คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษา และการใช้เครื่องมือ ในงานสังคมสงเคราะห์ สำานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษา และการใช้เครื่องมือ ในงานสังคมสงเคราะห์ คณะผู้จัดทำ� ที่ปรึกษา นางณิชาพัชฌ์ เพ็ชรพันธุ์ ผู้อำ นวยการสำ นักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ดร.นุชนาฎ ยูฮันเงาะ คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ดร.กฤตวรรณ สาหร่าย รองคณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ คณะทำ งาน นางสาวพิมานมาศ สุวรรณ นักพัฒนาสังคมชำ นาญการ นางสาวจารุณี แก้วห่อทอง นักพัฒนาสังคม นางสาวนิธิญา หนูแสง นักพัฒนาสังคม นายนพดล ลาเฉลิม นักพัฒนาสังคม นายอัสฮา การี นักพัฒนาสังคม นางสาววรรณวิษา พรหมคุณ เจ้าพนักงานพัฒนาสังคม พิมพ์ที่ ไอคิว มีเดีย ๐๘๙-๔๖๖๐๗๕๒ จัดพิมพ์และเผยแพร่ สำ นักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY ก คำานำา สำ นักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ในฐานะศูนย์ประสานงานหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ดำ เนินการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานตามหลักจิตวิทยาการ ปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นการถอดบทเรียนองค์ความรู้จากการจัดกิจกรรมในโครงการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “หลักสูตรจิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์” ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุน ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต่อเนื่อง เป็นปีที่สอง คู่มือฉบับนี้ได้รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่สำคัญและจำ เป็นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะการให้คำ ปรึกษาตามหลักการ ทางจิตวิทยา และเครื่องมือต่าง ๆ ที่จำ เป็นต้องใช้ในงานสังคมสงเคราะห์รวมถึงการเสริมพลังในการทำ งานร่วมกัน ภายใน องค์ความรู้ดังกล่าวยังได้รวบรวมเครื่องมือต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิแผนผังครอบครัวหรือสาแหรกครอบครัว (Genogram) ลำดับเหตุการณ์สำคัญในชีวิต(Timeline)แผนผังนิเวศน์(Ecological Mapping)และวงล้อ ๒๔ ชั่วโมง (๒๔ hour Wheel) เป็นต้น รวมไปถึงการวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกของผู้รับบริการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการลงพื้นที่เยี่ยมเยียน ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฯ ที่เป็นผู้ใช้บริการหลัก เพื่อให้เพิ่มประสิทธิภาพในการบูรณาการช่วยเหลือ พัฒนา และ ดำ เนินการแก้ไขปัญหาตามมิติต่าง ๆ ของผู้รับบริการร่วมกับทีมสหวิชาชีพในพื้นที่รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ในโอกาสนี้สำ นักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ขอขอบคุณทีมวิทยากรจากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และ จัดสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติที่ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและจัดองค์ความรู้ที่จำ เป็นให้กับผู้อบรม และคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องและผู้ที่สนใจ เพื่อนำ มาใช้ประโยชน์ ในการพัฒนากลุ่มเปราะบางและกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ภายใต้ภารกิจการดำ เนินงานที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ดูแลให้มีความเข้มแข็ง สามารถดูแลตนเองได้ในอนาคต สำ นักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY ข บทสรุปผู้บริหาร สำ นักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการ สังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการเพื่อขับเคลื่อนการดำ เนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้“หลักสูตร : จิตวิทยาการปรึกษาและ การใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ความสามารถ รวมทั้งมีทักษะในการ ช่วยเหลือ ป้องกันปัญหาตลอดจนแก้ไขและฟื้นฟูศักยภาพผู้ใช้บริการให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ต่อเนื่องจาก “หลักสูตร:การจัดการรายกรณี(CM) ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่๕ จังหวัด ชายแดนภาคใต้” กลุ่มเป้าหมาย คือบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานียะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล ซึ่งการอบรม ทั้ง ๒ หลักสูตร ที่ผ่านมาจะมุ่งเน้นการเรียนรู้สู่การปฏิบัติงานจริง เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์สูงสุด ภายใต้โครงการดังกล่าวประกอบด้วย กิจกรรม ดังนี้.- ๑. โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบใน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “หลักสูตร : จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์” กลุ่มเป้าหมายจำ นวน ๘๐ คน เนื้อหาของหลักสูตรจำแนกออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนที่ ๑ การบรรยาย ในหัวข้อธรรมชาติจิตใจของมนุษย์ความแตกต่าง (เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของบุคคล) ทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยา กระบวนการให้การปรึกษา ศิลปะบอกความรู้สึก การใช้เครื่องมืองานสังคมสงเคราะห์ แบบประเมินครอบครัวของ Bentovim และการใช้เครื่องมือการวางแผนรายบุคคล การติดตามรายบุคคล และการส่งต่อ ส่วนที่ ๒ กิจกรรมกลุ่ม (Workshop) - ฝึกปฏิบัติทักษะการให้การปรึกษา - กิจกรรมเปิดกล่องแพนโดรา “Pandora Box” (เทคนิคการสังเกต) - ฝึกปฏิบัติการให้คำ ปรึกษาเฉพาะรายและกลุ่ม โดยประยุกต์ใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อมูล ค้นหา ข้อเท็จจริง และนำ ไปสู่กระบวนการให้การปรึกษา ๒. เจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดน ภาคใต้ ลงปฏิบัติงานในพื้นที่ของตนเอง ภายหลังจากการอบรมหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาฯ ทั้ง ๕ จังหวัด ๕๖ อำ เภอ นำความรู้ จากการอบรมไปใช้ในการปฏิบัติงานจริง โดยการลงพื้นที่ติดตามผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ และ กลุ่มเปราะบางในพื้นที่๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นรายเดิมที่ดำ เนินการให้ความช่วยเหลือตามกระบวนการ การจัดการรายกรณี(CM)จำ นวน ๑๑๘ ครอบครัวและครอบครัวรายใหม่จำ นวน ๕๖ ครอบครัวรวมทั้งสิ้น ๑๗๔ ครอบครัว (อำ เภอละ ๓ ครอบครัว) สามารถจำแนกเป็นรายจังหวัดได้ดังนี้.- - จังหวัดนราธิวาส จำ นวน ๑๓ อำ เภอ จำ นวน ๓๙ ครอบครัว - จังหวัดยะลา จำ นวน ๘ อำ เภอ จำ นวน ๒๔ ครอบครัว - จังหวัดปัตตานี จำ นวน ๑๒ อำ เภอ จำ นวน ๓๖ ครอบครัว - จังหวัดสงขลา จำ นวน ๑๖ อำ เภอ จำ นวน ๔๘ ครอบครัว - จังหวัดสตูล จำ นวน ๗ อำ เภอ จำ นวน ๒๗ ครอบครัว ผลการติดตาม ๑. พื้นที่ดำ เนินการ ๕ จังหวัด (จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานีสงขลา และสตูล) ๕๖ อำ เภอ จำ นวน ๔๑๓ ตำ บล ซึ่งในปีพ.ศ. ๒๕๖๕ ได้ดำ เนินการติดตามกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ ๑๐๖ ตำ บล คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๖๗ ของตำ บลทั้งหมด ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๖๖ ได้ดำ เนินการติดตามกลุ่มเป้าหมายครอบครัวเดิม ๑๐๖ ตำ บลและครอบครัวใหม่ในพื้นที่๕๐ ตำ บล รวมเป็น ๑๕๖ ตำ บล คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๗๗ ของตำ บลทั้งหมด ๒. กลุ่มเป้าหมายในการติดตาม จำ นวน ๑๗๔ ครอบครัว มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด ๗๓๗ คน สามารถจำแนก ตามประเภทผู้ใช้บริการออกเป็น ๖ ประเภท คือ ๑) ผู้ประสบปัญหาทางสังคม จำ นวน ๙๔ ครอบครัว ๒) สตรีหม้ายจาก สถานการณ์ความไม่สงบฯ จำ นวน ๓๐ ครอบครัว ๓) ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ จำ นวน ๒๐ ครอบครัว ๔) คนพิการจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ จำ นวน ๑๘ ครอบครัว ๕) ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสถานการณ์ ความไม่สงบฯ จำ นวน ๖ ครอบครัว ๖) เด็กกำ พร้าจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ จำ นวน ๓ ครอบครัว ๗) ผู้ได้รับกระทบ
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY ค จากเหตุการณ์โกดังพลุดอกไม้ไฟระเบิดมูโนะ จำ นวน ๒ ครอบครัว ๘) เด็กได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ จำ นวน ๑ ครอบครัว ๓. ข้อมูลลักษณะปัญหาที่ค้นพบจาก ๑๗๔ ครอบครัว มีปัญหา ๒๔๙ ปัญหาคือ ๑)ความยากจน จำ นวน ๑๐๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๓.๗๘ ๒) โรคประจำตัว จำ นวน ๔๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๖๗ ๓) คนพิการ จำ นวน ๓๕ คน คิดเป็น ร้อยละ ๑๔.๐๖ ๔) บุคคลที่มีภาวะพึ่งพิง จำ นวน ๒๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๖๕ ๕) สภาพแวดล้อม จำ นวน ๑๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๕.๒๒ ๖) อื่นๆ จำ นวน ๑๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๔.๐๒ ๗) ยาเสพติด จำ นวน ๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๓.๖๑ ๔. กระบวนการช่วยเหลือที่ดำ เนินการแล้ว คือ ๑) การให้คำ ปรึกษา จำ นวน ๑๓๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๓.๔๗ ๒) มอบเงินสงเคราะห์จำ นวน ๑๑๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๓๙ ๓) เครื่องอุปโภค บริโภค จำ นวน ๘๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๔.๒๙ ๔) ส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๗๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๙๐ ๕) ทุนการศึกษา จำ นวน ๕๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๘.๕๐ ๖) ซ่อมแซมบ้าน จำ นวน ๔๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๖.๙๗ ๗) ทุนประกอบอาชีพ จำ นวน ๓๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๕.๑๐ ๘) เข้าร่วมกิจกรรมเสริมพลัง จำ นวน ๒๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๔.๒๕ ๙) อื่นๆ จำ นวน ๒๑ คิดเป็นร้อยละ ๓.๕๗ ๑๐) พาไป โรงพยาบาล/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำ บล จำ นวน ๑๕ คิดเป็นร้อยละ ๒.๕๕ ๕. เครื่องมืองานสงเคราะห์ที่นำ ไปใช้ประกอบด้วย ๑) แผนผังครอบครัวหรือสาแหรกครอบครัว (Genogram) จำ นวน ๑๕๑ ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ ๙๑.๕๒ ๒) ลำดับเหตุการณ์สำคัญในชีวิต (Time line) จำ นวน ๙ ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ ๕.๔๕ ๓)การจดบันทึกจำ นวน ๓ ครอบครัวคิดเป็นร้อยละ ๑.๘๒ ๔) ภาพวาด ๒ ครอบครัวคิดเป็นร้อยละ ๑.๒๑ ๖. ความพึงพอใจของผู้ให้บริการต่อการช่วยเหลือผู้ใช้บริการ ๑) ความพึงพอใจต่อการช่วยเหลือผู้ใช้บริการ ค่าเฉลี่ย ๔.๕๙ ๒)การนำ เครื่องมืองานสังคมสงเคราะห์ไปใช้ค่าเฉลี่ย ๔.๓๑ ๓)สามารถนำกระบวนการจิตวิทยาการปรึกษา ไปใช้และเกิดผลกับผู้ใช้บริการค่าเฉลี่ย ๔.๒๕ ๔)การนำกระบวนการจิตวิทยาการปรึกษาไปใช้ในการปฏิบัติงาน ค่าเฉลี่ย ๔.