ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
1
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ฝึกกการลเลอ่นงชุดด้วยตนเอง
ราคา 185 บาท
กรรมการผจู้ ดั การ : กุลธร เลศิ สุรยิ ะกุล
บรรณาธกิ าร : รจนา กาศยปนันท์
สอนโดย : ปธานนิ จอ้ ยปาน
เรียบเรยี ง : อิทธิรุตม์ กลุ เลศิ พิทยา
ศิลปกรรม : อิทธริ ุตม์ กุลเลิศพทิ ยา
จดั จ�ำหน่ายโดย
Top Talent Music Academy
จดั พิมพโ์ ดย
บรษิ ัท เบสทม์ เี ดีย เอด็ ดูเทนเมนท์ จ�ำกัด
57 ชั้น 2 ซอยนาคนวิ าส 21 แยก 2-3 ถนนนาคนิวาส
แขวงลาดพรา้ ว เขตลาดพร้าว กทม. 10230
โทร. 02-956-1146
Email : [email protected]
2
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
คำ� น�ำ
ดนตรี เป็นส่ิงท่ีมีบทบาทส�ำคัญและเก่ียวข้องกับการด�ำเนินชีวิตของมนุษย์
เป็นอย่างมาก เราสามารถใช้ดนตรีช่วยผ่อนคลายจิตใจ อารมณ์ ท�ำให้เกิดความ
สนุกสนาน และความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนน�ำความรู้ความสามารถไปประยุกต์
ใช้ให้เกิดประโยชนใ์ นชวี ิตประจำ� วันและการประกอบอาชพี ได้
หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเนื้อหาของการตีกลองชุด เพอื่ ให้คณุ สามารถจดจำ�
และเขา้ ใจ ทั้งยังเป็นการประหยัดเวลา ซึ่งจริง ๆ อาจจะใชเ้ วลานานนับปีกนั เลยที
เดียว แตห่ ากฝึกตามวธิ ที ี่ไดแ้ นะนำ� ไว้ คุณจะสามารถเล่นไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ ไดอ้ ย่าง
แน่นอน
หนงั สือ “กลองชุด” เลม่ นจ้ี ะสามารถชว่ ยพฒั นาฝมี อื การตีกลองชดุ ของคุณ
ใหส้ ามารถน�ำไปใช้ฝึกซอ้ มหรอื เลน่ จรงิ ได้ และการฝกึ ในแบบตา่ ง ๆ นี้ คณุ อาจนำ� มาใช้
เพอื่ แกะเพลงทเ่ี ราชนื่ ชอบไดเ้ ชน่ กัน
กองบรรณาธกิ าร
3
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
4
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
สารบัญ
ค�ำน�ำ 2
7
ประวัตกลองชุด 15
27
ส่วนประกอบของกลองชุด 33
45
ทฤษฎีเบื้องต้น 61
67
เริ่มฝึกตีกลองชุดอย่างไร ? 69
73
เทคนิคการบรรเลงกลองชุด 79
87
เริ่มฝึกตีกลอง Sanre Drum 95
การเหยียบกระเดื่อง Bass Drum
การเล่น H-Hat ให้ได้ Dynamic
Stroke คืออะไร ?
ฝึกแยกประสาทการตีกลองชุด
ฝึกยากให้ง่าย
แบบฝึกหัดการ Warm Up
5
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
6
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
CHAPTER 1
ประวัติของกลองชุด
7
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
8
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ประวัตขิ องกลองชดุ
กลองชุดเป็นช่ือเรียกภาษาไทย มี
ความหมายถงึ กลองหลายใบ ภาษาองั กฤษ
ใช้ Team Drum หรือ Jass Drum ทั้ง
สองช่ือมีความหมายเหมือนกัน คือ การ
บรรเลงกลองคร้ังละหลายใบ ค�ำว่า “แจ๊ส
(Jass) หมายถึง ดนตรีแจ๊ส ซึ่งใช้กลอง
ชุดร่วมบรรเลง จึงเรียกว่า Jass Drum
และยังมีช่ือเรียกกลองชุดเป็นภาษาอังกฤษ
ว่า Dance Drumming หมายถึงกลองชุด
ใช้บรรเลงจังหวะเต้นร�ำ
กลองชดุ ประกอบด้วย กลองลักษณะ
ต่างๆหลายใบ และฉาบหลายอันมารวม
กัน โดยใช้ผู้บรรเลงเพียงคนเดียว กลอง
ชุดน้ีตามประวัติของดนตรีไม่ปรากฏว่าได้
เข้าร่วมบรรเลงกับวงดนตรีดุริยางค์สากล
ซ่ึงเป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ แต่ใช้บรรเลง
ร่วมกับวงดนตรีแจ๊ส และวงดนตรีท่ีมีเคร่ือง
ดนตรีน้อยชิ้นบรรเลงได้แก่ วงคอมโบ้
(Combo) วงสตรงิ คอมโบ้ (String Combo)
ฯลฯ
กลอง จัดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่เก่า
แก่ที่สุดในจ�ำพวกเครื่องดนตรีทั้งหมด ใน
9
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
อดีตมนุษย์ขึงหนังสัตว์บนรูกลวงของท่อนไม้ และตีหนังสัตว์ด้วยน้ิวและมือ
จากการศึกษาประวัติศาสตร์พบว่า คนตีกลองพื้นเมืองจะตีกลองเป็นจังหวะ
ส�ำหรับการเต้นร�ำระหว่างเผ่า แต่ปัจจุบันพบว่า การบรรเลงกลองชุดจะเด่น
