The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน (ฉบับสมบูรณ์)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 125 รัชดา มาลัยยะ, 2024-01-26 00:51:31

วิจัยในชั้นเรียน (ฉบับสมบูรณ์)

วิจัยในชั้นเรียน (ฉบับสมบูรณ์)

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พุทธประวัติ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์(Jigsaw) รายงานวิจัยในชั้นเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566 นางสาวรัชดา มาลัยยะ สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา รหัสนักศึกษา 62100107125


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พุทธประวัติ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) รัชดา มาลัยยะ รายงานวิจัยในชั้นเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พุทธประวัติ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์(Jigsaw) ผู้วิจัย รัชดา มาลัยยะ สาขาวิชา พุทธศาสนศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.สอนประจันทร์ เสียงเย็น ครูพี่เลี้ยง สุวรรณี คำเมืองคุณ อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา หัวหน้าสาขาวิชา/ที่ปรึกษาสาขาวิชา (ผศ.ดร. ไกรฤกษ์ศิลาคม ) วันที่23 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน ประธานคณะกรรมการ (ผศ.ดร. ไกรฤกษ์ ศิลาคม ) กรรมการ (ผศ.สอนประจันทร์ เสียงเย็น) กรรมการ (นางสาวสุวรรณี คำเมืองคุณ) กรรมการ (นายชนาวุธ ประทุมชาติ)


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พุทธประวัติ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) ผู้วิจัย รัชดา มาลัยยะ อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ. สอนประจันทร์ เสียงเย็น ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนแบบจิกซอว์ เรื่องพุทธ ประวัติกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน โรงเรียนน้ำ สวยวิทยา อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม การวิจัยแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติ แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจเรื่องพุทธประวัติ แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนตาม แผนการจัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) และสถิติทดสอบ (t) กรณีกลุ่มไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา มีพัฒนาการ การเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิก ซอว์ โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน น้ำสวยวิทยา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียน ต่อการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์อยู่ใน ระดับมากที่สุดโดยรวมอยู่ในระดับมาก คำสำคัญ : พุทธประวัติผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจ


ข กิตติกรรมประกาศ วิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา เล่มนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีเพราะได้รับความกรุณาจาก ผส.สอนประจันทร์ เสียงเย็น ขอขอบคุณผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนน้ำสวยวิทยา นายชนาวุธ ประทุม ชาติครูพี่เลี้ยง นาวสาวสุวรรณี คำเมืองคุณ คณะครูโรงเรียนน้ำสวยวิทยาทุกท่าน ตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จ เรียบร้อยรวมทั้งคณาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของท่านที่ได้ให้ ความอนุเคราะห์แนะนำให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วน ขอขอบคุณคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ของคณะครุ ศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา ที่ได้ให้การอนุเคราะห์ ในด้านเอกสารข้อมูลการให้ความรู้ด้าน การทำวิจัยและให้ความสะดวกในการออกเอกสาร หนังสือราชการต่างๆ ในการดำเนินการวิจัยไว้ ณ โอกาสนี้ นางสาวรัชดา มาลัยยะ วันที่ 23 /สิงหาคม/2566


ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ........................................................................................................ กิตติกรรมประกาศ ......................................................................................................... สารบัญ ........................................................................................................................... บทที่ 1 บทนำ ...................................................................................................................... ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ........................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย ................................................................................. สมมติฐานของการวิจัย ..................................................................................... ขอบเขตของการวิจัย ......................................................................................... นิยามศัพท์เฉพาะ .............................................................................................. ประโยชน์ที่จะได้รับ ......................................................................................... 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ............................................................................... 3 วิธีดำเนินการวิจัย .................................................................................................... กลุ่มเป้าหมาย ................................................................................................... รูปแบบในการทดลอง ...................................................................................... เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................................................................... การเก็บรวบรวมข้อมูล ...................................................................................... การวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................... ก ข ค 1 1 3 4 4 5 6 7 21 21 21 22 25 26


ง สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................................. 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ......................................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย ................................................................................. สมมติฐานของการวิจัย ..................................................................................... วิธีดำเนินการวิจัย .............................................................................................. สรุปผลการวิจัย ................................................................................................. อภิปรายผล ....................................................................................................... ข้อเสนอแนะ ..................................................................................................... เอกสารอ้างอิง ................................................................................................................. ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ รายชื่อผู้ช่วยผู้วิจัย ............................................... ภาคผนวก ข ตารางวิเคราะห์แผนการจัดการเรียนรู้กับเนื้อหาและ แผนการจัดการเรียนรู้ ....................................................................................... ภาคผนวก ค แบบวัด................................................................................................. ภาคผนวก ง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ............................................ ภาคผนวก จ ผลการหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................ ประวัติย่อของผู้วิจัย ............................................................................................................... ภาพประกอบ 29 34 34 34 34 36 36 39 40 42 43 45 66 74 77 79


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา แผนการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2560 – 2579 ได้ตั้งเป้าหมายด้านผู้เรียนไว้ว่าให้มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มี คุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย ทักษะและคุณลักษณะต่อไปนี้การอ่านออก การ เขียนได้ ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ทักษะการเรียนรู้และความมีเมตตา กรุณา มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม (สำนักเลขาธิการสภา การศึกษา, 2560) ซึ่ง สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศกัราช 2551 ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม มาตรฐานการเรียนรู้โดยกำหนดให้ผู้เรียนมีสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ คือความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถใน การใช้เทคโนลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความ เข้าใจว่ามนุษย์ดำรงชีวิตอย่างไรทั้งในด้านปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตาม สภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจถึงการพัฒนา การเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย การ เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา หรือตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้นยอมรับในความแตกต่าง และมีคุณธรรมสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำรงชีวิต เป็นพลเมืองดีของ ประเทศชาติและสังคมโลก นอกจากนี้ยังมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียน สามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจอย่าง รอบคอบในการดำเนินชีวิตและมีส่วนร่วมในสังคมในฐานะ พลเมืองดี ทำให้ผู้เรียนสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่าง มีความสุขโดยพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1) ด้านความรู้ใน เนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด และหลักการสำคัญตาม ขอบเขตที่กำหนดไว้ในแต่ละระดับชั้นในลักษณะบูรณา การ 2) ด้านทักษะกระบวนการ เช่น ทักษะทางวิชาการ ทักษะ ทางสังคม ทักษะทางการสืบสวนสอบสวน ทักษะ การ สื่อสาร ทักษะการแสวงหาความรู้ การสืบค้น เป็นต้น 3) ด้านเจตคติและค่านิยม เกี่ยวกับประชาธิปไตยและ ความเป็นมนุษย์ เช่น รู้จักตนเอง พึ่งตนเอง เห็นคุณค่าของการทำงาน รู้จักคิดวิเคราะห์ รู้จักการทำงานกลุ่ม เป็น ต้น และ 4) ด้านการจัดการและการปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิด ทักษะในการทำงานเป็นกลุ่ม สามารถนำ ความรู้ ทักษะ ค่านิยมและเจตคติที่ได้รับการอบรมมาใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของ ผู้เรียนได้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เรียนตลอด 12 ปี การศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ประกอบมาจากหลาย แขนงวิชา จึงมีลักษณะสหวิทยาการ โดยนำวิทยาการจากแขนงวิชาต่างๆ ในสาขาสังคมศึกษา ศาสนา และ


