The Buddha’s Words ......................................... 1 กวีธรรม น�ำชีวิต โดย พระราชมงคลรังษี........................ 2 Characteristics of Buddhism By Somdet Phra Buddhaghosacharya (P.A. Payutto) .......................... 3 The Truth of Suffering and of Key Attributes of Religious Life by Du Wayne Engelhart.....................4 สารธรรมจาก...พระไตรปิฎก .................................... 8 ปุจฉา-วิสัชนา โดย พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล....... 10 นิทานชาดก พระเจ้า 500 ชาติ.............................. 12 โครงการจัดตั้งกองทุนนิธิ8 รอบ 96 ปีหลวงตาชี......... 18 รายนามเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพล..............................19 รายนามผู้บริจาคออมบุญประจ�ำปี/เจ้าภาพภัตตาหารเช้า 20 อนุโมทนาพิเศษ/Special Thanks......................... 21 เสียงธรรม...จากหลวงตาชี.......................................23 ประมวลภาพกิจกรรมท�ำบุญ.............................. 30-31 เสียงธรรมจากวัดไทย...พระราชมงคลรังษี(หลวงตาชี) 32 มหาเจดีย์บุโรพุทโธอินโดนีเซีย-บาหลีโดย พระวิเทศรัตนาภรณ์ 40 สรุปข่าวเดือนตุลาคม โดย ทีมแสงธรรม............... 43 October’s Donation By Ven.Sarawut............. 45 ก�ำหนดการท�ำบุญทอดกฐิน........................................ 62 Photos taken by Ven. Wanchai Mr. Kevin & Mr. Pirojn Ms. Pheerarat & Mr. Suchart & Ms. Vorakamol �To promote Buddhist activities. �To foster Thai culture and tradition. �To inform the public of the temple’s activities. �To provide a public relations center for Buddhists living in the United States. เจ้าของ : วัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. ที่ปรึกษา : พระราชมงคลรังษี (หลวงตาชี) กองบรรณาธิการ : คณะสงฆ์วัดไทยฯ ดี.ซี. SAENG DHAMMA Magazine is published monthly by Wat Thai Washington, D.C. Temple At 13440 Layhill Rd., Silver Spring, MD 20906 Tel. (301) 871-8660, (301) 871-8661 E-mail: [email protected] Facebook: www.facebook.com/ThaiTempleDC Homepage: www.watthaidc.org Youtube : วัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. 2,000 Copies ภาพปก : RoyalThaiArt.com Contact : [email protected] สื่อส่องทาง สว่างอ�ำไพ ทุกชีวิตมีปัญหา พระพุทธศาสนามีทางแก้ วารสารธรรมะรายเดือนที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ปีที่49 ฉบับที่583 ประจ�ำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 Vol.49 No.583 November, 2023 OBJECTIVES แสงธรรม สารบัญ Contents วารสาร “แสงธรรม” SAENG DHAMMA Magazine Vol. 49 No. 583 November, 2023 Wat Thai Washington, D.C. 13440 Layhill Rd.,Silver Spring, MD 20906 Permit No.1388 Ruangrit Thaithae Executive Director & Editor Srisuporn Kamnon, Assistant & Advertising Editor
ถ้อยแถลง ทุกวันนี้โลกก�ำลังก้าวเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัล หรือ ยุคเศรษฐกิจใหม่ ชีวิตประจ�ำวันของผู้คนในสังคม เริ่มได้สัมผัส กับการท�ำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เริ่มคุ้นเคยกับการใช้ระบบสื่อสารข้อมูล คอมพิวเตอร์ และระบบสารสนเทศ ซึ่งเข้ามาอ�ำนวยความสะดวกให้ทุกชีวิตอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทิศทางสังคมพัฒนาเทคโนโลยีไปแบบก้าวกระโดดอย่าง รวดเร็ว จนท�ำให้สังคมเต็มไปด้วยการแข่งขันชิงดีชิงเด่นแย่งอ�ำนาจกันเป็นใหญ่ จนเกิดการเบียดเบียนข่มเหงรังแกกัน กลายเป็นสงครามเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศในปัจจุบันนี้ การแข่งขันอันเชี่ยวกรากนั้นและความเป็นไปของอารยธรรม กลับมีปัญหาในทุกระดับ ทั้งระดับบุคคล ภายในใจ ของบุคคลก�ำลังเรียกร้องหาไมตรีจิตมิตรภาพ ระดับสังคมก�ำลังเรียกหาสันติและความปลอดพ้นจากการห�้ำหั่นบีฑา และการหลั่งเลือดในสมรภูมิรบ และระดับโลกหรือสภาพแวดล้อม ก�ำลังต้องการเยียวยาแผลร้ายที่ถูกท�ำลายโดยฝีมือ มนุษย์ที่เรียกตนว่า ผู้เจริญ หรือผู้อยู่ในยุคแห่งความเจริญของวิทยาศาสตร์ ทุกระดับก�ำลังเรียกร้องหาสันติภาพให้เกิด ขึ้นแก่ตนและโลกนี้ทั้งหมด พระพุทธศาสนาเป็นความหวังสุดท้ายที่จะน�ำพาวิถีอารยธรรมไปสู่การพัฒนาสันติภาพ โดยเริ่มที่การพัฒนา บุคคล ให้เว้นจากการเบียดเบียนกันด้วยกายวาจา มีท่าทีปรารถนาดีต่อกัน ด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ มีความมุ่งมั่นสู้ ปัญหา และมีปัญญาใคร่ครวญไตร่ตรองให้รอบด้านในการที่จะท�ำการทั้งหลาย โดยตระหนักว่าไม่ท�ำลายตน สังคม และสภาพแวดล้อม ผลในทางปฏิบัติผู้ที่ก�ำลังโหยหาสันติภาพต้องยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคลและธรรมชาติฝ่ายร้าย ของมนุษย์ คือ การมีความหวงแหน คับแคบ ตระหนี่ หรือที่เรียกว่า มัจฉริยะ เมื่อก�ำหนดรู้เช่นนี้แล้ว จึงเพียรก�ำจัด ละวางมัจฉริยะให้คลายแล้ว การแก้ปัญหาและสถาปนาสันติภาพให้เกิดแก่โลกก็จะพอมีหวังอยู่บ้าง สังคมที่ขาดแคลนความสุขสงบร่มเย็นและสันติ การที่จะประคับประคองให้โลกมีสภาพแวดล้อมไปด้วย ธรรมชาติที่เอื้ออ�ำนวยต่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุขเริ่มที่ใจของผู้คนในสังคม การฝึกฝนสมาธิจิตให้เกิดสติใน ทุกขั้นตอนแห่งการด�ำเนินชีวิตไปสู่ความสุขสงบได้ มันเป็นเรื่องยากที่เราจะนั่งสมาธิในขณะที่จิตเต็มไปด้วยอารมณ์ เพราะอารมณ์จะท�ำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ในจิตใจ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ กลัว เสียใจ ซึ่งไม่ได้ท�ำให้อยู่กับปัจจุบัน หรือ อยู่กับสิ่งที่เป็นในตอนนี้เลย ให้จัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้โดยก�ำหนดลมหายใจไปที่ความรู้สึกของร่างกายที่ควบคุม อารมณ์ส่วนนั้น เพราะจะท�ำให้ไม่คิดถึงเรื่องราวที่ท�ำให้กลัว หรือโกรธอีก แต่หันมาเพ่งกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้แทน คนเราหากท�ำอะไรแล้วมีความสุข เราก็จะท�ำมันได้ดี และรู้สึกอยากท�ำต่อไป ในการนั่งสมาธิก็เช่นกัน หากเรา มีความสุขในการนั่งสมาธิ ก็จะรู้สึกผ่อนคลาย สบายกายสบายใจและอยากจะท�ำต่อไป จนสามารถท�ำเป็นกิจวัตรที่ท�ำ ทุกวันได้ คณะผู้จัดท�ำ
แสงธรรม 1 Saeng Dhamma The Buddha’s Words พุทธพจน ์ อภเย ภยทสฺสิโน ภเย จ อภยทสฺสิโน มิจฺฉาทิฏฺฐิสมาทานา สตฺตา คจฺฉนฺติทุคฺคตึฯ ๓๑๗ ฯ สิ่งที่ไม่น่ากลัว เห็นว่าน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัว กลับเห็นว่าไม่น่ากลัว ผู้ที่มีความเห็นผิดอย่างนี้ย่อมไปสู่ทุคติ What is not to be feared they fear, What is fearsome they fear not. Embracing false views as such. Those beings go to a woeful realm. พุทธวจนะในธรรมบท แปลโดย เสฐียรพงษ์วรรณปก
แสงธรรม Saeng Dhamma 2 มองแง่ดี นั่นแหละดี มีค่ามาก คนดีฝาก ให้ทุกคน สนใจกัน มองแง่ดี เป็นวิธี ที่สําคัญ ความรักกัน จะมีได้ เพราะใฝ่ดี มองแง่ดี มีค่า น่ายกย่อง เพราะเป็นของ เป็นทาง สร้างศักดิ์ศรี ให้ทุกคน มีความรัก สามัคคี มองแง่ดี จึงเป็นที่ ควรนิยม มองแง่ดี มีค่า น่าชูเชิด เป็นบ่อเกิด คุณธรรม นําอบรม เตือนจิตใจ ของคน ในสังคม ให้นิยม มองแต่ ในแง่ดี มองแง่ดี มีค่ามาก ฝากให้คิด แด่มวลมิตร ทั้งหลาย ฝ่ายรักดี ให้ทุกคน มองกัน แต่แง่ดี จะเป็นศรี ส่งผล ให้พ้นภัย มองแง่ดี มีแต่คุณ ไม่มีโทษ ขอทุกคน ได้โปรด เอาใจใส่ มองแง่ดี กันด้วย ความเต็มใจ โลกสดใส เพราะมองกัน แต่แง่ดี เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงมองเขา แต่แง่ดี ที่มีอยู่ เป็นประโยชน์ เราบ้าง ยังน่าดู ส่วนความชั่ว เขามีอยู่ อย่ารู้เลย ฯ กวีธรรม...น�ำชีวิต มองแง่ดี มีคุณมาก พระราชมงคลรังษี (หลวงตาชี)
แสงธรรม 3 Saeng Dhamma Characteristics of Buddhism Characteristic No. 7 Buddhism is a religion of wisdom. By Somdet Phra Buddhaghosacharya (P.A. Payutto) Characteristic No. 7 Buddhism is a religion of wisdom. CHARACTERISTIC NO. 7. Buddhism holds paññā (wisdom) as the highest Dhamma or the core of all the Dhammas, as evidenced from the Buddha’s word: Paññuttarā sabbe dhammā, “Of all the Dhammas, wisdom is supreme.” In Buddhism, wisdom is considered the highest of the Dhammas, the ultimate decisive factor in attaining the goal of Buddhism. Even the name used in calling the Great Teacher is “Buddha,” which means one who has attained enlightenment through wisdom or who is possessed of wisdom to have attained enlightenment. As mentioned just a moment ago, Buddhism is not a religion of faith, but one of wisdom. This might at times be taken as a weak point and a number of people consider it a weakness of Buddhism, for it gives its followers much intellectual freedom. Lack of serious studies can lead Buddhists to have a rather casual attitude toward all things. This is easy to see in the way Buddhists in Thailand today practice. It is hardly possible to pinpoint the rules of practice observed by the Buddhists. What is to be used to identify a person as a Buddhist? Nothing concrete can be found because the emphasis is on wisdom only. It is at the individual’s discretion on the basis of his wisdom to choose what to practice inasmuch as he is willing to do so. In this regard, Buddhism differs from other religions, most of which are based on faith. It is mandatory [for believers] to obey certain rules; they are forbidden to doubt or ask questions. They have to do whatever they are told to do. These religions have a clearly defined model and a fixed code of conduct so that followers of a given religion have to believe and have to practice in such and such a manner. In any event, as a matter of fact, the Buddha did lay down a model: there are two principles for us to adhere to: the Dhamma and the Vinaya, as already mentioned in the third characteristic that Buddhism comprises the Doctrine and the Discipline. If we truly observe the Buddhist principles, we will not be drifters, but will have our own model. However, we overlook the Discipline, and as a result lack this characteristic. As we just keep looking for the Dhamma, we have come to neglect the Discipline. Regarding the specification of wisdom as an important attribute, it is wisdom that is the decisive factor of attaining the goal of Buddhism. Humans have had experience with religion for an extremely long time. There have arisen a great number of thinkers searching for the truth to impart to humans, thereby giving rise to many different cults and religions. They can be classified as follows: The first category emphasizes faith. Followers of this group are told to entrust their lives and spirits to a supreme god and then follow his teachings categorically without any doubt whatsoever. Religions of this group use faith as a criterion; only faith qualifies an individual for gaining access to the goal of his religion.
แสงธรรม Saeng Dhamma 4 The Truth of Suffering and of Key Attributes of Religious Life For Theravāda Buddhism, the basis for a naturalistic morality is the insight into the notion that we should not treat others as we ourselves would not want to be treated. Put in terms of suffering, this means we should not cause suffering to others in ways that we would not want it to be caused to ourselves. (In positive terms, we should promote the well-being of others in ways that we would want it to be promoted for ourselves.) The presupposition is that it is better not to suffer than to suffer.1 If one takes suffering as not suffering, one’s thinking is incoherent: It does not “hold together” properly; it does not “make sense.” So the Buddha says, “Bhikkhus, there are these four inversions [vipallāsa] of perception, inversions of mind, and inversions of view. What four? (1) The inversion of perception, mind, and view that takes the impermanent to be permanent; (2) the inversion of perception, mind, and view that takes what is suffering to be pleasurable; (3) the inversion of perception, mind, and view that takes what is nonself to be self; (4) the inversion of perception, mind, and view that takes what is unattractive as attractive. These are the four inversions of perception, mind, 1 In an extreme case, for instance, regarding the Russian dissident Alexei Navalny, in terms of physical suffering, it is better not to be poisoned than to be poisoned, and in terms of mental suffering, it is better not to be placed in solitary confinement than to be placed in solitary confinement. In general, it is better to alleviate pain and suffering that to simply endure it. That is why we have doctors, research scientists, physical therapists, psychologists, psychiatrists, counselors, meditation masters, and religious teachers. and view.”2 If one takes suffering as not suffering, one is thinking perversely (in a twisted way).3 Life’s suffering in all its forms, then, in truth exists. This is evident on the basis of personal experience. Furthermore, conduct in conformity with religious attributes, religious perfections, in truth, promotes the elimination of suffering. Consider the following illustrations which show that the practice of religious attributes can diminish suffering (and the failure to practice such attributes can increase suffering): •Nondisparagement: The Buddha refuses to accept the abusive language of the Brahmin Akkosaka Bhāradvāja, who is angry because a fellow Brahman has been ordained a monk (Saṃyutta Nikāya 7.2). The Buddha maintains a peaceful mind though Brahmin Akkosaka experiences mental suffering because of his anger. • Honesty: A muni, a sage, who has given up the cares and concerns of the household and of the marketplace, is said by the Buddha to be training for Enlightenment (Suttanipāta IV.15, 940-42). One of the attributes such a sage possesses is honesty. • Generosity: A Brahman named Never-Gave, Adinnapubbaka, risks the life of his son, who is suffering from jaundice (Dhammapadatthakathā [Dhammapada Commentary], Part 1, 1.2). NeverGave is overly concerned about preserving all his wealth. 2 Aṅguttara Nikāya 3.49, Bhikkhu Bodhi translation, pp. 437-38. The italics are mine. Taking suffering as not suffering is thinking in a topsy-turvy, that is, utterly confused, way. 3 Compare Nyanatiloka Mahāthera, Buddhist Dictionary, p. 197, where vipallāsa is rendered as perversions. by Du Wayne Engelhart The Truth of Suffering and of Key Attributes of Religious Life
แสงธรรม 5 Saeng Dhamma • Patience: Sakka, the king of the devas, proclaims that the practice of patience brings about good for oneself (Samyutta Nikāya 11.4). Not returning anger for anger is a victory over self. • Impartiality: The Buddha treats the poor man who has lost his ox in the same way as he would have treated a person of higher rank (Dhammapadatthakathā [Dhammapada Commentary], Part 3, XV.5). The Buddha relieves not only the physical suffering, the hunger, of the poor man but also, by the teaching of the Dhamma, the mental suffering of the man. • Practice of the Golden Rule: The Golden Rule, negatively stated, is the formalization of the practice of alleviating suffering relating to others by not doing to others what we would not want them to do to us. • Nonviolence: Anāthapiṇḍika tells the monk Sāriputta that one whose actions are governed by the five training rules (precepts), including that of not destroying life, is “finished with the plane of misery” (Aṅguttara Nikāya 5.179). Such a one is on the way to Enlightenment, which is freedom from suffering. • Compassion: The Buddha, with the help of Venerable Ānanda, alleviates the physical suffering of the monk who has dysentery (The Book of the Discipline [Vinaya-Pitaka], Vol. IV [Mahāvagga]). Then the Buddha teaches the monks a lesson about tending for one another in times of sickness. • Love: Buddhaghosa says that loving-kindness “succeeds when it makes ill will subside, • and it fails when it produces sorrow” (The Path of Purification [Visuddhimagga], IX, 92-93, Bhikkhu Ñānamoli translation). Loving-kindness furthers the well-being of persons and protects them against harm. • Detachment: Ajahn Sumedho explains how we can deal with the fear of death (“Kamma and Rebirth,” in The Mind and the Way: Buddhist Reflections on Life, p. 47). What we can do to eliminate suffering is let go of what we do not know about, namely, what will happen after death, and live knowingly in the present moment.4 4 All the illustrations are from Theravāda Buddhism. Of course, this The key attributes promote the elimination of suffering. This fact can be borne out by one’s own personal experience. Consequently, these attributes should be developed in a religious life. If suffering, in truth, exists and the practice of the key attributes can help eliminate this suffering, the attributes are not simply inventions. They are truthful. More generally, morality is not simply an “invention” as, for instance, Brian Greene argues: . . . Right and wrong, good and evil, destiny and purpose, value and meaning are all profoundly useful concepts, but I am not among those who believe that moral judgments and assignments of significance transcend the human mind. We invent these qualities. Not from whole cloth. Our Darwinian-selected minds are predisposed to be attracted to or repulsed by or scared of various ideas or behaviors. Worldwide, care for the young scores high, while incest is abhorrent. Fairness in dayto-day dealings is widely valued, as is loyalty to family and companions. As our ancestors gathered in groups, the interplay of these and numerous other predispositions with on-the-ground encounters created feedback loops: Behavior of individuals influenced the effectiveness of group living, leading to the gradual articulation of communal codes of conduct. In turn, such behavioral codes contributed differing degrees of survival value to those who followed them. Much as natural selection shaped our intuition for basic physics, it also had a hand in shaping our innate sense of morality and value [though mathematically developed physics is not simply a matter of evolution, yet it does represent ‘constructs of the human mind’].5 does not mean that the practice of the key attributes, truthful as they are, would not alleviate the suffering of members of other major religions. Their beliefs would be sincere, though their thinking might be considered faulty (e.g., it is God’s will that we show love to one another), and their practice of the attributes would be effective in lessening suffering. 5 Brian Greene, Until the End of Time: Mind, Matter, and Our Search for Meaning in an Evolving Universe (New York: Alfred A. Knopf, 2020), p. 312. Note the author’s footnote 2, p. 385, the reference to T. Nagel, Moral Questions (Cambridge: Cambridge University Press, 1979, “Ethics and Biology,” pp. 142-46. Nagel argues that ethics cannot be understood simply in terms of biological evolution—just as a mathematically developed physics is not just a matter of biological evolution.