ท่ีสุดในส่วนของวงดนตรี ส�ำหรับการเต้นร�ำ คนตีกลองพยายามปรับปรุงวิธี
การบรรเลง โดยบรรเลงตามจังหวะที่ได้ยินแล้วน�ำมาปรับปรุงโดยการคิดค้น
ระบบใหม่ขึ้น ซ่ึงนับว่าเป็นระบบที่ได้ริเริ่มข้ึนเป็นครั้งแรก โดยการบันทึก
อัตราส่วนของจังหวะกลองในบทเพลง การบันทึกบทเพลงน้ันประกอบด้วย
ท�ำนองเพลง การประสานเสียงและจังหวะ ท�ำให้ดนตรีมีการประสานเสียง
กลมกลืน เพ่ิมความไพเราะมากยิ่งข้ึน การริเร่ิมพัฒนากลองชุดเป็นคร้ังแรก
โดยเริ่มต้นจากบทเพลงจังหวะวอลซ์ (Waltz)
ในช่วง ค.ศ. 1890 ถึง ค.ศ. 1910 นักตีกลองชุดเร่ิมแยกออกจากแบบ
ด้ังเดิม พยายามที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกท่ีเป็นอิสระของดนตรี แทนแบบ
เกา่ ทม่ี แี บบแผนบงั คบั ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามการแสดงถงึ ความกา้ วหนา้ ของนกั ตกี ลอง
10
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ชุดคือ จะเติมความสนุกสนานลงในช่วงปลายประโยคเพลง หรือต้นประโยค
เพลงแล้วจึงบรรเลงตามบทเพลงที่ก�ำหนด ซึ่งเป็นเพียงการบรรเลงให้ถูก
ต้องตามจังหวะเพลงเท่าน้ัน การแสดงความก้าวหน้านี้เป็นการคิดค้นเพื่อ
การสร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจภายในโดยตรงของนักตีกลองชุด
ปี ค.ศ. 1910 ถึง ค.ศ. 1920 จังหวะ แร็กไทม์ (Ragtime) ได้รับความ
นิยมมากเพราะเป็นจังหวะใหม่และน่าตื่นเต้น ลักษณะจังหวะแร็กไทม์ เป็น
จงั หวะเรว็ และรวบรดั ชวนใหเ้ ตน้ รำ� สนกุ สนาน เปน็ ทช่ี น่ื ชอบของชนชาวผวิ ดำ�
แต่นักตีกลองส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าปฏิเสธของใหม่ โดยตระหนักถึง
รูปแบบจังหวะของดนตรีอิสระ และเรียกพวกนักตีกลองชุดจังหวะแร็กไทม์
ว่า “ของปลอม” เพราะบรรดานักตีกลองชุดรุ่นใหม่บรรเลงโดยการใช้ความ
จ�ำและบรรเลงอย่างใช้อิสระโดยไม่ใช้โน้ตเพลง ถึงแม้ว่าจะเป็นการบรรเลง
โดยปราศจากตัวโน้ต แต่ผู้บรรเลงสามารถอ่านและเข้าใจอารมณ์ของดนตรี
ได้เป็นอย่างดี ท่ีส�ำคัญก็คือ สามารถบรรเลงได้อย่างดีเย่ียม
ต้นศตวรรษที่ 20 ปี ค.ศ. 1920 ดนตรีแจ็สเร่ิมได้รับความนิยมอย่าง
11
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ช้าๆ บรรดานักตีกลองชุดรุ่นเก่าที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงการบรรเลงจ�ำต้อง
ยอมพ่ายแพ้แก่นักตีกลองชุดรุ่นใหม่ท่ีมีชื่อเสียง จังหวะการบรรเลงค่อยๆ
เริ่มเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย ทั้งน้ีเพ่ือให้สอดคล้องกับความต้องการและ
รสนิยมของผู้ฟัง แต่อย่างไรก็ตาม นักตีกลองจะต้องทราบเกี่ยวกับการรัว
การท�ำเสียงให้สั่นสะเทือน และความรู้เกี่ยวกับหนังกลองหรือแผ่นพลาสติก
ท่ีจะท�ำให้ขึงตึงพอดีไม่หย่อนหรือตึงเกินไป นักตีกลองท่ีดีและเก่งที่มีความรู้
รอบตัวมักจะหางานได้ง่าย แต่ผู้ท่ีมีความรู้อย่างดีเรื่องเคร่ืองเคาะตีทั้งหมด
ก็จะได้งานที่ดีกว่า
ต่อมาในปี ค.ศ. 1928 ถึง ค.ศ. 1935 เป็นยุคของซิมโพนิค-แจ๊ส
(Symphonic- Jass) จังหวะของดนตรีมีทั้งจังหวะเร็วและช้า การบรรเลง
จังหวะช้าน้ัน เริ่มมีการใช้แปรงลวด (Wirebrushes) หรือภาษานักตีกลอง
เรียกว่า “แซ่” นักตีกลองต้องเรียนรู้เกี่ยวกับแปรงลวด ถึงวิธีการใช้และวิธี
การบรรเลงและนกั ตกี ลองตอ้ งเปน็ ผทู้ ตี่ ง้ั จงั หวะในบทเพลงพรอ้ มทง้ั ยดึ จงั หวะ
ให้ม่ันคง เคร่ืองดนตรีอื่นๆจะปฏิบัติตามจังหวะกลองชุด
12
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ปี ค.ศ. 1935 จังหวะแบบใหม่ท่ีมีชื่อว่า สวิง (Swing) เร่ิมแพร่หลาย
ช่วงตอนต้นของปี บทเพลงทุกเพลงต้องมีกลองชุดเข้าร่วมบรรเลงด้วยเสมอ
นับเป็นครั้งแรกท่ีนักตีกลองชุดเข้าถึงจุดสุดยอด ซึ่งมีความส�ำคัญมาก จัดอยู่
ในระดับสูงสุด เพราะไม่มีงานไหนจะสมบูรณ์แบบถ้าขาดกลองชุดและการ
บรรเลงเดย่ี ว (Solo) ถงึ ขนาดนกั ตกี ลองชดุ ทเ่ี กง่ ๆมชี อ่ื เสยี งนำ� ชอื่ ของตนเอง