2 วัฒนธรรม มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ตามขอบเขตที่กำหนดไว้มีเป้าหมายความคาดหวังที่สำคัญ คือ ให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองดีในวิถีชีวิต ประชาธิปไตยภายใต้การปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สาระที่เป็นองค์ความรู้ ของกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ประกอบด้วย 5 สาระ คือ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ และสาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ จัดการเรียน การสอนที่เน้นพัฒนาค่านิยม จริยธรรม มุ่งให้ผู้เรียนรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเหล่านั้นและมีคุณลักษณะ ต่าง ๆ อันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ผู้เรียนจะต้องรู้จักพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดย รู้จักการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์มีวิจารณญาณ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดไตร่ตรอง และมีวิสัยทัศน์สามารถเผชิญ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในชีวิตประจำวันได้ การจัดการเรียนการสอนในวิชาพุทธศาสนาที่อยู่ในสาระที่ 1 ของกลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนา และ วัฒนธรรมนับว่ามีความสำคัญต่อจุดมุ่งของหลักสูตร เพราะเป็นวิชาที่มุ่งเน้นการศึกษาด้านศีลธรรมจริยธรรม อัน เป็นรากฐานสำคัญของการดำเนินชีวิตและอยู่ร่วมในสังคมอย่างปกติสุข การจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมี ความรู้ความเข้าใจจึงต้องอาศัยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพโดยการจัดการเรียนการสอน เกี่ยวกับศาสนา มักเริ่มจากให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ประวัติของศาสดาเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจความเป็นมาของศาสนานั้นๆ แล้วจึงศึกษาหลักคำสอนของศาสนานั้นๆ เป็นลำดับไป การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือจึงน่าจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่จะ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะนำเอาวิธีการเรียนแบบร่วมมือ มาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษาโดยใช้วิธีการจัดกิจกรรมโดยนำเอาแนวคิดเรื่องการต่อภาพ ชิ้นส่วน (Jigsaw) มาใช้ในการจัดกิจกรรมกลุ่มของการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งเรียกกิจกรรมการเรียนการสอนแบบนี้ ว่า “การเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์” แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือด้วยเทคนิค จิกซอว์ (Jigsaw) เป็นวิธีการสอนที่ฝึกให้ผู้เรียนช่วยเหลือพึ่งพากันและกัน แลกเปลี่ยน ปรึกษาหารือ ทำความ เข้าใจเนื้อหาก่อนที่นำความรู้ไปอธิบายให้เพื่อนในกลุ่มฟัง ข้อดีของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ คือ เป็น รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้ยาวนานยิ่งขึ้น การเรียนการ สอนแบบปกติครูจะยืนบรรยายอยู่หน้าห้องและมีผู้เรียนฟังอย่างเงียบๆ ซึ่งผู้เรียนจะไม่ค่อยมีส่วนร่วมในการเรียน แตกต่างจากการเรียนการสอนแบบโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ที่มีจุดเด่นในการเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนในชั้น เรียน ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาสาระจากมุมมองที่แตกต่างกัน เพราะได้อภิปรายร่วมกับคนอื่นๆ (Ninomiya & Pusri, 2015) และจะช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนมีการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังทำให้เกิดความวางใจในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยการทำงาน ร่วมกันเป็นกลุ่ม นั้นถือว่าเป็นสภาพจริงในสังคมเพื่อการเรียนรู้เพื่อสามารถทำงานร่วมกันได้อีกทั้งเป็นการฝึกให้ ผู้เรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเองและกลุ่ม มีหัวใจสำคัญ คือ การพึ่งพาซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นวิธีสอนที่เหมาะสม


3 กับเนื้อหาวิชาสังคมวิทยาตลอดจนพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำมีเจตคติที่ดีทางสังคมเห็นคุณค่าและภาคภูมิใจใน ตนเอง ได้รับความเพลิดเพลินขณะทำกิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ ทำให้ การเรียนรู้เป็นไปได้อย่างกว้างขวาง ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะทำการศึกษาว่าการนําการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์มาใช้ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ ซึ่งจากสภาพปัญหาการเรียนการสอน พุทธประวัติปัญหาที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอนนั้นจะพบทั้งในตัวครูผู้สอนและในตัวผู้เรียน เช่น ผู้สอนใช้การ จัดการเรียนรู้แบบบรรยาย ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายทำให้ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนไม่เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ของหลักสูตร เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายก็มักขาดความกระตือรือร้นและขาดความสนใจในการเรียน ทำ ให้ไม่เข้าใจรายละเอียดของเนื้อหาวิชา ผู้วิจัยจึงสนใจเทคนิคการจัดการ เรียนรู้แบบจิกซอว์ซึ่งเป็นการจัดการเรียน การสอนแบบร่วมมือที่มีการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการคิดและปฏิบัติจะทําให้ ผู้เรียนมีทักษะการทํางานกลุ่มและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น เพื่อจะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาการเรียนรู้วิชา พระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพให้นักเรียน สามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันและเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ วิชาพระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมในระดับที่สูงขึ้นต่อไปได้ในอนาคต คำถามวิจัย 1. การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 หรือไม่ 2. หลังจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวย วิทยาจะดีขึ้นจากก่อนเรียนหรือไม่ 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) หรือไม่ อย่างไร วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) ที่มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80


4 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนแบบจิกซอว์ เรื่องพุทธ ประวัติ สมมติฐานของการวิจัย 1. กิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ มีประสิทธิภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ มีความพึงพอใจในการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา อำเภอ สระใคร จังหวัดหนองคาย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง ทั้งหมด 30 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่ม แบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยการจับสลากใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม 3.ตัวแปร ตัวแปบต้น ได้แก่การจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ ตัวแปรตาม ได้แก่ - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ - ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนแบบจิกซอว์ เรื่อง พุทธ ประวัติ 4.เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจ ประวัติความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง


5 ยึดมั่น และปฏิบัติตามหลักธรรมเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง พุทธประวัติ จำนวน 4 แผน 8 ชั่วโมง 5.ระยะเวลาศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 8 ชั่วโมง ทั้งนี้ไม่รวมเวลาในการทดสอบ 5.1 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีรายละเอียดดังนี้ 1 ประสูติ 2 ตรัสรู้ 3 ประกาศธรรม 4 ปรินิพพาน 6. พื้นที่ที่ใช้ในการวิจัย พื้นที่ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โรงเรียนน้ำสวยวิทยาตำบลสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนอคาย สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย 7. ระเวลาในการวิจัย ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 8 ชั่วโมง ทั้งนี้ไม่ รวมเวลาในการทดสอบ นิยามศัพท์เฉพาะ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่แบ่ง นักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งในการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยแบ่ง กลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 5 คนสมาชิกในกลุ่มมีความสามารถ คละกัน เรียนรู้ร่วมกัน ผู้สอนกำหนดให้แต่ละคนในกลุ่ม ศึกษาเนื้อหาย่อย ๆแตกต่างกัน โดยไปศึกษาร่วมกับ สมาชิก ของกลุ่มหลักอื่น ๆ ที่ได้รับผิดชอบในหัวข้อย่อยเดียวกัน แล้วนำผลการศึกษามาอธิบายให้เพื่อนนักเรียนใน กลุ่มหลัก ของตนฟังนักเรียนทุกคนรับผิดชอบต่อกลุ่มของตนร่วมกัน ประสิทธิภาพารจัดกำรเรียนรู้หมายถึง คุณภาพด้านกระบวนการและผลสัมฤทธิ์ของ การเรียนวิชาสังคม ศึกษา เรื่องพุทธประวัติ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้จิ๊กซอว์ (E1/E2) ตาม เกณฑ์ 80/80 มีความหมายดังนี้ 80 ตัวแรก (E1) หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดที่ได้จากการทำแบบทดสอบย่อย และใบงานท้ายแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พุทธประวัติ ได้คะแนนเฉลี่ยรวมไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 80


6 80 ตัวหลัง (E2) หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พุทธประวัติ ได้คะแนนเฉลี่ยรวมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) หมายถึง กิจกรรมการเรียนการสอนที่แบ่ง นักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกันโดยในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถ แตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งใน ส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความสำเร็จที่ได้จากความสามารถทางร่างกาย หรือสมอง ซึ่งอาจ พิจารณาได้จากคะแนนที่กำหนดให้ หรือคะแนนที่ได้จากงานที่ผู้สอนมอบให้ หรือทั้งสององค์ประกอบที่มี ความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชอบ ประทับใจ พึงพอใจ และสนใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งเป็นผล มาจากกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้บรรยากาศของการจัดการเรียนรู้ และด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการ เรียนรู้ สามารถวัดได้จากแบบสอบถามความพึงพอใจ ประโยชน์ที่จะได้รับ 1.ได้พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิค แบบจิกซอว์มีความพึงพอใจในการเรียนรู้อยู่ระดับมาก


7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ที่ใช้แนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารตำรา งานวิจัยและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มี รายละเอียดดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) 2. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 3. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ 4. การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิกซอว์ 5. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผล 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 7. กรอบแนวคิดในการวิจัย 1.หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) หลักสูตรแกนกลางเป็นหลักสูตรในส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดเพื่อใช้ ในการพัฒนาผู้เรียน ทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรแกนกลางมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง โครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐาน ซึ่งระบุการจัดเวลา เรียนของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และเกณฑ์กลางในการจบหลักสูตร หลักสูตร แกนกลางเป็นกรอบทิศทางในการพัฒนากรอบ หลักสูตรระดับท้องถิ่นและหลักสูตรสถานศึกษา เป็นส่วน จำเป็นสำหรับพัฒนาเยาวชนไทยทุกคนให้เป็นพลเมืองดีของชาติและสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม ความเจริญทาง วิทยาการในโลกยุคปัจจุบัน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการ พัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนด จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถณะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร หมายถึง ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและ สังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสาร ด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่ มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด หมายถึง รู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอย่างมี วิจารณญาณ และคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับ ตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม


8 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา หมายถึง เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐานของหลักเหตุผลคุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต หมายถึง ใช้กระบวนการต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เรียนรู้ด้วยตนเองต่อเนื่อง ทำงานและอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล จัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆอย่างเหมาะสม รู้จักปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม สภาพแวดล้อม และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีหมายถึง รู้จักเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ทักษะ กระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม นอกจากนี้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานยังมุ่งพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข คุณภาพของผู้เรียนด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม โดยพิจารณา จาก สภาพปัญหาของสังคม และการเปลี่ยนแปลง ของโลกในยุคปัจจุบัน ซึ่งทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องเน้น และปลูกฝังลักษณะดังกล่าวให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทั้งด้าน สติปัญญา และ คุณธรรม อันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคง สงบสุขในสังคมโดยรวม หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ ได้แก่ 1. รักชาติศาสน์กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพ ในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตน ตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกําลังกาย


9 4. มีความรักชาติ มีจิตสํานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสํานึกในการอนุรักษาวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิต สาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข การพัฒนาผู้เรียนใหเกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกําหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ภาษาไทย 2. คณิตศาสตร์ 3. วิทยาศาสตร์ 4. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5. สุขศึกษาและพลศึกษา 6. ศิลปะ 7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8. ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนา คุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่พึง ประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน พัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และ ประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา โดยใช้ระบบการ ประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และ การทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัด การศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนดเพียงใด 2. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ การดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เข้าใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตามเหตุปัจจัย ต่างๆ เกิดความเข้าใจในตนเอง และผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับในความ แตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดาเนินชีวิต เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่มีความเชื่อม สัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับบริบท สภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม โดยได้กำหนดสาระต่างๆ ไว้ ดังนี้


10 1.ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนาหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการอยู่ ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดีมีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบาเพ็ญประโยชน์ต่อ สังคมและส่วนรวม 2. หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองในสังคม ปัจจุบันการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและความสำคัญ การเป็นพลเมือง ดีความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิหน้าที่ เสรีภาพการดาเนินชีวิตอย่างสันติสุข ในสังคมไทยและสังคมโลก 3. เศรษฐศาสตร์การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหาร จัดการ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนาหลัก เศรษฐกิจ พอเพียงไปใช้ในชีวิตประจาวัน 4. ประวัติศาสตร์เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์วิธีการทางประวัติศาสตร์พัฒนาการของ มนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ผลกระทบที่เกิดจาก เหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆในอดีต ความเป็นมาของ ชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่สำคัญของโลก 5. ภูมิศาสตร์ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร และ ภูมิอากาศ ของประเทศไทย และภูมิภาคต่างๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวัติความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาที่ ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดีและธำรงรักษา พระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินชีวิตในสังคม มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดีมีค่านิยมที่ดีงาม และธำรง รักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และสังคมโลกอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธำรงรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค การใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่จากัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการ ดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ


11 มาตรฐาน ส 3.2 เข้าใจระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และความ จำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สามารถใช้ วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้านความสัมพันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญและสามารถ วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจ และธำรงความเป็นไทย สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง ซึ่งมีผลต่อกันใช้ แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์และสรุปข้อมูล ตามกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนใช้ภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิดการ สร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสานึกและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน คุณภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 1. มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง ตลอดจนสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ที่อยู่อาศัย และ เชื่อมโยงประสบการณ์ไปสู่โลกกว้าง 2. มีทักษะกระบวนการ และมีข้อมูลที่จำเป็นต่อการพัฒนาให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ประพฤติ ปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ มีความเป็นพลเมืองดีมีความรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันและการ ทำงานกับผู้อื่น มีส่วนร่วมในกิจกรรมของห้องเรียน และได้ฝึกหัดในการตัดสินใจ 3. มีความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชนในลักษณะการบูรณาการ ผู้เรียน ได้เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับปัจจุบันและอดีต มีความรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจ ได้ข้อคิดเกี่ยวกับรายรับรายจ่ายของ ครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค รู้จักการออมขั้นต้นและวิธีการเศรษฐกิจพอเพียง 4. รู้และเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เพื่อเป็นพื้นฐานในการทาความเข้าใจในขั้นที่สูงต่อไป จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 1. มีความรู้เรื่องของจังหวัด ภาค และประทศของตนเอง ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ลักษณะทางกายภาพ สังคมประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งการเมืองการปกครอง และสภาพเศรษฐกิจโดยเน้นความเป็นประเทศไทย


12 2. มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตามหลักธรรมคำสอนของ ศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนพิธีและพิธีกรรมทางศาสนามากยิ่งขึ้น 3. ปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีของท้องถิ่น จังหวัด ภาค และ ประเทศ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเองมาก ยิ่งขึ้น 4. สามารถเปรียบเทียบเรื่องราวของจังหวัดและภาคต่างๆของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เพื่อขยายประสบการณ์ไปสู่การทาความเข้าใจในภูมิภาค ซีกโลกตะวันออกและ ตะวันตกเกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม การ ดำเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากอดีตสู่ปัจจุบัน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1. มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษาประเทศไทยเปรียบเทียบกับประเทศใน ภูมิภาคต่างๆในโลกเพื่อพัฒนาแนวคิดเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข 2. มีทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นนักคิดอย่างมีวิจารณญาณได้รับการพัฒนาแนวคิด และขยาย ประสบการณ์เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก ได้แก่ เอเชีย ออสเตรเลีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ในด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์และ ภูมิศาสตร์ด้วยวิธีการทาง ประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์ 3. รู้และเข้าใจแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคต สามารถนามาใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนิน ชีวิตและวางแผนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1. มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น 2. เป็นพลเมืองที่ดีมีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้ง มีค่านิยม อันพึงประสงค์สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมทั้งมีศักยภาพเพื่อการศึกษาต่อ ในชั้นสูงตามความประสงค์ได้ 3. มีความรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ของชาติไทย ยึดมั่นในวิถี ชีวิต และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4. มีนิสัยที่ดีในการบริโภค เลือกและตัดสินใจบริโภคได้อย่างเหมาะสม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมใน การอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไทย และสิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถิ่นและประเทศชาติมุ่งทำประโยชน์และ สร้างสิ่งที่ดีงามให้กับสังคม 5. มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ชี้นำตนเองได้และสามารถแสวงหาความรู้ จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆในสังคมได้ตลอดชีวิต ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่างๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์


13 ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การนำเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 3. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ วัฒนาพร ระงับทุกข์ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ว่าเป็น วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อม ทางการเรียนให้ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกัน เป็นกลุ่ม เล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกัน โดยแต่ละคนมีส่วนร่วมอย่าง แท้จริงในการเรียนรู้และความสำเร็จของ กลุ่มความสำเร็จของแต่ละบุคคลถือเป็นความสำเร็จของกลุ่ม ทิศนา แขมมณี, ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ได้ให้ แนวคิดว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือหรือแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถต่างกัน ได้ร่วมกันทำงานกลุ่มด้วยความตั้งใจและความเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่ม ของตน ทำให้งานของกลุ่มดำเนินไปสู่เป้าหมายของงานได้ เป็นการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโยมีสมาชิกกลุ่มที่มี ความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3-6 คน ช่วยกันเรียนรู้ เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์, พัฒนาการเรียนการสอน ให้ความหมายว่าการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย สมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน โดยแต่ละคนมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้และใน ความสำเร็จของ กลุ่มอย่างแท้จริง ทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปัน ทรัพยากรการเรียนรู้ ตลอดจนการเป็น ก าลังใจซึ่งกันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนที่เรียน อ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่ เพียงแต่รับผิดชอบ ต่อการเรียนรู้ของตนเองเท่านั้น แต่จะต้องรับผิดชอบ ต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกใน กลุ่ม ความสำเร็จ ของกลุ่มด้วย อาภรณ์ ใจเที่ยง ได้ให้ความหมายว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หรือแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกันได้ ร่วมมือกันทำงานกลุ่มด้วย ความตั้งใจและ เต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ทำให้งานของกลุ่มดำเนินไปสู่เป้าหมายของงานได้ ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจจึงมีลักษณะดังนี้ 1. มีการทำงานร่วมกันมีปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่ม 2. สมาชิกภายในกลุ่มมีจำนวนไม่ควรเกิน 6 คน 3. สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือกัน 4. สมาชิกในกลุ่มมีบทบาทรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเช่น 4.1 เป็นผู้นำกลุ่ม 4.2 เป็นผู้อธิบาย 4.3 เป็นผู้จดบันทึก 4.4 เป็นผู้ตรวจสอบ 4.5 เป็นผู้สังเกตการณ์


