -ซลท ล ท รํ ล ทลซล ท รํ – ท
- ท ท ท ล ท รํ ล -ซลซ -ลทล ทลซม -ซ-- -ซ–ล ซทลซ
-รมร -มซม - ท รํ ท -ลทล ทลซม รมซล ทลซล ท รํ – ท
- มํ ซํ มํ - รํ มํ รํ -ซลซ -ลทล ทลซม รมซล ท ล รํ ท -ล–ซ
-รมร -มซม

ลงจบ - - ร ม ล ซ ม ซ - มํ รํ ท มํ รํ ท ล ท ล ซ ม - ร – ซ
--รม ลซมล - - - ร - - - ท - - - - - ล – ท - รํ – ร - ม – ซ
---ซ ---ม

254

งานประชุมวิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ เครอื ข่ายศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยแห่งประเทศไทย ครง้ั ท่ี 12
ภายใตห้ ัวข้อ“แนวทางการพฒั นาเศรษฐกิจ สังคม และศลิ ปะวัฒนธรรม อย่างย่ังยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

เอกสารอา้ งองิ

กองบรรณาธิการ. (๒๕๒๗). ชดุ จิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย วัดใหญ่สวุ รรณาราม. กรเุ ทพฯ: สำนักพิมพเ์ มือง
โบราณ.

พงษศ์ ลิ ป์ อรุณรตั น์. (๒๕๕๓). มโหรีวจิ กั ษณ.์ กรงุ เทพมหานคร : จรญั สนิทวงศก์ ารพิมพ์.
ราชบณั ฑิตยสถาน. (๒๕๔๐). สารานกุ รมศพั ทด์ นตรีไทยภาคคตี -ดรุ ิยางค.์ กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณร์ าชวิทยาลยั .
สงัด ภูเขาทอง. (๒๕๓๒). การดนตรีไทยและทางเขา้ ส่ดู นตรีไทย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์

เรือนแก้วการพิมพ์.
ศลิ ปากร,กรม. (๒๕๔๕). วรรณกรรมสมัยอยธุ ยา เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: สำนกั วรรณกรรมและประวตั ศิ าสตร.์
ศรศี กั ร วัลลิโภดม. (๒๕๓๕). ดนตรีและนาฏศลิ ป์ของชาววดั และชาววัง ในดนตรีและนาฏศิลปก์ ับเศรษฐกจิ และสงั คม

สยาม. (๑-๓๐). กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พเ์ รอื นแก้วการพิมพ.์
อานันท์ นาคคง (๒๕๕๐). ดนตรีไทยเดิม. กรุงเทพฯ : สำนักงานอุทยานการเรยี นรู้.

255

งานประชมุ วิชาการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ เครือขา่ ยศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั แห่งประเทศไทย ครงั้ ที่ 12
ภายใต้หวั ขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สงั คม และศลิ ปะวฒั นธรรม อย่างยง่ั ยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

การแสดงสร้างสรรค์ ชุด “ถงไทยวน”

The creation of performance “Thong Thai Yuan

ธิตมิ า ออ่ งทอง1
1ตำแหนง่ อาจารย์ สงั กดั วทิ ยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง สถาบันบณั ฑติ พฒั นศิลป์ กระทรวงวฒั นธรรม

แนวคิดและรปู แบบการแสดง
การแสดงสร้างสรรค์ ชุด “ถงไทยวน” เป็นการแสดงประเภทระบำที่มีแนวคิดและแรงบันดาลใจมาจาก