มาตั้งเป็นชื่อของวงดนตรี ในยุคนี้จึงถือว่าเป็นยุคของนักตีกลองชุดที่ประสบ
ความส�ำเร็จอย่างสูง
จากประวตั ขิ องกลองชดุ ทผี่ า่ นมาจะเหน็ ไดว้ า่ รปู แบบการบรรเลงกลอง
ชุดได้พัฒนาขึ้นตามล�ำดับมีการเปลี่ยนแปลงจังหวะตามยุคตามสมัย ส�ำหรับ
นักตีกลองชุดผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงคงยึดถือตามแบบฉบับเดิมก็จะไม่ได้รับ
ความนิยม การที่ไม่ปรับปรุงพัฒนาตนเองนั้นท�ำให้อยู่ในสังคมของดนตรีไม่
ได้ เพราะจะถูกคนท่ีพัฒนาตนเองหรือคนยุคใหม่แย่งงานไปหมด นักตีกลอง
ที่ดีและเก่งจะประสบความส�ำเร็จได้อย่างมีพื้นฐานท่ีดีและมีหลักการอย่างดี
13
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
อีกด้วย
ช่วงระยะสงครามโลกคร้ังท่ีสอง ปี ค.ศ. 1940 เป็นระยะท่ีมีความ
ต้องการด้านดนตรีสวิงมาก นักตีกลองชุดมีงานมากเพราะทหารต้องการฟัง
เพลงหลังจากออกรบ รัฐบาลได้ส่งวงดนตรีไปปลอบขวัญทหาร ซึ่งเป็นการ
ช่วยเหลือใหท้ หารมขี วัญและกำ� ลงั ใจสามารถสรู้ บจนชนะข้าศกึ และสงคราม
ดนตรีเป็นส่วนหน่ึงท่ีมีส่วนช่วยในกิจกรรมคร้ังนี้
หลังจากสงครามโลกคร้ังท่ีสองสงบลง รสนิยมของบุคคลท่ัวไปเร่ิม
เปลี่ยนแปลง
ดนตรแี บบคอมโบ้ (Combo) เริ่มได้รับความนยิ มอย่างแพรห่ ลาย นกั
ตีกลองเร่ิมเบื่อหน่ายการบรรเลงจังหวะเก่าๆ มีการริเริ่มจังหวะใหม่ๆ โดยใช้
กลองใหญ่ช่วยเน้นจังหวะ เรียกว่า บ๊อพ (Bop) หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ยุคของ
การบรรเลงด้วยนิ้วมือ (Finger Drumming Techinque) คือการบรรเลง
ด้วยเทคนิคท่ีใช้น้ิวมือปฏิบัติท้ังสองข้าง โดยใช้ไม้ตีกลองมือขวา ตีฉาบด้าน
ขวามือ ซ่ึงเป็นการรักษาจังหวะให้ม่ันคงแน่นอน แล้วเปล่ียนมือขวามาตีไฮ
แฮท (Hi Hat) อย่ดู า้ นซา้ ยมอื อยา่ งต่อเน่อื ง เท้าขวาเหยยี บทกี่ ระเด่ืองกลอง
ใหญเ่ นน้ เสยี งหนกั แนน่ มน่ั คง มอื ซา้ ยตกี ลองเลก็ และฉาบอยา่ งอสิ ระโดยการ
เน้นเสียง เช่น การตีเน้นเสียงที่ริมขอบกลอง หรือ การตีหนักๆที่กลางกลอง
ผู้ที่มีเทคนิคการบรรเลงด้วยน้ิวมือได้ดี คือ โจ โจนส์ (JO JONES) โจนส์ใช้
มือขวาตีท่ีหัวฉาบมือซ้ายตีขอบฉาบอย่างช�ำนาญและเชี่ยวชาญ
จงั หวะตา่ งๆ ทน่ี ยิ มบรรเลง ตงั้ แตอ่ ดตี เรอ่ื ยมามจี งั หวะมากมายหลาย
รูปแบบ บางจังหวะก็หายสาบสูญไป เพราะไม่ได้รับความนิยม แต่ก็มีจังหวะ
ใหม่ๆ เข้ามาแทนที่
14
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
CHAPTER 2
ส่วนประกอบของกลองชุด
15
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ส่วนประกอบของกลองชุด
กลองชุดประกอบด้วยกลองลักษณะต่างๆ หลายใบและฉาบหลายอัน
มารวมกันโดยใช้ผู้บรรเลงเพียงคนเดียว กลองชุดน้ีตามประวัติของดนตรีไม่
ปรากฏว่าได้เข้าร่วมบรรเลงกับวงดนตรีดุริยางค์สากล ซ่ึงเป็นวงดนตรีขนาด
ใหญ่ แต่ใช้บรรเลงร่วมกับวงดนตรีแจ๊สและวงดนตรีท่ีมีเคร่ืองดนตรีน้อย
ช้ินบรรเลงได้แก่วง คอมโบ้ วงสตริงคอมโบ้ ฯลฯ กลองที่ใช้ร่วมบรรเลงกับ
กลองชุดมีดังนี้
16
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
1. กลองใหญ่ (Bass Drum)
กลองใหญ่ มีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับกลองใหญ่ท่ีใช้บรรเลงในวง
ดุริยางค์สากลแต่ขนาดแตกต่างกันคือ ขนาดกลองใหญ่ของกลองชุดมีขนาด
ที่นิยมใช้ท่ัวไป คือ ขนาด 14 x 20 น้ิว หรือ 14 x 22 น้ิว มีอุปกรณ์เหมือน
กันกับกลองใหญ่วงดุริยางค์ทุกประการ เวลาบรรเลงไม่ต้องใช้ขอหยั่งรองรับ
เพราะมีขาหยั่งติดมากับตัวกลอง เพียงแต่ดึงขอหยั่งออกท้ังสองข้างจะทำ� ให้
กลองไม่เคลื่อนที่ เป็นการยึดตัวกลองใหญ่ให้ติดอยู่กับพื้นกลองใหญ่ไม่ใช้ไม้
ถือส�ำหรับตี ใช้กระเดื่อง (Pedal) ติดแท่งเหล็กกลมๆ ปลายหุ้มด้วยสักหลาด
ความยาวประมาณ 10 น้ิว ส�ำหรับเท้าข้างขวาเหยียบลงไปบนกระเดื่อง
ปลายกระเด่ืองส่วนบนจะท�ำหน้าที่แทนมือ
17
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