๒๓ ๓. การประชุมเชิงปฏิบัติการนิเทศติดตามประเมินผล และถอดบทเรียนการปฏิบัติงานของบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่ เยียวยาฯ ในการช่วยเหลือผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ และกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลุ่มเป้าหมายจำ นวน ๑๕๐ คน กิจกรรมแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนที่ ๑ การลงพื้นที่เพื่อติดตามผลการดำ เนินงานของหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาทั้ง ๕ จังหวัดในการนำความรู้ ที่ได้จากการอบรมเรื่องกระบวนการจิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์ ไปปฏิบัติงานจริง กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ และกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกรณีศึกษา จำ นวน ๑๒ ครอบครัว มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด ๕๘ คน ประกอบด้วย - จังหวัดนราธิวาส จำ นวน ๔ ครอบครัว สมาชิกจำ นวน ๑๘ คน - จังหวัดยะลา จำ นวน ๒ ครอบครัว สมาชิกจำ นวน ๙ คน - จังหวัดปัตตานี จำ นวน ๒ ครอบครัว สมาชิกจำ นวน ๘ คน - จังหวัดสตูล จำ นวน ๒ ครอบครัว สมาชิกจำ นวน ๑๒ คน - จังหวัดสงขลา จำ นวน ๒ ครอบครัว สมาชิกจำ นวน ๑๑ คน ส่วนที่ ๒ ประชุมถอดบทเรียนการปฏิบัติงานของบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาฯ ในการช่วยเหลือผู้ใช้บริการ ที่ได้รับผลกระทบสถานการณ์ความไม่สงบฯ และกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยภายหลังการ ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านติดตามผลการดำ เนินงาน ได้มีการถอดบทเรียนการดำ เนินงานที่ผ่านมาของผู้ปฏิบัติงานในแต่ละจังหวัด ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำ งานร่วมกันระหว่างผู้ปฏิบัติงานและวิทยากร ทั้งนี้ผลจากการถอดบทเรียน พบว่าทีม หน่วยเคลื่อนที่เยียวยามีการทำ งานเป็นทีมสามารถทำกระบวนการให้คำ ปรึกษาได้ดีมาก โดยเฉพาะการสร้างสัมพันธภาพ การเข้าถึงผู้ใช้บริการจนได้รับความไว้วางใจ เนื่องจากมีภาคีเครือข่ายเป็นกลไกขับเคลื่อนงานในพื้นที่ อาทิผู้นำ ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(อพม.) ผลจากการดำ เนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในครั้งนี้ได้รับข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมอบรม โดยพบว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้หลังจากการนำ ทฤษฎีลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่ เจ้าหน้าที่มีการเรียนรู้ในการนำ ทฤษฎีและเครื่องมือที่จำ เป็นใน งานสังคมสงเคราะห์มาใช้ในการลงเยี่ยมบ้าน การประเมินสภาวะปัญหา ความเสี่ยง ความต้องการของผู้ใช้บริการได้ดีและ มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถให้คำ ปรึกษาในเชิงลึกได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ จึงทำ ให้ผู้ใช้บริการกล้าเปิดเผย เท็จจริง นอกจากนี้ก็ต้องใช้การสังเกต การสะท้อนความรู้สึก และการสรุปความเพื่อให้ได้ข้อมูลแบบองค์รวม ทำ ให้ทราบ ความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้บริการ และยังเกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ สร้างความภาคภูมิใจ ให้กับผู้ให้บริการที่สามารถทำ งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับบริการมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำ ให้เกิดความเชี่ยวชาญในการ
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY ง ปฏิบัติงานต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ผลจากการสำ รวจความต้องการของผู้เข้ารับการอบรมพบว่า ยังมีความต้องการหลักสูตรใน การต่อยอดและพัฒนาตนเอง เพื่อนำ ไปสู่การพัฒนางาน โดยส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำ คัญกับทักษะด้านจิตวิทยา และการสร้างความเข้มแข็งในการทำ งานโดยการบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งใน การประสานส่งต่อผู้รับบริการ และการร่วมกันวางแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้รับบริการได้อย่างประสิทธิภาพ
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY จ สารบัญ หน้า คำ นำ ก บทสรุปผู้บริหาร ข สารบัญ จ บทนำ ช ชุดความรู้ หลักสูตรจิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์ ๑ ๑. การให้การปรึกษา ๒ ๒. กระบวนการให้คำ ปรึกษา ๔ ๓. ธรรมชาติของจิตใจ ๕ ๔. วิชาชีพที่ให้การช่วยเหลือ ๖ ๕. เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ๖ ๖. สัมพันธภาพทางครอบครัวกับสังคมของ Gen ต่างๆ ๒๑ กิจกรรม Work shop (การแสดงบทบาทสมมติในการให้คำ ปรึกษาผู้ใช้บริการ) ๒๓ จังหวัดปัตตานี ๒๔ จังหวัดสตูล ๒๕ จังหวัดนราธิวาส ๒๗ จังหวัดสงขลา ๒๘ จังหวัดยะลา ๒๙ ประชุมเชิงปฏิบัติการนิเทศติดตามประเมินผล และถอดบทเรียน ๓๑ การปฏิบัติงานของบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาฯ จังหวัดนราธิวาส ๓๒ - กรณีศึกษาที่ ๑ ๓๒ - กรณีศึกษาที่ ๒ ๓๕ - กรณีศึกษาที่ ๓ ๓๘ - กรณีศึกษาที่ ๔ ๔๑ จังหวัดยะลา ๔๕ - กรณีศึกษาที่ ๑ ๔๕ - กรณีศึกษาที่ ๒ ๔๙ จังหวัดปัตตานี ๕๒ - กรณีศึกษาที่ ๑ ๕๒ - กรณีศึกษาที่ ๒ ๕๗ จังหวัดสตูล ๖๒ - กรณีศึกษาที่ ๑ ๖๒ - กรณีศึกษาที่ ๒ ๖๕ จังหวัดสงขลา ๖๘ - กรณีศึกษาที่ ๑ ๖๘ - กรณีศึกษาที่ ๒ ๗๒
PSYCHOLOGY ฉ ผลการติดตามผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบและกลุ่มเปราะบางตามกระบวนการจิตวิทยา ๗๗ การปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์ - ผลการวิเคราะห์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ ๗๙ และกลุ่มเปราะบางตามกระบวนการจิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือ ในงานสังคมสงเคราะห์ ข้อมูลส่วนที่ ๑ ข้อมูลทั่วไปของผู้ใช้บริการ ๗๙ ข้อมูลส่วนที่ ๒ ความพึงพอใจของท่านต่อการช่วยเหลือผู้ใช้บริการ ๘๑ - ผลการวิเคราะห์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ ๘๒ และกลุ่มเปราะบางตามกระบวนการจิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือ ในงานสังคมสงเคราะห์ของผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนใต้(รายเก่า) - เสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติงาน ๘๔ คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY ช ช บทนำ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 11 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้(จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล) ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๐ ภายใต้ “โครงการหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ ประจำอำเภอ เพื่อประชาผาสุก” ต่อมาในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ได้มีการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สอดคล้องกับความต้องการ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข และเกิดกลไกความร่วมมือเพื่อสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน อันนำไปสู่สังคม สันติสุข ภายใต้ “โครงการรวมพลังชายแดนใต้ ร่วมสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน” โดยเป้าหมายในการทำงานคือ มุ่งเน้นการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายให้สามารถพึ่งพึงตนเองได้ กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ ซึ่งจากการ ดำเนินงานที่ผ่านมากลุ่มเป้าหมายล้วนมีปัญหาที่แตกต่างกัน รูปแบบและวิธีการแก้ไขปัญหาก็แตกต่างกัน ดังนั้นสิ่งสำคัญในการปฏิบัติงานคือบุคลากรผู้ปฏิบัติงานต้องมีองค์ความรู้ มีความสามารถ และมีเครื่องมือ ในการปฏิบัติงาน สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพ บุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดน ภาคใต้ จึงได้ดำเนินการพัฒนาศักยภาพบุคลากรมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมุ่งเน้นการอบรมให้ความรู้ในภาคทฤษฎี สู่การปฏิบัติด้านงานสังคมสงเคราะห์ในเชิงลึกมากขึ้น โดยผ่านหลักสูตรการจัดการรายกรณี ( CM) และหลักสูตรจิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์ ในการนี้ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ได้จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานเรื่องจิตวิทยา การปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์ขึ้นมา เพื่อเป็นเครื่องมือให้กับผู้ปฏิบัติงาน มีแนวทางการทำงานที่ง่าย สะดวก และเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๑. ชื่อโครงการ โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “หลักสูตร : จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคม สงเคราะห์” 2. หลักการและเหตุผล เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ และต่อเนื่อง มาจนกระทั่งปัจจุบัน นับเป็นเหตุการณ์ที่ยืดเยื้อยาวนาน ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า ๑๙ ปี จำนวนเหตุการณ์เกิดขึ้นทั้งหมด ๑๓,๓๕๖ ครั้ง เป็นเหตุการณ์ความไม่สงบ ๗,๗๕๘ ครั้ง เหตุการณ์อื่นๆ ๕,๕๙๘ ครั้ง ส่งผลให้มีผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน ๒๐,๘๒๖ ราย เสียชีวิต ๕,๒๒๓ ราย บาดเจ็บ ๑๔,๗๙๖ ราย และพิการ ๘๐๗ ราย ผลกระทบที่ประชาชนในพื้นที่ได้รับมีทั้งในด้านของร่างกาย จิตใจ การใช้ชีวิตประจำวัน และทรัพย์สิน (ที่มา : ศูนย์ประสานงานวิชาการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๕) โดยในส่วนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ มีภารกิจในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ สามารถจำแนก ออกเป็น ๒ ระยะ คือ ๑) ระยะสั้น เป็นการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นหลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ความไม่สงบ ได้แก่ การมอบเงินสงเคราะห์เฉพาะหน้า เงินปลอบขวัญฟื้นฟูสมรรถภาพผู้บาดเจ็บสาหัสหรือ ทุพพลภาพ เงินอุดหนุนสงเคราะห์ครอบครัวเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพ และเงินช่วยเหลือครอบครัว ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ๒) ระยะยาว เป็นการให้ความช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่องแก่เด็กและ ผู้พิการที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เงินยังชีพเด็กรายเดือน เงินอุดหนุนครอบครัวที่อุปการะเด็กกำพร้าทั้งบิดา และมารดาเสียชีวิต (แบบครอบครัวอุปถัมภ์) และเงินยังชีพรายเดือนแก่ผู้พิการ ปัจจุบันมีกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับ
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY ซ ซ การช่วยเหลือเยียวยาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือเสร็จสิ้นแล้วและอยู่ระหว่างการ ช่วยเหลือ มีทั้งสิ้นจำนวน ๑๒,๑๓๐ รายจำแนกเป็น ๔ ประเภท คือ เด็กกำพร้า ๕,๗๘๔ ราย เด็กพ่อแม่บาดเจ็บ สาหัสหรือพิการ ๒,๕๕๘ ราย คนพิการ ๘๑๐ ราย และสตรีหม้าย ๒,๙๗๘ ราย ดังนั้นการขับเคลื่อน การดำเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือระยะยาวจึงเป็นภารกิจสำคัญที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาต้องดำเนินการ วางแผน ติดตาม และพัฒนาเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในการขับเคลื่อนงานข้างต้นผู้ปฏิบัติงานจะต้องเข้าใจบริบทพื้นที่ เข้าใจปัญหา และมีองค์ความรู้ เนื่องจากทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ย่อมมีบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ ของผู้ได้รับผลกระทบฯ และประชาชนในพื้นที่ ผนวกกับในปัจจุบันสถานการณ์ทางสังคมเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลาทั้งในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านวัฒนธรรม จำต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวให้รู้เท่าทัน ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การว่างงาน ความยากจน หนี้สิน ครัวเรือน ยาเสพติด ปัญหาสุขภาพ และปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งบางครอบครัวอาจจะมีปัญหา ซ้ำซ้อน จากปัญหาต่างๆ เหล่านี้ก็มีส่วนทำให้เกิดภาวะความเครียดจากปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ทันที จึงทำให้เกิดความเครียดสะสมหรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการใช้ชีวิต ผลกระทบที่ตามมาอาจจะนำไปสู่ เหตุการณ์ความรุนแรงได้เช่นกัน ดังนั้นการให้การปรึกษาเป็นทักษะวิชาชีพที่สำคัญอย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ที่ใช้หลักทางจิตวิทยา เพื่อสนับสนุนด้านจิตใจที่ผู้ประสบปัญหาเผชิญอยู่อย่างเข้าใจอารมณ์และความรู้สึก ตลอดจนการเสริมพลังให้ผู้ใช้บริการเข้าใจตนเอง ยอมรับ มีความเข้มแข็งพร้อมจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลง ตนเองไปในทางที่ดีขึ้น สามารถนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาที่ซับซ้อนอื่นๆ ต่อไปได้ ในขณะเดียวกัน การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่จะช่วยในการรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล หรือติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอันเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อการดำเนินงานช่วยเหลือได้อย่าง มีประสิทธิภาพตามแนวคิดทฤษฎีและค่านิยมในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ในปีงบประมาณ ๒๕๖๕ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “หลักสูตร การจัดการรายกรณี (CM) ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ และกลุ่มเปราะบาง ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยมีการเรียนรู้ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ สำหรับภาคปฏิบัติได้กำหนด ให้ผู้เข้าร่วมอบรมลงพื้นที่เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฯ และกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๑๑๘ ครอบครัว ตามกระบวนการ CM สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ร่วมกับ อ.