แนวทาง
การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาองั กฤษตามกรอบ
มาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษ CEFR
เอกสารลาดบั ที่ 66/2564
กลุม่ นเิ ทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
สานักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
คำนำ
การเสริมสร้างสรรถนะและความสามารถในการส่ือสารเป็นภาษาอังกฤษของคนไทย จัดเป็นความจาเป็น
เร่งด่วนของประเทศไทยในปัจจุบัน ในสภาวะท่ีระดับความสามารถของคนไทยในดา้ นภาษาอังกฤษองั กฤษยงั อยู่
ระดับตา่ มาก ขณะทีต่ อ้ งเรง่ พัฒนาประเทศใหก้ ้าวทนั การเปลีย่ นแปลงของโลกและรองรับภาวะการคา้ การลงทุน
การเชื่อมโยงระหว่างประเทศ และการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของประชาคมทางเศรษฐกิจที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็น
ภาษากลาง จึงต้องมีการดาเนินการพฒั นาการเรยี นการสอนภาษาองั กฤษให้เกิดผลสาเรจ็ โดยเร็ว
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 ตระหนักและให้ความสาคัญในเรื่อง
ดงั กล่าว เพือ่ ให้การจดั การเรยี นร้ทู กั ษะทางภาษามปี ระสิทธภิ าพและเป็นไปตามนโนบายการปฏิรปู การเรยี นการ
สอนภาษาอังกฤษของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการประกาศไว้ โดยเน้น
การสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร Communicative Language Teaching (CLT) ตามกรอบอ้างอิง
ความสามารถทางภาษาของสหภาพยุโรป The Common European Framework of Reference for
Languages (CEFR) มาใช้เป็นแนวทางการพฒั นาทง้ั ครผู สู้ อนภาษาองั กฤษและผูเ้ รยี น
สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษากาญจนบุรี เขต 1 โดยกลมุ่ นิเทศ ติดตามและประเมินนผล
การจัดการศึกษา ขอขอบคุณทุกฝ่ายท่ีมีส่วนเก่ียวข้องในการยกระดับและพัฒนาทักษะทางภาษาของครูผู้สอน
ภาษาอังกฤษและกระบวนการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแนวใหม่ คณะผู้จัดทาแนวทางการพัฒนาฯ หวังเป็น
อย่างย่ิงว่าเอกสารฉบบั นี้ จะเป็นประโยชน์สาหรับครู บุคลากรทางการศึกษาและผทู้ ่ีสนใจท่นี าไปประยุกต์ใช้ใน
การพฒั นาตนเองและการจดั การเรยี นร้ใู นช้ันเรียน
กลุ่มนิเทศ ตดิ ตามและประเมินผลการจัดการศกึ ษา
สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากาญจนบุรี เขต 1
สำรบัญ
ตอนที่ หนำ้
1 นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของกระทรวงศึกษาธิการ 1
การใชก้ รอบอา้ งอิงความสามารถทางภาษาที่เปน็ สากล ได้แก่ The Common 2
European Framework of Reference for Languages (CEFR) เป็นกรอบความคดิ
หลักในการจดั การเรยี นการสอนภาษาองั กฤษของประเทศไทย
ปรับจดุ เนน้ การเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้เปน็ ไปตามธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ภาษา 6
โดยเนน้ การส่อื สาร (Communicative Language Teaching: CLT)
ส่งเสรมิ ใหม้ ีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษทม่ี มี าตรฐานตามกรอบมาตรฐานหลกั 6
ส่งเสรมิ การยกระดับความสามารถในการใช้ภาษาองั กฤษ 6
ยกระดบั ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนของครูใหส้ อดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ที่
เนน้ การสอ่ื สาร (CLT) และเป็นไปตามกรอบความคิดหลกั CEFR 9
ส่งเสรมิ ใหม้ กี ารใช้สอ่ื เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการศึกษาเป็นเครอื่ งมอื สาคญั ในการชว่ ย 10
พัฒนาความสามารถทางภาษาของครูและผู้เรยี น
2 การสอนภาษาองั กฤษเพอ่ื การสื่อสาร 11
ความหมายของการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสอ่ื สาร (Communicative Language 11
Teaching : CLT)
หลักการจัดการเรียนการสอนภาษาองั กฤษเพอื่ การส่ือสาร 12
แนวการจัดการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษเพ่อื การส่อื สาร 15
ขั้นตอนการเรียนการสอนตามแนวทางการสอนภาษาเพอ่ื การสือ่ สาร 16
กระบวนการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสาร 18
3 การวดั ผลและประเมินผลการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษ 21
ความสาคญั ของการวดั ผลและการประเมินผลทางภาษา 21
แนวคดิ ใหม่เก่ียวกับการวัดผลและประเมนิ ผล 22
ลักษณะการวดั ผลและประเมินผลทางภาษา 22
การวัดและประเมนิ ผลด้านโครงสร้างของภาษา 23
การวดั และประเมนิ ผลด้านทักษะทางภาษา 25
ประเภทแบบทดสอบวดั และประเมินผลทางภาษา 25
วัตถปุ ระสงคข์ องการวดั และประเมินผลการเรียนการสอน 26
สำรบัญ (ต่อ) หนำ้
26
ตอนที่ 31
การวัดและการประเมินผลที่หลากหลาย (Alternative Assessment) 32
การสรา้ งเครื่องมือวัดผลประเมนิ ผลการเรียนรู้ 51
เกณฑก์ ารประเมนิ 52
53
บรรณำนุกรม 55
ภำคผนวก
ดาวนโ์ หลดเอกสารทเ่ี ก่ยี วข้องเพิ่มเติม
คณะผู้จดั ทำ
ตอนที่ 1
นโยบายการปฏริ ูปการเรยี นการสอนภาษาองั กฤษ
ของกระทรวงศึกษาธิการ
ด้วยกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายเร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เช่ือมโยง เพื่อ
ยกระดับคุณภาพการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างย่ิงการสร้างเสริมสมรรถนะและ
ทกั ษะการใช้ภาษาอังกฤษ ให้ผเู้ รียนสามารถใชภ้ าษาอังกฤษเพอื่ การสอ่ื สารและใช้เคร่ืองมอื ในการแสวงหาองค์
ความรู้เพื่อการพัฒนาตน อันจะนาไปสุ่การเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงได้กาหนด
นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้
ตระหนักถึงความจาเป็นท่ีจะต้องเร่งรดั ปฏิรปู การเรียนการสอนภาษาอังกฤษและพฒั นาผู้เรยี นให้มีสมรรถนะ
และทักษะตามที่กาหนด ซ่งึ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงศกึ ษาธิการในสมัยนนั้ ไดป้ ระกาศ
เร่ือง นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาองั กฤษ ณ วันท่ี 14 มกราคม พ.ศ.2557 และเพ่ือให้บรรลุผล
ตามเจตนารมณด์ ังกล่าว จึงไดป้ ระกาศเรือ่ ง แนวปฏิบัติตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกบั นโยบายการ
ปฏิรปู การเรยี นการสอนภาษาองั กฤษ ณ วันท่ี 22 เมษายน พ.ศ. 2557
สานักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพ้ืนฐานได้ดาเนินการเพื่อสนองนโยบายดังกล่าว โดยปรับ
จุดเน้นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้เป็น ไปตามธรรมชาติของการเรียนรู้ท่ีเน้นการส่ือสาร
(Communicative Language Teaching : CLT) ปรับจากการเนน้ ไวยากรณ์มาเปน็ เน้นการสือ่ สารทีเ่ ร่ิมจาก
การฟัง ตามด้วยการพูด การอ่าน และการเขียนตามลาดับ และการใช้กรอบมาตรฐานความสามารถทาง
ภาษาอังกฤษที่เป็นสากล (Common European Framework of Reference Languages: CEFR) มาเป็น
กรอบแนวคิดหลกั ในการจดั การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของประเทศไทย สอดคลอ้ งกบั นโยบายและจดุ เน้น
ของกระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จุดเน้น ข้อที่ 1.2 การเรียนรู้ตลอดชีวิต จัดการเรียนรู้
ตลอดชีวิตสาหรับประชาชนทุกช่วงวัย เน้นส่งเสริมและยกระดับทักภาษาอังกฤษ (English for All) และ
นโยบายที่ 3 ด้านการพัฒนาและสรา้ งเสรมิ ศักยภาพของทรัพยากรทรัพย์ ตัวช้ีวัดท่ี 3 ครูสอนภาษาอังกฤษใน
ระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทุกคน ได้รับการพฒั นาและยกระดับความรูภ้ าษาองั กฤษของครูท่สี อน
ภาษาอังกฤษ โดยใชร้ ะดับการพัฒนาทางด้านภาษา (CEFR) ตามเกณฑ์ที่กาหนด เพอ่ื ให้หน่วยงานในสังกัด ทงั้
หน่วยงานในส่วนกลางท่ีรบั ผิดชอบดาเนินการ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษานาไปดาเนนิ การ
ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย ดังน้ี
1
1. การใช้กรอบอ้างอิงความสามารถทางภาษาท่ีเป็นสากล ได้แก่ The Common European
Framework of Reference for Languages (CEFR) เป็นกรอบความคิดหลักในการจัดการเรียนการ
สอนภาษาองั กฤษของประเทศไทย
เพ่ือใหก้ ารจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเปน็ ไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีทิศทางที่เปน็ เอกภาพ
ในการดาเนินมีเป้าหมายการเรียนรู้และพัฒนาท่ีเทียบเคียงได้กับมาตรฐานสากล ท่ีเป็นท่ียอมรับในระดับ
นานาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จึงกาหนดให้ใช้กรอบทางภาษาของสหภาพยุโรปเป็นอ้างอิงทางภาษาของ
สหภาพยโุ รป เป็นกรอบความคดิ หลกั ในการจดั การเรยี นการสอนภาษาองั กฤษ
กรอบอ้างอิงทางภาษาของสหภาพยุโรป (CEFR) คือ มาตรฐานการประเมินความสามารถทาง
ภาษาท่ีสหภาพยุโรปจัดทาขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ การสอน และการ
ประเมนิ ภาษาท่ีสองหรอื ภาษาต่างประเทศ ในปี ค.ศ.2002 สภาแหง่ สหภาพยุโรป ได้กาหนดให้ใช้กรอบอ้างอิง
CEFR ในการตรวจสอบความสามารถทาง ปัจจุบัน กรอบอ้างอิง CEFR ได้รับการยอมรับกว้างขวางว่าเป็น
มาตรฐานในการจดั ลาดับความสามารถทางภาษาของแตล่ ะบุคคล
CEFR ได้จาแนกผู้เรียนออกเป็น 3 กลุ่มหลักและแบ่งเปน็ 6 ระดับความสามารถ ดังนี้
Level group A B C
Level group Basic User Independent User Proficient User
name ผู้ใช้ภาษาขัน้ พนื้ ฐาน ผใู้ ช้ภาษาขั้นอิสระ ผ้ใู ชภ้ าษาข้ันคล่องแคล่ว
Level A1 A2 B1 B2
C1 C2
Level name Breakthrough Waystage or Threshold or Vantage or Effective Mastery or
or beginner elementary intermediate upper Operational proficiency
Proficiency or
intermediate advanced
2
ท้ังนใ้ี นแต่ละระดับไดก้ าหนดความสามารถในการใช้ภาษาไว้ดงั นี้
ระดบั CEFR คาอธิบาย
A1 ผู้เรียนสามารถใช้และเข้าใจประโยคง่าย ๆ ในชีวิตประจาวัน สามารถแนะนาตัวเองและผู้อื่น
A2 ทั้งยังสามารถตั้งคาถามเกี่ยวกับบุคคลอ่ืนได้ เช่น เขาอยู่ท่ีไหน รู้จัดใครบ้าง มีอะไรบ้าง และ
ตอบคาถามเหลา่ นีไ้ ด้ ทัง้ ยงั สามารถเข้าใจบทสนทนาเมื่อคสู่ นทนาพูดชา้ และชดั เจน