2. กลองเล็ก (Snare Drum)
กลองเลก็ เปน็ สว่ นประกอบทสี่ ำ� คญั ของกลองชดุ รปู รา่ งลกั ษณะกลอง
เล็กท่ีใช้บรรเลงร่วมกับกลองชุด มีลักษณะเหมือนกลองเล็กท่ีใช้บรรเลงวง
ดุริยางค์วงใหญ่ทุกประการ หรือเป็นกลองเล็กอย่างเดียวกัน สามารถน�ำไป
ใชบ้ รรเลงรว่ มกับวงดนตรโี ดยท่ัวไปได้กลองเลก็ เปน็ เครอื่ งดนตรที ี่สำ� คัญทสี่ ุด
ในจ�ำพวกเคร่ืองเคาะตีท้ังหลาย เพราะการบรรเลงตามบทเพลงของกลอง
เล็กจะท�ำหน้าที่บรรเลงจังหวะที่ขัดกับกลองใหญ่ โดยกลองใหญ่จะบรรเลง
ตามจังหวะหนัก และเบากลองเล็กจะบรรเลงจังหวะขืนหรือจังหวะขัด มี
ลักษณะเหมือนกับหยอกล้อกัน และเป็นการกระ ตุ้นให้ผู้ฟังต่ืนตัว มีอารมณ์
ร่วมกับผู้บรรเลง เกือบจะทุกบทเพลงท่ีเปิดโอกาสให้กลองเล็กแสดงความ
สนุก คึกคัก และเป็นการเรียกร้องให้เครื่องดนตรีอื่นๆร่วมสนุกสนานด้วยน่ัน
คือ การบรรเลงกลองเล็กตอนปลายประโยคของบทเพลง ที่ภาษานักตีกลอง
เรียกว่า “ห้องส่ง” หรือ “บทส่ง” (Fill) ขนาดกลองเล็กที่นิยมใช้ขนาดเส้น
ผ่าศูนย์กลาง 6 x 14 นิ้ว
18
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
3. ฉาบ (Cymbals)
ฉาบ เป็นส่วนประกอบอีกชิ้นหน่ึงของกลองชุด รูปร่างลักษณะ
เหมือนกับฉาบท่ีใช้บรรเลงในวงดุริยางค์ โดยทั่วไปนิยมใช้ฉาบขนาดเส้น
ผ่าศูนย์กลาง 20-30 น้ิว ตั้งไว้ด้านข้างขวามือ และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
16-18 นิ้ว ต้ังไว้ด้านข้างซ้ายมือ ฉาบทั้งสองใบน้ีไม่มีเชือกหนังส�ำหรับมือถือ
แต่จะมีขาหย่ังรองรับทั้งสองใบ เวลาบรรเลงใช้มือขวาตีฉาบด้านขวามือเป็น
หลัก เพราะมีเสียงก้องกังวานกว่า บางครั้งอาจสลับเปล่ียนมาตีด้านซ้ายมือ
บ้างเป็นบางคร้ัง
19
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
4. ไฮแฮท (Hi Hat)
ไฮแฮท คือ ฉาบสองใบเหมือนกับฉาบในวงดุริยางค์ แต่มีขนาดเล็ก
กว่า โดยท่ัวไปนิยมใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 14-15 น้ิว ฉาบท้ังสองใบนี้
ไม่ใช้เชือกหนังร้อยส�ำหรับถือ เพราะมีขาต้ังรองรับ ใบที่หน่ึงใส่ลงบนขาต้ัง
โดยให้ด้านนูนอยู่ด้านล่าง จะมีแผ่นโลหะและสักหลาดรองรับ อีกใบหนึ่ง
ใส่ลงบนขอตั้งโดยให้ด้านนูนอยู่ด้านบน มีที่ไขติดอยู่กับแกนของขาตั้ง โดย
กะระยะให้ห่างกันพอประมาณ เพื่อไม่ให้ฉาบท้ังสองใบชิดติดกัน ช่วงล่างสุด
มกี ระเดอื่ งเหมอื นกบั กลองใหญส่ ำ� หรบั เหยยี บใหฉ้ าบทงั้ คกู่ ระทบกนั ไฮแฮทมี
หน้าท่ีคอยขัดจังหวะหรือช่วยหนุนกลองเล็ก เน้นจังหวะขัดให้กระชับยิ่งข้ึน
20
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
5. ทอม ทอม (Tom Tom)
ทอม ทอม คือ กลองขนาดเล็กสองใบมีรูปร่างเหมือนกลองเล็ก แต่มี
ขนาดสูงกว่า ไม่ติดเส้นลวด ทอม ทอม ท้ังสองใบมีขนาดแตกต่างกัน ใบหนึ่ง
จะติดตั้งทางด้านซ้ายมือ ซ่ึงมีขนาดเล็กกว่าอีกใบหน่ึง ซึ่งติดตั้งด้านขวามือ
โดยท่ัวไปนิยมใช้ทอม ทอม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 x 13 นิ้ว และขนาด
14 x 14 นิ้ว ทั้งสองใบจะมีรูด้านข้างส�ำหรับใส่แกนโลหะเพื่อติดต้ังบนกลอง
ใหญ่ ระดับเสียงทอม ทอม ด้านซ้ายมือมีระดับเสียงสูงกว่าด้านขวามือ ทอม
ทอม มีหน้าท่ีสร้างความสนุกคึกคัก โดยจะบรรเลงในบทส่ง หรือการเด่ียว
กลอง (Solo) เพอื่ สรา้ งความรสู้ กึ การกระตนุ้ ใหเ้ พลดิ เพลนิ กบั จงั หวะ บทเพลง
ท่ีใช้ ทอม ทอม บรรเลงมากท่ีสุด คือ เพลงประเภทลาติน
21
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
6. ฟลอร์ทอม (Floor Tom)
ฟลอร์ทอม มีชื่อเรียกอีกอย่างหน่ึง ว่า “ทอมใหญ่” (Large Tom)
รูปร่างลักษณะเหมือนกับ ทอม ทอม ไม่ติดเส้นลวด ขนาดของฟลอร์ทอม สูง
กว่าทอม ทอม มีขาตดิ ตง้ั กบั ตวั ฟลอรท์ อม เวลาบรรเลงต้ังอยดู่ า้ นขวามือชดิ
กับกลองใหญ่ เสียงฟลอร์ทอมต่�ำกว่าเสียงทอม ทอม แต่เสียงสูงกว่าเสียง
กลองใหญ่ ฟลอร์ทอม ท�ำหน้าท่ีอย่างเดียวกับ ทอม ทอม โดยทั่วไปนิยมใช้