14 4.6 เป็นผู้ให้กำลังใจ 5. สมาชิกในกลุ่มมีความรับผิดชอบร่วมกันยึดหลักว่า “ความสำเร็จของแต่ละคนคือ ความสำเร็จของ กลุ่ม ความสำเร็จของกลุ่ม คือ ความสำเร็จของทุกคน” สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative and Collaborative Learning) เป็นวิธีการ จัดการ เรียนการสอนรูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถที่ แตกต่างกัน เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแต่ละคน สนับสนุนให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จน บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้นอกจากนี้การเรียนรู้แบบร่วมมือยังเป็นการส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ หรือทีมตามระบอบประชาธิปไตย เป็นการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ สามารถปรับตัวให้อยู่กับผู้อื่นได้อย่าง มีความสุข 4. การจัดเรียนรู้รูปแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิคจิกซอว์ วิธีสอนแบบจิ๊กซอร์ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบหนึ่ง มี วิธีการหลัก ๆ ได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้ รางวัล เพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งใช้หลักการ เรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการ และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรง ไปในทิศทางเดียวกัน คือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัยการร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะ อยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระ และวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการสำคัญ ทิศนา แขมมณีได้กล่าวถึงกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ ดังนี้ 1. จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คนและเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้าน ของเรา (Home Group) 2. สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ 1 ส่วน (เปรียบเสมือนได้ ชิ้นส่วนของภาพตัดต่อคนละ 1 ชิ้น) และหาคำตอบในประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้ 3. สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอื่นซึ่งได้รับเนื้อหาเดียวกัน ตั้งเป็นกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญ (expert group) ขึ้นมา และร่วมกันทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระนั้นอย่างละเอียด และร่วมกัน อภิปรายหาคำตอบประเด็นที่ผู้สอนมอบหมายให้ 4. สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับไปสู่กลุ่มบ้านของเรา แต่ละกลุ่มช่วยสอนเพื่อนในกลุ่ม ให้เข้าใจสาระ ที่ตนได้ศึกษาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้ สมาชิกทุกคนก็จะได้เรียนรู้ภาพรวมของสาระทั้งหมด 5. ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบ แต่ละคนจะได้คะแนนเป็นรายบุคคล และนำคะแนนของทุกคนใน กลุ่มบ้านของเรามารวมกัน (หรือหาค่าเฉลี่ย) เป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดได้รับรางวัล คลาค (อารุณี บุญยืน 2547 : 18 ; อ้างอิงมาจาก Clark, 1994 : Web Site) ได้นำเสนอการสอน แบบจิกซอว์เป็นขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 แนะนำหัวข้อทั้งหมดให้กับผู้เรียน


15 ขั้นที่ 2 สำรวจนักเรียนรวมกลุ่มๆละ 4 คนนักเรียนแต่ละคนแยกไปกลุ่มย่อยตามกลุ่มที่ตนรับผิดชอบ ศึกษาตามหัวข้อที่กำหนด ขั้นที่ 3 นักเรียนกลับไปสู่กลุ่มเดิมและนำข้อมูลที่ได้จากกลุ่มย่อยมารายงานในกลุ่ม ขั้นที่ 4 การรวบรวมและประเมินผลสมาชิกแต่ละคนนำข้อมูลที่ได้มาน าเสนอกลุ่มจน ครบและ ทดสอบข้อมูลความรู้ของกลุ่ม อรอนสัน การสอนแบบจิกซอว์ ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีอิสระและได้นำเสนอพื้นฐานของจิกซอว์ คือ การแยก ปัญหาเป็นหมวดหรือหัวข้อสำหรับสมาชิก 1 กลุ่มนักเรียนแต่ละคนได้รับวิธีการ แตกต่างกัน เพื่อ แก้ปัญหาให้สมบูรณ์นักเรียนที่มีจะข้อมูลเหมือนกันก็จะรวมกันเดียวกันการรวมกลุ่ม ด้วยกันเพื่อให้ผู้เรียนได้ ศึกษาจุดมุ่งหมาย ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ ได้กล่าวถึงแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบต่อภาพไว้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. แนะนำการเรียนแบบต่อภาพ ด้วยการบอกชั้นเรียนแบ่งออกเป็นกี่กลุ่ม กลุ่มละ กี่คน สมาชิกแต่ละ คนต้องรับผิดชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับหัวข้อที่กลุ่มได้รับให้มากที่สุด แต่ละกลุ่มเป็น ผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นมี หน้าที่สอนกลุ่มอื่นด้วยทุกคน จะได้รบเกรดเป็นรายบุคคล และเป็นกลุ่ม 2. แบ่งกลุ่มให้คละกันแล้วจัดตั้งชื่อกลุ่ม เขียนชื่อกลุ่ม และสมาชิกบนป้ายนิเทศ ผู้สอน แจ้งกฎเกณฑ์ ที่ต้องปฏิบัติระหว่างการประชุมกลุ่ม เช่น 2.1 ห้ามคนใดออกจากกลุ่มก่อนที่จะเสร็จงานกลุ่ม 2.2 แต่ละคนในกลุ่มต้องรับผิดชอบที่จะให้สมาชิกทุกคนเข้าใจและทำงานให้เสร็จ สมบูรณ์ 2.3 ถ้าผู้เรียนคนใดไม่เข้าใจเรื่องใด ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม ก่อนที่ จะถามผู้สอน 3. สร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้สอนแจกเอกสารหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งภายในบรรจุด้วยเนื้อหา และคำถาม สมาชิกใน แต่คนในกลุ่มจะได้รับเอกสารหัวข้อไม่ซ้ำกัน เช่น กลุ่มหนึ่งมี 4 คน แต่ละ คนจะได้รับคนละหัวข้อ ถ้ามีกลุ่ม 6 กลุ่ม ผู้สอนต้องเตรียมเอกสาร 6 ชุด ผู้เรียนที่ได้รับหัวข้อ เดียวกันจะศึกษา เรื่องนั้นด้วยกัน เมื่อทุกคนเข้าใจ แล้วก็เตรียมวางแผนการสอนเพื่อกลับไปสอนเพื่อน สมาชิกในกลุ่มเดิม ของตน 4. ผู้เชี่ยวชาญสอนเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนผลัดเปลี่ยนกันสอนเรื่องที่ไปศึกษาตรวจสอบ ความเข้าใจและช่วยเหลือ เพื่อนสมาชิกในการเรียน 5. ประเมินผลและให้คะแนนแต่ละคน ผู้สอนทำการทดสอบเพื่อดูว่าต้องสอนเพิ่มเติม หรือไม่ให้เกรดและคิด คะแนนกลุ่ม 5. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผล ความหมายของการวัดผล (Measurement) กรอนลันด์ (Gronlund) อธิบายว่า การวัดผลอยู่ในขบวนการประเมินผล หมายถึง การ ประเมินผล ถ้าเขียนเป็นสมการย่อมได้เท่ากับการวัดผลซึ่งเป็นการให้รายละเอียดเป็นปริมาณรวม กับ คุณค่าของการ ตัดสินใจ การประเมินผล = การวัดผล + การตัดสินใจ


