The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานสถานการณ์ทางสังคม ปี 65 สสว. 11 สงขลา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by TPSO 11, 2022-11-15 02:33:29

รายงานสถานการณ์ทางสังคม ปี 65 สสว. 11 สงขลา

รายงานสถานการณ์ทางสังคม ปี 65 สสว. 11 สงขลา

คำนำ

กระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมน่ั คงของมนุษย์ (พม.) ได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริม
และสนับสนุนวิชาการ 1–11 (สสว.1-11) ซึ่งมีหน้าที่ในการศึกษา วิเคราะห์ สถานการณ์และสภาพแวดล้อม
เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ทางสังคมและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ในพื้นที่ทั้งเชิงกลุ่มเป้าหมาย และเชิงประเด็น โดยใช้ข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลทางสังคมมาเป็นฐานข้อมูลสำคัญ
ในการจัดทำแผนงานโครงการ และกำหนดนโยบายด้านสังคม ตลอดจนผลักดันให้เกิดการบูรณาการ
ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และบริบทพื้นท่ี

สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 11 สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค รับผิดชอบพื้นที่จังหวัด
ภาคใต้ตอนล่าง ประกอบด้วย จังหวัดตรัง นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา และสตูล ได้จัดทำรายงาน
สถานการณท์ างสังคมกลุ่มจงั หวัด เชงิ กลมุ่ เปา้ หมาย เชิงประเด็น และคาดการณแ์ นวโน้มสถานการณ์ทางสังคม
กลุ่มจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่สนใจได้รับทราบและตระหนักถึงผลกระทบของสถานการณ์
ทางสงั คมที่เกดิ ข้นึ ในพื้นท่ี และสามารถนำข้อมลู ไปใช้ประโยชนใ์ นการปอ้ งกัน และแก้ไขปญั หาทางสังคมต่อไป

ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานสถานการณ์ทางสังคมกลุ่มจังหวัด ภาคใต้ตอนล่าง
ปี 2565 เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์รวมถึงหน่วยงานองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ท่ีสนใจ ไม่มากก็น้อย
หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่น้ี

สำนกั งานสง่ เสรมิ และสนบั สนุนวิชาการ 11
กันยายน 2565



บทสรุปผ้บู รหิ าร

รายงานสถานการณ์ทางสังคมกลุ่มจังหวดั ภาคใต้ตอนลา่ ง ประจำปี 2565 จัดทำขน้ึ โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ทางสังคม คาดการณ์แนวโน้มในอนาคต และเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา
ทางสังคม เพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดทำแผนงานโครงการ กิจกรรม อันจะนำไปสู่การบูรณาการการทำงาน

ร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ หน่วยงานระดับท้องถิ่น เอกชน หรือองค์กรภาคประชาสังคม
โดยในพื้น 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจและมีความแตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ
ในประเด็นสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาพื้นที่ และนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ให้เกิดขึ้นตามมารายงานสถานการณ์

ทางสังคมฉบบั นปี้ ระกอบด้วย
สว่ นท่ี 1 บทนำ ซงึ่ มีหลกั การและเหตผุ ล วัตถปุ ระสงค์ วิธกี ารดำเนนิ งาน และผลทค่ี าดวา่ จะได้รบั
ส่วนที่ 2 ข้อมูลพื้นฐานในพื้นที่รับผิดชอบ 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง นราธิวาส ปัตตานี

พัทลงุ ยะลา สงขลา และสตูล ซง่ึ รวบรวมข้อมลู ทุติยภมู จิ ากหน่วยงานด้านสงั คม

ส่วนที่ 3 สถานการณ์กลุ่มเป้าหมายทางสังคมกลุม่ จงั หวัด ทั้ง 7 กลุ่มเป้าหมายของกระทรวง
พม.รับผิดชอบ (กลุ่มเด็ก กลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรี กลุ่มครอบครัว กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนพิการ และกลุ่ม
ผ้ดู ้อยโอกาส)

ส่วนท่ี 4 สถานการณ์เชงิ ประเดน็ ทางสังคมในกลุม่ จังหวดั
สว่ นที่ 5 การวิเคราะห์สถานการณท์ างสงั คมในกลุม่ จงั หวัด
สว่ นท่ี 6 บทสรุปและข้อเสนอแนะ
รายงานสถานการณ์ทางสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนลา่ งในเขตรับผิดชอบของสำนักงานสง่ เสริมและ

สนบั สนนุ วิชาการ 11 จงั หวดั สงขลา สรปุ ได้ดังนี้

ขอ้ มลู พน้ื ฐาน กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ต้ังอยตู่ อนลา่ งสุดปลายด้ามขวานของประเทศไทย บริเวณ
ทีต่ ง้ั อยู่ระหวา่ งเส้นร้งุ ท่ี 7 องศา 5 ลปิ ดา ถึง 7 องศา 55 ลปิ ดา เหนอื และเสน้ แวง ที่ 99 องศา 44 ลปิ ดา ถึง
100 องศา 25 ลปิ ดา ตะวนั ออก อยู่ห่างจากกรงุ เทพมหานครตามเส้นทางรถไฟ สายใตป้ ระมาณ 846 กิโลเมตร
โดยทางรถยนต์ผา่ นทางหลวงแผน่ ดนิ หมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ประมาณ 1,200 กโิ ลเมตร ทางทะเล 725
กิโลเมตร ติดต่อทะเลอ่าวไทย ด้านทิศตะวันออก ระยะทาง 355 กิโลเมตร ติดต่อทะเลอันดามัน ด้านทิศ
ตะวันตก ระยะทาง 296 กิโลเมตร ส่วนด้านทิศใต้ติดต่อประเทศมาเลเซยี ระยะทาง 500 กิโลเมตร มีพื้นที่รวม
ทั้งสิ้น 29,479.79 ตารางกิโลเมตร แบ่งพื้นที่ออกเป็น 7 จังหวัด ประกอบด้วย ตรัง นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง
ยะลา สงขลา และสตลู โดยจงั หวดั ทมี่ ีพ้นื ทมี่ ากทีส่ ุดคือจงั หวดั สงขลา รองลงมาคือจังหวัดตรัง นราธวิ าส ยะลา
พัทลุง สตูล และปัตตานี ตามลำดับ ลักษณะภูมิประเทศมีพื้นท่ีส่วนใหญ่เป็นพื้นท่ีการเกษตร มีเทือกเขาสำคัญ
คือ เทือกเขาสันกาลาคีรี ลักษณะภูมิอากาศของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง สามารถแบ่งลักษณะออกเป็น
2 บรเิ วณ คือฝ่ังตะวันออกซึ่งอยูใ่ นกลุ่มภูมอิ ากาศเขตร้อนช้ืน สว่ นฝั่งตะวนั ตก จดั อยใู่ นภูมิอากาศเขตฝนมรสุม
มีการปกครองส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย 77 อำเภอ 565 ตำบล 4,310 หมู่บ้าน ประชากรทั้งสิ้น 5,000,255 คน
แบ่งเป็นประชากรชาย 2,456,770 คน คิดเป็นร้อยละ 49.13 ประชากรหญิง 2,543,485 คน คิดเป็นร้อยละ
50.87 ความหนาแนน่ ของประชากรต่อพื้นทคี่ ดิ เปน็ 169.62 คน/ตร.กม. หนาแนน่ มากท่ีสุดคอื จงั หวดั ปัตตานี
376 คน/ตร.กม.



ด้านสุขภาพ หน่วยบริการสาธารณสุข ภาครัฐและภาคเอกชนของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง
มีจำนวน 944 แห่ง โดยจังหวัดที่มีหน่วยบริการมากที่สุด คือ สงขลา 198 แห่ง รองลงมาปัตตานี 159 แห่ง
และตรัง 146 แห่ง ภาคใต้ตอนล่างมีประชากร 5,000,255 คน มีแพทย์ทั้งหมด 1,976 คน สัดส่วน ประชากร
ต่อแพทย์ 2,530 : 1 คน จังหวัดท่ีมแี พทย์มากท่สี ุด คือ ปตั ตานี จำนวน 525 คน ประชากรต่อแพทย์ 1,390 : 1 คน
รองลงมาสงขลา จำนวน 519 คน ประชากรต่อแพทย์ 2,758 : 1 คน ยะลา จำนวน 271 คน ประชากร
ต่อแพทย์ 1,889 : 1 คน นราธิวาส จำนวน 219 คน ประชากรต่อแพทย์ 3,728 : 1 จังหวัดตรัง จำนวน 189 คน
ประชากรต่อแพทย์ 3,385 : 1 และจงั หวดั พัทลงุ จำนวน 156 คน ประชากรตอ่ แพทย์ 3,349 : 1 ส่วนจงั หวดั ท่ี
มแี พทย์น้อยท่สี ดุ คอื จังหวัดสตลู จำนวน 97 คน ประชากรตอ่ แพทย์ 3,348 : 1 คน

ด้านการศึกษา จำนวนนักเรียน นักศึกษา จำแนกตามระดับชั้นทั้งหมดรวม 1,174,473 คน และมี
สถานศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ รวม 4,296 แห่ง แบ่งเป็น สังกัด สพฐ. จำนวน 2,114 แห่ง เอกชน
จำนวน 844 แห่ง อาชีวศึกษา จำนวน 50 แห่ง อุดมศึกษา 33 แห่ง ท้องถิ่น 1,049 แห่ง สำนักพุทธศาสนา
แห่งชาติ จำนวน 24 แห่ง และสถานศึกษานอกระบบ จำนวน 1,084 แห่ง สังกัด กศน. จำนวนนักเรียนออก
กลางคันระดับประถม-มัธยมตอนปลาย ปีการศึกษา 2560 - 2564 ทั้งหมดจำนวน 19,507 คน โดยปีที่มี
การออกกลางคันมากที่สุดปี 2560 จำนวน 5,388 คน รองลงมาปี 2561 จำนวน 5,319 คน และปี 2562
จำนวน 3,812 คน ตามลำดับ

ด้านแรงงาน ภาวะการมงี านทำของประชากรในกลมุ่ จงั หวดั ภาคใต้ตอนลา่ ง ในปี 2564 มีกำลังแรงงาน

รวมจำนวน 2,598,835 คน ประกอบด้วยผูม้ งี านทำ จำนวน 2,515,192 คน และผูว้ ่างงาน จำนวน 83,643 คน

และเปน็ กำลังแรงงานท่ีรอฤดูกาล จำนวน 730 คน โดยมีผู้ทไี่ ม่อยใู่ นกำลังแรงงานรวมจำนวน 1,075,550 คน

และในส่วนของแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานคงเหลือ พ.ศ.2560 - 2564 ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้

ตอนลา่ ง มากท่สี ดุ ในปี 2562 จำนวนรวม 85,492 คน รองลงมาปี 2560 จำนวน 75,230 คน ปี 2563 จำนวน

73,137 คน ปี 2564 จำนวน 61,208 คน และปี 2561 จำนวน 59,586 คน ตามลำดบั

ด้านที่อยู่อาศัย ชุมชนผู้มีรายได้น้อย ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ปี 2565 พบว่าในกลุ่มจังหวัดภาคใต้
ตอนลา่ งมีจำนวนชุมชนผู้มีรายไดน้ ้อย 198 ชุมชน 30,327 ครวั เรือน จำนวน 126,838 คน

ด้านเศรษฐกิจและรายได้ แสดงการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้
ตอนลา่ งแสดงการขยายตัวของผลติ ภัณฑ์มวลรวม (GPP) อัตราขยายตวั ของเศรษฐกิจ ปี 2563 ภาพรวมหดตัว
โดยจังหวัดนราธิวาส หดตัวมากที่สุด ร้อยละ -7.6 รองลงมาจังหวัดปัตตานี ร้อยละ -3.38 จังหวัดสงขลา
ร้อยละ -2.3 ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว (GPP per capita) ปี 2563 พบว่า จังหวัดสงขลา มีผลิตภัณฑ์จังหวัด
ต่อหัว มากที่สุด จำนวน 140,561 บาท/ปี รองลงมาจังหวัดสตูล จำนวน 111,682 บาท/ปี ถัดมาคือ จังหวัดตรัง
จำนวน 105,448 บาท/ปี

รายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือน พ.ศ.2560 - 2564 พบว่าภาพรวมในปี 2564 จังหวัดที่มีรายได้
โดยเฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนลดลงจากปี 2562 ได้แก่ จังหวัดตรัง นราธิวาส และปัตตานี ภาพรวมลดลง
ร้อยละ 5.95 จังหวัดที่มีรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น จาก ปี2562 ได้แก่จังหวัดพัทลุง ยะลา
สงขลา และสตูล ภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.69 หนี้สิ้นเฉลี่ยต่อครัวเรือนจำแนกวัตถุประสงค์ของการกู้ยืม
ปี 2560-2564 พบว่าในปี 2564 มีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนรวมทั้งสิ้น 976,709.49 บาท จังหวัดที่มีหนี้สิน
ต่อครวั เรือนเพมิ่ ขนึ้ ได้แก่ จงั หวัดนราธวิ าส ยะลา และสตูล จังหวดั ทมี่ ีหนี้สนิ เฉลยี่ ตอ่ ครวั เรือนลดลงในปี 2564
ได้แก่ จังหวัดตรัง ปัตตานี พัทลุง และสงขลา โดยวัตถุประสงค์ของการกู้ยืม 3 อันดับแรก คือ ลำดับที่ 1



เพื่อใช้จ่ายในครัวเรือน จำนวน 424,987.94 บาท ลำดับที่ 2 เพื่อใช้ซื้อ/เช่าซื้อบ้านและที่ดิน จำนวน
318,358.90 บาท ลำดับที่ 3 เพือ่ ใชท้ ำธุรกจิ ท่ีไม่ใชก่ ารเกษตร 126,409.59 บาท

องค์กรภาคีเครือขา่ ย ปี 2565 กลมุ่ จงั หวัดภาคใตต้ อนล่าง พบวา่ องค์กรภาคีเครือข่ายท่ีมีมากที่สุดคือ
องค์กรสาธารณประโยชน์ ตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม จำนวน 738 แห่ง มีมากในจังหวัดสงขลา
รองลงมาสภาเด็กและเยาวชน จำนวน 686 สภา ถัดมาศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (ศพค.) จำนวน 593 แห่ง
กองทุนสวัสดิการสังคม จำนวน 551 แห่ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบล (ศชส.ต.) จำนวน 534 แห่ง ศูนย์บริการ
คนพิการท่ัวไป จำนวน 489 แห่ง องค์กรสวัสดิการชุมชน ตาม พ.ร.บ. สง่ เสริมการจดั สวัสดิการสังคม จำนวน 408 แห่ง
ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมอาชีพของผู้สูงอายุ (ศพอส.) จำนวน 150 แห่ง สภาองค์กรคนพิการ จำนวน
35 แห่ง

สำหรับจำนวนภาคีเครือข่ายอาสาสมัคร ปี 2565 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง พบว่าเครือข่ายอาสาสมัคร
ที่มีมากที่สุดคือ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) จำนวน 26,740 คน มีมากในจังหวัด
ปัตตานี จำนวน 9,411 คน รองลงมา จังหวัดพัทลุง จำนวน 4,062 คน และจังหวัดสตูล 3,745 คน และข้อมูล
คลงั ปัญญาผู้สูงอายุ จำนวน 2,914 คน มมี ากในจังหวดั พัทลงุ จำนวน 752 คน รองลงมา จงั หวดั ตรงั จำนวน 606 คน
และจงั หวดั ยะลา จำนวน 529 คน ตามลำดบั

สถานการณก์ ลุ่มเปา้ หมายทางสังคมระดับกลุ่มจงั หวัด

จากข้อมูลรายงานสถานการณ์จำนวนกลุ่มเป้าหมายในเขตพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง
ในปี พ.ศ. 2565 มีดงั น้ี

สถานการณ์เด็ก อายุ 0-17 ปี มีประชากรจำนวน 1,202,886 คน ลดลงจากปี 2564 ร้อยละ 0.36
เมื่อเปรียบเทียบทั้ง 7 จังหวัด พบว่า จังหวัดท่ีมีการลงทะเบียนเด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรก
เกิด 3 อันดับแรก จังหวัดสงขลา นราธิวาส ปัตตานี ประเด็นเด็กนอกระบบ 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัด
นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ประเด็นเด็กที่อยู่ในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดยะลา
นราธวิ าส และตรงั ประเด็นเดก็ ที่ตั้งครรภ์ก่อนวยั อันควร 3 อันดับแรก ไดแ้ ก่ จังหวัดยะลา นราธวิ าส และสตูล
ตามลำดบั

สถานการณ์เยาวชน อายุ 18-25 ปี มีประชากรจำนวน 501,624 คน ลดลงจากปี 2564 รอ้ ยละ 0.26
เมอ่ื เปรียบเทียบท้ัง 7 จังหวัด พบวา่ จงั หวัดท่ีควรเฝ้าระวังประเด็นเยาวชนท่ีมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม 3 อันดับแรก
ได้แก่ จังหวัดตรัง สงขลา และสตูล ประเด็นเยาวชนที่ถูกทารุณกรรมทางร่างกายจิตใจและทางเพศ 3 อันดับ
ไดแ้ ก่ จงั หวัดสงขลา ยะลา และสตลู ตามลำดบั

สถานการณ์สตรี อายุ 26-59 ปี มีประชากรจำนวน 1,550,077 คน เพม่ิ ขน้ึ จากปี 2564 ร้อยละ 0.05
เมอื่ เปรียบเทียบทงั้ 7 จงั หวดั พบวา่ จังหวดั ที่ควรเฝ้าระวังประเด็นประเด็นสตรที ่ีถูกเลิกจ้าง/ตกงาน 3 อันดับแรก
ได้แก่ จังหวัดปัตตานี สงขลา และตรัง แม่เลี้ยงเดี่ยวฐานะยากจน 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดสงขลา ยะลา
และนราธิวาส ประเด็นสตรีที่ถูกทำร้ายร่างกาย/จิตใจ 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดสงขลา ปัตตานี และตรัง
ตามลำดับ

สถานการณ์ครอบครัว จำนวน 1,748,531 ครอบครัว เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ1.58
เมื่อเปรียบเทียบทั้ง 7 จังหวัด พบว่า จังหวัดที่ควรเฝ้าระวังประเด็นครอบครัวยากจน 3 อันดับแรก ได้แก่
จังหวัด ยะลา ปัตตานี และสงขลา ประเด็นครอบครัวหย่าร้าง 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดสงขลา ตรัง และ
พัทลุง ประเด็นครอบครัวที่มีคนในครอบครัวกระทำความรุนแรงต่อกัน 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดปัตตานี
สงขลา ตรัง ตามลำดบั



สถานการณ์ผู้สุงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป มีประชากรจำนวน 807,487 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ
0.26 เมื่อเปรียบเทียบทั้ง 7 จังหวัด พบว่า จังหวัดที่ควรเฝา้ ระวังประเด็นผู้สงู อายุติดบ้าน 3 อันดับแรก ได้แก่
จงั หวัดสงขลา สตลู และตรงั ประเด็นผู้สูงอายุมีท่ีอยู่อาศัยไม่เหมาะสม 3 อนั ดับแรก ได้แก่ จังหวัดพัทลุง สตูล
และปัตตานี ประเด็นผู้สูงอายุที่ดำรงชีพด้วยการเร่ร่อนขอทาน 3 อันดับ ได้แก่ จังหวัดสงขลา ยะลา และ
ปัตตานี ตามลำดับ

สถานการณ์คนพิการ มีคนพิการที่มีบัตรประจำตัว โดยจดทะเบียนคนพิการจำนวน 143,878 คน
เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 6.75 เมื่อเปรียบเทียบทั้ง 7 จังหวัด พบว่า ประเด็นประเภทความพิการด้านความ
เคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย มากเป็นอันดบั หนึ่ง จำนวน76,522 คน รองลงมา พิการด้านการไดย้ ินหรอื การสือ่
ความหมาย จำนวน 27,905 คน และพิการด้านจิตใจหรือพฤติกรรม จำนวน 13,054 คน พิการมากกว่า 1
ประเภท จำนวน 12,309 คน ตามลำดับ