B1 ผู้เรียนสามารถใช้และเข้าใจประโยคในชีวิตประจาวันในรัดบกลาง เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับ
ครอบครัว การจับจ้ายใช้สอย สถานที่ ภูมิศาสตร์ การทางาน และสามารถสื่อสารในการ
B2 แลกเปลี่ยนข้อมูลท่ัวไป และการใช้ชีวิตประจาวัน สามารถบรรยายความฝัน ความคาดหวัง
C1 ประวตั ิ สงิ่ แวดล้อม และส่งิ อ่ืน ๆ ทจี่ าเป็นตอ้ งใช้
ผู้เรียนสามารถพูด เขียน และจับใจความสาคัญของข้อความทั่ว ๆ ไปได้ เมื่อเป็นหัวข้อท่ี
C2 ค้นุ เคยหรอื สนใจ เช่น การทางาน โรงเรียน เวลาว่าง ฯลฯ สามารถจัดการกับสถานการณ์ต่าง
ๆ ที่เกิดข้ึนระหว่างการเดินทางในประเทศท่ีใช้ภาษาได้ สามารถบรรยายประสบการณ์
เหตกุ ารณ์ ความฝัน ความหวงั พร้อมให้เหตุผลส้นั ๆ ได้
ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้ภาษาระดับดี สามารถใช้ภาษา พูดและเขียนได้แทบทุกเร่ือง
อย่างถูกต้องและคล่องแคล่วขึ้น รวมทั้งสามาถจะอ่านและทาความเข้าใจบทความที่มีเนื้อหา
ยากขึ้นได้
ผู้เรยี นสามารถเข้าใจขอ้ ความยาว ๆ ทซ่ี ับซอ้ นในหัวขอ้ ลากหลาย และเขา้ ใจความหมายแฝงได้
สามารถแสดงความคิดเห็นความรู้สึกของตนได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องหยุดคิดหา
คาศัพท์ สามารรถใช้ภาษาท้ังในด้านสังคมการทางาน หรือด้านการศึกษาได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ สามารถพดู และเขยี นขอ้ ความท่ีซับซอ้ นได้อย่างชดั เจนและถกู ต้องตามโครงสร้าง
ไวยาการณ์ พรอ้ มทั้งสามารถใชค้ าเช่ือมประโยคได้อย่างถูกต้อง
ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้ภาษาได้อย่างดีเยี่ยมใกล้เคียงกับเขจ้าของภาษา สามารถใช้
ภาษามาตรฐานได้อย่างสละสลวย ถูกต้องตามจุดประสงค์ท่ีจะสื่อสารได้ดี สามารถอ่าน
บทความที่เป็นภาษาต้นฉบับ (โดยเฉพาะอย่างย่ิงด้านวรรณกรรม) ได้เข้าใจ สามารถ และ
เลอื กใช้ภาษาสาหรับพดู และเขยี นได้อย่างเหมาะสม
ในการนากรองอ้างองิ CEFR มาใชใ้ นการปฏริ ปู การเรียนการสอนภาษาองั กฤษน้นั กระทรวงศึกษาธกิ าร
ไดก้ าหนดเกณฑแ์ นวทางการดาเนนิ การดงั น้ี
1.1 ใช้ CEFR เป็นกรอบความคิดหลักในเป้าหมายการจัดการเรียนรู้/การพัฒนา โดยใช้ระดับ
ความสามารถ 6 ระดับของ CEFR เป็นเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียนในแต่ละระดับ ท้ังนี้ ในเบื้องต้น
กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดเปา้ หมายการพฒั นาระดับความสามารถทางภาษาของผเู้ รียนในระดับการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐาน ดงั นี้
3
ระดับนกั เรียน ระดับความสามารถ ระดบั ความสามารถทาง
ทางภาษา ภาษาตามกรอบ CEFR
ผู้สาเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา (ป.6)
ผู้สาเร็จการศึกษาภาคบังคบั (ม.3) ผ้ใู ชภ้ าษาขน้ั เร่มิ ต้น A1
ผสู้ าเร็จการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน (ม.6/ปวช.) ผ้ใู ชภ้ าษาขนั้ เร่มิ ตน้ A2
ผู้สาเร็จการศึกษาระดับปรญิ ญาตรี ผู้ใชภ้ าษาขั้นขน้ั อสิ ระ B1
ผู้ใช้ภาษาข้นั ข้นั อิสระ B2
ดังนนั้ ในการประเมินหรือตรวจสอบผลการจดั การศกึ ษา หรอื ผลการพัฒนาผูเ้ รียนในแต่ละระดับ
ข้างต้น หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ระดับควรได้มีการทดสอบหรือวัดผล โดยใช้แบบทดสอบมาตรฐาน ท่ี
เทียบเคียงผลคะแนนกับระดับความสามารถทางภาษาตามกรอบอ้างอิง CEFR เพื่อตรวจสอบว่า ผู้เรียนมี
ผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษา ผ่านเกณฑ์ระดบั ความสามารถท่กี าหนดหรือไม่
1.2 ใช้พัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนภาษาองั กฤษ โดยนาระดับความสามารถทาง
ภาษาท่ีกรอบอ้างอิง CEFR กาหนดไว้แต่ระดับ มากาหนดเป้าหมายของหลักสูตร และใช้คาอธิบาย
ความสามารถทางภาษาของระดับน้ัน ๆ มากาหนดกรอบเน้ือหาสาระที่จะใช้ในการจัดการเรียนการสอนตาม
หลักสูตร
1.3 ใช้ในการจัดการเรียนการสอน โดยนาระดับความสามารถทางภาษอละคาอธิบาย
ความสามารถทางภาษาที่กรอบอา้ งอิง CEFR กาหนดไว้แต่ละระดับ มาพิจารณาจัดกระบวนการเรียนรู้เพอ่ื ให้
ผู้เรียนสามารถแสดงออกซ่ึงทักษะทางภาษาและองค์ความรู้ตามที่ระบุไว้ เช่น ในระดับ A1 ผู้สอนต้องจัด
กระบวนการเรยี นรู้เพอ่ื ให้ผู้เรยี นสามารถเข้าใจ ใช้ภาษา แนะนา ถาม-ตอบ ปฏิสมั พนั ธพ์ ดู คยุ ในเร่อื งที่กาหนด
ไว้ในคาอธบิ ายดังตารางข้างต้นไดก้ ารเรยี นการสอนจงึ ตอ้ งเนน้ ให้ผู้เรียนไดฟ้ งั และพูดสือ่ สารเปน็ หลกั ผเู้ รยี นจงึ
จะมีความสามารถตามกาหนด
1.4 ใช้ในการทดสอบ และการวัดผล โดยใช้แบบทดสอบ/แบบวัดท่ีสามารถเทียบเคียงผลได้กับ
กรอบอ้างอิง CEFR เพ่ือให้ได้ข้อมูลระดับความสามารถของผุ้เรียนหรือผู้เข้าการทดสอบเพื่อการจัดการ
กระบวนการเรียนการสอน กิจกรรม หรือส่ือให้สอดคล้องกับความต้องการจาเป้น อันจะนาไปสู่การพัฒนา
ผูเ้ รียน/ผู้เขา้ รบั การทดสอบให้มีความสามารถตามเป้าหมาย/เกณฑ์ที่กาหนด
ตัวอยา่ งแบบทดสอบ/แบบวดั ความสามารถด้านภาษาองั กฤษท่ีสามารถเทียบเคยี งผลการสอบกับ
ระดับความสามารถตามกรอบอา้ งอิง CEFR
4
CEFR TOEIC TOEFL TOEFL TOEFL IELTS CU-TEP
Level Paper CBT IBT
A1 0-110 0-310 0-30 0-8 0-1 n/a
A2 110-250 310-343 33-60 9-18 1-1.5 n/a
347-393 63-90 19-29 2-2.5 n/a
B1 255-400 397-433 93-120 30-40 3-3.5 n/a
437-473 123-150 41-52 4 n/a
B2 405-600 477-510 153-180 53-64 4.5-5 ประมาณ 60
513-547 183-210 65-78 5.5-6 ประมาณ 75
C1 605-780 550-587 213-240 79-95 6.5-7 ประมาณ 90
C2 785-990 590-677 243-300 96-120 7.5-9 ประมาณ 120
Top Score Top Score Top Score Top Score Top Score Top Score
990 677 300 120 9 9
1.5 ใชใ้ นการพฒั นาครู โดยดาเนินการ ดงั น้ี
1) ใช้เครื่องมือในการประเมินตนเอง (self-assessment checklist) ตามกรอบ CEFR เพ่ือ
เตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการทดสอบและประเมินความก้าวหน้า ความสามารถทางภาษาอังกฤษอย่าง
ต่อเนอื่ ง
2) ประเมินความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของครูก่อนการพัฒนา โดยใช้แบบทดสอบ
มาตรฐานตามกรอบ CEFR ในการตรวจสอบระดับความสามารถของครู
3) จัดทาฐานขอ้มูลและกลุ่มครูตามระดับเพ่ือวางแผนพัฒนา และติดตามความก้าวหน้าใน
การเข้ารบั การพัฒนาตามระดบั ความสามารถ
4) กาหนดเป้าหมายความสามารถด้านภาษาตามกรอบ CEFR การพัฒนาครูแต่ละกลุ่ม เพื่อ
นามาจดั หลักสตู รและกระบวนการพัฒนา ครูใหม้ คี วามสามารถในการรใชภ้ าษาผ่านเกณฑ์และบรรลุเป้าหมาย
ท่ีกาหนด
5) ใชแ้ บบทดสอบมาตรฐานตามกรอบ CEFR ทดสอบหลังการการพฒั นาเพ่ือปะเมนิ หลกั สูตร
การพัฒนา กระบวนการพัฒนา และความสามารถของครู เทยี บเคียงกับเปา้ หมายท่ีกาหนด รวมท้งั จดั กจิ กรรม
การพัฒนาอย่างต่อเนอื่ ง
5
2. ปรับจุดเน้นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเรียนรู้ภาษาโดยเน้นการ
สือ่ สาร (Communicative Language Teaching: CLT)
กระทรวงศึกษามีนโยบายให้ปรับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษจากการเน้นไวยากรณ์ มาเป็น
เน้นการส่ือสารท่ีเริ่มจากการฟัง ตามด้วยการพูด การอ่าน และการเขียนตามลาดับ ทั้งนนี้ การจัดการเรียนรู้
ภาษา กระบวนการเรียนการสอนควรมีลักษณะเป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติมท่ีใกล้เคียงกับการเรียนรู้ภาษา
แรก คือ ภาษาไทย ที่เร่ิมการเรียนร้จู ากการฟังและเช่ือมโยงเสียงกบั ภาพเพื่อสร้างความเข้าใจ แล้วจึงนาไปสู่
การเลียนเสียง คอื การพดู และนาไปสกู่ ารอ่านและเขยี นในทสี่ ุด การจดั การเรยี นการสอนจึงควรเป็นการสอน
เพอ่ื การส่ือสารอยา่ งแท้จริง
ทั้งนี้ หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีหน้าท่ีส่งเสริม สนับสนุนและจัดการเรียนรู้จึงมีบทบาทภารกจิ ในการ
พัฒนาสนับสนุนช่วยเหลือให้ครูสามารถจัดการเรียนรู้ตามธรรมชาติของภาษา เพือ่ ให้ผู้เรยี นมคี วามสามารถใน
การใชแ้ ละสือ่ สารภาษาอังกฤษ
3. ส่งเสริมใหม้ ีการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษท่มี มี าตรฐานตามกรอบมาตรฐานหลกั
กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้จัดมีการเรียนการสอนด้วยหลักสูตร แบบเรียน ส่ือการเรียน
การสอนที่เป็นมาตรฐาน แต่สามารถใช้รูปแบบวิธีการท่ีแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ตามความพร้อมของแต่ละ
สถานศกึ ษา และแสดงถงึ ความถนัดและความสนใจของผู้เรียน
การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของสถานศึกษา ควรเป็นอย่างมีมาตรฐาน สามารถสร้าง
เสริมความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของนักเรยี นอย่างเท่าเทียม แม้สถานศึกษาจะมีความแตกต่างกนั ใน
ด้านความพรอ้ มแตท่ ุกภาคส่วนท่ีเกย่ี วข้องควรได้เข้าไปมีบทบาทในการสง่ เสริม สนับสนนุ การดาเนินการจัดกร
เรียนการสอนของสถานศึกษาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐาน และส่งผลที่ดีต่อการพัฒนา
ความสามารถด้านภาษาอังกฤษของผู้เรยี น
4. สง่ เสริมการยกระดับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ
การยกระดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียน คือ เป้าหมายสาคัญของการจัด
การศึกษา นอกเหนือจากภารกิจในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษตามท่ีหลักสูตร
กาหนดแล้ว กระทรวงศึกษาธิการมีบทบาทสาคัญในการส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาผู้เรียนในทุกระดับเพือ่
ยกระดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษให้สูงข้ึนและเต็มตามศักยภาพของผู้เรียน โดยการจัดให้มีโครงการ
ห้องเรียน และรายวิชาที่เน้นการจัดให้ผู้เรียนมีโอกาสศึกษาเรียนรู้ และใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น อย่างเข้มจ้น
6
เพ่ือสนองตอบต่อความต้องการและความในใจของผู้เรียนชุมชนและสังคม อันจะนาไปสู่การสร้างให้มี
ความสามารถในการใช้ภาษาองั กฤษเพือ่ การสือ่ สาร การศกึ ษาตอ่ ระดับสงู และการทางาน