16 สุนันท์ ศลโกสุม กล่าวว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการในการน าสิ่งเร้าเข้าไปเร้า คุณลักษณะที่ ต้องการวัดเป็นการท าให้ผู้ถูกเร้าได้แสดงปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมโต้ตอบ ตามคุณลักษณะ นั้นๆ ออกมาเป็น สิ่งที่สังเกตได้และวัดได้ เป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่แทนคุณภาพ หรือปริมาณ ของ พฤติกรรมที่แสดงออกมา นั้น สมบรูณ์ ตันยะ กล่าวว่า การวัดผลการศึกษา หมายถึง กระบวนการในการกำหนดหรือ หาจำนวน ปริมาณ อันดับ หรือรายละเอียดของคุณลักษณะหรือพฤติกรรมความสามารถของบุคคล โดยใช้เครื่องมือเป็น หลักในการวัดกระบวนการดังกล่าวจะทำให้ได้ตัวเลขหรือข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ที่ใช้แทน จำนวนและ สัญลักษณ์ที่เกิดขึ้น ความหมายของการประเมินผล (Evaluation or Assessment) ราตรี นันทสุคนธ์กล่าวว่า การประเมิน หมายถึง กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล อย่างมีระบบ เพื่อน าผลมาใช้ในการวินิจฉัย ตัดสินในคุณค่าโดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด พิชิต ฤทธิ์จรูญ กล่าวว่า การประเมินผล หมายถึงการตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของผลที่ได้จากการ วัดโดยเปรียบเทียบกับผลการวัดอื่นๆ หรือเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ทิวัตถ์ มณีโชติกล่าวว่า การประเมินเป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการวัด คือ นำตัวเลขหรือ สัญลักษณ์ที่ได้จากการวัด มาตีค่าอย่างมีเหตุผล โดยเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ เช่น โรงเรียน กำหนดคะแนนที่น่าพอใจของวิชาคณิตศาสตร์ไว้ที่ร้อยละ 60 นักเรียนที่สอบได้คะแนนตั้งแต่ ร้อยละ 60 ขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ที่น่าพอใจ หรืออาจกำหนดเกณฑ์ไว้หลายระดับ เช่นได้คะแนนไม่ถึง ร้อยละ 40 อยู่ในเกณฑ์ที่ ควรปรับปรุงได้คะแนนร้อยละ 40-59 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้คะแนนร้อยละ 60-79 อยู่ในเกณฑ์ดี และได้คะแนน ร้อยละ 80 ขึ้นไป อยู่ในเกณฑ์ดีมาก เป็นต้น ลักษณะ เช่นนี้ เรียกว่า เป็นการประเมิน การประเมินผลมีความหมายเช่นเดียวกับการประเมิน แต่เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องจากการวัดผล สำหรับภาษาอังกฤษมีหลายคำ ที่ใช้มากมี 2 คำ คือ Evaluation และ Assessment 2 คำนี้มีความหมาย ต่างกัน คือ Evaluation เป็นการประเมินตัดสิน มีการก าหนดกฎเกณฑ์ชัดเจน (Absolute Criteria) เช่น ได้ คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป ตัดสินว่าอยู่ระดับดี ได้คะแนนร้อยละ 60-79 ตัดสินว่าอยู่ในระดับ พอใช้ได้คะแนน ไม่ถึงร้อยละ 60 ตัดสินว่าอยู่ในระดับที่ควรปรับปรุง Evaluation จะใช้กับ การประเมินงานทั่ว ๆ ไป เช่นการ ประเมินโครงการ (Project Evaluation) การประเมินหลักสูตร (Curriculum Evaluation) Assessment เป็นการประเมินเชิงเปรียบเทียบ โดยใช้เกณฑ์เชิงสัมพันธ์ (Relative Criteria) เช่น เทียบกับผลการประเมินครั้งก่อน เทียบกับเพื่อน หรือกลุ่มใกล้เคียง Assessment มักใช้กับการประเมินผล สัมฤทธิ์ เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หรือใช้ในการประเมินตนเอง (Self Assessment) สรุปได้ว่า การประเมิน หมายถึง การรวมรวบกระบวนการเรียนรู้เพื่อเปรียบเทียบ กับมาตรฐานที่ กำหนดไว้ อย่างเป็นระบบและตามวัตถุประสงค์ พิจารณาตัดสินใจว่าสิ่งนั้น เก่งหรืออ่อน ได้หรือตก เพื่อตัดสิน และลงข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการประเมิน


17 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วรรณภา ภูแข่งหมอก ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติ โดยใช้ เทคนิคแบบจิกซอว์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรม การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องพุทธ ประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ และ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อ กิจกรรมการเรียนแบบจิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติ โดยศึกษาจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบึง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ เทคนิคแบบจิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติ (2) แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจเรื่องพุทธประวัติ (3) แบบสังเกต พฤติกรรมการทำงานกลุ่มของผู้เรียน และ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนตามแผนการ จัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติ ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้าน บึง มีพัฒนาการการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของ เรื่องพุทธประวัติ โดย ใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบึง มีผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้น ร้อยละ 87.50 3. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ด้วยวิธีการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบึง มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์อยู่ในระดับมากที่สุด โดยพบว่า ผลรวมของระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ณัฏฐ์วัฒน์ อนันตะสุข ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 ที่ มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาประวัติศาสตร์ และความสามารถในการทำงานร่วมกันของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาจำนวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 2. เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 3. เปรียบเทียบความสามารถในการทำงานร่วมกัน ก่อน และหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนหนองกรดพิทยาคม อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 36 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 จำนวน 12 ชั่วโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ประวัติศาสตร์ จำนวน 20 ข้อ ซึ่งมีค่าความเที่ยง .89 และแบบประเมินความสามารถในการทำงานร่วมกัน จำนวน 21 ข้อ ซึ่งมีค่าความเที่ยง .65 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าไค-สแควร์ และการทดทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างเป็นอิสระต่อกัน


18 ผลการวิจัยพบว่า 1. จำนวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ หลังเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 มีความสามารถในการทำงานร่วมกันหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ศิรินภา น้อยสว่าง ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊ก ซอว์เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4”, ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขา วิฃาหลักสูตรและการสอน, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 2556), บทคัดย่อ. โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่องวันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. ศึกษาดัชนี ประสิทธิผลการเรียนรู้3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน และ 4. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย การพัฒนาการ เรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 27 คน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสารคาม ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย ได้แก่1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน 3. แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของ แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.54/86.76 ดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.7791 หรือร้อยละ 77.91 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นักเรียนมี ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยวิธีการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ในภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก อัษฎายุธ พุทโธ ได้ทำการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถ ด้านการ คิดวิเคราะห์ เรื่อง การหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6”. ครุศาสตรมหา บัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2559). โดยการใช้ การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ ประกอบผังความคิดโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ ประกอบผังความคิด เรื่อง การหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพ (E1/E2) ก าหนด เกณฑ์ 80/80 2. ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการ เรียนรู้ของนักเรียน 3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 4. ศึกษา ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน 5. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน


19 กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษา ปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองคูขาด อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม พีรวัฒน์ แสงเขียว ได้ทำการวิจัย เรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง เหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์สากลที่มีผลต่อโลกปัจจุบัน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5”, ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขา หลักสูตรและการสอน, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2559). โดยใช้ชุดการเรียน ประกอบกับสื่อประสม และเทคนิคจิ๊กซอว์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่อง เหตุกา รณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์สากลที่มีผลต่อโดลกปัจจุบันระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้ชุดการเรียน ประกอบกับสื่อประสม และเทคนิคจิ๊กซอว์ ที่มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 80/80 ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผล การเรียนรู้ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลัง เรียน และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/8 จำนวน 38 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งกลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการสุ่มแบบ กลุ่ม เครื่องมือวิจัยประกอบไปด้วย . แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 13 แผน 2. ชุดการเรียนจำนวน 3 ชุด 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียนจำนวน 18 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่า (t-test) อุมาพร บัวศรีได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิกซอว์2 ร่วมกับบทอ่านจากสื่อออนไลน์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5”, ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๑), บทคัดย่อ. โดยมีวัตถุประสงค์คือ 1.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 ร่วมกับบทอ่าน จากสื่อออนไลน์และ 2.เพื่อศึกษาความคิดเห็นของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนนวลนรดิศ วิทยาคม รัชมังคลาภิเษก เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 1 ห้องเรียน ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 มีนักเรียนจำนวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่าง อย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ระยะเวลา ในการทดลอง 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 คาบ คาบละ 50 นาทีรวม 8 คาบ โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 2 คาบ รวม 10 คาบ เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1.แผนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิคจิกซอว์2 ร่วมกับบทอ่านจากสื่อ ออนไลน์จำนวน 8 แผน 2.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่าน คิดวิเคราะห์ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิกซอว์ 2 ร่วมกับบทอ่านจาก สื่อออนไลน์ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ 3. แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิคจิกซอว์ 2 ร่วมกับบทอ่านจากสื่อ ออนไลน์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ค่าทดสอบทีแบบไม่ เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent) ผลการศึกษาพบว่า 1. คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์การอ่านคิด วิเคราะห์