ดร.กฤตวรรณ สาหร่าย รองคณบดีคณะสังคม สงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ลงพื้นที่ติดตามการให้ ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายตามกระบวนการ CM ซึ่งได้คัดเลือกให้เป็นกรณีศึกษาของทั้ง ๕ จังหวัดๆ ละ ๒ ครอบครัว รวมจำนวน ๑๐ ครอบครัว ผลปรากฏว่าเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาฯ ทั้ง ๕ จังหวัดสามารถ ดำเนินงานตามกระบวนการ CM ได้ครบทุกกระบวนการ จากการนิเทศติดตามงานทำให้เห็นกระบวนการ ทำงาน วิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งผู้ปฏิบัติงานยังขาดองค์ความรู้ อาทิ เรื่องจิตวิทยาในการสื่อสาร การนำศิลปะมาเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความไว้วางใจและการเข้าถึงความรู้สึก ของเด็ก การสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลในครอบครัว โภชนาการบำบัด และเครื่องมือในการปฏิบัติงาน สังคมเคราะห์ ในการนิเทศติดตามงานในพื้นที่เจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาฯ ได้สะท้อนความต้องการ และมีความสนใจที่จะอบรมเรื่องการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY ฌ ฌ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ ในฐานะหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อน การดำเนินงานเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากในปีงบประมาณ ๒๕๖๖ หน่วยงานไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการขับเคลื่อนการดำเนินงานดังกล่าว จึงขอรับการสนับสนุน งบประมาณจากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม เพื่อให้บุคลากรได้รับการพัฒนาศักยภาพของตนเอง พร้อมด้วยองค์ความรู้ ความสามารถ ทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพ รวมทั้งมีทักษะที่จะช่วยเหลือ ป้องกันปัญหา มิให้เกิดขึ้น ตลอดจนแก้ไขหรือฟื้นฟูศักยภาพการทำหน้าที่ของบุคคล ครอบครัว กลุ่ม ชุมชนที่ประสบปัญหา ให้กลับสู่สมดุลอีกครั้ง โดยการเชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสังคมและประสานทรัพยากรอันเป็นประโยชน์ ต่อการดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข 3. วัตถุประสงค์ 1) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมมีความความรู้ ความเข้าใจ ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด ทฤษฎีและหลักการ จิตวิทยาการปรึกษา 2) เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีทักษะในการให้การปรึกษาเชิงจิตวิทยา 3) เพื่อนิเทศและติดตามการปฏิบัติงานของผู้เข้าอบรมในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ สูงสุดกับผู้ใช้บริการ 4. กลุ่มเป้าหมาย กิจกรรมที่ ๑ ประชุมเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน ๒๐ คน ประกอบด้วย ผู้ประสานงานประจำจังหวัด (ปฏิบัติงานที่ สสว.๑๑) ผู้ดำเนินการจัดอบรม (คณะทำงาน) และวิทยากร กิจกรรมที่ ๒ การอบรม “หลักสูตร : จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์” ผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน ๘๐ คน ประกอบด้วย 1) ผู้เข้ารับการอบรม จำนวน 7๐ คน ได้แก่ -เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาฯ ประจำอำเภอ ๕๖ อำเภอในพื้นที่ 5 จังหวัด (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล) อำเภอละ ๑ คน จำนวน ๕๖ คน โดยกำหนดให้เป็น นักพัฒนาสังคมที่ปฏิบัติงานหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาประจำจังหวัดและผ่านการอบรมหลักสูตรการจัดการราย กรณี (CM) จากโครงการที่เคยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นลำดับแรก -ผู้ประสานงานหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาฯ ปฏิบัติงานที่ สสว.๑๑ จำนวน ๑๔ คน 2) วิทยากร จำนวน ๒ คน ๓) ผู้ดำเนินการจัดอบรม (คณะทำงาน) จำนวน 8 คน กิจกรรมที่ ๓ หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาลงปฏิบัติงานในพื้นที่ของตนเอง กิจกรรมที่ ๔ การประชุมเชิงปฏิบัติการนิเทศ ติดตามประเมินผล และถอดบทเรียนการปฏิบัติงาน ของบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาฯ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม รวมจำนวน 15๐ คน ( 5 จังหวัด) ประกอบด้วย ๑) เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน่วยเคลื่อนที่เยียวยา ฯ ๕ จังหวัด (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล) ๒) พมจ. ๕ จังหวัดหรือข้าราชการที่รับผิดชอบงานหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาประจำจังหวัด ๓) เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔) เจ้าหน้าที่จาก สสว.๑๑ (คณะทำงาน) ๕) วิทยากร
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY ญ ญ 5. วิธีดำเนินการ 1) ประชุมวางแผนการดำเนินงาน 2) ดำเนินการจัดฝึกอบรม 3) หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาลงปฏิบัติงานในพื้นที่ของตนเอง 4) การติดตามประเมินผล 5) การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ 6. พื้นที่ดำเนินการ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล 7. ระยะเวลาดำเนินการ เดือนพฤษภาคม – ตุลาคม 2566 8. งบประมาณ จำนวน 458,865 บาท (สี่แสนห้าหมื่นแปดพันแปดร้อยหกสิบห้าบาทถ้วน) -ขอรับสนับสนุนจากกองทุน จำนวน 448,865 บาท -เงินสมทบ จำนวน 10,000 บาท ปฏิทินกิจกรรม กิจกรรมและ รายการภายใต้ กิจกรรม ที่ดำเนินการ กับใคร ที่ไหน ระบุเวลา กี่วัน เมื่อไร ผลที่คาดว่า จะได้รับ งบประมาณที่ขอรับ การสนับสนุนจาก กองทุนส่งเสริมการ จัดสวัสดิการสังคม งบประมาณ จากแหล่ง อื่น ๑. การประชุม เตรียมความพร้อม ในการขับเคลื่อน การดำเนินงาน คณะทำงานของ สสว.๑๑ และทีมวิทยากร ประชุมผ่าน ระบบออนไลน์ ๑ วัน เดือนพฤษภาคม/ มิถุนายน ๒๕๖๖ -เพื่อวางแผน การขับเคลื่อน การดำเนินงาน ตามกิจกรรม ที่กำหนดไว้ - - ๒. ดำเนินการ ฝึกอบรมให้ความรู้ “หลักสูตร : จิตวิทยาการปรึกษา และการใช้เครื่องมือ ในงานสังคม สงเคราะห์ เจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ประสานงานประจำจังหวัด วิทยากร และคณะทำงาน ๓ วัน ๒ คืน ประมาณเดือน มิถุนายน ๒๕๖๖ จำนวน ๘๐ คน -ผู้เข้าร่วมอบรม ได้ทราบ หลักการทำงาน ด้านจิตวิทยา การปรึกษาและ การใช้เครื่องมือ ในงานสังคม สงเคราะห์ ๓42,4๑๕ บาท - ๓. หน่วยเคลื่อนที่ เยียวยาลง ปฏิบัติงานในพื้นที่ ของตนเอง เจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงปฏิบัติงานในพื้นที่ของตนเอง ประมาณเดือน กรกฎาคม 2566 -ผู้เข้าฝึกอบรม นำความรู้ที่ได้ ไปประยุกต์ใช้ ในการทำงาน - -
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY ฎ ฎ 9. ผู้รับผิดชอบโครงการ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ๑๑ 10. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1) ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้เรื่องจิตวิทยาการปรึกษาและเครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ โดยประเมินจากการทำแบบทดสอบก่อนและหลังเข้าร่วมอบรม มีความรู้เพิ่มขึ้นหลังจากการเข้าอบรมไม่น้อย กว่าร้อยละ 80 2) รูปเล่ม “หลักสูตร : จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์” จำนวน 100 เล่ม และเผยแพร่ในรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ๓) รูปเล่มสรุปผลโครงการ และถอดบทเรียนโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรหน่วยเคลื่อนที่เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ “หลักสูตร : จิตวิทยาการปรึกษา และการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์” จำนวน ๑ เล่ม และเผยแพร่ในรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ กิจกรรมและ รายการภายใต้ กิจกรรม ที่ดำเนินการ กับใคร ที่ไหน ระบุเวลา กี่วัน เมื่อไร ผลที่คาดว่า จะได้รับ งบประมาณที่ขอรับ การสนับสนุนจาก กองทุนส่งเสริมการ จัดสวัสดิการสังคม งบประมาณ จากแหล่ง อื่น ๔. การประชุม เชิงปฏิบัติการ นิเทศ ติดตามประเมินผล และถอดบทเรียน การปฏิบัติงานของ บุคลากรหน่วย เคลื่อนที่เยียวยาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ประสานงานประจำจังหวัด วิทยากร คณะทำงาน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ๕ จังหวัด จังหวัดละ ๑ วัน ๕ วัน ประมาณ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๕ -รับทราบผล การดำเนินงาน -ถอดบทเรียน การดำเนินงาน -มีแนวทางใน การปฏิบัติงาน ๗6,45๐ บาท - ๕. การจัดทำ รายงานสรุปผล และการผลิต สื่อประชาสัมพันธ์ การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ -รูปเล่มหลักสูตรจิตวิทยา การปรึกษาและการใช้เครื่องมือ ในงานสังคมสงเคราะห์ เพื่อเป็นคู่มือในการปฏิบัติงาน ไม่เกิน ๑๐๐ หน้า จำนวน ๑๐๐ เล่ม -จัดทำรูปเล่มสรุปผลโครงการ และถอดบทเรียนโครงการ จำนวน ๑ เล่ม และเผยแพร่ ในรูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ -จัดทำวีดีทัศน์ จำนวน ๑ เรื่อง สรุปผลโครงการในภาพรวม เดือนตุลาคม ๒๕๖๖ -เพื่อเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ ผลการ ดำเนินงาน ๓๐,๐๐๐ บาท สสว.๑๑ (สมทบ) ๑๐,๐๐๐ บาท
ชุดความรู้ หลักสูตรจิตวิทยา การปรึกษาและการใช้เครื่องมือ ในงานสังคมสงเคราะห์
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 2 ๑ ชุดความรู้ หลักสูตร : จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์ ๑. การให้การปรึกษา องค์ประกอบ -ผู้ให้การปรึกษา (Counselor) -ผู้รับการปรึกษา(Counselee) -การให้การปรึกษา (Counseling) ความหมาย -เป็นความสัมพันธ์ทางวิชาชีพที่เสริมพลังให้บุคคล ครอบครัว และกลุ่มต่าง ๆ บรรลุเป้าหมาย ด้านสุขภาพจิต สุขภาพ การศึกษา และอาชีพ (American Counseling Association,2020) -ความสัมพันธ์ทางวิชาชีพระหว่างผู้ให้การปรึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมและผู้รับการปรึกษา อาจจะเป็นรายบุคคล หรือมากกว่าสองคน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการเข้าใจตนเอง และเรียนรู้ที่จะบรรลุเป้าหมาย ที่ตนเองกำหนดไว้ (Mohd Zarawi Mat Nor,2020) -การให้การปรึกษาเป็นกระบวนการพลวัตระหว่างผู้ให้การปรึกษาที่ได้รับการฝึกฝน เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นรับการปรึกษาที่มีเรื่องกังวลใจ ในกระบวนการนี้ผู้ให้การปรึกษาจะใช้กลวิธีต่าง ๆ ซึ่งอาจทำ เป็นรายบุคคลกลุ่ม หรือครอบครัว เอื้อเฟื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมส่งเสริมทักษะการเผชิญปัญหา การตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา อย่างมีประสิทธิภาพตลอดจนการปรับปรุงการมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น (Nustull,2003) -กระบวนการสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ให้บริการ ที่มีทักษะกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการได้รู้ถึง ภาวะจิตใจของตน มีแนวทางแก้ไขปัญหาของตนเองได้ จุดมุ่งหมาย -เข้าใจตนเอง -ยอมรับปัญหาที่มีอยู่ -การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่เหมาะสม ลักษณะเฉพาะของการให้การปรึกษา -ไม่ใช่การแนะนำการสั่งสอนหรือปลอบใจ -ช่วยเหลือด้านสังคมจิตวิทยา -เน้นสัมพันธภาพที่ดี -สื่อสารสองทาง -มีเป้าหมาย -ใช้ทักษะเฉพาะ -ยึดผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลาง -Here and Now -ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป คุณลักษณะที่ดีของผู้ให้การปรึกษา -ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข -มีทักษะการสื่อสารที่ดี -ไม่ยึดตนเองเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินใจ -มีเจตคติที่ดีต่อการช่วยเหลือ -มีเจตคติที่ดีต่อการให้คำปรึกษา