แนวปฏบิ ัตใิ นการดาเนนิ การประกอบด้วย
4.1 การขยายโครงการพิเศษด้านการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษ
กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายที่จะเพิ่มจานวนห้องเรียน สถานศึกษาในโครงการพิเศษใน
รูปแบบท่ีหลากหลาย สนองตอบวัตถปุ ระสงค์เฉพาะต่อไปน้ี
4.1.1 International Program (IP) เป็นการจัดการเรียนการสอนด้วยหลักสูตรนานาชาติ
สาหรับผ้เู รียนที่มีความสามารถทางวชิ าการสงู มงุ่ จดั การเรยี นการสอนให้ได้คุณภาพของโรงเรียนนานาชาติต่อ
ยอดจากโปรแกรม EP โดยท่ีนอกจากจัดการเรียนการสอนรายวิชาต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษ การจัดกิจกรรม
เสริมด้านภาษาแล้วเน้นการเรียนวิชาต่าง ๆ รวมทั้งวิชาภาษาอังกฤษที่กาหนดไว้สาหรับผู้ท่ีจะได้รับ
ประกาศนียบัตรตามหลักสูตรของต่างประเทศ เช่น International General Certificate Secondary
Education (IGCSE) ทาความร่วมมอื กบั โรงเรียน/โปรแกรมของตา่ งประเทศ นกั เรียนจะได้รรับประกาศนยี บตั ร
2 หลกั สตู ร คือ ทง้ั ของไทยและของต่างประเทศผปู้ กครองสนับสนุนคา่ ใช้จา่ ยสูง
4.1.2 English Program (EP) เป็นการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นภาษาอังกฤษ โดยจัดสอนเป็นภาษาอังกฤษในวิชาต่าง ๆ สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 18 ชั่วโมง โดยครุ
ชาวต่างชาติเจา้ ของภาษา/หรือผทู้ ี่มีคณุ สมบัตเิ ทยี บเท่าเปน็ ผสู้ อน ยกเวน้ ภาษาไทยและรายวชิ าท่เี กย่ี วข้องกับ
ความเป็นไทย และศิลปวัฒนธรรม การจัดการเรียนการสอนสามารถดาเนินการได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึง
มัธยมศึกษาตอนปลายมุ่งพัฒนาโลกทัศน์เป็นสากล ผ่านการเรียนการสอน ปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนและกับครู
ชาวต่างชาติ รวมท้ังบรรยากาศการใช้ภาษาองั กฤษ พัฒนาทักษะ ICT ของนักเรียน และใช้สื่อ ICT ในการจัด
กิจกรรมเสริมหลักสูตรต่าง ๆ นักเรียนใช้หนังสือ สื่อ และส่ือ ICT เป็นภาษาอังกฤษ ท้ังน้ี โรงเรียนสามารถ
ระดมทรัพยากรจากผู้ปกครองเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการจัดการเรียนการสอน ได้ตามประกาศของ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
4.1.3 Mini English Program (MEP) เป็นการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร
กระทรวงศกึ ษาธิการเปน็ ภาษาองั กฤษในลกั ษณะเดียวกนั กบั EP แตน่ กั เรยี นเรยี นวิชาต่าง ๆ เปน็ ภาษาอังกฤษ
ไม่น้อยกว่า 15 ช่ัวโมง โดยครูชาวต่างชาติเจ้าของภาษา/หรอื ผู้ท่ีมีคุณสมบัติเทียบเท่าผู้สอน ยกเว้นภาษาไทย
และรายวิชาท่ีเกี่ยวข้องกับความเป็นไทย และศิลปวัฒนธรรมไทย โรงเรียนสามารถระดมทรัพยากรจาก
ผ้ปู กครองเปน็ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการจดั การเรยี นการสอนไดต้ ามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ
4.1.4 English Bilingual Education (EBE) เป็นการจัดการเรียนการสอนแบบสองภาษา
(ไทย-อังกฤษ) ในวิชาวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา (ยกเว้นประวัติศาสตร์และศาสนา) และศิลปะ โดยมี
วัตถปุ ระสงค์เพื่อเพิม่ โอกาสและเวลาในการเรยี นรแู้ ละใช้ภาษาอังกฤษของนักเรยี นในโรงเรียนทั้งขนาดเล็กและ
7
ขนาดกลางทีข่ าดความพร้อมในการจัดหาครูต่างชาติมาสอน จัดการเรยี นการสอนโดยครไู ทยท่ไี ด้รบั การพัฒนา
และเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการออกเสียง (phonics) การใช้ภาษาอังกฤษในชั้นเรียน
(classroom languages) เทคนิคและกระบวนการจัดการเรยี นการสอนแบบสองภาษาในวิชาดงั กล่าวและการ
วดั และประเมนิ ผล สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานสนับสนนุ ด้านส่ือ และแผนการจัดการเรียนรู้
สองภาษา ทงั้ น้ี ผูป้ กครองไม่ต้องจา่ ยค่าใช้จา่ ยเพิ่มเตมิ
4.1.5 English for integrated Studies (EIS) เป็นรูปแบบที่พัฒนาข้ึนโดยกลุ่มผู้บริหารและ
ครู เพ่อื เพ่ิมทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียน ทัง้ ระดบั ประถมศกึ ษาและมธั ยมศึกษา ดว้ ยจัดการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นภาษาอังกฤษโดยครูประจาวชิ าท่ีเป็นครูไทย เน้นการใช้สื่อการ
สอนท่ีเป็นภาษาอังกฤษ ซ่ึงส่วนใหญ่ครูสืบค้นจาก อินเตอร์เน็ต มีการใช้ภาษาไทยอธิบายเนื้อหาที่ซับซ้อน
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานสนับสนุนครูด้านการพฒั นาทกั ษะการออกเสียง การส่ือสสารเป็น
ภาษาอังกฤษในชั้นเรยี นและอบรมผูบ้ ริหาร ผู้ปกครองสนบั สนุนคา่ ใช้จ่ายเพ่ิมเติมบางสว่ น
โรงเรียนทีป่ ระสงค์จะเข้าร่วมโครงการขา้ งตน้ ในข้อ (1) – (3) ตอ้ งแสดงความจานงและขอรับ
การประเมินความพร้อมและได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานต้นสัง กัดก่อนดาเนินการ
เน่อื งจากมขี ้อกาหนดเกี่ยวกับเงือ่ นไขความพร้อม มาตรฐานการจัดการเรียนการสอนและระดมทรัพยากรจาก
ผ้ปู กครองส่วนขอ้ (4) การเขา้ รว่ มโครงการต้องเขา้ ส่กู ระบวนการเตรยี มความพรอ้ มและการสนับสนนุ ช่วยเหลอื
จากสถาบันภาษาอังกฤษ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานกอ่ นดาเนินการ
ทั้งน้ี กระทรวงศึกษาธิการ โดยหน่วยงานต้นสังกัดมนี โยบายและแผนที่จะขยายจานวนและ
สนับสนนุ สถานศกึ ษาในโครงการข้างตน้ โครงการข้างตน้ ใหม้ ีจจานวนเพ่ิมสงู ขึน้ ทุกปี
4.2 การพัฒนาห้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ (Enrichment Class) กระทรวงศึกษาธิการมี
นโยบายให้หน่วยงานและสถานศกึ ษาดาเนินการในเร่อื งตอ่ ไปน้ี
4.2.1 จัดห้องเรียนพิเศษด้านภาษาอังกฤษ เพ่ือให้ผู้เรียนท่ีมีศักยภาพทางภาษาอังกฤษ
สามารถใชภ้ าษาเพ่อื การส่ือสารทางสงั คม (Social Interaction) และดา้ นวชิ าการ (Academic Literacy)
4.2.2 จัดห้องเรียนสนทนาภาษาอังกฤษ (Conversation Class) ท่ีเนน้ ทกั ษะการฟังและการ
พดู อยา่ งนอ้ ยสปั ดาหล์ ะ 2 ชว่ั โมง
4.2.3 พัฒนาหลักสตู รและจดั การเรียนการสอนรายวิชาภาษาอังกฤษเพ่อื อาชีพ เพ่ือใหผ้ เู้ รียน
มีความพร้อมในการใช้ภาษาอังกฤษสาหรับประกอบอาชพี โดยเฉพาะสาหรับผู้เรียนที่จะจบชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่
3 และในโรงเรียนขยายโอกาส
4.2.4 จัดให้มีเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กับโรงเรียนในต่างประเทศ (Distance Learning)
หรือใชห้ ลักสูตรร่วมกบั สถาบนั การศกึ ษาท่ีมีมาตรฐาน
8
4.2.5 สนับสนุนให้โรงเรียนเข้าร่วมโครงการห้องเรียนพิเศษ และมีการบริหารจัดการให้ได้
มาตรฐาน และตัวชว้ี ัด
4.2.6 ประเมนิ ผลการดาเนินโครงการ และมีการพฒั นาผลการดาเนินงานต่อไป
4.3 การจัดให้มกี ารเรยี นการสอนวิชาสนทนาภาษาองั กฤษ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารมีนโยบายให้
หนว่ ยงานและสถานศกึ ษาดาเนนิ การดังน้ี
4.3.1 จัดหลักสูตรการเรียนการสอนสนทนาภาษาอังกฤษเป็นการท่ัวไป ในสถานศึกษาและ
หนว่ ยงานเพือ่ พัฒนาผูเ้ รียนและบุคลากรใหม้ ีทกั ษะในการสอื่ สารภาษาอังกฤษ
4.3.2 จัดหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น รวมถงึ จดั ให้เปน็ สาระเพิ่มเติม
ในลักษณะวิชาเลือกไดด้ ว้ ย เพือ่ ให้ผู้เรียนเลือกเรยี นตามความสนใจ ความถนดั และศกั ยภาพ
5. ยกระดับความสามารถในการจัดการเรียนการสอนของครูใหส้ อดคล้องกบั วิธีการเรียนรทู้ ่เี น้นการส่ือสาร
(CLT) และเป็นไปตามกรอบความคดิ หลัก CEFR
ครูเป็นปัจจัยที่มีความสาคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งของความสาเร็จในการพัฒนาในการใช้ภาษาอ
อังกฤษของผู้เรียน เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นทักษะท่ีต้องอาศัยการเรียนรู้ตามธรรมชาติของภาษา การ
ปฏสิ มั พนั ธ์ การเลียนแบบและการมเี จตคติท่ีดตี ่อการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะ ครูทมี่ คี วามรู้ ความสามารถและ
ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาอังกฤษจะเป็นต้นแบบท่ีดีของผู้เรียนในการเรียนรู้และฝึกฝน ครูที่มีความรู้
ความสามารถด้านการจัดการเรียนการสอน และการใช้ส่ือจะช่วยกระตุ้น สร้างแรงจุงใจและพัฒนา
ความสามารถในการเรียนรู้และการใช้ภาษาของผู้เรียน การพัฒนาครใู หม้ ีความสามารถด้านภาษาองั กฤษตาม
เกณฑ์ท่ีกาหนดตามกรอบอ้างอิง CEFR cและมีความรู้ความสามารถด้านการสอนภาษาอังกฤษแบบส่ือสาร
(CLT) จึงเป็นความสาคัญจาเป็นอย่าย่ิงที่ทุกหน่วยงานและทุกภาคส่วนท่ีเก่ียวข้อง ควรเร่งดาเนินการ เพ่ือ
ยกระดบั ความสามารถในการจัดการเรยี นการสอนของครูให้สอดคล้องกับวธิ ีการเรียนรู้ท่ีเนน้ การส่ือสาร (CLT)
และเป็นไปตามกรอบความคิดหลัก CEFR
การดาเนินการตามนโยบายเน้นไปท่กี ารประเมนิ ความรู้พ้นื ฐานภาษาองั กฤษสาหรับครู เพอ่ื ให้มี
การฝึกอบรมครูตลอดจนพัฒนาระบบตอดตามแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือครู และให้มีกลไกการเพิ่ม
ประสิทธิภาพการเรียนการสอน ท่ีมีการวางอย่างเป็นระบบ และมีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความ
แตกต่างของระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษได้จริง นอกจากน้ี ควรมีระบบการฝึกฝนและการสอบวัด
ระดับความสามารถออนไลน์เพอ่ื การพฒั นาต่อเนอ่ื งด้วย
กระทรวงศึกษาธกิ ารจงึ มนี โยบายใหห้ น่วยงานตน้ สังกดั ดาเนินการดงั ตอ่ ไปนี้
9
5.1 สารวจและประเมินความรู้พื้นฐานภาษาอังกฤษสาหรับครูท่ีเกี่ยวกับการเรียนการสอน
ภาษาอังกฤษที่เน้นการสื่อสาร (CLT) เพื่อวางแผนและดาเนินการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามระดับ
ความสามารถภายหลังการประเมิน เพือ่ ให้มีความสามารถด้านการจดั การเรยี นการสอนผ่านเกณฑ์ทกี่ าหนด
5.2 พัฒนาระบบติดตามแก้ปัญหาและช่วยเหลือครูเพ่ือให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้
อย่างมคี ณุ ภาพโดยการจัดระบบการนเิ ทศ ติดตาม สนับสนุน ช่วยเหลือ
5.3 จัดให้มีกลไกการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ และมีความ