20 การจัดการเรียนรู้ตามแผนกาจัดการ เรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ ผลการใช้แผนการเรียนรู้ โดยใช้ เทคนิค แบบจิกซอว์ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติ ได้แก่ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พุทธ ประวัติ 2. ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการ เรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบ จิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติ บทอ่านจากสื่อออนไลน์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิก ซอว์2 สูงกว่าก่อนการจัดการ เรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 7. กรอบแนวคิดในการวิจัย กรอบแนวคิดในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้กรอบแนวคิดการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิกซอว์ โดยมีตัว แปรต้นได้แก่ การจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิกซอว์ และตัวแปรตามได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจของผู้เรียน ที่ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิกซอว์ ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย


21 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์1.เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) ที่ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์3.เพื่อศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนแบบจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 30 คน รูปแบบในการทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) T1 X T2 T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest)


22 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติโดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 แผน 8 ชั่วโมง 1.2 แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจ เรื่องพุทธประวัติเป็นแบบทดสอบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 1.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยสังเกตและบันทึกตามกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1.4 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติ แบบประเมินนี้แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ได้รับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ ตอนที่ 2 ข้อเสนอแนะที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เกณฑ์การประเมิน มีดังนี้ ให้ 5 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด ให้ 4 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจมาก ให้ 3 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง ให้ 2 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย ให้ 1 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด 2. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1แผนการจัดการเรียนรู้ การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 แผน มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ และเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์ (Jigsaw) การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ และ จุดมุ่งหมายของการพัฒนาผู้เรียน


23 2.1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับ หลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และศึกษาคู่มือการเขียนแผนการสอนที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ ระดับชั้นมัธยมศึกษา แนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เป็น รูปธรรม (ชัยฤทธิ์ ศิลาเดช. 2545 : 65-73) 2.1.3 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระ การเรียนรู้ กำหนดเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ เรื่อง ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.1.4 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 4 แผน โดยแต่ละแผนจะประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เกณฑ์การวัดและประเมินผล กิจกรรมข้อเสนอแนะ และบันทึกหลังการสอนในแต่ละแผน ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ประสูติ จำนวน 2 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ตรัสรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 ประกาศธรรม จำนวน 2 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 ปรินิพพาน จำนวน 2 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้(รายชั่วโมง) สาระการ เรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 2.1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่สร้างขึ้นเสนอ ต่อหัวหน้ากลุ่มสาระที่ปรึกษาแล้วนำเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัด และประเมินผล เพื่อความคุณภาพของแผนและปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำ โดยมีเกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพ เครื่องมือ คะแนน +1 หมายถึง ใช้ได้ คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ คะแนน -1 หมายถึง แก้ไข เกณฑ์การแปลความหมายค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา มีดังนี้ คะแนน IOC ตั้งแต่ 0.50 – 1.00 หมายถึง มีค่าคุณภาพใช้ได้ คะแนน IOC ตั้งแต่ 0.00 – 0.49 หมายถึง ต้องปรับปรุง 2.1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตาม ข้อเสนอแนะ


24 2.1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่จัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ไปใช้ กับกลุ่มเป้าหมาย 2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลือก ใน การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง ตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 2.3.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู คู่มือวัดและประเมินผลวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 1 การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเอกสารที่เกี่ยวข้องเทคนิค การเขียนข้อสอบ การสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 2.3.1 วิเคราะห์เนื้อหา เรื่อง พุทธประวัติเพื่อแบ่งเนื้อหาออกเป็นเนื้อหาย่อย ๆ แล้วเขียน จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ ตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร 2.3.4 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อหัวหน้ากลุ่มสาระ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม และให้ข้อเสนอแนะในด้านความเหมาะสมของเนื้อหากับจุดประสงค์การเรียนรู้แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะ 2.3.5 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายต่อไป


25 การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยที่มีแบบแผนการวิจัยเชิงทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2538: 248-249) มีลักษณะการทดลองดังภาพที่ 2 กลุ่ม ทดสอบก่อนเรียน ทดลอง ทดสอบหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง O1 X O2 เมื่อ O1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) O2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) X แทน การกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธ ประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาพที่ 2 รูปแบบการทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. เตรียมนักเรียนก่อนดำเนินการสอน โดยแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้นักเรียนมี ความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอนการเรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 2. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3. ดำเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ เรื่อง พุทธ ประวัติกับนักเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 4 แผน ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 4. ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้แบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนการทดลอง โดยใช้ เวลา 1 ชั่วโมง 5. สอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนโดยใช้แบบสอบถามในการประเมิน


26 6. นำข้อมูลทั้งหมดไปวิเคราะห์หาค่าทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. นำคะแนนระหว่างเรียน และคะแนนหลังเรียนมาวิเคราะห์ เพื่อหาประสิทธิภาพของกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้มาตรฐาน E1/E2 ตามเกณฑ์ 80/80 2. นำคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนหลังจากที่ได้รับกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบเทคนิคจิกซอว์ โดยใช้ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของผู้เรียนวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบ จิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้เกณฑ์ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.50-5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.50-4.49 หมายถึง เหมาะสมมาก ค่าเฉลี่ย 2.50-3.49 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.50-2.49 หมายถึง เหมาะสมน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.49 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด 5. นำผลการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้ใช้รูปแบบเทคนิคจิกซอว์ เรื่อง พุทะประวัติ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 มาทำการวิเคราะห์โดยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ด้วยเกณฑ์ ดังนี้ (บุญชม ศรี สะอาด. 2553 : 103) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1.1 ร้อยละ มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 211) f N p = x 100 เมื่อ p แทน ร้อยละ f แทน ความถี่หรือจำนวนข้อมูลที่ต้องการหาร้อยละ n แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด


27 1.2 ค่าเฉลี่ย ( X ) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 213) X X = n เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง X แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 225) n X - X ( ) S = n(n - ) 2 2 1 เมื่อ S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน ข้อมูลแต่ละค่าของกลุ่มตัวอย่าง X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน ตามเกณฑ์ 75/75 วิเคราะห์โดยใช้สูตร E1/E2 ดังนี้ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์. 2556 : 10) X N E = × A 1 100 F N E = × B 2 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ X แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัดปฏิบัติ กิจกรรมหรืองานที่ทำ ระหว่างเรียน F แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน


28 A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกปฏิบัติทุกชิ้นรวมกัน B แทน คะแนนเต็มของการประเมินสุดท้าย (การสอบหลังเรียน) N แทน จำนวนผู้เรียน 3. สถิติที่ใช้ในการการทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบความสามารถในการอยู่ร่วมกันก่อนเรียน (Pre-test) กับหลังเรียน (Post-test) ของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) มีสูตรในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 244) D t = n D - ( D ) n - 2 2 1 , df = n - 1 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตเพื่อทราบ ความมีนัยสำคัญ D แทน ผลต่างระหว่างคู่คะแนน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่างหรือจำนวนคู่คะแนน เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบความสามารถในการอยู่ร่วมกันหลังเรียน (Post-test) ของกลุ่ม ตัวอย่างกับเกณฑ์ที่กำหนด โดยใช้ t-test แบบกลุ่มเดียวเปรียบเทียบกับเกณฑ์ (One Samples t-test) มีสูตร ในการคำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 237-238) X - t = S n μ , df = n - 1 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต เพื่อทราบ ความมีนัยสำคัญ X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง μ แทน ค่าเฉลี่ยของประชากรหรือค่าคงที่ที่คาดหวัง S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง


29 บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การศึกษาเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิก ซอว์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา” มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบ จิกซอว์(3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนแบบจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังต่อไปนี้ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการแปลความหมายและการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลได้ถูกต้อง ผู้วิจัยได้ กำหนดความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ X แทน ค่าเฉลี่ย n แทน จำนวนนักเรียน S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ t แทน ค่าสถิติทดสอบที่ใช้เปรียบเทียบค่าวิกฤตเพื่อทราบความมีนัยสำคัญ ลำดับขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยแบ่งเป็นขั้นตอน ดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยาตามเกณฑ์ 80/80


30 2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการจัดการเรียนรู้กับหลังการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยาตามเกณฑ์ 3. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยาที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติ ผลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้ เทคนิคแบบจิกซอว์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยาได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดย ใช้เทคนิคจิ๊กซอว์เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยนำคะแนนระหว่างเรียนและคะแนน หลังเรียนมาวิเคราะห์ ปรากฏผลดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ผลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 คะแนน คะแนนเต็ม X S.D. ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย - ระหว่างเรียน (E1 ) - หลังเรียน (E2 ) 100 30 80.53 24.91 5.85 1.26 80.53 83.11 จากตารางที่ 3 พบว่าคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนมีค่าเท่ากับ 80.53 คิดเป็นร้อยละ 80.53 และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 24.91 คิดเป็นร้อยละ 83.11 ซึ่งแสดงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จัดการ เรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.53/83.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้80/80 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติโดยใช้เทคนิคจิกซอว์