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 3 ๒ -สำนึกในคุณค่าของคน -มองโลกเชิงบวก -มีความเห็นอกเห็นใจ -มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ -เป็นคนช่างสังเกต -เก็บรักษาความลับ -ยอมรับและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ พัฒนาการ 5 ยุคของการให้การปรึกษา ๑. จิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic approach)(Sigmund Freud, Alfred Adler, Erik Erikson, Carl Jung) มนุษย์ไม่สามารถแสดงพฤติกรรมตัวเองได้ อดีตมีผลต่อปัจจุบัน จิตไร้สำนึกมีผลต่อการพัฒนาบุคลกิกภาพ มนุษย์มีกลไกป้องกันตนเอง ผู้ใช้บริการจะมองผู้ให้บริการเป็นบุคคลสำคัญของชีวิต เน้นสัมพันธภาพ มองผู้ใช้บริการเหมือนลูก การตีความเพื่อให้เกิดมุมมองใหม่ ตระหนักรู้ตนเองในระดับจิตสำนึก 2. กลุ่มพฤติกรรมและความคิด (Behavior and Cognitive Approach) (B F Skinner, Albert Bandura, Pavlov) การสังเกตพฤติกรรม พฤติกรรมเกิดจากการเรียนรู้ การตั้งสมมติฐาน ความสัมพันธ์เสมือนเพื่อนร่วมทาง 3. มนุษย์นิยม (HumanisticI Experiential Approach) (Victor Frankl , Carl rogers, Irvin Yalom) การมีประสบการณ์ เน้นคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 4. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Multiculture Approach) (Patricia Arredondo, Courtland Lee, David Sue) เพศภาวะ รสนิยมทางเพศ สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา สถานะทางเศรษฐกิจ และสังคม 5. ความเป็นธรรมทางสังคม (Social Justice APPROACH) (Judith A Lewis , Manivong J Ratts, Rebecca Toporek) สิทธิ อำนาจ การเสริมพลังอำนาจ
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 4 ๓ 2. กระบวนการให้คำปรึกษา ขั้นที่ 1 การสร้างสัมพันธภาพ -การทักทาย (Greeting) -การพูดคุยเรื่องทั่วไป (Small talk) -การใส่ใจ (Attending) -การตกลงบริการ (Structuring) -การเปิดประเด็น (Opening) ขั้นที่ 2 การรวบรวมข้อมูล (การสำรวจ ทำความเข้าใจกับปัญหา) -การเป็นผู้รับฟังที่ดี -เป็นผู้สังเกตที่ดี กิริยาท่าทาง (ท่านั่ง มือ สีหน้า น้ำเสียง) คำพูด และภาษาที่ใช้ -การตั้งคำถาม คำถามเปิด (อะไร อย่างไร เพราะอะไร) คำถามปิด (เท่าไร อยู่ไหน หลีกเลี่ยงคำว่า “ทำไม”) -การสะท้อนความรู้สึก เข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้ใช้บริการและหาคำที่ตรงกับความรู้สึก เช่น สับสน กลุ้มใจ กังวลใจ น้อยใจ โกรธ เกลียด ฯลฯ ใช้น้ำเสียงและท่าทางที่ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกอบอุ่น -การให้กำลังใจ ใช้การพยักหน้า “จ๊ะ” “ครับ” “ค่ะ” ใช้คำพูด “คิดว่าคุณต้องทำได้” “ไม่พ้นความพยายาม” -การสรุปความ สรุปเนื้อหาและความรู้สึกสำคัญที่ผู้ใช้บริการแสดงออกมา เพื่อให้เป็นไป ในทิศทางเดียวกัน ก่อนจบการให้การปรึกษาควรมีการสรุปประเด็นต่าง ๆ ที่ให้การปรึกษา หากมีการให้การปรึกษาหลายครั้ง อาจต้องมีการสรุปสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดนับตั้งแต่ ครั้งแรก ขั้นที่ 3 ขั้นการกำหนดเป้าหมาย จะต้องช่วยให้ผู้ใช้บริการได้กำหนดหรือตั้งเป้าหมายสิ่งที่พอใจอยากจะเห็นหรือบรรลุ ผลสำเร็จและจะต้องสามารถกำหนดให้ชัดเจนถึงผลที่ต้องการจะทำให้สามารถวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ ขั้นที่ 4 การวางแผนและปฏิบัติ การที่ผู้ใช้บริการมีแนวทาง หรือวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทั้งนี้ ผู้ให้คำปรึกษาต้องให้ข้อมูล (การให้ความรู้แหล่งทรัพยากร สิทธิประโยชน์/กฎหมาย) และข้อเสนอแนะได้ ขั้นที่ 5 การติดตามผลและยุติการให้คำปรึกษา ผู้ใช้บริการสามารถปฏิบัติตามแผนและบรรลุผล ผู้ให้คำปรึกษาจะช่วยเน้นความรู้สึก ให้ผู้ใช้บริการมีความมั่นคงและมีการนัดที่ห่างออกไป เพื่อติดตามผลถึงความสำเร็จและยุติการให้คำปรึกษา
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 5 ๔ 3. ธรรมชาติของจิตใจ ภาวะของจิตใจ 1. จิตใจ (Mind) ประกอบด้วย จิตสำนึก จิตใต้สำนึก 2. จิตใจ (ระดับจิตสำนึก) ประกอบด้วย ความคิด (Cognition) อารมณ์ความรู้สึก (Emotion) 3. ความคิดและความรู้สึก สามารถโน้มนำกันได้ ความคิด ผลิตอารมณ์ อารมณ์ ปรุงแต่งความคิด 4. อารมณ์ใด ๆ ก็ตามจะรบกวนการทำงานของความคิด 5. ความทุกข์ใจที่พบบ่อย ได้แก่ ความกังวล ความเสียใจ และความโกรธ 6. ความคิดแสดงออกทางวาจา (Verbal expression) 7. ความรู้สึกแสดงออกทางกาย (Non-verbal expression) ทิศทางของอารมณ์ กำหนด “ท่าทาง” ของร่างกาย 1. อารมณ์โกรธ ก้าวร้าว มีทิศทางไปข้างหน้า เช่น จ้องหน้า ชกหน้า ขว้างปาข้าวของ กระชากคอเสื้อ 2. อารมณ์กลัว หวาดผวา มีทิศทางถอยหลัง เช่น ขยับเก้าอี้ถอยหลัง สะดุ้งผวา 3. อารมณ์ดีใจ เพลิดเพลิน มีทิศทางขึ้นบน เช่น ตาลอยมองขึ้นบน ยกมือไชโย 4. อารมณ์เศร้า เบื่อหน่าย มีทิศทางลงล่าง เช่น ตามองต่ำ เดินคอตก ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ล้มลงเข่าทรุด
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 6 ๕ 5. อารมณ์ความรู้สึกรักใคร่ สามัคคี เอื้ออาทร มีทิศทางด้านข้าง เช่น ยืนคล้องแขน จูงมือกัน แตะไหล่ โอบไหล่ ซบ 6. อารมณ์ความรู้สึกกังวล สับสน มีทิศทางอยู่ศูนย์กลาง เช่น ขมวดคิ้ว นั่งกุมขมับ นั่งกอดอก นั่งไม่ติดหรือผุดลุกผุดนั่ง เดินวนไปวนมา 7. อารมณ์ซึ่งซ่อนเร้นภายใต้คำพูด เช่น คำพูดเปรียบเปรย เหมือนคนรกโลก เหมือนตกนรกทั้งเป็น 4. วิชาชีพที่ให้การช่วยเหลือ วิชาชีพให้ความช่วยเหลือผู้ที่ทำงานในองค์กร หน่วยงานที่มีความสัมพันธ์กับการให้การปรึกษา รวมทั้ง กลุ่มองค์การการกุศลที่ไม่หวังผลตอบแทน เช่น นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล นักจิตวิทยา ครู อาจารย์ กลุ่มอาสาสมัคร ผู้ทำหน้าที่เยียวยา ฯลฯ 5. เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ความหมาย เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลหรือติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง อันเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อการดำเนินงานช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแนวคิดทฤษฎี และค่านิยมในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ประเภทของเครื่องมือ -เครื่องมือที่เป็นแบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้างเป็นการวางแผนการสัมภาษณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่ใช้ชุดคำถามสำรวจข้อมูลในประเด็นนั้นๆ -เครื่องมือแบบตัววัด เป็นแบบสำรวจข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ใช้การวัดประเมินและ การอธิบายค่าการประเมินมาตรฐาน มีชุดคำถามที่ใช้วัดและมีมาตรวัดที่ต้องสามารถตัดสินได้ -เครื่องมือแบบสังเกต -เครื่องมือแบบสัญลักษณ์ -เครื่องมือที่เป็นวัตถุสิ่งของ หรือสถานการณ์จำลอง -เครื่องมือที่เป็นทักษะการปฏิบัติงาน เช่น การฟังอย่างลึกซึ้ง การถาม การสะท้อนความรู้สึก ฯลฯ -เครื่องมือที่เป็นมาตรฐาน/แนวทางการปฏิบัติงาน เช่น จรรยาบรรณวิชาชีพ ฯลฯ ตัวอย่างเครื่องมือ 1) Genogram (แผนผังครอบครัวหรือสาแหรกครอบครัว) -แผนผังครอบครัวเป็นการใช้สัญลักษณ์แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ของบุคคลในครอบครัวอย่างน้อย 3 รุ่น ทั้งเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในช่วงชีวิต แม้แต่สัตว์เลี้ยง หรือสิ่งสำคัญ ของชีวิต รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึก และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว -ผู้ให้บริการจะได้ข้อมูลในอดีตซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาในปัจจุบัน ทำให้เข้าใจ สถานการณ์และปัญหาของครอบครัวดีขึ้น และวางแผนที่เหมาะสมขึ้นครอบครัวอาจเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง ขณะมองย้อนกลับไปในอดีตเพื่อจัดทำแผนผังครอบครัว
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 7 ๖ การพัฒนา Genogram -Monica McGoldrick และ Randy Gerson เป็นผู้คิดค้นและพัฒนา genogram โดย ได้แต่งหนังสือเรื่อง Genograms: Assessment and Intervention ตั้งแต่ปี 1985 จน ปัจจุบันได้พัฒนา สัญลักษณ์ใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ครอบครัวและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งการใช้genogram ได้แพร่หลายในหมู่นักวิชาชีพต่าง ๆ ในสายการแพทย์ที่ร่วมทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพ -ปัจจุบัน Monica McGoldrick ได้ร่วมพัฒนา genogram เป็น software ที่สะดวก ต่อการใช้งาน http://www.genopro.com/ -นักสังคมสงเคราะห์ใช้แผนผังครอบครัวเพื่อการแสดงถึงความสัมพันธ์ทางด้าน ความผูกพันเชิงอารมณ์ สังคม ระหว่างสมาชิกครอบครัวหรือหน่วยสังคมที่บุคคลนั้นเกี่ยวข้อง แผนผังครอบครัว จะช่วยให้นักสังคมสงเคราะห์ประเมินระดับความสัมพันธ์ ความผูกพันหรือความใกล้ชิดของสมาชิกในครอบครัว และเครือญาติและสะท้อนข้อมูลบางอย่างกลับไปสู่ผู้ใช้บริการ -เทคนิคการเขียนแผนผังครอบครัวที่ดีควรให้ผู้ใช้บริการร่วมเขียนหรือตรวจสอบ ความถูกต้องจะได้เป็นการทบทวนความสัมพันธ์กับครอบครัว อีกทั้งการเขียนแผนผังครอบครัวจะทำให้เกิด ความกระจ่างชัดในการนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบและชัดเจนโดยผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ มีดังนี้
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 8 ๗
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 9 ๘ 2) Time line (ลำดับเหตุการณ์สำคัญในชีวิต) -ลำดับเหตุการณ์ในชีวิตเป็นแผนผังแสดงพัฒนาการหรือลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามลำดับเวลา เครื่องมือที่ช่วยคลี่ความซับซ้อนของช่วงเวลาที่อาจมีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกัน หรือมีผลสืบเนื่องถึงกัน -Time line ถูกใช้เพื่อการแสดงผลการศึกษาข้อมูลใด ๆ ที่เป็นหัวข้อสำคัญ แบบไม่ลงรายละเอียดตามลำดับเวลา
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 10 ๙ 3) Ecological Mapping (แผนผังนิเวศน์) แผนผังนิเวศน์ถูกพัฒนาขึ้นโดย Ann Hartman ซึ่งเปรียบเหมือนเครื่องมือตรวจจับ ความสัมพันธ์ของผู้ใช้บริการกับสภาวะแวดล้อมที่สำคัญของเขา แสดงความสัมพันธ์ของผู้ใช้บริการกับองค์กร ที่ช่วยเหลือยามทุกข์ยาก (ตามแนวคิด person in environment) การเขียนแผนผัง Eco-map มี 6 ขั้นตอน 1) วาดวงกลมตรงแผนที่ว่าง ๆ ด้วยวงกลมรอบ ๆ ส่วนตรงกลางเป็นผู้ใช้บริการ ถ้าเป็นผู้หญิงใช้ O ถ้าเป็นผู้ชายใช้สัญลักษณ์ แต่ถ้าผู้ใช้บริการเป็นกลุ่มครอบครัวใช้วงกลมหรือสี่เหลี่ยม หลายอันซ้อนกัน ลากเส้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการกับคนอื่น ๆ (เส้นจะเป็นตัวอธิบายความสัมพันธ์ ส่วนในวงกลมหรือสี่เหลี่ยมก็เขียน ชื่อ อายุของผู้ใช้บริการ) 2) สัมภาษณ์พูดคุยกับผู้ใช้บริการถึงบุคคล หน่วยงานที่เป็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ในชีวิตเขา ผู้ใช้บริการเอ่ยถึงสิ่งแวดล้อมใด ๆ ทั้งในแง่บวกหรือลบก็จดรายชื่อไว้หากกลัวจะเสียเวลาในการ นึกถึงสิ่งแวดล้อมอาจจัดเตรียมแผนผังสังคมมิติได้โดยระบุ ครอบครัว ญาติ เพื่อน เพื่อนบ้านฯ เตรียมไว้ก่อน 3) คุยกับผู้ใช้บริการถึงประสบการณ์ที่มีกับสิ่งแวดล้อมแต่ละอย่างโดยพิจารณา ถึงความสัมพันธ์ต่อเนื่องหรือขาดตอน การรู้สึก สบายใจ สะดวกหรือน่ากลัว ความมีสมดุลหรือไม่มีสมดุล ของสัมพันธภาพกับบุคคลหรือสิ่งแวดล้อม อย่าถามตรง ๆ ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรแต่ให้ใช้วิธีเล่า ประสบการณ์การติดต่อสัมพันธ์กับแหล่งบริการหรือบุคคลนั้น ๆ แล้วให้ลากเส้นแสดงความสัมพันธ์ กับ สิ่งแวดล้อมเหล่านั้น 4) เมื่อสังคมมิติสำเร็จแล้วควรตรวจสอบความถูกต้องกับผู้ใช้บริการอีกครั้ง เพื่อทบทวนความแม่นยำของข้อมูลและอาจมีข้อแก้ไข แผนที่สังคมมิตินี้เป็นแผนภาพที่แสดงความสัมพันธ์ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีกเมื่อเวลาผ่านไป 5) ประเมินผลและถามความประทับใจของผู้ใช้บริการในภาพกว้าง -คุณค่าของแผนที่สังคมมิติ คือการให้ภาพกว้างๆ ของความสัมพันธ์ ของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีตัวผู้ใช้บริการได้ภายในแผนภูมิเดียว พึงระลึกไว้เสมอว่าภาพกงล้อและซี่ล้อที่เกิดขึ้น นั้นเป็นตัวแทนของเครือข่าย