“ถง” หรอื “ยา่ ม” ของชาวไทยวน ในอำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบรุ ี ถงเปน็ สิง่ ของท่ีชาวไทยวนใช้ในชีวติ ประจำวันใน
โอกาสต่าง ๆ เช่น การใช้ถงย่ามเพื่อการประกอบอาชีพทำไรน่ า การใช้ถงย่ามเพ่ือใส่ส่ิงของเครือ่ งใช้ ได้แก่ หมาก
เงิน เสอื้ ผ้า ของใช้และของมีคา่ อน่ื ๆ รวมถึงการใช้ถงยา่ มในขน้ั ตอนการทำอาหาร นอกจากน้ี ชาวไทยวนยงั มีความ
เช่ือในเรอ่ื งการเผาถงยา่ มไปพร้อมกับผู้เสยี ชีวติ เพอ่ื ใหน้ ำติดตัวไปในอีกภพภมู ิ กลา่ วไดว้ า่ ถง มคี วามสำคัญและอยู่คู่
กับวถิ ชี วี ติ ของชาวไทยวนอย่เู สมอจนเป็นอัตลักษณ์เฉพาะท่ีมักจะเห็นว่าชาวไทยวนจะสะพายถงย่ามติดตัวไว้เสมอ
ในปัจจุบัน ถง เป็นงานหัตถศิลป์สำคัญที่สร้างรายได้ให้กับผู้คนในชุมชน ตลอดจนเป็นเครื่องที่แสดงถึงความมี
วฒั นธรรมท่ลี ะเอียดอ่อน มีอัตลักษณ์ทั้งในด้านเทคนิคการทอ ลวดลาย สี และการตดั เยบ็ ดงั น้นั ผู้สร้างสรรค์จึงมี
แนวคดิ ทนี่ ำถงยา่ มมาบูรณาการเขา้ กับศาสตร์ทางด้านนาฏศลิ ป์ โดยสรา้ งสรรคก์ ารแสดงขึน้ ใหมใ่ นรูปแบบนาฏศิลป์
สรา้ งสรรค์เชิงอนุรักษ์ประเภทระบำ โดยมรี ะยะเวลาการแสดง 7 นาที สามารถแบง่ การแสดงออกเปน็ 3 ช่วง ดงั นี้

ช่วงที่ 1 การนำเสนอที่มาและวัฒนธรรมของชาวไทยวนสระบุรี และภาพความหลากหลาย
ของถงทม่ี ีลกั ษณะ สีสนั และลวดลายท่แี ตกต่างกัน

ชว่ งที่ 2 นำเสนอคณุ คา่ ทางวฒั นธรรมของถงุ ย่ามด้วยบทขบั ซอล้านนา
ชว่ งที่ 3 นำเสนอการรา่ ยรำที่งดงามของหญิงสาวชาวไทยวนประกอบกบั ถงย่าม
การแสดงชุดนี้ได้สรา้ งสรรค์ลีลาท่าทางโดยใชร้ ูปแบบลีลานาฏศิลป์ที่ผสมผสานระหวา่ งนาฏศิลป์ล้านนา
และนาฏศิลป์ไทยเป็นหลัก มีการผสมผสานการใช้ศาสตร์ทางด้านศิลปะการแสดงหรือเทคนิคทางการแสดงและการ
ใช้อารมณ์ประกอบการแสดง นอกจากนี้ ผู้สร้างสรรคไ์ ดส้ ร้างสรรค์บทรอ้ งประกอบการแสดงขึ้นมาใหม่เพื่อส่ือถง
คุณค่าทางวัฒนธรรมของถงไทยวน โดยใช้ทำนองเพลงเดิม คือ ทำนองช้อยเชียงแสนและทำนองซอพมา่ และการ
สร้างสรรคท์ ำนองเพลงพื้นเมืองภาคเหนือขึ้นใหม่ ประกอบกับการออกแบบการแปรแถวและการใช้พ้ืนท่ีการแสดง
โดยการนำลวดลายของผ้าทอที่นยิ มนำมาตัดเยบ็ เป็นถุงย่ามมาบูรณาการณเ์ ข้ากับทฤษฎีทางทศั นศิลป์ และใช้การ
แปรแถวที่มรี ูปทรงอิสระตามแบบนาฏศลิ ป์สมยั ใหม่
การแสดงชุดน้ีใช้นักแสดงผู้หญิงล้วน จำนวน 10 คน โดยคัดเลือกนักแสดงผู้หญิงท่ีมีทักษะพื้นฐานทาง
นาฏศลิ ปไ์ ทยมาตรฐานหรือนาฏศิลป์ล้านนา โดยไมจ่ ำเป็นต้องมีทักษะทางนาฏศิลป์ในระดับสงู หากแต่มีไหวพริบ
ปฏิภาณในการรำ มีความสามารถในการจดจำทั้งบทร้อง ทำนองเพลง และกระบวนท่ารำ และในการสร้างสรรค์
เคร่ืองแตง่ กาย ผสู้ ร้างสรรค์ออกแบบดว้ ยการผสมผสานเคร่ืองแตง่ กายแบบดัง้ เดมิ ได้แก่ การนงุ่ ผา้ ซนิ่ ลายขวาง และ
การสร้างสรรคแ์ บบสมัยใหม่ คือ การออกแบบเสอื้ ขึ้นใหมโ่ ดยไดร้ ับแรงบันดาลใจมาจากเสื้อ “แอว้ ” ของชาวไทยวน
โดยผแู้ สดงจะถืออปุ กรณป์ ระกอบการแสดงหลักคอื ถง ตามรูปแบบด้งั เดมิ ทีม่ ลี วดลายและสีสนั หลากหลาย