สถานการณ์ผ้ดู อ้ ยโอกาส มีจำนวน 155,438 คน เพม่ิ ขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 11.19 เมื่อเปรยี บเทยี บ
ทั้ง 7 จังหวัด พบว่า จังหวัดที่ควรเฝ้าระวังประเด็นคนยากจน 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดปัตตานี สงขลา และยะลา
ประเด็นติดเชื้อ HIV 3 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดตรัง พัทลุง และนราธิวาส ประเด็นผู้พ้นโทษ 3 อันดับแรก
ไดแ้ ก่ จังหวัดตรัง ปัตตานี และพทั ลุง ตามลำดับ

สถานการณ์เชงิ ประเดน็ สังคมทางสังคมในระดับกลมุ่ จังหวัด

สถานการณก์ ลุม่ เปราะบางรายครวั เรอื น
ปีงบประมาณ 2564 - 2565 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนษุ ย์ ได้ดำเนินโครงการ
พัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน โดยมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับ 12 กระทรวง
1 หน่วยงาน โดยกำหนดให้ใช้ข้อมูลจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People
Map and Analytics Platform : TPMAP) ครัวเรือนเปราะบาง 4.1 ล้านครัวเรือน เป็นฐานข้อมูลหลักมาใช้
ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กินดีอยู่ดี จำนวนคนที่ต้องได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
ที่เรียกว่าคนเปราะบางนั้น ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ สสว.11 มีทั้งสิ้น 877,671 คน คิดเป็นร้อยละ 17.55
เมอื่ จำนวนคนเปราะบางเทียบกับจำนวนประชากรในกลมุ่ จังหวดั ภาคใต้ตอนล่าง
กลุ่มคนเปราะบาง TPMAP คือ บุคคลที่ต้องการได้รับการพึ่งพิงจากผู้อื่น เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยและ
มีบุคคลที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น ครอบครัวยากจนที่มีเด็กเล็ก แม่เลี้ยงเดี่ยว
ผู้สูงอายุ คนพิการ เป็นต้น กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง มีคนเปราะบางจำนวน 877,671 คน โดยแบ่งตามมิติ
ต่าง ๆ 5 มิติ ดังนี้ 1) มิติด้านความเป็นอยู่ จำนวน 31,223 คน 2) มิติด้านการศึกษา จำนวน 31,770 คน
3) มิติด้านสุขภาพ จำนวน 18,885 คน 4) มิติด้านรายได้ จำนวน 36,698 คน 5) มิติด้านการเข้าถึงบริการ
ภาครัฐจำนวน 135 คน

สถานการณภ์ ายใต้การแพรร่ ะบาดของเชอ้ื COVID-19

สถานการณ์ภายใต้การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบกลุ่มจังหวัดภาคใต้
ตอนล่าง ตงั้ แตร่ ะลอกท่ี 1 จนถึง วนั ท่ี 31 พฤษภาคม 2565 ยอดผู้ตดิ เชือ้ สะสม มีทัง้ ส้ิน 263,777 คน คิดเป็น
ร้อยละ 5.93 เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของประเทศ จังหวัดที่พบว่า มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุด คือ จังหวัด



ปัตตานี รองลงมา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดตรัง เป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง
มาเลเซีย ซึ่งคนไทยในสามจังหวัดชายแดนใต้ส่วนใหญ่นิยมไปทำงานในประเทศมาเลเซีย ในช่วงการระบาด
อย่างหนักทำให้ทางการของประเทศมาเลเซียประกาศปิดประเทศ ทำให้มีการหลบหนีกลับเข้ามา
ยงั ประเทศไทยผา่ นด่านช่องทางธรรมชาติขาดการตรวจและคัดกรองตามระบบของสาธารณสุขจึงส่งผลต่อการ
ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ระบาดไปตามหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ทำให้การกระจายของเชื้อโรคควบคุม
ได้ยาก ส่วนจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุด คือ จังหวัดสตูล จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสงขลา ในส่วนของการ
รักษาผู้ติดเชื้อจงั หวัดในเขตพื้นที่จงั หวัดภาคใต้ตอนล่าง ร้อยละ 88 ข้ึนไปของผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวหายจากการ
ติดเชื้อดังกล่าว

ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 มีแมวโน้มลงลดอย่างต่อเนื่องแต่ก็ต้องมีการ
เฝ้าระวัง และป้องกนั โดยการปฎบิ ตั ติ ามทก่ี ระทรวงสาธารณสุขออกประกาศอยา่ งเคร่งครัด และการป้องกันท่ีมี
ประสิทธิภาพมากที่สุดในขณะนี้คือ การได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกันโรค โควิด-19 ที่อาจจะกลายพันธุ์ได้อีก
ในอนาคต ที่ผ่านมารัฐบาลได้รณรงค์ให้ประชาชนทุกช่วงวัยได้รับวัคซีน โดยทางกระทรวง พม. ได้ให้การ
ช่วยเหลอื และอำนวยความสะดวกแก่กลมุ่ เปา้ หมายของกระทรวงฯ ใหไ้ ด้รับวคั ซีนกนั อย่างท่วั ถึง ซง่ึ ในเขตพ้ืนที่
กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง นั้น มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 รวมทั้งสิ้น 3,597,373 คน คิดเป็นร้อยละ 71.94
เข็มที่ 2 จำนวน 3,143,803 คน คิดเป็นร้อยละ 62.87 เข็มที่ 3 จำนวน 889,240 คน คิดเป็นร้อยละ 17.78
และเขม็ ท่ี 4 จำนวน 83,083 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 1.66 เมือ่ เทยี บกบั จำนวนประชากรในกลุ่มจังหวดั แต่อย่างไร
กต็ ามทางหน่วยงานได้ประชาสัมพันธใ์ ห้ฉดี วคั ซีนเข็มกระตุ้นอย่างต่อเนือ่ ง

กระทรวง พม. ไดม้ กี ารจัดทำข้อมลู การใหค้ วามช่วยเหลือผทู้ ี่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่
ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 โดยจังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ
สสว.11 ได้ให้การช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาที่เป็นผู้ป่วย COVID-19 จำนวน 263,777 คน ครอบครัว
ของผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 จำนวน 1,148 ครอบครัว และกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบและได้รับ
การช่วยเหลือ จำนวน 25,931 คน ครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ได้รับการช่วยเหลือ จำนวน 19,824
ครอบครวั

สถานการณ์ความไมส่ งบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ข้อมูลสถานการณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งมีความแตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ
ของสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 11 คือสถานการณ์การก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดทาง
ภาคใต้ของประเทศไทย ไดแ้ ก่ จงั หวัดนราธิวาส ปตั ตานี ยะลา สตูล และสงขลา ใน 4 อำเภอ คือ อำเภอจะนะ
เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันมีความยืดเยื้อมายาวนานกว่า 17 ปี
ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินมิได้ ลักษณะระดับความรุนแรงจะมีระดับสูงต่ำตาม
ชว่ งเวลา และเทศกาลวนั สำคญั ต่าง ๆ ท่เี ปน็ ไปตามความเช่ือแลว้ เส้นแนวโนม้ การก่อเหตุในชว่ งปี พ.ศ. 2550
จะเปน็ ชว่ งท่ีมีระดบั ความรุนแรงและจำนวนของเหตกุ ารณม์ ากท่ีสดุ จากนนั้ ก็ลดตำ่ ลงและสงู ขึ้นอกี เปน็ ช่วงๆ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสำนกั งานสง่ เสริมและสนับสนนุ วิชาการ 11
จึงได้มีการติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้การดำเนินงานโครงการรวมพลังชายแดนใต้ ร่วมสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน



ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนกั งานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 11 และสำนักงานพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา สตูล และสงขลา รวมถึงการดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่าย
ที่เกี่ยวข้อง และมีการจดั ทำระบบรายงานผลการดำเนินงานผู้ไดร้ ับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพ้ืนท่ี
จงั หวัดชายแดนภาคใต้ โดยในปี 2564 สามารถสรปุ สถานการณ์ไดด้ งั นี้

การช่วยเหลอื เยียวยาผู้ไดร้ บั ผลกระทบจากสถานการณ์ความไมส่ งบในพน้ื ท่จี ังหวัดชายแดนภาคใต้
จากข้อมูลศูนย์ประสานงานวิชาการให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบจังหวัด
ชายแดนใต้ (ศวชต.) ตงั้ แตป่ ีพุทธศักราช 2547 ถึงปัจจบุ นั (กันยายน 2564) มีการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นท่ี
จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา สตูล และสงขลาจำนวน 13,243 ครั้ง เป็นเหตุการณ์จากสถานการณ์
จำนวน 7,716 ครั้ง จากสถานการณ์อื่น ๆ จำนวน 5,527 ครั้ง ส่งผลให้มีเสียชีวิต จำนวน 5,216 ราย ผู้พิการ
จำนวน 807 ราย และผู้ไดร้ บั บาดเจบ็ จำนวน 14,703 ราย รวมจำนวนทงั้ สนิ้ 20,726 ราย

การวิเคราะหแ์ ละจัดลำดับของสถานการณ์ทางสงั คมกลุ่มจงั หวดั
กลุ่มเด็ก พบว่า กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง มีเด็กนอกระบบ จำนวน 73,657 คน คิดเป็นร้อยละ 6.12 ของ
ประชากรเด็กทั้งหมดทั้งในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัด รองลงมา เด็กที่อย่ใู นครอบครวั เล้ียงเดี่ยว จำนวน 5,666 คน คิด
เป็นร้อยละ 0.47 ของประชากรเด็กทั้งหมดในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัด และเด็กที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร จำนวน
1,541 คน คิดเป็นร้อยละ 0.53 ของประชากรเด็กทั้งหมดในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัด (เพศหญิง อายุ 10-17 ปี
จำนวน 288,949 คน)
กลมุ่ เยาวชน พบวา่ กลุม่ จงั หวัดภาคใตต้ อนล่าง มีเยาวชนทม่ี ีพฤติกรรมไม่เหมาะสม จำนวน 962 คน
คิดเป็นร้อยละ 0.16 ของประชากรเยาวชนทั้งหมดในเขตพื้นท่ีกลุ่มจังหวัด และเยาวชนที่ถูกทารุณกรรมทาง
ร่างกายจิตใจและทางเพศ จำนวน 126 คน คิดเป็นร้อยละ 0.03 ของประชากรเยาวชนทั้งหมดในเขตพื้นที่กลุ่ม
จังหวัด
กลุ่มสตรี พบว่า กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง มีสตรีที่ถูกเลิกจ้าง/ตกงาน จำนวน 13,225 คน คิดเป็น
ร้อยละ 0.85 ของประชากรสตรีทั้งหมดในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัด รองลงมา แม่เลี้ยงเดี่ยวฐานะยากจน จำนวน
7,181 คน คิดเป็นร้อยละ 0.46 ของประชากรสตรีทั้งหมดในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัด และสตรีที่ถูกทําร้ายร่างกาย
จติ ใจ จำนวน 161 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 0.01 ของประชากรสตรที ้ังหมดในเขตพื้นท่ีกลมุ่ จังหวดั
กลุ่มครอบครัว พบว่า กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง มีครอบครัวยากจน จำนวน 81,939 ครอบครัว คิด
เป็นร้อยละ 4.81 ของกลมุ่ ครอบครวั ทั้งหมดในเขตพ้นื ที่กลุม่ จังหวดั รองลงมา ครอบครวั หย่าร้างจำนวน 5,353 คน
คดิ เป็นร้อยละ 0.31 ของกลุ่มครอบครัวท้ังหมดในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัด และครอบครัวที่มีคนในครอบครัวกระทำ
ความรนุ แรงตอ่ กัน จำนวน 98 ครอบครัว คิดเปน็ รอ้ ยละ 0.01 ของกลมุ่ ครอบครวั ทัง้ หมดในเขตพ้ืนท่ีกลุ่มจงั หวดั
กลุ่มผู้สูงอายุ พบว่า กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง มีผู้สูงอายุติดบ้าน จำนวน 14,078 คน คิดเป็นร้อยละ
1.74 รองลงมา ผู้สูงอายุติดเตียง จำนวน 8,672 คน คิดเป็นร้อยละ 1.07 ของประชากรผู้สูงอายุทั้งหมดในเขต
พื้นที่กลุ่มจังหวัด และผู้สูงอายุมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสม จำนวน 3,843 คน คิดเป็นร้อยละ 0.48 ของประชากร
ผสู้ ูงอายุทงั้ หมดในเขตพื้นที่กลมุ่ จังหวัด



กลุ่มคนพิการ พบว่า กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง มีประเด็นความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทาง
ร่างกาย จำนวน 76,522 คน คิดเป็นร้อยละ 53.19 ของประชากรกลุ่มคนพิการทั้งหมดในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัด
รองลงมา ความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จำนวน 27,905 คน คิดเป็นร้อยละ 19.39
ของประชากรกลุ่มคนพิการทั้งหมดในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัด และความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม จำนวน
13,054 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 9.07 ของประชากรกลุ่มคนพิการทั้งหมดในเขตพ้ืนท่ีกลมุ่ จังหวัด

กลุ่มผู้ด้อยโอกาส พบว่า กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง มีคนยากจน จำนวน 136,482 คน คิดเป็นร้อย
ละ 87.78 ของประชากรกลุ่มผดู้ ้อยโอกาสท้ังหมดในเขตพ้ืนท่ีกลุ่มจังหวัด รองลงมา ผู้ตดิ เชื้อ HIV จำนวน 7,788
คน คิดเป็นร้อยละ 8.05 ของประชากรกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทั้งหมดในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัด และผู้พ้นโทษ จำนวน
3,558 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 4.05 ของประชากรกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทัง้ หมดในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวดั

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

จากข้อมูลสถานการณ์ทางสังคมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง พบว่า ประเด็นปัญหาที่มี
ความสำคัญเร่งด่วน ต้องรีบดำเนินการแก้ไขเป็นประเด็นหลักคือปัญหาความยากจน ข้อมูลจากสำนักงาน
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ข้อมูล ณ ก.ย. 2564 พบว่า รายช่อื จังหวัดที่ติดอันดบั 10 จังหวัด
ที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดในช่วงปี 2557-2563 ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และพัทลุง
ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาความยากจนในพื้นที่ๆ เป็นปัญหาเรื้อรังอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะใน
พื้นที่จังหวัดปัตตานี นราธิวาสและยะลา ที่ยังคงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศที่มีความยากจนมากที่สุด
ทั้งนค้ี วามน่าสนใจของสถิตดิ ังกล่าว พบวา่ ในปี 2560-2562 มจี งั หวัดพทั ลงุ ทข่ี น้ึ มาตดิ อันดับดังกล่าวเชน่ กัน

จากสถิติดังกล่าว แม้ว่าจะมีเพียง 4 จังหวัดที่ติดอันดับความยากจน 10 อันดับสูงสุดของประเทศ
แต่จากข้อมูลสถานการณ์กลุม่ จังหวดั ตามกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัว ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้
ตอนล่าง พบวา่ สถติ คิ รอบครวั ยากจน ในระบบ TPMAP มีจำนวนครอบครวั ยากจนท่ีเพมิ่ ขนึ้ ซึง่ มีผลกระทบมา
จากหลากหลายปัจจัย ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เกิดสถานการณ์โรคติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อ
สภาวะเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่เป็นแรงงานไทยในมาเลเซียที่ได้รับผลกระทบจาก
สถานการณ์ดังกล่าว มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานกลับมายังภูมิลำเนา ทำให้เกิดอัตราการว่างงานของประชากร
ที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่มีรายได้ รายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตตั้งแต่ระดับปัจเจก ครอบครัว
ชุมชน และสังคม ทำให้ปัญหาความยากจนในพื้นทีม่ ีอัตราที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน รวมถึงบริบททางสังคมในพื้นที่
โดยเฉพาะในพื้นท่ีจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ (ปตั ตานี ยะลา และนราธวิ าส) ทีเ่ ปน็ ครอบครัวมบี ุตรมาก และมักอยู่
ร่วมกันเปน็ ครอบครัวใหญ่ แต่รายได้ในครอบครัวไม่สอดคล้องกับจำนวนสมาชิก ทำให้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จา่ ย
ปัญหาดังกล่าวยังส่งผลต่อการเลี้ยงดูบุตร ในด้านต่างๆ เช่น โภชนาการ สาธารณสุข และการศึกษา เป็นต้น
ซึ่งสถติ ขิ องเด็กจำนวนมากที่มปี ัญหาภาวะทุพโภชนาการ การไม่ไดร้ ับวคั ซนี ตามเกณฑ์ นอกจากน้ี ปญั หาความ
ยากจนยังมีผลเชื่อมโยงถึงข้อมูลสถิติการออกจากระบบการศึกษากลางคันโดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดตรัง ที่พบ
ข้อมูลสถิติสูงสุดในปี 2564 ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญที่อาจนำไปสู่สภาวะการมีงานทำของเด็กและ
เยาวชน ซงึ่ จะกลายเปน็ กลุ่มที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ไม่สามารถต่อยอดหรือพัฒนาตนเองต่อไปได้ และเป็น
สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่ทำให้เกิดครอบครัวยากจนข้ามรุ่นในอนาคต สถิติที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่ง คือ
ประเด็นกลุ่มเป้าหมายคนพิการโดยเฉพาะคนพิการที่เป็นผู้สูงอายุในพื้นที่มีอัตราเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิด



ครอบครัวหรือครัวเรือนที่อยู่ในสภาวะพึ่งพิงและมีความเปราะบางเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ทำให้ปัญหาความ
ยากจนกลายเป็นปัญหาที่วนเวียนอยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่างมาอย่างยาวนาน สำนักงานส่งเสริมและ
สนับสนุนวิชาการ 11 ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ
เพื่อนำไปสูก่ ารพฒั นาและแก้ไขปัญหาความยากจนในพน้ื ที่กล่มุ จังหวดั ภาคใต้ตอนลา่ งดงั ต่อไปน้ี

1) จัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่สอดคล้องและตอบ
โจทย์การแก้ไขปัญหาความยากจน โดยเฉพาะการจัดทำนโยบายสวัสดิการให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้รับครอบคลุมทุกช่วงวัย ตามบทบาทและภารกิจของกระทรวงฯ

2) จัดทำแผนงาน โครงการและกิจกรรมด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในระดับ
จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวง โดยมีการบูรณาการแผนงานด้านสังคมตาม
กลุ่มเปา้ หมาย ระหวา่ งหนว่ ยงานทเี่ กย่ี วข้องท้งั ภายในและนอกกระทรวงอย่างเปน็ รูปธรรม โดยเฉพาะในระดับ
พื้นท่ี เพ่ือเพ่มิ ประสิทธภิ าพในการดำเนินงาน

3) ส่งเสริม สนับสนุน และประสานการดำเนินงานกับองค์กรเครือข่ายในจังหวัดทั้งภาครัฐและ
ภาคเอกชน ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านองค์กรเครือข่ายในจังหวัดทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในรูปแบบ
ขององค์กร ภาคธุรกิจเพื่อสังคมให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงบรบิ ททางสังคมและวถิ ีชวี ติ ของประชาชนในพ้ืนที่

4) ปรบั ปรุงและพฒั นาระบบฐานข้อมูลครวั เรือนเปราะบาง MSO Logbook เพ่อื เพิม่ ขีดความสามารถ
ของระบบให้มีการประมวลผลวิเคราะห์ปัญหาและกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือได้ตามสภาพปัญหา
ในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งกระทรวง พม. จำเป็นต้องมีการต่อยอดสู่การจัดระทำระบบ
ฐานข้อมูลกลางด้านสงั คมทั้งในระดับพ้ืนท่แี ละระดับประเทศ เพอื่ นำไปสู่การเป็นเจา้ ภาพด้านสังคม

5) พัฒนาสมรรถนะและเพิ่มขีดความสามารถของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
รวมถึงภาคีเครือข่ายด้านสังคม แกนนำในพื้นที่ เพื่อสร้างกลไกการทำงานที่เข้มแข็งในการแก้ไขปัญหาความ
ยากจน และกล่มุ เปราะบาง เพ่ือผลกั ดันให้เกิดความรว่ มมือในการนำไปสกู่ ารออกแบบและรว่ มกันแก้ไขปัญหา
ในระดับชุมชน ท้องถิ่น ผา่ นการบรู ณาการและขบั เคลื่อนของคณะทำงานศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบล

ขอ้ เสนอเชิงปฏิบตั ิระดับกล่มุ จังหวดั

1) ส่งเสริมให้มีการขับเคลื่อนงานตามนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเร่งด่วน
โดยประสานความร่วมมือและบูรณาการร่วมกับจังหวัดและท้องถิ่น ในการจัดสรรสวัสดิการพื้นฐานที่จำเป็น
ให้กับประชาชนใหส้ ามารถเข้าถงึ สทิ ธแิ ละสวัสดกิ ารอย่างเหมาะสม ทัว่ ถงึ เท่าเทยี มและเปน็ ธรรม

2) มีการสำรวจความต้องการ ความคิดเห็นและต้นทุนทางสังคมของประชาชนในระดับพื้นที่
ผ่านชุมชน ท้องที่ และท้องถิ่น โดยจัดเก็บข้อมูลลงสมุดพกครอครัว และนำเข้าในระบบสมุดพกครอบครัว
อเิ ล็กทรอนิกส์ (MSO-Logbook) เพือ่ นำไปสกู่ ารออกแบบแผนงานโครงการที่เหมาะสม และมคี วามจำเป็นตรง
ตามบริบทของชุมชน สังคม รวมถึงการนำผลการจัดทำบันทึกข้อตกลง MOU ระดับกระทรวงมาถ่ายทอดสู่ผู้
ปฏิบัติจริงในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานของภาครัฐใน
การใหค้ วามชว่ ยเหลือกลุม่ เปา้ หมายไดอ้ ย่างรวดเรว็ และมีประสทิ ธภิ าพ



3) ส่งเสริมการเข้ามามีส่วนร่วมขององค์กรภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจเพื่อสังคม ในการ
ผลักดันนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยการทำความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การจับคู่พัฒนา 1 องค์กร
1 ครัวเรือนเปา้ หมาย ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุม่ เปราะบางและครวั เรือนยากจน โดยมีภาครัฐเป็นตัวกลาง
เชื่อมโยงระหว่างองคร์กรต่าง ๆ กับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นการบูรณาการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิด
ความคมุ้ ค่า และเพม่ิ โอกาสใหอ้ งค์กรตา่ ง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการแกไ้ ขปัญหาความยากจนมากขึน้

4) นำผลการวิเคราะห์สภาพปัญหามาออกแบบแนวทางการให้ความช่วยเหลือร่วมกบั หนว่ ยงานต่าง ๆ
ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งในระดบั พื้นที่ เชน่ สาธารณสุข แรงงาน ศกึ ษาธิการ เป็นตน้ ใหค้ รอบคลมุ ในทกุ มิติซง่ึ ประกอบด้วย
มิติด้านสุขภาพ มิติด้านที่อยู่อาศัย มิติด้านอาชีพรายได้ มิติด้านการศึกษา และมิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ

5) หน่วยงาน พม. ในพื้นที่ต้องเพิ่มบทบาทในการทำงานเพื่อนำไปสู่การเป็นเจ้าภาพหลักในการ
ดำเนินงานด้านสังคมในระดับพื้นที่ โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานด้านสังคมที่เกี่ยวข้อง ในการประสาน
และเชื่อมโยงข้อมูลด้านสังคม เพื่อนำเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลกลางด้านสังคมในภาพรวม ซึ่งดูแลและบริหาร
จัดการโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่จะสามารถนำไปวิเคราะห์ปัญหาและ
แนวทางแก้ไขใหก้ บั กลมุ่ เปา้ หมายได้อย่างเหมาะสม

6) ให้สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ ร่วมกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ
มนุษย์จังหวัดในพื้นที่ สำรวจความต้องการในการพัฒนาศักยภาพของ อพม. ทั้งที่เป็นทักษะจำเป็นขั้นพื้นฐาน
และทักษะที่มีความต้องการเฉพาะ รวมถึงภาคีเครือข่าย แกนนำชุมชน ท้องที่และท้องถิ่น เพื่อสร้างเครือข่าย
ทางสังคมให้มีองค์ความรู้ ความเข้าใจในแนวทางนโยบายการทำงานของกระทรวงฯ และเพื่อให้เกิดการ
ปฏิบัติงานร่วมกันกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ได้อย่างมีเอกภาพ อีกทั้งยังเป็นการสร้างกลไกการทำงานที่มี
ประสิทธิภาพในระดับพื้นที่ภายใต้ศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบล เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการ
ช่วยเหลอื แก้ไขปญั หาแบบองคร์ วม อย่างทนั ท่วงที



สารบัญ

คำนำ ก

บทสรุปผบู้ รหิ าร ข

สารบัญ ฎ

สารบัญตาราง ฐ

สารบญั ภาพ ฑ

สารบญั แผนภูมิ ฒ

สว่ นท่ี 1 บทนำ

1.1 หลกั การและเหตผุ ล 1

1.2 วตั ถุประสงค์ 2

1.3 วธิ กี ารดำเนินงาน 2

1.4 ผลทคี่ าดว่าจะไดร้ บั 2

ส่วนท่ี ๒ ข้อมูลพ้นื ฐานในพ้ืนทีร่ บั ผดิ ชอบของสำนักงานสง่ เสริมและสนับสนนุ วชิ าการ 11 จังหวดั สงขลา

2.1 ที่ต้งั และอาณาเขต 4

2.2 ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ 8

2.3 ลกั ษณะภมู ิอากาศ 10

2.4 ดา้ นการปกครอง 13

2.5 ดา้ นประชากร 14

2.6 ด้านศาสนา ประเพณี วฒั นธรรม และชาตพิ นั ธุ์ 15

2.7 ดา้ นสาธารณสุข 19

2.8 ดา้ นการศึกษา 22

2.9 ดา้ นแรงงาน 25

2.10 ด้านท่ีอยู่อาศยั 27

2.11 ดา้ นเศรษฐกิจและรายได้ 28

2.12 ด้านภาคีเครอื ข่าย 32

สว่ นที่ 3 สถานการณก์ ลุ่มเป้าหมายทางสังคมระดบั กลมุ่ จังหวดั

3.1 กลมุ่ เดก็ 34

3.2 กลมุ่ เยาวชน 35

3.3 กลุ่มสตรี 36

3.4 กลุ่มครอบครัว 37

3.5 กลุ่มผสู้ งู อายุ 38

3.6 กลมุ่ คนพิการ 39

3.7 กลมุ่ ผ้ดู ้อยโอกาส 42

ส่วนท่ี 4 สถานกรณ์เชงิ ประเดน็ ทางสงั คมในระดับกลุ่มจังหวัด

4.1 สถานการณ์กลุ่มเปราะบางรายครัวเรอื น 43

4.2 สถานการณ์ภายใตก้ ารระบาดของ COVID-19 46

4.3 สถานการณ์ความไม่สงบในพ้ืนทีจ่ ังหวดั ชายแดนภาคใต้ 48

4.4 สถานการณค์ วามยากจนของพ้ืนทก่ี ลมุ่ จงั หวัดภาคใต้ตอนล่าง 53

สว่ นท่ี 5 การวเิ คราะห์สถานการณท์ างสังคมกลุ่มจังหวัด 55

สถานการณก์ ลุ่มเป้าหมายทางสงั คมระดับกลมุ่ จังหวดั 55

5.1 กลุ่มเด็ก 56

5.2 กลุม่ เยาวชน 56

5.3 กลมุ่ สตรี 56

5.4 กลมุ่ ครอบครวั 57

5.5 กลมุ่ ผ้สู ูงอายุ 57

5.6 กลมุ่ คนพกิ าร 58
58
5.7 กลุ่มผดู้ ้อยโอกาส 58
59
สถานการณส์ ำคัญในพน้ื ที่กลุ่มจังหวัด 59
5.8 สถานการณ์กลมุ่ เปราะบางรายครวั เรอื น
5.9 สถานการณ์ภายใตก้ ารระบาดของ COVID-19 59
5.10 สถานการณ์ความไม่สงบในพ้ืนทจ่ี งั หวัดชายแดนภาคใต้ 60
5.11 สถานการณค์ วามยากจนของพ้นื ทกี่ ลุม่ จงั หวดั ภาคใต้ตอนล่าง 60
5.12 สถานการณ์ทางสังคมที่น่าห่วงใยและประเด็นปัญหาที่สำคัญ 60
กลุ่มจงั หวดั ภาคใต้ตอนล่าง 61
5.12.1 จงั หวัดตรัง 61
5.12.2 จังหวดั นราธวิ าส 61
5.12.3 จังหวดั ปัตตานี
5.12.4 จังหวดั พัทลงุ 63
5.12.5 จงั หวัดยะลา 69
5.12.6 จังหวดั สงขลา 71
5.12.7 จังหวดั สตลู 73
74
สว่ นที่ 6 บทสรุปและข้อเสนอแนะ
6.1 บทสรุป
6.2 ข้อเสนอเชงิ นโยบาย
6.3 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ

ภาคผนวก
บรรณานุกรม

ตารางท่ี สารบัญตาราง หนา้
ตารางท่ี 4
ตารางที่ 2.1 แสดงที่ตง้ั และอาณาเขตพืน้ ท่ีกลมุ่ จงั หวัดในเขตรบั ผิดชอบของ สสว.11 จังหวัดสงขลา 13
ตารางท่ี 2.2 แสดงจำนวนเขตการปกครองพ้นื ทกี่ ลุ่มจังหวดั ในเขตรบั ผิดชอบของ สสว.11 จงั หวัดสงขลา 14
2.3 จำนวนประชากรแยกตามช่วงอายุ จำแนกตามเพศ และจังหวัด 19
ตารางท่ี 2.4 จำนวนหนว่ ยบริการสาธารณสขุ ภาครัฐและภาคเอกชน จำแนกตามจังหวดั ในเขตพื้นที่
ตารางที่ 20
รบั ผดิ ชอบของ สสว.11 จงั หวดั สงขลา 21
ตารางท่ี 2.5 จำนวนประชากรตอ่ แพทย์รายจงั หวัด
ตารางท่ี 2.6 สาเหตกุ ารตาย 5 ลำดบั จากโรคตา่ ง ๆ ของกลุ่มจังหวัดในเขตรับผิดชอบของ สสว.11 22
ตารางท่ี 23
ตารางท่ี จงั หวดั สงขลา 23
ตารางท่ี 2.7 สถานศึกษาในระบบ นอกระบบ จำแนกรายสงั กัด รายจงั หวัด ปีการศกึ ษา 2565 24
ตารางที่ 2.8 จำนวนนักเรยี นนักศึกษาในระบบ จำแนกตามระดับชนั้ ปกี ารศกึ ษา 2564 25
2.9 จำนวนนกั เรียนนอกระบบโรงเรยี น จำแนกตามระดับการศึกษา 2560-2564 26
ตารางที่ 2.10 จำนวนนักเรยี นออกกลางคันระดับประถมศึกษา-มัธยมตอนปลายสังกดั สพฐ. ปี 2560-2564
ตารางท่ี 2.11 ภาวะการณม์ ีงานทำของประชากรในกล่มุ จงั หวัดภาคใตต้ อนล่าง ปี 2564 27
ตารางที่ 2.12 จำนวนคนตา่ งด้าวท่ไี ดร้ ับอนุญาตทำงานคงเหลอื พ.ศ.2560-2564 ของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ 28
ตารางท่ี 28
ตารางที่ ตอนล่าง 29
ตารางที่ 2.13 แสดงจำนวนชุมชนผมู้ รี ายได้น้อยของกลมุ่ จังหวดั พ.ศ. 2565 30
ตารางที่ 2.14 แสดงการขยายตวั ของผลติ ภณั ฑ์มวลรวมจงั หวดั 32
ตารางท่ี 2.15 แสดงผลิตภัณฑ์จงั หวัดตอ่ หัว (GPP per capita) ปี 2563 34
ตารางท่ี 2.16 แสดงรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรอื นของกลมุ่ จงั หวัด พ.ศ.2560 – 2564 35
ตารางท่ี 2.17 แสดงหนี้สนิ เฉล่ยี ต่อครวั เรือน จำแนกตามวตั ถุประสงค์ของการกยู้ ืม ปี พ.ศ. 2560-2564 36
ตารางท่ี 2.18 แสดงจำนวนองค์กรภาคเี ครือขา่ ย 37
ตารางท่ี 3.1 แสดงสถานการณ์เดก็ จำแนกตามจังหวัด 38
ตารางท่ี 3.2 แสดงสถานการณ์เยาวชน จำแนกตามจงั หวดั 39
ตารางท่ี 3.3 แสดงสถานการณ์กลมุ่ สตรี จำแนกตามจงั หวัด 40
ตารางท่ี 3.4 แสดงสถานการณก์ ลมุ่ ครอบครวั จำแนกตามจังหวัด 41
3.5 แสดงสถานการณผ์ ู้สงู อายุ จำแนกตามจงั หวัด 42
3.6.1 แสดงสถานการณ์คนพิการ จำแนกตามจังหวัด
3.6.2 แสดงจำนวนคนพิการจำแนกตามสาเหตุความพกิ าร แยกรายจงั หวดั
3.6.3 แสดงจำนวนคนพิการจำแนกตามประเภทความพิการ แยกรายจงั หวัด
3.7 แสดงสถานการณก์ ลุ่มผดู้ ้อยโอกาส จำแนกตามจังหวัด

ตารางท่ี 4.1.1 แสดงกลุ่มคนเป้าหมายตามฐานขอ้ มูลระบบการพฒั นาคนแบบชี้เปา้ TP MAP แยกรายมติ ริ าย 43
จังหวดั
44
ตารางท่ี 4.1.2 แสดงข้อมูลครัวเรอื นเปราะบาง รายจังหวัดในเขตพนื้ ที่รับผดิ ชอบ สสว.11 สงขลา 45
ตารางท่ี 4.1.3 แสดงผลการขบั เคล่อื นโครงการพฒั นาคุณภาพชีวติ กล่มุ เปราะบางรายครวั เรือน 46
ตารางที่ 4.2.1 แสดงสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของ COVID-19 พนื้ ที่กลุ่มจังหวัดในเขตรับผิดชอบของ สสว.
47
11
ตารางท่ี 4.2.2 แสดงขอ้ มูลการไดร้ บั วคั ซนี ป้องกนั โรค โควิด-19 ประชาชนในพ้ืนที่กลุม่ จงั หวดั ในเขต 48

รบั ผดิ ชอบของ สสว.11 52
ตารางที่ 4.2.3 แสดงข้อมูลการให้ความชว่ ยเหลอื ผู้ไดร้ ับผลกระทบจากสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรค 53

COVID-19 พื้นท่ีกลุ่มจงั หวัดในเขตรับผิดชอบของ สสว.11 54
ตารางที่ 4.3.1 แสดงผลการดำเนนิ งานโครงการหนว่ ยเคลอ่ื นทีเ่ ยียวยาผู้ได้รบั ผลกระทบฯ ปี 2564 55
ตารางท่ี 4.3.2 แสดงผลการใหค้ วามช่วยเหลือผ้ไู ด้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้
55
จำนวน 5,590 ราย
ตารางท่ี 4.4.1 รายช่อื จงั หวดั ทตี่ ดิ อนั ดับ 10 จงั หวดั ทมี่ สี ัดสว่ นคนจนสงู ที่สดุ ในชว่ งปี 2557-2563 56
ตารางที่ 5.1 แสดงผลการจัดลำดับความรนุ แรงของสถานการณ์ทางสังคมกลุ่มจังหวัดกลุ่มเด็ก
56
(อายุ 0 – 17 ปี) 56
ตารางท่ี 5.2 แสดงผลการจัดลำดับความรุนแรงของสถานการณ์ทางสังคมกลมุ่ จังหวัดกลมุ่ เยาวชน 57
57
(อายุ 18-25 ป)ี
ตารางที่ 5.3 แสดงผลการจัดลำดับความรุนแรงของสถานการณ์ทางสงั คมกลุ่มจังหวัด กลุ่มสตรี

(อายุ 26-59 ปี)
ตารางที่ 5.4 แสดงผลการจัดลำดบั ความรุนแรงของสถานการณ์ทางสังคมกล่มุ ครอบครวั
ตารางที่ 5.5 แสดงผลการจดั ลำดับความรุนแรงของสถานการณ์ทางสงั คมกลมุ่ จงั หวดั กลุ่มผสู้ งู อายุ
ตารางที่ 5.6 แสดงผลการจดั ลำดบั ความรุนแรงของสถานการณท์ างสงั คมกล่มุ จงั หวัด กลมุ่ คนพิการ
ตารางท่ี 5.7 แสดงผลการจัดลำดบั ความรุนแรงของสถานการณท์ างสงั คมกลุ่มจังหวดั กลุ่มผดู้ ้อยโอกาส

สารบัญภาพ

ภาพที่ 1 แสดงอาณาเขตของ 7 จังหวดั ภาคใต้ตอนลา่ ง หนา้
ภาพที่ 2 แสดงอาณาเขตของจงั หวัดตรัง 4
ภาพที่ 3 แสดงอาณาเขตของจงั หวัดนราธวิ าส 5
ภาพที่ 4 แสดงอาณาเขตของจังหวดั ปัตตานี 5
ภาพที่ 5 แสดงอาณาเขตของจงั หวัดพัทลุง 6
ภาพที่ 6 แสดงอาณาเขตของจงั หวดั ยะลา 6
ภาพที่ 7 แสดงอาณาเขตของจงั หวดั สงขลา 7
ภาพท่ี 8 แสดงอาณาเขตของจงั หวัดสตูล 7
8

สารบญั แผนภูมิ

แผนภมู ิท่ี 4.3.1 แผนภมู แิ สดงการก่อเหตุความไมส่ งบในพน้ื ที่จังหวดั นราธิวาส ปตั ตานี ยะลา และสงขลา หนา้
ต้ังแต่ พ.ศ. 2547- กันยายน 2564 จำนวน 13,243 ครง้ั 49
แผนภมู ทิ ี่
แผนภมู ทิ ี่ 4.3.2 แสดงผไู้ ด้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไมส่ งบฯ 50
4.3.3 แสดงจำนวนกลุ่มเป้าหมายเด็กฯอยู่ระหว่างการใหค้ วามช่วยเหลอื และยุติการใหค้ วาม 51
แผนภมู ทิ ี่
ช่วยเหลือ 51
แผนภูมทิ ่ี 4.3.4 แสดงจำนวนกลุ่มเปา้ หมายคนพิการฯ อยรู่ ะหว่างการใหค้ วามช่วยเหลอื และยุตกิ ารให้
52
แผนภูมิท่ี ความชว่ ยเหลือ
4.3.5 แสดงผลการดำเนินงานโครงการหน่วยเคลื่อนท่เี ยยี วยาผ้ไู ด้รบั ผลกระทบฯ ปี 2564 53

จำแนกเปน็ การช่วยเหลอื
4.3.6 แสดงผลการใหค้ วามช่วยเหลอื ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณค์ วามไมส่ งบในภาคใต้

จำนวน 5,590 ราย

แผนภูมทิ ี่ 4.3.7 แสดงอันดับของจังหวดั ที่มสี ดั ส่วนคนจนสูงสดุ ในพ้นื ทีภ่ าคใต้ตอนลา่ ง ปี 2557-2563 69

ส่วนที่ 1

บทนำ

1.1 หลักการและเหตผุ ล
ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

มีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับการบูรณาการ โดยกำหนดว่า “ในกรณีที่ภารกิจใดมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วน

ราชการหรือเปน็ ภารกิจที่ใกล้เคยี งหรือต่อเน่ืองกนั ใหส้ ว่ นราชการท่ีเก่ียวข้องนั้นกำหนดแนวทางปฏิบตั ิราชการ

เพื่อให้เกิดการบริหารราชการแบบบูรณาการร่วมกัน โดยมุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ”

(มาตรา 10 วรรค 1) ในทางปฏิบัติแม้ว่าจะมีความพยายามในการบริหารแบบบูรณาการในภารกิจที่มี

ความสำคัญหลายเรื่อง แต่ยังเกิดปัญหาความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติในหลายๆ ภารกิจ เป็นผลให้เป็นการ