หลากหลายเพื่อตอบสนองความแตกต่างของระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษและวธิ ีเรียนรู้ของนักเรยี น
เพอ่ื ใหส้ ามารถยกระดบั ความสามารถในการส่ือสารได้จริง
5.4 จัดให้มีการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ และความสามารถในการสอน
ภาษาองั กฤษที่เนน้ การส่อื สาร (CLT) และการพัฒนาครผู า่ นชอ่ งทางต่าง ๆ เพ่อื ให้มีการพัฒนาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
6. ส่งเสริมให้มีการใช้ส่ือ เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการศึกษาเป็นเครื่องมือสาคัญในการช่วยพัฒนา
ความสามารถทางภาษาของครูและผู้เรียน
ส่ือเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Communication Technology: ICT) เป็นเครื่องมือ
สาคัญในโลกปัจจุบันท่ีเขา้ มามีบทบาทสาคัญยิง่ ในการพฒั นาความสามารถทางภาษาของครูและผู้เรยี น การ
นาสอื่ ICT มาใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน การเรยี นรแู้ ละฝึกฝนทักษะทางภาษาจงึ เปน็ แนวทางสาคัญในการ
กระตุ้นและสร้างการเรยี นรู้การพดู ซึ่งครูบางส่วนยังขาดความพร้อมและขาดความมั่นใจ อีกท้ังส่ือยังสามารถ
ใชไ้ ด้ในทุกสถานท่ี ทกุ เวลา ใชฝ้ กึ ฝนซา้ ๆ ได้อยา่ งไม่มีขอ้ จากัด กระทรวงศกึ ษาธกิ ารจึงมีนโยบายดังต่อไปนี้
6.1 ส่งเสริมให้มีการผลิต การสรรหา e-content, learning, applications รวมถึงแบบฝึกหัด
และแบบทดสอบทไ่ี ดม้ าตรฐานและมีคณุ ภาพสาหรบั การเรยี นรู้
6.2 สง่ เสรมิ ใหม้ ีการใช้ช่องทางการเรียนรู้ผ่านโลกดิจิทัล เชน่ การเรียนรกู้ ารฟัง การออกเสียงที่
ถกู ตอ้ งตาม Phonics จากสื่อดจิ ทิ ัล
6.3 การจัดสภาพแวดล้อม/บรรยากาศที่ส่งเสริม/กระตนุ้ การฝึกทักษะการสื่อสาร เช่น English
Literacy Day, English Zone, English Corner, การเพ่ิมกิจกรรมการอ่านในและนอกห้องเรียน ซ่ึงสามารถ
จดั หาเน้อื หาสาระ และรูปแบบทห่ี ลากหลายจากสื่อ รายการโทรทศั น์ ส่ือดิจิทลั ใน tablet และสารสนเทศจาก
website ต่าง ๆ เปน็ ต้น
10
ตอนท่ี 2
การสอนภาษาอังกฤษเพอื่ การสอื่ สาร
ความหมายของการสอนภาษาองั กฤษเพอื่ การส่ือสาร
(Communicative Language Teaching : CLT)
การสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร (Communicative Language Teaching : CLT) เป็นแนวคิดใน
การสอนภาษาท่ีมุ่งเน้นความสาคัญของตัวผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการส่ือสารใน
ชีวิตประจาวันได้จริง มีการจัดลาดับการเรียนรู้เป็นขั้นตอนตามกระบวนการใช้ความคิดของผู้เรียน ซึ่งเชื่อม
ระหว่างความรู้ด้านภาษาไปใช้ในการสื่อสาร ดังนั้น ในการจัดการเรียนการสอน ครูผู้สอนต้องคานึงถึงการให้
ผเู้ รียนได้สอื่ สารในชีวิตจรงิ กิจกรรมและภาระงานต่าง ๆ ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั การสอ่ื สารจริง สื่อทใ่ี ชก้ เ็ ป็นส่ือจรงิ แต่
ก็ไม่ได้ละเลยความรู้ด้านไวยากรณ์ เม่ือเกิดความผิดพลาดทางด้านไวยากรณ์เพียงเล็กน้อย แต่ยังสามารถ
สื่อสารได้ ครูผู้สอนไม่ควรขัดจังหวะโดยการแก้ไขให้ถูกต้องทันที ควรแก้ไขเมื่อความผิดพลาดน้ันทาให้เกิด
ความไมเ่ ข้าใจหรือส่ือสารไมป่ ระสบความสาเร็จเท่านน้ั ทั้งน้เี พอ่ื ทาใหผ้ ู้เรยี นมีเจตคตทิ ี่ดีตอ่ การใช้ภาษาอังกฤษ
เพ่ือการสอื่ สาร (Davies&Pearse, 2000: Brown, 2001: Richard, 2006)
คเนล และสเวน (Canale and Swain, 1980) ได้แยกองค์ประกอบของความสามารถในการ
สือ่ สารไว้ 4 องคป์ ระกอบ ดังน้ี
1. ความสามารถทางด้านไวยากรณ์หรือโครงสร้าง (Linguistic competence and Grammatical
competence) หมายถงึ ความร้ดู า้ นภาษา ได้แก่ ความรเู้ ก่ียวกบั คาศัพท์ โครงสร้างของคา ประโยค ตลอดจน
การสะกดและการออดเสยี ง
2. ความสามารถด้านสังคม (Sociolinguistic competence) หมายถึง การใชค้ า และโครงสรา้ ง
ประโยคไดอ้ ย่างเหมาะสมตามบริบทของสังคม เชน่ การขอโทษ การขอบคณุ การถามทศิ ทางและข้อมูลต่าง ๆ
และการใชป้ ระโยคคาส่งั เปน็ ต้น
3. ความสามารถในการใชโ้ ครงสรา้ งภาษาเพอี่ ส่ือความหมายด้านการพดู และเขยี น (Discourse
competence) หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมระหว่างโครงสร้างภาษา (Grammatical form) กับ
ความหมาย (Meaning) ในการพดู และเขียนตามรปู แบบและสถานการณ์ที่แตกตา่ งกัน
4. ความสามารถในการใชก้ ลวธิ ใี นการสื่อความหมาย (Strategic competence) หมายถึง การ
ใช้เทคนิคเพ่ือให้การติดต่อส่ือสารประสบความสาเร็จ โดยเฉพาะการส่ือสารด้านการพูด เช่น การใช้ภาษา
ท่าทาง (body language) การขยายความโดยใชค้ าศพั ท์อ่นื แทนคาท่ผี ู้พูดนึกไม่ออก เป็นตน้
11
จากแนวคดิ ข้างคิด การสอนภาษาตามแนวทางการสอนภาษาเพอื่ การส่ือสารน้นั เน้นการใช้ภาษา
ของผู้เรียนมากกวา่ เนน้ โครงสร้างทางไวยากรณ์ แต่ก็ไม่ได้ละเลยโครงสรา้ งทางไวยากรณ์ เพียงแต่เน้นการนา
หลักไวยากรณ์เหล่านี้ไปใช้เพื่อการส่ือความหมายหรือการส่ือสาร จึงเป็นการให้ความสาคัญกับความ
คล่องแคล่วในการใช้ภาษาอ(fluency) และความถูกต้อง (accuracy) ด้วย ดังนั้นการเรียนการสอนแนวนี้
จะต้องเน้นการทากิจกรรมเพ่ือการฝึกฝนการใช้ภาษาให้ใกล้เคียงสถานการณ์จริงมากท่ีสุด (Littlewood,
1991 และ Larsen-Freeman, 2002)
หลกั การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพ่อื การสอ่ื สาร
การจัดการเรียนรูต้ ามแนวการสอนเพอื่ การสอื่ สารมีหลักสาคญั ดังนี้
1. ผู้เรยี นได้รบั การฝกึ ฝน รปู แบบภาษาท่ีเรียนจะใชไ้ ดใ้ นสถานการณท์ ่มี ีความหมาย ครตู ้องบอก
ให้ผเู้ รยี นทราบถงึ จุดมงุ่ หมายของการเรียน การฝึกฝนการใช้ภาษาเพื่อใหก้ ารเรียนภาษาเป็นส่งิ ท่ีมีความหมาย
ต่อผู้เรียน ให้ผู้เรียนรู้สึกว่า เมื่อเรียนแล้วสามารถทาบางส่ิงบางอย่างได้เพ่ิมขึ้น สามารถส่ือสารได้ตามที่ตน
ต้องการ
2. จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการหรือทักษะสัมพันธ์ (Integrated Skill) คือใช้ทักษะทาง
ภาษาท้ัง 4 ประกอบด้วยกิริยาท่าทาง ท่ีควรจะไดท้ าพฤติกรรมเช่นเดยี วกับในชีวิตจริง
3. ฝึกสมรรถภาพด้านการส่ือสาร (Communicative Competence) คือผู้เรียนทากิจกรรมใช้
ภาษามีลักษณะเหมือนในชีวติ ประจาวันให้มากท่ีสุด เพ่ือให้ผู้เรียนนาไปใช้ได้จริง กิจกรรมการหาข้อมูลที่ขาด
หายไป (Information Gap) ผเู้ รยี นทากิจกรรมนจ้ี ะไมท่ ราบข้อมูลของอีกฝ่ายหนงึ่ จาเปน็ ต้องส่อื สารกันจึงจะ
ทราบข้อมูล สามารถเลือกใช้ข้อความท่ีเหมาะสมกับบทบาท สถานการณ์ สานวนภาษาในรูปแบบต่าง ๆ
(function)
4. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ รวมท้ังประสบการณ์ที่ได้รับ สามารถ
แสดงความเห็น หรือระดมสมอง (Brainstorming Activity) ฝึกการทางานกลุ่มแสดงบทบาทสมมุติ (Role
Play) เกมจาลองสถานการณ์ (Simulation) การแกป้ ญั หา (Problem Solving) ฯลฯ
5. ฝึกผู้เรียนใหใ้ ชภ้ าษาในกรอบของความรู้ทางด้านหลกั ภาษา (Grammatical Competence)
ความรู้เก่ยี วกับกฎเกณฑ์ของภาษา สอ่ื สารไดค้ ล่อง (Fluency) เนน้ การใช้ภาษาตามสถานการณ์ (Function)
6. จดั กจิ กรรมการเรียนการสอนตามศักยภาพของผู้เรยี น
7. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นตัวของตัวเอง มีความรับผิดชอบ และสนับสนุนให้ศึกษาหาความรนู้ อก
ชัน้ เรียน
8. ผู้สอนต้องจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนท่สี นองความสนใจของผูเ้ รยี น
9. ให้โอกาสผเู้ รียนพูดแสดงความคิดเห็นตามท่ีต้องการ
12
10. ต้องช่วยช้ีแนะ นาทางผู้เรียน ให้คาแนะนา ในระหว่างการดาเนินกจิ กรรม พร้อมกับตรวจ
ความก้าวหนา้ ทางการเรยี นของผู้เรยี น
Jack C. Richards (2006) ได้ใหอ้ ขอ้ สรปุ 10 ประการในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพอ่ื การ
สอื่ สาร (Ten core assumptions of current communicative language) ไว้ดังน้ี
1. Interaction: การเรียนรู้ภาษาที่สองจะเกิดขึ้นได้ง่ายถ้าผู้เรียนได้ปฏิสัมพันธ์หรือสื่อสารใน
ภาษาน้ันอย่างมีความหมาย
2. Effective Tasks: กิจกรรมภาษาหรือแบบฝึกหัดท่ีมีคุณภาพในช้ันเรียนจะทาให้ผู้เรียนมี
โอกาสท่ีจะสื่อความหมายในภาษา เพ่ิมพูนแหล่งการเรียนรู้ภาษา สังเกตการใช้ภาษา และมีส่วนในการร่วม
สอ่ื สาร
3. Meaningful Tasks: กิจกรรมส่อื สารจะมีความหมายก็ต่อเมื่อผู้เรียนส่ือสารเรอ่ื งเกย่ี วข้องกับ
ตน น่าสนใจ และนา่ มีสว่ นรว่ ม
4. Integration of skills: การส่ือสารเป็นกระบวนการเน้นภาพรวม (holistic process) ที่ต้อง
ใชท้ ้งั ทกั ษะทางภาษาและหลายรูปแบบ
5. Language Discovery/Analysis/Reflection: การเรียนภาษาเกอดจากการทากิจกรรมการ
เรยี นร้แู บบอุปนยั (inductive learning) คือผ่านกระบวนการคน้ พบกฎและรูปแบบของภาษาดว้ ยตนเอง และ
จาสกกจิ กรรมการเรียนรทู้ สี่ อนกฎและรปู แบบของภาษา (deductive learning)
6. Accuracy & Fluency: การเรียนภาษาเป็นการเรียนรู้ที่ค่อยไป ท่ีผู้เรียนเรียนรู้จากการใช้
ภาษาและจากการลองผดิ ลองถูกในภาษา และถงึ แม้ความผิดพลาดในการใชภ้ าษาจะเป็นเรอ่ื งธรรมดาท่ีเกิดขึ้น
ในการเรียนรู้ แต่เป้าหมายปลายทางของการเรียนภาษาคือ การมีความสามารถในการใช้ภาษาอย่างถูกต้อง
และเหมาะสม
7. Individuality: ผู้เรียนแต่ละคนมีหนทางพัฒนาภาษาของตนเอง และมีอัตราการพัฒนาท่ีไม่
เทา่ กนั และมคี วามต้องการและแรงจงู ใจในการเรยี นภาษาท่ีตา่ งกนั
8. Learning and Communication Strategies: การเรียนภาษาท่ีมีประสิทธภิ าพข้ึนอยู่กับกล
ยทุ ธใ์ นการเรยี นละกลยทุ ธ์การส่อื สารที่มปี ระสิทธิภาพ
9. Teacher as a facilitator: บทบาทของผู้สอนในห้องเรียนคือ ผู้ช่วยสร้างบรรยากาศในการ
เรียนรู้ สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกและใช้ภาษาและให้ผลสะท้อนกลับในการใช้ภาษาแลการเรียนรู้ภาษาของ
ผเู้ รียน
10. Collaboration & Sharing atmosphere: ห้องเรียนเปรียบเสมือนชุมชนที่ผู้เรียนสามารถ
เรยี นรู้และแบ่งปนั การเรยี นรู้
13
ลอตตี้ เบเกอร์และเจเน็ต ออร์ (Lotti Baker and Janet Orr, 2014) ไดเ้ สนอแนวคิดในการสอน