ฟลอร์ทอม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 x 16 น้ิว
22
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
7. ไม้กลอง (Drum Stick)
ไม้ท่ีนิยมใช้ท�ำไม้กลอง ไม้ฮิกคอร่ี (Hickory) เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งใน
ตระกูลวอลนัท พบในทวีปอเมริกาเหนือ เป็นพันธุ์ไม้จ�ำพวก caryaที่มีความเ
หนียวและมีความยืดหยุ่นพอสมควร เนื้อไม้ชนิดนี้จะมีเส้นใยที่มีลักษณะเป็น
เส้นๆ ดงั นนั้ จึงทนต่อการใชง้ านไดย้ าวนาน เพราะหลงั จากทใี่ ชง้ านไปได้ระยะ
หน่ึง จะเป็นเพียงแค่ค่อยๆร่อนออกเป็นเส้นๆ ออกไปเร่ือยๆ เท่านั้น ไม้กลอง
ชนิดน้ีจึงไม่เปราะหักได้โดยง่าย
ตน้ ฮิกกอร่ี
เนื้อไมฮ้ ิกกอร่ี
23
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ลักษณะรูปทรงไม้กลอง
ลักษณะท่ัวไปคือเป็นการเหลาไม้จากปลายไม้(Butt)ให้เล็กลงในจนถึง
สว่ นปลาย (Shoulder) แตก่ ม็ ไี มท้ ด่ี ไี ซดพ์ เิ ศษใหต้ วั ดา้ ม (Shaft) ใหญก่ วา่ ปลาย
ซงึ่ เปน็ ไมข้ อง Tom Gauger เชน่ รุ่นของ Tomm Gauger#17 ความลาดชัน
ของด้ามที่เปล่ียนไปให้ความรู้สึก และความสมดุลท่ีดีพิเศษเพราะจุดศูนย์ถ่วง
(Fulcrum Point) ได้เปลี่ยนไปอยู่ใกล้ปลายไม้มากข้ึน ลักษณะของหัวไม้
รูปทรงของหัวไม้กลองแบ่งได้เป็น 3 แบบใหญ่ๆ(ตามรูปที่ 2 ข้างบน)
คือรูปทรงกลม(เหมือนลูกบอลหรือแอปเปิ้ล) รูปทรงรี(เหมือนลูกสาล่ีแต่ผม
ว่าเหมือนองุ่นมากกว่า) และรูปทรงสามเหล่ียม (เหมือน ปิรามิด) ซ่ึงลํกษณะ
ของหวั ไมม้ อี ทิ ธผิ ลอยา่ งมากตอ่ เสยี งทเ่ี กดิ ขน้ึ เวลาเราตี Cymbal อทิ ธผิ ลของ
น�้ำหนักต่อเสียงท่ีเกิดข้ึน ตามกฎของเสียงสะท้อนบอกว่าจุดสัมผัสท่ีย่ิงเล็ก
24
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
เทา่ ไหรก่ จ็ ะทำ� ใหเ้ สยี งทเี่ กดิ ขนึ้ เปน็ คลนื่ ความถท่ี ยี่ ง่ิ สงู ตามไปดว้ ยเชน่ กนั และ
เช่นเดียวกันกับความหนาแน่นของไม้ย่ิงหนาแน่นมากเท่าไหร่ก็จะท�ำให้เสียง
ท่ีเกิดข้ึนเป็นคลื่นความถ่ีท่ียิ่งสูงตามไปด้วย ไม้ในอุดมคติของผู้เขียนเรื่องน้ี
คือไม้ท่ีมีน�้ำหนัก ท�ำจากไม้ที่มีความหนาแน่นมาก มีหัวไม้เป็นทรงสามเหลี่ยม
เพราะน�้ำหนักและความหนาแน่นของไม้ให้ความหนาแน่นของเสียงและหัวไม้
ทรงสามเหล่ียมให้เสียงท่ีชัดเจนเวลาตี Cymbal
ภDาพoต่อtไปInนี้แlaสดyงใsห้เห็นรูปทรงของหัวไม้ท่ีมีอิทธิผลต่อเสียง
ลักษณะของหัวไม้
ไม้หัวทรงสามเหล่ียม (ภาพท่ี 4 )เห็นได้ว่าเกิดจุดสัมผัสท่ีเล็กท่ีสุดดัง
น้ันเสียงท่ีได้ออกมาก็จะเป็นเสียงที่มีความถี่เสียงท่ีสูง ชัดเจน เนื่องจากแรง
ท่ีกดลงไปท้ังหมดสัมผัสในจุดเล็ก ลองเปลี่ยนต�ำแหน่งของไม้ (ภาพที่ 5) โดย
ให้พ้ืนที่สัมผัสเต็มท่ีเสียงที่ได้จะเปล่ียนไปจากเคลียร์ ชัดเจน เป็นเสียงท่ีทึบ
ไม้กลองหัวรูปวงรี (ภาพที่ 6) ให้พ้ืนที่ผิวสัมผัสท่ีเหมือนกับทรง
สามเหล่ียมและเม่ือเปลี่ยนต�ำแหน่งการตีก็เกิดผิวสัมผัสท่ีไม่ต่างกัน
ไม้รูปทรงวงรี (ภาพท่ี 7) จากรูปเห็นได้ว่าไม้ประเภทน้ีท�ำให้เกิดผิว
สัมผัสมากท่ีสุดกว่าที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้นจึงท�ำให้เกิดเสียงที่เข้มกว่า และเม่ือ
เทียบกับไม้ทรงหัวสามเหล่ียม ไม้ประเภทนี้จะให้เสียงที่เข้มกว่าแบบแรกแต่
เบากว่าหัวสามเหลี่ยมแบบที่ 2 เน่ืองจากเกิดผิวสัมผัสท่ีน้อยกว่า
25
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
เบอร์ไม้กลอง
26
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
CHAPTER 3
ทฤษฎีเบ้ืองต้น
27
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ทฤษฎีเบ้ืองต้น
ตวั โนต้ คอื สงิ่ ขนั้ พนื้ ฐานทค่ี วรรใู้ นการเลน่ เครอื่ งดนตรที กุ ชนดิ มคี วาม
ส�ำคัญคือท�ำให้รู้ถึงจังหวะและสัดส่วนในการเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ รวม
ถึงโครงสร้าง-รูปแบบ-สัญลักษณ์ต่าง ๆ ก็เป็นส่ิงจ�ำเป็นท่ีควรรู้เช่นกัน...