สน้ิ เปลืองทรพั ยากรเป็นอย่างมาก การปฏริ ปู งบประมาณประเทศจาก “ระบบงานงบประมาณเชงิ ยุทธศาสตร์”

สู่ “ระบบงบประมาณเชิงพื้นที่” (Arae-Based Budgeting : ABB) ซึ่งเป็นแนวคิดของการทำงบประมาณแบบ

มีส่วนร่วม (Participatory Budgeting) โดยมีการฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ มีกระบวนการทำแผนพัฒนาจาก

ล่างขึ้นบนตั้งแต่แผนชุมชนจนถึงแผนจังหวัด และให้หน่วยงานทั้งภูมิภาคและท้องถิ่นร่วมกันกลั่นกรองทำให้

งบประมาณสามารถใช้ให้ตรงกับปัญหาความต้องการของคนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งเป็นท้ัง

กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลการใช้งบประมาณแผ่นดิน การมีส่วนร่วมของประชาชนในการ

บรหิ ารจัดการตนเอง การสรา้ งความโปรง่ ใสและธรรมาภิบาล การควบคุมพฤติกรรมนักการเมืองโดยประชาชน

ในพื้นที่และการบูรณาการการทำงานของหน่วย Function และหน่วย Area ที่อยู่ในพื้นที่ร่วมกันซึ่งตามแผน

ปฏิรูปกำหนดให้เริม่ ตง้ั แต่ปงี บประมาณ 2548

สำนักงานสง่ เสริมและสนับสนุนวชิ าการ 1-11 (สสว.) เป็นสว่ นราชการส่วนกลางทตี่ ้ังอย่ใู นส่วนภมู ิภาค
โดยมีอำนาจหน้าที่ คือ ข้อ 1 พัฒนางานด้านวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ให้สอดคล้องกับพื้นที่และเป้าหมาย ข้อ 2 ส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านวิชาการองค์ความรู้
ข้อมูลสารสนเทศให้คำปรึกษาแนะนำแก่หน่วยงานบริการกลุ่มเป้าหมายในพื้นท่ีให้บริการ ในความรับผิดชอบ
ของกระทรวง รวมทั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรภาคเอกชนและประชาชน
ข้อ 3 ศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์และสภาพแวดล้อมเพื่อคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ทางสังคมและ
ผลกระทบ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะการพัฒนาสงั คมและการจัดยุทธศาสตร์ในพ้ืนท่ีกลุ่มจงั หวัด ข้อ 4 สนับสนนุ
การนิเทศงาน ติดตามประเมนิ ผลการดำเนินงานเชิงวิชาการตามนโยบายและภารกิจของกระทรวงในพื้นที่กลุ่ม
จงั หวดั มหี น้าที่เปน็ กลไกขบั เคลือ่ นภารกจิ ของกระทรวงการพฒั นาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ นอกจากน้ี
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมและสนับสนนุ วิชาการ
ทำหน้าที่เชื่อมโยงประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคในการแปลงนโยบาย ข้อมูล
สารสนเทศ องคค์ วามรู้ และแผนตา่ งๆ ของกระทรวงฯ ให้เกดิ การบรู ณาการการปฏบิ ัติงานของหนว่ ยงานสังกัด
กระทรวงฯ ในส่วนภูมิภาค ให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ และมีการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
จึงตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องขับเคล่ือนให้เกิดการบูรณาการโครงการด้านสังคมเชิงพื้นที่ในระดับพื้นท่ี
จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ท้งั ในส่วนของแผนปฏิบัตงิ านและแผนคำของบประมาณเชิงพื้นท่ี เพื่อตอบสนองความ
ต้องการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในการบูรณาการการดำเนินงานพัฒนาสังคมและสวัสดิการสังคม
ท่สี อดคล้องกบั พน้ื ท่ีและยุทธศาสตรอ์ ยา่ งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

สำนกั งำนส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 1

ด้วยเหตนุ ี้ จึงเป็นทมี่ าของการจัดทำรายงานสถานการณ์ทางสังคมและคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์
ทางสังคมในพื้นที่กลุ่มจังหวัด ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 11 จังหวัด
สงขลา ที่ครอบคลมุ 7 จงั หวัด ไดแ้ ก่ จงั หวัดตรัง นราธวิ าส ปตั ตานี พทั ลงุ ยะลา สงขลา และสตูล

1.2 วตั ถุประสงค์
1.2.1 เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ และจัดทำรายงานสถานการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ในเขตพื้นท่ี

รบั ผดิ ชอบของสำนกั งานสง่ เสริมและสนับสนุนวชิ าการ 11
1.2.2 เพื่อคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ทางสังคมและผลกระทบในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ

สำนักงานส่งเสรมิ และสนับสนนุ วชิ าการ 11
1.2.3 เพื่อเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางสังคมในพื้นที่กลุ่มจังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ

ของสำนกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชาการ 11

1.3 วธิ กี ารดำเนินงาน
ในปีงบประมาณ 2565 สำนกั งานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ 1-11 ได้ตกลงร่วมกันและมอบหมาย

ให้สำนักงานสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ าการ 5 จงั หวัดขอนแก่น เปน็ หนว่ ยงานรบั ผิดชอบหลกั ในการดำเนินการ
เพ่ือจัดทำรายงานสถานการณท์ างสังคม โดยมีการดำเนนิ การเพอื่ ขบั เคลือ่ นงาน ดังนี้

1) เข้าร่วมประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจและให้ความรู้ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการจัดทำ
รายงานสถานการณท์ างสังคม กลุ่มจงั หวดั ประจำปี 2565 รว่ มกับ สสว.1-11

2) เข้ารว่ มจดั ทำแผนปฏิบัติการการจัดทำรายงานสถานการณท์ างสงั คมกลุ่มจังหวัด
3) เขา้ ร่วมกำหนดประเด็นการจัดทำรายงานสถานการณท์ างสงั คมระดับกลุ่มจังหวดั
4) เขา้ รว่ มกำหนดรูปแบบ (Template) เล่มรายงานสถานการณท์ างสังคมกลุ่มจงั หวัด ประจำปี 2565
5) ดำเนินการรวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดในเขตรับผิดชอบ
พร้อมทั้งจัดลำดับความรนุ แรงของสถานการณ์ทางสังคมในระดบั กลมุ่ จังหวดั
6) ดำเนินการจัดทำรูปเล่มรายงานสถานการณ์ทางสังคมกลุ่มจังหวัด และจัดส่งไฟล์รูปเล่มพร้อม
สรุปรายงานเป็น INFO ใหเ้ จา้ ภาพ
7) เข้าร่วมประชมุ ถอดบทเรียนการจัดทำรายงานสถานการณท์ างสังคมกลมุ่ จังหวัด
8) เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์รายงานสถานการณ์ทางสังคมกลุ่มจังหวัดแก่หน่วยงานด้านสังคมที่
เกีย่ วข้อง (พมจ. กมพ. ทีม One Home พม. ภาคีเครอื ขา่ ย) เพือ่ นำขอ้ มลู ไปใชป้ ระโยชน์ตา่ งๆ
9) ติดตามการนำรายงานสถานการณท์ างสงั คมกลุ่มจงั หวดั ไปใช้ประโยชน์
10) รายงานผลการขบั เคลื่อนงานการจัดทำรายงานสถานการณ์ทางสังคมกลมุ่ จงั หวัดประจำปี 2565

1.4 ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะได้รับ
1) มีข้อมูลสถานการณ์ทางสังคมระดับพื้นที่ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถใช้ประโยชน์

ในการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาสงั คม

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 2

2) หน่วยงานระดับท้องถิ่นและระดับจังหวัด สามารถนำข้อมูลในพื้นที่ไปใช้ในการกำหนดนโยบาย
แผนงาน โครงการ ในการคุ้มครอง ป้องกัน และแก้ไขปัญหาทางสังคมในระดับพื้นท่ี และหน่วยงานระดับ
กระทรวง สามารถนำข้อมูลในภาพรวมไปใช้ประโยชน์วิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาทางสังคมที่สำคัญและ
กำหนดนโยบาย แผนงานในการปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาสงั คมภาพรวมต่อไป

สำนกั งำนสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 3

ส่วนที่ 2

ข้อมลู พ้ืนฐานในพื้นทก่ี ลมุ่ จงั หวัดในเขตรับผิดชอบของ สสว.11 จงั หวัดสงขลา

ความเป็นมา / ทต่ี ้งั

สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 11 มีพ้ืนท่ี

รับผดิ ชอบครอบคลุม 7 จังหวดั ภาคใตต้ อนลา่ ง ประกอบดว้ ย จงั หวดั

จังหวัดตรัง จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดพัทลุง จังหวัด

ยะลา จังหวัดสงขลา และจังหวัดสตูล ซึ่งข้อมูลพื้นฐานในพื้นที่ของ

แต่ละจังหวดั มีดังน้ี

2.1 ทต่ี งั้ และอาณาเขต

ตารางท่ี 2.1 แสดงท่ีต้ังและอาณาเขตพ้ืนทีก่ ลุ่มจังหวัดในเขตรับผิดชอบของ สสว.11 จงั หวัดสงขลา

พืน้ ท่ี จำนวนประชากร ความหนาแนน่

จังหวัด ตารางกโิ ลเมตร ไร่ (คน) ของประชากร
(ตร.กม./คน)

ตรงั 4,917.519 3,088,399.375 639,788 130.10

นราธิวาส 4,475.43 2,797,143.75 809,660 180.91

ปตั ตานี 1,940.356 1,212,722.50 729,581 376.00

พัทลงุ 3,424.473 2,140,295.60 522,541 152.59

ยะลา 4,832.171 2,879,000 542,314 112.23

สงขลา 7,393.889 4,621,180 1,431,536 193.21

สตูล 2,807.52 1,754,701 324,835 130.53

รวม 29,791.358 18,493,442.225 5,000,255 169.62

ท่มี า : กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ข้อมลู ณ วนั ที่ 31 ธันวาคม 2564

พิจารณาภาพรวมของกลุ่มจังวัด พบว่า จังหวัดสงขลา มีขนาดพื้นที่มากเป็นอันดับ 1 ของพื้นที่
ภาคใต้ตอนล่าง คือมีพื้นที่ 7,393.88ตารางกิโลเมตรหรือ4,621,180ไร่ รองลงมาคือ จังหวัดตรังมีพื้นที่ 4,917.51 ตาราง
กิโลเมตร หรือ 3,088,399.37 ไร่ และจงั หวัดยะลา มพี น้ื ที่ 4,832.17 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,879,000 ไร่ ทงั้ น้ี
ค ว า ม ห น า แ น ่ น ข อ ง ป ร ะ ช า ก ร พ บ ว ่ า จ ั ง ห ว ั ด ป ั ต ต า นี ม ี ค ว า ม ห น า แ น ่ น ข อ ง ป ร ะ ช า ก ร
มากที่สดุ คือ 376 คน/1 ตร.กม. รองลงมา จงั หวัดสงขลา 193.21 คน/1 ตร.กม. และจังหวัดนราธวิ าส 180.91
คน/1 ตร.กม.

สำนกั งำนสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 4

จงั หวัดตรงั

จังหวัดตรังอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย
เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่จังหวัดเลียบชายฝั่ง ทะเลตะวันตก
ของมหาสมุทรอินเดีย ยาวตลอดแนวเขตจังหวัดถึง 119 กม.
ประมาณเสน้ รงุ้ ที่ 7 องศา 31 ลปิ ดาเหนอื และเส้นแวงที่
99 องศา 38 ลิปดาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ
ตามเส้นทางสายเพชรเกษม 828 กิโลเมตร ทิศเหนือ
จดอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอ
คลองทอ่ ม จงั หวดั กระบี่ ทิศใต้ จดอำเภอท่งุ หว้า จังหวัด
สตูล และทะเลอนั ดามัน มหาสมุทรอนิ เดีย ทศิ ตะวันออก
จดอำเภอควนขนุน อำเภอกงหรา อำเภอตะโหมด จังหวัด
พัทลุง (มีเทือกเขาบรรทัดกั้นอาณาเขต) ทิศตะวันตก
จดอำเภอคลองท่อม เกาะลันตา จังหวัดกระบี่และทะเล
อันดามันมหาสมุทรอนิ เดยี

จงั หวัดนราธิวาส

จังหวัดนราธิวาส เป็นจังหวดั ชายแดนใต้สุดของ
ประเทศไทย ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลตะวันออก ของแหลม
มลายู ติดกับประเทศมาเลเซียอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ
ทางรถยนตป์ ระมาณ 1,149 กิโลเมตร
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดปัตตานี ในเขตอำเภอสายบุรี
อำเภอไม้แกน่ และอา่ วไทย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวไทยและ ประเทศมาเลเซีย
ทศิ ใต้ ตดิ ตอ่ กบั รฐั กลันตันประเทศมาเลเซีย
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจงั หวัดยะลา ในเขตอำเภอ
บันนังสตา มีพ้นื ท่ีประมาณ 4,475.43 ตารางกโิ ลเมตร
พ้ืนที่ส่วนใหญ่เปน็ ปา่ ไมแ้ ละภูเขา 2 ใน 3 ของพนื้ ท่ี
ทงั้ หมดทางแถบทศิ ตะวันตกเฉียงใต้จรดเทือกเขา
สนั กาลาครี ซี ่งึ เปน็ แนวกั้นพรหมแดนไทย - มาเลเซีย
ลกั ษณะ พ้ืนที่จะมีความลาดเอียงจากทศิ ตะวนั ตกไปส่ทู ศิ ตะวันออก พื้นทีร่ าบส่วนใหญ่อยู่บริเวณติดกับอ่าว
ไทย และราบลุ่มบริเวณแมน่ ้ำ 4 สาย คอื แม่นำ้ บางนรา แม่นำ้ สายบุรี แม่นำ้ ตากใบ และแมน่ ำ้ สุไหงโก–ลก

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 5

จังหวดั ปตั ตานี

จังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ภาคใต้ของประเทศ
ไทย ห่างจากกรุงเทพฯ 1,055 กม. มี เนื้อที่ประมาณ
1,940.35 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,212,723 ไร่
มีอาณาเขตตดิ ตอ่ กับ จงั หวดั ใกลเ้ คียง ดังน้ี
ทศิ เหนอื ติดต่อกบั อา่ วไทย
ทิศใต้ ติดต่อกับเขตอำเภอเมืองยะลา อำเภอ
รามัน จังหวัดยะลา และ เขตอำเภอบาเจาะ จังหวัด
นราธวิ าส
ทศิ ตะวันออก ติดตอ่ กบั อา่ วไทย
ทิศตะวันตก ติดต่อกับเขตอำเภอเทพา และอำเภอ
สะบ้ายอ้ ย จงั หวดั สงขลา

จงั หวัดพัทลุง

จังหวดั พทั ลุง ต้ังอยบู่ รเิ วณชายฝั่งตะวันออกของ
แหลมมลายูหรือแหลมทอง (Golden Khersonese)
ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยหรือฝั่งตะวันตก
ของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา (Songkhla Lake Basin)
โดยตั้งอยูบ่ ริเวณเส้นรุ้ง (latitude) ที่ 7 องศา 5 ลปิ ดา
ถึง 7 องศา 55 ลปิ ดาเหนือ และเสน้ แวง (longtitude)
ที่ 99 องศา 44 ลิปดา ถึง 100 องศา 25 ลิปดา
ตะวนั ออกอยูห่ ่างจากกรุงเทพมหานคร ตามเสน้ ทางรถไฟ
สายใต้ประมาณ 846 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดิน
หมายเลข 41 ประมาณ 856 กิโลเมตร หรือตามทาง
หลวง แผ่นดินหมายเลข ๔ (ถนนเพชรเกษม) ประมาณ
1,200 กิโลเมตร มีรูปร่างลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า
โดยมีส่วนกว้างที่สุดตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก
ประมาณ 56 กโิ ลเมตร และสว่ นยาวท่ีสุดตามแนวทศิ เหนอื -ใต้ ประมาณ 83 กิโลเมตร มเี นอ้ื ทีท่ ้งั หมดประมาณ
3,424.473 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,140,295.60 ไร่ เป็นพื้นดิน 1,919,446 ไร่ และเป็นพื้นน้ำ 220,850 ไร่
(กรมแผนที่ทหาร 2534 ; กรมการปกครอง, 2541) นับเป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่มากเป็นอันดับที่ 10 ของภาคใต้
และเปน็ อันดับที่ 58 ของประเทศไทย

ทิศเหนอื ติดต่อกบั อำเภอชะอวด อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรธี รรมราช และอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา
ทิศใต้ ตดิ ต่อกับอำเภอรัตภูมิ อำเภอควนเนียง จงั หวดั สงขลา และอำเภอควนกาหลง จังหวดั สตูล

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 6

ทิศตะวันออก ติดต่อกับทะเลสาบสงขลาซึ่งเป็นน่านน้ำติดต่อกับอำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธ์ุ

อำเภอสะทิงพระ อำเภอสิงหนคร จังหวดั สงขลา

ทิศตะวนั ตก ตดิ เทอื กเขาบรรทดั ซึ่งเปน็ แนวติดต่อกับ อำเภอนาโยง อำเภอย่านตาขาว อำเภอปะเหลียน

จงั หวัดตรงั

จงั หวดั ยะลา

จังหวัดยะลา เป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศ
ไทย อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 5 - 7 องศาเหนือ และเส้นแวงที่
100 -102 องศาตะวันออก อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ตามทาง
รถไฟสายใต้ 1,039 กิโลเมตร และตามถนนเพชรเกษมสาย
เก่า 1,395กิโลเมตร หรือสายใหม่ 1,084 กิโลเมตร มีพื้นท่ี
ประมาณ 4,521 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 2.8 ล้าน
ไร่ คิดเป็นร้อยละ 6.4 ของพื้นที่ภาคใต้ มีอาณาเขตติดต่อ
กับจังหวัดใกล้เคียง ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดสงขลา
และปัตตานี ทิศใต้ ติดต่อกับ รัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ จังหวัดนราธิวาส และรัฐเปรัค
ประเทศมาเลเซีย ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดสงขลา
และรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซยี

จงั หวดั สงขลา

จังหวัดสงขลา ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของภาคใต้

ตอนล่าง ระหว่างละติจูดที่ 6 ํ 17' – 7 ํ 56' องศาเหนือ

ลองจิจูด 100 ํ 01 ' – 101 ํ 06 ' องศาตะวันออก

สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 4 เมตร อยู่ห่างจาก

กรุงเทพฯ ตามเส้นทางรถไฟ 947 กิโลเมตร และทางหลวง

แผ่นดิน 950 กิโลเมตร จังหวัดสงขลามีพื้นที่ 7,393,889

ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 4,853,249 ไร่ มีขนาดเป็น

อันดับ 27 ของประเทศ และใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของ

ภาคใต้ รองจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัด

นครศรธี รรมราชมีอาณาเขตติดตอ่ กับจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง ดงั น้ี

ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดนครศรีธรรมราชและ

จงั หวดั พัทลุง

ทศิ ตะวันออก ตดิ ต่อกบั อ่าวไทย

ทิศใต้ ตดิ ต่อกบั จงั หวัดสงขลา จังหวดั ปตั ตานี และรัฐเปอร์ลิศประเทศมาเลเซยี

ทศิ ตะวันตก ติดตอ่ กับจังหวดั พัทลงุ และจังหวัดสตูล

สำนกั งำนส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 7

จงั หวดั สตูล

จังหวัดสตูล เป็นจังหวดั สุดเขตแดน
ใต้ของประเทศไทย ด้านฝั่งทะเลอันดามัน
ห่างจากกรุงเทพฯ 973 กิโลเมตร มีเนื้อท่ี
ประมาณ 2,807.52 ตารางกิโลเมตร หรือ
ประมาณ 1,754,701 ไร่ (นับรวมพื้นที่ที่เป็น
ส่วนของน้ําทะเล) เป็นลําดับที่ 63 ของ
ประเทศ และลําดับที่ 12 ของภาคใต้
รองลงมา คือ จังหวัดปัตตานแี ละ จงั หวัดภูเก็ต
ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ่งที่ 6 องศา 4 ลิปดาเหนือ
ถึง 7 องศา 2 ลิปดาเหนือ และเส้นแวงที่ 99
องศา 5 ลิปดาตะวันออก ถึง 100 องศา 3
ลปิ ดาตะวนั ออก มพี ้ืนท่ตี ดิ ต่อกับประเทศมาเลเซียตลอดแนวชายแดนทางบกยาวประมาณ 56 กโิ ลเมตร ติดฝ่ัง
ทะเลอันดามนั มชี ายฝั่งทะเลยาวประมาณ 144.8 กโิ ลเมตร มอี าณาเขต ติดตอ่ กับจงั หวดั ใกลเ้ คียง ดงั นี้
ทศิ เหนือตดิ ต่อกับอําเภอรตั ภูมิ จังหวัดสงขลาอําเภอปา่ บอนจังหวดั พทั ลงุ และอําเภอปะเหลียน จังหวัดตรงั
ทศิ ใต้ ตดิ ตอ่ กับ รฐั เปอรล์ ิสและรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซยี
ทิศตะวนั ออก ติดต่อกับ อําเภอสะเดา จงั หวัดสงขลา และรฐั เปอรล์ สิ ประเทศมาเลเซยี
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย โดยพื้นที่บนบกมีเทือกเขาบรรทัดและสันกาลาคีรี
เป็นเส้นกนั้ อาณาเขตระหวา่ งจงั หวัดสตูล กับจังหวดั อ่ืนๆ และประเทศมาเลเซีย

2.2 ลกั ษณะภมู ิประเทศ
จังหวดั ตรงั

สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่โดยทั่วไปจะเป็นเนินสูงๆ ต่างๆ สลับด้วยภูเขาใหญ่เล็ก กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป
พื้นที่ราบเรียบมีจำนวนน้อยซึ่งใช้เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าว ทางทิศตะวันออกมีเทือกเขา บรรทัดยาวจากตอน
เหนือจดตอนใต้ และเป็นแนวเขตแบ่งจังหวัดตรังกับจังหวัดพัทลุง ลักษณะดินส่วน ใหญ่เป็นดินร่วนปนทราย
สภาพปา่ เป็นปา่ ดิบชนื้ มีป่าชายเลนสำหรับทอ้ งทท่ี อ่ี ยตู่ ิดกบั ทะเล มพี น้ื ทเ่ี ป็น เกาะจำนวน 54 เกาะ อยูใ่ นพื้นท่ี
อำเภอกันตัง 24 เกาะ อำเภอปะเหลียน 21 เกาะ และอำเภอสิเกา 6 เกาะ อำเภอย่านตาขาว 1 เกาะ และ
อำเภอหาดสำราญ 2 เกาะ

จงั หวัดนราธวิ าส

เปน็ จงั หวัดชายทะเลภาคใต้ฝั่งตะวันออก ต้ังอย่ใู ต้สุดของประเทศไทย ประมาณที่ละติจูด 5.7° ถึง 6.7°
เหนือ ลองจิจูด 101.4° ถึง 102.1° ตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณ 4,475 ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจาก
กรุงเทพมหานครประมาณ 1,149 กิโลเมตร

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 8

สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่าและภูเขาประมาณ 2 ใน 3 ส่วน ของพื้นที่ทั้งหมด มีภูเขาหนาแน่น
แถบทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต้จรดเทือกเขาสนั กาลาคีรี ซง่ึ เปน็ แนวกัน้ พรมแดนไทย-มาเลเซีย ลกั ษณะของพื้นที่เอียง
จากทิศตะวันตกไปสู่ทิศตะวันออก พื้นที่ราบส่วนใหญ่อยู่ติดกับอ่าวไทย จังหวัดนราธิวาสมีชายทะเลยาว
ประมาณ 59 กิโลเมตร ภูเขาที่สำคัญ ได้แก่ เทือกเขาตะนาวศรี อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัด ภูเขา
บอลินยอ อยู่ทาง ทิศตะวันตกของจังหวัด และเทือกเขาบูโด อยู่ทางตอนเหนือและตอนกลางของจังหวัด และ
แม่น้ำท่ีสำคญั ได้แก่ แมน่ ้ำบางนรา แม่นำ้ สไุ หงโก-ลก แมน่ ้ำสายบรุ ี

จงั หวัดปัตตานี

แบง่ เป็น 3 ลกั ษณะประกอบดว้ ย

1. พื้นราบชายฝั่งทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่จังหวัดได้แก่ ทางตอนเหนือ
และทางตะวันออกของจังหวัด มีหาดทรายยาว และเป็นที่ราบชายฝั่งกว้างประมาณ 10 ถึง 30 กิโลเมตร
มคี วามยาวชายฝัง่ ท้งั หมด 116.40 กโิ ลเมตร

2. พื้นที่ราบลุ่ม บริเวณตอนกลาง และตอนใต้ของจังหวัด มีแม่น้ำปัตตานีไหลผ่านที่ดินมีความ
เหมาะสม ในการเกษตรกรรม ปลูกข้าว ยางพารา ได้แก่ พื้นที่ในเขตอำเภอแม่ลาน อำเภอยะรัง อำเภอยะหริ่ง
อำเภอมายอ และอำเภอปะนาเระ

3. พน้ื ท่ีภูเขา ซง่ึ เปน็ พน้ื ท่ีส่วนน้อยอยู่ทางตอนใต้ของอำเภอโคกโพธิ์ อำเภอกะพอ้ และทางตะวันออก
ของอำเภอสายบรุ ี บรเิ วณดงั กล่าวเปน็ เขตอุทยานแห่งชาติ และเป็นพน้ื ท่ปี ลูกลองกอง ยางพารา

จงั หวัดพทั ลงุ

มีลักษณะเป็นภูเขาและที่ราบสูงทางด้านทิศตะวันตก ประกอบด้วยเทือกเขาบรรทัด ถัดมา
ทิศตะวันออกเป็นพื้นที่ราบสลับที่ดอน และเป็นพื้นที่ราบลุ่มจดทะเลสาบสงขลา พื้นที่ทั้งหมด ประมาณ
3,424 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,140,296 ไร่ เป็นพื้นดนิ 1,919,446 ไร่ พ้นื น้ำ 220,850 ไร่ เป็นพ้นื ทท่ี างเกษตร
1,327,270 ไร่ (62%) พืน้ ท่ปี ่า 384,438 ไร่ (18%) และพืน้ ที่อ่ืน ๆ 428,588 ไร่ (20%)

จังหวดั ยะลา

ภูมิประเทศของจงั หวดั ยะลา มีลักษณะเป็นภูเขา เนินเขาและหุบเขา ตั้งแต่ตอนกลาง จนถึงใต้สุดของ
จังหวดั มที ร่ี าบบางส่วนทางตอนเหนือของจังหวดั ไดแ้ ก่ บริเวณที่ราบแม่น้ำปัตตานี และแม่น้ำสายบุรีไหลผ่าน
อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางถึงสูงมาก โดยเฉลี่ยระหว่าง 100 - 200 เมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุม
ด้วยป่าดงดิบ และสวนยางพารา มีเทือกเขาที่สำคัญอยู่ 2 เทือกเขา คือ เทือกเขาสันกาลาคีรี เริ่มจากอำเภอ
เบตง เป็นแนวยาวกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย และเทือกเขาปิโล ซึ่งเป็นเทือกเขา
อยู่ภายในจงั หวัดในเขตตำบลบดุ ี ตำบลบันนงั สาเรง ของอำเภอเมืองยะลา อำเภอกรงปนิ ัง และอำเภอรามัน

จังหวัดสงขลา

ทางตอนเหนือเป็นคาบสมุทรแคบและยาวยื่นลงมาทางใต้เรียกว่า คาบสมุทรสทิงพระกับส่วน
เป็นแผ่นดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทางตอนใต้ แผ่นดินทั้งสองส่วนเชื่อมต่อกันโดยสะพานติณสูลานนท์ พื้นที่ทาง

สำนกั งำนส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 9

ทิศเหนือส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม ทิศตะวันออกเป็นที่ราบริมทะเล ทิศใต้และทิศตะวันตกเป็นภูเขาและที่ราบสูง
ซึ่งเปน็ แหล่งกำเนดิ ตน้ น้ำลำธารที่สำคญั

จังหวดั สตลู

พื้นที่ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเป็นเนินเขาและภูเขาสูง โดยมีเทือกเขาสำคัญๆ คือ ภูเขาสันกาลาคีรี
พื้นที่ค่อยๆ ลาดเอียงลงสู่ทะเลด้านตะวันตกและทิศใต้มีที่ราบแคบๆ ขนานไปกับชายฝั่งทะเล ถัดจากที่ราบ
ลงไปเป็นป่าชายเลน น้ำเค็มขึ้นถึง มีป่าแสมหรือป่าโกงกางอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นจังหวัดสตูล
เป็นจังหวัดที่มีลำน้ำสายสั้นๆ ไหลผ่านซึ่งเกิดจากภูเขาโดยรอบพื้นที่ทางตอนเหนือ และทิศตะวันออก
ของจงั หวดั ประกอบด้วยภเู ขามากมายสลบั ซับซ้อนโดยมีทวิ เขานครศรีธรรมราชแบ่งเขตจังหวัดสตูลกับจังหวัด
สงขลา และทิวเขาสันกาลาคีรีแบ่งเขตประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย นอกจากนั้น ยังมีภูเขาน้อยใหญ่
อยู่กระจัดกระจายในตอนล่างและชายฝั่งตะวันตก ภูเขาที่สำคัญได้แก่ เขาจีน เขาบารัง เขาหัวกาหมิง เขาใหญ่
เขาทะนาน เขาควนกาหลง และเขาโตะ๊ พญาวงั

2.3 ลักษณะภมู ิอากาศ
จังหวดั ตรัง

ฤดกู าล แบง่ ตามลักษณะอากาศของประเทศไทยออกเป็น 2 ฤดู คือ ฤดูรอ้ น เร่มิ ตงั้ แต่กลางเดือน
กุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ฤดูฝน เริม่ ต้ังเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกลางเดือนกุมภาพันธ์

ลกั ษณะอากาศท่วั ไป จังหวดั ตรงั อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสมุ ที่พบประจำ เปน็ ฤดกู าล 2 ชนดิ คือ
- ลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต้ ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถงึ กลางเดือนตลุ าคม
- ลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนอื ชว่ งกลางเดอื นตลุ าคมถงึ กลางเดือนพฤษภาคม
อุณหภูมิของอากาศปี 2563 อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 27.85 องศา เซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยตลอดปี
35.56 องศาเซลเซยี ส อุณหภูมติ ่ำสุดเฉลยี่ ตลอดปี 22.51 องศาเซลเซยี ส ความชื้นสมั พทั ธ์ ปี 2563
ความชื้นสัมพัทธ์ เฉลี่ยตลอดปีประมาณ 79.00% ความชื้นสัมพัทธ์สูงสุดเฉลี่ยตลอดปี 97.33%
ความชื้นสมั พัทธต์ ่ำสุดเฉล่ียตลอดปี 46.33% ปรมิ าณฝนปี 2563 ปริมาณฝนตกตลอดปี 2,214.6 มลิ ลิเมตร จำนวน
วันที่มฝี นตกตง้ั แต่ 0.1 มลิ ลเิ มตรขึน้ ไป มีทั้งหมด 192 วนั

จงั หวดั นราธิวาส

อยู่ภายใต้อิทธิพลของมรสุมที่พัดประจำเป็นฤดูกาล 2 ชนิดคือ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นลมจาก
ทิศตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่านมหาสมุทรอินเดีย จึงพาเอาไอน้ำและความชุ่มชื้นมาสู่ประเทศไทยระหว่าง
กลางเดือน พฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคมทำให้มีฝนตกชุกทั่วไป แต่เนื่องจากเทือกเขาตะนาวศรีซึ่งอยู่
ทางด้านตะวันตกกั้น กระแสลมไว้ทำให้ภาคใต้ฝ่ังงตะวันออกและจังหวัดนราธิวาสมีฝนน้อยกว่าภาคใต้
ฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นด้านรับลม ลมมรสุม อีกชนิดหนึ่งคือมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นลมเย็นและแห้งจาก
ประเทศจีนพัดปกคลุมประเทศไทยระหว่าง กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ทำให้ภาคต่างๆ
ทางตอนบนของประเทศตั้งแต่ภาคกลางขึ้นไปมีอากาศ หนาว แต่ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไป

สำนกั งำนสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 10

รวมถึงจังหวัดนราธิวาสกลับมีฝนตกชุกเพราะลมมรสุมนี้พัดผ่าน อ่าวไทย จึงพาเอาไอน้ำและความชุ่มชื้นมา
สู่ภาคใต้ของประเทศไทย อากาศจึงไม่หนาวเย็นดังเช่นภาคอนื่ ๆ ทอี่ ยทู่ าง ตอนบนของประเทศ แตอ่ าจมีอากาศเย็น
เป็นครัง้ คราว

จังหวดั ปัตตานี

อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมที่พัดประจำฤดูกาล 2 ชนิด คือ ฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือหรือ
ฤดูหนาว จะมีลมจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นลมเย็นและแห้งจากประเทศจีนพัดปกคลุมประเทศไทย
ทำให้ประเทศไทยตอนบนตั้งแต่ ภาคกลางขึ้นไปมีอากาศหนาวเย็นและแห้งแล้งทั่วไป แต่ภาคใต้ตั้งแต่จังหวัด
ประจวบคีรีขันธ์ ลงไปกลับมีฝนตกซุกเพราะลมมรสุมนี้ พัดผ่านอ่าวไทยจึงพัดพาเอาไอน้ำไปตกเป็นฝนทั่วไป
ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป อากาศจึงไม่หนาวเย็นดังเช่นภาคอื่น ๆ ที่อยู่ทางตอนบนของประเทศและจังหวัด
ปัตตานี ซึ่งอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกได้รับอิทธิพลของลมนี้เต็มที่จึงมีฝนตกอยู่ในเกณฑ์ปานกลางและมีอากาศ
เยน็ เป็นครงั้ คราว ลมมรสุมอีกชนดิ หนึ่งคือลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซ่งึ พัดผา่ นมหาสมุทรอินเดีย จึงพาเอาไอน้ำ
และความชุ่มชื้นมาสู่ประเทศไทย แต่เนือ่ งจากเทือกเขาตะนาวศรีด้านตะวันตก ซงึ่ ปิดก้นั กระแสลมเอาไว้ จึงทำให้
บรเิ วณภาคใตฝ้ ่ังตะวันออกและจงั หวัดปตั ตานมี ีฝนน้อยกว่าภาคใต้ฝ่ังตะวนั ตกซึ่งเปน็ ดา้ นรบั ลมมรสมุ

จังหวัดพทั ลงุ

มีลมมรสุม คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ โดยทั่วไป
ในปหี น่ึง ๆ จะมีเพยี ง 2 ฤดู เท่านั้น คอื

ฤดูร้อน เริ่มตงั้ แต่ปลายเดือนมีนาคม – กลางเดือนกันยายน ความร้อนและความอบอา้ วของอากาศมี
สูงสุด ในช่วงเดือนมิถุนายน โดยมีอุณหภูมิสูงสุดประมาณ 29.3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ
27 องศาเซลเซยี ส โดยในชว่ ง 10 ปี จังหวัดพัทลุงมอี ุณหภูมิเฉลย่ี อยู่ในชว่ งระหว่าง 27–29 องศาเซลเซียส

ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายน – กลางเดือนมีนาคม โดยปริมาณฝนสูงสุดในรอบปี เดือนธันวาคม
วดั ได้ 1,247 มลิ ลิเมตร มีความช้ืนสัมพัทธเ์ ฉลย่ี สูงสดุ 91.3% และเฉล่ยี ต่ำสดุ 58.76%

จังหวดั ยะลา

ต้งั อยูใ่ นเขตมรสมุ ตะวันออกเฉยี งเหนือและลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีสภาพอากาศแบบร้อนชื้น
มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม และฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม -กุมภาพันธ์
อุณหภูมติ ่ำสดุ เฉลีย่ ประมาณ 28.20 องศาเซลเซยี ส และสูงสุดเฉล่ีย 34.50 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย
1,712.1 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี มีฝนตกเฉลี่ย 148 วันต่อปี เดือนตลุ าคม - พฤศจกิ ายน มีฝนตกชกุ ทส่ี ุด

จังหวัดสงขลา

ตั้งอยูใ่ นเขตอิทธพิ ลของลมมรสุมเมืองรอ้ น มลี มมรสมุ พดั ผา่ น คือ
2.3.1 ลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ เร่มิ ตง้ั แตเ่ ดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม

สำนกั งำนส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 11

2.3.2 ลมมรสตุ ะวันออกเฉยี งเหนือ เร่มิ ตง้ั แตเ่ ดือนตลุ าคมถึงกลางเดือนกุมภาพนั ธ์จากการพัดผ่านของ
ลมมรสมุ ทม่ี แี หล่งกำเนิดจากบริเวณแตกตา่ งกนั ทำใหจ้ ังหวดั สงขลามี 2 ฤดู คือ

2.3.3 ฤดรู อ้ น เร่ิมตั้งแตก่ ลางเดือนกุมภาพนั ธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม ระยะนีเ้ ป็นชอ่ งวา่ ง ระหวา่ งฤดู
มรสุมหลังจากสิ้นฤดมู รสุมตะวนั ออกเฉียงเหนอื หรือฤดูหนาวแล้ง อากาศจะเริ่มร้อนและมอี ากาศ ร้อนจัดที่สุด
ในเดอื นเมษายน

2.3.4 ฤดฝู น แบ่งออกเป็น 2 ระยะ
- ฤดูฝน จากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม ฝนเคลื่อนตวั

มาจากด้านตะวันตก (ทะเลอันดามัน) ส่วนมากฝนตกในช่วงบ่ายถึงค่าปริมาณและการกระจายของฝนจะน้อยกว่า
ช่วงมรสมุ ตะวนั ออก

- ฤดูฝน จากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ฝนเคลื่อนตัว
มาจากด้านตะวันออก (อา่ วไทย) ฝนจะตกชกุ หนาแน่น

จงั หวดั สตูล

ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดจากอ่าวไทยและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จาก
มหาสมุทรอนิ เดีย ลักษณะภมู อิ ากาศเป็นแบบรอ้ นชื้น มี 2 ฤดู ไดแ้ ก่

ฤดฝู น ช่วงระหว่างเดอื นพฤษภาคม ปริมาณฝนเฉลย่ี 2,386.2 มม.
ฤดูร้อน มีเพยี ง 4 เดือน คือ เดอื นมกราคมถงึ เดือนเมษายน

สำนกั งำนส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 12

2.4 ขอ้ มูลการปกครอง

ตารางที่ 2.2 แสดงจำนวนเขตการปกครองพ้ืนท่กี ลุ่มจงั หวดั ในเขตรับผิดชอบของ สสว.11 จังหวัดสงขลา

(หนว่ ย:แหง่ )

จงั หวดั อำเภอ ตำบล หมู่บา้ น อบจ. เทศบาล เทศบาล เทศบาล อบต.
นคร เมอื ง ตำบล

ตรัง 10 87 723 1 1 1 22 75

นราธิวาส 13 77 592 1 - 3 13 72

ปัตตานี 12 115 642 1 - 2 15 96

พทั ลุง 11 65 670 1 - 1 48 25

ยะลา 8 58 380 1 1 2 13 47

สงขลา 16 127 1,023 1 2 11 35 92

สตูล 7 36 280 1 - 1 6 34

รวม 77 565 4,310 7 4 21 152 441

ทีม่ า : กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย วนั ที่ 31 ธนั วาคม 2564

จากตารางที่ 2.2 แสดงจำนวนเขตการปกครองพื้นที่กลุ่มจังหวัดในเขตรับผิดชอบของ สสว.11

จังหวัดสงขลา มีพื้นที่รับผิดชอบจำนวน ๗ จังหวัด ประกอบด้วย 77 อำเภอ 565 ตำบล 4,310 หมู่บ้าน

มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 624 แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด 7 แห่ง เทศบาลนคร 4 แห่ง

เทศบาลเมือง 21 แห่ง เทศบาลตำบล 152 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 441 แห่ง จังหวัดที่มีจำนวน