ภาษาเพ่ือการสื่อสารในการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาวอทยากรแกนนากลวิธีการจัดการกิจกรรมการเรียน
การสอนภาษาอังกฤษเพือ่ การส่อื สารและการประยกุ ตใ์ ชใ้ นชนั้ เรียน (Communicative Language Teaching
Approach and Integrating in Classroom) ระหว่างวันที่ 9-11 มกราคม 2557 สาหรบั ใช้ขยายผลครูผู้สอน
ภาษาอังกฤษในจุดอบรมท่ัวประเทศ โดยได้สรุปจากแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยของนักวิชาการศึกษาหลาย
ท่านวา่ “กาสอนภาษาเพอื่ การส่ือสารเปน็ วธิ ีการสอนมากกว่าเป็นระเบียบวิธีท่ีเฉพาะเจาะจง ซง่ึ หมายความว่า
การสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารสามารถสอนด้วยวิธีการและเทคนิคท่ีหลากหลาย (Brown, 2004: Harmer,
2003) ทฤษฎที ่อี ยเู่ บ้ืองหลังการสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร คอื หน้าท่ีหลกั ของภาษาคอื การส่ือสาร และการให้
นักเรียนเรียนรู้ภาษาด้วยการส่วนร่วมในการส่ือสารในสถานการณ์จริง ทักษะที่สัมพันธ์กับการเรียนการสอน
แนวนี้ คือ ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ส่วนวยากรณ์ (การเขียนและการพูด) ยังคงมี
ความสาคัญ แต่จุดต่างอยู่ที่ไวยากรณ์นั้นจะสอนในบริบทของการสื่อสารที่มีความหมายมากกว่าการแยกสอน
ไวยากรณ์ต่างหาก” ทั้งน้ี Lottie Baker & Janet Orr (2004) ได้สรุปการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารตามหลกั
ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ไว้ 4 ประการดังนี้
1. เน้นการส่ือสารท่มี ีประสิทธภิ าพด้วยความถูกต้องและคล่องแคล่ว (A focus on effective
communication with accuracy and fluency) ความสามารถในการสื่อสารเป็นเป้าหมายของการสอน
ภาษาเพื่อการสื่อสาร และการส่ือสารท่ีมีประสิทธิภาพน้ันสัมพันธ์กับความถูกต้องในการด้านไวยาการณ์และ
คาศัพท์ซึ่งต้องควบคู่ไปกับการความคล่องแคล่วในการพูดและการเขียน (Hymes, 1971) นอกจากนี้ Canaie
& Swain (1980) ได้เพิ่มเติมจากแนวคิดของ Hymes โดยสรุปความสามารถที่จาเป็นในการสื่อสารท่ีมี
ประสิทธิภาพไว้ส่ีประการ ประกอบด้วยความสามารถด้านไวยากรณ์ (Grammatical) ด้านวาทกรรม
(Discourse) ด้านภาษาศาสตร์เชิงสังคม (Sociolinguistic) และด้านการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย
(Strategic) และผ่านมากว่าสี่ทศวรรษ นักวิชาการยังคงศึกษาอย่างต่อเน่ืองเพื่อยืนยันความสาคัญของความ
ถูกต้องในความรดู้ ้านหนว่ ยเสียง ไวยากรณ์ คาศัพท์ และความคล่องแคลว่ ในการส่ือสาร
2. ความกลา้ ใชภ้ าษาในการรว่ มกิจกรรมกลมุ่ (Risk-taking in Cooperative Group) กจิ กรรม
การเรยี นรูแ้ บบร่วมมอื กนั แสดงถงึ การเพม่ิ ปฏิสมั พันธ์ระหงา่ งผเู้ รยี น ซึ่งเปดิ โอกาสให้ผ้เู รียนไดใ้ ชภ้ าษาเพื่อการ
สื่อสาร (Johnson & Johnson, 1999) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือกันจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของ
นักเรียนและพัฒนาเป็นกลุ่มท่ีมีโครงสร้างของการเอ้ือประโยชน์ต่อกกันในกลุ่ม (Kangan, 1994) กลุ่มน้ัน
สาคัญยิง่ ต่อการเร่ิมใช้ภาษาของนกั เรียนที่ประหม่าในการพูดต่อหน้ากล่มุ ใหญ่ กิจกรรมในกลมุ่ เล็ก ๆ นน้ั สร้าง
แรงจูงใจในการใช้ภาษาและกระตนุ้ นกั เรียนให้กล้าเสีย่ งในการใชค้ าศพั ท์และโครงสร้างภาษาใหม่ (Calderon,
Slavin, & Sanchez, 2011)
14
3. เช่อื มโยงกบั ความหมายและบริบท (Connected to meaning and Context) ในการสอน
ภาษาเพ่ือการส่ือสารน้ัน นักเรียนจะมีพัฒนาการทางภาษาด้วยการใช้ภาษาในชีวิตจริง (Harmer, 2003:
Nunan, 1989) สแดคล้แงกับทฤษฎีทางสังคมวัฒนธรรมของ Vygotsky ท่ีได้ใหข้ ้อสรุปเก่ยี วกับการสอนภาษา
เพื่อการส่ือสารไว้ว่า “วิธีที่ดีท่ีสุดท่ีจะเรียนรูแ้ ละสอนภาษา คือ การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม” (Chaiklin, 2003)
ภาระงานดา้ นภาษาควรเช่ือมโยงประเด็นท่ัว ๆ ไปที่เก่ยี วข้องกบั การใช้ภาษาในชีวติ จริง
4. ทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking Skills) ทักษะการคิดวิเคราะห์มีความสาคญั มาก
ข้ึนสาหรับนักเรียนในทุกสาขาวิชา ไม่เพียงแต่ด้านภาษาเท่าน้ัน ทฤษฎีการคิดที่เป็นท่ีรู้จักกันอย่างแพรห่ ลาย
คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม (Boom’s Taxonnmy) บลูม (Bloom, 1956) ได้เสนอแนวคิดว่า
นกั เรยี นมคี วามจาเปน็ ท่ีตอ้ งรู้จกั ทักษะการคดิ ท้งั ในระดับสูงและระดบั ล่าง ทักษะในระดับลา่ ง คอื การจาและ
ความเข้าใจ เช่น กาจดจาคาศัพท์ใหม่และเข้าใจวลีพ้ืนฐาน ทักษะในระดับสูง คือ การสังเคราะห์และการ
ประเมินผล เช่น การรวบรวมข้อมูลย่อยในการเล่าเรื่อง หรือ แสดงความคิดเห็นและตัดสินด้วยเหตุผลทักษะ
การคดวิเคราะห์มีความสาคัญอย่างย่งิ ต่อการสอนภาษาเพอื่ การสื่อสาร เพราะภาระงานด้านการสือ่ สารน้นั ตอ้ ง
บูรณาการทั้งทักษะระดับล่างและระดับที่สูงข้ึน ยกตัวอย่าง เช่น ในการสร้างภาษาใหม่นั้นนกั เรียนต้องจดจา
คาศัพทใ์ หม่ สงั เคราะหค์ วามคดิ และประเมินเลอื กวธิ ที ีด่ ที ส่ี ุดในการส่อื สาร
แนวการจดั การเรียนการสอนภาษาองั กฤษเพอื่ การสื่อสาร
แนวการสอนภาษาเพ่อื การสอื่ สาร (Communicative Teaching Approach) เปน็ แนวทางการ
สอนทม่ี ่งุ เนน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคญั เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นได้เรียนร้อู ย่างมปี ระสิทธิภาพ ฝึกการใช้ภาษาในสถานการณ์จริงที่
มีโอกาสพบในชีวติ ประจาวัน และยังให้ความสาคัญกับโครงสร้างไวยาการณ์ แนวการเรียนการสอนภาษาเพือ่
การส่ือสารให้ความสาคัญในเรื่องความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา (Use) มากกว่าวิธีใช้ภาษา (Usage)
นอกจากนี้ ยังให้ความสาคัญในเร่ืองความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา (Fluency) และความถูกต้องของการใช้
ภาษา (Accuracy) การจดั การเรยี นการสอนจงึ เน้นหลกั สาคญั ดงั ต่อไปน้ี
1) ต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้ว่ากาลังทาอะไร เพื่ออะไร ผู้สอนต้องบอกให้ผู้เรียนทราบถึงความมุ่ง
หมายของการเรยี นและการฝึกใชภ้ าษา เพอ่ื ใหก้ ารเรียนภาษาเปน็ ส่ิงทีม่ คี วามหมายต่อผเู้ รียน
2.) การสอนภาษาโดยแยกเป็นสว่ น ๆ ไม่ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรู้การใช้ภาษาองั กฤษเพือ่ การส่ือสาร
ได้ดเี ทา่ กับการสอนในลักษณะบูรณาการในชีวิตประจาวัน การใชภ้ าษาเพอ่ื การส่อื สารจะตอ้ งใช้ทักษะหลาย ๆ
ทกั ษะ รวม ๆ กันไป ผู้เรียนควรจะได้ยินฝกึ ฝนและใชภ้ าษาในภาพรวม
3) ตอ้ งใหผ้ ู้เรยี นได้ทากจิ กรรมการใชภ้ าษา ท่ีมลี ักษณะเหมอื นในชวี ิตประจาวนั ให้มากทสี่ ดุ
4) ต้องให้ผู้เรียนฝึกการใช้ภาษามาก ๆ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทากจิ กรรมในรปู แบบต่าง ๆ
ใหม้ ากทีส่ ดุ ท่จี ะเปน็ ไปได้
15
5) ผู้เรียนตอ้ งไมก่ ลัวว่าจะใช้ภาษาผิด
Jack C. Richard (2006) ได้เสนอวิธีการสอนเพื่อการสื่อสารอีก 2 วิธี ท่ีเน้นกระบวนการ คือ
แนวทางการสอนภาษาโดยใช้เนอ้ื หาเป็นฐาน (Content-Based Approach: CBI) และแนวการสอนท่ยี ดึ ภาระ
งานเป็นฐาน (Task-Based Instruction: TBI) โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้
1. แนวการสอนภาษาโดยใช้เนื้อหาเป็นฐาน (Content-Based Approach) เป็นแนวการสอนที่
เน้นเนื้อหาสาระการเรียนรู้มาบูรณาการกับจุดมุ่งหมายของการสอนภาษา กล่าวคือ ให้ผู้เรียนใช้ภาษาเป็น
เครื่องมือในการเรียนรู้ และในขณะเดียวกันก็พัฒนาการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารไปด้วย ดังน้ัน การคัดเลือก
เนื้อหาที่นามาให้ผู้เรียนได้เรียนจึงเป็นส่ิงสสาคัญอย่างย่ิง เพราะเนื้อหาท่ีคัดเลือกมาจะต้องเอ้ือต่อการบูรณา
การสอนภาษาทงั้ 4 ทักษะ คอื ฟัง พดู อ่าน เขียน นอกจากน้ี ยังช่วยสามารถพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์
สามารถติดตาม ประเมินข้อมูลของเรื่อง และพัฒนาการเขียนเชิงวิชาการท่ีเก่ียวข้องกับเร่ืองน้ันย ๆ ได้ทาให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ภาษาในลกั ษณะองค์รวม Whole Language Learning)
2. แนวการสอนที่ยึดภาระงานให้สาเร็จ (Task-Based Approach) เป็นการเรียนรู้ภาษาท่ีเกิด
จากการปฏิสัมพนั ธ์ในขณะที่ทาภาระงานใหส้ าเร็จ ความรูด้ า้ นคาศัพทแ์ ละโครงสร้างจะเปน็ ผลท่ไี ด้จากการฝึก
ใช้ภาษาในขณะทากิจกรรม นิยมนาแนวคิดนี้ไปใช้กับนักเรียนในระดับประมศึกษา เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้
ภาสาเกิดจากกระบวนการท่นี ักเรียนไดล้ งมอื ปฏิบตั ิงานจนลลุ ่วงตามจุดม่งุ หมายทีก่ าหนดไว้ (Willis, 1996)
การจัดการเรยี นร้ทู เี่ นน้ ภาระงาน มจี ุดมุ่งหมาย 4 ประการ คือ
1) เพ่ือให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารและในการปฏิบัติภาระงานที่ได้รับ
มอบหมายได้เป็นสาเร็จ
2) เพือ่ ให้สามารถนาความรแู้ ละประสบการณ์ทางภาษาทไ่ี ด้รับไปใช้ในชีวติ จรงิ ได้
3) เพือ่ พฒั นาทกั ษะการคดิ โดยผา่ นกระบวนการปฏบิ ัติภาระงาน
4) เพ่อื ให้สามารถปฏิบตั ติ นไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสมในการทางานร่วมกับผอู้ นื่
ข้ันตอนการเรียนการสอนตามแนวทางการสอนภาษาเพ่อื การสือ่ สาร
ขั้นตอนการจดั การเรยี นการสอนตามแนวการสอนภาษาเพ่อื การสื่อสารในทน่ี ี้ ขอกลา่ วถึงวธิ ีการ
สอนแบบ 3Ps หรอื P-P-P ซงึ่ มขี น้ั ตอนดังตอ่ ไปนี้
16
Presentation
Teachers explain and
demonstrate the meaning and
form of the new language
presented.
Production Practice
Students transfer what they have Students practice the new language
learnt to use in the simulations real presented in a controlled and semi-
situations in an uncontrolled way. controlled way using various types
of activities techniques.