แสงธรรม Saeng Dhamma 6 Admittedly, our genes can predispose us to certain types of “moral” behavior.6 However, the basis of morality is not biology: The basis of morality is reflection on and insight into the fact that we should not do to others what we would not want them to do to us. We should not cause suffering to others in ways that we would not want it to be caused to us. On this basis precepts can be derived as well as key religious attributes. Suffering in truth existing, the key attributes as well as the precepts are truthful insofar as they can liberate us from suffering. They are not mere human inventions. If Brian Green questions the truthfulness of morality, the historian Yuval Noah Harari questions the truthfulness of human “rights.” He argues that human “rights” exist only as figments of the imagination: “Homo sapiens has no natural rights, just as spiders, hyenas and chimpanzees have no natural rights.”7 Harari reinterprets the words of Thomas Jefferson in the Declaration of Independence (“We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty, and the pursuit of happiness”): “We hold these truths to be self-evident, that all men are evolved differently, that they are born with certain mutable characteristics, that among these are life and the pursuit of pleasure.”8 Harari is aware of the reality of suffering— and of the reality of liberation from suffering—and that certain fantasies can cause suffering for human beings.9 He argues that the notion of “right,” too, is 6 See, for instance, Paul Bloom, Just Babies: The Origins of Good and Evil (New York: Broadway Books, 2013), p 5: “Our natural endowments include: -a moral sense—some capacity to distinguish between kind and cruel actions; -empathy and compassion—suffering at the pain of those around us and the wish to make this pain go away; -a rudimentary sense of fairness—a tendency to favor equal division of resources; -a rudimentary sense of justice—a desire to see good actions rewarded and bad actions punished.” 7 Harari, Sapiens, p. 111. 8 See Harari, Sapiens, p. 109. 9 See Harari, Sapiens, “A Q&A with Yuval Noah Harari,” p. 4: “Some things are real, and when you let go of all the fantasies, you can observe reality with far greater clarity than you could before. Many times suffering is caused by the belief in fictional stories, as when wars erupt due to religious beliefs. But the resultant suffering is 100 percent real. Likewise, liberation from suffering is 100 percent real.” just a fantasy: As living things like “spiders, hyenas and chimpanzees” do not have rights, neither do human beings. However, animals do indeed have varying capabilities, capabilities that should be respected so that animals do not undergo physical or mental suffering.10 The notion of capabilities would apply to human animals, too. Human beings, like other animals, possess certain capabilities they should be allowed to pursue in order live happy, fulfilling lives.11 Adhering to the Theravāda Buddhist “using oneself as a standard” (attānaṁ upamaṁ katvā) principle (in terms of a negative formulation of the Golden Rule) and viewing this standard in terms of capabilities, the following can be said: We should not prevent other human beings from pursuing their capabilities just as we would not want them to prevent us from following ours. If we do not want to suffer because we are deprived of our capabilities, neither do they. With this understanding of the fostering of capabilities, rights would not seem to be just figments of the imagination. Rights could not be simply explained away by an appeal to biology, that is, genes.12 If I should not prevent others from pursuing their capabilities just as I would not want others to prevent me from pursuing mine, the others could be said to have claims against me. They would have certain valid expectations about how I should act toward them. All human beings can, reciprocally, make claims to be treated with due consideration in terms of their capabilities. What are these claims, in this sense, if not rights that should be respected? Such rights is not just 10 Here I follow Martha C. Nussbaum, Justice for Animals: Our Collective Responsibility (New York: Simon & Schuster, 2022). I consider Nussbaum to have presented a cogent argument for how justice should be accorded to animals. The Capabilities Approach to justice for animals, while considering physical pain animals suffer because of human intervention, does not stop there. It also takes into account all the other various forms of suffering animals undergo that prevent them from thriving, from having fully satisfying and fulfilling lives. 11 See Nussbaum, Creating Capabilities: The Human Development Approach (Cambridge, Mass: Harvard University Press, 2011), pp. 33-34. Nussbaum considers the following Central Capabilities as regards human beings: life, bodily health; bodily integrity; senses, imagination, and thought; emotions; practical reason; affiliation; other species; play; and control over one’s environment. 12 See Harari, Sapiens, p. 109.
แสงธรรม 7 Saeng Dhamma คณะพยาบาลบัลติมอร์ท�ำบุญถวายอาหารเพล คุณตู่ บุญยวีร์ จอห์นสัน ท�ำบุญอุทิศให้คุณพ่อ-คุณแม่ คุณป้าวณี และคณะผู้ท�ำบุญถวายเช้าวันจันทร์ที่ ๓,๔,๕ คุณสุกัญญา (บุ๋ม) อุดสา และญาติพี่น้อง ท�ำบุญถวายเพล imaginary: They exist in reality.13 We all deserve to be treated in ways that respect our capabilities, that acknowledge our worth as human beings.14 Contrary to Harari’s restatement, then, a Theravāda Buddhist restatement of Jefferson’s words from the Declaration of Independence might be put as follows: “We hold these truths to be selfevident, that all men are variously affected by their kamma, that they are reborn having certain inherent capabilities that should be respected, that among these is a life free from suffering.”15 Wat Thai Washington, D.C. October 16, 2023 13 They would not be real like tables and chairs, but, rather, for example, real as freedom is real. Freedom is real; it is not just a mental construct. One knows whether one has freedom or not. Alexei Navalny in prison, for example, knows that freedom eludes him. 14 Mutatis mutandis, then, animals, too, have rights in terms of capabilities. 15 Rebirth and the effects of kamma, according to traditional Theravāda Buddhism, would be self-evident to persons highly skilled in meditation who would be able to see their past lives. There is also some reason for a “rational belief” in the reality of rebirth. See Bhikkhu Anālayo, Rebirth in Early Buddhism and Current Research (Somerville, Massachusetts: Wisdom Publications, 2018). From another perspective (that of the Theravāda Buddhist tradition of the Thai forest monks), kamma and rebirth could be self-evident in the present moment. See Ajahn Sumedho, “Kamma and Rebirth,” in The Mind and the Way: Buddhist Reflections on Life (Somerville, Massachusetts: Wisdom Publications, 1950, p. 47.
แสงธรรม Saeng Dhamma 8 สารธรรม จาก...พระไตรปิฎก ฉันนสูตร : พระอานนท์ กับ พระฉันนะ พระไตรปิฎกส�ำหรับผู้เริ่มศึกษา เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๒๓๑ - ๒๔๑ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๘ สังยุตตนิกาย ปุปผวรรค ขันธสังยุตต์ ฉันนสูตร #พระอานนท์กับพระฉันนะ (231-233) เย็นวันหนึ่ง ขณะที่พระเถระหลายรูปพํา นักอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระฉันนะออกจากที่ หลีกเร้นถือไม้ขัดบานประตูเข้าไปหาพระเถระในวิหาร ขอให้ท่านเหล่านั้นบอกสอนธรรมแก่ตน พระเถระทั้ง หลายได้สอนท่านด้วยเรื่องขันธ์ 5 ไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา (จงใจข้ามบทว่าขันธ์ 5 เป็นทุกข์) พระฉันนะ ได้ฟังแล้วก็คิดว่า ตนเองก็เห็นว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็น อนัตตา สังขารไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาอย่างนั้น แต่จิตก็ไม่น้อมไปในทางดับกิเลสได้ ใจไม่วายหวนกลับไป ยึดถือความมีตัวตนอยู่ ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของผู้เห็นธรรม ใครหนอจะแสดงธรรมให้เห็นธรรมได้? แล้วพระฉันนะก็คิดถึงพระอานนท์ซึ่งพระพุทธองค์ ทรงยกย่องว่าสามารถแสดงธรรมแก่เพื่อนพรหมจรรย์ให้ เข้าใจธรรมได้เป็นอย่างดี และตนก็คุ้นเคยกับท่านเป็น ส่วนตัวด้วย คิดดังนี้แล้ว ท่านก็เก็บเสนาสนะ ถือบาตร จีวรออกเดินทางไปหาพระอานนท์ที่วัดโฆสิตาราม กรุง โกสัมพี เล่าเรื่องที่ตนมีปัญหาในทางธรรมให้พระอานนท์ ได้ทราบทั้งหมด (234) พระอานนท์แสดงความยินดีที่พระฉันนะกลับ ตัว เลิกเป็นคนดื้อดึงได้ ขอให้ตั้งใจฟังธรรม แล้วจะรู้ ธรรมได้แจ่มแจ้ง คํากล่าวของพระอานนท์ ทําให้พระฉัน นะเกิดความปลาบปลื้มเป็นกําลัง มีความมั่นใจในตัวเอง ว่าจะเห็นธรรมได้ ปฏิจจสมุปบาทเป็นคําอธิบายทางสายกลาง พระอานนท์อ้างพุทธโอวาทที่ประทานแก่พระกัจ จานโคตรครั้งหนึ่งโดยตรัสว่า โลกส่วนมากติดอยู่กับทาง สุดโต่ง 2 ด้าน คือ 1. ภาวะแห่งความมีอยู่ (อตฺถิตา) 2. ภาวะแห่งความไม่มี(นตฺถิตา) เมื่อบุคคลเห็นความเกิดขึ้น แห่งโลกด้วยสัมมาปัญญาตามที่มันเป็น (ก็จะบอกว่า) ภาวะแห่งความไม่มี หาได้มีไม่ เมื่อบุคคลเห็นความดับ แห่งโลกด้วยสัมมาปัญญาตามที่มันเป็น (ก็จะบอกว่า) ภาวะแห่งความมี หาได้มีไม่ ชาวโลกส่วนใหญ่ยึดมั่นถือ มั่นในอุบาย (systems) และถูกคล้องขังไว้ด้วยอภินิเวส (dogmas) ส่วนอริยสาวกย่อมไม่เข้าหา ไม่ยึด ไม่ติดอยู่ กับความยึดมั่นถือมั่นในอุบาย ความปักใจอภินิเวส และ อนุสัยว่า “อัตตาของเรา” ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั้นเมื่อเกิดก็คือเกิด เมื่อดับก็คือดับ อริยสาวกมี ญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่นเลย ถึงขั้นนี้ แหละจึงเรียกว่าสัมมาทิฐิ พระอานนท์อ้างถึงพระดํารัสคราวนั้นที่ตรัสอีกว่า “กัจจานะ! ความเห็นที่ว่าสิ่งทั้งปวงมีอยู่ นี้เป็นสุดโต่ง ด้านหนึ่ง ความเห็นที่ว่าสิ่งทั้งปวงไม่มี นี้เป็นสุดโต่งด้าน หนึ่ง ตถาคตย่อมแสดงธรรมเป็นกลางไม่เข้าไปติดอยู่กับ ทางสุดโต่งนั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เพราะสังขารเป็น ปัจจัย วิญญาณจึงมี ฯลฯ เพราะอวิชชา นั่นแหละสํารอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะ สังขารดับไป วิญญาณจึงดับ ฯลฯ กองทุกข์ทั้งปวงดับ ด้วยอาการอย่างนี้” พระฉันนะได้ฟังคําสอนดังนี้ ก็สํานึกในความ อนุเคราะห์ กล่าวกะพระอานนท์ว่า ได้ความเข้าใจใน
แสงธรรม 9 Saeng Dhamma ธรรมอย่างยิ่ง (อรรถกถากล่าวว่า พระฉันนะเกิดในวันเดียวกับ พระพุทธองค์ ได้โดยเสด็จไปด้วยกันในคราวพระพุทธ องค์เสด็จออกผนวช ภายหลังได้บวชเป็นภิกษุ ชอบแสดง อาการลบหลู่ พูดจาระราน เพื่อนพรหมจรรย์ อ้างสิทธิว่า พระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นของตน) ปุปผวรรค นทีสูตร #อันตรายแห่งการยึดถือขันธ์5 (237-238) สาวัตถี : พระพุทธองค์ทรงยกอุปมาให้ ภิกษุ ทั้งหลายเห็นโทษของการยึดถือขันธ์ 5 ว่า เวลา แม่น�้ำไหลลงจากภูเขา ก็จะพัดเอาหญ้า ใบไม้ ต้นไม้ เป็นต้น ไว้ข้างล่าง เมื่อไหลไกลด้วยกระแสอันเชี่ยวกราก ต้นเลา หญ้าคา หญ้ามุงกระต่าย หญ้าคมบาง (และ) ต้นไม้ทั้งหลายก็จะต้องไปตามสายน�้ำ คนที่ถูกกระแสน�้ำ พัดพาไป หากเขายื้อเกาะต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้น เขาก็จะ ต้องหลุดลอยย่อยยับไปตามกัน ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ใน ธรรมของพระอริยเจ้าก็เหมือนกัน เขาเห็นคล้อยรูปว่า เป็นอัตตา เห็นอัตตาว่ามีในรูป เห็นรูปในอัตตา หรือเห็น อัตตาในรูป พอรูปของเขาย่อยยับไป เขาก็ย่อยยับตาม (กับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เหมือนกัน) แล้วทรงให้ภิกษุทั้งหลายตอบคําถามในเรื่องขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้เห็นว่า อริยสาวก พิจารณาเห็นอย่างนี้ จึงมีจิตหลุดพ้น... ปุปผสูตร #ขันธ์5 คือโลกธรรมประจําโลก (239-240) สาวัตถี : พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้ง หลายว่า พระองค์ไม่กล่าวขัดแย้งกับโลก แต่ชาวโลก กล่าวขัดแย้งกับพระองค์ ผู้กล่าวธรรม (ธมฺมวาที) ไม่ กล่าวขัดแย้งกับใครๆ ในโลก สิ่งใดบัณฑิตในโลกเห็นร่วม กันว่าไม่มี พระองค์ก็กล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มี สิ่งใดที่บัณฑิตใน โลกเห็นร่วมกันว่ามี พระองค์ก็กล่าวว่ามี สิ่งที่ว่าไม่มีนั้นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ยั่งยืนต่อเนื่องกันไปไม่มีการแปรปรวนเป็นอย่างอื่น สิ่ง ที่ว่ามีนั้นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนไม่ เที่ยง เป็น ทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา (สรุปว่า บัณฑิตในโลกก็เห็นอย่างที่พระองค์เห็น) ตรัสต่อไปว่า ในโลกมีโลกธรรมอยู่ประจําโลก ซึ่ง พระองค์ได้ตรัสรู้ แล้วนํามาสั่งสอนให้เป็นที่เข้าใจได้ โลกธรรมนั้นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อ บอกแล้วสอนแล้ว คนโง่ไม่รับรู้ พระองค์ก็ช่วยเขาไม่ได้ #ทรงเป็นชาวโลกที่อยู่เหนือโลก (241) พระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นอีกว่า “ภิกษุทั้งหลาย! ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี ดอกบุณฑริก ก็ดี เกิดในน�้ำ ชูดอกอยู่พ้นน�้ำ แต่น�้ำไม่ซับซึมได้ ฉันใด ตถาคต ก็ฉันนั้น เกิดในโลก เจริญเติบโตในโลก แต่เป็นผู้ ลอยอยู่เหนือโลก ไม่เกลือกกลั้วด้วยโลก” คุณพวงทอง-คุณวิชัย มะลิกุล ท�ำบุญสุขสันต์วันเกิด