256

งานประชุมวชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ เครอื ขา่ ยศิลปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยแห่งประเทศไทย ครง้ั ที่ 12
ภายใต้หวั ข้อ“แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สงั คม และศลิ ปะวัฒนธรรม อยา่ งยงั่ ยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

วดี ทิ ัศน์ผลงานสร้างสรรค์ :
https://drive.google.com/file/d/1MYMbuMxBibSGkiMRveX5X4ts_2BcindO/view?usp=sharing

257

งานประชุมวชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ เครือข่ายศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั แห่งประเทศไทย ครง้ั ท่ี 12
ภายใต้หัวขอ้ “แนวทางการพฒั นาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปะวฒั นธรรม อยา่ งยงั่ ยนื ในบริบทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

นาฏยประดษิ ฐร์ ำคู่ ชุด สาวเครือฟ้าชมสวน

พิมพกิ า มหามาตย์1

1วิทยาลัยนาฏศลิ ป สถาบันบัณฑติ พฒั นศลิ ป์

แนวคดิ และรูปแบบการแสดง
ผู้สร้างสรรค์มีแนวคิดอนุรักษ์ สืบทอดงานละครร้องปรีดาลัย ของพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรม

พระนราธิปประพันธ์พงศ์ ที่เคยเฟื่องฟูมากในช่วงรัชกาลที่ 5-7 ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงที่มีความ
สุนทรยี ะทางด้านดนตรไี ทยเดิม และในปจั จุบันไดร้ บั ความนิยมน้อย โดยผ้คู นสว่ นใหญใ่ ห้ความสนใจ
และนยิ มละครเวทีและละครเพลงทมี่ ีลกั ษณะเชิงพานิชย์ ความสนุ ทรยี ะทแ่ี ฝงในละครรอ้ งถกู มองขา้ ม
ผู้สร้างสรรค์จึงมีแนวคิดที่จะสร้างสรรคล์ ะครร้องชุดสั้น ๆ ตามรูปแบบละครร้องปรีดาลัย เพื่อเป็น
ต้นแบบใหเ้ ยาวชนรนุ่ หลังได้เรียนรู้และตระหนักในคณุ ค่าการละครของไทย ผนวกกับผู้สร้างสรรค์ได้
แรงบันดาลใจจากความไพเราะของชื่อพรรณไม้ดอกในละครร้องเรื่องสาวเครือฟ้า จึงได้นำช่ือต่าง ๆ
นั้น มาเรยี บเรียงใหม่ เพิ่มดอกรวงผึง้ ดอกไม้ประจำรัชกาลที่ 10 เข้าไป ให้ตัวละครสาวเครือฟา้ และ
สาวคำเจิดได้ร้องเพลงชื่นชมดอกไม้นานาพันธุ์ ซึ่งเป็นการชมความงามของธรรมชาติเกิดความ
สุนทรียะทางดา้ นวรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และนาฏศลิ ป์อยา่ งมเี อกภาพ