พื้นที่ทางการปกครองมากที่สุด คือ จังหวัดสงขลา มีจำนวนท้ังส้ิน 16 อำเภอ 127 ตำบล 1,023 หมู่บ้านและ

จังหวัดที่มีจำนวนพื้นที่ทางการปกครองน้อยที่สุด ได้แก่ จังหวัดสตูล ประกอบด้วย 7 อำเภอ 36 ตำบล

280 หม่บู ้าน

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 13

2.5 ดา้ นประชากร

ตารางท่ี 2.3 แสดงจำนวนประชากรแยกตามช่วงอายุ จำแนกตามเพศ และจงั หวดั

จงั หวดั ชาย อายุ 0-17 ปี อายุ 18-25 ปี
หญิง รวม ชาย หญิง รวม
ตรัง 71,867
122,518 67,484 139,351 35,220 34,330 69,550
นราธวิ าส 114,394 115,893 238,411 55,077 51,496 106,57
ปัตตานี 54,390 109,241 223,635 52,233 50,014 102,24
พัทลงุ 84,590 51,696 106,086 26,984 25,712 52,696
ยะลา 172,064 79,745 164,335 36,946 34,390 71,336
สงขลา 44,433 161,721 333,785 83,572 79,077 162,64
สตูล 664,256 41,618 86,051 19,279 18,426 37,705
รวม 627,398 1,291,654 309,311 293,445 602,75

พิจารณาโดยรวมพบว่าจำนวนประชากร ทั้งสิ้น 5,000,255 คน แบ่งเป็น ประช
ใหญ่มีอายุอยู่ในระหว่าง 26-59 ปี จำนวน 2,350,214 คน รองลงมาคือ ช่วงอายุ 0-17
จำนวน 602,756 คน

สำนกั งำนสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั น

อายุ 26-59 ปี (หน่วย : คน)
ชาย หญิง รวม อายุ 60 ปีข้นึ ไป
ชาย หญิง รวม

0 157,616 162,674 320,290 47,990 62,607 110,597
73 180,149 187,041 367,190 42,757 54,729 97,486
47 155,062 157,983 313,045 38,659 51,995 90,654
6 128,491 131,640 260,131 44,560 59,068 103,628
6 117,676 120,645 238,321 30,695 37,627 68,322
49 337,458 357,468 694,926 104,162 136,014 240,176
5 77,620 78,691 156,311 20,308 24,460 44,768
56 1,154,072 1,196,142 2,350,214 329,131 426,500 755,631

ที่มา: ระบบสถิติทางทะเบยี น กรมการปกครอง ขอ้ มลู ณ 31 ธนั วาคม 2564

ชากรเพศชาย จำนวน 2,456,770 คน ประชากรเพศหญิง จำนวน 2,543,458 คน ประชากรส่วน
7 ปี จำนวน 1,291,654 คน ช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 755,631 คน และช่วงอายุ 18-25 ปี

นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 14

2.6 ด้านศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม และข้อมลู ชาติพันธุ์

จังหวดั ตรัง
ประชาชนในจังหวัดส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อชาติไทย โดยมีคนไทยเชื้อสายจีน ประมาณ 30%
ของประชาชนทั้งหมด อาศัยประกอบธุรกิจอยู่ในเขตตัวเมืองและย่านธุรกิจการค้าทั่ว ๆ ไป ส่วนใหญ่นับถือ
ศาสนาพุทธ รองลงมาคือ ศาสนาอิสลาม ซึ่งมีมากในท้องที่อําเภอปะเหลียน ย่านตาขาว กันตัง สิ เกา
ชาวไทยมุสลิมเหล่านี้มีภาษาพูด เช่นเดียวกับประชาชนในเมืองคือ พูดภาษาไทยท้องถิ่นภาคใต้ อุปนิสัยใจคอ
ของคนจังหวัดตรัง โดยทั่วไปมีจิตใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ สามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมมือ
ต่อทางราชการเป็นอยา่ งดี

ความเชื่อ ความศรทั ธา ค่านิยม ในสถาบันทางศาสนา

1.ศาสนาพทุ ธ รอ้ ยละ 80 จำนวน ศาสนาสถาน : 174 แหง่ ศูนยศ์ ึกษาพระพุทธศาสนา : 7 แหง่
2.ศาสนาอิสลาม รอ้ ยละ 18.5 จำนวน มสั ยดิ 152 แหง่
3.ศาสนาคริสต์ ร้อยละ 1.5 โบสถ์/ศาสนาสถาน 14 แหง่

ดา้ นศลิ ปะ ประชาชนในจงั หวัดตรัง ได้รบั การถ่ายทอดศลิ ปะการแสดงจาก บรรพบรุ ุษ จนมีจิตวิญาณ
ในสายเลือด จึงมีคํากล่าวถึงเมืองตรังว่า “มาแต่ตรัง ไม่หนังก็โนรา” หมายความว่าคนที่มาจาก เมืองตรัง
ถ้าไม่หนังก็เป็นมโนราห์ คํากล่าวนี้เกิดขึ้นด้วยความประทับใจ ในไหวพริบและปฏิภาณของตรัง ที่มีโวหาร
อันเฉียบขาด การแสดงพื้นบ้านจึงสืบสานมรดกตรังให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดดเด่นในรูปแบบ ของคนตรัง
นอกจากน้ัน ยงั มศี ิลปะการแสดงลิเกป่า ลเิ กบก ลิเกรํามะนา หรือแขกแดง กาหลอ กลองยาว รองเง็งหรอื แหง็ง
หรือหล้อแหง็งหรอื เพลงตันหยง
ด้านประเพณี งานประเพณีวัฒนธรรม/เทศกาล ประชาชนในจังหวัดตรัง มีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ
เทศกาล ประเพณีซึ่งปฏิบัติต่อเนื่องสืบต่อกันมายาวนาน จนเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและ
ชาวต่างชาติ เชน่
(1) ประเพณีวันขึน้ ปีใหม่ (2) งานวิวาหใ์ ตส้ มทุ ร
(3) งานมหกรรมอาหารดีศรีตรงั (4) ประเพณีสงกรานต์
(5) ประเพณีถือศลี กนิ ผกั (6) งานเทศกาลหอยตะเภา
(7) งานเทศกาลหมยู ่าง (8) งานเทศกาลขนมเคก้
(9) งานประเพณีไหวพ้ ระจนั ทร์ (10) ประเพณวี ันสารทเดอื นสิบ
(11) ประเพณลี ากพระ (12) งานฉลองรฐั ธรรมนญู และงานกาชาดจังหวัดตรงั

ด้านวัฒนธรรม
จังหวัดตรัง เป็นดินแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก
ซึ่งประกอบด้วย ชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิมและชาวไทยเชื้อสายจีนแต่ละกลุ่มก็มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม
ประเพณีและอัตลักษณ์ของตนเอง เช่น การแต่งกาย การกิน ประเพณีต่าง ๆ ดังนี้
1) การแต่งกาย ในอดีตผู้หญิงนุ่งผ้าโจงกระเบน ผู้ชายมักนุ่งแบบไว้ชายเรียกว่านุ่งเลื้อยชาย หรือ
ลอยชายตอ่ มาพฒั นาข้นึ ตามยุคสมัยนยิ ม
2) การกิน ประชาชนในจังหวัดตรังมีค่านิยมในเรื่องกินอาหารนอกบ้าน และอาหารก็มีชื่อเสียง
เปน็ ท่รี ู้จกั แกบ่ คุ คลทัว่ ไป เช่น หมูย่าง ขนมเคก้ ติม่ ซาํ ฯลฯ ดังนนั้ เมื่อมงี านแต่งงาน งานขน้ึ บ้านใหม่ งานศพ ฯลฯ
จงึ มีการจดั อาหารเลีย้ งกันอยา่ งยงิ่ ใหญ่

สำนกั งำนส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 15

จังหวดั นราธวิ าส
ประชากรจังหวัดนราธิวาสนับถือศาสนาอิสลาม 82% นับถือศาสนาพุทธ 17% นับถือศาสนาคริสต์
และศาสนาอื่นๆ 1% มีมสั ยิด 676 แหง่ วดั 79 แหง่ และโบสถ์คริสต์ 5 แหง่ ประชากรใชภ้ าษาพูดหลากหลาย
เพราะมีหลายกลุ่มมาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดนราธิวาส ที่มาจากภาคกลางก็จะใช้ภาษาไทยมาตรฐาน หากมาจาก
จังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้ จึงมีสำเนียงพูดหลายสำเนียง เช่น สำเนียงภาษาไทยใต้ตอนบน ภาษาไทยใต้ตอนล่าง
และยังมีภาษาพูดและสำเนียงที่แปลกไปจากภาษาไทยภาคใต้ในจังหวัดอื่น ๆ มากเป็นพิเศษคือ สำเนียงภาษา
เจ๊ะเห มีพูดกันมานานและมีอยู่ในกลุ่มคนไทยพุทธดั้งเดิมของ จังหวัดนราธิวาส เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่นของ
อำเภอตากใบ สำหรับคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จะใช้ภาษาซึ่งเรียกว่า "ภาษามลายูถิ่น"หรือ "ภาษายาวี"
ในชีวติ ประจำวันคลา้ ยคลึงกบั ภาษามลายูในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน ปัจจบุ นั ผ้ทู ่ีพูดภาษามลายูถิ่น
ก็สามารถพูดภาษาไทยได้เปน็ สว่ นใหญ่ สำหรับชาวพทุ ธทพ่ี ูดภาษาไทยกส็ ามารถพูดภาษามลายูถนิ่ ได้
ประเพณีของชาวไทยพุทธในจังหวัดมีดังนี้ 1.) ประเพณชี ิงเปรต 2.) ประเพณีบังกลุ บวั 3.) ประเพณีลาซัง
4.) ประเพณีลากพระ
ประเพณีของชาวไทยมุสลมิ มีดังนี้ 1.) มาแกปโู ละ หรือ “กินเหนยี ว” จะใช้ใน พธิ ีแตง่ งาน การเข้าสุนัต
พิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะของมุสลิมทั่วโลก 2.) วันเมาลิด หมายถึงวันเฉลิมฉลองสมภพการลี้ภัยจากนครเมกกะ
ไปสู่นครมาดีนะห์และเป็นวันมรณกรรมของนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล) ตรงกับวันที่ 12 ของเดือนรอบีอุลอาวาล หรือ
เดือนที่ 3 ตามปฏิทินอาหรับทั้งสามวัน 3.) วันอาซูรอ หมายถึง วันที่ 10 ของเดือนมุฮัรรอม เป็นวันรำลึกถึง
เมื่อสมยั นำ้ ทว่ มโลกและตอ้ งรวมอาหารทไ่ี ม่เหมือนกันมากวนเข้าด้วยกันแจกจ่ายเพอื่ ใหร้ อดชีวิตได้ และในสมัย
ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันขณะที่กองทหารของท่านกลับจากการรบที่บาดัร
ปรากฏว่าทหารมีอาหารไม่พอกินท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) จึงใช้วิธีการของท่าน นบีนุฮ 4.) การเข้าสุหนัต คือ
การขลบิ ผวิ หนงั หุ้มสว่ นปลายอวัยวะเพศชาย หรือเรียกตามภาษาท้องถ่นิ ว่า “มาโซะยาว”ี ซ่ึงจะทำแก่เด็กชาย
ที่มีอายุระหว่าง 2-10 ปี เพื่อความสะอาด 5.) วันฮารีรายอมีอยู่ 2 วันซึ่งทางราชการกำหนดให้เป็น
วันหยุดราชการใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือวันอิฏิลฟิตรี หรือที่เรียกว่าวันฮารีรายอปอซอเป็นวันเฉลิมฉลอง
เนื่องจากการสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ตรงกับวันที่ 1 ของเดือนเซาวาล ซึ่งเป็นเดือน ที่ 10
ทางจันทรคติ วันอิฎิลอัตฮา หรือที่เรียกว่าวันฮารีรายอฮัจญีตรงกับวันที่ 10 ของเดือนซุลฮิจญะเป็นเวลา
เดียวกบั การประกอบพิธฮี ัจญ์
จงั หวดั ปตั ตานี
‘ปตานี ดารุลสลาม’ - ปัตตานี นครแห่งสันติภาพ จังหวัดปัตตานี เป็นจังหวัดที่มีความเป็น
พหุวฒั นธรรม มผี นู้ ับถอื ศาสนาอสิ ลามมากทีส่ ุดรอ้ ยละ 87.90 รองลงมานบั ถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 12.09 และ
นบั ถือศาสนาอน่ื ๆ ร้อยละ 0.01 ความเปน็ พหุวัฒนธรรมของจังหวัดปตั ตานีมีมาแตโ่ บราณ ตามธรรมชาติของ
เมืองท่า ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินเรือ เป็นจุดเทียบท่าของพ่อค้าวาณิชย์ และผู้อพยพย้ายถิน่ ฐาน พบหลักฐาน
ทางประวัติศาสตร์มีการตั้งถิ่นฐานอาณาจักรโบราณในคาบสมุทรมลายูมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 โดยมี
อาณาจักรลังกาสุกะเป็นอาณาจักรแรกในคาบสมุทร และปัตตานีก็เป็นเมืองท่าของอาณาจักรนี้ อาณาเขต
ของอาณาจักรลังกะสุกะจรดทะเล 2 ฝั่ง คือฝั่งตะวันออกติดกับอ่าวไทยบริเวณปัตตานี และฝั่งตะวันตก
ติดอ่าวเบงกอลจรดเมืองไทรบุรี จึงเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองมากในอดีต นอกจากการประมงแล้ว ยังต้อนรับเรือ
สนิ ค้าจากทั้งจีน อาหรับ ยุโรป อย่างโปรตเุ กส อังกฤษ และฮอลนั ดา ด้วย นอกจากน้ียังมีสำเภาจีนที่อพยพคน
มาตั้งถิ่นฐานอีกเป็นจำนวนมากแต่ละยุค ด้านศาสนาพื้นที่นี้ก็เคยนับถือฮินดูมาก่อน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นพุทธ
มาสู่นครอิสลาม ปัตตานีจึงมีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างศาสนาฮินดู พุทธ อิสลาม และความเชื่อของชาวจีน
ด้วย ซง่ึ สง่ อิทธพิ ลต่อชนยคุ หลงั และเปน็ ส่วนหน่ึงในความทบั ซอ้ นเชือ่ มโยงของสังคมพหวุ ัฒนธรรม

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 16

จงั หวดั พัทลงุ
ศาสนา จังหวัดพัทลุง มีศาสนสถานซึ่งประกอบด้วย วัด ที่พักสงฆ์/สำนักสงฆ์ มัสยิด โบสถ์คริสต์
ศูนยอ์ บรมศาสนาอิสลามและจรยิ ธรรมประจำมัสยิด และศนู ยศ์ ึกษาพระพทุ ธศาสนาวันอาทติ ย์ รวม 457 แห่ง
ซ่ึงประชากรนับถอื ศาสนาพุทธ ร้อยละ 87.84 ศาสนาอสิ ลามรอ้ ยละ 12.10 และ ศาสนาอื่น ๆ ร้อยละ 0.06

จำนวนประเภทศาสนาสถาน รวมท้งั หมดจำนวน 457 แหง่
1.วดั จำนวน 249 แหง่
2.ทพี่ ักสงฆ์ / สำนกั สงฆ์ จำนวน 48 แห่ง
3.โบสถ์ครสิ ต์ จำนวน 4 แหง่
4.มสั ยิด จำนวน 101 แห่ง
5.ศนู ย์อบรมศาสนาอสิ ลามและจรยิ ธรรมประจำมัสยิด จำนวน 51 แห่ง
6.ศนู ยศ์ ึกษาพระพุทธศาสนาวนั อาทิตย์ จำนวน 4 แหง่
ประเพณี วฒั นธรรม
ประชาชนในพื้นที่จังหวัดพัทลุง มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ตามกรอบจารีตประเพณี และปฏิบัติตาม

แนวทางที่ศาสนากําหนด ประเพณีวัฒนธรรมของท้องถิ่นถูกสืบทอดโดยกิจกรรมทางศาสนาทีป่ ระชาชนนับถือ

สภาพวถิ ชี วี ติ เป็นการถา่ ยทอดจากภูมิปัญญาของบรรพบรุ ุษสู่คนรุ่นหลงั และมเี อกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมดงั นี้

1. พิธีกรรมด้านศาสนา เช่น ชักพระ (ลากพระ) สงกรานต์ (ทําบุญ,รดน้ำดําหัวผู้ใหญ่) เข้าพรรษา

ออกพรรษา ลอยกระทง

2. ความเชื่อ มคี วามเชื่อเรื่อง ภพ สวรรค์ นรก เทวดา ครูหมอ ไสยศาสตร์ ฤกษ์ยาม

3. พธิ กี รรมทําบุญขึ้นปีใหม่ พธิ จี ดั งานศพ งานบวช โนราโรงครู ไหว้เจ้าท่ี ทาํ ขวญั ข้าว สะเดาะเคราะห์

4. ประเพณใี นท้องถิ่น ส่วนมาเก่ยี วข้องกบั กจิ กรรมด้านศาสนา เช่น การแตง่ กาย การแตง่ งาน งานศพ

สงกรานต์ (วันว่าง) ทําบุญเดือนสิบ (ชิงเปรต) ชักพระ (ลากพระ) เข้าสุหนัต ไปประกอบพิธีฮัจญ์ เมาลิด

การถือศลี อดในเดือนรอมฎอน

5. การละเล่นพื้นบ้าน การละเล่นของเด็ก เช่น เสือกินวัว วันตูส้ม การเล่นเสี่ยงทาย การละเล่นของ

ผู้ใหญ่ กีฬาพื้นบ้าน เช่น กฬี าชนไก่ ชนววั แขนงโพน ซดั ต้ม แขง่ ว่าว

กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ หมายถึง กล่มุ คนทมี่ อี ัตลักษณ์ทางประวัตศิ าสตรร์ ่วมกนั ทำใหส้ มาชิกกลุ่มมีวัฒนธรรม

ประเพณี บรรทัดฐาน ภาษา และความเชื่อในแนวเดียวกัน อัตลักษณ์เหล่านี้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

บุคคลภายนอกอาจเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มได้ด้วยการแต่งงานหรือวิธีการอื่น ๆ ตามที่สังคมนั้นกำหนด จังหวัด

พัทลุงมีกลุ่มชาติพันธุ์คือ ประชากรมันนิ ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอกงหราและอำเภอป่าบอน รวมทั้งส้ิน

จำนวน 68 คน ในพื้นที่อำเภอกงหรา จำนวน 30 คน และในพื้นที่อำเภอป่าบอน จำนวน 38 คน ซึ่งธรรมชาติ