แสงธรรม Saeng Dhamma 10 # ไม่คิดซับซ้อน มันก็มีทางออกที่ง่าย มีรถรุ่นใหม่คันหนึ่ง วิศวกรออกแบบมาอย่างดีเลย เพราะมันแรงแล้วก็สะดวกสบาย สวยด้วย ก็เป็นที่พออก พอใจทั้งของวิศวกรและของเจ้าของ ก็มีการน�ำรถไปวาง แสดงที่โชว์รูม ผู้จัดการก็ตื่นเต้นดีใจมากที่จะได้เอารถคันนี้ มาเผยแพร่ให้คนได้เห็นที่โชว์รูม แต่ปรากฏว่าพอรถไปถึงที่โชว์รูม มันเข้าไปไม่ได้ เพราะรถสูงกว่าประตูหรือทางเข้าของโชว์รูม เลยเครียด กันใหญ่เลยทั้งผู้จัดการโชว์รูม วิศวกร และ CEO ก็เรียกคน ที่เกี่ยวข้องมาประชุมรวมทั้งเจ้าหน้าที่แผนกซ่อมบ�ำรุงด้วย วิศวกรก็เสนอว่าให้ทุบวงกบประตูทางเข้าให้มันสูงขึ้น หน่อย รถจะได้เข้าไปได้ รถเข้าไปแล้วค่อยไปซ่อมทีหลัง ซึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะซ่อมเมื่อไหร่ เพราะเกิดมีคนมาซื้อ ก็ต้องให้รถ เอาออกไปก่อน พอรถออกจากโชว์รูมเมื่อไรถึงจะซ่อมได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะซ่อมได้เมื่อไหร่ ก็ได้แต่ท�ำให้มันดูดีขึ้นหน่อย แต่พอมีคนซื้อ ก็ต้องทุบอีก ก็มีช่างสีบอกว่า ก็ยอมนะ ยอมขับรถเข้าไป มันอาจจะรอยขีดข่วนบ้างตรงหลังคา เพราะว่าประตูนี้มันต�่ำกว่ารถ แต่ว่าไอ้รอยขีดข่วนมันโป๊ว ได้ เดี๋ยวก็กลับมาสวยเหมือนเดิม แต่ว่า CEO ก็ไม่ชอบวิธีนี้นะ เพราะว่าไม่อยากให้รถมันบุบสลายแม้แต่มีรอยขีดข่วนก็ไม่ ชอบ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าจะท�ำยังไงดี บังเอิญมียามเฝ้า โชว์รูมสังเกตเห็น ว่ามีการถกเถียงกัน หน้าด�ำคร�่ำเคร่ง ก็ เลยลองไปด้อมๆ มองๆ ว่าเขาทะเลาะ เถียงหรือว่าเขา ก�ำลังปรึกษาเรื่องอะไรกัน พอรู้ว่ามีปัญหาอะไร ยามก็ขอเสนอตัวอย่างกระมิด กระเมี้ยนบอกว่าผมมีทางออกครับ ทั้ง CEO วิศวกร เจ้าหน้าที่ก็ หันมามอง ในใจก็ดูถูกนะว่าแกจะมีทางออกอะไรเหรอ นี่ คิดกันมาหลายคนแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกยังไง ยามบอกว่า รถนี้สูงกว่าประตูแค่ 2 นิ้ว ถ้าปล่อยลม ที่ล้อสักหน่อย รถก็จะต�่ำลง แล้วก็สามารถจะขับเข้าไป ในโชว์รูมได้ก็ปรากฏว่าท�ำได้จริงๆ พอปล่อยลมที่ล้อนิด เดียวเอง 2 นิ้ว รถก็ขับเข้าไปในโชว์รูมได้ ทุกคนดีใจกันหมดเลย และก็อดทึ่งไม่ได้ ยามซึ่งมีความ รู้น้อยที่สุด แต่กลับเห็นทางออกที่ดีที่สุด อันนี้เรียกว่ายาม มีปฏิภาณ และที่ยามมีปฏิภาณได้เพราะว่าไม่ได้คิดซับซ้อน อะไร ขณะที่คนอื่นมีความคิดที่ซับซ้อน แต่อาจจะเป็น เพราะเรียนสูงก็ได้ ก็เลยมองไม่เห็น ทางออกง่ายๆ แค่ ปล่อยลมที่ล้อก็แก้ปัญหาได้แล้ว ปัญหาหลายอย่าง เวลามันเกิดขึ้น คนจ�ำนวนมากมี แนวโน้มที่จะคิดอะไรซ�้ำซ้อน หรือเพราะเวลานี้เรามีคน ปุจฉา-วิสัชนา https://qaphrapaisal.wordpress.com/
แสงธรรม 11 Saeng Dhamma เรียนรู้สูง เราพึ่งพาเทคโนโลยีที่เรียกว่าชั้นน�ำมาก แล้วเราก็ หวังพึ่งพาเทคโนโลยี # งานล้มเหลว แต่ตัวอาตมาไม่ล้มเหลว มีคนเคยถามหลวงพ่อค�ำเขียนว่าท่านท�ำงานมาเยอะ ท่านคิดว่างานท่านส�ำเร็จไหม หลวงพ่อบอกว่า งานของ อาตมานี่ล้มเหลวทั้งนั้นเลย งานล้มเหลว ตัวอาตมาไม่ล้ม เหลว คนที่จะพูดอย่างนี้ได้ต้องมีการปฏิบัติจนกระทั่งไม่ไป ยึดว่างานเป็นกูเป็นของกู แม้ว่างานนั้นมันจะดีประเสริฐอย่างไร มีเจตนาที่ดีงาม สูงส่งแค่ไหน แต่ถ้าไปยึดว่าเป็นงานของกู หรือยึดงานนั้น ว่าเป็นตัวกู ถึงเวลาที่งานนั้นมันล้มเหลว ก็จะเป็นทุกข์มาก เพราะว่ากูล้มเหลวไปด้วย แต่ถ้าหากว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นใน งานนั้นว่าเป็นงานของกู งานล้มเหลวใจก็ไม่ทุกข์ มันท�ำให้ มีก�ำลังที่จะท�ำงานต่อไป คนเรานี่ไม่ค่อยรู้ทันว่าความยึดมั่นในตัวกูของกู มันก่อ ทุกข์ให้กับเราแค่ไหน โดยเฉพาะเวลาท�ำงาน ฉะนั้น ถ้าเกิด ว่าเราภาวนาจนกระทั่งรู้ทันอ�ำนาจของกิเลส อัตตา ไม่ ปล่อยให้มันเข้ามาครอบครองใจ สามารถที่จะคลายความ ยึดมั่นในตัวกูของกูได้ ถึงเวลางานล้มเหลว ก็ไม่ได้รู้สึกว่า ตัวเองล้มเหลวตามไปด้วย แล้วถึงเวลาส�ำเร็จ ก็ไม่ได้เกิด ความหลงใหลเพลิดเพลิน ปลาบปลื้มยินดี เพราะรู้ว่ามัน ไม่ใช่เป็นเพราะเราคนเดียว มันเป็นเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ มากมาย แล้วคนที่ภาวนามากๆ จะเห็นเลยว่ามันไม่มีอะไรที่เป็น ของเราเลย แม้แต่ความส�ำเร็จที่เกิดขึ้น มันก็เพราะเหตุกับ ปัจจัยต่างๆ มากมาย มันจะเกิดสิ่งที่ท่านอาจารย์พุทธทาส เรียกว่า #ยกผลงานให้เป็นของความว่าง หรือเวลาท�ำอะไร แม้จะท�ำด้วยความวิริยะอุตสาหะ แต่ก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในผลส�ำเร็จ ส�ำเร็จก็ดีไป ไม่ส�ำเร็จก็ ไม่ทุกข์ เพราะรู้ว่ามันไม่ได้อยู่ในอ�ำนาจของเรา อย่าง ภาษิตจีนว่า ความพยายามเป็นของมนุษย์ ความส�ำเร็จ เป็นของฟ้า ถ้าพูดแบบพุทธก็คือว่า ความพยายามเป็น ของมนุษย์แต่ว่าความส�ำเร็จเป็นเรื่องเหตุปัจจัย ฉะนั้น ถ้าเกิดว่าเราน�ำเอาการปฏิบัติธรรมมาใช้กับการ ท�ำงาน เราก็จะท�ำงานได้ด้วยใจที่ทุกข์น้อย แม้ว่าจะเพียร พยายามเต็มที่ก็ตาม มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ท�ำเต็มที่แต่ไม่ ซีเรียส # การศึกษาหมาหางด้วน ท่านอาจารย์พุทธทาส เห็นว่าการจัดการเรื่องการ ศึกษาในประเทศนั้น เลียนแบบของชาติตะวันตก จึงขาด มิติด้านศาสนาและจิตใจ คือมุ่งเพียงให้รู้หนังสือและ ประกอบอาชีพได้เท่านั้น หรือถ้ามีการสอนธรรมะก็สอน กันอย่างไม่ถูกต้อง จึงใช้ประโยชน์ในการดับทุกข์ส่วน บุคคลไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น “การศึกษาหมาหางด้วน” ยัง เป็นที่มาของปัญหาต่างๆ ในสังคม เพราะเมื่อขาดธรรมะ ก�ำกับความรู้แล้ว ระบบก็สร้างคนให้ฉลาดในการเอา เปรียบผู้อื่น, มีแต่ความเห็นแก่ตัว ขาดความเป็นมนุษย์ที่ ถูกต้อง “ประเทศไทยก็เป็นประเทศเล็ก ถ้าพูดด้วยภาษาตรง ไปตรงมาก็ว่าเป็นประเทศตามก้น ไม่ใช่ประเทศผู้น�ำ อะไรๆ ก็ล้วนแต่ตามก้นชาติใหญ่ๆ ที่เขาเป็นผู้น�ำ นี่มันก็ ต้องดูด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ในโลกนี้มีการศึกษาชนิดที่ อาตมาเรียกว่า การศึกษาระบบหมาหางด้วน คือว่า สอน กันแต่หนังสือและอาชีพเท่านั้น หมาหางด้วนในนิทานสุภาษิตหรือนิทานอีสปก็ลืมไป แล้ว มันเผอิญหางด้วน มันก็ไปหลอกเพื่อนว่า หางด้วนนี้ดี ให้ช่วยกันตัดหางตามๆ กันไป นี่ประเทศชาติใหญ่ๆ ที่เขา กันศาสนาออกไปจากการศึกษาแล้วบอกว่าดี ประเทศ เล็กๆ ก็ตามก้นเหมือนตัดหางตามหมาหางด้วนตัวแรก ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าโรงเรียนตั้งแต่ระดับต�่ำสุดถึง สูงสุดเป็นมหาวิทยาลัย มันก็เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพ ไม่มีเรื่องธรรมะ เขาเอาเรื่องของศาสนาไปเป็นแขนงเล็กๆ ของหน้าที่พลเมือง นี้มันดูหมิ่นศาสนามากเกินไป มันก็เกิด การบกพร่องขึ้น มันก็เกิดการเสื่อมทางศีลธรรม”
แสงธรรม Saeng Dhamma 12 นิทานชาดก เรื่อง นักขัตตชาดก : โทษของการถือฤกษ์ยาม พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ EP. ๒๒ นักขัตตชาดก ว่าด้วยโทษของการถือฤกษ์ยาม นกฺขตฺตํ ปฏิมาเนนฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา อตฺโถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ กึกริสฺสนฺติตารกาติฯ ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่เขลา ผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ดวงดาวจักท�ำอะไรได้ สถานที่ตรัสชาดก : วัดเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี สาเหตุที่ตรัสชาดก : คหบดีบ้านนอกผู้หนึ่ง ได้ไปสู่ขอ หญิงสาวชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่งให้บุตรชาย โดยตกลง นัดวันไปรับตัวเจ้าสาวกับทางครอบครัวของฝ่ายหญิงไว้ เป็นอย่างดี ครอบครัวทั้งสองฝ่าย ต่างจัดเตรียมงานมงคล เป็นที่ ครึกครื้นจนกระทั่งถึงก�ำหนดวันที่จะออกเดินทางไปรับ ตัวลูกสะใภ้ คหบดีนึกขึ้นได้ว่า ตนไม่ได้ดูฤกษ์ยาม จึงไป ถามอาชีวก (นักบวช) ผู้หนึ่ง ซึ่งตนคุ้นเคย อาชีวกผู้นั้น รู้สึกขัดเคืองใจอยู่แล้ว คิดว่า คหบดีไม่นับถือตนเหมือน ก่อน ไม่รีบมาปรึกษาหารือแต่เนิ่นๆ จึงแสร้งตอบไปว่า วันที่ยกขันหมากไปนี้ เป็นวันอัปมงคล ควรรออีกสักวัน หนึ่ง คหบดีก็เชื่อ เมื่อถึงวันนัด ครอบครัวของเจ้าสาวรู้สึกไม่พอใจยิ่ง นักที่ฝ่ายเจ้าบ่าวไม่มาตามนัด จึงยกเจ้าสาวให้แต่งงาน กับชายคนอื่นเสียในวันนั้น วันรุ่งขึ้น เมื่อขบวนขันหมาก ของลูกชายคหบดีบ้านนอกมาถึง จึงถูกต�ำหนิติเตียนและ ถูกขับไล่ เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันทั่วไป แม้ในหมู่พระภิกษุสงฆ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมายังธรรมสภา ทอด พระเนตรเห็นพระภิกษุสงฆ์สนทนากันอยู่ ครั้งทรง สอบถามทราบความแล้ว จึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นหรอก ที่อาชีวกได้ท�ำลายงาน มงคลของตระกูลนี้ แม้ในกาลก่อนก็ได้ท�ำลายงานมงคล ของเขามาแล้วเช่นกัน” จากนั้น พระพุทธองค์ทรงน�ำ นักขัตตชาดก มาตรัสเล่าดังนี้ เนื้อหาชาดก : ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี คหบดีชาวพระนครผู้หนึ่งมีความพอใจหญิงสาวชาว ชนบทนางหนึ่ง จึงไปตกลงสู่ขอนางให้บุตรชายของตน โดยก�ำหนดวันมารับตัวเจ้าสาวเป็นที่เรียบร้อย หลังจาก นั้น ต่างฝ่ายต่างเตรียมจัดงาน ทั้งตระเตรียมอาหารเลี้ยง แขกเหรื่อที่จะมาร่วมงาน เมื่อถึงก�ำหนดวันรับตัวเจ้าสาว คหบดีคิดว่า “เราจะ ไปสู่ขอลูกสะใภ้ทั้งที่ฤกษ์ยามก็ไม่ได้ดู เห็นว่านางเป็นคนดี มีกิริยามารยาทเรียบร้อย สมเป็นแม่บ้านแม่เรือน … แต่ ถ้าต่อไปมีเหตุเป็นไปล่ะ อย่าเลย เราควรไปปรึกษา อาจารย์สักหน่อยดีกว่า” คหบดีจึงรีบไปกราบอาชีวกผู้หนึ่ง ซึ่งตนสนิทสนม คุ้นเคยกันอย่างดี แจ้งเรื่องที่ตนจะไปสู่ขอหญิงชาวชนบท
แสงธรรม 13 Saeng Dhamma มาให้ลูกชายพร้อมกับถามถึงฤกษ์ยาม แต่อาชีวกผู้นี้ มี ความขุ่นเคืองใจเป็นทุนอยู่ คิดว่า “เจ้าคนนี้ มันคิดว่ามันแน่ ไม่ปรึกษาเราก็ได้ นี่พอ จะไปจริงๆ คงเกิดปอดขึ้นมาล่ะซิ เราต้องสั่งสอนให้ ส�ำนึกเสียบ้าง” จึงกล่าวว่า “อะไรกัน….วันนี้มีฤกษ์ที่ไหน เป็นวันมหาวินาศแท้ๆ ผู้ใดจัดงานมงคลในวันนี้ จะต้อง ถึงความวิบัติท�ำกินไม่ขึ้น ฐานะจะล่มจม ครอบครัว ลูก หลาน เหลน โหลน จะต้องล้มหายตายจากเดือดร้อนกัน ไปหมดทั้งตระกูลเลยทีเดียว” “แล้วฉันจะท�ำอย่างไรกันดีละ” คหบดีวิตกกังวลขึ้น มาทันที “ถ้าพ้นจากวันนี้ไปแล้ว ก็นับว่าใช้ได้ ฤกษ์จะดีขึ้น แหมทีหน้าทีหลังจะท�ำอะไรล่ะก็ ควรจะรีบมาปรึกษากัน เสียแต่เนิ่นๆ มีอะไรจะได้แก้ไขได้ทัน มาถามกันกระทัน หันอย่างนี้ แก้ไขล�ำบาก” อาชีวกจึงพูดส�ำทับเข้าให้อีก คหบดีชาวพระนคร หลงกลของอาชีวก จึงไม่กล้าไป สู่ขอหญิงสาวตามนัด ฝ่ายทางบ้านของเจ้าสาว เฝ้ารอ ขบวนขันหมากทั้งวัน เมื่อไม่เห็นฝ่ายเจ้าบ่าวมาตามที่นัด ไว้ จึงรู้สึกเสียหน้าและแค้นเคืองใจยิ่งนัก บิดาของนางจึง บอกยกนางให้กับชายหนุ่ม ลูกของเพื่อนบ้านไป ครั้นวันรุ่งขึ้น ขบวนขันหมากของฝ่ายเจ้าบ่าวยกมา ถึง และถามหาเจ้าสาว จึงถูกชี้หน้าด่าว่า “อะไรกัน นัดว่า จะมาแล้วไม่มา เห็นว่าพวกข้าเป็นคนบ้านนอก จะท�ำ อย่างไรก็ได้งั้นรึ ท�ำอย่างนี้ไม่สมกับเป็นผู้ดีเสียเลย คนไม่ รักษาค�ำพูด พวกข้าไม่มีเจ้าสาวจะให้แล้วละ กลับไปเสีย เถอะไป๊” ฝ่ายเจ้าบ่าวพยายามชี้แจ้งว่า “ขอโทษเถิดพ่อ ที่จริงพวกฉันก็เตรียมเดินทางกัน มาแล้ว แต่เผอิญอาจารย์ดูฤกษ์ แล้วบอกว่าฤกษ์ไม่ดี พวกฉันจึงไม่กล้ามา กลัวว่าจะมีเหตุ มีอันเป็นไป ขอให้ พ่อพาเจ้าสาวมาให้ฉันเถอะ” “โธ่เอ๋ย มัวแต่รอฤกษ์อยู่ เชอะ แต่ข้ารออย่างเจ้าไม่ ได้หรอก ถึงเวลานัดแล้วไม่มา ก็ถือว่าเจ้าไม่ต้องการ ข้า ยกลูกสาวให้คนอื่นไปแล้ว… ชะ ช้า นี่ถ้าเกิดมีฤกษ์ดีอีก ๒๐ ปีข้างหน้า ลูกสาวข้ามิต้องรอเจ้าจนแก่เรอะ” ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันไปมา จนเกิดเป็นเรื่องราว ทะเลาะกัน บังเอิญบัณฑิตชาวเมืองคนหนึ่ง ไปท�ำกิจธุระ ในละแวกนั้น ได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงกล่าวเป็น คาถาว่า “ประโยชน์ ผ่านพ้นคนโง่ ผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ดวงดาวจักท�ำอะไรได้” เมื่อขบวนขันหมากของฝ่ายชาย ไม่ได้เจ้าสาว ซ�้ำยัง เสียไมตรีกับครอบครัวของฝ่ายหญิงอีกด้วย จึงได้แต่เดิน ทางกลับไปด้วยความผิดหวัง ประชุมชาดก : พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประชุมชาดกว่า อาชีวกในครั้งนั้น ได้มาเป็นอาชีวกในครั้งนี้ ตระกูลทั้งสองในครั้งนั้น ได้มาเป็นตระกูลทั้งสอง ในครั้งนี้ บัณฑิตชาวเมือง ได้มาเป็นพระองค์เอง ข้อคิดจากชาดก : ๑. การประกอบกิจการงานใด ควรค�ำนึงถึงเหตุผล ประโยชน์ความเหมาะสม และกาลเวลาที่สมควร ไม่ควร ถือฤกษ์ยาม เพราะเมื่อใดที่เราคิดดี พูดดี ท�ำดี เมื่อนั้น ฤกษ์งามยามดีก็มีอยู่ในตัวเราเอง ๒. คนพาล มักคิดชั่ว พูดชั่ว ท�ำชั่ว เป็นปรกติ และ พอใจที่จะเห็นความพินาศฉิบหายของผู้อื่น ๓. ผู้มีปัญญา เมื่อเห็นประโยชน์แล้ว ย่อมไม่ผัดวัน ประกันพรุ่งเป็นอันขาด ต้องรีบท�ำประโยชน์นั้นให้ส�ำเร็จ เพราะประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง
แสงธรรม Saeng Dhamma 14 สาธุชนเข้าร่วมปฏิบัติธรรมเนื่องในโอกาส “ธรรมสมโภชอาจริยบูชา ๑๐๐ ปี พระราชมงคลรังษี (หลวงตาชี)” เริ่มตั้งแต่วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ - ๙ มิถุนายน ๒๕๖๗ ทุกวันเสาร์ เวลา ๑๔.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น. นพ.อรุณ-ดร.สุมนา สวนศิลป์พงศ์ พร้อมญาติมิตร ท�ำบุญวันเกิด ขอให้สุขภาพแข็งแรง จิตใจเปี่ยมบุญ ๑๘ ต.ค.
แสงธรรม 15 Saeng Dhamma ส่งคณะครูอาสาสมัคร โรงเรียนวัดไทยฯ ดี.ซี. ภาคฤดูร้อน ปี ๒๕๖๖ กลับประเทศไทย หลังปฏิบัติหน้าที่ส�ำเร็จสิ้นสุดลง ๓๐ ก.ย. สมาคมไทยอีสาน-สมาคมศิษย์เก่า มจร.-กลุ่มพลังศรัทธา/คณะคุณหน่อย-คุณต้อย-คุณปรียา-คุณวัลลภา-คุณวิไล และเพื่อนๆ ถวายอาหารเพล พิธีปฐมนิเทศโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. ปีการศึกษา ๒๕๖๖-๒๕๖๗ ๘ ต.ค.
แสงธรรม Saeng Dhamma 16 สนง.เกษตร, สนง.เศรษฐกิจการคลัง, สนง. ก.พ. ท�ำบุญถวายเพล พระเดชพระคุณพระราชมงคลรังษี (หลวงตาชี) เมตตาเจิมรถใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล แก่คุณสุชาติ สุขส�ำราญ และคุณสุภาพ อุดานนท์ คุณแอนนิต้า ปรารถนา ยุทธศาสตร์โกศล ท�ำบุญวันเกิด ๒๙ ต.ค. กลุ่มพลังบุญ ท�ำบุญถวายภัตตาหารเพล เติมบุญให้ชีวิต เติมพลังจิตให้แข็งแกร่ง สดใส ในทุกๆ เดือน ๒๑ ต.ค.