ค่าของตัวโน้ต
ตัวโน้ต ตวั โน้ต โนต้ โน้ต
บรรทัด 5 เส้น
บรรทัด 5 เส้น มีไว้ส�ำหรับบันทึกตัวโน้ตหรือสัญลักษณ์ตัวหยุดต่าง ๆ
โดยการบันทึกน้ันจะขึ้นอยู่กับค่าของตัวโน้ตน้ัน ๆ ที่เราจะท�ำการบันทึกลงไป
ตวั อยา่ งเชน่ ถา้ เปน็ โนต้ (ตวั ดำ� ) ใน 1 หอ้ งของไทมซ์ กิ เนเจอร์ 4/4 จะสามารถ
ใส่โน้ตตัวด�ำได้เพียง 4 ตัว เป็นต้น
28
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
บันไดเสียง (C major scale)
นอกจากระดับเสียงข้างต้นแล้วยังมีระดับเสียงท่ีแยกย่อยลงไปอีก ใน
ท่ีนี้จะใช้คีย์บอร์ดเป็นภาพอธิบายเสียงต่าง ๆ เพื่อให้การท�ำความเข้าใจใน
เสียงและโน้ตต่าง ๆ ง่ายย่ิงขึ้น...
29
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
Time Signature (ไทม์ ซิกเนเจอร์)
Time Signature คอื เครือ่ งหมายก�ำหนดจงั หวะ ในแต่ละ 1 ห้อง โดย
ค่าของตัวเลขท่ีแสดงอยู่ด้านบน คือจ�ำนวนจังหวะในห้องนั้น ๆ ส่วนตัวเลขท่ี
อยู่ด้านล่างคือจ�ำนวนโน้ตที่มีอยู่ในห้องน้ัน ๆ เช่นกัน...
Key Signature (คีย์ ซิกเนเจอร์)
30
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
โน้ตกลอง (Drum Key)
31
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
Percussion Clef (กุญแจ Percussion)
คือ กุญแจท่ีบ่งบอกว่าบรรทัด 5 เส้นน้ี ใช้ส�ำหรับเขียนโน้ต Percussion
Bar Line (เส้นกั้นห้อง)
ใช้ส�ำหรับแบ่งห้องเพลงใน 1 เพลง ซ่ึงมีค่าโน้ตตามอัตราจังหวะท่ีก�ำหนดใน
เพลงน้ัน ๆ
Double Bar Line (เส้นก้ันห้องคู่)
ท�ำหน้าท่ีเหมือนเส้นกั้นห้อง แต่แตกต่างกันตรงท่ีเส้นกั้นห้องคู่ท�ำหน้าที่บอก
ว่าจบวรรคหรือช่วงเพลงหน่ึง ๆ
Measure (ห้องเพลง)
คอื พนื้ ทๆี่ เกดิ ขนึ้ จากการแบง่ ของเสน้ กนั้ หอ้ ง ใชส้ ำ� หรบั บนั ทกึ โนต้ ตามทกี่ ลา่ ว
มาแล้วในเร่ืองของเส้นก้ันห้อง
32
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
CHAPTER 4
เริ่มต้นฝึกตีกลองชุดอย่างไร?
33
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
เร่ิมต้นฝึกตีกลองชุดอย่างไร?
1.เริ่มต้นด้วยการนับจังหวะด้วยมือ อุปกรณ์ฝึกตีกลอง ท่ีดีท่ีสุด
การนับจังหวะด้วยการเคาะของมือนั้นคุณไม่จ�ำเป็นต้องมีอุปกรณ์
อลังการอะไรในการเร่ิมต้น จริง ๆ แล้ว คุณไม่จ�ำเป็นต้องมีอะไรด้วยซ้�ำ
เร่ิมกันที่พื้นฐานเลย ขอให้คุณมีแค่เก้าอ้ี นั่งลง ไม่ต้องเกร็ง แล้วก็โต๊ะซักตัว
อะไรก็ได้ วางมือไว้บนโต๊ะแล้วเร่ิมได้
ท�ำไมถึงต้องฝึกเคาะจังหวะก่อนด้วย อันที่จริงสิ่งนี้เป็นสิ่งท่ีมือใหม่ใน
การตีกลองมักจะติดกันช่วงแรกเวลาอยู่หน้ากลองชุด น่ันก็คือ ไม่เข้าใจเร่ือง
ของจังหวะ ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะเข้าใจพ้ืนฐานที่ง่ายที่สุดก่อนจะไป
สเต็ปท่ียากขึ้นในอนาคต
34
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
2. เรียนรู้พื้นฐานจังหวะ 4/4
เพลงท่ัวไปใน 1 ห้องมักมี 4 จังหวะ แทนด้วยเคร่ืองหมาย 4/4 ตัว
บอก time signature ซ่ึงหมายความถึงการเคาะ 4 ครั้งใน 1 ห้อง และการ
ฝึกนับเป็นดังนี้
ในระหว่างเคาะให้คุณพูดจังหวะออกมาด้วยในตอนเร่ิม เพ่ือให้คุณได้
เข้าใจถึงจังหวะ และรู้ว่าคุณนับถูกหรือไม่ ดังนั้นนี่จะท�ำให้คุณสามารถพัฒนา
เพ่ือฝึกส่วนท่ีซับซ้อนมากข้ึนในอนาคต
ในระหว่างซ้อม หากคุณมี Metronome หรือเครื่องนับจังหวะ ซ่ึง
สามารถหาซ้ือได้ไม่ยาก จะเป็นตัวช่วยที่มีประโยชน์มาก
เอาหละ วิธีการน้ันไม่ยาก ให้คุณเคาะโต๊ะ เม่ือลงจังหวะนับเลข และ
ยกข้ึนเมื่อลงจังหวะ “และ” ดังน้ี หนึ่ง-และ-สอง-และ-หนึ่ง (ห้องต่อไป)