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 11 ๑๐ -สังคมมิติทำให้เราเห็นภาพความสัมพันธ์ของแต่ละซี่กับศูนย์กลางแต่ไม่ได้ ให้รายละเอียดคุณลักษณะที่จะตรวจสอบแต่ละซี่ -ถามผู้ใช้บริการว่าเขาเห็นอะไรจากแผนที่อันนี้ ให้เขาอธิบายเพิ่มเติม แล้วผู้จัดบริการคอยสรุปความเห็นเหล่านั้นในการประเมินภาพรวมต้องดูว่ามีความสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ หรือไม่ มีความพึงพอใจอะไร มีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์อย่างไร 6) นักสังคมสงเคราะห์ประเมินด้วยความเป็นกลางแล้วจัดทำแผนการช่วยเหลือ ซึ่งแผนนั้นซึ่งอาจเป็น -สร้างสัมพันธภาพกับสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริการไม่มีความสัมพันธ์ -สร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งขึ้นกับสิ่งแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์ห่างเหิน -ลดความกดดันบีบคั้นหรือความเครียดจากสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ -เพิ่มศักยภาพความสามารถกับสิ่งที่ต้องการหรือปรับความต้องการลง ให้สมดุลย์
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 12 ๑๑ ๔) Sociometry (สังคมมิติ/แผนผังความสัมพันธ์ทางสังคม) -Sociometry เป็นวิธีการเชิงคุณภาพสำหรับการวัดความสัมพันธ์ทางสังคม ได้รับ การพัฒนาโดย Jacob L. Moreno และ Helen Hall Jennings ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะ จิตใจและโครงสร้างทางสังคมของสมาชิกกลุ่ม -Sociometry มาจากภาษาละติน “sociu” หมายถึงเพื่อนสมาชิกและ “metrum” หมายถึงการวัด -Jacob L. Moreno ให้ความหมายเชิงสังคมวิทยาว่าเป็น "การสอบถามเพื่อประเมิน และจัดระเบียบตำแหน่งความสัมพันธ์ของบุคคล/สมาชิกกลุ่มต่าง ๆ -เขาเขียนต่อไปว่า "ในฐานะที่เป็น... ศาสตร์แห่งการจัดกลุ่ม Sociometry แสดงให้ เห็นว่าปัญหาไม่ได้มาจากโครงสร้างภายนอกของกลุ่ม แต่มาจากโครงสร้าง/ความสัมพันธ์ภายใน" -“Sociometry เผยให้เห็นโครงสร้างความสัมพันธ์ภายในที่ซ่อนอยู่ซึ่งก่อให้เกิด รูปแบบของกลุ่มได้แก่ ความเป็นพันธมิตร กลุ่มย่อยความเชื่อที่ซ่อนเร้น อุดมการณ์ และดาวเด่นของกลุ่ม -Jacob L. Moreno เป็นผู้คิดค้นวิธีการศึกษาความสัมพันธ์ทางสังคมแบบนี้ และได้ทำเครื่องมือวัดการเลือกทางสังคม (Sociometric test) เพื่อที่จะวัดแบบแผนปฏิสัมพันธ์ในระหว่าง สมาชิกของกลุ่มเพื่อดูว่าสมาชิกของกลุ่มแต่ละคนได้รับการยอมรับจากเพื่อนสมาชิกในระดับใด -แผนผังความสัมพันธ์ทางสังคมของสมาชิกกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ และแบบแผนความสัมพันธ์ที่ดึงดูด ผลักไส หรือปฏิเสธกันและกันที่เกิดขึ้นในกลุ่ม -นักสังคมสงเคราะห์กลุ่มชนได้นำเครื่องมือ Sociometry มาใช้เพื่อส่งเสริมให้กลุ่ม ดำรงอยู่ด้วยความสมานฉันท์อันเป็นการสร้างพลังแก้ไข ปัญหาและการช่วยเหลือกันระหว่างสมาชิก -นอกจากนี้แผนผังนี้ยังช่วยให้เข้าใจลักษณะการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของสมาชิก แต่ละคนซึ่งทำให้นักสังคมสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมสังคม และเข้าใจสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มได้อันนำไปสู่ การช่วยเหลือแบบเฉพาะรายในรายที่จะเป็นต่อไป
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 13 ๑๒ 5) Culturegram เป็นเครื่องมือประเมินครอบครัวที่พัฒนาโดย Elaine Congress เพื่อทำความเข้าใจ ครอบครัวที่มาจากภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันช่วยให้ความสำคัญกับแง่มุมทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน และทำงานได้ดีที่สุดกับครอบครัวผู้อพยพ/ผู้ลี้ภัย
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 14 ๑๓ 6) 24 hour Wheel (วงล้อ 24 ชั่วโมง) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาพฤติกรรม ของผู้ใช้บริการในการดำเนินชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อวิเคราะห์และ ประเมินด้านร่างกาย จิตใจ สังคม ความเสี่ยง ความต้องการ อาทิ การดูแลตนเอง การทำกิจวัตรประจำวัน การพักผ่อนนอนหลับ การทำกิจกรรมที่สนใจ การประกอบอาชีพ เป็นต้น 7) Satir Model ความเป็นมา
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 15 ๑๔ - Satir model เป็นชื่อย่อที่เรียกกันติดปากของผู้ที่ใช้จิตบำบัดแนว Satir ชื่อเต็มคือ Satir Transformational Systemic Therapy (STST) - Virginia Satir เป็นเจ้าของ Satir model ค.ศ. 1916-1988 เติบโตมา ในครอบครัวเกษตรยากจน มีความสนใจศึกษาธรรมชาติจิตใจมนุษย์โดยเริ่มแรกเป็นครูก็สนใจชีวิต ของนักเรียน ต่อมาศึกษาเป็นนักสังคมสงเคราะห์และไปเรียนต่อด้าน psychoanalysis และค่อย ๆ ค้นพบวิธี ของตัวเองที่จะช่วยเหลือผู้มีปัญหาทางจิตใจ - ใน Satir model จะใช้รูปภูเขาน้ำแข็งเป็นตัวแทนของจิตใจ โดยแบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ ตามส่วนของจิตใจเพื่อทำให้จิตใจที่เป็นนามธรรมกลับกลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อง่ายต่อการศึกษา การเข้าใจและการช่วยเหลือผู้ป่วยได้ดีขึ้น - การมองบุคคลเปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg) ซึ่งภูเขาน้ำแข็งนี้คือ ประสบการณ์ของบุคคล (The Levels of Experience) โดยอธิบายได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่ง คือความจริงที่คน ๆ นั้นรับรู้ซึ่งสถานการณ์นี้เป็นความจริงและการรับรู้ซึ่งแต่ละคนมีประสบการณ์ภายใน ที่แตกต่างกัน แซทเทียร์กล่าวเสมอว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหา แต่วิธีการจัดการกับมันต่างหากที่เป็น ปัญหา” ดังนั้น หากเราสามารถช่วยให้ผู้รับการบำบัดเข้าใจความคิด ความคาดหวัง ความรู้สึก และความปรารถนาลึก ๆ ในใจของตนได้ก็สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม” เป้าหมาย จิตบำบัดแนว satir ให้ความสำคัญกับเป้าหมายของการบำบัดอย่างมาก “no goals no therapy” เป้าหมายมี 3 ชนิด 1) Iceberg goal หรือ specific goal หรือ personal goal คือเป้าหมายการบำบัด จำเพาะของการบำบัดครั้งนั้น ๆ เช่น จากรู้สึกเศร้าให้ไม่เศร้า อยากเลิกรู้สึกผิด อยากรู้สึกไม่รังเกียจพ่อ อยากรู้สึกไม่เครียด ซึ่ง goals ในระดับความรู้สึกนั้นได้เพราะยังอยู่ ใน Iceberg หรืออยู่ในตัวผู้บำบัด ทำให้เขา ต้องเปลี่ยนแปลงที่ตนเอง ส่วน goals ที่ผู้รับการบำบัดพยายามเปลี่ยนแปลงผู้อื่น สิ่งอื่นที่อยู่นอกตัวของเขา ไม่มีความเป็นไปได้และเขาก็ไม่มีอำนาจ เช่น ต้องการให้สามีเลิกกับภรรยาน้อย
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 16 ๑๕ 2) Metagoals เป็นเป้าหมายสำคัญ 4 ข้อในทุกครั้งของการบำบัดแบบ satir model ประกอบด้วย • better self-esteem คือ มีคุณค่าในตนเอง • better choice maker คือ สามารถตัดสินใจเลือกได้ดีขึ้น • more responsible คือ สามารถรับผิดชอบต่อทุกข์และสุขของตัวเอง ได้มากขึ้น • more congruence คือ ใจมีความสอดคล้องกลมกลืนมากขึ้นตามลำดับ 3) Change and growth เป็นเป้าหมายปลายทางของ Satir model คือ ช่วยให้ ผู้รับการบำบัดจัดการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของตนเองจนเป็น (being) คนที่ต่างไปจากคนเดิมไม่ใช่ เปลี่ยนแปลงแค่ระดับพฤติกรรมแล้วทำ (doing) อะไรต่างไปจากเดิม เป้าหมายทั้ง 3 ข้อของ Satir model อาจพูดได้อีกแบบว่าเป็น common goals ที่ต้องการช่วยให้ผู้รับการบำบัดได้บรรลุเป้าหมายชีวิต 3 ด้าน คือ • สุขภาพดี (กาย ใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ) • มีความสุข • มีความสำเร็จ จิตบำบัดแนว Satir - เรียนรู้วิธี เข้าไปภายในจิตใจ - เรียนรู้วิธีสำรวจว่า อะไร อยู่ในจิตใจ - เรียนรู้วิธีเปลี่ยนแปลงผลกระทบต่อจิตใจ การตั้งคำถาม (Process Question) - Satir ใช้คำถามเป็นเครื่องมือที่จะเข้าไปในใจคน - ถามส่วนที่อยู่ใต้น้ำ คำที่ใช้ • อย่างไร (How) • อะไร (What) • เมื่อไร (When) • ที่ไหน (Where) • ทำไม (Why) * เป็น Negative-Blaming - เป็น Process Question หรือ Iceberg Question หรือเรียก Internal Questions โครงสร้างของจิตใจ 1. Feeling ความรู้สึก • ขณะนี้คุณรู้สึกอย่างไร • ลองสำรวจดูว่าลึก ๆ แล้ว ความรู้สึกของคุณอยู่ที่ไหน • ร่างกายของคุณรู้สึกความเศร้าอยู่ตรงไหนหรือ • คุณจะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นอีกได้ไหม 2. Feelings about Feelings: ความรู้สึกต่อความรู้สึก • การตัดสินอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น • พอใจ – ไม่พอใจ • ชอบใจ – ไม่ชอบใจ • คุณรู้สึกโกรธที่ถูกมารดาต่อว่า หลังจากนั้นรู้สึกอย่างไรที่โกรธมารดา • รู้สึกผิดที่โกรธมารดา
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 17 ๑๖ 3) Perceptions การรับรู้ • ตอนคุณเป็นเด็ก คุณมองเห็นตัวเองเป็นอย่างไร • คุณมีภาพอะไรเกิดขึ้นในใจ • คุณคิดอย่างไรในเรื่องนี้ • เวลาที่ออกจากบ้าน คุณเป็นอย่างไรบ้าง • คุณคิดว่าขณะนั้นลูก ๆ รู้สึกอย่างไร 4) Expectations ความคาดหวัง • คุณคาดหวังอะไรไว้บ้าง • คุณคาดหวังอะไร • ช่วยบอกว่า อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ • คุณยังมีความผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องอะไร • คุณยังมีอะไรที่ไม่สมหวัง 5) Yearning ความปรารถนา • จริง ๆ แล้วคุณต้องการอะไร • คุณมีความปรารถนาอะไร • ใจของคุณเรียกร้องโหยหาอะไรอยู่ • ที่คุณรู้สึกกังวล คุณต้องการอะไร • อะไรคือปรารถนาของคุณ 6) Self ตัวตน จิตวิญญาณ • คุณจะดูแลตัวเองให้ดีกว่าเดิมได้อย่างไร • คุณจะรักตัวคุณเองได้อย่างไรบ้าง • คุณรู้สึกว่าคุณสมควรได้รับความรักไหม แม้ว่าคุณจะดีไม่สมบูรณ์แบบ ก็ตาม • ให้มีเมตตากับตัวคุณเอง • คุณยอมรับตัวเองโดยไม่ต้องทำอะไรได้ไหม
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 18 ๑๗ 8) ศิลปะ เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย กรณีที่ให้เด็กวาดรูปจะต้องถามเด็กก่อน ว่าชอบวาดรูปไหม ในขณะที่เด็กกำลังสร้างสรรค์ศิลปะ ระหว่างการวาดภาพจะต้องสังเกตพฤติกรรมของเด็ก เพื่อจะได้ดูว่าเด็กมีพฤติกรรม ท่าทาง ลักษณะอย่างไร มีสมาธิหรือไม่ ถ้าวาดไปเรื่อย ๆ แล้วเด็กจดจ่อกับสิ่งนั้น แสดงว่าการใช้ศิลปะทำให้เด็กนิ่ง มีสมาธิสิ่งที่จะตามมาคือความผ่อนคลาย ปลดปล่อยในภาพวาด ถ้าให้รายละเอียดมากแสดงว่าสามารถใช้ตัวของเขาในการสร้างสรรค์ชิ้นงานได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการประเมินได้ว่า คนที่เราให้เขาสร้างสรรค์งานศิลปะมีสมาธิมากขึ้นเพียงใด ซึ่งสามารถประเมินได้ว่าเราสามารถจะพูดคุย กับเขาได้มากขึ้น หลังจากวาดภาพ สิ่งที่จะคุยต่อคือภาพนี้คืออะไร บอกหน่อยได้ไหม วาดอะไรลงไป นี้คือการใช้ความคิด เพราะศิลปะจะคิดก่อนวาด ถามว่าภาพนี้ให้ความหมายว่าอย่างไร ในขณะที่เขาเล่ามานั้น ให้ใช้ทักษะการฟัง แล้วจับเนื้อหา และความรู้สึกที่เขาแสดงออกมา แต่บางครั้งการเล่าของเขาไม่ได้บอก ความรู้สึกแต่เราต้องใช้ทักษะในการสะท้อนความรู้สึกนั้น
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 19 ๑๘ ความหมายของสี ความสัมพันธ์ทางอารมณ์ผู้คนมักจะเชื่อมโยงสีบางสีด้วยอารมณ์เฉพาะ • สีดำ 51% ความโศกเศร้า • สีขาว 43% ความโล่งใจ • สีแดง 68% ความรัก • สีน้ำเงิน 35% ความรู้สึกโล่งใจ • สีเขียว 39% ความพึงพอใจ • สีเหลือง 52% ความสุข • สีม่วง 25% ความสุข • สีน้ำตาล 36% ความขยะแขยง • สีส้ม 44% ความสุข • สีชมพู50% ความรัก จิตวิทยาสีเป็นการบำบัดสีหรือการใช้สีเพื่อรักษา บางครั้งมีการอ้างถึงการบำบัด ด้วยสีเป็นการบำบัดด้วยแสงหรือสี ปัจจุบัน Colorology ยังคงใช้เป็นวิธีการรักษาแบบองค์รวมหรือทางเลือก ในการรักษานี้ • สีแดง = กระตุ้นร่างกายและจิตใจและเพิ่มการไหลเวียน • สีเหลือง = กระตุ้นประสาทและทำให้ร่างกายบริสุทธิ์ • สีส้ม = ใช้ในการรักษาปอดและเพิ่มระดับพลังงาน • สีน้ำเงิน = ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยและรักษาความเจ็บปวด • สีอินดิโก้= ช่วยบรรเทาปัญหาผิว หมายเหตุ : ไม่อยากให้เน้นที่ความหมายของสี แต่อยากให้ใช้ประสบการณ์ในการทำงานกับผู้ใช้บริการ และให้ผู้ใช้บริการให้ความหมายของสีนั้นๆ นั้นคือหัวใจของผู้ใช้บริการ