แสงธรรม 17 Saeng Dhamma ประกาศวัดไทยฯ ดี.ซี. ขอประกาศให้พุทธศาสนิกชนทุกท่านทราบว่า ทางวัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. ได้เปิดให้มีการบริจาคผ่าน Zelle แอพโอนเงินออนไลน์ เพื่อความสะดวกของทุกท่าน ท่านสามารถทำบุญบริจาคตามกำลังศรัทธาในโอกาส ต่างๆ ได้ที่ Zelle: [email protected] / Wat Thai Washington, D.C. ถ้าท่านต้องการใบเสร็จ, กรุณาติดต่อผู้ช่วยเหรัญญิก (พระมหาสราวุธ สราวุโธ) วัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. โทร. (301) 871-8660 *Announcement* For your convenience, Wat Thai Washington D.C. now accepts the donation via Zelle, an application to send money online. Zelle: [email protected] / Wat Thai Washington, D.C. If you would like to get a donation receipt, please contact the assistant treasurer, Phramaha Sarawut at Wat Thai DC’s office, (301) 871-8660. Wat Thai Washington, D.C. is a 501(c)(3) tax-exempt non-profit organization.
แสงธรรม Saeng Dhamma 18 ขอประกาศอนุโมทนาบุญ รายนามผู้ร่วมบริจาคตั้งกองทุนนิธิหลวงพ่อพระราชมงคลรังษี (หลวงตาชี) “กองทุน 8 รอบ 96 ปี หลวงตาชี” (เริ่มจัดตั้ง 9 มิถุนายน 2564) รายนามผู้บริจาค “เพิ่มทุน” 102. คุณณรงค์-คุณพัฒนา ธนานาถ (กองทุนณรงค์-พัฒนา ธนานาถ และครอบครัว) $500.00 รายนามผู้บริจาคตั้ง “กองทุน” (ครั้งแรก) 211. Oun Tunial Panya $100.00 212. Chalurmchai and Daranee Mhoyadee $500.00 213. Pattaya Zeppetello $100.00 รวมเงินดอลล่าร์อเมริกา $92,784.97 (เก้าหมื่นสองพันเจ็ดร้อยแปดสิบสี่ดอลล่าร์ เก้าสิบเจ็ดเซ็นต์) รวมเงินไทย 51,094.00 บาท (ห้าหมื่นหนึ่งพันเก้าสิบสี่บาทถ้วน) ขออนุโมทนาสาธุชนผู้ใจบุญทุกท่าน ด้วยอานิสงส์แห่งกตัญญูบูชามหาทาน จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัว เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดกาลเทอญฯ เ ขอเชิญศิษยานุศิษย์ร่วมท�ำบุญ “เพิ่มทุน” และตั้ง “กองทุน” “กองทุนนิธิ 8 รอบ 96 ปี หลวงตาชี” วัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. รัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา เนื่องด้วยปีหน้า วัดไทยฯ ดี.ซี. จะจัดงานท�ำบุญ “พิธีธรรมสมโภชอายุวัฒนมงคลครบ หนึ่งศตวรรษ ๑๐๐ ปี” แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชมงคลรังษี (หลวงตาชี) เพื่อน้อมเป็นมุทิตาสักการะ และเชิดชูบูชาอาจริยคุณ ในวันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๗ จึงขอเชิญชวนมวลศิษยานุศิษย์ร่วมตั้งกองทุน และเพิ่มทุน ได้ตามก�ำลังศรัทธา บริจาคโดยเขียน CHECK OR MONEY ORDER PAY TO : Wat Thai Washington, D.C. (Memo For สมทบตั้ง “กองทุนนิธิ 8 รอบ 96 ปี หลวงตาชี”) ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่: วัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. 13440 Layhill Road, Silver Spring, MD 20906 / Tel. 301-871-8660
แสงธรรม 19 Saeng Dhamma � รายนามเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพล / Lunch ประจ�าเดือนพฤศจิกายน (November, 2023) ท่านที่ต้องการเป็นเจ้าภาพ หรือถ้ามีปัญหาขัดข้อง กรุณาแจ้งให้ทางวัดทราบด้วย โทร. 301-871-8660-1 อันนะโท พะละโท โหติ วัตถะโท โหติ วัณณะโท ยานะโท สุขะโท โหติ ทีปะโท โหติ จักขุโท ผู้ให้ข้าวชื่อว่าให้ก�าลัง ผู้ให้ผ้าชื่อว่าให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข ผู้ให้ประทีปชื่อว่าให้จักษุ 1 (Wed) คุณแสงทอง-คุณประกาย (แมว)-คุณ Prinda Suntararak และคณะ ท�ำบุญถวำยภัตตำหำรเพลที่วัด 2 (Thu) คุณหน่อย บุปผา-คุณต้อย ทิพวรรณ-คุณปรียา พัวตระกูล-คุณวัลลภา อิสระ-คุณวิไล ธนกานต์ ท�ำบุญถวำยเพลที่วัด คุณคะแนน พร้อมครอบครัว ท�าบุญอุทิศให้คุณตี่ ปราณี ศาสนสุทธิ ถวำยเพลที่วัด 3 (Fri) ว่ำง 4 (Sat) ว่ำง 5 (Sun) ขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมท�าบุญทอดกฐิน โดยพร้อมเพรียงกัน 6 (Mon) ว่ำง 7 (Tue) คุณเกดมณี (จู้) พร้อมญาติมิตร ท�าบุญครบ 50 วัน อุทิศให้คุณพ่อสมชัย ตั้งรุ่งเรืองอยู่ ถวำยเพลที่วัด 8 (Wed) กลุ่มสตรีผู้รักธรรม ท�ำบุญถวำยภัตตำหำรเพลที่วัด 9 (Thu) ว่ำง 10 (Fri) คุณนาตยา-Mr. Richard-คุณประพิณ-คุณจ�าเนียร-คุณมาลา-คุณประภาศรี-คุณระพิน-Larry-คุณสุภาพ ถวำยเพลที่วัด 11 (Sat) ว่ำง 12 (Sun) ว่ำง 13 (Mon) ว่ำง 14 (Tue) คณะผู้ปกครองนักเรียน 2552 โดยคุณแขก-กระต่าย-กระแต-ตี๋-น้อย-ภา-ถา-จูมศรี-แสงทอง และคณะ ถวำยเพลที่วัด 15 (Wed) คุณอัญชลี-คุณต๋อย-คุณดอน และเพื่อนๆ ท�ำบุญถวำยภัตตตำหำรเพลที่วัด 16 (Thu) คุณหน่อย บุปผา-คุณต้อย ทิพวรรณ-คุณปรียา พัวตระกูล-คุณวัลลภา อิสระ-คุณวิไล ธนกานต์ ท�ำบุญถวำยเพลที่วัด 17 (Fri) สนง.ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก / สนง. ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือ / สนง. ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารอากาศ ท�ำบุญถวำยเพลที่วัด 18 (Sat) กลุ่มพลังบุญ ท�ำบุญถวำยภัตตำหำรเพลที่วัด 19 (Sun) ว่ำง 20 (Mon) ชมรมรวมน�้าใจ (Caring For All) ท�ำบุญถวำยภัตตำหำรเพลที่วัด 21 (Tue) สนง. เกษตร, สนง. เศรษฐกิจการคลัง, สนง. ก.พ. ท�ำบุญถวำยภัตตำหำรเพลที่วัด 22 (Wed) ว่ำง 23 (Thu) คุณยายศรีนวล โพธิ์ศรี ท�ำบุญถวำยภัตตำหำรเพลที่วัด 24 (Fri) ว่ำง 25 (Sat) คณะศิษย์หลวงตาชี 1974 พร้อมด้วยเพื่อนๆ ท�ำบุญถวำยภัตตำหำรเพลที่วัด 26 (Sun) สมาคมไทยอีสาน / สมาคมศิษย์เก่า มจร. / กลุ่มพลังศรัทธา ท�ำบุญถวำยภัตตำหำรเพลที่วัด 27 (Mon) ว่ำง 28 (Tue) ว่ำง 29 (Wed) คณะพยาบาลบัลติมอร์ ท�ำบุญถวำยภัตตำหำรเพลที่วัด 30 (Thu) คุณหน่อย บุปผา-คุณต้อย ทิพวรรณ-คุณปรียา พัวตระกูล-คุณวัลลภา อิสระ-คุณวิไล ธนกานต์ ท�ำบุญถวำยเพลที่วัด
แสงธรรม Saeng Dhamma 20 รายนามเจ้าภาพถวายภัตตาหารเช้าประจ�ำ รายนามผู้บริจาคออมบุญ ประจ�ำปี ๒๕๖๖ วันจันทร์ ที่ ๑ ของเดือน ร้าน THAI HOUSE RESTAURANT วันจันทร์ที่ ๒ ของเดือน คุณอุไร นามบุญมี, คุณอ�ำพัน(ติ๋ม)-คุณมณีรัตน์-คุณเอ๋เอี่ยมบ�ำรุง และคณะ วันจันทร์ที่ ๓ ของเดือน คุณจิรานาวินทรานนท์,คุณประวงศ์เปรมะวัต,คุณยุพินสงวนทรัพย์,คุณติ๋ม-คุณบุญหลง-คุณนาริน-คุณเอมอร วันจันทร์ที่๔,๕ ของเดือน คุณจิรา นาวินทรานนท์, คุณวณีฤทธิ์ถาวร, คุณวัชรี, คุณติ๋ม-คุณบุญหลง-คุณนาริน-คุณเอมอร วันอังคารที่ ๑ ของเดือน คุณฉัวชิน พัวตระกูล / คุณเกศิณี ศรีบุญเรือง / คุณแชร์/ คุณจิตรา จันทร์แดง วันอังคารที่ ๒ ของเดือน คุณแขก-คุณกระต่าย-คุณกระแต-คุณตี๋-คุณน้อย และคณะ วันอังคารที่ ๓ ของเดือน คุณกุลชลีอนันต์สุขศรี- คุณแม่บะเกีย แซ่แต้-คุณประพจน์-คุณศิริพร คุณวงศ์ วันอังคารที่ ๔ ของเดือน คุณอ�ำพัน(ติ๋ม)-คุณมณีรัตน์-คุณเอ๋เอี่ยมบ�ำรุง /คุณจิตรา จันทร์แดง /ครอบครัวเอี่ยมเหล็ก /คุณแนนซี่ วันพุธ คุณพยุง-คุณจินตนา งามสอาด, คุณวนิดา, คุณวรชัย-คุณครูแต็ก คุณอัน-คุณขวัญ ร้าน Thai Market พร้อมคณะ วันพฤหัสบดี คุณยุพิน เลาหะพันธ์ร้าน BANGKOK GARDEN, คุณวนิดา, คุณเหมียว, คุณบรรจง, คุณดวงพร วันศุกร์ คุณป้านิด มาแตง ป้าน้อย Ruan Thai Rest. / คุณบรรจง-คุณวนิดา-คุณแอนนิต้า-คุณเล็ก-คุณครูเพชร วันเสาร์ คุณคะแนน สุวรรณสุทธิ- คุณสมบูรณ์จรรยาทรัพย์กิจ วันอาทิตย์ คุณนก, คุณกุหลาบ, คุณชูนินทร์-Duwayne Engelhart, ครอบครัววิริยะ, ครอบครัวตั้งตรงวานิช ครอบครัวสิทธิอ่วม, คุณนุกูล คุณบรรจง, คุณวาสนา น้อยวัน, คุณกษิมา, คุณหน่อย หมายเหตุ: ขออนุโมทนาพิเศษแด่ คุณจิรา, คุณวนิดา, คุณเล็ก, คุณแต๋ว ป้านิด ป้าน้อย, คุณอุไร, คุณแสงทอง คุณพนมรัตน์ มุขกัง-คุณหมุย และท่านอื่นๆ ที่มาท�ำอาหารถวายพระภิกษุสงฆ์ ในวันที่เจ้าภาพหลักมาถวายไม่ได้ Boonpassorn Phongwarinr and Tun Atthavuth 250.00 Soresarwanh Phungwarinr 250.00 Srintip and Peter Kowl 220.00 Saranya and Smit Kulwatno 220.00 Vunchai and Nipan Pringphayune 100.00 คุณศุภศรี-คุณกิตติสันต์ แก้วจินดา พร้อมญาติธรรม ท�ำบุญวันเกิด ขอให้สุขภาพกายจิตแข็งแรง เจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมเป็นนิตย์เทอญ
แสงธรรม 21 Saeng Dhamma คุณแม่สงวน เกิดมี คุณจารุณี พิทโยทัย คุณชัยยุทธ-คุณยุพา สมเขาใหญ่ คุณทัฬห์ อัตวุฒิ คุณบุณณ์ภัสสร คุณศรสวรรค์ พงศ์วรินทร์ น.พ. อรุณ คุณสุมนา สวนศิลป์พงศ์ คุณทองพูน คุณสุนันทา เฮนเซ้น คุณชูศรี กอร์ คุณจิตร์ ไวยะวงษ์ เจ้าภาพน�้ำดื่มถังใหญ่ - ค่าไฟ ถวายประจ�ำทุกเดือน SPECIAL THANKS คณะสงฆ์และคณะกรรมการวัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. ขออนุโมทนาบุญแด่สาธุชนทุกๆ ท่าน ที่มีจิตศรัทธาถวาย ภัตตาหารเช้า-เพล บริจาคสิ่งของ เสียสละแรงกาย แรงใจ ก�ำลังสติปัญญา และความสามารถเท่าที่โอกาสจะอ�ำนวยมา ช่วยเหลือกิจกรรมของวัดด้วยดีเสมอมา ท�ำให้วัดของเรามีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามาโดยล�ำดับ โดยเฉพาะท่านที่ มีส่วนร่วมในงานวันส�ำคัญต่างๆ ของทางวัด จึงขอประกาศอนุโมทนาบุญมา ณ โอกาสนี้ “บุญคือความดีแห่งชีวิต น�ำดวงจิตพบสุขทุกสถาน บุญน�ำให้ทรัพย์ยิ่งศฤงคาร บุญน�ำผ่านสุขสมความร่มเย็น” ขออนุโมทนาสาธุกับคณะจิตอาสา ลูกศิษย์วัดไทยฯ ดี.ซี. ร่วมใจอุปถัมภ์ช่วยกันท�ำอาหารถวายเช้าเพล ช่วยกิจกรรมของวัด
แสงธรรม Saeng Dhamma 22 ขอเชิญทุกท่านร่วมนมัสการหลวงพ่อพุทธมงคลวิมลดีซี และหลวงพ่อด�ำ หลวงพ่อด�ำ (ประดิษฐานที่อาคารหลังใหม่) มงคลที่ ๓๔ การท�ำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน You all are cordially invited to Wat Thai, D.C., Temple to pay respect to or simply view the Black Buddha on display in the New Building. “นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง” การท�ำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เป็นมงคลอันสูงสุด นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอ�ำนาจ กรรม และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ ๑. การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึง นิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ๒. การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย หมายถึง นิพพาน ของพระอรหันต์ผู้สิ้นชีวิตแล้ว เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิ ภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด ๏ ท�ำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์ ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน เอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอน ดับทุกข์ร้อน นิพพาน ส�ำราญนัก ๛
แสงธรรม 23 Saeng Dhamma เสียงธรรม... จากหลวงตาชี ครูสี - หลวงตาสอน ครูสี: หลวงตาครับ! ผมได้กราบเรียนถามเรื่อง ศรัทธาผ่านมาแล้ว ๓ ประเด็น คือ กัมมสัทธา เชื่อกรรม, วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม, และ กัมมัสสกตาสัทธาเชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็น ของๆ ตน ทั้ง ๓ ประเด็นนี้ ผมได้รับความสว่างจาก ค�ำอธิบายของหลวงตามาเป็นอย่างดีแล้ว ประเด็น สุดท้าย ผมกราบเรียนหลวงตา กรุณาอธิบายค�ำว่า ตถาคตโพธิสัทธา ให้หายข้อกังขาด้วยขอรับ หลวงตา หลวงตา: ค�ำว่า ตถาคตโพธิสัทธา นั้น ได้แก่ เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต ถือเอาใจความ ง่ายๆ ก็ได้แก ่ เชื่อพระธรรมค�ำสอนของ พ ร ะพุท ธเจ้ านั้นเอ ง ธ ร รม ะค�ำสอนของ พระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม คือเป็นความจริง พระพุทธองค์ตรัสเช่นไร ก็เป็นเช่นนั้น ไม่วิปริต แปรผันเป็นอย่างอื่นไปได้และพระธรรมค�ำสอน ของพระองค์เป็นนิยยานิกธรรม สามารถน�ำบุคคล ผู้ประพฤติปฏิบัติตามให้พ้นจากความทุกข์ทาง จิตใจได้จริง ความเชื่อในลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต ค�ำสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมาย บรรยายกันว่ามี ตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จัดสรรเป็นพระไตรปิฎก คือพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม ความเชื่อในค�ำ สอนทั้งหมดนี้ จัดเป็นตถาคตโพธิสัทธาเช่นเดียวกัน นี่แหละครูสี คือค�ำอธิบายหรือความหมายของ ตถาคตโพธิสัทธา ครูสีพอจะเข้าใจตามนัยที่กล่าวมา โดยย่อหรือไม่ หรือมีความสงสัยอะไรอีกต่อไป ครูสี: หลวงตาครับ! เรื่องตถาคตโพธิสัทธา ตาม ที่หลวงตาได้อธิบายมาโดยย่อพอได้ใจความนั้น ผม ฟังแล้วก็พอจะเข้าใจได้ ไม่มีความสงสัยในเรื่องนี้ เพราะการเชื่อค�ำสอนของพระพุทธเจ้านั้นก็เป็น ธรรมดาส�ำหรับชาวพุทธทุกคน ชาวพุทธก็ต้องเชื่อ ค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เชื่อค�ำสอนของ พระพุทธเจ้าแล้วจะเป็นชาวพุทธกันได้อย่างไร เรา เชื่อในพระปัญญาของพระองค์ เพราะพระองค์มี ปัญญาจึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เอาละ หลวงตา ตถาคตโพธิสัทธา