วนซ้�ำไปเร่ือย ๆ (เคาะ-ยก-เคาะ-ยก เป็น 4 จังหวะใน 1 ห้อง)
3. ฝึกในจังหวะท่ีเร็วขึ้น
ทีน้ีพอคุณเร่ิมเข้าใจจังหวะเคาะ กับจังหวะยกกันแล้ว คุณควรเริ่มใน
จังหวะที่ซับซ้อนข้ึนเล็กน้อย ในจังหวะ 4/4 คุณจะเร่ิมเคาะเป็น หน่ึง-และ-
สอง-และ-สาม-และ-ส่ี-และ-หน่ึง ดูตามรูป จังหวะเคาะ คือจังหวะตัวเขบ็ต
1 ชั้น
35
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
4. ฝึกแยกประสาทมือทั้งสองข้างแบบง่าย ๆ
วธิ ฝี กึ นบั เหมอื นเดมิ กลบั ขอ้ ขา้ งบน แตข่ อ้ นค้ี ณุ ตอ้ งใชม้ อื อกี ขา้ งในการ
เคาะจังหวะท่ีสอง และส่ี วิธีน้ีเปรียบเสมือนการท่ีคุณตีกลองแต๊กด้วยมืออีก
ข้าง
5. ฝึกจังหวะลงด้วยเท้า
ใหค้ ณุ ใชม้ อื เคาะโตะ๊ แบบเดมิ และสง่ิ ทเ่ี พม่ิ ขน้ึ มาคอื ทกุ ครงั้ ทล่ี งจงั หวะ
หนึ่ง และสาม ให้คุณเคาะเท้า จะซ้ายหรือขวาก็ได้ นี่คือการลงจังหวะเสมือน
กลองเบส หรือ Downbeat
ส่ิงท่ีคุณได้เรียนรู้คือ การตีกลองแนว Rock ซึ่งเป็นการฝึกตีกลองท่ี
งา่ ยทส่ี ดุ การฝกึ ตกี ลอง สามารถแยกเปน็ สองสว่ นนนั่ คอื จงั หวะ และ เทคนคิ
คุณสามารถเรียนรู้เร่ืองจังหวะ โดยท่ีไม่จ�ำเป็นต้องมีกลองชุดแต่อย่างใด แต่
ด้านเทคนิค คุณจ�ำเป็นต้องมีซักตัวแน่ละ แต่ถึงอย่างนั้น คุณอาจเคยเห็นมือ
กลองอาชีพ หรือแม้แต่ในภาพยนตร์ ที่พวกเขามักจะใช้การนั่งและเคาะหน้า
ตักส�ำหรับการฝึกซ้อมก่อนข้ึนเวที ในการเรียนรู้ทั้งหมด การรู้จักจังหวะของ
ดนตรี จังหวะการตีกลอง 5 ขั้นตอนในการฝึกสเต็ปแรก คุณควรจะฝึกให้
ช�่ำชองเสียก่อน ที่จะไปสู่ข้ันตอนถัดไป ท่ีคุณอาจต้องมีกลองชุดดี ๆ ไว้เริ่มต้น
ซักตัว
หากคุณอยากฝึกตีกลอง แต่มีงบไม่มาก หรือมีพื้นท่ีไม่พอวางกลองชุด
คุณอาจลอง ซ้ือ กลองชุดไฟฟ้า แบบซิลิโคน พกพาสะดวก ราคาประหยัด ซัก
ตัวเป็นทางเลือก
36
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
37
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ท�ำความรู้จักกับกลองชุด
1. รู้จักข้อมูลพ้ืนฐานต่าง ๆ ของกลองชุด
สง่ิ แรกหลงั จากคณุ มกี ลองชดุ ควรทำ� ความคนุ้ เคยกบั มนั แตล่ ะชนิ้ ของ
กลองชุดมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งานในเซ็ตนั้น ๆ กลองชุด
มีหลายย่ีห้อ หลายขนาด และมีความแตกต่างทั้งเสียงและการออกแบบท่ีมี
เอกลักษณ์ต่าง ๆ กันออกไป กลองชุดโดยทั่วไป จะมีกลองชุดพ้ืนฐานหลัก ๆ
เหมือนกัน กลองพื้นฐานมีดังนี้
38
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
กลองเบส (กลองใหญ่ หรือ ค๊ิก) เป็นกลองฃิ้นท่ีให้เสียงต�่ำและดังท่ีสุด
มักเล่นเป็นเสียงลงจังหวะห้อง และใช้เท้าเล่น
กลองสแนร์ (กลองแตก๊ ) เปน็ กลองทม่ี กั จะวางไวร้ ะหวา่ งหวั เขา่ ทงั้ สอง
ดา้ นของมือกลอง และใชม้ ือซา้ ยเล่นเปน็ หลกั กลองแต๊กจะให้เสียงทแี่ นน่ และ
ดัง โดยจะมีแถบเหล็กเล็ก ๆ แขวนไว้ติดกับหน้ากลองด้านล่าง เพื่อให้เสียง
ที่ไม่เหมือนใครจากการสั่นของแถบเม็ดท่ีเป็นเหล็ก
กลองทอม (ทอม ทอม) กลองทอมจะมหี ลายขนาดตามแตต่ อ้ งการ โดย
ปกติมักมี 2-3 ตัว กลองทอมจะให้เสียงท่ีแตกต่างกันตามแต่ต้องการ จากสูง
ไปต�่ำ โดยจะแยกเป็น ไฮทอม มิดทอม และฟลอร์ทอม สูงไปต่�ำตามลำ� ดับ
กลองทอมสามารถใช้เครื่องจูนเพ่ือปรับเสียงได้ด้วย
2. ฉาบแต่ละแบบ แตกต่างกันอย่างไร
ฉาบหรือ Cymbals มีหลายแบบ หลายขนาด และให้เสียงที่แตกต่าง
กัน แล้วแต่จะต้องการเล่นกลองชุดแบบไหน ฉาบมีลักษณะกลม และมักใช้
แบบที่เป็นโลหะประกอบกับขาตั้ง ให้เสียงจากการส่ันของฉาบ ฉาบแบบ
39