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 20 ๑๙ 9) PANDORA BOX (แพนโดราบ็อก) PANDORA BOX เป็นกิจกรรม "ความแตกต่าง" (เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของบุคคล) ประกอบด้วย 4 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 รูปแบบของอาการต่าง ๆ (physical reaction) รูปแบบนี้ส่วนมากผู้ป่วยที่มีปัญหา illness ซ่อนอยู่ มักจะบอกเล่าอาการหรือมีรูปแบบพฤติกรรมในการมาพบแพทย์ที่เข้าลักษณะ ว่าไม่ปกติ ตัวอย่างเช่น มีอาการหัวใจอ่อน หายใจขัด อ่อนเพลีย ปวดหัวมึน ๆ มาโรงพยาบาลบ่อยมาก อาจทุกสัปดาห์รวมไปถึงลักษณะ ที่ไม่ปกติอื่น ๆ อีกหลายแบบ “เมื่อแพทย์ได้ยินหรือได้รู้สิ่งแรกที่ควรทำคือ ฉุกคิดว่าผู้ป่วยรายนี้อาจมี illness ร่วมอยู่ด้วยเสมอ” รูปแบบที่ 2 รูปแบบของพฤติกรรมทางสุขภาพ (health behavior) ที่ผิดปกติ • การสูบบุหรี่เพราะความเครียด • การที่ผู้สูงอายุไม่ยอมออกกำลังกาย เพราะกลัวล้มแล้วจะเป็นภาระของลูกหลาน • การไม่ยอมรับการรักษาด้วยฉีดอินซูลิน เพราะกลัวจะตายเหมือนเพื่อนข้างบ้าน รูปแบบที่ 3 รูปแบบของความคิด (thought) ที่ผิดปกติเราจะพบว่าผู้ป่วยในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักมีการจัดการตนเอง (Self management support) ที่มีปัญหาสืบเนื่องมาจากกระบวนการคิด หรือวิธีการคิดที่มีปัญหาซึ่งหมายถึงการมีปัญหากับการดูแลโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 21 ๒๐ รูปแบบที่ 4 รูปแบบของอารมณ์ (mood) ที่ผิดปกติผู้ป่วยมักมีท่าทีการแสดงออกทางอารมณ์ที่ไม่ปกติ บรรยากาศ ในการพูดคุยอาจขุ่นมัว จนเราสัมผัสได้ถึงความกระวนกระวายหรือความทุกข์ โดยสามารถสังเกตได้ อาทิ สีหน้า น้ำเสียง การขยับตัวบ่อยๆ การไม่สบตา คิ้วขมวด การก้มหน้า ฯลฯ รูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้อาจไม่ใช่ทั้งหมดที่ผู้ป่วย แสดงออกมาทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่การใส่ใจที่จะมองหาความผิดปกติ เหล่านี้น่าจะช่วยให้พวกเราพอจับสังเกตได้ว่า ผู้ป่วย/case ที่เราดูแลอยู่ต่อเนื่อง เป็นประจำหรือที่เพิ่งมาหาเราเป็นครั้งแรกมีภาวะที่เรียกว่า “ความเจ็บป่วย” หรือ “illness” ร่วมอยู่ด้วย หรือไม่ การใช้เครื่องมือในการสังคมสงเคราะห์ถ้าหากสามารถเขียนข้อมูลให้อยู่ในเครื่องมือเดียวกัน ได้จะทำให้การประเมินผู้ใช้บริการได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ผู้ที่ทำหน้าที่ CM จะต้องเข้าใจและรู้จักทรัพยากร การใช้เครื่องมือซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถประเมินผู้ใช้บริการและครอบครัวได้อย่างครบองค์รวม ครบมิติ ในการมองมากขึ้น แต่การประเมินจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการค้นหาข้อเท็จจริง แล้วสามารถนำข้อมูลมาทำ Genogram และ Ecomap ร่วมกันไปด้วยเพราะในขณะค้นหาข้อเท็จจริงจะมีการประเมินร่วมด้วย จะต้องมีการติดตามผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ๓ เดือนครั้ง หรือ ๖ เดือนครั้ง การใช้ Genogram และ Ecomap เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผู้ใช้บริการได้มากขึ้น ซึ่งในการติดตามจะต้องมีการประเมินซ้ำ ว่าสิ่งช่วยเหลือไปมีจุดไหนที่ยังต้องพัฒนาต่อ หรือสิ่งที่ทำแล้วแต่ยังไม่บรรลุความสำเร็จ หรือทำแล้วแต่ยังมี ปัญหาอุปสรรคต้องกลับไปประเมินซ้ำ ซึ่งในการประเมินก็จะต้องอาศัยเครื่องมือดังกล่าวข้างต้น สรุปการทำงานสังคมสงเคราะห์ หัวใจสำคัญ คือ การเข้าถึงผู้รับบริการโดยใช้กลวิธีต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้เพราะการ เข้าถึงผู้รับบริการได้ทั้งโลกภายในและโลกภายนอกจะทำให้นักสังคมสงเคราะห์/ผู้ปฏิบัติงานทางสังคม สงเคราะห์ได้รับข้อมูลและเห็นภาพที่ชัดขึ้น ในการจัดการรายกรณีหรือการใช้กระบวนการทางสังคมสงเคราะห์ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้รับบริการ ดังนั้น การทำงานสังคมสงเคราะห์จึงต้องมีการคิดกลวิธีใหม่ ๆ หรือประยุกต์ใช้ความรู้ต่าง ๆ หรือวิธีการต่าง ๆ เพื่อทำให้เข้าถึง/เข้าใจผู้รับบริการให้มากที่สุด เพราะเมื่อนักสังคมสงเคราะห์/ผู้ปฏิบัติงาน ทางสังคมสงเคราะห์เข้าถึงผู้รับบริการได้ก็เท่ากับได้ข้อเท็จจริง/ข้อมูลทำให้สามารถประเมินกาย จิต สังคม วางแผน และดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง 6. สัมพันธภาพทางครอบครัวกับสังคมของ Gen ต่างๆ - Gen B พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๕๐๗ อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยภาพรวมเป็นอนุรักษ์นิยม ยึดติดแบบแผนต่าง ๆ มีความจริงจังในการทำงาน ควรลดความคาดหวังกับ Gen X - Gen X พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๒๒ อายุ ๔๐ ปีขึ้นไป เป็นยุคมั่งคั่งเติบโตมาในยุคพัฒนา เริ่มมีคอมพิวเตอร์ มีการควบคุมอัตราการเกิดทำให้ประชากรลดลง ปัจจุบันเป็นวัยทำงาน ชอบอะไรง่ายๆ ไม่ทางการมาก มีแนวคิดสร้างความสมดุลทั้งงานและครอบครัว ทำงานตามหน้าที่ ไม่บ้างาน ไม่ทุ่มเท มีความเป็นตัวเองสูง ไม่ต้องพึ่งพาใคร มีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าทำงานกับคนกลุ่มนี้พูดให้กระชับ ชัดเจน ตรงไปตรงมา และมีทักษะ ทางด้านเทคโนโลยี สามารถสื่อสารได้ - Gen Y พ.ศ. ๒๕๒๓-๒๕๔๐ เติบโตมากับเทคโนโลยี มีความเป็นสากล ชื่นชอบศิลปินต่างชาติ อยู่ในช่วงวัยรุ่น (เรียนปริญญาหรือเริ่มทำงาน) มีเทคโนโลยีพกพา รักความสะดวกสบาย มักถูกตามใจ อยากได้ อะไรก็ได้ มีการศึกษาดี มีความคิดเป็นของตัวเอง พฤติกรรมมักต้องการความชัดเจนในการทำงาน ชัดเจน
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 22 ๒๑ ว่ามีผลกับตัวเองอย่างไร คาดหวังเงินเดือนสูง ไม่อดทนต่อการทำงาน เปลี่ยนงานบ่อย ชอบภารกิจใหม่ๆ และขอเป็นคนสำคัญ เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ให้ความสำคัญเรื่องสัมพันธภาพ - Gen Z พ.ศ. ๒๕๔๑ ลงมา เป็นยุคที่เกิดมาพร้อมกับความสะดวก เป็นยุค Digitel เก่งด้าน การสื่อสาร ติดโลกออนไลน์ ได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว ไม่ชอบการรอคอย ตัดสินใจรวดเร็ว แต่จะมีความ กลัวอนาคตเนื่องจากไม่มีความแน่นอนทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นคง ไม่แบ่งแยก มีแนวโน้มเป็นมนุษย์หลายงาน มีความอดทนต่ำ ต้องอธิบายเยอะขึ้น เขาต้องเข้าใจทุกอย่าง ถ้าทำงานจะต้องให้เกียรติเขาก่อนเพราะเขาเป็น คนมีความรู้ ความฉลาด เพราะเขาเติบโตมาในยุค Internet จะมีความรู้ในเรื่อง Internet เยอะ
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 23 กิจกรรม Work shop (การแสดงบทบาทสมมติ ในการให้คำาปรึกษาผู้ใช้บริการ)
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 24 ๒๓ จังหวัดปัตตานี สถานการณ์ตัวอย่าง ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบฯ เกิดเหตุเมื่อ พ.ศ. ๒๕5๖ ลูกสาวถูกยิงเสียชีวิต หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมเยียนและประเมินผลสภาพความเป็นอยู่ เดิมครอบครัวนี้อาศัย อยู่ด้วยกันทั้งหมด ๖ คน ประกอบด้วย ยาย อายุ ๗๔ ปี ตา อายุ ๗๖ ปี ลูกสาว ลูกเขย หลาน ๒ คน หลังจาก ลูกสาวเสียชีวิต ลูกเขยออกจากบ้านโดยไม่ได้ดูแลลูกๆ เลย ช่วงแรก ๆ มีติดต่อกลับมาบ้าง ช่วงหลังก็หายไป ยายเป็นคนเลี้ยงดูหลานทั้ง ๒ คน ยายมีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจพองโต พิการทางการเคลื่อนไหว (มีบัตรคนพิการ) หลานคนโตพิการทางสติปัญญา ไม่ยอมไปพบแพทย์ เป็นเด็กเกเร คนเล็กมีนิสัยเอาแต่ใจ ตัวเอง ส่วนตาเพิ่งเสียชีวิตเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๖ ยายต้องดูแลหลานๆ ที่ดื้อและเกเรมาก (ยายเกิดการสูญเสีย 2 ครั้งในช่วงเวลา ๑๐ ปี) สรุปผลจากการทำ Work shop การแสดงบทบาทสมมติในการให้คำปรึกษาผู้ใช้บริการ • ผู้ให้บริการมีการสร้างสัมพันธภาพทำได้ดีมาก • ผู้ให้บริการมีเทคนิคในการเปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากไปเจอหน้างานพบว่ายายได้สูญเสียคุณตา • ยายมีความกังวลและเป็นห่วงหลานมาก ยาย ไม่สามารถติดตามหลานไปได้ทุกที่เนื่องจากมีปัญหา สุขภาพ • การทานยาของยายไม่ถูกต้อง ไม่ตามเวลา • ประสานเครือข่ายเพื่อหาช่องทางเรื่องการไป รับยาของยาย สิ่งที่ต้องติดตามและดำเนินการต่อ • การทานยาของยายจะต้องได้รับยาตามเวลา • การเสริมพลังให้ยายเพื่อลดความเครียด • การที่จะเข้าถึงความรู้สึกของยายได้ ต้องถาม ยายว่ารู้สึกอย่างไรที่หลานเป็นแบบนี้ เพื่อให้ยายได้ ระบายออกมา จะทำให้เข้าใจถึงสภาวะจิตใจของยายได้ มากขึ้น • หัวใจของยายอยู่ที่หลาน จะทำอย่างไรให้หลานดีขึ้น ยายจะได้มีพลัง อาจจะดูว่าเพื่อนของหลาน มีลักษณะนิสัยอย่างไร ควรทำการประเมินความเสี่ยงเรื่องการคบเพื่อน โดยให้ภาคีเครือข่ายในพื้นที่คอยดู พฤติกรรมของหลาน หรืออาจจะไปสอบถามจากน้องสาวเขา
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 25 ๒๔ จังหวัดสตูล สถานการณ์ตัวอย่าง ผู้ประสบปัญหากรณีเด็กโดนฟ้าผ่า เนื่องจากในวันที่เกิดเหตุมีเด็ก ๓ คน ไปเล่นว่าวที่สนามบิน เด็ก ๑ ใน ๓ คน มีธุระจึงให้เพื่อน 2 คน ไปเล่นว่าวกันก่อน ต่อมาเกิดฝนตกและมีพายุ เพื่อน ๒ คน ไม่ทราบว่าไปแอบที่ไหน พอฝนหยุดตกน้องคนที่กลับมาจากธุระมาหาเพื่อนไม่เจอ พอรุ่งขึ้นอีกวันเวลา ประมาณ 09.00 น. มีคนเจอน้อง ๒ คน นอนคว่ำหน้าที่ใต้ต้นไม้ เสียชีวิตทั้ง ๒ คน เหตุการณ์นี้แม่ได้ไป แจ้งความไว้แล้ว ผู้ปกครองได้นำศพน้องทั้ง ๒ คน ไปประกอบพิธีทางศาสนา ในวันนั้นมีส่วนราชการหลาย หน่วยงานลงไปเยี่ยม สำหรับทางสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสตูล ได้มอบหมายให้ หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาลงพื้นที่ไปสอบข้อเท็จจริง สำหรับกรณีศึกษาเป็นครอบครัวของพี่เอ (นามสมมุติ) ในครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด ๖ คน ประกอบด้วย ยาย (น้องสาวของแม่ซึ่งพิการ) พ่อ แม่ และลูก ๒ คน คนโตที่เสียชีวิตอายุ ๑๒ ปี คนที่ ๒ อายุ ๑๐ ปี สรุปผลจากการทำ Work shop การแสดงบทบาทสมมติในการให้คำปรึกษาผู้ใช้บริการ • ผู้ให้บริการพูดลักษณะเชิงเสริมพลัง และ บทบาทหน้าที่ที่ต้องดำเนินการต่อ • กรณีนี้เป็นการทำงานในภาวะวิกฤต ผู้ใช้บริการจะปฏิเสธทุกอย่างเพราะเพิ่งสูญเสีย สิ่งที่ เกิดขึ้นยังไม่สามารถยอมรับได้บางคนอาจจะมีอาการ มากกว่านั้นคือจะโทษหลายๆ อย่าง สิ่งที่ผู้ให้บริการ กำลังทำอยู่นั้นถูกต้องแล้วคือต้องอยู่เป็นประจักษ์พยาน หมายถึงอยู่กับเขา มาเพื่อแสดงความเสียใจ และอยู่นิ่งๆ ถ้าเขาไม่พูดอะไร เราก็ยอมรับความคิดเห็นที่อยู่ในใจเขา จะค่อยๆ รับรู้และบอกว่าจะมากลับมาเยี่ยมใหม่ • คนที่พบกับภาวะสูญเสียบางคนพูดไม่ออก ถ้าไปงานจะต้องดูเวลาและความพร้อม ถ้าจะเอาข้อมูล จากผู้ประสบเหตุในครั้งแรกส่วนมากจะไม่ได้ • แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับครอบครัวสิ่งที่สำคัญ ที่สุดเมื่อเผชิญภาวะวิกฤตเกี่ยวกับการสูญเสียหรือใคร บางคนในชีวิตที่หายไป คือทำอย่างไรก็ได้ให้กลับสู่ภาวะ สมดุล ทำหน้าที่นั้นอีกครั้ง หัวใจคน ความรู้สึกบางครั้ง ไม่ต้องพูดอะไรเยอะเพียงแค่การให้กำลังใจในช่วงเวลา แบบนี้ นั้นคือการเข้าใจเขา ไม่มีหลักสูตรในการให้ คำปรึกษาในเชิงจิตวิทยาที่ตายตัว แต่ต้องเรียนรู้ ในสถานการณ์แบบนั้นว่าจะใช้คำพูดแบบไหนที่ทำให้ ความรู้สึกของเขาดีขึ้นหรือถ้าไม่ดีขึ้นแต่ทำให้รู้สึกว่าอยู่ ข้างๆ ตรงนั้นเวลาที่สูญเสียใครสักคนเขาจะรู้สึก เสียใจ เศร้าใจ แน่นหน้าอก ไม่สามารถพูดอะไรได้ ให้เข้าใจตรงนั้น “การทำงานของหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาคือ ไม่เร่งรัดในการเอาข้อมูล และทำให้เขารู้สึกว่าเรามาเยี่ยมมาแสดงความเสียใจ เราเป็นเพื่อนกับเขา”