รูปแบบการแสดง มลี ักษณะเปน็ การรำคู่ ใช้ประกอบการแสดงละครร้องเรื่องสาวเครอื ฟา้
หรอื ใชเ้ ปน็ ชุดวพิ ธิ ทัศนา ใช้ท่าทางแบบสามัญชน (กำแบ) ผสมผสานกบั ทา่ รำแบบมาตรฐานและทา่
ฟ้อนพนื้ เมอื งของภาคเหนือ ระยะเวลาในการแสดง 7 นาที สามารถแบ่งได้ออกเปน็ 3 ช่วง ได้แก่

ช่วงท่ี 1 เปดิ ตวั ผ้แู สดงสาวเครอื ฟา้ และสาวคำเจดิ ในกริ ิยาเดนิ เล่นชมสวน ด้วยทา่ ทางที่
ประดิษฐ์ข้ึนใหม่ จากทา่ พ้ืนฐานนาฏศลิ ปไ์ ทยผสมผสานท่าฟ้อน

ชว่ งที่ 2 สาวเครอื ฟ้าและสาวคำเจิด ร้องเพลงชนื่ ชมดอกไม้ ท้งั 23 ชนดิ มลี ูกคู่ร้องรับ
ตามรปู แบบละครรอ้ งแบบมลี ูกคู่ ดว้ ยท่ารำทป่ี ระดษิ ฐ์ขึน้ ใหม่ จากท่าทางแบบ
สามญั ชน (กำแบ) และทา่ รำทางนาฏศิลป์ไทย

ชว่ งท่ี 3 ร่ายรำด้วยท่าทางสามัญชน ทีป่ ระดิษฐ์ใหง้ ดงามข้นึ บอกเล่าถงึ สาวเครือฟา้
และ สาวคำเจดิ ช่วยกนั เกบ็ ดอกไม้นานาพรรณมาเพอ่ื รอ้ ยดอกไมน้ ำไปขายใน
ตลาด

การแสดงชุดนี้ผู้สร้างสรรค์ได้ประพันธ์เนื้อร้องใหม่จากชื่อดอกไม้ทั้งหมด 23 ชนิด ซึ่งเป็น
ดอกไมท้ ่มี ีอยูใ่ นยคุ ปจั จุบัน ใชท้ ำนองเพลงลาวชมดง ลาวพงุ ขาว และเพลงฉงิ่ ประกอบการแสดง ใชผ้ ู้
แสดง 2 คน ทีจ่ ำเปน็ ต้องมีความสามารถด้านการรอ้ งเพลง การรำละคร และการแสดงออกทางารมณ์
รวมถึงมีบุคลิกลักษณะที่สอดคล้องกับบทบาทของตัวละคร ด้านการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกาย ผู้
สร้างสรรค์ใช้รูปแบบการแตง่ กายของหญิงสาวล้านนา (ภาคเหนอื ) ท่ีมคี า่ นยิ มการแต่งกายดว้ ยการนงุ่
ผ้าซนิ่ และห่มสไบ มุน่ มวยผมไวก้ ลางศรี ษะ ประดับดอกไม้และปกั ปิ่นขนาดเล็กเพือ่ ความสวยงาม มา
บูรณาการทฤษฎีสี เพื่อสร้างสรรค์เป็นเครื่องแต่งกายประกอบการแสดง มีการออกแบบฉากให้
สอดคล้องกับสวนดอกไม้ เพื่อให้เกิดความสมจรงิ และความสวยงามในการแสดง

258

งานประชมุ วิชาการระดับชาตแิ ละนานาชาติ เครอื ข่ายศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครง้ั ที่ 12
ภายใตห้ ัวขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปะวัฒนธรรม อยา่ งยง่ั ยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

259

งานประชมุ วิชาการระดับชาตแิ ละนานาชาติ เครอื ข่ายศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครง้ั ที่ 12
ภายใตห้ ัวขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปะวัฒนธรรม อยา่ งยง่ั ยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