แสงธรรม Saeng Dhamma 24 ปัญหาเรื่องนี้ผ่านไปได้ ผมเข้าใจในเรื่อง กัมมสัทธา เชื่อกรรม, วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม, กัมมัส สกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน, และตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระ ตถาคต ตามที่หลวงตาได้อธิบายแล้วทุกประการ ประเด็นต่อไป ผมขอนิมนต์หลวงตากรุณาอธิบาย ความหมายของพุทธภาษิตเกี่ยวกับศรัทธาดังต่อไป นี้ คือ สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ. สทฺธา พนฺธติปาเถยฺยํ. สทฺธา สาธุปติฏฺฐิตา. สทฺธาย ตรติโอฆํ. ศรัทธาเป็นเพื่อนสองของคน ศรัทธาเป็นเสบียงหล่อเลี้ยงกายใจ ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้ส�ำเร็จ บุคคลข้ามโอฆสงสารได้ด้วยศรัทธา หลวงตา: ครูสีนี่ ก็มีความสงสัยไม่รู้จักจบสิ้น สงสัยอะไรร้อยแปดสารพัด ถนัดแต่ในเรื่องสงสัย เอาละ ตั้งใจฟังให้ดีก็แล้วกัน หลวงตาจะได้อธิบาย ความหมายของศรัทธาตามที่ถามมานั้นโดยล�ำดับ การมีชีวิตอยู่ในสังคมโลก จ�ำเป็นต้องมีเพื่อน เป็นของธรรมดา ไม่ว่ามนุษย์ชาติไหน ภาษาไหน นับถือลัทธิศาสนาอะไร ก็ต้องอาศัยเพื่อนด้วยกัน ทั้งนั้น ทั้งนี้ก็เพราะคนเราต้องมีงานท�ำ งานบาง อย่างเราท�ำคนเดียวไม่ได้ จ�ำเป็นต้องอาศัยเพื่อน เป็นผู้ช่วยงาน งานนั้นจึงจะส�ำเร็จเสร็จสิ้นลงได้ เพื่อนมีประโยชน์มากมายหลายประการ แต่ก็ต้อง เป็นเพื่อนที่ดีมีจิตใจประกอบด้วยคุณธรรม คือเป็น เพื่อนมีอุปการะ, เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข, เพื่อนมี ความรักใคร่, เพื่อนแนะประโยชน์ ถ้าเราได้เพื่อน เช่นนี้ ก็มีแต่ความสบายคลายกังวล ก่อให้เกิดผลคือ ความสุขความเจริญในชีวิต แต่คนเราในสังคมปัจจุบัน มันมีอะไรแปลกๆ อยู่ หลายอย่าง บางคนก็ชอบมีสุนัขเป็นเพื่อน บอกว่ามี สุนัขเป็นเพื่อนสบายใจดี ไม่มีปัญหาอะไร อยู่กับสุนัข คุยกับสุนัข ไปไหนมาไหนมีสุนัขเป็นเพื่อน สุนัขเป็น เพื่อนที่ดี เราจะพูดอะไรกับมันๆ ก็ไม่โกรธ ไม่เถียง มันเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ ไม่คดในข้อ งอในกระดูก เหมือนกับคนเรา ว่าเข้านั้น...! ระวังเจ้าสุนัขแสนกล เน้อ...จะบอกให้ บางคนก็ชอบเอานกเขาเป็นเพื่อน วันๆ ใช้ชีวิตอยู่กับนกเขาตั้งแต่เช้ายันเย็น นกเขาเป็น เพื่อนที่ให้ความเพลิดเพลิน ลืมทุกข์ไปวันๆ หนึ่ง ซึ่ง บางคนก็ชอบเอาหนังสือเป็นเพื่อน หนังสือเป็นเพื่อน ก็ดีมีประโยชน์อย่างมหาศาล อ่านมันทุกเรื่อง ทุก ประเภท ทุกชนิด แล้วพินิจพิจารณาเฟ้นหาสาระ ประโยชน์จากหนังสือนั้นๆ เอาหนังสือเป็นเพื่อนได้ ทั้งความรู้ ความฉลาด นักปราชญ์ทั้งหลายในโลก ล้วนแต่มีหนังสือเป็นเพื่อนทั้งนั้น ข้อส�ำคัญอย่าเอา หนังสือเป็นเพื่อนกล่อมนอนก็แล้วกัน การเอา หนังสือเป็นเพื่อนเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน เพราะไม่มี ทางขาดทุน มีแต่ได้ก�ำไรฝ่ายเดียว.... ยังมีคนอีกพวก หนึ่งชอบเอากล้วยไม้-ดอกไม้-สมุนไพรเป็นเพื่อนเล่น บางคนเล่นเสียจนเลยเถิด เกิดเป็นของเสพติด ชนิด วันไหนไม่ได้เล่นกับกล้วยไม้-ดอกไม้-สมุนไพร ก็ ท�ำเอาจับไข้ไปทีเดียว นี่คือเรื่องนานาจิตตังของคนเรา ที่ชอบเอาอะไร
แสงธรรม 25 Saeng Dhamma ต่างๆ เป็นเพื่อนตามความคิดเห็นของตน ใครเห็น อย่างไรก็ว่าอย่างนั้นมีประโยชน์ โปรดพิจารณาพระ ด�ำรัสของพระพุทธเจ้าข้างต้นนั้นกันอีกสักหนว่า คน เรามีอะไรเป็นเพื่อน พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า ศรัทธาเป็นเพื่อนสองของคน ใครจะมีอะไรเป็นเพื่อน ก็ไม่เหมือนมีศรัทธา ศรัทธาคือความเชื่อเป็นเพื่อน ที่ดีที่สุดส�ำหรับมนุษย์เรา แต่ต้องเลือกเอา สัทธา ญาณสัมปยุต คือศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญานั้น มีความส�ำคัญต่อ คนเรามากทีเดียว เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิต และความเป็นปกติสุขของคนเราก็ต้องอาศัยศรัทธา ความเชื่อเป็นเพื่อน ความเชื่อที่ส�ำคัญในอันประกัน ความปลอดภัยในชีวิตนั้น ก็ได้แก่ความเชื่อมั่นใน ตัวเอง ความเชื่อมั่นต่อตัวเองนั้นส�ำคัญที่สุด มนุษย์ทุก คนถ้ามีความเชื่อต่อตัวเองแล้ว ก็นับว่ามีเพื่อน ประกันความปลอดภัยในชีวิตประจ�ำวันได้ดีทีเดียว เราจะท�ำอะไรลงไปมันก็มีความปลอดภัยทุกอย่าง ต่างจากคนที่ไม่มีความเชื่อต่อตัวเอง พวกที่ไม่มี ความเชื่อมั่นต่อตัวเอง มักจะมีความหวาดผวาใจคอ ไม่ปกติ ระบบทางประสาทวุ่นวาย กลายเป็นคนไม่มี ความปลอดภัยในชีวิตประจ�ำวัน เพราะฉะนั้น คน เราจึงควรมีความเชื่อมั่นต่อตัวเอง เชื่อว่าทุกสิ่งทุก อย่างที่เราท�ำลงไปในชีวิตประจ�ำวันนั้นมันผ่านการ กลั่นกรองของเรามาอย่างถูกต้องและปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไรทั้งนั้น เราท�ำกรรมดีแน่นอน ผลที่ติดตามมาก็ต้องเป็นผลดี ความสงบทางจิตใจ ความสุขในชีวิตประจ�ำวัน มันขึ้นอยู่กับการมีศรัทธา ความเชื่อมั่นต่อตัวเองเป็นประการส�ำคัญ อีกประการหนึ่ง คนเราจะท�ำงานอย่างใดอย่าง หนึ่งส�ำเร็จลงได้ เบื้องต้นก็ต้องอาศัยศรัทธาความ เชื่อเป็นเพื่อน คอยเตือนให้ท�ำงานตลอดเวลา ถ้าหาก
แสงธรรม Saeng Dhamma 26 ปราศจากศรัทธาความเชื่อเสียแล้ว งานนั้นๆ ก็เริ่ม ต้นไม่ได้สักที ด้วยเหตุนี้ จุดเริ่มต้นของงานทุก ประเภท จึงขึ้นอยู่กับศรัทธาความเชื่อเป็นเพื่อน เตือนใจให้ลงมือท�ำงาน ขอให้เราท่านทั้งหลายใช้ ความสังเกตให้ดีว่า ถ้าเราไม่มีศรัทธาความเชื่อใน อะไรอย่างแน่นอนแล้ว เราก็จะไม่เริ่มลงมือท�ำในสิ่ง นั้น ไม่ว่ามันจะเป็นงานทางโลก งานทางธรรม งาน ทางบ้าน งานทางวัด หรืองานอะไรก็แล้วแต่ เมื่อไม่มี ศรัทธาความเชื่อเป็นเพื่อนก่อนแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะ ลงมือท�ำได้เป็นอันขาด เพราะฉะนั้น ศรัทธาความเชื่อจึงเป็นเหตุให้มีการ กระท�ำ มีศรัทธาความเชื่อเป็นเพื่อนชักน�ำ จึงให้เกิด มีการกระท�ำขึ้นมาทีหลัง เรากล้าพูดได้อย่างเต็มปาก ว่า งานทุกอย่างทุกประเภท งานทุกชนิด งานทุก ระดับชั้น แม้แต่งานประเภทเล็กๆ น้อยๆ เช่น จะ เข้าครัวท�ำกับข้าว หุงข้าวกิน จะท�ำอะไรสักนิดหนึ่ง เหล่านี้ มันก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเชื่อด้วยกัน ทั้งนั้น ยิ่งถ้าเป็นงานใหญ่งานโต เช่น งานเกี่ยวกับ พระศาสนา งานปฏิบัติธรรม งานเผยแผ่ธรรมด้วย แล้ว ก็ยิ่งต้องการศรัทธาความเชื่อเป็นเพื่อน เป็น เบื้องต้นและเป็นพื้นฐานแห่งการกระท�ำ งานเผยแผ่ พระศาสนา งานปฏิบัติธรรม ที่ไม่ค่อยจะประสบกับ ผลส�ำเร็จ ดังที่เป็นอยู่โดยทั่วไป ปัจจัยส�ำคัญก็คือ ขาดศรัทธา ความเชื่อเป็นเครื่องน�ำทางนั้นเอง ผู้ เผยแผ่ธรรม ผู้ปฏิบัติธรรม ท�ำกันไปแบบไม่มีความ เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เชื่อในการกระท�ำของตนเอง แล้ว
แสงธรรม 27 Saeng Dhamma อย่างนี้งานมันจะคล่องตัวและประสบกับผลส�ำเร็จ ได้อย่างไร เพราะว่าขาดศรัทธาความเชื่อเป็นเพื่อน คอยเตือนให้เกิดการกระท�ำ นี่แหละศรัทธาความเชื่อ ที่เป็นเพื่อนสองของคนนั้น มันมีความส�ำคัญอย่างนี้ คนเราจึงจ�ำเป็นต้องมีศรัทธาความเชื่อเป็นเพื่อน คอยเตือนให้ท�ำงานตามหน้าที่ของตน จึงจะเกิดผล คือความส�ำเร็จ อนึ่ง ศรัทธาความเชื่อเป็นเพื่อนคอยเตือนให้มี ก�ำลังกาย ก�ำลังใจ การท�ำงานทุกชนิดจะต้องมีทั้ง ก�ำลังใจและก�ำลังกาย ศรัทธาความเชื่อเป็นเครื่อง หล่อเลี้ยงก�ำลังกายก�ำลังใจ ตลอดระยะเวลาแห่งการ ท�ำงาน มิฉะนั้น งานมันจะไม่เดิน ขาดศรัทธาความ เชื่อเมื่อไร งานมันก็จะย่อหย่อนถอยหลัง หรือถึงกับ หยุดเอาเลยทีเดียว เหมือนนักกีฬาทั้งหลายที่ขาด กองเชียร์ มันท�ำให้อ่อนเพลียทั้งก�ำลังกาย และก�ำลัง ใจ ด้วยเหตุนี้ ศรัทธาความเชื่อจึงเป็นเพื่อนคอยเตือน และเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงก�ำลังกาย ก�ำลังใจ เพื่อให้ เกิดความพากเพียรพยายามและความอดทน พวกที่ ท�ำงานไม่จริงจัง ความหวังเลื่อนลอย ไม่ค่อยอดทน เหล่านี้ ก็เพราะขาดศรัทธาความเชื่อเป็นเพื่อน ก็ เหมือนรถเหมือนเรือขาดน�้ำมัน ก็มีแต่วันจะขึ้นสนิม ดังนั้น ศรัทธาความเชื่อจึงจัดเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ก�ำลังกายก�ำลังใจอันส�ำคัญที่สุด มนุษย์เราจะด�ำเนิน กิจการงานอะไร ทั้งทางโลกทางธรรม งานต�่ำงานสูง งานบ้านงานเมือง เรื่องท�ำมาหากิน งานวัดงาน ศาสนา ต้องมีศรัทธาความเชื่อเป็นเพื่อนให้ก�ำลังใจ ตลอดระยะเวลา งานนั้นจึงจะด�ำเนินไปด้วยความ ราบรื่น ก่อให้เกิดประโยชน์และประสบผลส�ำเร็จ ทุกประการ ศรัทธาความเชื่อนอกจากจะเป็นเพื่อน และเป็น เครื่องหล่อเลี้ยงก�ำลังกายก�ำลังใจ ให้คนเราท�ำงาน ส�ำเร็จแล้ว ศรัทธาความเชื่อยังรวบรวมไว้ซึ่งเสบียง คือบุญกุศลอีกด้วย บุญกุศล คุณงามความดี ศีล สมาธิ ปัญญา จัดว่าเป็นเสบียงส�ำหรับหล่อเลี้ยงชีวิต ของคนเราต่อไปในภายภาคเบื้องหน้า แต่ว่าบุญกุศล คุณงามความดี ศีล สมาธิ และปัญญา จะเจริญ ก้าวหน้า ก็ต้องอาศัยศรัทธาความเชื่อส�ำหรับ รวบรวมไว้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อแล้ว คนเราก็ไม่สามารถจะบ�ำเพ็ญบุญกุศล อบรมศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้นได้ ดังนั้น ศรัทธาความเชื่อ จึงได้ชื่อว่าเป็นเครื่องมือในการรวบรวมไว้ซึ่งเสบียง คือบุญกุศล คนเราจะเดินทางไปไหนมาไหน ต้อง อาศัยเสบียงในการเดินทาง เมื่อขาดเสบียงการเดิน ทางก็ประสบกับความยากล�ำบาก ยากที่จะถึงจุด หมายปลายทางได้ ฉันใด การด�ำเนินไปของชีวิตที่ จะพิชิตกับอุปสรรคนานัปประการได้ ถ้าขาดปัจจัย คือบุญกุศล ชีวิตของคนก็พบกับความยากล�ำบาก ยากที่จะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตได้ฉัน นั้นเหมือนกัน ประเด็นต่อไป ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้ ส�ำเร็จได้ ศรัทธาความเชื่อนั้นต้องเป็นความเชื่อที่ตั้ง มั่น ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่มากระทบ คนเราจะ ท�ำอะไร จะประกอบกิจการอะไรลงไป จะให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม ก็ต้องมีศรัทธาขึ้น ต้น ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อแล้ว คนเราท�ำอะไรก็ไม่ ส�ำเร็จ ศรัทธาคือความเชื่อนี้ ต้องตั้งมั่นปักดิ่งลงไป
แสงธรรม Saeng Dhamma 28 เหมือนเสาหินเสาศิลา ปักลงไปแล้วก็ไม่หวั่นไหว อย่างนั้น ศรัทธาความเชื่อต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อตั้งใจ จะท�ำอะไรแล้ว ก็ต้องท�ำด้วยความจริงใจ เชื่อมั่น ในการกระท�ำของตน ก็ยังผลให้ส�ำเร็จประโยชน์ได้ นี่แหละครูสี คือค�ำอธิบายในเรื่องเกี่ยวกับศรัทธา ทั้ง ๓ ประเด็น คือศรัทธาเป็นเพื่อนสองของคน, ศรัทธารวบรวมซึ่งเสบียงหล่อเลี้ยงก�ำลังกายก�ำลัง ใจ, และศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้ส�ำเร็จได้ ครูสีฟังค�ำอธิบายตามที่บรรยายมานี้ หายข้อข้องใจ หมดความเคลือบแคลงสงสัยในประเด็นทั้งสามตาม ที่กล่าวมานี้หรือไม่ หรือว่ามีข้อสงสัยอะไรต่อไปอีก ครูสี: เอาละครับ หลวงตา! ปัญหาข้อข้องใจ ในศรัทธาทั้ง ๓ ประเด็น เป็นอันว่าผมเข้าใจตามนัย ที่หลวงตาได้กรุณาอธิบายมาแล้วทุกประการ แต่ก็ ขอนิมนต์หลวงตาสรุปเรื่องของศรัทธาความเชื่อนี้ ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ยึดถืออะไรเป็นหลักใน เรื่องความเชื่อนี้ หลวงตา: ครูสี! เรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงสอน ความเชื่อตาม กาลามสูตร เป็นหลัก ข้อความใน กาลามสูตรนั้นมีความว่า เมื่อชาวกาลามะชนทูลถาม พระพุทธเจ้าว่า มีบรรดาคณาจารย์ต่างๆ มาสั่งสอน คนละอย่าง ต่างคนต่างสอนไม่เป็นแนวเดียวกัน ไม่ ทราบว่าจะเชื่อพวกไหนดี ว่าพูดเท็จพูดจริง พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องกาลามสูตรว่า พวกท่านทั้ง หลายจงถือหลักในเรื่องความเชื่ออย่างนี้ว่า อย่าเชื่อเพราะได้ยินได้ฟังตามๆ กันมา
แสงธรรม 29 Saeng Dhamma อย่าเชื่อตามประเพณีที่สืบๆ กันมานานแล้ว อย่าเชื่อตามค�ำเล่าลือว่าอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าเชื่อเพราะสอบสวนตรงกับต�ำรา (อย่าเชื่อต�ำรา) อย่าเชื่อตามที่คาดคะเนเอาตามหลัก ของตรรกะ อย่างเชื่อตามนัยเทียบเคียงเอาตาม หลักปรัชญา อย่าเชื่อโดยตรึกตรองเอาตามอาการ อย่าเชื่อเพราะว่ามันตรงกับความเห็นของเรา อย่าเชื่อเพราะผู้นั้นเป็นคนควรเชื่อ อย่าเชื่อเพราะคนๆ นี้เป็นครูของเรา นี่คือความเชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ให้พวก เราวินิจฉัยกันเอาเอง ถ้าเราพิจารณากันตามหลัก ข้างบนนี้แล้วก็ดูเหมือนว่า พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ ให้เชื่ออะไรเลย ปิดประตูตาย เชื่ออะไรไม่ได้ทั้งนั้น เรื่องเก่าแก่แต่บุรุษโบราณ ลัทธิประเพณี คัมภีร์ต�ำรา การคาดคะเนเทียบเคียงตามหลักของตรรกะและ ปรัชญา ท่านก็บอกว่า อย่าเชื่อ จนในที่สุด แม้แต่ผู้ พูดอยู่ในฐานะที่ควรจะเชื่อ และเป็นครูเป็นอาจารย์ ท่านก็ห้ามไม่ให้เชื่อ แล้วอย่างนี้จะให้เชื่ออะไร และ เชื่อใครดี ความจริง ตามหลักของความเชื่อข้างบนนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามไม่ให้เราเชื่อหรอก เป็น แต่เพียงท่านตรัสบอกว่าอย่า...อย่า..เท่านั้นเอง คือ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรทันที อย่าเพิ่งยอมรับอะไรทันที อย่าเพิ่งถือว่าถูกต้องทันที นี่คือพระประสงค์ของ พระพุทธเจ้า เพราะว่าถ้าเราเชื่อทันที ยอมรับทันที เห็นว่าถูกต้องทันที โดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์ให้รู้ความ จริงในเรื่องนั้นๆ ก็จะกลายเป็นคนเชื่องมงายไป พระองค์ทรงใช้ค�ำว่า อย่า...อย่า...ไว้ก่อน เพื่อเป็น เครื่องเตือนใจให้เกิดสติ ต่อเมื่อใด เราได้พิจารณาด้วยเหตุผล และความ จริงของสิ่งนั้นๆ ได้ปรากฏแก่ใจของเราโดยถ่องแท้ แล้ว เราจึงค่อยตัดสินใจเชื่อ คือเชื่อเมื่อได้พิสูจน์ ความจริงด้วยตนเองแล้ว รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปฝากความเชื่อไว้กับคนอื่น เมื่อใดได้ ประสบกับตนเอง รู้แจ้งแทงตลอดด้วยตนเอง ถ้า อย่างนี้ละก็เชื่อกันเถอะ นี่คือความเชื่อตามหลักของ กาลามสูตร