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 26 ๒๕ สิ่งที่ต้องติดตามและดำเนินการต่อ • การไปเยี่ยมครั้งที่ ๒ พยายามประเมินบาดแผลในจิตใจ เนื่องจากสูญเสียลูกไปอย่างกะทันหัน จะมีความรู้สึกว่าแม่ไม่ควรทำงานศพลูก ซึ่งจะทำให้แม่เกิดภาวะการณ์ช็อคจะมี Time line ๒ สัปดาห์ ถ้าหาก ๒ สัปดาห์แล้วแม่ยังนิ่งไม่พูด ไม่ทำอะไร ไม่มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต จะต้องติดตาม ภาวะซึมเศร้าต่อ แต่ถ้าจำเป็นต้องเอาข้อมูลภายหลังจากเกิด เหตุการณ์ไปแล้ว ๑ สัปดาห์ ก่อนอื่นจะต้องพูด“ขอโทษ” ที่ต้องมา รบกวนอีกครั้ง “เนื่องจากทางหน่วยงานต้องการข้อมูลด่วนว่าจะ สามารถช่วยเหลืออะไรคุณแม่ได้บ้าง วันนี้อาจจะทำหรือพูดกระทบ จิตใจการสูญเสียของคุณแม่อีกครั้ง แต่คุณแม่สามารถพูดได้เลยว่า พร้อมหรือไม่พร้อมจะให้ข้อมูล ผมยินดีจะกลับมาอีกครั้งเมื่อคุณแม่ พร้อม” พูดแบบนี้ไปก่อน เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าภาวะช็อกหรือ การสูญเสียจะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ แต่หน่วยงานราชการอยากได้ข้อมูลภายในระยะเวลา ๑ สัปดาห์ ซึ่งกระชั้น ชิดมาก ภาวการณ์สูญเสียจะอยู่ที่ ๒ สัปดาห์ โดยสังเกตได้จากการไปงานศพวันแรกเขาจะรับไม่ได้จะร้องไห้ หนักมาก อาลัยกับการสูญเสีย เมื่อเข้าวันที่ ๓ จะเริ่มยอมรับ ถ้าเป็นการสูญเสียตามธรรมชาติ เช่น อายุมาก แล้วจะอยู่ที่ ๑ สัปดาห์ ถ้าเป็นอุบัติเหตุ ลูกอายุน้อยยังคิดว่าลูกอยู่ด้วย การแก้ปัญหาโดยคิดว่าลูกยังอยู่อย่าเพิ่ง เอาสิ่งของทิ้ง เพราะบางคนสามารถเอาสิ่งของทิ้งได้แต่จะเป็นคนที่ต้องการตัดจริงๆ แต่บางคนยังไม่พร้อมยัง ต้องการให้สิ่งของอยู่แบบเดิมก็ไม่เป็นไร สังเกตได้ว่าเขายังยอมรับในความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ แล้วค่อยๆ ดูว่า สิ่งของเหล่านี้ค่อยๆ เอาไปบริจาคหรือไม่ หัวใจของการให้การปรึกษาการสูญเสีย คือ ๑) ให้เขา ระบายความรู้สึก ๒) ประเมินว่าเขายอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้มาก น้อยแค่ไหน ๓) การเสริมพลัง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำได้เสมอคือ การเคารพคนที่อยู่ตรงหน้า ให้เขาพร้อมที่สุด สิ่งที่ผู้ให้บริการ พูดดีมากคือ “ถ้าอยากจะร้องไห้ ร้องได้เลยนะ อย่าคิดว่าผมเป็นคน อื่น ผมเป็นคนหนึ่งที่สามารถแบ่งเบาภาระความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ ในตอนนี้ คุณแม่สามารถร้องไห้กับผมได้ครับ คิดว่าตอนนี้ ผมเป็นลูกชาย ร้องไห้วันนี้คนที่มองอยู่ข้างบนเห็น แล้วเขาทำให้ผม รู้สึกว่าคุณแม่ได้มีพลังกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง ผมรู้สึกยินดีมากครับแม่ ขอให้ผมเป็นคนนั้นบ้างได้ไหมครับ ” คือสิ่งที่พูดแล้วให้เขาได้ระบายออกมา การร้องไห้หนักๆ ทำให้หลั่งสารเอ็นโดฟิน แล้วเป็นการบรรเทา ความเจ็บปวดแต่ถ้ามองแล้วเขาร้องไห้ตลอดงาน ๑ วันเต็มๆ โดยที่ไม่หยุดเลย ถ้าไปประเมินอีกครั้งเขายังมี การร้องไห้ ถ้ามีภาวะนั้นอยู่หลายๆ รอบที่ไป แสดงว่าเป็นซึมเศร้า ต้องคุยกับเขาและคนที่เป็นสามี “จากที่เจ้าหน้าที่มารู้สึกเป็นห่วงมากเลยคับ คุณแม่ร้องไห้ค่อนข้างหนักมาก คุณแม่ใช้ชีวิตอะไรแล้วรู้สึกว่า ไม่มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตไหม เพราะคุณแม่ได้สูญเสียลูกที่เป็นที่รักกะทันหัน” ถ้าหากพ่อตอบว่า เขานอนไม่ค่อยหลับ กินอะไรไม่ค่อยได้ ชอบแยกตัวออกไปนั่งคนเดียว คิดและคุยว่าเราดูแลลูกอย่างไร และรู้สึกผิด ผู้ให้บริการนั้นต้องพูดคำ ว่าขอโทษและจะขออนุญาตประสานงานกับโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบลและโรงพยาบาล ในการพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพเพื่อจะ ได้รับยาคลายเครียดเพื่อจะได้มีสุขภาพที่ดีขึ้น คุณพ่อเห็นเป็นอย่างไร ครับ คือประเมินให้ได้ว่าสิ่งที่จะสูญเสียที่ตามมาจะเกิดอะไรขึ้น ภาวการณ์สูญเสียคนเป็นแม่บางคนอยากตายตามเลย ควรมีการ ประเมินระดับความรุนแรงว่าระดับไหน
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 27 ๒๖ จังหวัดนราธิวาส สถานการณ์ตัวอย่าง ผู้ประสบปัญหาพิการทางการเคลื่อนไหว นายบี(นามสมมุติ) เดิมเป็นคนร่างกายปกติ ประกอบอาชีพ ก่อสร้าง ระหว่างการทำงานได้ตกจากหลังคาทำให้เป็นผู้ป่วยพิการติดเตียง ครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด ๔ คน พ่อ แม่ และลูก ๒ คน ลูกเสียชีวิตแล้ว ๑ คน เหลืออีก ๑ คน ซึ่งกำลังอยู่ในวัยเรียน อายุ ๑๑ ปี ภรรยาไม่ได้ ประกอบอาชีพ เนื่องจากต้องดูแลสามี ไม่มีรายได้ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด นราธิวาส ช่วยเงินสงเคราะห์ครอบครัว จากเดิมทำขนมขายส่งร้านน้ำชา แต่ก็มีความกังวลว่าจะไม่มีใครซื้อ เพราะตนเองดูแลคนพิการ คนอื่นอาจจะมองว่าสกปรกจึงไม่ได้ทำต่อ จึงได้ไปซื้อไก่ไข่มาเลี้ยง จำนวน ๙ ตัว ไข่ที่ได้จะเก็บไว้ทานเอง ทางสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนราธิวาส ได้มีการ ช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องโดยมอบเงินสงเคราะห์ต่างๆ ล่าสุดมอบเงินกองทุนคุ้มครองเด็ก ผู้ใช้บริการจึงนำเงิน ไปซื้อไก่ไข่มาเพิ่มอีก ๓๐ ตัว รวมทั้งหมดเป็น ๓๙ ตัว การแสดงบทบาทสมมติในการให้คำปรึกษาผู้ใช้บริการ สรุปผลจากการทำ Work shop • ภรรยาจะมองโลกเชิงบวก ยิ้มง่าย คอยเฝ้าดูแลสามีตลอด เลี้ยงไก่ และทำขนม เขาน่าจะมีความ เหนื่อย อาจจะต้องสอบถามอาการของภรรยาบ้าง พักผ่อนเพียงพอไหม นอนหลับกี่โมง ดูวงจรชีวิต ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งเขาเป็นกำลังสำคัญของครอบครัวถ้าล้มลงไปครอบครัวจะลำบาก สำหรับการประเมินผู้ป่วย ติดเตียงต้องมีเครื่องมือในการติดตาม ด้านสุขภาพร่างกาย การทำกายภาพบำบัดดูการเปลี่ยนแปลง ของร่างกายว่าแขนขาลีบเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหรือเหมือนเดิม (ถ้าติดเตียงขอไม่ทรุดลง) ส่วนลูกชายให้เขานวดพ่อ อาจจะไม่ถูกต้องตามหลักการ แต่เป็นการสร้างสายใยครอบครัวและแบ่งเบาภาระแม่ รอบที่แล้วให้เขาทำ กายภาพให้ดูปรากฎว่าผิดวิธีผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ จุดแข็งของครอบครัวนี้คือค่อนข้างรักกัน แต่ที่น่าเป็นห่วงภรรยาทำงานหนักมาก สิ่งที่จะไปช่วยเขาคือเรื่องเศรษฐกิจ ลูก และครอบครัว สิ่งที่ต้องติดตามและดำเนินการต่อ • การประเมินสภาวะจิตใจของคนดูแล และผู้ป่วยติดเตียง • การประเมินทางด้านร่างกาย ดูว่าผอมจนหนังหุ้มกระดูกหรือไม่ แผลกดทับแห้งหรือเปล่าเนื่องจาก ครั้งที่แล้วแผลไม่แห้ง
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 28 ๒๗ จังหวัดสงขลา สถานการณ์ตัวอย่าง ได้รับการแจ้งจากศูนย์ช่วยเหลือสังคม ๑๓๐๐ เป็นกรณีพ่อเลี้ยงเดี่ยว อายุ ๕๕ ปี ลูก ๕ คน พ่อติดสุราเรื้อรัง ลูกคนที่ ๑ ผู้หญิง อายุ ๑๗ ปี คนที่ ๒ ผู้หญิง อายุ ๑๕ ปี ไม่ได้เรียนหนังสือทั้ง ๒ คน คนที่ ๓ ผู้ชาย อายุ ๑๓ ปี กำลังเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ แต่ไม่ได้ศึกษาต่อเนื่องพ่อไม่มีเงิน คนที่ ๔ ผู้ชาย คนที่ ๕ ผู้ชาย กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถม ย่ารับหลานคนที่ 4-5 ไปดูแล ส่วนคนที่ ๑-๓ ไม่ได้ศึกษาต่อ ทางหน่วยเคลื่อนที่เยียวยาได้รับเรื่องจึงได้ประสานงานกับผู้ใหญ่บ้านและอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ และได้ลงพื้นที่ไปเจอพ่อเลี้ยงเดี่ยว สรุปผลจากการทำ Work shop การแสดงบทบาทสมมติในการให้คำปรึกษาผู้ใช้บริการ • ผลการประเมินจากกล่องแพนโดรา (Pandora Box) สิ่งที่เห็นชัดมาก มี ๒ อย่าง ๑)อาการทางด้านร่างกาย ติดแอลกอฮอร์มีอาการสั่น ๒) กระบวนการคิด ความคิดมีความบิดเบือนเกี่ยวกับ เรื่องการจัดการตัวเองและเรื่องลูก ปกติคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ จะมีความหงุดหงิดและมีอาการก้าวร้าว แต่ผู้ใช้บริการรายนี้ มีอาการสั่น การประเมินการติดแอลกอฮอล์ชัดเจนที่สุด ต้องมีการตรวจสุขภาพเนื่องจากส่วนใหญ่ถ้ามีอาการดังกล่าว จะมีปัญหาสุขภาพตามมาโดยต้องตรวจสโตรก เพราะว่า แอลกอฮอล์ไปทำให้ระบบเลือดไหลเวียนไม่ดี การตรวจสุขภาพ จะต้องประสานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และต้องมี การติดตามสมาชิกในครอบครัวลูก ๓ คน เนื่องจากอยู่ ในช่วงวัยรุ่น ปัญหาที่เห็นชัดคือคนที่จะเข้าสู่การศึกษาระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น อายุ ๑๓ ปี ไม่ได้ไปรายงานตัว เจ้าหน้าที่ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา จะดำเนินการเรื่องขอทุนการศึกษาเพื่อช่วยให้เด็กได้ศึกษาต่อ และทุนประกอบอาชีพ แต่ต้องมีการประเมิน ก่อนและต้องมีเงื่อนไข เนื่องจากพ่อสมองติดแอลกอฮอล์เกรงว่าถ้าหากได้เงินมาอาจจะนำเงิน ไปซื้อเหล้าอีกเพราะคนที่ดื่มเหล้าและติดยาเสพติดจะทำให้สมองส่วนหน้าถูกทำลายซึ่งเป็นส่วนของความคิด จะทำให้คิดเองไม่ได้จะต้องบอกให้ทำและกำหนดเงื่อนไข อาจจะทำในระยะแรกและค่อยฟื้นฟูให้เกิด กระบวนการคิด สิ่งที่ต้องติดตามและดำเนินการต่อ • ผู้ใช้บริการต้องไปตรวจสุขภาพแล้วนำผลการตรวจของแพทย์มายืนยันในการมอบเงินทุนประกอบ อาชีพ ต้องกำหนดเงื่อนไขเพื่อให้ผู้ใช้บริการเข้าสู่ระบบการรักษา • ต้องสอบถามความต้องการของผู้ใช้บริการว่าอยากให้ลูกได้ศึกษาต่อไหม ถ้าหากเขายังไม่ตระหนัก ต่อการศึกษาของลูก ด้านผู้ให้บริการจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เขาตระหนักถึงความสำคัญในการศึกษาของลูก • ลูกผู้หญิง ๒ คน อายุ ๑๕ ปีและ ๑๗ ปีอาศัยอยู่ในบ้าน ไม่ได้รับการศึกษา ซึ่งต้องประเมินก่อนว่า เด็กมีความต้องการจะศึกษาต่อหรือไม่ถ้าหากมีความต้องการศึกษาต่อสามารถสมัครได้ที่การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เนื่องจากเรียนเฉพาะวันอาทิตย์ ส่วนวันจันทร์-เสาร์ สามารถทำงานได้ ส่วนลูกคนที่ 3 จะให้ช่วยงานที่บ้านหรือถ้าหากพ่อได้ทุนประกอบอาชีพให้ลูกคนที่ 3 มาช่วยหรือไม่ ต้องไป ประเมินศักยภาพของลูกว่ามีความรับผิดชอบไหม หรือมีความผูกพันกับพ่อหรือไม่ บางครั้งพ่อดื่มเหล้ามากๆ ลูกอาจจะมีความเบื่อและอยากจะออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนมากกว่า ทำอย่างไรให้ลูกเข้าสู่ระบบครอบครัว ได้เหมือนเดิม เพียงแต่จะทำอย่างไรให้เด็กรู้สึกว่าเขาไม่ได้แบกภาระไว้ แต่ถ้าหากลูกบอกว่าจะไม่ทำงานก็ให้ฟัง เขาก่อน และดูความเสี่ยงว่ามีมากน้อยเพียงใด การพูดกับเด็กยุคปัจจุบันถ้าปฏิเสธคำว่า “ไม่” จะอันตราย เขาจะไปเลย ถ้าเขาบอกว่าจะอยู่กับเพื่อนให้คุยกับเขาว่ากลับมาดูพ่อและน้องคนเล็กอาทิตย์ละครั้งได้ไหม พยายามให้เขากลับสู่ครอบครัวแต่ไม่ได้เป็นการบังคับ ให้เขามาด้วยความรักความผูกพันตัวเอง แต่ถ้าไม่มี ความรู้สึกแบบนี้เพราะพ่อไม่ได้สร้างความรัก ความผูกพันธ์ เขาอาจจะรักน้องให้น้องเป็นตัวเชื่อม หาหัวใจ ของเคสให้เจอ แล้วดึงศักยภาพของเขาออกมา
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 29 ๒๘ จังหวัดยะลา สถานการณ์ตัวอย่าง ผู้ประสบปัญหาทางสังคม นายซี (นามสมมุติ) มีภรรยาและลูก ๒ คน นายซีและภรรยามีภาวะทางจิต ไม่ยอมให้ลูกไปโรงเรียน ทุกวันจะพาลูกไปนั่งริมฟุตบาทโดยหันหน้าหากำแพงโดยไม่ให้ลูกมองถนนและ มองคนอื่น ภรรยาจะแยกตัวออกมาโดยจะไปเดินในตลาด กรณีนี้ผู้ให้บริการลงไปให้ความช่วยเหลือเพื่อให้เด็ก ได้เรียนหนังสือ ในช่วงแรกที่เข้าไปพูดคุยโดยได้ข้อเท็จจริงมาคือนายซีจะค่อนข้างอคติกับหน่วยงานราชการ และไม่ยอมให้ลูกไปโรงเรียนเนื่องจากเมื่อก่อนลูกเคยเรียนแต่ถูกเพื่อนๆ กับคุณครูล้อว่ามีพ่อเป็นคนบ้า จึงไม่ยอมให้ลูกไปโรงเรียน แต่ในข้อเท็จจริงอีกอย่างคือลูกทั้ง ๒ คน อยากเรียนหนังสือมาก แต่พ่อบังคับไม่ให้ เรียน ในการเข้าถึงผู้ใช้บริการรายนี้ค่อนข้างยากเพราะเขาสร้างกำแพงไว้คือกรณีเป็นหน่วยงานภาครัฐ จะไม่ยอมพูดคุยด้วย ในการลงไปครั้งแรกมีเจ้าหน้าที่ไปกันหลายคนผู้ใช้บริการยังไม่ให้ความร่วมมือในการตอบ คำถาม ครั้งที่ ๒ เจ้าหน้าที่ลงไปคนเดียวได้มีการสร้างสัมพันธภาพกับผู้ใช้บริการเขาจึงยอมพูดด้วย ผู้ให้บริการ พยายามหาช่องทางเพื่อให้เด็กได้เรียนหนังสือ จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปคุยกับแม่ของเด็กเนื่องจากเขาแยกกันอยู่ ในการคุยกับแม่จะต้องเรียกแทนตัวแม่ว่า “น้อง” อย่างเดียว และชมว่า “สวย” เขาถึงจะคุยด้วย ถ้าเรียกพี่ จะโกรธมากและไม่ยอมคุย ผู้ให้บริการพยายามไปพูดคุยโน้มน้าวจิตใจ และแนะนำเรื่องการเรียนของลูกบอกว่า ถ้าลูกได้เรียนหนังสือจบมาลูกจะมีงานทำสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ (สามีและภรรยาไม่มีใครทำงาน) หลังจาก นั้นให้แม่นัดลูกทั้ง ๒ คน โดยไม่มีพ่ออยู่ด้วยเนื่องจากถ้าพ่ออยู่ด้วยเด็กจะไม่โต้ตอบอะไร พอถามเด็กจะหันไป มองหน้าพ่อตลอด พ่อใช้สายตาไม่ให้ลูกคุย หลังจากนั้นจึงไปคุยกับแม่ถึงผลดีของการเรียนหนังสือ และชวนแม่ กับลูกไปดูโรงเรียน โดยได้มีการประสานกับทางโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ให้ต้อนรับดีๆ เนื่องจากเขามีอคติ กับครู วันที่ไปทางท่านผู้อำนวยการโรงเรียนลงมาต้อนรับเองพูดคุยอัธยาศัยดีมากจนแม่ประทับใจโรงเรียน หลังจากนั้นจึงได้นำลูกคนโตเข้ามาเรียนก่อนเนื่องจากคนเล็ก อายุ ๑๒ ปีเคยศึกษาแค่ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๑ จากการประเมินเบื้องต้นลูกคนเล็กเริ่มมีภาวะทางจิตจะไม่ห่างพ่อเลย คนโต อายุ ๑๕ ปี เคยศึกษา แค่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ สามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้ ทางเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยา สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดยะลา เป็นผู้ดำเนินการเรื่องการเรียนให้ทุกอย่าง ซึ่งช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาคนโตไม่ยอมกลับบ้าน ให้เหตุผลว่าถ้ากลับบ้านพ่อต้องจับมัดและอาจจะนำไปอยู่ที่อื่น ซึ่งตนเองจะไม่ได้เรียนหนังสือ จึงได้ประสานให้น้องไปพักบ้านพักเด็กในช่วงปิดเทอมพอเปิดเทอมก็ไปส่งที่ โรงเรียน คนเล็กก็พยายามหาวิธีการเพื่อให้ได้เรียนหนังสือ ด้วยความที่ลงไปเยี่ยมบ่อยๆ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาได้สนิทกับพ่อของเด็ก โดยเขาไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่เป็นคนพาลูกเขาไปเรียนหนังสือ เขาชอบ คุยเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาเพราะคุยกันเข้าใจและไม่ขัดใจเขาเลย พอคุยเรื่องให้ลูกเรียนหนังสือเขาจะ ไม่คุยด้วย เขาให้เบอร์โทรศัพท์ (เขาจะไม่ให้ใครเลย) และได้ให้เอกสารทุกอย่างกับเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่ เยียวยา เขาบอกว่าเขาเกลียดมากคนที่พาลูกเขาไปเรียนโดยไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่พาไป ลูกคนเล็ก ยังไม่สามารถแยกตัวออกจากพ่อได้เนื่องจากอยู่กับพ่อตลอด การที่จะไปปรับทัศนคติพ่อทำได้ยากเนื่องจาก มีภาวะทางจิต ทั้ง 3 คน ทุกคนมีโทรศัพท์และมีInternet เนื่องจากได้รับเงิน ซากาต และมีรถมอเตอร์ไซค์ การแสดงบทบาทสมมุติในการให้คำปรึกษาผู้ใช้บริการ