ของชนกลมุ่ นีจ้ ะมกี ารเคล่อื นย้ายถ่ินฐานอยตู่ ลอด

สำนกั งำนสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 17

จังหวดั ยะลา
เป็นหนึ่งในสี่จังหวัดที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและเป็นหนึง่ ในสามจังหวัด ที่ประชากร
ส่วนใหญ่ ใช้ภาษามลายูปัตตานีในการสื่อสารประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายมลายู รองลงมาคือ
ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวไทยพุทธอย่างไรก็ตามยะลาถือเป็นจังหวัดที่ดำรงความเป็นพหุวัฒนธรรมได้อย่าง
ชัดเจนเพราะมีความแตกต่างกันทั้งด้านเชื้อชาติภาษาและศาสนาแต่ชนทุกกลุ่ม ยังคงรักษาวิถีชีวิต และ
ประเพณีของตนไว้อย่างเหนียวแน่น ศาสนาในจังหวัดยะลา ศาสนาอิสลาม จำนวน 81.46 ศาสนาพุทธ จำนวน
18.45 ศาสนาคริสต์ ร้อยละ0.08 และศาสนาอื่นๆ ร้อยละ 0.01 จังหวัดยะลาเป็นหนึ่งในสี่จังหวัดของไทย
ที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามแต่ก็เป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธมากที่สุด
ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชุมชนชาวคริสต์ขนาดย่อมทั้งนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ในเขต
เทศบาลนครยะลาและเทศบาลเมืองเบตง นอกจากนี้ยังมีชุมชนของผู้นับถือศาสนาซิกข์ขนาดน้อย อาศัยอยู่
ในเขตเทศบาลนครยะลา (ชมุ ศกั ดิ์ นรารัตน์วงศ:์ 2560) สว่ นชาวซาไกหนั มานับถือศาสนาพุทธโดยให้เหตุผลว่า
นับถอื ตามสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แต่ปัจจุบนั ยงั ปะปนไปด้วยความเช่ือพื้นเมือง และแรงงานต่างด้าว
ชาวพม่าในยะลา ทีน่ บั ถอื ศาสนาพุทธและร่วมปฏิบัติศาสนกิจรว่ มกบั ชาวไทยพุทธในท้องถิน่
ชาติพันธ์ุประชากรส่วนใหญ่ของจังหวดั ยะลาเป็นชาวไทยเชื้อสายมลายูในอดีตจะถูกเรียกอย่างรวมๆ
กบั ชาวชวา - มลายูท่ัวไปวา่ คนยาวี Orang Jawi (กณั หา แสงรายา :2554) แต่จะเรียกตัวเองว่าออแฆนายู และพงึ ใจ
ที่ผู้อื่นเรียกว่าคนนายูมากกว่าคนยาวี (วลัยลักษณ์ ทรงศิริ :2559) เมื่อ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2482 ในสมัย
หลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมฉบับที่ 3
เรื่อง การเรียกชื่อ ชาวไทย โดยให้เรียกชาวมลายูมุสลิมว่า ไทยอิสลาม (อัฮหมัด สมบูรณ์ บัวหลวง : 2560)
และ ปัจจุบันทางราชการของไทยยังคงเรียกคนเชื้อสายมลายูว่าคนไทยหรือไทยมุสลิมอยู่ นอกจากนั้นก็จะมี
ชาวไทยพุทธ และชาวไทยเช้ือสายจีนเป็นชนกล่มุ น้อย อาศัยอยูต่ ามเมืองใหญๆ่ โดยเฉพาะอำเภอเบตง ถือเป็น
ชุมชนชาวจีนที่มีขนาดใหญ่และเข้มแข็ง สามารถคงอัตลักษณ์ความเป็นจีนไว้อย่างเหนียวแน่น โดยมากเป็น
ชาวจีนกวางไส บรรพบุรุษอพยพจากเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง (ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ : 2561)
ส่วนชาวไทยเชื้อสายจีนในเทศบาลนครยะลา โดยมากเป็นชาวฮกเกี้ยน ขณะที่ชาวไทยพุทธ มีอยู่หนาแน่น
ในเขตเทศบาลนครยะลา แต่ระยะหลังเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้
ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวไทยพุทธอพยพออกจากพื้นที่เป็นจำนวนมาก เช่น ชุมชนชาวจีน ที่บ้านเนียง
อำเภอเมืองยะลา และชุมชนจนี บ้านแบหอ อำเภอรามนั ทล่ี ูกหลานโยกยา้ ย ออกจากถนิ่ ฐานเดิมจนส้นิ

จงั หวดั สงขลา มศี าสนาสถาน จำนวน 1,185 แห่งดงั นี้

(1) วดั 434 แหง่ (2) สำนกั สงฆ์ 111 แห่ง

(3) โบสถค์ รสิ ต์ 39 แหง่ (4) มสั ยดิ 409 แห่ง

(5) ศาลเจ้า 41 แห่ง (6) ศนู ยอ์ บรมศาสานาและจรยิ ธรรม 121 แห่ง

(7) ศนู ยพ์ ระพุทธศาสนา 28 แห่ง

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 18

จังหวัดสตูล จังหวัดสตูล มีวัดในพระพุทธศาสนา จำนวน 43 แห่ง ที่พักสงฆ์ จำนวน 29 แห่ง มัสยิด
จำนวน 238 แห่ง โบสถ์คริสต์ จำนวน 3 แห่ง ศาลเจ้า 3 แห่ง ศูนย์พุทธศาสนาวันอาทิตย์ จำนวน 3 ศูนย์
ศนู ยอ์ บรมศาสนาอิสลามและจริยธรรมประจำมสั ยิด (ศนู ย์ตาดกี า) จำนวน 208 ศูนย์

2.7 ด้านสาธารณสุข

ตารางที่ 2.4 แสดงจำนวนหนว่ ยบรกิ ารสาธารณสขุ ภาครัฐและภาคเอกชน จำแนกตามจังหวัดในเขตพนื้ ที่

รบั ผดิ ชอบของ สสว.11 จงั หวัดสงขลา (หน่วย:แหง่ )

จังหวดั โรงพยาบาลสงั กดั ภาครฐั (แห่ง) โรงพยาบาลสังกดั

(รพศ.) (รพท.) (รพช.) (รพ.สต.) อ่ืน ๆ เอกชน (แหง่ ) รวม

ตรัง 1 9 8 125 1 2 146

นราธิวาส - 1 11 111 - 1 124

ปตั ตานี - 1 11 130 15 2 159

พทั ลงุ - 1 10 124 13 1 149

ยะลา 1 1 6 81 12 1 102

สงขลา 1 1 15 175 2 4 198

สตลู - 1 6 55 4 - 66

รวม 3 15 67 801 47 11 944

ท่ีมา HDC Report กระทรวงสาธารณสุข ณ วนั ที่ 31 มีนาคม 2565

หมายเหต.ุ รพศ. =โรงพยาบาลศนู ย์ รพท. = โรงพยาบาลท่ัวไป
รพ.สต. = โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตำบล รพช. = โรงพยาบาลชุมชนอ่ืน ๆ

พิจารณาโดยภาพรวมพบว่าหน่วยบริการสาธารณสุข จำนวน 944 แห่ง หน่วยบริการสาธารณสุข
ท่มี ากที่สดุ คอื โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตำบล (รพ.สต.) จำนวน 801 แหง่ รองลงมาคือ โรงพยาบาลชุมชน
(รพช.) จำนวน 67 แห่ง และโรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) จำนวน 15 แห่ง เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดพบว่า
จังหวัดที่มีหน่วยบริการสาธาณสุขมากที่สุด คือ จังหวัดสงขลา จำนวน 198 แห่ง รองลงมาคือ จังหวัดปัตตานี
จำนวน 159 แห่ง จังหวัดพัทลุง จำนวน 149 แห่ง จังหวัดตรัง 146 แห่ง จังหวัดนราธิวาส 124 แห่ง จังหวัด
ยะลา 102 แห่ง และจังหวัดสตูล 66 แห่ง ตามลำดับ ทั้งนี้จากการเปรียบเทียบจำนวน รพ.สต. กับจำนวน
ตำบลทัง้ หมดในพน้ื ท่ี 7 จงั หวัด พบว่า ทกุ จังหวดั มี รพ.สต. ประจำตำบล และบางตำบลน้นั มี รพ.สต.มากกว่า
1 แห่ง ดงั นน้ั จงึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ประชาชนสามารถเขา้ ถงึ บรกิ ารสาธารณสขุ เบอื้ งต้นในพนื้ ที่ได้อย่างทวั่ ถงึ

สำนกั งำนสง่ เสริมและสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 19

ตารางที่ 2.5 แสดงจำนวนประชากรต่อแพทย์รายจงั หวดั (หน่วย : คน)

จงั หวดั แพทย์ ประชากร ประชากรต่อแพทย์
ตรงั
นราธิวาส 189 639,788 3,385 : 1
ปัตตานี
พทั ลุง 219 809,660 3,728 : 1
ยะลา
สงขลา 525 729,581 1,390 : 1
สตูล
รวม 156 522,541 3,349 : 1

271 542,314 1,889 : 1

519 1,431,536 2,758 : 1

97 324,835 3,348 : 1

1,976 5,000,255 2,530 : 1

ทม่ี า : ฐานขอ้ มลู สารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข ขอ้ มลู ณ วนั ท่ี 31 มนี าคม 2565

พจิ ารณาโดยภาพรวมพบว่ามีประชากรจำนวนทั้งส้ิน 5,000,255 คน และแพทย์มีจำนวนท้ังสิ้น 1,976 คน
ทำใหส้ ดั สว่ นของประชากร : แพทย์ เทา่ กับ 2,530 : 1 คน เม่อื พจิ ารณาเปน็ รายจงั หวัดพบว่าจงั หวัดท่มี สี ดั สว่ น
ประชากร : แพทย์ มากที่สุด คือ จังหวัดนราธิวาส (3,728 : 1 คน) รองลงมาคือ จังหวัดตรัง (3,385 : 1 คน)
จังหวัดพัทลุง (3,349 : 1 คน) จังหวัดสตูล (3,348 : 1 คน) จังหวัดสงขลา (2,758 : 1 คน) จังหวัดยะลา
( 1,889 : 1 คน) และจงั หวัดปตั ตานี (1,390 : 1 คน)

สำนกั งำนสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 20

ตารางท่ี 2.6 แสดงสาเหตุการตาย 5 อันดบั แรกจากโรคตา่ งๆ จงั หวดั ในเขตพ้ืนทรี่ ับผิดชอบของ สสว.

(หน่วย :คน)

โรคมะเร็ง โรคหลอดเลอื ด โรคหัวใจและ โรคตดิ เชือ้ ใน โรคปอดบวม
ตรัง สมอง หลอดเลอื ด กระแสเลือด

596 334 256 192 174

นราธิวาส โรคเส่อื มระบบ ความดันโลหิต โรคหวั ใจขาดเลือด โรคเบาหวาน โรคปอดบวม
ประสาท สงู เรือ้ รัง 190 179

669 316 198

ความดันโลหติ สงู หวั ใจลม้ เหลว วัยชรา โรคเสอื่ มของ สมองฝ่อมเี ขต
ปตั ตานี ไมท่ ราบสาเหตุ
สมองในวัยชรา รอบ

338 275 251 102 86

โรคอาการ ผดิ ปกติ โรคมะเรง็ และ โรคปอดบวม โรคหลอดเลอื ด โรคหัวใจขาด
พทั ลงุ ทพ่ี บจากการตรวจ เน้อื งอกทุกชนิด สมอง เลอื ด

ทางคลนิ กิ และ 161 91
ตรวจทาง

ห้องปฏบิ ตั ิการท่ี
มิไดม้ รี หสั ระบุไว้

349 283 166

โรคหวั ใจล้มเหลว โรคกล้ามเน้อื โรคความปกติอน่ื โรคชรา โรคของหลอด
ยะลา หวั ใจ และระบรุ าย 81 เลอื ดสมอง

ละเอดี ของระบบ 100
ไหลเวียนโลหติ

207 117 106

โรคมะเรง็ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคปอดบวม โรคตดิ เชื้อใน
สงขลา 599 สมอง 503 กระแสเลือด

1,991 512 399

สตลู โรคระบบไหลเวียน โรคมะเรง็ ทางเดนิ หายใจ โรคติดเช้อื และ โรคสืบพนั ธ์ุ
เลอื ด 149 ปรสิต 78

303 244 124

ทม่ี า : ฐานขอ้ มลู สารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข https://hdcservice.moph.go.th/ ขอ้ มลู ณ วนั ที่ 31 มีนาคม 2565

สำนกั งำนสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 21

พิจารณาโดยภาพรวมพบว่าผู้เสียชีวิตมากที่สุดด้วยโรคมะเร็ง จำนวน 2,831 คน รองลงมาคือ
โรคปอดบวม จำนวน 1,022 คน และโรคเสื่อมระบบประสาท จำนวน 669 คน เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัด
พบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือ จังหวัดสงขลา จำนวน 4,004 คน รองลงมาคือ จังหวัดตรังและจังหวัด
นราธิวาสในสดั สว่ นที่เท่ากัน จำนวน 1,552 คน จังหวัดปตั ตานี 1,052 คน จังหวดั สตลู 898 คน จังหวัดพัทลุง
817 คน และจงั หวดั ยะลา 611 คน

2.8 ดา้ นการศึกษา

ตารางที่ 2.7 สถานศึกษาในระบบ นอกระบบ จำแนกรายสังกัด รายจงั หวดั ปีการศึกษา 2565

(หน่วย:จำนวน:แห่ง)

รายการสถานศกึ ษา (แห่ง)

จงั หวดั ในระบบ นอก
ระบบ
รวม
สำนัก
สพฐ. เอกชน อาชีวศึกษา อดุ มศึกษา ท้องถนิ่ พทุ ธ ฯ กศน.

ตรงั 296 37 9 5 151 1 10 509

นราธิวาส 357 98 2 1 217 - 13 688

ปัตตานี 335 132 8 4 180 - 12 671

พัทลุง 259 40 7 2 202 0 85 595

ยะลา 210 98 7 10 146 6 9 486

สงขลา 503 160 12 9 32 16 16 748

สตูล 184 279 5 2 121 1 7 599

รวม 2,144 844 50 33 1,049 24 152 4,296

ทมี่ า : สำนกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร ข้อมลู ณ วนั ท่ี 31 มีนาคม 2565

พิจารณาโดยรวมพบว่ามีสถานศึกษาทั้งสิ้น 4,296 แห่ง แบ่งเป็นสถานศึกษาในระบบจำนวน 4,144 แห่ง และ
สถานศึกษานอกระบบ (กศน.) จำนวน 152 แห่ง โดยสถานศึกษาในระบบที่มีจำนวนมากที่สุดคือ สพฐ. จำนวน 2,114 แห่ง
รองลงมาคือ ท้องถิ่น จำนวน 1,049 แห่ง เอกชน 844 แห่ง อาชีวะ 50 แห่ง อุดมศกึ ษา จำนวน 33 แห่งสำนักพทุ ธฯ 24 แห่ง
เมอ่ื พิจารณาเป็นรายจงั หวดั จะพบว่าจังหวดั ที่มสี ถานศกึ ษามากที่สุด คอื จงั หวดั สงขลา จำนวน 748 แหง่ รองลงมาคอื จังหวัด
นราธิวาส 688 แห่ง ปตั ตานี 671 แหง่ จังหวดั สตลู 599 แหง่ จังหวัดพัทลงุ 595 แหง่ จงั หวดั ตรงั 509 แหง่ และจังหวัดยะลา
486 แห่ง

สำนกั งำนสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 22

ตารางท่ี 2.8 จำนวนนกั เรียนนักศกึ ษาในระบบ จำแนกตามระดบั ชั้น ปี พ.ศ. 2564 (หนว่ ย:คน)

ระดับการศึกษา (คน) รวม
จังหวดั

อนุบาล ประถม ม.ตน้ ม.ปลาย ปวช. ปวส. ป.ตรี

ตรงั 24,262 51,016 24,385 14,740 4,157 2,097 10,739 131,396

นราธิวาส 33,489 82,197 32,024 20,431 2,307 2,097 3,518 176,063

ปัตตานี 39,481 81,206 44,573 9,200 2,984 4,609 10,555 192,608

พัทลงุ 20,694 37,771 20,543 13,556 4,306 2,017 3,135 102,022

ยะลา 22,780 58,896 30,619 21,972 2,501 3,446 11,635 151,849

สงขลา 44,823 120,874 65,070 42,518 11,076 7,316 52,232 343,909

สตลู 16,131 30,495 15,648 10,497 2,528 1,212 115 76,626

รวม 201,660 462,455 232,862 132,914 29,859 22,794 91,929 1,174,473
ทมี่ า : ศูนยเ์ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร สำนักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ ข้อมลู ณ วันที่ 31 มนี าคม 2565

พิจารณาโดยรวมพบว่าจำนวนนักเรียน นักศึกษา มีทั้งสิ้น 1,174,473 คน ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับ
ประถมศึกษา 462,455 คน รองลงมาคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 232,862 คน และระดับอนุบาล
จำนวน 201,660 คน เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดที่มีจำนวนนักเรียน นักศึกษามากที่สุดคือ จังหวัดสงขลา
จำนวน 343,909 คน รองลงมาคือ จังหวัดปัตตานี จำนวน 192,608 คน และจังหวัดนราธิวาส จำนวน
176,063 คน

ตารางที่ 2.9 จำนวนผูเ้ รียนนอกระบบโรงเรียน จำแนกตามระดบั การศึกษา ปีการศึกษา 2560 - 2564

(หน่วย:คน)

จงั หวัด ปีการศึกษา
2560 2561 2562 2563 2564

ตรัง ไม่มีขอ้ มลู 7,400 6,799 6,076 5,797
นราธิวาส 46,377 34,498 21,190 23,639 21,247
ปัตตานี 84,527 75,756 89,492 92,097 89,027
พทั ลุง 7,477 7,386 6,654 6,443 5,927

ยะลา 16,616 15,450 14,552 13,123 13,308

สงขลา ไม่มีข้อมลู 21,029 20,381 25,308 15,382

สตูล 11,056 10,080 9,846 9,107 9,071
รวม 166,053 164,199 168,914 175,793 159,759

ทม่ี า : ศนู ยเ์ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร สำนกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ ขอ้ มลู ณ วนั ที่ 31 มีนาคม 2565

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 23

พิจารณาโดยรวมพบว่าจำนวนนักเรียนนอกระบบโรงเรียน ปีการศึกษา 2560-2564 มากที่สุด
ไดแ้ ก่ ปี 2563 จำนวน 175,793 คน รองลงมาคือปี 2562 จำนวน 168,914 คน และปี 2560 จำนวน 166,053
คน เมื่อพิจารณาเป็นจังหวัดจะพบว่าจังหวัดที่มีจำนวนนักเรียน นักศึกษามากที่สุดคือ จังหวัดปัตตานี จำนวน
270,616 คน รองลงมาคือ จังหวัดนราธิวาส จำนวน 66,076 คน และจงั หวัดสงขลา จำนวน 61,071 คน

ตารางที่ 2.10 จำนวนนักเรียนออกกลางคันระดับประถมศึกษา - มธั ยมศึกษาตอนปลาย สังกดั สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ปีการศึกษา 2560 - 2564

(หนว่ ย:คน)

จังหวัด 2560 ปีการศกึ ษา 2564 รวม
2561 2562 2563

ตรัง ไม่มีขอ้ มลู 352 965 1,558 1,558 4,433

นราธวิ าส 1,005 1,148 986 1,085 ไม่มีข้อมูล 4,224

ปัตตานี 56 173 86 62 64 441

พัทลุง 19 103 46 20 ไม่มีขอ้ มูล 188

ยะลา 21 13 4 1 1 40

สงขลา ไม่มีขอ้ มลู 208 105 24 16 353

สตูล 4,287 3,322 1,620 324 294 9,847

รวม 5,388 5,319 3,812 3,074 1,933 19,526

ทมี่ า : ศนู ยเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร สำนกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร ขอ้ มลู ณ วนั ที่ 31 มีนาคม 2565

พิจารณาโดยรวมพบว่าจำนวนนักเรียนออกกลางคันระดับประถมศึกษา - มัธยมศึกษาตอนปลาย
ปีการศึกษา 2560 – 2564 มากที่สุด ปี 2560 จำนวน 5,388 คน รองลงมา ปี 2561 จำนวน 5,319 คน
และปี 2562 จำนวน 3,812 คน เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดจะพบว่าจังหวัดที่มีนักเรียนออกกลางคันระดับ
ประถมศึกษา – มัธยมศึกษาตอนปลายมากที่สุด จังหวัดสตูล จำนวน 9,847 คน รองลงมาคือ จังหวัดตรัง
จำนวน 4,433 คน และจังหวดั นราธวิ าส จำนวน 4,224 คน

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 24

2.9 ด้านแรงงาน

ตารางที่ 2.11 ภาวะการณม์ งี านทำของประชากรในกลุม่ จังหวดั ภาคใต้ตอนล่าง ปี 2564

(หนว่ ย:คน)

จงั หวดั กำลงั แรงงานในปจั จบุ ัน กำลงั แรงงาน ผู้ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน

ตรัง ผมู้ งี านทำ ผ้วู า่ งงาน รอฤดูกาล ทำงานบา้ น เรยี นหนงั สือ อ่นื ๆ
นราธวิ าส
ปัตตานี 376,208 3,706 0 42,741 40,997 43,090
พทั ลงุ
309,507 28,643 301 65,438 51,588 51,955
ยะลา 309,349 12,131 0 39,379 50,827 48,999
สงขลา 306,349 3,108 81 24,156 33,203 45,123
สตูล 224,142 3,403 44 30,302 43,514 29,105
รวม 844,508 27,963 121 89,807 138,255 143,185