แสงธรรม Saeng Dhamma 30 ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ วัดไทยกรุงวอชิงตัน,ดี.ซี. ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทีม ประเทศไทยจากสถานเอกอัครราชทูตและพสกนิกรชาวไทยในบริเวณกรุงวอชิงตัน จัดพิธีสวดพระพุทธมนต์ พิธีวางพวงมาลาเบื้อง หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พิธีท�ำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องใน “วันนวมินทรมหาราช” พระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีนายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต เป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส
แสงธรรม 31 Saeng Dhamma ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ วัดไทยกรุงวอชิงตัน,ดี.ซี. ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทีม ประเทศไทยจากสถานเอกอัครราชทูตและพสกนิกรชาวไทยในบริเวณกรุงวอชิงตัน จัดพิธีสวดพระพุทธมนต์ พิธีวางพวงมาลาเบื้อง หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พิธีท�ำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องใน “วันนวมินทรมหาราช” พระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีนายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต เป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส
แสงธรรม Saeng Dhamma 32 พระราชมงคลรังษี (หลวงตาชี) เสียงธรรม...จากวัดไทย สารญฺจ สารโต ญตฺวา อสารญฺจ อสารโต เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา. คนเหล่าใดเห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และ เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความด�ำริชอบเป็นโคจร ย่อมประสบสิ่งที่เป็น สาระ แก่น ต้นไม้ในป่าธรรมชาติสร้างมามีอยู่ ๒ ชนิด คือ ไม้เนื้อแข็ง และไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็งเป็นต้นไม้ชนิด ที่มีแก่น ไม้เนื้ออ่อนเป็นต้นไม้ชนิดที่ไม่มีแก่น ใน บรรดาต้นไม้สองชนิดนี้ ต้นไม้ที่มีแก่นมีประโยชน์ มาก มีค่าสูง ราคาก็แพง ใครๆ ก็ต้องการ เพราะ ทนทานแข็งแรง ทนแดด ทนฝน ทนลม ทนฟ้า ฝังไว้ ในดินก็ทนอยู่ได้นาน แช่ไว้ในน�้ำก็ไม่ผุ อยู่ได้หลาย สิบปี ที่ส�ำคัญคือปลวกไม่กล้าแทะ นี่แหละคือคุณค่า ของไม้มีแก่น ส่วนไม้เนื้ออ่อน ไม่มีแก่นใช้ประโยชน์ได้ เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก ค่าก็ไม่สูง ราคาก็ต�่ำ เพราะ ไม่คงทนแข็งแรง ตากแดด ก็ไม่ทน ถูกฝนมากก็ไม่ ได้ ร้ายไปกว่านั้น ก็คือเป็นเหยื่อปลวกได้ดีนัก นี่คือ ลักษณะไม้เนื้ออ่อน ดังนั้น ค�ำว่า “แก่น” จึงหมาย ถึง สิ่งที่เป็นของแท้เป็นแก่น เป็นประธาน เช่น แก่นพระศาสนาก็หมายถึง ศีลสมาธิปัญญาแก่น สารก็หมายถึงสิ่งที่ตั้งมั่น สิ่งที่ถาวร สิ่งที่ไม่เหลว ไหล นี่คือความหมายของค�ำว่า “แก่น” แก่นคน ก็คือสิ่งที่ท�ำให้ชีวิตจิตใจของคนหนัก แน่นมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตามอ�ำนาจกิเลสตัณหา ไม้แก่นหรือแก่นไม้ มีประโยชน์แก่คนเราอย่าง มหาศาล เหลือที่จะพรรณนา แต่ว่าต้นไม้จะมีแก่น หรือเป็นแก่นให้คนเราใช้ประโยชน์ได้ต่างๆ นานานั้น
แสงธรรม 33 Saeng Dhamma มันก็จะต้องยืนหยัดต่อสู้กับดินฟ้าอากาศ ธรรมชาติ มาอย่างยาวนาน เพื่อให้แก่นเป็นแก่น อนุเคราะห์ ช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการได้ ไม้มีแก่นสามารถอ�ำนวย ประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องการประโยชน์จากต้นไม้ทุกแง่ ทุกมุมในท�ำนองเดียวกัน คนเราถ้าพยายามฝึกฝน อบรมตนเองให้เจริญด้วยคุณธรรมและศีลธรรมก็ เป็นคนประเภทมีแก่น คือ เป็นคนมีศีลดี มีธรรมงาม ตามหลักธรรมทางศาสนา หลักธรรมทางศาสนานั่น แหละ คือแก่นแท้ของคนเรา คนที่มีศีลมีธรรม ประจ�ำจิตใจ คนนั้นก็เป็นคนมีแก่น คนไหนปราศจาก ศีลธรรม คนนั้นก็เป็นคนไม่มีแก่น ต้นไม้ที่มีแก่น เป็นต้นไม้มีคุณค่าสูง เป็นที่ต้องการของคนทั่วๆ ไป ฉันใด คนที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรมศีลธรรมก็ เป็นที่ต้องการของคนในสังคม ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมะที่จะท�ำให้คนมีแก่นสารนั้น เรียกว่า “สาระ ธรรม” มีอยู่ด้วยกัน ๕ ข้อ คือ ๑. สัทธาสาระ แก่นคือศรัทธา ความเชื่อ ๒. สีลสาระ แก่นคือศีล ๓. สุตสาระ แก่นคือการสดับตรับฟัง ๔. จาคสาระ แก่นคือการเสียสละ ๕. ปัญญาสาระ แก่นคือปัญญา ความเชื่อมั่นคง ด�ำรงมั่นในศีล หมั่นฟังเป็น อาจิณ ความชั่วทั้งสิ้นต้องสละไป จะมีชัยต้องมี ปัญญา สัทธาสาระ แก่นคือศรัทธา ความเชื่อ ศรัทธา ที่แปลว่า ความเชื่อนั้น ท่านผู้รู้ – วิญญูชน ได้ให้ ความหมายไว้ถึง ๔ อย่าง คือ ๑. กัมมสัทธา เชื่อกรรมคือการกระท�ำ ๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม
แสงธรรม Saeng Dhamma 34 ๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็น ของๆ ตน ๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของ พระ ตถาคตเจ้า กัมมสัทธา เชื่อกรรมคือการกระท�ำทางกาย ทาง วาจา และทางใจของตน คนเราจะชั่วจะดี จะมีหรือ จะจน ไม่ใช่เกิดจากสิ่งอื่น หรือสิ่งลึกลับมหัศจรรย์ อะไรทั้งนั้นเป็นผู้บันดาล กรรมคือการกระท�ำของ เรานั่นแหละ เป็นผู้บันดาล คิดดี พูดดี ท�ำดี ก็เป็น คนดี มีความสุข ถ้าคิดชั่ว พูดชั่ว ท�ำชั่ว ก็เป็นคนชั่ว มีความทุกข์ มีความเดือดร้อน ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อเราเชื่อกรรมการกระท�ำของตนเช่นนี้ เราจึงควร เลือกคิด เลือกพูด เลือกท�ำ แต่กรรมที่ดี จะได้เป็น สิริมงคลส่งผลให้มีความสุขในที่ทุกสถานในกาลทุก เมื่อ นี่คือ “กัมมสัทธา” เชื่อกรรมคือการกระท�ำ วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรมคือการกระท�ำทาง กาย ทางวาจา ทางใจ คือท�ำ พูด คิดอย่างไร ก็ย่อม ได้รับผล อย่างนั้น ท�ำดี พูดดี คิดดี ก็ได้รับผลดี ถ้า ท�ำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว ก็ได้รับผลชั่ว หว่านพืช เช่นไร ก็ได้ผลเช่นนั้น นี่คือความหมาย “วิปากสัทธา” เชื่อผลของกรรม กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรม เป็นของๆ ตน คือคนเราเมื่อท�ำกรรมอะไรลงไปแล้ว กรรมนั้นก็ต้องเป็นของๆ เรา จะยกกรรมที่เราท�ำให้ คนอื่นไม่ได้ ใครท�ำก็ต้องเป็นของคนนั้น นี่คือความ หมาย “กัมมัสสกตาสัทธา” เชื่อว่ามีกรรมเป็น ของๆ ตน ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระ ตถาคตเจ้า คือเชื่อธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ทรงสอนอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นไม่แปรผัน เป็นอย่างอื่นไปได้ การเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระ ตถาคตเจ้านั่นแหละ เป็นความเชื่อที่ดีที่สุด ถูกต้อง ที่สุด คนเราท�ำอะไรลงไป ต้องอาศัยศรัทธาความเชื่อ เป็นปัจจัยส�ำคัญที่จะผลักดันให้ลงมือท�ำในสิ่งนั้นๆ ได้ ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อแล้ว คนเราก็ท�ำอะไรไม่ ได้ ดังนั้น ศรัทธา ความเชื่อจึงเป็นเสมือนหนึ่งว่า เพื่อน คอยเตือนให้คนเราท�ำอะไรให้ส�ำเร็จได้ ขาด เพื่อนก็เหมือนขาดปัจจัยส�ำคัญไป ท�ำอะไรลงไปก็ ไม่ประสบผลส�ำเร็จ ด้วยเหตุนี้ คนเราจึงจ�ำเป็นต้อง มีศรัทธาเป็นเพื่อนคอยเตือนตลอดเวลา สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ. ศรัทธาเป็นเพื่อนที่สองของคน คนเราที่ลงมือท�ำอะไรให้ด�ำเนินไปได้นั้น เพราะ มีศรัทธาเป็นเพื่อนคอยเตือนให้ท�ำงานตามหน้าที่ ไม่ผัดวันประกันเวลาในการท�ำงาน ต้องท�ำงานให้ต่อ เนือง ท�ำสม�่ำเสมอไม่ขาดสาย ผลสุดท้ายงานก็ ส�ำเร็จด้วยดี เพราะมีศรัทธาเป็นเพื่อนและศรัทธา นั้นก็ต้องเป็นศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาด้วยจึงจะ เป็นศรัทธาที่แท้จริง คือ “สัทธาญาณสัมปยุต” ศรัทธาประกอบด้วยปัญญาศรัทธาตั้งมั่นแล้วยัง ประโยชน์ให้ส�ำเร็จ ประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่น ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์อนาคต ประโยชน์อย่าง ยิ่ง คือนิพพานความดับทุกข์ ถ้าศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ก็ ส�ำเร็จได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ คนที่มีศรัทธาตั้งมั่นแล้ว จึง เป็นคนมีแก่น เพราะไม่หวั่นไหวต่อปัญหาและ
แสงธรรม 35 Saeng Dhamma อุปสรรค จิตใจหนักแน่นมั่นคง ประกอบกิจอะไรลง ไปก็ส�ำเร็จได้ ศรัทธาจึงเป็นแก่นคน (สัทธาสาระ) สีลสาระ แก่นคือศีล ศีลได้แก่ความพฤติกรรมทาง กาย ทางวาจา เรียบร้อย พฤติกรรมทางกายไม่เป็น โทษแก่ใครๆ พฤติกรรมทางวาจาก็ไม่เป็นภัยแก่คน อื่น เรียกว่าเป็นคนมีศีล คนมีศีลเป็นคนมีแก่นเพราะ มีกายสุจริต มีวาจาสุจริต คนมีกายสุจริต มีวาจา สุจริตเป็นคนมีแก่น สีละแปลว่าปกติ สีละแปลว่า เย็น สีละแปลว่าหนักแน่นมั่นคง คนมีศีลมีปกติ มี วาจาปกติ ไม่ท�ำชั่วทางกาย ไม่พูดชั่วทางวาจา ดัง นั้น ศีลจึงเป็นแก่นของคน (แก่นคน) แก่นคนคือศีล คนมีศีล สิ้นวุ่นวาย หายเดือดร้อน จะหลับนอน ก็เป็นสุข ทุกข์ห่างเหิน ท�ำอะไร จิตใจ ใฝ่เพลิดเพลิน สุขเจริญ เป็นนิรันดร์ ไม่ผันแปร สุตะสาระ แก่นคือการสดับรับฟังธรรมะค�ำสอน ในทางพระพุทธศาสนา การฟังมาก เป็นการเรียนรู้ ทางโสตประสาท ท�ำให้คนเรามีความรู้ มีความเข้าใจ ในเรื่องต่างๆ ที่ได้ฟังมา จึงท�ำให้เป็นพหูสูต คงแก่ เรียน การฟังนั้นเป็นเหตุให้ได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยฟัง สิ่ง ใดที่เคยฟังแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจชัดย่อมเข้าใจในสิ่งนั้น ชัด ถ้ามีความเห็นผิดมาก่อน ก็ท�ำให้มีความเห็นถูก ต้องได้เพราะการฟัง สามารถบรรเทาความสงสัย ต่างๆ ลงเสียได้ จิตใจของผู้ฟังย่อมผ่องใส ด้วย เหตุผลดังที่กล่าวมา สุตะ การสดับรับฟัง จึงเป็น แก่นคน คนเราจะเป็นคนฉลาด เป็นนักปราชญ์ผู้มี ปัญญา ต้องอาศัยการฟังเป็นปัจจัยส�ำคัญ ถ้า ปราศจากสุตะการฟังเสียแล้ว คนเราจะเป็นคนฉลาด เป็นปราชญ์ผู้มีปัญญาได้อย่างไร เมื่อไม่มีความฉลาด ไม่มีความปราดเปรื่องด้วยสติปัญญาแล้ว จะเป็นคน มีแก่นกันได้อย่างไร ใครต้องการเป็นคนมีแก่นก็ต้อง มีใจหนักแน่นในการสดับรับฟัง สดับรับฟังมาก เท่าไร แก่นคนก็แข็งแรงมากเท่านั้น นี่คือ “แก่นคน” ในข้อที่ว่า “สุตสาระ” แก่นคือการฟังน�ำมาเสนอท่าน ทั้งหลายโดยย่อ พอเป็นตัวอย่างในทางศึกษาหาความ รู้ต่อไป จาคะสาระ แก่นคือการเสียสละ บริจาค จาคะ มีสองความหมาย คือเสียสละภายนอก ได้แก่การ บริจาควัตถุสิ่งของต่างๆ เพื่อสงเคราะห์อนุเคราะห์ แก่คนอื่น ตามก�ำลังความสามารถที่จะท�ำได้ อย่า ให้เกินก�ำลัง ให้รู้จักประมาณในการบริจาค เพราะ ความรู้จักประมาณยังประโยชน์ให้ส�ำเร็จ คนตก ทุกข์ได้ยากยังมีอยู่มากในสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน ต้องอาศัยคนผู้มีน�้ำใจ มีความเมตตากรุณาสงสาร สงเคราะห์คนเหล่านั้นให้พวกเขามีความเป็นอยู่ อย่างไม่ต้องทนทรมานมากจนเกินไป นี่คือการเสีย สละภายนอก คือการบริจาควัตถุสิ่งของเท่าที่จะ ท�ำได้ตามก�ำลังความสามารถ อีกความหมายหนึ่ง ของ “จาคะ” คือการเสียสละภายใน การเสียสละ ภายในเป็นเรื่องส�ำคัญมาก แต่หากไม่ค่อยจะมีการ พูดถึงกัน พากันพูดถึงแต่การเสียสละภายนอก จึง ขอบอกว่า การเสียสละภายนอกจะเกิดจะมีขึ้นได้ ก็ ต้องอาศัยการเสียสละภายในเป็นปัจจัยผลักดัน เช่น คนจะให้วัตถุสิ่งของได้ก็ต้องเสียสละภายใน คือ “มัจฉริยะ” ความตระหนี่เห็นแก่ตัวเสียก่อน จึงจะ ให้วัตถุสิ่งของได้ ดังนั้น การเสียสละภายในจึงเป็น
แสงธรรม Saeng Dhamma 36 สิ่งส�ำคัญยิ่งกว่าการเสียสละภายนอก การเสียสละ ภายใน ได้แก่การเสียสละอะไร? การเสียสละภายในนั้น ได้แก่การเสียสละความ ชั่ว ความไม่ดี กิเลสตัณหา อันฝังแน่นอยู่ภายในจิตใจ ออกไป อย่าให้ความชั่วกิเลสตัณหาเหล่านั้น ฝัง แน่นอยู่ภายในจิตใจอีกต่อไป กิเลสประเภท ความ โลภ ความโกรธ ความหลง ทิฏฐิมานะ อิจฉาริษยา นินทาว่าร้าย ความชั่วทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งไม่ดี เป็นของบูดของเน่าของเหม็น ของไม่เป็นสิริมงคล ของไม่ดีเหล่านี้ อย่าปล่อยไว้ให้มันหมักดองอยู่ใน จิตใจ เพราะถ้าปล่อยให้กิเลสความเศร้าหมองเหล่า นี้ หมักดองอยู่ในจิตใจ จิตใจก็จะเศร้าหมองไปด้วย กิเลสตัณหาอารมณ์ฝ่ายต�่ำเหล่านั้นด้วย ดังนั้น จึง จ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสียสละกิเลสประเภท ความ โลภ ความโกรธ ความหลง ทิฏฐิมานะ อิจฉาริษยา นินทาว่าร้าย ให้หายไปจากจิตใจ อย่าปล่อยไว้ให้มัน ท�ำลายจิตใจอีกต่อไป เมื่อสละกิเลสทั้งหลายออกไป จากจิตใจได้แล้ว จิตใจก็จะมีแต่แก่น ดังนั้น คนไหน มี “จาคะสาระ” คนนั้นก็เป็นคนมีแก่น ได้พูดถึงการ เสียสละมาพอสมควรแล้วต่อไป ก็ขอเข้าสู่ประเด็น “ปัญญาสาระ” แก่นคือปัญญา ปัญญาสาระ แก่นคือปัญญา แก่นคนข้อสุดท้าย คือ ปัญญา ท�ำไมปัญญาจึงเป็นแก่นคน ปัญญาที่เป็น แก่นคน ก็เพราะปัญญาเป็นแสงสว่างของคนในโลก แสงสว่างอื่นเสมอด้วยปัญญาไม่มี ปัญญาเป็นแก้ว ของนรชน ปัญญาปกครองคนได้ ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต. ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา. แสงสว่างอื่นเสมอด้วยปัญญาไม่มี ปญฺญา นรานํ รตนํ. ปัญญาเป็นแก้วของนรชน ปญฺญา เจนํ ปสาสติ. ปัญญาปกครองคนได้ คนเราจะครองชีวิตอยู่ในโลกให้มีความเจริญ ก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ และมีความปลอดภัยได้ ต้อง อาศัยปัญญาเป็นเครื่องน�ำทาง ปัญญานั้นแหละเป็น แสงสว่างน�ำทางให้คนเราด�ำเนินชีวิตไปในทางที่ถูก ต้อง ถ้าขาดปัญญาก็อุปมาเหมือนอยู่ในที่มืดมองไม่ เห็นทิศทางเคว้งคว้างไปตามกรรม ดังนั้น ปัญญาจึง เป็นแสงสว่างในโลก เป็นแสงสว่างของคนที่อาศัยอยู่ ในโลก คนที่อาศัยอยู่ในโลก ต้องอาศัยปัญญาเป็น เครื่องน�ำทาง ชีวิตจึงจะพบกับความสว่างมองเห็น ทางด�ำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้องชอบธรรม การมีชีวิตอยู่ในโลกทุกวันนี้ ต้องอยู่กันด้วย ปัญญา ชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา เป็นชีวิตอัน ประเสริฐ เกิดมาเป็นคนกับเขาทั้งทีต้องเป็นคนฉลาด ครองชีวิตอยู่ด้วยปัญญา แสงสว่างอื่นเสมอด้วย ปัญญาไม่มี ไม่มีแสงสว่างอะไรเสมอด้วยปัญญา พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างในเวลากลางวัน พระจันทร์ ส่องแสงสว่างในเวลากลางคืน แสงสว่างอื่นๆ ก็ส่อง แสงสว่างในขอบเขตจ�ำกัด ข้อส�ำคัญแสงสว่างอันเกิด จากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ จากประทีปโคมไฟ แสง สว่างจากกระแสไฟฟ้าเหล่านี้ ไม่สามารถส่องเข้าไป สู่จิตใจอันมืดบอดไปด้วยกิเลสตัณหาของคนเราได้