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
พื้นฐานมี 4 แบบคือ ไฮ-แฮท ฉาบไรด์ ฉาบสแปลช และฉาบแคลช
ไฮ-แฮท เป็นฉาบท่ีเล่นโดยใช้การตีและมี 2 ลักษณะ คือ เปิด และ ปิด
โดยใช้เท้าในการควบคุมการเปิด-ปิด ตัวควบคุมมีลักษณะคล้ายกระเดื่องที่ใช้
เล่นกลองใหญ่ แต่แตกต่างออกตามลักษณะการใช้งาน ไฮ-แฮท จะเป็นฉาบ
สองตัว คว่�ำเข้าหากัน และให้เสียงการจากสั่นท่ีไม่เหมือนฉาบตัวอื่น ๆ
40
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ฉาบไรด์ เป็นฉาบท่ีให้เสียงที่ลึกและนุ่มนวลกว่าฉาบชนิดอ่ืน ๆ เป็น
ฉาบท่ีมักใช้เล่นรัว ๆ บ่อยที่สุดในเพลงส่วนใหญ่
41
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ฉาบสแปลช เป็นฉาบที่ให้เสียงกว้างรองจากฉาบแคลช เสียงท่ีให้จะ
คล้าย ๆ คุณเอาของใหญ่ ๆ โยนลงในน�้ำเร็ว ๆ ฉาบสแปลชมักถูกใช้ส�ำหรับ
เต็มเติมเสียงกลองในเพลงต่าง ๆ
42
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ฉาบแคลช เป็นฉาบท่ีคล้ายกับฉาบสแปลช แตกต่างกันท่ี ฉาบแคลช
จะมีเสียงท่ีกว้างและดังท่ีสุดในบรรดาฉาบทั้งหมด มักใช้เป็นเสียงจบห้อง คุณ
อาจได้ยินบ่อยในเพลงป๊อปและเพลงร็อคตลาดทั่ว ๆ ไป
43
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
44
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
CHAPTER 5
เทคนิคการบรรเลงกลองชุด
45
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
เทคนิคการบรรเลงกลองชุด
ฝึกตีกลองกันจริง ๆ ซะที
ก่อนจะไปเร่ิมกัน ขอให้คุณลองหาเครื่องช่วยนับจังหวะ หรือ Metro-
nome มาช่วยในการฝึกตีกลอง หากยังไม่มีอาจลองหาในร้านขายอุปกรณ์
ดนตรีใกล้บ้านหรือทางอินเตอร์เน็ตก็ได้ หรือไม่ก็หากคุณมีตอมพิวเตอร์หรือ
โนต๊ บคุ๊ ทส่ี ามสารถวางไวใ้ กล้ ๆ กลองชดุ กล็ องมองหาโปรแกรมชว่ ยนบั จงั หวะ
ทางดนตรดี กู ไ็ ดเ้ ชน่ กนั ทตี อ้ งบอกกอ่ น เพราะหากคณุ เรม่ิ ตน้ จากการเลน่ ดว้ ย
จังหวะท่ีถูกวิธีแล้ว การฝึกตีกลองของคุณจะง่ายข้ึนมาก ๆ เพราะการตีกลอง
กับการนับจังหวะนั้นเป็นเร่ืองคู่กัน ทีน้ีเราจะเข้าเนื้อหาเลยนะ
46
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
โดยทั่วไปกลองชุดประกอบด้วยกลองใหญ่ 1 ใบ กลองเล็ก 1 ใบ กลอง
ทอมใหญ่หรือฟลอร์ทอม 1 ใบ กลองทอม ทอม 2 ใบ ฉาบใหญ่ 1 ใบ ฉาบเล็ก
1 ใบ และไฮแฮท 1 คู่ ก่อนการบรรเลงต้องจัดกลองชุดให้ถูกต้องเสียก่อน
เริ่มต้นจากกลองใหญ่ต้ังอยู่ด้านหน้าผู้บรรเลง กลองเล็กต้ังอยู่ริมขอบกลอง
ใหญ่ด้านซ้ายมือ กลองทอมใหญ่ หรือฟลอร์ทอมต้ังอยู่ริมขอบกลองใหญ่ด้าน
ขวามอื กลองทอม ทอม สองใบตงั้ อยบู่ นกลองใหญ่ ทอมใบเลก็ ตดิ ตง้ั ดา้ นซา้ ย
มือ ทอมใบท่ีใหญ่กว่า ติดต้ังด้านขวามือ ส่วนฉาบใหญ่ต้ังอยู่ระหว่างกลอง
ใหญ่กับทอมใหญ่ด้านขวามือ ฉาบเล็กตั้งอยู่ระหว่างกลองใหญ่กับกลองเล็ก
ด้านซ้ายมือ และไฮแฮท อยู่ติดกับกลองเล็กด้านซ้ายมือ หลัง จากจัดกลอง
47
ฝึกกกาลรเอล่นงชุด ด้วยตนเอง
ชุดเรียบร้อยแล้ว ควรตรวจสภาพกลองทุกใบให้อยู่ในสภาพการท่ีใช้การได้ดี
โดย เฉพาะการปรับเสียงกลองใหญ่ ตรวจสอบแผ่นพลาสติกโดยการวางเท้า
ลงบนกระเด่ืองแล้วกดปลายเท้าลง หูฟังเสียงกลองใหญ่ ลักษณะเสียงท่ีบ่ง
บอกว่าไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป จะมีเสียงทึบก้องกังวานพอประมาณ ถ้า
เสียงทึบความก้องกังวานสั้นแสดงว่าตึงเกินไป แต่ถ้าเสียงไม่ทึบและมีความ
กอ้ งกงั วานมากแสดงวา่ หยอ่ นเกดิ ไป ฉะนน้ั ควรปรบั เสยี งกลองใหญใ่ หพ้ อดไี ม่
ตึงเกินไปหรือหย่อนมาก การปรับเสียงกลองเล็กต้องปลดเส้นลวดออกจาก
48