260

งานประชุมวชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ เครือข่ายศิลปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั แหง่ ประเทศไทย ครั้งที่ 12
ภายใต้หวั ขอ้ “แนวทางการพฒั นาเศรษฐกจิ สงั คม และศลิ ปะวัฒนธรรม อย่างยงั่ ยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควิด-19 (Covid-19)”

นาฏยประดษิ ฐ์ ชดุ สี่กษตั รยิ ์ทรงเครอ่ื ง

The choreography: Si Kasatri Song khrueang

ณรงค์ฤทธิ์ เชาวก์ รรม1

1สังกดั คณะศลิ ปนาฏดุริยางค์ สถาบนั บณั ฑิตพฒั นศลิ ป์ [email protected]

แนวคดิ และรปู แบบการแสดง
จากแนวคดิ การทรงเคร่อื งราชูปโภคแบบพระมหากษตั รยิ ์เสดจ็ นวิ ัติกลับพระนครของ

พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลีและพระกัณหา ผู้สร้างสรรค์เกิดแรงบนั ดาลใจในการ
สร้างสรรคก์ ารแสดงรำทรงเครือ่ งของสี่ตัวละครข้างต้น การสรา้ งสรรคใ์ นครั้งน้ีมุ่งเน้นศึกษา
เรื่องราวของมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ 13 กัณฑ์นครกัณฑ์ ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและ
หลักการสร้างสรรค์องค์ประกอบการแสดงการรำทรงเครื่อง ตามแนวทางของละคร ชาตรี
สร้างสรรค์กระบวนท่ารำรูปแบบจารีตนาฏศิลป์ไทยดั้งเดิมและการออกแบบท่ารำทาง
นาฏศิลป์ไทยขึ้นใหมต่ ามทำนองเพลงและบทร้องท่ีประพันธ์ขึ้น ตลอดจนเครื่องแต่งกายยนื
เครื่องเพื่อความสุนทรียะทางการแสดง เนื้อหาการแสดงกล่าวถึงการบำเพ็ญทานบารมีได้
สำเร็จของพระเวสสนั ดรและทำการทรงเครอื่ งเพ่อื เสดจ็ นวิ ัตกิ ลับพระนคร

นอกจากนี้การแสดงยังสะท้อนให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของสถาบันครอบครัวที่เป็นเบา้
หลอมทางบคุ ลกิ ภาพคณุ ลกั ษณะของสมาชิกและปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งคนในครอบครวั ผ่านการ
แสดงสร้างสรรค์รำลงสรงทรงเครื่องอันองค์ความรู้ภูมิปัญญาของบรมครูด้านนาฏดุริยางค
ศลิ ปไ์ ทยให้คงอยูส่ ืบไป ดังนัน้ การสร้างสรรค์นาฏศลิ ป์ไทยแนวอนุรักษใ์ นครง้ั น้จี ะสามารถเปน็
ส่วนหนึ่งในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยมิติทางศิลปวัฒนธรรม ให้ซึมซบั และสามารถอยู่
รว่ มกบั คนในสังคมไทยได้อยา่ งปกติสขุ นาฏยประดษิ ฐ์ ชุด สีก่ ษตั ริย์ทรงเครือ่ ง แบง่ การแสดง
ออกเปน็ 3 ช่วง ประกอบด้วย

ช่วงท่ี 1 การกลา่ วถึงภูมิหลังตัวละคร
ชว่ งที่ 2 การลงสรงทรงเคร่ืองของตวั ละคร
ชว่ งท่ี 3 การกล่าวถึงจุดหมายการของการทรงเครอื่ ง

261

งานประชมุ วิชาการระดับชาตแิ ละนานาชาติ เครือข่ายศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแหง่ ประเทศไทย ครัง้ ท่ี 12
ภายใตห้ ัวขอ้ “แนวทางการพัฒนาเศรษฐกจิ สังคม และศลิ ปะวฒั นธรรม อย่างยง่ั ยนื ในบรบิ ทหลงั การระบาดโควดิ -19 (Covid-19)”

262


Click to View FlipBook Version