แสงธรรม 37 Saeng Dhamma นอกจากแสงสว่างคือปัญญาเท่านั้น ที่จะส่องเข้าไป สู่จิตใจอันมืดบอด ด้วยกิเลสตัณหาของคนเราได้ ดัง นั้น แสงสว่างอื่นจึงเสมอด้วยปัญญาไม่มี ปัญญาเป็น แก้วของนรชน คนที่มีปัญญาเป็นคนที่มีแก้วสารพัด นึก คือจะนึกเอาอะไรก็ได้ตามความปรารถนา ด�ำดิน บินบน ล่องหน หายตัว ทุกวันนี้ก็มีให้เห็นกันอยู่แล้ว เช่น การส่งยานอวกาศไปส�ำรวจนอกโลก นานกัน เป็นเดือนเป็นปี ก็มีให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ท้ายที่สุด พระพุทธองค์ทรงย�้ำว่า ปัญญาปกครองคนได้ คนมี ปัญญาจะปกครองตนเองก็ได้ ปกครองคนอื่นก็ไม่มี ปัญหา ที่มีปัญหากันอยู่ทุกวันนี้ เพราะใช้คนปกครอง คน ไม่ใช้ปัญญาปกครองจึงเกิดปัญหา ดังนั้น ถ้าไม่ ต้องการให้เกิดปัญหาในการปกครอง ก็ตัองใช้ปัญญา ปกครองคน อย่าใช้คนปกครอง ถ้าใช้คนปกครองคน ก็จะหนีไม่พ้นจากปัญหา พระศาสดาตรัสว่า “ปัญญาปกครองคนได้” โปรดจ�ำกันไว้ให้ดี แล้วใช้ ปัญญาปกครองคนกันต่อไป สังคมจึงจะไร้ปัญหา ที่ กล่าวมานี้ คือเรื่องของ “ปัญญาสาระ” แก่นปัญญา แก่นคนข้อสุดท้ายได้แก่ปัญญา ใครมีปัญญาดังกล่าว คนนั้นก็มีแก่น แก่นคนคืออะไร? แก่นคนได้แก่ “สาระธรรม” ๕ ประการ คือ สัทธาสาระ แก่นคือศรัทธา, สีลสาระ, แก่นคือศีล, สุตะสาระ แก่นคือการสดับตรับฟัง, จาคะสาระ แก่นคือการเสียสละ, ปัญญาสาระ แก่น คือปัญญา คนไหนประพฤติปฏิบัติทั้ง ๕ ข้อนี้ ให้ สมบูรณ์บริบูรณ์ดี คนนั้นก็เป็นคนมีแก่น ดังนั้น ธรรมทั้ง ๕ ประการ คือ สัทธา, สีละ, สุตะ, จาคะ, และปัญญา จึงเป็นแก่นคน หนึ่งให้มี ศรัทธา อย่าประมาท อย่าให้ขาด เมื่อให้ทาน การกุศล ศรัทธาช่วย อวยสุข ให้ทุกคน จะเกิดผล เพราะศรัทธา พาน�ำทาง จะท�ำใด ไตร่ตรอง ถึงสองชั้น อย่าผลุนผลัน เชื่อง่าย ไร้เหตุผล จะท�ำบุญ สุนทาน การคบคน อย่าลุกลน จะถูกหลอก บอกให้จ�ำ ลิงหลอกเจ้า เข้าต�ำรา นั่นน่าคิด ควรพินิจ ค�ำโบราณ ท่านขานไข คนหน้าไหว้ หลังหลอก ท่านบอกไว้ อย่าตายใจ เชื่อตาม ค�ำของมัน คิดให้ดี อย่าผลีผลาม จะงามหน้า ใช้ปัญญา ถี่ถ้วน ควรไต่ถาม หาเหตุผล เสียก่อน ก่อนท�ำตาม ศรัทธางาม อย่างนี้ ดีนักแล ข้อที่สอง ต้องรักษา ศีลห้าด้วย เอาศีลช่วย ปราบกิเลส เหตุเศร้าหมอง ควรรักษา กายวาจา อย่าคะนอง ปราบจองหอง ด้วยศีล สิ้นหยาบคาย กาย-วาจา ถ้ายังหยาบ ปราบเสียบ้าง เอาศีลล้าง หยาบคาย หายเศร้าหมอง คนมีศีล กายดี เหมือนสีทอง วาจาผ่อง พูดจา ก็น่าฟัง รักษากาย วาจา อย่าประมาท พุทโธวาท สอนไว้ ในหมวดศีล ให้ช�ำระ กาย-วาจา อันราคิน ด้วยองค์ศีล ให้สะอาด ปราชญ์นิยม
แสงธรรม Saeng Dhamma 38 คนมีศีล สิ้นวุ่นวาย หายเดือดร้อน จะหลับนอน ก็เป็นสุข ทุกข์ห่างเหิน ท�ำอะไร จิตใจ ใฝ่เพลิดเพลิน สุขเจริญ เป็นนิรันดร์ ไม่ผันแปร ข้อที่สาม หมั่นสดับ รับโอวาท อย่าให้ขาด การฟังธรรม พระพร�่ำสอน ฟังแล้วจ�ำ ขึ้นใจ ให้แน่นอน ฟังไว้ก่อน นั่นแหละดี มีปัญญา ฟังให้ดี มีปัญญา สมาธิ หมั่นด�ำริ ตามหลัก แห่งมรรคผล ฟังอะไร ใฝ่ใจ ให้แยบยล เป็นมงคล มีปัญญา พารุ่งเรือง ฟังให้มาก ถ้าอยากรู้ เมื่อครูสอน อย่าง่วงนอน ตั้งใจ ใฝ่ศึกษา จะฟังเทศน์ ฟังธรรม ให้น�ำพา เกิดปัญญา ก็เพราะฟัง ตั้งใจจริง คนฟังมาก คงแก่เรียน เพียรอุตส่าห์ มีปัญญา ทรงจ�ำ ในค�ำสอน ด�ำเนินงาน ด้วยปัญญา ให้อาทร หายเดือดร้อน เพราะการฟัง ดีจังเอย ข้อที่สี่ มีจาคะ สละออก พระท่านบอก ให้ท�ำทาน การกุศล สละทรัพย์ ท�ำบุญ อุดหนุนคน ได้กุศล เพราะท�ำทาน การแบ่งปัน ก่อนจะให้ ใจดี มีฉันทะ เสียสละ ปัจจัย ไม่หวงแหน เพื่อแลกเปลี่ยน ความดี มีมาแทน อันเป็นแก่น ที่นิรันดร์ ไม่ผันแปร สละทรัพย์ ภายนอก ออกสงเคราะห์ ท�ำให้เหมาะ พอประมาณ การช่วยเหลือ ให้ด้วยจิต สงสาร การจุนเจือ เราช่วยเหลือ เขาดีใจ ใฝ่ขอบคุณ นี่คือให้ สิ่งภายนอก บอกให้รู้ ส่วนศัตรู ภายใน ใจสถุล ต้องสละ มันไป ให้สมดุล จิตใจขุ่น มัวหมอง ต้องละมัน ควรสละ สิ่งภายใน จิตใจชั่ว ความหมองมัว ในใจ ให้ละเสีย อย่าปล่อยไว้ ท�ำใจ ให้อ่อนเพลีย ละมันเสีย ใจสะอาด ปราศมลทิน ข้อที่ห้า ปัญญาดี มีสาระ ข้อนี้ละ ยิ่งส�ำคัญ ชั้นหัวแถว จะท�ำงาน เรื่องใด ให้เข้าแนว ก็ต้องแล้ว แต่ปัญญา พาน�ำทาง ปัญญาดี มีไว้ ใช้ประโยชน์ ท�ำลายโทษ ทุกอย่าง ให้ห่างหนี จะหนีทุกข์ พบสุขได้ หายราคี ปัญญาดี จึงจะถึง ซึ่งนิพพาน ปัญญาเกิด คราใด ใจเป็นพระ ย่อมชนะ กิเลสมาร ที่ผลาญเผา ท�ำลายชั่ว ตัวโมหา พามัวเมา ไม่โศกเศร้า หายห่วง พ้นบ่วงมาร โปรดใฝ่หา ปัญญา อย่าเกียจคร้าน เพื่อปราบมาร ภายใน ให้สาบสูญ กิเลสร้าย ภายใน ไม่พอกพูน เพราะสมบูรณ์ ด้วยปัญญา พารุ่งเรือง
แสงธรรม 39 Saeng Dhamma ขณะใด มีปัญญา พารุ่งโรจน์ ไม่มีโทษ ไม่มีภัย ไกลสงสาร จะคิดอ่าน เรื่องใด ใจส�ำราญ พบนิพพาน สุขสันต์ นิรันดร สาระธรรม ที่กล่าวมา ห้าข้อนี้ เป็นของดี มีสาระ พระท่านสอน ควรใฝ่หา สาระธรรม ตามค�ำกลอน ที่กล่าวสอน มาแต่ต้น จนสุดท้าย สัทธา-ศีล สุตะ และจาคะ ข้อหนึ่งละ คือปัญญา พาทีไข ทั้งห้านี้ เป็นของดี ไม่มีภัย โปรดจ�ำไว้ แล้วท�ำตาม งามจริงเอย นอกจาก “สาระธรรม” ดังที่กล่าวมานี้ จะเป็น แก่นของคนแล้วธรรมอื่น ๆ ธรรมหมวดอื่น ๆ ทั้งหมด ก็ล้วนเป็นแก่นของคนทั้งนั้น คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมทั้งหลายที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดง บรรยายไว้ในพระไตรปิฎก ล้วนแล้วแต่เป็นแก่นของ คนส�ำหรับผู้ที่น�ำไปประพฤติปฏิบัติตาม เพราะ ธรรมะค�ำสอนของพระตถาคตเจ้าจะเป็นประโยชน์ แก่ใครก็เฉพาะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามเท่านั้น พหูนํ วต อตฺถาย อุปฺปชฺชนฺติ ตถาคตา อิตฺถีนํ ปุริสานญฺจ เย เต สาสนการกา. การอุบัติขึ้นของพระตถาคตเจ้า จะเป็น ประโยชน์แก่คนหมู่มากคือบุรุษและสตรี ก็เฉพาะ ผู้ปฏิบัติตามค�ำสอนเท่านั้น แก่นคน ที่ส�ำคัญที่สุดก็สรุปลงที่ ศีล สมาธิ และ ปัญญานั้นเอง เพราะศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก ธรรมในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งมาจากอริยมรรคมี องค์แปด คือ สัมมาทิฎฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมา สติ, สัมมาสมาธิ สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ จัด เป็นหมวดศีล สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ จัดเป็น หมวดสมาธิ สัมมาทิฏฐิ,สัมมาสังกัปปะ จัดเป็นหมวดปัญญา ผู้ปฏิบัติตาม ศีล สมาธิ ปัญญา ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ดีแล้วจึงได้ชื่อว่าเป็นคนมีแก่นที่แท้จริง ดังนั้น แก่น แท้ แก่นจริงๆ ของคนเรา จึงได้แก่ ศีล สมาธิ และ ปัญญา สรุปแก่นคน จึงได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังที่ได้กล่าวมาโดยย่อพอเป็นตัวอย่างนี้แล ใคร ต้องการเป็นคนมีแก่น และเป็นแก่นที่แท้จริง มั่นคง ถาวร ก็ต้องสมาทานตั้งมั่นประพฤติปฏิบัติตาม อริยมรรคมีองค์แปด อันได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา ดังบรรยายมานี้แล
แสงธรรม Saeng Dhamma 40 ท่องแดนพระพุทธศาสนาไร้กาลเวลา ที่มหาเจดีย์บุโรพุทโธ อินโดนีเซีย-บาหลี บรรยายและถ่ายภาพโดย... พระวิเทศรัตนาภรณ์ (ดร.พระมหาถนัด อตฺถจารี) [email protected] #ท่องบาหลี สถานที่ส�ำคัญน่าเที่ยว น่าศึกษา (ต่อ) วัดเลมปูยางค์ (Penataran Lempuyang) สถานที่สุด Unseen ในเขตการางาเซ็ม (Karangasem) ที่เที่ยวบาหลี ที่นักท่องเที่ยวต่างพากันมาถ่ายรูปกับ ซุ้มประตูของวัด ช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ถือว่าสวยเกิน ค�ำบรรยาย เพราะพื้นหลังจะเป็นวิวของ “ภูเขาไฟ อากุง” นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมแบบฮินดูภายใน วัดอันเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย เหมาะส�ำหรับพาคนรู้ ใจมาถ่ายภาพสุดโรแมนติกให้บรรยากาศดูอบอุ่นสุดๆ วัดเม็งวี (วัด ตามัน อายุน) สร้างในศตวรรษที่ 17 วัดแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรเรือง อ�ำนาจ นับย้อนถึงสมัยราชวงศ์เกลเกล จนถึงปี 1891 มีคูเมืองล้อมรอบเป็นที่เก็บดวงวิญญาณของ 3 ภพ (3 โลก) เดินทางสู่เทือกเขาที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี “เทือกเขา เบดูกัล” ผ่านไร่ผัก มีผลไม้เมืองหนาว เช่น สตรอเบอรี่ แครอท และอื่นๆ มีหมู่บ้านที่สวยงามที่ตั้ง อยู่บนเทือกเขา ชมสวนดอกไม้นานาชาติ ชม ปุรา อู ลัน ดานู บราตัน (Pura Ulun Danu Bratan) หรือ วัดอูลัน ดานู อยู่บริเวณกลางน�้ำริมทะเลสาบบราตัน มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟสูงทะมึน บางช่วงถูกคั่นด้วยปุย เมฆสีขาว สร้างสมัยศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ท�ำพิธีทาง ศาสนาพุทธและฮินดู รวมทั้งอุทิศแด่เทวี ดานู เทพเจ้า แห่งสายน�้ำ ไม่สามารถเดินข้ามไปยังวัดได้ มีลักษณะ เด่นตรงศาลาซึ่งมีหลังคาทรงสูงที่เรียกว่าเมรุ มุงด้วย ฟางซ้อนกันถึง 11 ชั้น สวยงามมาก ได้สัมผัสกับ อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ริม ทะเลสาบบราตัน (Lake Bratan) เป็นทะเลสาบที่มี มนต์ขลัง ฉากหลังคือทุ่งนาขั้นบันไดที่ค่อยๆ ลาดต�่ำ ลง เป็นทะเลสาบที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีรีสอร์ทให้นักท่อง เที่ยวที่ต้องการธรรมชาติแบบทุ่งหญ้า ท้องนา และ ภูเขา ตอนเช้าหากปราศจากหมอกจะได้เห็นวิวที่ สวยงามของยอดเขาคินตามณี (Kintamani) ภูเขาอากุง (Mount Angung) เที่ยวสวนลิง (Alas Kedatan) มีมัคคุเทศก์ ท้องถิ่นคอยดูแลและพานักท่องเที่ยวชมภายในสวนลิง ภายในสวนลิงจะมีวัดเก่าแก่อายุกว่า 1,000 ปี สอง
แสงธรรม 41 Saeng Dhamma ข้างทางจะมีฝูงลิงห้อยโหนและนั่งเกาะกลุ่มกันเป็น จุดๆ มีจ่าฝูงคอยดูแล (ข้อควรระวัง : ไม่ควรให้อาหาร ลิงขณะเดินชม หรือสวมใส่สีฉูดฉาด ใช้เครื่องประดับ ที่ระยิบระยับ ท�ำให้ลิงสนใจและเข้ามาแย่งของ) วัดอูลู วาตู (Ulu Watu) ตั้งอยู่บนหน้าผาริม ทะเลด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปลายคาบสมุทร บูกิต การเข้าชมวัดต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูคนละ ประมาณ 1,000 รูเปียห์ โดยคนเฝ้าประตูจะให้ผ้าคาด เอวก่อนเข้าในบริเวณวัด ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุก วัด หากสวมกางเกงขาสั้น ต้องนุ่งโสร่งทับ จึงเข้าใน บริเวณวัดได้ วัดอูลู วาตู จัดได้ว่าเป็นวัดสาคัญ 1 ใน 5 แห่งที่อยู่ริมทะเล ภายในวัดแบ่งเป็น 3 ส่วนตามความ เชื่อ คือ สวรรค์ มนุษย์ และบริเวณของภูตผีปีศาจ ประตูวัดแกะสลักหินเป็นรูปปีกครุฑตั้งอยู่สองข้าง เว้นช่วงตรงกลาง ประตูถัดไปมีรูปสลักเป็นหน้ากาก ดู น่าเกรงขาม ข้างประตูประดับประดาด้วยรูปสลักพระ พิฆเนศ ชั้นสุดท้ายเป็นเจดีย์ซึ่งถือเป็นบริเวณที่มีความ ส�ำคัญที่สุด วัดนี้จัดได้ว่าเป็นสถานที่ที่สวยงามแห่ง หนึ่ง โดยเฉพาะในเวลาที่พระอาทิตย์ก�ำลังลับขอบฟ้า หมู่บ้านท็อปปาติ ชมสาธิตการย้อมและเขียน สีบนผ้าบาติกแบบพื้นเมือง ชมผ้าบาติกที่สวยงาม เป็นสินค้าที่มีฝีมือชั้นเยี่ยม ส่งออกจ�ำหน่ายทั่วโลก ศิลปะบาติกของบาหลีมีเอกลักษณ์ต่างจากประเทศอื่นๆ ใครไม่อยากซื้อผ้าบาติก แต่อยากได้ลวดลายบาติก เป็นที่ระลึก เขารับจ้างเขียนลงบนเสื้อ ส่วนใหญ่เขียน ที่แขนเสื้อ เลือกรูปลาย หรือเขียนชื่อตนเอง คิดราคา เพียงหนึ่งดอลล่าร์ เสื้อที่เหมาะจะเขียนคือสีขาวหรือ สีอ่อนๆ เขียนแล้วดูสวยดี วัดถ�้ำช้าง เป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นคล้ายๆ อุโมงค์ ปากทางจะมีแผ่นหินแกะสลักขนาดใหญ่เป็น รูปสัตว์ในต�ำนาน ชาวบาหลีเชื่อว่าจะคอยปกปัก รักษาสถานที่แห่งนี้ โดยมีรูปปั้นพระพิฆเนศวร์ และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แทนพระศิวะ พระนารายณ์ พระวิษณุ ตั้ง อยู่ภายในเพื่อให้สักการะบูชา มีสถาปัตยกรรมโบราณ ที่เป็นรูปปั้นหญิงสาวถือคนโทมีน�้ำไหลออกตกลง บริเวณบ่อพัก กล่าวกันว่า ใครอยากมีลูกต้องมาดื่ม หรืออาบน�้ำที่นี่ ตลาดอูบุด (Ubud Art Market) เปลี่ยน บรรยากาศมาช้อปปิ้งกันบ้าง ที่เที่ยวบาหลี เป็นตลาด ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอูบุด (Ubud) เป็นการมาสัมผัส วิถีชีวิตของชาวบ้านบาหลีแบบใกล้ชิด โดยร้านขาย ของทั้งสองฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า สินค้าแฮนด์เมด สินค้าพื้นเมือง ของ ตกแต่งบ้าน งานศิลปะ รวมถึงของฝาก ของที่ระลึก สามารถซื้อกลับไปฝากได้หมด แบบคล้ายกับตลาดนัด สวนจตุจักร บ้านเรา นอกจากช้อปปิ้งแล้ว ส�ำหรับสาย อาร์ตสามารถเดินเล่นถ่ายรูปชิลๆ วิวสวยๆ ได้อีกด้วย ของที่ระลึกจากบาหลี หากต้องการของที่ระลึกที่เป็น ศิลปะบาหลีไปตั้งในตู้โชว์ นักท่องเที่ยวนิยมซื้อพระ นารายณ์ขี่ครุฑที่แกะจากไม้ มีทั้งไม้สีต่างๆ สีครีม สี โอ้ค และที่ลงสีสวยสดงดงาม หรืออาจจะซื้อบารองส์