31 ผู้วิจัยได้วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดย ใช้เทคนิคจิ๊กซอว์เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยนำคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียนมาวิเคราะห์ปรากฏผลดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการจัดการเรียนรู้กับหลังการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน การทดสอบ n X S.D. t p ก่อนเรียน 30 22.47 1.45 7.61** .000 หลังเรียน 30 24.91 1.26 ** มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 4 พบว่าการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการ เรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยามีคะแนน เฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 22.47 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 24.91 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย โดยใช้สถิติ t พบว่า ค่าสถิติ t เท่ากับ 7.61 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่า นักเรียนที่ได้รับการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตาม สมมุติฐานที่ตั้งไว้ ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยาที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติโดยนำผลการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจในการ เรียนรู้ของนักเรียนมาทำการวิเคราะห์ ปรากฏผลดังตารางที่ 5


32 ตารางที่ 5 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความพึงพอใจในการเรียนรู้ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา ข้อที่ รายการประเมิน ระดับความพึงพอใจ X S.D. ความพึงพอใจ ด้านเนื้อหา 1 พึงพอใจต่อเนื้อหาที่ได้เรียนรู้ 4.40 0.54 มาก 2 เนื้อหามีความเหมาะสม เข้าใจง่าย 4.00 1.41 มาก 3 ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ 4.00 0.70 มาก 4 เนื้อหามีความแปลกใหม่ น่าสนใจ 4.80 0.89 ดีมาก 5 นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 4.80 0.54 ดีมาก เฉลี่ยด้านเนื้อหา 4.40 0.81 มาก ด้านปฏิบัติงาน 6 ใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน 3.80 0.83 มาก 7 มีความสุขและภูมิใจในผลงาน 4.20 1.22 มาก 8 พอใจกับกิจกรรมที่ร่วมศึกษาค้นคว้า 4.20 1.09 มาก 9 มีขั้นตอนและกระบวนการชัดเจน 4.20 0.83 มาก 10 การวางแผนปฏิบัติงาน 3.60 0.89 มาก เฉลี่ยด้านปฏิบัติงาน 4.00 0.97 มาก ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 11 มีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกขั้นตอน 3.80 1.64 มาก 12 กิจกรรม/กระบวนการช่วยให้เข้าใจเนื้อหามากขึ้น 3.60 0.89 มาก


33 13 การยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน 4.20 0.83 มาก 14 สืบค้นข้อมูลและสร้างความรู้ด้วยตนเอง 4.00 1.41 มาก 15 กิจกรรมการเรียนรู้มีความหลากหลาย 4.40 0.54 มาก เฉลี่ยด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 4.00 1.06 มาก ด้านการวัดและประเมินผล 16 นักเรียนมีส่วนร่วมในการวัดและประเมินผล 4.00 1.22 มาก 17 เนื้อหาสอดคล้องกับจุดประสงค์ 4.20 1.29 มาก 18 จุดประสงค์มีความชัดเจน 4.20 0.83 มาก 19 มีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน 4.60 0.89 ดีมาก 20 การดำเนินการเป็นขั้นตอน 3.80 0.83 มาก เฉลี่ยด้านการวัดและประเมินผล 4.16 1.01 มาก เฉลี่ยรวม 4.14 0.96 มาก จากตารางที่ 5 พบว่าความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติโดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( X = 4.14) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าทุกด้านมีความพึงพอใจในการเรียนรู้อยู่ในระดับมากสามารถเรียงลำดับความพึง พอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนในแต่ละด้านจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำได้ดังนี้ ด้านเนื้อหา ( X = 4.40) ด้าน ปฏิบัติงาน ( X = 4.00) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ( X = 4.00) และด้านการวัดและประเมินผล ( X = 4.16) ตามลำดับ


34 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การศึกษาวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติ โดย ใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา” มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติโดย ใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ (Jigsaw) ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้ เทคนิคแบบจิกซอว์ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนแบบจิก ซอว์ เรื่องพุทธประวัติ สมมติฐานการวิจัย 1. กิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ มีประสิทธิภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 นั 2. กเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ มีความพึงพอใจในการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก วิธีดำเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา จังหวัดหนองคาย ปีการศึกษา 2566 จำนวน 5 ห้องเรียน 150 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 30 คนเพื่อเป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบจำนวนทั้งสิ้น 4 แผน รวม 4 ชั่วโมง 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเรื่อง พุทธประวัติ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบปรนัยมี4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ


35 2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยสังเกตและบันทึกตามกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2.4 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติ แบบประเมินนี้แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ได้รับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ ตอนที่ 2 ข้อเสนอแนะที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน เกณฑ์การประเมิน มีดังนี้ ให้ 5 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด ให้ 4 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจมาก ให้ 3 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง ให้ 2 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย ให้ 1 คะแนน หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ละขั้น มีดังนี้ 3.1 เตรียมนักเรียนก่อนดำเนินการสอน โดยแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิคแบบจิกซอว์ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอนการเรียนและบทบาท วิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการ ทดลอง 3.2 ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3.3 ดำเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดย ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์เรื่อง พุทธประวัติกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามแผนการจัดการ เรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 4 แผน ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 3.4 ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้แบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนการทดลอง โดยใช้ เวลา 2 ชั่วโมง


36 สรุปผลการวิจัย จากการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่า 1. จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา มีพัฒนาการ การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 โดยพบว่า ผลจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียน (E1) คิดเป็นร้อยละ 80.53 และผลการ ทำแบบทดสอบหลังเรียน (E2) คิดเป็นร้อยละ 83.11 แสดงให้เห็นว่าการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำ สวยวิทยา ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.53/83.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้80/80 2. จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ ของกเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา มีผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้น และพบว่า การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ เรื่อง พุทธประวัติ มีคะแนนก่อนเรียนเฉลี่ย 16.93 และคะแนนหลังเรียนเฉลี่ย 17.13 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยามี ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์อยู่ในระดับมากที่สุด โดย พบว่า ผลรวมของระดับ ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( ̅ =4.14 S.D.=0.96) การอภิปรายผล ผลการศึกษาการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิกซอว์วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเรื่อง พุทธประวัติสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประเด็นในการนำมาอภิปรายผลตามลำดับ ดังนี้ 1. จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนน้ำสวยวิทยา ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.53/83.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้80/80 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากได้รับการตรวจสอบ จากผู้เชี่ยวชาญ และผู้วิจัยได้ปรับปรุงแก้ไขให้ตรงกับจุดประสงค์สอดคล้องกับเนื้อหา เหมาะสม กับวัยของผู้เรียน โดยผู้วิจัยได้ศึกษาหลักสูตร คู่มือ เนื้อหา และวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ และดำเนินการสร้างตามหลักสูตร กรมวิชาการ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2554 : 1-91) และได้สร้างแบบฝึกเสริมทักษะตามขั้นตอนที่จัดไว้อย่างเป็น ระบบ โดยเริ่มจากการศึกษาเอกสาร วิเคราะห์เนื้อหา และทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาย่อย ๆ แล้ว ดำเนินการสร้าง ตามหลักการสร้างแบบฝึกทักษะที่ดี (อมรรัตน์ คงสมบูรณ์. 2546 : 23; สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. 2549 : 52-62) อีกทั้งได้นำเอากิจกรรมต่าง ๆ มาช่วยเสริมและจัดให้สอดคล้องกับ ลักษณะของผู้เรียน เนื่องจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนั้น