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 30 ๒๙ สรุปผลจากการทำ Work shop • หลักการสำคัญในการทำงานของผู้ให้บริการคือใช้หลักการสร้างสัมพันธภาพแบบเพื่อน การชมเชย ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกสบายใจ สามารถพูดคุยได้ทุกอย่าง • ต้องมีการประเมินผู้ใช้บริการว่ามีภาวะจิตเวชระดับใด โดยใช้คำถาม เช่น ตอนกลางคืนมีหูแว่วไหม หลอนไหม ถ้ามีอาการดังกล่าวเป็นจิตเภท จะต้องเข้าสู่ระบบการรักษาและได้รับยา ให้สังเกตผู้ใช้บริการ มียาอะไรที่รับประทานอยู่บ้างไหม ถ้าหากไม่มียาจะทำให้ภาวะทางจิตทวีคูณเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าได้เข้าสู่ ระบบการรักษาจะได้รับยา สิ่งที่ต้องติดตามและดำเนินการต่อ • การที่จะนำผู้ใช้บริการไปโรงพยาบาลเป็นเรื่องยาก เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ใช้บริการปฏิเสธมาตลอด แต่มีความจำเป็นต้องมีการบังคับเพื่อให้ได้รับยา • สังเกตุการพูดคุยเขาอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงหรือเปล่า ถามเรื่องนี้ตอบเรื่องโน่น ถามเรื่องนี้ตอบ ตรงคำถาม แสดงว่าภาษารู้คิดยังทำงานได้ ต้องประเมินจากการพูดคุย ถ้าหากคุยแล้วจับใจความไม่ได้ คุยจาก ประสบการณ์ในอดีตอาจมีผล เช่น มีอะไรถึงไม่ชอบให้ลูกไปโรงเรียน มีอะไรกับหน่วยงานภาครัฐ เพราะว่าโดย ส่วนใหญ่ภาครัฐจะจับคนเหล่านี้ไปอยู่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรบ้าง อาจจะมีประสบการณ์ ไม่ดีกับคนเหล่านี้ พอไปในฐานะเพื่อนไม่ใช่เจ้าหน้าที่หน่วยงานเขามีความสนิทใจที่จะคุยด้วย • ด้านสุขภาพ ผู้ใช้บริการมีกลิ่นตัวแรงมาก ระหว่างการพูดคุยเจ้าหน้าที่ต้องกลั้นหายใจ ซึ่งไม่มีใคร ที่จะกลั้นหายใจคุยได้ตลอดเวลา ในการคุยไม่ต่ำกว่าชั่วโมง ซึ่งค่อนข้างนานมาก ถ้าปิดแมสก็จะหาว่ารังเกียจ แต่การที่เราได้กลิ่นตัวเหม็น สามารถประเมินได้ ดังนี้๑) ประเมินสุขลักษณะ ๒) กลิ่นปากมีเชื้อที่เหม็น กว่าปกติ ถ้าแบบนี้ระบบข้างในน่าจะมีปัญหา ภาวะกลไกทางสมองจะต้องจับเข้าโรงพยาบาล หรือชวนอาบน้ำ แต่ภาวะคนเป็นจิตเวชจะไม่ดูแลตัวเอง จะไม่สนใจสิ่งภายนอก แต่จะสนใจสมองที่สั่งให้เขาได้ยิน (การซึมเศร้า ไบโพลาร์เป็นโหมดอารมณ์พฤติกรรมผิดปกติไม่ใช่จิตเวช เป็นอารมณ์ที่หดหู่ที่เจอเรื่องลบมาและเจอวิกฤติ ในชีวิต Love Work Play ดูว่า ๓ ส่วนนี้มันผิดทุกอย่าง แสดงได้ว่าเป็นซึมเศร้าแบบรุนแรง หรือถ้าเป็นอย่างใด อย่างหนึ่ง ถ้ามีกระบวนการคิดแสดงว่าไม่ได้เป็นในระดับที่รุนแรง) จิตเวช จะมีอาการ หูแว่ว หลอน มีคนมาสั่ง ให้ฆ่า ทำร้าย ปกติคนธรรมดาจะไม่มีอาการดังกล่าว ยกเว้นคนที่เคยประสบเหตุ เช่น ขโมยขึ้นบ้าน ภาวะโดนตี จากข้างหลัง นั้นจะเป็นวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ ต้องประเมินให้ออก เด็กทั้ง ๒ คน ต้องได้รับการประเมินจิตเวช คือ ๑) จิตเวชทางพันธุกรรม ต้องรับยาตลอด ๒) ถูกการกระทำแล้วช็อคมากๆ เช่น แม่ติดยาบ้าจะทำให้ กลไกทางสมองทำงานผิดปกติ แต่สามารถฟื้นฟูได้
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 31 ประชุมเชิงปฏิบัติการนิเทศติดตาม ประเมินผล และถอดบทเรียน การปฏิบัติงานของบุคลากร หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาฯ ในการช่วยเหลือ ผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ความไม่สงบฯ และกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี สตูล และสงขลา)
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 32 ๓๑ จังหวัดนราธิวาส กรณีศึกษาที่ 1 เด็กหญิงโอ๋ (นามสมมุติ) อายุ 12 ปี ประสบเหตุโกดังพลุดอกไม้ไฟระเบิดมูโนะ หมู่ที่ 5 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ครอบครัวมีสมาชิก ทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย บิดา มารดา และบุตร 5 คน เกิดเหตุการณ์พลุดอกไม้ไฟระเบิด บ้านอยู่ห่างจาก รัศมีที่เกิดเหตุการณ์ 30 เมตร ตอนที่เกิดเหตุสมาชิกในครอบครัวกำลังนอนพักผ่อนกันอยู่ภายในบ้าน แรงดัน ของดอกไม้ไฟที่ระเบิดทำให้ตัวบ้านด้านหลังถล่มลงมาก่อน ส่วนหน้าบ้านที่สมาชิกนอนอยู่ได้ถล่มลงมา ภายหลังจากทุกคนออกมาจากตัวบ้าน ส่งผลให้สมาชิกในครอบครัวได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 6 คน ๑. การประเมินสภาวะผู้ใช้บริการ (ด้านกาย จิตสังคมและครอบครัว) การประเมินสภาวะผู้ใช้บริการ รายละเอียด กาย ครอบครัวได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ทั้ง ๖ คน -บิดา บาดเจ็บบริเวณตา หู คิ้ว เย็บ 3 เข็ม และศรีษะ -มารดา บาดเจ็บบริเวณศรีษะ -บุตรคนที่ 1 บาดเจ็บ -บุตรคนที่ 2 ลูกตาแตกด้านซ้าย (เนื่องจากโดนกระจกขนาด 2 ซม. กระเด็นเข้าตา) -บุตรคนที่ 3 ไม่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากตอนเกิดเหตุไปอยู่บ้านยาย -บุตรคนที่ 4 บาดเจ็บเล็กน้อย -บุตรคนที่ 5 บาดเจ็บบริเวณใบหน้า จิต ครอบครัวมีความกังวล -ด้านสุขภาพร่างกายของบุตรคนที่ 2 -ด้านที่อยู่อาศัย -ด้านรายได้ สังคม ครอบครัวสามารถเข้าถึงชุมชนได้ -เพื่อรับสวัสดิการและสิทธิ์ต่างๆ -สามารถไปเยี่ยมเพื่อนในพื้นที่เดียวกัน ครอบครัว ครอบครัวมีความใกล้ชิด สนิทสนม รักใคร่กันมาก
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 33 ๓๒ วันที่ 30 กค. - 12 สค. 66 พักอาศัยที่ศูนย์พักพิง ๒. ความเสี่ยง ครอบครัวมีภาวะความเครียด ความกังวลเรื่องสุขภาพ ไม่มีรายได้ ซึ่งเดิมรายได้ไม่เพียงพอ แก่การครองชีพอยู่แล้วจนทำให้บุตรคนที่ ๑ ต้องหยุดเรียนกลางคันเนื่องจากไม่มีเงิน ๓. จุดแข็ง/ศักยภาพ ความรัก ความอบอุ่นของครอบครัวที่คอยดูแลกันอย่างใกล้ชิด ๔. การนำกระบวนการจิตวิทยาการปรึกษาไปใช้กับผู้ใช้บริการ ๔.1) วิธีการที่นำไปใช้ กระบวนการให้คำปรึกษา เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ตลอดจน สามารถเผชิญปัญหา การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การยอมรับปัญหา และมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น ๔.2) ทักษะและเทคนิคที่นำไปใช้ ลงพื้นที่ครั้งที่ 1 การสร้างสัมพันธภาพ การทักทาย แนะนำตัว และสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ลงพื้นที่ครั้งที่ 2 สำรวจ รวบรวมเก็บข้อมูล รับฟัง สังเกต ตั้งคำถาม สะท้อนกลับ และให้กำลังใจ ๕. เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์ที่นำไปใช้ Genogram (แผนผังครอบครัว) Time Line (ลำดับเหตุการณ์สำคัญในชีวิต) 48 37 29 กรกฎาคม 2566 เกิดเหตุโกดังดอกไม้ไฟระเบิด ต.มูโนะ สมาชิกในครอบครัว 7 คน ได้รับบาดเจ็บ 6 คน บุตรคนที่ 2 รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จากลูกตาแตก ได้ย้ายออกมาเช่าบ้านที่บ้านมือบา หมู่ที่ 4 ตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงโก-ลก 4 17 10 2 12
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 34 ๓๓ ๖. การประเมินสภาพปัญหาความเดือดร้อน 5 มิติ (ด้านที่อยู่อาศัย ด้านสุขภาพ ด้านรายได้ ด้านการศึกษา และด้านการเข้าถึงบริการของภาครัฐ) สภาพปัญหา 5 มิติ รายละเอียด ด้านที่อยู่อาศัย -บ้านพังได้รับความเสียหาย ไม่สามารถพักอาศัยได้ ปัจจุบันเช่าบ้านเดือนละ 2,000 บาท หน่วยงานภาครัฐออกค่าเช่าให้ 6 เดือน ได้มีการวางแผนจะสร้างบ้าน ในที่ดินของตนเอง ด้านสุขภาพ กาย -บุตรคนที่ 2 ลูกตาแตกด้านซ้าย (ปิดตา) ได้รับเป็นผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ แพทย์นัดอีกครั้งวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ส่วนคนอื่นๆ บาดแผลหายดีแล้ว -บิดาเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด (นานๆ ครั้งจะมีอาการ) จิต -มารดาจะมีน้ำตาไหลขณะพูดเรื่องการรักษาตาของบุตรสาว -บุตรคนที่ 2 ระหว่างการสนทนาจะยิ้ม (ไม่แสดงออกถึงความกังวล ภายใต้รอยยิ้ม อาจจะมีสิ่งปกปิดอยู่) -เด็กๆ ไม่มีอาการสะดุ้งตอนกลางคืน -ใช้หลักศาสนาในการพูดคุยกับบุตรเพื่อให้ยอมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น -มารดายังนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตอนกลางคืนไม่มีอาการสะดุ้ง ด้านรายได้ -สามีประกอบอาชีพช่างไม้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ยังไม่สามารถทำงานได้เนื่องจาก อยู่ระหว่างการพักฟื้นร่างกาย -มารดาประกอบอาชีพรับจ้าง ด้านการศึกษา -บุตรคนที่ ๑ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4) ปัจจุบันหยุดเรียน -บุตรคนที่ 2 กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หยุดเรียน 2 สัปดาห์ -บุตรคนที่ 3 กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 -บุตรคนที่ 4 กำลังศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ด้านการเข้าถึง บริการของภาครัฐ -ได้รับการประเมินของใช้ในบ้านประมาณ 20,000 บาท ผลการติดตามและนิเทศงานการให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยา ผู้ให้บริการ ๑) หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาจังหวัดนราธิวาสทำกระบวนการให้คำปรึกษาได้ดีมาก โดยเฉพาะการสร้าง สัมพันธภาพ การเข้าถึงผู้ใช้บริการจนได้รับความไว้วางใจ 2) หน่วยเคลื่อนที่เยียวยาจังหวัดนราธิวาสมีการทำงานเป็นทีมดีมาก ผู้ใช้บริการ ๑) การให้คำปรึกษากับเด็กอาจต้องเพิ่มความรู้เรื่องความเข้าใจกับธรรมชาติของผู้ใช้บริการที่สูญเสีย อวัยวะหรือผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่มีความรุนแรง (พลุระเบิด) ๒) การประเมินสภาพจิตใจของเด็กและครอบครัว ต้องให้คำปรึกษาแนวเสริมพลังเพื่อให้ครอบครัว ดูแลบุตรและเป็นกำลังใจให้บุตร นอกเหนือจากความเชื่อทางศาสนา (เด็กที่อาจสูญเสียดวงตา) 3) ควรมีการติดตามด้านสภาพจิตใจของผู้ใช้บริการ (เด็กที่อาจสูญเสียดวงตา) โดยปกติคนทั่วไป ถ้าเกิดการสูญเสียอวัยวะจะต้องมีความวิตก กังวลใจ แต่เด็กไม่ได้แสดงอาการต่างๆ เหล่านี้ออกมา (เด็กอาจจะ ปกปิดความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้เพื่อไม่ให้บิดามารดาต้องมากังวลกับเขา)
คู่มือการปฏิบัติงาน จิตวิทยาการปรึกษาและการใช้เครื่องมือในงานสังคมสงเคราะห์PSYCHOLOGY 35 ๓๔ กรณีศึกษาที่ ๒ เด็กชายเอ (นามสมมุติ) อายุ 9 ปีประสบเหตุโกดังพลุดอกไม้ระเบิดมูโนะ หมู่ที่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 บ้านอยู่ห่างจากรัศมีที่เกิด เหตุการณ์ 30 เมตร ตอนเกิดเหตุพลุระเบิดผู้ใช้บริการเล่นกองทรายอยู่ข้างบ้าน ส่งผลให้มีอาการหูอื้อจนทำให้ แก้วหูทะลุ ครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด ๖ คน ประกอบด้วย ตา ยาย มารดา น้าสาว ตนเอง และน้องสาว สมาชิกในครอบครัวได้รับบาดเจ็บทั้งหมด ๓ คน ๑. การประเมินสภาวะผู้ใช้บริการ (ด้านกาย จิต สังคม และครอบครัว) การประเมินสภาวะผู้ใช้บริการ รายละเอียด กาย -ตา บาดเจ็บเนื่องจากกระเบื้องตกใส่ศีรษะ มีแผลถลอกบริเวณหน้าอก และแขน -ยาย บาดเจ็บบริเวณฝ่าเท้าข้างขวาเย็บ ๕ เข็ม เนื่องจากเหยียบเศษแก้ว -ผู้ใช้บริการ ตอนเกิดเหตุเล่นกองทรายอยู่ ส่งผลให้มีอาการหูอื้อจนทำให้ แก้วหูทะลุ ปัจจุบันอาการหูอื้อหายแล้ว -ส่วนมารดาและน้าสาว ไม่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากตอนเกิดเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ บ้าน จิต ครอบครัวมีความกังวล -ด้านสุขภาพร่างกายของผู้ใช้บริการที่ประสบเหตุการณ์ซ้ำซ้อน (กรณีน้ำท่วมและโกดังพลุระเบิด) -ด้านที่อยู่อาศัย -ด้านรายได้ สังคม ครอบครัวสามารถเข้าถึงชุมชนได้ -เพื่อรับสวัสดิการและสิทธิ์ต่างๆ -สามารถไปเยี่ยมเพื่อนในพื้นที่เดียวกัน ครอบครัว ครอบครัวมีความใกล้ชิด -มารดาผู้ใช้บริการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวบุตร 2 คน ต่างบิดา