แสงธรรม Saeng Dhamma 42 สาหรับสินค้าพื้นเมืองที่นี่มีราคาถูกมากมาย เช่น ผ้า พันคอ ผ้าโสร่งพื้นเมือง กระเป๋าหนัง ตุ๊กตาไม้แกะ สลัก พวงกุญแจ และเสื้อที่ระลึก ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่า นี้มีขายทั่วไปตามสถานที่ท่องเที่ยวของเกาะบาหลี อาหารการกินของนักท่องเที่ยว Cabina Bali เป็นร้านอาหาร และคาเฟ่ ในสระว่ายน�้ำ อยู่ที่ North Kuta ส�ำหรับความเก๋กู๊ดของที่นี่คือ Floating Breakfast หรือ อาหารเช้าลอยน�้ำนั่นเอง ฟังค�ำแนะน�ำจากไกด์ เราอธิบาย ที่นี่ถือเป็นร้านแรกๆ ที่น�ำกระแส Floating Breakfast เข้ามา อย่าลืมจองออนไลน์มาก่อนล่วง หน้าด้วย เนื่องจากทางร้านวันนึงรับไม่กี่คิวเท่านั้น เพราะไม่ต้องการให้คนลงไปออกันในสระว่ายน�้ำจนดู ไม่ Private ส�ำหรับเมนูอาหารหลากหลายสไตล์มากๆ เช่น American Breakfast, Bali Style Breakfast, Vegan food หรือถ้าอยากจะ Customize เมนู อาหารเองก็เลือกได้ตามใจ ซึ่งอาหารจะใช้เวลาจัด เตรียมประมาณ 20 นาที ระหว่างรออาหารก็สามารถ เปลี่ยนชุดว่ายน�้ำ ลงแช่ในสระว่ายน�้ำ หรือ นอน อาบแดด ถ่ายรูปแบบชิลๆ ไปก่อน เที่ยวบาหลี ถือว่า คุ้มสุดๆ ไม่ว่าจะมุมไหนก็ถ่ายรูปสวยไปหมด อาหารก็ อร่อย ราคาไม่แพง สถานที่เขาดีจริงๆ Masceti Beach สถานที่สุดท้ายที่อยากจะ แนะน�ำ คือ “Black Sand Beach” อยู่บริเวณ “Lempuyang Temple” เป็นหาดทรายสีด�ำ ดูแปลกตา เพราะปกติเราจะเห็นหาดทรายเป็นสีขาว ที่หาดทราย เป็นสีด�ำนี้เกิดจากแร่ธาตุของ “ภูเขาไฟอากุง” ที่เคย ระเบิดอย่างรุนแรง โดยเม็ดทรายนี้จะมีความหนาแน่น และทนทานต่อการแตกสลายผุพังมาก เที่ยวบาหลี บริเวณหาดทรายจะมีสีด�ำยาวไปทั่วพื้นที่เลยทีเดียว เหมาะกับการถ่ายรูปที่เป็นเอกลักษณ์ทรงเสน่ห์ คล้าย กับหาดทรายสีด�ำ ที่หาดนางทอง เขาหลัก พังงา ประเทศไทยนั่นเอง ที่นี่หาดทรายเป็นสีน�้ำตาลสวย มากเลย เป็นชายหาดที่คึกคักมากเลย เนื่องจากมีร้าน อาหาร และโรงแรมอยู่ข้างเคียง ท�ำให้มีนักท่องเที่ยว แวะมาเที่ยวอยู่ตลอด น�้ำทะเลมีสีฟ้าใสสวยมากๆ ลง เล่นน�้ำได้สบายเลย หาของกินก็ง่าย ยิ่งช่วงตอนบ่ายๆ ถึงเย็นนะน�้ำจะน่าเล่นมาก อาจจะร้อนแดดไปหน่อย แต่ก็มีความเย็นของน�้ำช่วยได้ ทั้งหมดนี้เป็นค�ำ อธิบายของไกด์ที่ต้องการโปรโมทการท่องเที่ยวของ บาหลี ซึ่งบางอย่างก็เป็นความรู้ที่ควรน�ำมาเผยแผ่ ซึ่ง ผู้เขียนได้น�ำเกร็ดความรู้ต่างๆ เป็นข้อมูลที่ผู้ใดสนใจ จะไปพักผ่อนทางด้านร่างกาย และจิตใจ ตลอดถึงจิต วิญญาณของบาหลี คือศาสนาฮินดู ที่ยังปรากฏให้ เห็นด้วยคติความเชื่อของชาวบ้านท้องถิ่นปฏิบัติให้เรา เห็นด้วยความมีชีวิตชีวาอย่างน่าประทับใจ (อ่านต่อฉบับหน้า)
แสงธรรม 43 Saeng Dhamma ในพิธีสวดพระพุทธมนต์และท�ำบุญตักบาตรถวาย พระราชกุศล และพิธีวางพวงมาลา เนื่องในโอกาสวัน นวมินทรมหาราช ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ สถาน เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ได้จัดพิธีสวดพระพุทธ มนต์และท�ำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และพิธี วางพวงมาลา เนื่องในโอกาสวันนวมินทรมหาราช ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๖ ณ วัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. รัฐ แมริแลนด์ โดยมีนายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน เป็นประธานในพิธี และมีข้าราชการและ เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ และทีมประเทศไทย พร้อมครอบครัว และชุมชนชาวไทยในกรุงวอชิงตัน และรัฐใกล้เคียง ร่วมน้อมร�ำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เอกอัครราชทูตฯ ได้วางพวงมาลาเบื้องหน้า #พิธีปฐมนิเทศโรงเรียนวัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. ปี ๒๕๖๖ - ๒๕๖๗ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ โรงเรียนวัดไทยกรุง วอชิงตัน, ดี.ซี. ร่วมกับโครงการสอนภาษาไทยและ วัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ท�ำพิธีปฐมนิเทศและ ประชุมผู้ปกครองเพื่อรับฟังข้อคิดและความเห็นต่างๆ จากผู้ปกครอง พร้อมทั้งต้อนรับครูอาสาสมัคร ประจ�ำ การ ๑ ปี คือนางสาวณัฐชา แม้นพยัคฆ์ (ครูมิ้น) ครู สอนดนตรีไทย และนางสาวชนมน รัตนพิทยาภรณ์ (ครูแพร) ครูสอนภาษาไทย อย่างเป็นทางการของ คณะผู้ปกครอง #ท�ำบุญวันนวมินทรมหาราช ๑๓ ตุลาคม เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน เป็นประธาน โดย... ทีมแสงธรรม � สรุปข่าว ตุลาคม
แสงธรรม Saeng Dhamma 44 พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกา ธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมทั้งกล่าวน้อมร�ำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรง มีต่อปวงชนชาวไทย โดยเอกอัครราชทูตฯ ได้น�ำผู้ร่วม พิธียืนสงบนิ่งน้อมร�ำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เป็น เวลา ๘๙ วินาที #ติดตั้งฮีตเตอร์และแอร์ใหม่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ เนื่องจากฮีตเตอร์และ แอร์ตัวเก่า ที่อุโบสถศาลาพุทธมงคลวิมล, ดี.ซี. ซึ่งใช้ งานมาแล้ว ๒๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๓๘ – ๒๕๖๖) เสื่อม สภาพไปตามกาลเวลา ทางวัดไทยกรุงวอชิงตัน, ดี.ซี. จึงได้จ้างบริษัท Constellation ซึ่งชนะการประมูลใน ราคา ๕๕,๓๔๐ ดอลลาร์สหรัฐ มาติดตั้งใหม่ (TRANE TWA24043DAAE 20 –Ton Heat pump split system with electric heater package and programmable thermostat) เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดงานท�ำบุญ “ธรรมสมโภชอายุวัฒนมงคล ๑๐๐ ปี หลวงพ่อ พระราชมงคลรังษี (หลวงตาชี) ในวันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๗” โดยทีมช่างได้เริ่มงานตั้งแต่เช้า ของวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๖ ส�ำเร็จเสร็จสิ้นในวัน ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๖ ต้อนรับความหนาวเย็นของฤดู หนาวที่ก�ำลังมาเยือนพอดี #ปฏิทินข่าวเดือนพฤศจิกายน ๕ พฤศจิกายน ท�ำบุญทอดกฐิน ทีมงานติดตั้งฮีตเตอร์และแอร์ตัวใหม่ จากบริษัท Constellation ติดตั้งเสร็จ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๖
แสงธรรม 45 Saeng Dhamma รายนามผู้บริจาคประจ�ำเดือนตุลาคม Donation Box 1,224.00 Dhamma Talk 10/22/2023 1,111.00 Dhamma Talk 10/15/2023 1,090.00 Royal Thai Embassy 832.00 Dhamma Talk 10/08/2023 785.00 Pindapata 10/13/2023 754.00 Dhamma Talk 10/01/2023 658.00 Watthana Matang 600.00 Utilities 500.00 General 500.00 Dhamma Talk 09/24/2023 409.00 Palungboon Group 405.00 Tan and Sompodee Dao 200.00 Narada Lee 200.00 Dr. and Dr. Weerasak Limawararut 200.00 Sumeth Siravajanakul 200.00 Aroon and Sumana Suansilppongse 200.00 Ven.Kotchaphon 100.00 Prabhassara Agkrasa 100.00 Amornkitwanit 100.00 Phanomrat and Sanit Mookkung 100.00 Pensri Patavanij 100.00 Rachanee and Kolavit Rapeepun 100.00 Hataya Sathira 100.00 Niti Crupiti, Attorney 100.00 Tanapon Kuptanon 60.00 Phongsri Calfee 50.00 Jalorrut Chengtrakuun 50.00 Ritthaworn Family 50.00 Nipaporn and Ben Stombler 50.00 Chamnian Rollefson 50.00 Nasha Silapasuwanchai 42.00 Benjawan Jones 40.00 Thidarat Sihakhoon and Kittisak Satitpanuvet 32.00 PRAPARAT CHANYASUBKIT 30.00 Luo Hui Yan 20.00 Banyen Calfee 20.00 Prajuab Junloy 200.00 Aekaluck Visaka Phanmanivong 200.00 Narttaya and Richard Tinker 200.00 Duangpranee and Boondharm Wongananda 200.00 John Wanchalee Putnam 109.00 Pontipa and John Joines 100.00 Laiad Laney and Robert Laney 100.00 Norman R Nordlund 100.00 Melinda Sasinee and Kelvin Piyabush Onchitta 100.00 Chongrak Stringer 100.00 Prajuab Sumonthee 100.00 Monroe and Sulee Taranto 100.00 Malee Toongkaburee 100.00 Atcha Wong 100.00 Somporn Young 60.00 Malakas / Bayani 50.00 Punthip Chindalat 50.00 Duwayne and Choonin Engelhart 50.00 Pipatana Wanlapa Esara 50.00 Suthon Jongpitacrat 50.00 Ming and Rungruedee Phlerdphlao 50.00 Robert Pudelka 50.00 Davan and Noppon Setji 50.00 Adisak and Duangnid Siripornsawan 50.00 Chantana Smith and Chujit Richards 50.00 Theuang and Chanpheng Sombat 50.00 Sirikunya Thumprasert 50.00 Orapan Tonakarn 50.00 Scott and Noi Neuman 49.00 Somchai Rimnongrua 40.00 Narathip Chitradon 40.00 Jaruwan and Sean Currie 40.00 Pad Thai Restaurant 30.00 รายนามผู้บริจาคท�ำบุญทั่วไป รายนามผู้บริจาคท�ำบุญวันออกพรรษา Dollawan Nguyen 20.00 Chalorat Taungtrakul 10.00 Liudy Yan 10.00 MAENGPONG KARDMAI 10.00
แสงธรรม Saeng Dhamma 46 รายนามผู้บริจาคบ�ำรุงโรงเรียนวัดไทยฯ ดี.ซี. รายนามผู้บริจาคท�ำบุญทอดกฐิน Alexander Krot, III 200.00 Nattawee Sriploy 200.00 Suphaphon Family 200.00 Corey Lee Bosely 100.00 Wittaya and Linjong Charoenpol 100.00 Michael Gibbs 100.00 Rittavee Keeratiwutthikul 100.00 Orathai Lee 100.00 Chaiwat Lertwanasiriwan 100.00 Sukanya and Tim Outsa 100.00 Subin and Thamanee Phonpaiboon 100.00 Yoopadee Wongsuptawee 100.00 Lamai Chalanun 2,800.00 Anita Yuthasastrkosol 2,015.00 Ophas and Marneerat Vongxaiburana 1,800.00 Caring for All 1,500.00 Outis and Supharerk Pekananth 1,099.00 Dr. and Dr. Weerasak Limawararut 1,002.00 Prabhassara Agkrasa 1,000.00 Naovarat and Edward Branagan 1,000.00 Suwapee and Thamnoon Dejtisakdi 1,000.00 Wikrom Karnsakul 1,000.00 Malee and Ratana Manakul 1,000.00 Prasarn and Puangtip Manakul 1,000.00 Anchalee Musikabhumma 1,000.00 Jintana and Payoon Ngamsaad 1,000.00 Chana Puiam 1,000.00 Boonyong Thada,M.D. and Banjarat Thada 1,000.00 Sivilai Samung and Friends 502.00 Malee Barlee 500.00 Khammouane and Varanya Chanthaboun 500.00 Tippavan Hodges 500.00 Napapapas Koonsiritharachai 500.00 Sukchai Kunaprayoon 30.00 Yaowaporn Lohrmann 30.00 Boonyarut and Daniel Lynch 30.00 Kanjana J and Robert E Russell 30.00 Jantana Cornell 25.00 Tassane and David Iadonisi 25.00 Umnaoy Reardon 25.00 Kesinee Sriboonruang 25.00 Kwannapis and James Boogren 20.00 Ratee Brown 20.00 Pornpilai Saetang 20.00 Vises and Piengphen Suanpan 20.00 Jongkol and Mongkon Tongvibulaya 20.00 Orawan Kendall and Antonio Weatherspoon 19.99 Michael and Thongmak Blair 10.00 Alan Boyle 10.00 Chuanpit Schirmer and Leeann Turner 10.00 Daraporn Herrick 5.00 Sirinuch and Phornsak Laohapant 500.00 Thipasorn and Samorn Namsawat 500.00 Kanokphan Pongsiri 500.00 Rachanee and Kolavit Rapeepun 500.00 Supannee Satawatrakul 500.00 Narttaya and Richard Tinker 500.00 Wilai and Somsawat Tonakarn 500.00 Pachara Tuangsethavut 500.00 Kanya Sastura and Michael Asuncion 400.00 Punthip Chindalat 300.00 Pipatana Wanlapa Esara 300.00 Narada Lee 300.00 Ritthaworn Family 300.00 Chaiyut and Yupha Somkhaoyai 300.00 Krisak and Acharee Apibunyopas 200.00 Laddawan Chotikul 200.00 Puntipa and Poonyoth Kurpradit 200.00 Chiraporn Chotikabhukkona 100.00 Siriporn and Brian Hasselbalch 100.00 Sethapan Krajangwong 100.00 Chaweewan Pananon 100.00 Pranee Roongsetter 100.00 Eric and Wilawan Wattanarungsikajorn 100.00 Suthon Jongpitacrat 50.00 Vises and Piengphen Suanpan 50.00 Robby Siu 40.00 Khamphae Douangmovongsa 30.00 Pimolwan Suanpan 20.00
แสงธรรม 47 Saeng Dhamma กิจกรรมท�ำบุญตักบาตรฟังธรรมเช้าวันอาทิตย์ / คณะญาติโยมผู้อุปถัมภ์ภัตตาหารเช้า-เพล วัดไทยฯ ดี.ซี.
แสงธรรม Saeng Dhamma 48 ท่านรู้สึกโศกเศร้าหรือโดดเด ี�ยวหรือเปล่า บริการฟรี่ท��สามารถช่วยเหลือคุณได้---- สายด่วนวิกฤต ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนด้านสุขภาพจิตเร่งด่วน บริการทุกวันตลอด 24 ชัวโมง � สายด่วนสุขภาพจิตชุมชนพร้อมแชทออนไลน์ เจ้าหน้าที�ที�่มีความชำนาญคอยช่วยเหลือ เจ้าหน้าที�ที�เป็นมิตรคอยรับฟัง บริการและช่วยเหลือทางด้านแห่งข้อมูลสำหรับคนทุกวัย บริการให้คำปรึกษาแนะนำด้านสุขภาพจิต แอลกอฮอล์ หรือ ยาเสพติดอ�ื่นๆ ขอความช่วยเหลือ แหล่งข้อมูลฟรี ศูนย์ความช่วยเหลือวิกฤตเขตมอนต์โกเมอร�ี่ (ทุกวัย) 240-777-4000 (บริการทุกวันตลอด 24 ชัวโมง) � สายด่วนเขตมอนต์โกเมอรี�่ (ทุกวัย) 301-738-2255 (บริการทุกวันตลอด 24 ชวโมง) �� โทรหรือเท๊กซ์ 988 แชทออนไลน์—988lifeline.org บริการผู้สูงอายุและผู้พิการที�่สูงอายุ องค์การด้านสุขภาพและบริการด้านมนุษยชนเขตมอนต์โกเมอรี�่ 240-777-3000 บริการผู้สูงอายุที่แอฟฟิลิเอดทิ�ตซานเทกรุ๊ป 301-572-6585 x 2104 โปรแกรมเยี�ยมเยือนผู้สูงอายุ 301-424-0656 x511 MONTGOMERY COUNTY ่