37 กิจกรรมที่ใช้ในแบบฝึกเสริมทักษะจึงเน้นรูปภาพเพื่อให้ผู้เรียนสนใจ ที่จะเรียนรู้มากขึ้น ทั้งนี้ผู้วิจัยมีความเห็นว่า เกิดจากกระบวนการจัดการเรียนการสอน เนื่องจากหากให้นักเรียนเรียนรู้แบบรายตัว นักเรียนซึ่งมีความเก่ง แตกต่างกันจะมีผลคะแนนแตกต่างกัน แต่เมื่อปรับกระบวนการจัดการเรียนการสอนเป็นแบบจิกซอว์ โดยแบ่ง นักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ และแบ่งให้นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มหาข้อมูลแต่ละเรื่องมาแลกเปลี่ยนกัน นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการเรียนเกิดความสนุกสนานไม่น่าเบื่อหน่าย นักเรียนให้ความร่วมมือตอบคำถามได้ดี และทำ คะแนนได้ดีขึ้นไม่แตกต่างกันมาก ดังที่ ชวลิต ชูกำแพง (2551) กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้เทคนิคจิกซอว์เน้นความรู้ ความเข้าใจมากกว่าพัฒนาทักษะสมาชิกในกลุ่มมี 3-6 คน ความรู้ต่างระดับกันสมาชิกแต่ละคนไปเรียนร่วมกับและ การศึกษานี้ยังสอดคล้องกับผลการศึกษาของ ศิรินภา น้อยสว่าง (2556) ที่ศึกษาเรื่อง “การพัฒนากิจกรรมการ เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4” โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 27 คน ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 84.54/86.67 และให้ความเห็นในการอภิปรายผลว่า การเรียนรู้ที่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นนั้นอาจ เป็นผลจากการเรียนรู้แบบจิกซอว์ที่ทำให้นักเรียนเรียนรู้ร่วมกันไปและมีความจำดีขึ้น และสอดคล้องกับผล การศึกษาของ จุฬาลักษ์การอรุณ (2562) เรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา โดยใช้ ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1” พบว่า ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนโดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เท่ากับ 81.60/80.93 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ พิสมัย กุมภาพงษ์ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบ กลุ่มร่วมมือเทคนิคจิกซอว์เรื่อง พุทธ ประวัติพระสาวก ศาสนิกชนตัวอย่างและชาดก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2” ผลการศึกษาพบว่า การจัดกิจกรรมการ เรียนรูปแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิคจิกซอว์ เรื่อง พุทธประวัติพระสาวกศาสนิกชนตัวอย่างและชาดก ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.10/82.40 2.นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิกซอว์วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ทั้งนี้อาจ เนื่องมาจากแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พุทธประวัติ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และผู้ศึกษาได้ปรับปรุงแก้ไขให้ตรงกับจุดประสงค์ สอดคล้องกับเนื้อหา เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน โดยผู้ศึกษาได้ศึกษาหลักสูตร คู่มือ เนื้อหา และวิเคราะห์ จุดประสงค์การเรียนรู้ และดำเนินการสร้างตามหลักสูตรกรมวิชาการ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2554 : 1-91) จึง ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งผลการทดสอบที่ได้มีความน่าเชื่อถือ เนื่องมาจากเครื่องมือที่ใช้คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พุทธประวัติ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นได้รับการตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไข


38 ประเมินตรวจสอบคุณภาพความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญ และได้ดำเนินการเป็นขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ตามสาระ การเรียนรู้ จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) และศึกษา เอกสารการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลจนเข้าใจ และนำความรู้มาสร้างแบบทดสอบ ตลอดจนนำไปทดลองใช้ (Try out) แล้วนำแบบทดสอบมาวิเคราะห์หาคุณภาพก่อนที่จะนำไปใช้จริง สอดคล้อง กับการศึกษาของ ศิรินภา น้อยสว่าง (2556) ที่ศึกษาเรื่อง “การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิคจิกซอว์ เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4” โดยศึกษาจากกลุ่ม ตัวอย่างจำนวน 27 คน ผลการวิจัยพบว่า ดัชนีประสิทธิผลมีค่า เท่ากับ 0.7791 หรือร้อยละ 77.91 ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับผลการศึกษาของ จุฬาลักษ์ การอรุณ (2562) เรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา โดยใช้ทักษะ กระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1” พบว่า มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการ จัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์อยู่ในระดับมาก โดย พบว่าความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( X = 4.14) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าทุกด้านมีความพึงพอใจในการเรียนรู้อยู่ในระดับมากสามารถเรียงลำดับความพึง พอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนในแต่ละด้านจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำได้ดังนี้ด้านเนื้อหา ( X = 4.40) ด้าน ปฏิบัติงาน ( X = 4.00) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ( X = 4.00) และด้านการวัดและประเมินผล ( X = 4.16) สอดคล้องกับการศึกษาของ ศิรินภา น้อยสว่าง (2556) ที่ศึกษาเรื่อง “การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4” โดยศึกษา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 27 คน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีการ สอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ในภาพมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.30 แสดงว่ามีผลความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับผลการศึกษาของ จุฬาลักษ์ การอรุณ (2562) เรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา พระพุทธศาสนา โดยใช้ทักษะ กระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/1” พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนโดยใช้ทักษะ กระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีค่าเฉลี่ย 4.63 คือมีความพึงพอใจมากที่สุด


39 ข้อเสนอแนะ จากผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง พุทธประวัติ ผู้วิจัยให้ข้อเสนอแนะในการวิจัยและข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้ง ต่อไป ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้ 1.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครูควรให้คำแนะนำ ดูแลอย่างใกล้ชิด และคอยกระตุ้นให้นักเรียนมี ส่วนร่วม แสดงความคิดเห็น โดยครูกล่าวนำเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักเรียน และแสดงความชื่นชมในผลการเรียน ของนักเรียน 1.2 ผู้สอนจะต้องจัดเตรียมสื่อการสอนที่หลากหลาย (Multimedia) เช่น สื่อการสอนแบบภาพที่ เป็นกระดาษ สื่อแบบฉายสไลด์ และแบบการทดสอบหลังเรียน ให้นักเรียนกระตือรือร้นในการเรียน ทั้งนี้รวมถึง ผู้สอนควรพาผู้เรียนออกไปเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ เช่น วัด ภาพเขียน เป็นต้น เพื่อให้ผู้เรียน จดจำได้ดีขึ้น เป็นต้น 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการพัฒนาเอกสารประกอบการเรียนสำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หลาย ๆ เรื่อง และทำต่อเนื่องทุกระดับชั้น 2.2 ควรศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างกลุ่มที่เรียนโดยใช้เอกสาร ประกอบการเรียน และสื่อประเภทอื่น ๆ เช่น Kahoot, google classroom ฯลฯ เพื่อจะได้เลือกใช้สื่อที่มีความ เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อนักเรียนในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.3 ควรนำเอกสารประกอบการเรียนไปใช้ร่วมกับเทคนิคการสอนแบบอื่น ๆ เช่น กิจกรรม กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ การสอนแบบสาธิต การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ การสอนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค STAD ฯลฯ


40 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. 2553). ทิศนา แขมมณี. ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 4. (กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2550). ทิศนา แขมณี. ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 14. (กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2554). วัฒนาพร ระงับทุกข์. การเขียนแผนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง. (กรุงเทพฯ : แอล ทีเพลส. 2542). วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้. (มหาสารคาม : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2554) อาภรณ์ ใจเที่ยง. หลักการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 3. (กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. 2546). จุฬาลักษณ์ การอรุณ. “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพระพทธศาสนา โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1”. สำนักงานการศึกษา ขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. 2562. ชวลิต ชูกำแพง. การประเมินการเรียนรู้. พิมพ์ครั้งที่ 2. (มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2551). ชัยวัฒน์ สุทธิวัฒน์. นวัตกรรมวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนเป็นกลุ่ม. พิมพ์ครั้งที่ 3. (กรุงเทพฯ : เคเน็กซ์อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น. 2553). ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. นวัตกรรมวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนเป็นกลุ่ม. พิมพ์ครั้งที่ 4. (กรุงเทพฯ : เคเน็กซ์อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น. 2554). สมบูรณ์ ตันยะ. การประเมินทางการศึกษา (กรุงเทพฯ :สุวีริยาสาส์น. 2545). พิชิต ฤทธิ์จรูญ. หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา (กรุงเทพฯ : เฮ้าส์ ออฟ เคอร์มิสท์. 2552). ราตรี นันทสุคนธ์. หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา (กรุงเทพฯ : จุดทอง. 2553) ศิรินภา น้อยสว่าง. “การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4”. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตร และ การสอน. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. 2556). อัษฎายุธ พุทโธ. “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ เรื่อง การหา ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6”. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตร และการสอน. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2559).


41 พีรวัฒน์ แสงเขียว. “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์สากลที่มีผล ต่อโลกปัจจุบัน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5”. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 2559). อุมาพร บัวศรี. “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิดวิเคราะห์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค จิกซอว์ ร่วมกับบทอ่านจากสื่อออนไลน์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5”. ศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน. (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2561). อารุณี บุญยืน. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์เรื่องชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สาระสังคม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. (มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2547)


42 ภาคผนวก


43 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ รายชื่อผู้ช่วยผู้วิจัย


Click to View FlipBook Version