สุมติ รา อังวัฒนกลุ (2540) ได้สรุปขั้นตอนวิธกี ารสอนภาษาองั กฤษเพอื่ การสือ่ สารไว้ 3 ขัน้ ตอน คือ
1. ข้ันนาเสนอ (Presentation) เป็นการใหต้ ัวปอ้ นทางภาษา (Language Input) แกผ่ ้เู รียนซึ่ง
จัดเป็นข้ันตอนการสอนท่ีสาคัญช้ันหน่งึ ข้ันน้ีครูจะนาเสนอเน้ือหาใหม่ โดยจะมุ่งเนน้ การให้ผู้เรียนได้รับรแู้ ละ
ทาความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและรูปแบบภาษาที่ใช้กันจริงโดยทั่วไป รวมท้ังวิธีการการใช้ภา ไม่ว่าเป็น
ดา้ นการออกเสียง ความหมาย คาศพั ท์ และโครงสรา้ งไวยาการณ์ทเ่ี หมาะสมกบั สถานการณต์ ่าง ๆ ควบค่กู ันไป
2. ขั้นฝึกปฏิบัติ (Practice) เป็นการฝึกให้ผู้เรียนมีความแม่นยาในรูปแบบภาษา เพ่ือจะได้
สามารถนาไปใช้ในการส่ือสารต่อไป หลังจากท่ีผู้เรียนได้รับรู้รูปแบบภาษาว่าเป็นอย่างไร และส่ือความหมาย
อย่างไรในชั้นนาเสนอไปแล้ว ในช้ันนี้ควรเป็นการฝึกที่เน้นความหมาย (Meaningful drills) เพราะผู้เรียนมี
ความจาเป็นในการใช้ภาษาเพ่ือส่ือความหมาย การฝึกเน้นความหมายมีหลายแบบ เช่น ฝึกการแลกเปลี่ยน
ข้อมูล (Information gap) การแสดงบทบาทสมมุติ (Role-play) ฝึกด้วยการเล่นเกมท่ีมีการควบคุมการใช้
ภาษา เปน็ ตน้
3. ข้นั นาไปใช้ (Production) เป็นการฝกึ ใช้ภาษาเพื่อการสอื่ สาร เปรยี บเสมือนการถ่ายโอนการ
เรียนรู้ภาษาจากสถานการณ์ในช้ันเรียนไปสู่การนาภาษาไปใช้จริง การฝึกใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสารโดยทั่วไป
มุ่งหวังให้ผู้เรยี นไดล้ องใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จาลองจากสถานการณ์จรงิ หรือที่เป็นสถานการณ์จริง
17
ด้วยตนเอง โดยครูผู้สอนเป็นเพียงผู้แนะแนวทางเท่านั้น ส่วนผู้เรียนมีหน้าที่ในการผลิตภาษา กิจกรรมท่ีให้
ผู้เรียนปฏิบัติควรเป็นกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนมีความต้องการและมีจุดมุ่งหมายในการส่ือสาร และเปิดโอกาสให้
ผู้เรยี นไดเ้ ลือกใชภ้ าษาหรอื เน้ือหาด้วยตนเองมากทีส่ ดุ อีกท้ังผ้เู รยี นควรจะไดป้ ระเมินผลการส่ือสารของตนจาก
ผลสะท้อนกลับ
กระบวนการเรยี นการสอนภาษาองั กฤษเพื่อการสอื่ สาร
กระบวนการเรียนการสอนตามแนวทางการสอนเพ่ือการสื่อสารท่ีมีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับ
องคป์ ระกอบ 3 ประการ คอื กจิ กรรม เทคนคิ การสอน และบทบาทของผ้เู รยี นและครผู ู้สอน
1. กิจกรรม เป็นองค์ประกอบท่ีมีความสาคัญมากในกระบวนการสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร
เพราะเป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ภาษาในการสื่อสารที่สมจริงในห้องเรียน (Richanrds, 2006)
กิจกรรมทด่ี ีน้นั จะขึน้ อยู่กบั ลักษณะของกิจกรรม และลักษณะของการจดั กิจกรรม
1.1 ลักษณะของกิจกรรมท่เี อ้อื ตอ่ การเรียนการสอนภาษาเพอื่ การสื่อสาร มีดังนี้
1) กจิ กรรมสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์บทเรยี น
2) กิจกรรมมจี ุดม่งุ หมายในการใชภ้ าษาเพอื่ ส่ือความหมาย
3) กจิ กรรมทาใหเ้ กิดความจาเป็นทจ่ี ะสื่อความหมาย
4) กิจกรรมเปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นรบั รูผ้ ลของการส่ือความหมาย
5) กจิ กรรมนา่ สนใจและท้าทาย
6) กจิ กรรมเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้ใช้ความรู้และประสบการณท์ ม่ี ีอยู่
7) กจิ กรรมเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้ใชค้ วามรูแ้ ละประสบการณ์ทม่ี อี ยู่
8) กิจกรรมฝกึ ให้ผเู้ รียนมกี ลยุทธก์ ารเรียนรู้
1.2 ลักษณะของการจัดกิจกรรม การจัดกิจกรรมในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการ
สื่อสารนั้นสามารถทาได้หลายลักษณะ ก่อให้เกิดปฏิสัมพนั ธ์หลายรปู แบบในช้ันเรียน เช่น ปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ ง
ผู้เรยี น-บทเรยี น ผเู้ รียน-ผเู้ รยี น ผเู้ รียน-ครูผู้สอน ท่ีจะช่วยใหผ้ ้เู รยี นไดฝ้ กึ ใช้ภาษาในรปู แบบตา่ ง ๆ ลกั ษณะการ
จัดกิจกรรมมีดังนี้
1) การจัดกิจกรรมรายบุคคล (individual work) เป็นกิจกรรมท่ีฝึกพึ่งตนเองในการเรียนรู้
(Autonomous learning) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกทากิจกรรมตามลีลาการเรียนรู้ (Learning style) ใน
รูปแบบท่ีตนต้องการ ในเวลาท่ีเหมาะสมกับตนเอง และสามารถทาได้นอกช้ันเรียน กิจกรรมท่ีเหมาะสมกับ
กจิ กรรมรายบุคคล ได้แก่ การอ่านหนังสอื นอกเวลา การเล่นเกมตา่ ง ๆ เชน่ เกมปริศนาอักษรไขว้ เกมสรา้ งคา
เป็นตน้
18
2) การจัดกิจกรรมแบบคู่ (Pair work) เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
ผู้เรียนด้วยกันท่ีจะต้องคิดและทาร่วมกัน (Collaborative learning) ทาให้เกิดการใช้ภาษาในสถานการณ์ท่ี
เหมือนจริงอย่างไรก็ตาม ระหว่างทากิจกรรมครูผู้สอนจะเป็นผู้ควบคุม คอยให้ความช่วยเหลือเม่ือผู้เรียน
ต้องการ กิจกรรมที่เหมาะสมกับกิจกรรมรายคู่ ได้แก่ การถามหาข้อมูลที่ตนขาดหายไปจากคู่ของตน
(Information gap) การแสดงบทบาทสมมตุ ิ (role-play) เปน็ ต้น
3) การจัดกิจกรรมแบบกลุ่ม (Group work) เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนมีภาวะอิสระ
(Autonomy) ลดการพึ่งครูผผู้สอน จานวนผู้เรียนในแต่ละกลุ่มข้ึนอยู่ลักษณะงานแต่ไม่ควรเกิน 6 คน
กิจกรรมท่ีเหมาะสมกับกิจกรรมแบบกลุ่ม ได้แก่ การอภิปราย (Discussion) การอ่านและฟังส่วนต่าง ๆ ของ
เร่ืองราวแล้วนาส่วนเหล่านี้มาปะติดปะต่อกัน (Jigsaw reading/listening) การช่วยหาข้อมูลเพื่อมาทพ
โครงงาน การเล่นเกมตา่ ง ๆเชน่ การตอ่ คา เกมยีส่ ิบคาถาม เป็นต้น
4) การจัดกิจกรรมแบบทาร่วมกันท้ังช้ัน (Class work) เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี
ปฏิสัมพนั ธ์กับครูผู้สอน เป็นกจิ กรรมท่ีผเู้ รียนทาพร้อมกนั ทง้ั ห้อง ครผู ู้สอนสามารถช้ีนาและควบคุมกิจกรรมได้
มากกว่ากิจกรรมท่ีจัดในลักษณะอน่ื กิจกรรมที่เหมาะสมกับกิจกรรมแบบทาร่วมกันทั้งชั้น ได้แก่ การฝึกออก
เสยี งคา ฝึกการอ่านออกเสียง การทาตามคาส่งั การอภิปรายแสดงความคิดเหน็ เป็นตน้
2. เทคนิคการสอน เทคนิคการสอนเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญมากในกระบวนการเรยี นการสอน
เพ่ือการส่ือสารเพราะเทคนิคการสอนท่ีเหมาะสมจะช่วยให้การเรียนการสอนเพ่ือการส่ือสารประสบ
ความสาเรจ็ เทคนคิ การสอนทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ ได้แก่
2.1 ให้ผู้เรียนได้พบและได้ใช้ภาษาในการส่ือสารให้มากท่ีสวุด การส่ือสารท่ีสมจริงือการท่ี
ผู้เรียนมุ่งความสนใจไปที่สื่อออกมาหรือสารท่ีต้องการส่ือออกไป ไม่ใช่มุ่งที่ตัวภาษา (Breen และ Candlinm
1980)
2.2 ใช้อุปกรณ์และส่ือการสอนที่ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจภาษาท่งี า่ ยขนึ้ ส่อื ตามแนวการสอนแบบ
CLT ประกอบดว้ ย
2.2.1 เน้ือหา (Text-based materials) คือ แบบเรียนท่ีจัดกิจกรรมเน้นการสอนแบบ
CLT เช่น มีกิจกรรมใหผ้ ้เู รยี นแสดงบทบาทสมมุติ กจิ กรรมคู่ หรอื กจิ กรรมกลมุ่
2.2.2 งาน/กิจกรรม (Task-based materials) คือ ส่ือท่ีเน้นการทากิจกรรมและภาระ
งานท่เี น้นให้ผูเ้ รยี นได้ทางานกล่มุ เพ่ือให้เกิดกระบวนการเรียนรู้
2.2.3 สื่อจริง (Realia/Authentic materials) คือ สื่อท่ีใช้จริงในชีวิตประจาวัน เช่น
ปา้ ยประกาศ โฆษณา รปู ภาพ แผนที่ แผ่นพับ และหนังสือพมิ พ์ เป็นต้น
2.3 หาวธิ ีการที่ทาให้ผู้เรียนไม่รู้สกึ เครียดระหว่างเรียน และสร้างบรรยากาศท่ที าให้ผู้เรียนไม่
อายเวลาตอบผดิ (Dulay, Burt และ Hrashen, 1982)
19
2.4 ศึกษาความสนใจของผู้เรียนและแทรกสิ่งท่ีผู้เรียนสนใจไวใ้ นบทเรียนด้วย และครูผู้สอน
ควรเรยี นรดู้ ว้ ยว่าผู้เรยี นชอบทางานกบั ผ้ใู ด
2.5 เน้นกระบวนการเรยี นรู้ (Process) มากกวา่ ผลงานการเรียนรู้ (Product)
3. บทบาทของครผู ู้สอนและผเู้ รียน
Jack C. Richards (2006) ได้เสนอบทบาทครูและผู้เรียนท่ีต้องปรับเปล่ียนในการจัดการเรียน
การสอนภาษาอังกฤษเพ่อื การสอ่ื สารดังนี้
3.1 บทบาทครูผู้สอน (Teacher’s role) ครูมีบทบาทเป็นผู้เตรียมและดาเนินการจัดกิจกรรม
เพ่อื การส่ือสาร ใหผ้ ู้เรียนได้มีโอกาสใช้ภาษาใหม้ ากท่ีสุด ครผู สู้ อนตะควบคุมการเรียนในชว่ งที่มีการฝึกรูปแบบ
ภาษาเท่านั้น แต่ในช่วงท่ีให้ผู้เรียนใช้ภาษา ครูผู้สอนจะลดบทบาทลงเป็นเพียงผู้กากับรายการคอยให้ความ
สะดวก ตลอดจนให้ความช่วยเหลือเมื่อผู้เรียนต้องการเท่าน้ัน ครูจะกระตุ้นให้กาลังใจ ช่วยเหลือให้ผู้เรียน
สามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารให้ได้ความหมายและถูกต้องตามหลักไวยาการณ์ อันเป็นการเชื่อมช่องว่าง
ความสามารถทางไวยากรณ์ (grammar competence) และความสามารถทางการสอื่ สาร (Communicative
competence) ของผู้เรียน และครูผู้สอนจะไม่ขัดจังหวะในขณะที่ผู้เรยี นกาลังใช้ภาษาถึงแม้ว่าจะใช้ภาษาไม่
ถูกต้องก็ตาม แค่ครูจะช่วยอธิบายและให้ความช่วยเหลือก็ต่อเมื่อการสื่อสารเป็นผู้เตรียมผู้เรยี นให้พร้อมก่อน
การเรียนรู้ รวมท้ังเป็นผู้ใหญข่ ้อมูลทางภาษาแกผ่ ู้เรียน ครูผู้สอนต้องพยายามใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารใน
ห้องเรียนให้มากที่สุด เป็นผู้เสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ นอกจานี้ ครูผู้สอนยังเป็นผู้
ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และให้ขอ้ มลู สะท้อนกลับแกผ่ ้เู รียนอีกด้วย
3.2 บทบาทผู้เรียน (Learner’s role) ในการเรียนการสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร ผู้เรียนมี
บทบาทสาคัญในห้องเรยี นมากกว่าครูผู้สอน ผู้เรียนเป็นผู้มีส่วนรว่ มในการเรียนรู้ ได้ลงมือใช้ภาษาด้วยตนเอง
โดยการแลกเปล่ียนข้อมูลกับเพ่ือน การช่วยเหลือซ่ึงกันและกันทาให้เกิดการเรียนรู้จากการทากิจกรรมกลุ่ม