145,129 4,689 183 22,934 17,208 23,744

2,515,192 83,643 730 314,757 375,592 385,201

ท่มี า : สำนกั งานสถติ ิแห่งชาติ ข้อมูล ณ วันที่ 31 มนี าคม 2565

พิจารณาโดยภาพรวมพบว่าผู้ที่เป็นกำลังงานมีทั้งสิ้น 2,598,835 คน เป็นผู้มีงานทำ จำนวน
2,515,192 คน ผูว้ ่างงาน 83,643 คน และคนที่กำลงั แรงงานรอฤดูกาล จำนวน 730 คน เมือ่ พจิ ารณาเป็นราย
จังหวัดพบว่าจังหวัดที่มีผู้มีงานทำมากที่สุด คือ จังหวัดสงขลา จำนวน 844,508 คน รองลงมาคือ จังหวัดตรัง
จำนวน 376,208 คน จังหวัดนราธิวาส จำนวน 309,507 คน จังหวัดปัตตานี จำนวน 309,349 คน จังหวัด
พัทลุง จำนวน 306,349 คน จังหวัดยะลา จำนวน 224,142 คน และจังหวัดสตูล จำนวน 145,129 คน
ส่วนผูท้ ีไ่ ม่ได้อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนทั้งสิ้น 1,075,550 คน พบว่าเป็นผู้ท่ีกำลังเรียนหนงั สือ จำนวน 375,592
คน รองลงมาคือ ทำงานบา้ น จำนวน 314,757 คน และอน่ื ๆ จำนวน 385,201 คน

สำนกั งำนส่งเสริมและสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 25

ตารางท่ี 2.12 จำนวนคนตา่ งด้าวทีไ่ ด้รับอนญุ าตทำงานคงเหลอื พ.ศ.2560-2564 ของกลมุ่ จังหวดั ภาคใต้
ตอนลา่ ง

(หน่วย: คน)

จังหวัด 2560 2561 2562 2563 2564
ตรัง
12,890 10,895 14,910 8,187 6,337
นราธิวาส
ปัตตานี 1,418 872 2,334 1,886 1,586
พทั ลุง 3,632 5,659 10,591 8,389 6,679
ยะลา 803 688 1,118 944 1,182
2,063 1,335 3,290 3,119 2,438
สงขลา
51,287 38,319 50,639 47,677 40,961
สตูล
รวม 3,137 1,818 2,610 2,935 2,025

75,230 59,586 85,492 73,137 61,208

ท่มี า : สำนกั งานสถติ ิแหง่ ชาติ ขอ้ มลู ณ วนั ที่ 31 ธันวาคม 2564

พจิ ารณาโดยภาพรวมพบว่าคนต่างด้าวท่ีได้รับอนุญาตทำงานคงเหลือ พ.ศ.2560-2564 มจี ำนวนมาก
ที่สุดในปี 2562 จำนวน 85,492 คน รองลงมาคือปี 2560 จำนวน 75,230 คน และปี 2563 จำนวน 73,137 คน
เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดในปี 2564 จังหวัดที่พบว่ามีจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด
ไดแ้ ก่ จงั หวดั สงขลา มีจำนวน 40,961 คน รองลงมาคือ จังหวัดปตั ตานี จำนวน 6,679 คน จงั หวดั ตรงั จำนวน
6,337 คน จังหวัดยะลา จำนวน 2,438 คน จังหวัดสตูล จำนวน 2,025 คน จังหวัดนราธิวาส จำนวน 1,586 คน
และจังหวัดพัทลุง จำนวน 1,182 คน ตามลำดับ

สำนกั งำนสง่ เสริมและสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 26

2.10 ด้านทอ่ี ยอู่ าศัย

ตารางที่ 2.13 แสดงจำนวนชุมชนผมู้ รี ายไดน้ ้อยของกลุ่มจงั หวดั พ.ศ. 2565

(หนว่ ย:แหง่ :คน)

จังหวดั จำนวน ชุมชนแออดั ชมุ ชนเมอื ง ชมุ ชนชานเมือง จำนวน จำนวน จำนวน
บา้ น ครวั เรอื น ประชากร
ชมุ ชน ชุมชน ครวั เรือน ชมุ ชน ครัวเรือน ชุมชน ครวั เรือน

ตรงั 12 12 521 0 00 0 494 521 1,780
นราธวิ าส 47 11 939
17 1,483 19 2,666 3,945 5,088 20,352

ปัตตานี 27 13 2,430 7 450 7 393 13,092 3,273 52,368
พัทลุง
ยะลา 45 0 0 45 16,199 0 0 16,199 16,199 31,663
สงขลา
สตลู 16 1 100 0 0 15 1,058 942 1,158 3,937
รวม
49 47 3,941 0 0 2 90 3,478 4,013 15,610

2 2 75 0 00 0 69 75 310

198 86 8,006 69 18,132 43 4,207 38,219 30,327 126,020

ท่ีมา : กองยทุ ธศาสตร์และสารสนเทศทอี่ ยอู่ าศยั ฝา่ ยวชิ าการพัฒนาทีอ่ ยอู่ าศยั การเคหะแห่งชาติ ขอ้ มลู ณ 31 มนี าคม 2565

พิจารณาโดยภาพรวมพบว่าจำนวนชุมชนผู้มีรายได้น้อย 198 ชุมชน ประกอบด้วยชุมชนแออัด
86 แห่ง ชุมชนเมือง จำนวน 69 แห่ง และชุมชนชานเมือง จำนวน 43 แห่ง มีบ้านจำนวน 38,219 หลัง
มคี รัวเรอื นจำนวน 30,327 ครวั เรอื น และมีประชากรจำนวน 126,020 คน จงั หวัดทม่ี ีชุมชนผู้มีรายได้น้อยมาก
ที่สุด ได้แก่จังหวัดสงขลา มีจำนวน 49 แห่ง รองลงมาคือ จังหวัดนราธิวาส จำนวน 47 แห่ง จังหวัดพัทลุง
จำนวน จำนวน 45 แห่ง จังหวัดปัตตานี 27 แห่ง จังหวัดยะลา จำนวน 16 แห่ง จังหวัดตรัง จำนวน 12 แห่ง
และจังหวัดสตูล จำนวน 2 แห่ง ตามลำดับ

สำนกั งำนสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 27

2.11 ดา้ นเศรษฐกจิ และรายได้

ผลติ ภณั ฑม์ วลรวม
ตารางที่ 2.14 แสดงการขยายตวั ของผลิตภัณฑ์มวลรวมจงั หวัด

จงั หวดั ปี 2561 อตั ราการขยายตัว GPP (ร้อยละ) (หน่วย:รอ้ ยละ)
ปี 2562
ตรงั -4.28 ปี 2563
นราธวิ าส 0.77 1.77
ปตั ตานี 13.0 -7.6
พัทลุง 6.1 -3.2 -3.38
6.0 1.23 -0.92
ยะลา 10.61 1.86 2.24
สงขลา 4.13 1.2 -2.3
สตลู -2.35 -3.14 4.47
1.41

ทีม่ า : สำนกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ขอ้ มลู ณ 31 มนี าคม 2565

พจิ ารณาโดยภาพรวมพบว่าการขยายตวั ของผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดทีม่ ีการขยายตวั ผลิตภัณฑ์มวลรวม
ส่วนใหญ่ลดลงในทุกๆปี ในปี 2563 จังหวัดนราธิวาสหดตัวมากที่สุด รองลงมาจังหวัดปัตตานี จังหวัดสงขลา
จงั หวดั พทั ลุง จังหวดั ยะลา และจงั หวดั ทมี่ กี ารขยายตัว GPP มากทส่ี ุดไดแ้ ก่ จังหวัดสตูล และจังหวดั ตรัง
ตารางที่ 2.15 แสดงผลติ ภณั ฑ์จังหวดั ตอ่ หวั (GPP per capita) ปี 2563

จังหวัด บาทต่อปี

ตรัง 105,448

นราธวิ าส 55,416

ปัตตานี 75,778

พทั ลงุ 77,516

ยะลา 102,820

สงขลา 140,561
สตลู 111,682

ท่ีมา: ผลิตภัณฑ์ภาคและจงั หวัด แบบปริมาณลูกโซ่ ฉบบั พ.ศ. 2564 สำนักงานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ

พิจารณาโดยภาพรวมพบว่าจังหวัดที่มีศักยภาพสร้างรายได้ หรือมีค่าผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวสูงที่สุด
คือ จังหวัดสงขลา มีค่าเฉลี่ย 140,561 บาทต่อปี รองลงมาคือจังหวัดสตูล มีค่าเฉลี่ย 111,682 บาทต่อปี
จงั หวัดตรงั มีคา่ เฉลี่ย 105,448 บาทตอ่ ปี จงั หวดั ยะลา มีคา่ เฉลยี่ 102,820 บาทต่อปี จงั หวดั พัทลุง มีค่าเฉลี่ย
77,516 บาทต่อปี จงั หวัดปัตตานี มคี า่ เฉลย่ี 75,778 บาทต่อปี และจังหวัดนราธิวาส มีคา่ เฉลย่ี 55,416 บาทต่อปี

สำนกั งำนส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 28

ตารางที่ 2.16 แสดงรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนของกลมุ่ จังหวัด พ.ศ.2560 –2564

(หน่วย:บาท)

จงั หวดั 2560 2562 2564

ตรงั 21,813.89 26,004.22 24,457.23

นราธวิ าส 17,179.61 17,716.50 17,512.02

ปัตตานี 19,495.51 22,903.84 20,691.69

พทั ลงุ 20,508.68 20,084.91 24,084.10

ยะลา 18,018.21 16,588.15 19,181.87

สงขลา 26,702.74 20,781.10 22,691.40

สตลู 22,614.49 22,253.58 23,866.82

ทม่ี า : สำนกั งานสถิติแหง่ ชาติ

พิจารณาโดยภาพรวมแล้วพบว่า จังหวัดที่มีรายแสดงรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือนสูงสุดในปี
2560 และปี 2562 จำนวน 26,702.74 บาท และ 26,004.22 บาท ตามลำดับ ในปี 2564 พบว่าจังหวัดที่มี
รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวมากที่สุดคือจังหวัดตรัง จำนวน 24,457.23 บาท รองลงมาคือ จังหวัดพัทลุง
24,084.10 บาท จังหวัดสตูล 23,866.82 บาท จังหวัดสงขลา 22,691.40 บาท จังหวัดปัตตานี 20,691.69
บาท จงั หวัดยะลา 19,181.87 บาท และจังหวัดนราธิวาส 17,512.02 บาท ตามลำดับ

สำนกั งำนส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วิชำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 29

ตารางที่ 2.17 แสดงหนีส้ ินเฉล่ยี ต่อครวั เรือน จำแนกตามวัตถุประสงค์ของการกยู้ ืม พ.ศ. 2560 – 2564

จงั หวัด วัตถุประสงค์ของการกูย้ ืม (หน่วย:บาท)

2560 2562 2564

หนีส้ นิ ท้งั สิ้น 177,206.64 210,014.98 172,192.47

เพอื่ ใชจ้ า่ ยในครัวเรอื น 104,108.01 107,685.98 78,794.15
เพอื่ ใช้ทำธุรกจิ ท่ีไมใ่ ช่การเกษตร 25,870.97 34,674.43 35,912.22
เพื่อใช้ทำการเกษตร 9,550.41 6,064.12 17,484.04
ตรัง เพ่อื ใชใ้ นการศึกษา 2,940.69 3,544.39 3,453.38

เพือ่ ใช้ซอื้ /เช่าซื้อบ้านและที่ดิน 34,063.47 58,046.05 36,464.75

อน่ื ๆ 673.09 - 83.92

หนสี้ ินทั้งสน้ิ 60,282.75 52,248.94 55,417.06

เพอื่ ใช้จา่ ยในครวั เรอื น 43,709.57 35,043.36 35,032.61

เพอ่ื ใชท้ ำธรุ กิจท่ีไมใ่ ช่การเกษตร 3,803.81 452.32 3,329.85

นราธวิ าส เพ่อื ใชท้ ำการเกษตร 768.46 - 304.32

เพื่อใชใ้ นการศึกษา 114.76 988.88 251.55

เพื่อใชซ้ ื้อ/เช่าซ้ือบ้านและทดี่ ิน 11,886.15 15,764.39 15,893.83

อนื่ ๆ - - 604.90

หนส้ี นิ ทัง้ สน้ิ 137,591.84 197,893.84 130,865.34

เพื่อใช้จา่ ยในครัวเรอื น 73,966.25 71,074.01 65,912.65

เพอ่ื ใชท้ ำธุรกิจท่ีไมใ่ ช่การเกษตร 23,931.46 8,535.30 11,377.51

ปัตตานี เพ่อื ใชท้ ำการเกษตร 971.38 21,305.74 10,380.77

เพอ่ื ใชใ้ นการศึกษา 7,425.23 11,275.40 14,217.45

เพอื่ ใช้ซือ้ /เช่าซื้อบ้านและที่ดิน 28,988.50 83,983.77 27,400.47

อืน่ ๆ 2,309.04 1,719.61 1,576.51

หนี้สนิ ทั้งสิ้น 183,717.82 205,324.05 198,966.73

เพื่อใชจ้ ่ายในครัวเรือน 72,416.77 65,857.30 68,684.14

เพอื่ ใช้ทำธุรกจิ ท่ีไมใ่ ช่การเกษตร 17,084.76 32,840.24 14,378.86

พัทลงุ เพอ่ื ใช้ทำการเกษตร 27,618.83 28,803.48 16,030.41

เพ่ือใชใ้ นการศึกษา 2,675.35 3,452.86 6,562.34

เพอ่ื ใช้ซื้อ/เช่าซื้อบ้านและทีด่ ิน 59,946.84 70,280.26 85,587.38

อืน่ ๆ 3,975.28 4,089.92 7,723.60

สำนกั งำนส่งเสรมิ และสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 30

จงั หวัด วตั ถปุ ระสงค์ของการกู้ยืม 2560 2562 2564

หนสี้ นิ ทง้ั สิ้น 28,437.84 16,894.56 90,557.66

เพื่อใชจ้ า่ ยในครัวเรอื น 14,012.64 8,683.30 32,962.79

เพือ่ ใชท้ ำธรุ กิจท่ีไมใ่ ช่การเกษตร 4,994.31 1,334.70 10,476.13

ยะลา เพื่อใชท้ ำการเกษตร 683.53 237.76 4,354.69

เพ่ือใชใ้ นการศึกษา 3,754.29 2,807.44 2,802.44

เพือ่ ใชซ้ ื้อ/เช่าซ้ือบา้ นและทด่ี ิน 4,993.07 3,743.24 39,961.62

อน่ื ๆ - 88.12 -

หน้สี ินท้งั สิน้ 174,405.21 125,825.89 124,307.19

เพื่อใชจ้ า่ ยในครัวเรือน 70,104.24 37,800.48 55,138.42

เพื่อใช้ทำธรุ กจิ ท่ีไมใ่ ชก่ ารเกษตร 14,539.30 8,228.35 13,497.14

สงขลา เพ่ือใช้ทำการเกษตร 6,715.43 19,969.68 3,249.71

เพอ่ื ใช้ในการศึกษา 5,111.57 554.63 6,705.50

เพอ่ื ใชซ้ ้อื /เชา่ ซื้อบ้านและท่ดี ิน 77,855.40 58,958.68 44,963.98

อืน่ ๆ 79.27 314.07 752.44

หนสี้ ินทั้งส้ิน 166,360.94 177,973.79 204,403.04

เพื่อใชจ้ ่ายในครัวเรือน 53,091.86 70,303.01 88,463.18

เพ่ือใชท้ ำธุรกิจที่ไมใ่ ช่การเกษตร 23,588.33 22,855.28 37,437.88

สตูล เพ่ือใช้ทำการเกษตร 5,623.32 16,785.21 6,609.18

เพือ่ ใชใ้ นการศึกษา 4,093.50 6,449.44 3,378.76

เพอ่ื ใช้ซื้อ/เชา่ ซื้อบา้ นและทีด่ ิน 79,963.94 61,298.22 68,086.87

อน่ื ๆ - 282.63 427.16

ที่มา สำนักงานสถิติแหง่ ชาติ
หมายเหต:ุ หนี้อืน่ ๆ ไดแ้ ก่ หนี้จากการคำ้ ประกนั บุคคลอ่นื หนี้คา่ ปรับหรือจ่ายชดเชยคา่ เสยี หายเปน็ ต้น

พิจารณาเปรียบเทียบข้อมูล 3 ปี ย้อนหลัง หนี้สินต่อครัวเรือนมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นในทุก ๆ
ปี เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรายจังหวัด พบว่า ในปี 2564 จังหวัดสตูล มีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนจำแนกตาม
วัตถุประสงค์ของการกู้ยืมสูงที่สุดในกลุ่มจังหวัด โดยวัตถุประสงค์ของการกู้ยืม 3 อันดับแรก คือ 1.เพื่อการใช้
จ่ายในครวั เรอื น 2.เพ่ือใชซ้ ้อื /เช่าซื้อบา้ นและท่ดี นิ 3.เพื่อใช้ทำธุรกจิ ทีไ่ ม่ใชก่ ารเกษตร

สำนกั งำนสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 31

2.12 ด้านภาคีเครือข่าย

ตารางท่ี 2.18 แสดงจำนวนองค์กรภาคีเครือขา่ ย

(หน่วย : แหง่ )

องค์กร ตรงั นราธวิ าส ปัตตานี พทั ลุง ยะลา สงขลา สตูล รวม
องค์กร 66 37 36 55 12 473 59 738
สาธารณประโยชน์ ตาม
พ.ร.บ. ส่งเสรมิ การจัด
สวสั ดิการสงั คม
องค์กรสวัสดกิ ารชมุ ชน 50 47 18 59 9 211 14 408
ตาม พ.ร.บ. ส่งเสรมิ
การจัดสวัสดิการสังคม
กองทุนสวสั ดิการสงั คม 99 73 105 72 24 140 38 551
สภาเดก็ และเยาวชน 110 102 128 85 72 140 49 686
สภาองคก์ รคนพิการ 1 1 9 9 8 6 1 35
ศูนย์บรกิ ารคนพกิ าร 107 57 20 75 65 137 28 489
ทวั่ ไป
ศูนย์พฒั นาคุณภาพ 22 22 25 28 16 20 17 150
ชีวิต และส่งเสรมิ อาชีพ
ของผ้สู งู อายุ (ศพอส.)
ศูนย์พัฒนาครอบครัว 88 77 116 73 58 140 41 593
ในชุมชน (ศพค.)
ศูนยช์ ว่ ยเหลือสังคม 77 90 121 35 58 132 21 534
ตำบล (ศชส.ต.)

รวม 620 506 578 491 322 1399 268 4,184

ทีม่ า สำนักงานพัฒนาสงั คมและความมนั่ คงของมนุษย์จงั หวัด ขอ้ มูล ณ วันท่ี 31 มีนาคม 2565

พิจารณาโดยภาพรวมพบว่า องค์กรภาคีเครือข่ายในเขตพื้นท่ีประกอบด้วย องค์กรสาธารณประโยชน์
มีจำนวน 738 องค์กร องค์กรสวัสดิการชุมชน จำนวน 408 องค์กร กองทุนสวัสดิการสังคม จำนวน 551
องค์กร สภาเดก็ และเยาวชน จำนวน 686 องคก์ ร ศนู ยบ์ ริการคนพิการท่วั ไป 489 องคก์ ร ศนู ย์พัฒนาคุณภาพ
ชีวติ และส่งเสรมิ อาชีพของผสู้ ูงอายุ (ศพอส.) 150 องค์กร ศูนยพ์ ฒั นาครอบครวั ในชุมชน (ศพค.) 593 องค์กร
ศูนย์ชว่ ยเหลอื สังคมตำบล (ศชส.ต.) 534 องค์กร

สำนกั งำนสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ วชิ ำกำร 11 สงขลำ กระทรวงกำรพฒั นำสงั คมและควำมม่นั คงของมนษุ ย์ 32


Click to View FlipBook Version