ร่วมกนั และผูเ้ รียนพยายามเรียนรู้ดว้ ยตนเองเพิ่มข้นึ โดยนาสง่ิ ที่ตนเรียนรู้ในหอ้ งเรียนเปน็ เคร่ืองมือชว่ ยในการ
หาความรู้เพิม่ เตมิ นอกห้องเรียน เชน่ การอา่ นหนังสอื ภาษาอังกฤษ เรียนรู้เพ่มิ เติมในสง่ิ ทตี่ นสนใจจากหอ้ งสมุด
อินเทอร์เน็ต เป็นต้น นอกจากน้ี ผู้เรียนยังสามารถประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถให้ข้อมูล
ย้อนกลบั แกเ่ พื่อนร่วมชั้นเรยี นไดอ้ ีกด้วย
20
ตอนท่ี 3
การวดั ผลและประเมนิ ผลการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษ
ความสาคญั ของการวัดผลและการประเมนิ ผลทางภาษา
การวัดผลและประเมินผล เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนการสอนท่ีผู้สอนจะต้องจัดทา
อยา่ งตอ่ เน่ืองท้งั ก่อน ระหว่าง และหลงั เสรจ็ สิน้ การเรยี นการสอน และจะตอ้ งมเี ป้าหมายเพอ่ื การพัฒนาผู้เรียน
เป็นสาคัญ ตอบสนองตอ่ ผู้เรียนรายบคุ คล สถานศึกษา และประเทศ รวมทงั้ ความเปน็ สากลนานาชาติ การวัด
และประเมนิ ผลจึงต้องครอบคลุมท้ังด้านความรู้ทักษะกระบวนการ และสมรรถนะตามเป้าหมายของหลักสูตร
นอกจากน้ี ยังสามารถนาผลการประเมินไปเป็นข้อมูลสาหรับติดตาม กากับ สนับสนุน และพัฒนาการเรยี นรู้
พฒั นาการเรียนการสอน และพัฒนาคุณภาพการศึกษา
การกาหนดวตั ถุประสงค์ในการประเมนิ
ผสู้ อนต้องกาหนดสง่ิ ทต่ี ้องการประเมินใหช้ ัดเจนตามสมรรถภาพในการสอ่ื สาร โดยอาจแยกเป็น
ประเดน็ ตามวตั ถุประสงค์ในการประเมนิ ดังน้ี
1. ประเมนิ เน้อื หาทางภาษาหรอื การใชภ้ าษา
1.1 ประเมินเนือ้ หาย่อย ๆ ทเี่ ปน็ องค์ประกอบของประโยคจะมงุ่ วดั และประเมนิ ทไี่ วยากรณ์
คาศัพท์ การออกเสยี ง
1.2 ประเมินวธิ ีการท่ีนักเรียนนาเอาองค์ประกอบเหล่านีม้ ารวมกนั ในขณะท่ใี ช้ภาษา
2. ประเมนิ สมรรถภาพทางภาษา ผสู้ อนสามารถประเมนิ ดังนี้
2.1 ประเมินการใช้ภาษาทเ่ี หมาะสมกบั บุคคลตามสถานภาพทางสังคมและวัฒนธรรม
2.2 ประเมนิ ความสละสลวยในการลาดบั ความทางภาษา สมรรถนะทางการเรยี บเรยี งถ้อยคา
2.3 ประเมนิ กลวธิ ีในการสื่อสาร วธิ ีการหาขอ้ มูล การแก้ปัญหาในการพูด
3. ประเมนิ การเรียนรู้ภาษา ผู้สอนสามารถประเมนิ ดงั นี้
3.1 ความสามารถในการใชพ้ จนานุกรม
3.2 ความสามารถในการหาความหมายของคาทีไ่ ม่รู้จกั
3.3 ความสามารถในการใชภ้ าษาในการถามเพื่อแสวหาคาตอบ
4. ประเมนิ ทกั ษะการเรียนรู้ทั่วไป ผสู้ อนสามารถประเมิน ดังนี้
4.1 การทางานร่วมกันในกลมุ่
4.2 การรจู้ กั ตนเองว่า รูอ้ ะไร และยังจาเปน็ ตอ้ งเรยี นรูอ้ ะไร
4.3 กลวธิ ใี นการหาขอ้ มูลท่ีไม่รู้
4.4 การปฏิบตั ิตามคาสั่งในการทดสอบ
21
แนวคิดใหมเ่ กยี่ วกบั การวดั ผลและประเมินผล
แนวคิดเก่ยี วกบั การวัดและประเมินผลผู้เรียนในปัจจบุ นั มุ่งเนน้ ในการชว่ ยเหลือให้ผเู้ รียนเกิดการ
เรียนรู้ การควบคุมและกระต้นการเรียนรู้ด้วยตัวผู้เรียนเอง ผู้สอนจึงต้องปรับเปล่ียนแนวคิดใหม่โดยคานงึ ถึง
การประเมินผลผู้เรยี น 3 ลักษณะดงั นี้
1. Assessment of Learning เป็นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ท่ีผู้สอนดาเนินการเม่ือถึง
ปลายทางการเรียนรู้ เช่น เมื่อส้นิ สดุ หน่วยการเรียนรู้ (Unit) จบหลักสตู รการเรียนรู้ (Course) จบระดับชนั้ ซ่ึง
จะเรียกอกี อยา่ งคอื เปน็ การสอบปลายทางการเรยี นรู้ (Summative Test) การวดั และประเมินผลตามแนวคิด
นจ้ี าเป็นต้องนาผลการประเมินไปเทยี บเคียงกบั ผ้เู รียนคนอน่ื ๆ เพือ่ ตดั สินผลการเรยี นรูก้ ารจดั ระดบั การเรียนรู้
หรือเพอื่ เล่ือนระดับ ผู้สอนจึงเป็นผทู้ ี่มบี ทบาทสาคัญ (Key Assessor) ในการวดั และประเมินผล
2. Assessment for Learning เป็นการวัดและประเมินผลเพ่ือการปรับปรุง พัฒนา ซ่ึงผู้สอน
จาเป็นต้องดาเนินการวัดและประเมินผลในระหว่างท่ีดาเนินการสอน (Formative Test) เพ่ือจะได้นาผลของ
การวัดและประเมินผลผู้เรียนไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาผู้เรียน ในขณะเดียวกัน ผู้สอนก็สามารถปรับปรุงการ
สอนของตนเองเช่นกัน ดังนั้นการวัดและประเมินผลตามแนวคิดน้ี จึงต้องเทียบเคียงกับมาตรฐานหรือความ
คาดหวังท่ีกาหนด ซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทางว่าผู้เรยี นจะต้องมีความรู้และความสามารถในการทาอะไรได้ ใน
การวัดและประเมนิ ผลในลักษณะนผี้ ้สู อนยงั คงเปน็ ผู้ทมี่ บี ทบาทสาคญั ในการวดั และประเมินผล
3. Assessment As Learning เปน็ การวัดและประเมินผลตนเอง ผเู้ รยี นจาเปน็ ตอ้ งประเมินผลตนเอง
เพื่อวิเคราะห์ความสามารถ จุดแข็ง และจุดอ่อนของตนเองในการเรยี นรู้ จากการประเมินผลตนเองน้ีส่งผลให้
ผู้เรียนได้ตระหนักถึงความสาคัญของการเรียนรู้ และสามารถนาไปพัฒนาตนเองได้ดียิ่งข้ึนผู้เรียนจะต้อง
เทียบเคียงสิ่งท่ีได้เรียนรู้กับเป้าหมายการเรียนรู้ท่ีตนเองกาหนด (Personal Goals) กับมาตรฐานท่ีกาหนด
(External Standards) สาหรับการวัดและประเมนิ ผลในลกั ษณะน้ี ผ้ทู ม่ี ีบทบาทสาคญั คือตัวผเู้ รยี นเอง
ลกั ษณะการวัดผลและประเมินผลทางภาษา
เม่ือเปา้ หมายของการศกึ ษาต้องการใหก้ ารวัดและประเมินผลเป็นตัวช้ีให้เห็นถงึ สภาพการเรียนรู้
ภาษาที่แท้จรงิ ของนักเรียน และมงุ่ ใหผ้ ู้เรยี นนาความรู้ที่ไดร้ ับจากการเรียนไปใช้ได้จริง ผ้สู อนจงึ ต้องมกี ารวาง
แผนการประเมนิ ผลการเรียนรู้ภาษาเป็น 3 ส่วนดงั นี้
1. การประเมินโดยใช้วิธีทดสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ การประเมินผลโดยวิธีทดสอบ
จะตอ้ งวดั ทัง้ 2 แบบควบคู่กันไป และตอ้ งประเมนิ ผู้เรียนในเรอื่ งความสามารถในการนาภาษาไปใช้ได้จริงดังน้ี
Valette (1977 : 12) และ Oller (1979: 151) ได้แสดงความเห็นว่าการวัดผลควรวัดท่ีความสามารถของ
ผู้เรียนในการพูดหรือเขียน หรือเข้าใจข้อความมากกว่าการคิดถึงความถูกต้องเกี่ยวกับภาษาการทดสอบ
ความสามารถโดยรวม (Global) และต้องบูรณาการไว้เขา้ ด้วยกัน เพ่ือนาไปปฏบิ ัตไิ ดใ้ นชวี ิตจรงิ และไมส่ ามารถ
ทดสอบด้วยแบบทดสอบไวยากรณก์ ารอา่ นหรอื ศัพท์ และการทดสอบส่วนยอ่ ยอื่น ๆ การทดสอบความสามารถ
ในการใชภ้ าษาเพื่อการสอ่ื สารจึงไมค่ วรทดสอบเพียงในด้านความรู้เกี่ยวกับภาษาการวดั ผลและการประเมินผล
22
ทางภาษาท่ีดีควรแสดงให้เห็นว่า ผู้ทดสอบต้องการใช้ภาษาอย่างไร เกณฑ์การตัดสินความสาเร็จพิจารณาที่
ประสิทธผิ ลในการส่อื สาร การนาภาษาไปใช้จริง มิใช่การมีความรู้เพียงกฎเกณฑ์ทางภาษา
2. การประเมินผลจากช้ินงาน ผลงาน และแฟ้มสะสมผลงาน เป็นสิ่งที่ผู้เรียนผลิตขึ้นเองจาก
กิจกรรมการเรียนการสอน ครูและผู้เรียนร่วมกันกาหนดจานวนชิ้นงานซ่ึงไม่จาเปน็ ต้องมีมากข้ึน แต่ชิ้นงานท่ี
บอกความสามารถในองค์รวมความสามารถในการบูรณาการความรแู้ ละทักษะทางภาษาอย่างหลากหลายใน
การผลิตชิ้นงาน และในแต่ละช้ินงานควรมีสัดส่วนคะแนนกาหนดไว้ เพ่ือทราบว่าชิ้นไหนมีความสาคัญและ
ดีกว่ากัน การประเมินงานประเภทผลงานจากการปฏิบัติน้ีต้องใช้การสังเกตและบันทึกพฤติกรรม แฟ้มสะสม
งาน โครงการ และแฟ้มสะสมงานเฉพาะเร่ือง เป็นงานท่ีเนน้ กระบวนการทางานเชิงระบบต้ังแต่เรม่ิ ต้นทางาน
คอื ผู้เรียนต้องเกดิ ความสนใจ วางแผน ลงมอื ปฏบิ ัติ และปรับปรงุ งาน จนเกดิ ผลสาเร็จผู้เรียนต้องมกี ารสะสม
หลกั ฐานการปฏบิ ตั ิงานจริงตง้ั แต่ตน้ จนจบ แลว้ นามาจดั ทาในรปู แบบแฟ้มสะสมงาน โครงงาน และแฟม้ สะสม
งานเฉพาะเรอ่ื ง ในการประเมินผลนั้น สิ่งทีส่ าคัญที่ผู้สอนตอ้ งจัดทา คือ เกณฑ์การให้คะแนน ซ่งึ ครูสามารถให้
ผเู้ รยี นมสี ่วนร่วมในการสรา้ งเกณฑ์การให้คะแนน
3. การประเมินพฤติกรรมที่แสดงคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังน้ัน ผู้สอน
ตอ้ งหมนั่ สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนอยา่ งสมา่ เสมอ
จากเป้าหมายและลักษณะการวัดและประเมินผลดังกล่าว ผู้สอนจึงจาเป็นต้องวางแผนการวัด
และประเมินผลใหค้ รอบคลมุ ความรู้และทกั ษะดงั นี้
1. การวดั และประเมนิ ผลดา้ นโครงสร้างของภาษา
2. การวดั และประเมินผลดา้ นทกั ษะทางภาษา
การวัดและประเมินผลดา้ นโครงสร้างของภาษา
รูปแบบการทดสอบทางภาษานัน้ ได้รับอิทธพิ ลจากความเชื่อท่ีแตกต่างกนั โดยมีนกั ภาษาศาสตร์
กล่มุ โครงสร้างไดเ้ ช่ือวา่ ภาษาประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบต่าง ๆ ทีแ่ ยกกนั อยู่อย่างอสิ ระ องค์ประกอบของภาษา
ได้แก่ เสยี ง โครงสรา้ ง และศัพท์ Lado (1961) Harris (1969) และ Valett (1977) ไดใ้ ห้ข้อคิดวา่ การทดสอบ
แบบองค์ประกอบนั้น ทาให้สามารถวัดความรู้เกี่ยวกับภาษา (Usage) แต่ละด้านได้ ทาให้เกิดความเช่ือถือสูง
เพราะมีความเป็นปรนัยในการให้คะแนน อีกท้ังสะดวกในการตรวจเพราะไม่ต้องใช้ดุลยพินิจของผู้ตรวจ
สามารถนามาวิเคราะห์ค่าสถิติรายข้อ โดยค่าความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อได้ท่ีสาคัญสามารถวิเคราะห์
ขอ้ บกพร่องของผู้เรียนในเรื่องความรเู้ ก่ียวกับหน่วยยอ่ ยภาษาแตล่ ะจดุ ได้ดงั น้ี
1. การทดสอบเสียง
การทดสอบการออกเสียง วิธีท่ีดีท่ีสุดคือ การทดสอบปากเปล่า แต่ปัญหาท่ีพบคือการให้
คะแนน สาหรับวิธีที่นิยมใช้คือ การทดสอบความสามารถในการแยกเสียงว่ามีเสียงใดมีความเหมือนกันหรือ
แตกตา่ งกนั อยา่ งไร ตัวอยา่ งเช่น
23
1.1. การทดสอบความสามารถในการแยกเสียง โดยใชค้ ู่เทยี บเสยี ง (Minimal Paris) โดย
ใหฟ้ ังเป็นคู่ ๆ แลว้ ใหผ้ ูเ้ รยี นตอบว่าคาทไ่ี ด้ยนิ นัน้ ออกเสยี งเหมอื นกันหรอื ต่างกนั ตวั อย่างเช่น
sleep : slip ship : sheep rid : read
1.2 ครูอาจจะให้ฟังคาเป็นชุด ชุดละ 3 คา แล้วให้ผู้เรียนสังเกตว่าเสียงไหนท่ีเหมือนกัน
ตวั อย่างเชน่
Cat : cat : cot beast : beast : best run : sun : run
1.3 ครูอาจใหฟ้ ังประโยค 2 ประโยค แลว้ ทดสอบความสามารถในการแยกเสียง เช่น
Will he sleep? Will he slip?
They beat him. They bit him.
Let me see the sheep. Let me see the ship.
2. การทดสอบคาศัพท์
การวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้คาศัพท์เป็นการวัดผลความรู้คาศัพท์ท่ีเป็นส่วนหนึ่งของ
กระบวนการสอนภาษาในรายวิชาท่ผี ู้เรียน โดยมีวัตถปุ ระสงค์ 2 ประการ คอื เพ่อื การประเมินว่าผู้เรียนได้เกิด
การเรียนรู้สงิ่ ทไ่ี ด้สอนไปแลว้ หรอื ยงั เป็นส่วนที่ช่วยเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น โดยแบบทดสอบที่จะใช้ควรมี
ลกั ษณะดังน้ี
1. ต้องไม่เป็นการทดสอบคาโดด เนื่องจากในการเรียนแต่ละวิชา ผู้เรียนมักจะมีโอกาสได้พบ
คาศัพท์ในบริบททเ่ี ปน็ ภาษาพูดและภาษาเขียนเปน็ ประจา
2. สามารถใหค้ ะแนนไดง้ ่าย เชน่ แบบทดสอบแบบบคุ คล หรอื จบั คู่ เป็นตน้
3. ถา้ เป็นแบบเติมคาหรือเลือกตอบคาตอบต้องเหมาะสมกับความรขู้ องผ้เู รยี นที่ได้เรียนไป
4. เปน็ แบบทดสอบที่ครูสามารถสรา้ งได้ ไม่ควรยากหรอื มีกระบวนการสรา้ งที่ซบั ซ้อนเกินไป
5. จานวนข้อในแตล่ ะแบบทดสอบตอ้ งเหมาะสมกับเวลา
นอกจากนี้ Heaton (1975: 41) ได้เสนอข้อคิดเกี่ยวกับการทดสอบคาศัพท์ซ่ึงผู้สอนสามารถ
นาไปออกแบบวัดและประเมินผลไดด้ ังน้ี
1. การเลือกหัวข้อในการทดสอบ ควรใชค้ าศพั ท์ทมี่ ใี นหลกั สตู ร หรอื คาทใ่ี ช้บอ่ ย ๆ หรอื คน้ เคย
ขอ้ สอบแบบเลอื กตอบ
2. การใชค้ าศพั ท์ท่ีเกย่ี วขอ้ ง หรอื เป็นกลมุ่ คาเดียวกัน หมวดหมู่เดียวกนั
3. การจับคู่
4. การเติมคาศัพทใ์ ห้สมบูรณ์
3. การทดสอบไวยากรณ์
1. เลอื กรปู ประโยคทถ่ี กู ต้องไวยากรณ์ เช่น
I wanted……………….the singer, but my bike broke down
a. Meet b. to meeting c. meeting d. to meet
ใหเ้ ลือกส่วนท่ีเขยี นผดิ ไวยากรณ์ (Error part)
24
I’m frightened that you’ll feel angry to me. d. used
a b. c.
2. เรยี งลาดับคาใหถ้ ูกต้อง
Everyone’s forgotten…………………….
a. cup b. he c. which
3. ให้เขียนประโยคใหมโ่ ดยใหค้ งความหมายเดมิ
It was impossible to work under those conditions.
Working………………………………………………………..
การวดั และประเมนิ ผลดา้ นทกั ษะทางภาษา
1. การทดสอบการฟงั
2. การทดสอบการพดู
3. การทดสอบการเขียน
4. การทดสอบการอ่าน
ประเภทแบบทดสอบวดั และประเมนิ ผลทางภาษา
1. ข้อสอบอตั นัย หรือข้อสอบแบบความเรยี ง หรือขอ้ สอบรรยาย
2. ข้อสอบปรนัย เป็นข้อสบท่ีมีคาถามจาเพาะเจาะจง ตรวจได้คะแนนตรงกัน มีวิธีปฏิบัติท่ี
ชดั เจนและวธิ กี ารตรวจให้คะแนน เช่น แบบถูกต้อง, แบบเติมคา, แบบจาคู่, แบบเลอื กตอบเป็นตน้
ลกั ษณะของการวัดและประเมนิ ผล การประเมินผลการเรียนร้ทู ม่ี ปี ระสิทธภิ าพ ควรมีลกั ษณะดังนี้
1. ต้องระบุสิ่งท่ีมุ่งประเมินให้ชัดเจน ผู้ประเมินต้องทราบว่าผลการเรียนรู้ท่ีต้องการประเมิน
ประกอบด้วยคุณลักษณะ (Traits) ทีส่ าคัญอะไรบา้ ง เพอื่ ทจี่ ะเลือกใช้เครอื่ งมอื และวิธีการทเี่ หมาะสม
2. เลอื กเทคนคิ การวดั ให้เหมาะสม ผูป้ ระเมินต้องเลือกเครอื่ งมือ รูปแบบคาถามท่ีใช้ให้สอดคล้อง
กบั คณุ ลกั ษณะ หรอื สมรรถภาพของผูเ้ รียน โดยเครื่องมอื นน้ั ตอ้ งใหผ้ ลทถี่ ูกต้อง มีความเป็นปรนยั และสะดวก
ต่อการนาไปใช้
3. ควรใช้วธิ ีการวดั หลายอย่างประกอบกัน เน่ืองจากเครือ่ งมือแตล่ ะชนดิ มขี ้อด/ี ข้อเสยี ที่แตกตา่ ง
กัน ผู้ประเมนิ จงึ ควรเลือกใชว้ ธิ ีการวดั หลายอย่างใหค้ รอบคลุมผลสมั ฤทธ์ิและพฒั นาการดา้ นตา่ ง ๆ ของผเู้ รียน
และต้องทาการวัดหลาย ๆ คร้ัง
4. ควบคุมความคาดเคลื่อนจากการวดั ให้เกดิ ข้ึนนอ้ ยทีส่ ุด การวัดคุณลักษณะใดก็ตามจะมคี วาม
คาดเคลอ่ื นเกดิ ขึ้นไดเ้ สมอ ผปู้ ระเมนิ ควรศกึ ษาถงึ แหล่งของความคาดเคลอ่ื นและพยายามขจัดใหเ้ หลอื น้อยทส่ี ดุ
5. ใชส้ ารสนเทศจากการประเมนิ สาหรบั การตดั สินใจ การประเมนิ เปน็ กระบวนการของการ
25
ปรับปรงุ และพัฒนาสู่สง่ิ ทีด่ ขี ึ้น การประเมินมิได้สนิ้ สุดเมื่อทราบผลการประเมนิ แต่การประเมนิ มคี วามสาคัญ
อยทู่ กี่ ารนาผลไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ต่อการตดั สนิ ใจท่ดี ีในการจัดการศึกษา และพฒั นาประสทิ ธภิ าพของการ
เรียนการสอน
3. การวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
การวัดและการประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ในการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นส่ิงสาคัญ เพราะถือว่าเป็นกจิ กรรมการเรยี นการสอนอย่างหน่งึ ที่ครูต้องวดั
และประเมินผลให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรดู้ ังที่ ฮิวส์ (Hughes, 2003:4) "ระบุว่าผลที่เกิดจากการ
ทดสอบในดา้ นการสอนและการเรียนรู้ (Backwash/ หรอื the impact of assessment) นั้นเป็นท้ังด้านบวก
และลบ ดังน้ันครูผู้สอนต้องตระหนักว่าการทดสอบผู้เรียนน้ันจะได้ข้อมูลความสามารถทางด้านภาษาของ
ผ้เู รยี นทเ่ี หมาะสมและเพยี งพอตอ่ การพฒั นาการจัดการเรยี นการสอนท่ีมีผลต่อผู้เรยี นอย่างแทจ้ รงิ "
วตั ถุประสงคข์ องการวัดและประเมินผลการเรยี นการสอน
1. เพื่อประเมนิ วิธสี อนของครูว่าวิธีสอนแบบใดชว่ ยให้เกิดการเรยี นรู้ และวิธีใดทต่ี ้องมกี ารปรับปรุง
2. เพื่อประเมินสัมฤทธ์ิผลในการเรียนของผู้เรียนว่ามีความรู้ความสามารถตามพัฒนาการ
ความกา้ วหน้าของผเู้ รยี น ไม่ว่าจะเป็นดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ คณุ ธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะอัน
พงึ ประสงค์
3. เพื่อจาแนกหรือจัดลาดับความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อจัดชั้นเรียนหรือแบ่งกลุ่ม
นักเรียนตามความสามารถ เพื่อให้นกั เรียนไดเ้ รยี นในกล่มุ สามารถเทา่ เทยี มกัน
4. เพือ่ วนิ จิ ฉัยข้อบกพรอ่ ง และจุดเดน่ การเรยี นการสอนของแตล่ ะบุคคล
5. เพ่ือประโยชน์ในการซอ่ มเสริมแก่ผู้เรียน
6. เพอ่ื ประเมนิ ประสิทธิภาพการสอนของครู
7. เพอื่ ให้ทราบกระบวนการเรยี นร้ภู าษาของเด็กในแตล่ ะระดบั
8. เพอื่ ทดสอบผลการทดลองเกย่ี วกับการเรียนการสอนในชนั้ เรยี น
การวดั และการประเมนิ ผลทห่ี ลากหลาย (Alternative Assessment)
ด้วยเหตุผลท่ีว่า Brown and Hudson (1998 อ้างอิงใน Brown and Abeywickrama, 2010:
18) เปรยี บเทียบให้เหน็ แนวการทดสอบแบบเดิมและแบบทางเลอื กทค่ี รูผู้สอนสรา้ งขนึ้ เองในชนั้ เรยี นให้เหมาะ
กบั ความตอ้ งการวัดและประเมนิ ผลผ้เู รยี นในความสามารถทางดา้ นภาษาที่ตนได้สอนไป
26
การวัดผลแบบเดมิ การวัดผลแบบทางเลอื ก
(Traditional Assessment) (Alternative Assessment)
การทดสอบแบบมาตรฐาน การวัดผลแบบตอ่ เนอ่ื งและระยะยาว
รปู แบบตัวเลือกและจากดั เวลา คาตอบไม่จากัดเวลา และปลายเปิด
คาถามไม่ตรงบรบิ ทผู้เรียน ภาระงานทเ่ี นน้ บรบิ ทการสอ่ื สาร
ใช้ผลคะแนนในการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั ให้ข้อมูลยอ้ นกลบั รายบคุ คล
คะแนนแบบองิ กลมุ่ คะแนนแบบองิ เกณฑ์
เนน้ คาตอบทีแ่ ยกกนั โดยสน้ิ เชิง คาตอบปลายเปดิ และสรา้ งสรรค์
การประเมนิ แบบตัดสนิ ผลการเรยี น การประเมินแบบพฒั นาผลการเรยี นรู้
เน้นผลทเี่ กดิ ขน้ึ เน้นกระบวนการระหวา่ งเรยี น
วดั การปฏบิ ัตทิ ่ไี ม่มคี วามสัมพนั ธ์กัน วดั การปฏิบตั ทิ ่ีสัมพนั ธ์กนั
กอ่ ให้เกดิ สงิ่ จงู ใจจากปัจจยั ภายนอก กอ่ ให้เกิดสงิ่ จูงใจจากปัจจยั ภายใน
Paper-and-Pencil Tests Personal Communication
การทดสอบ
การประเมินดว้ ยการสอ่ื สารสว่ นบคุ คล
Alternative Assessment
การวดั และประเมนิ ผลท่หี ลากหลาย
Performance Observation and Perceptions
การประเมินการปฏิบตั ิ
การสงั เกต
รูปแบบการประเมินผลท่ีหลากหลายคือการประเมินแนวใหม่ซง่ึ เป็นทางเลือกท่ีเหมาะสมจะนามาใช้
ประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) เป็นการประเมินจากการวัดโดยให้ผู้เรยี นลงมอื
ปฏิบตั จิ ริงในสถานการณ์จริง มีกระบวนการสังเกต บนั ทกึ และรวบรวมข้อมลู จากผลงานหรือกิจกรรมที่ผู้เรียน
ทาเพื่อตดั สินความสามารถที่แทจ้ รงิ ของผเู้ รียน
27
1. การทดสอบ (Paper – and – Pencil Tests) ได้แก่ ข้อสอบมาตรฐาน แบบทดสอบท้าย
หน่วยและแบบทดสอบทค่ี รูสรา้ ง
Standardized Tests
ขอ้ ทดสอบมาตรฐาน
Paper – and – Pencil Tests End-of-Unit Tests
การทดสอบ แบบทดสอบท้ายหน่วย
Teacher-Made Tests
ครูสร้างแบบทดสอบ
2. การประเมินด้วยการสื่อสาร (Personal Communication) ได้แก่ การสื่อสารเป็น
รายบคุ คล การอภปิ รายกลุ่มยอ่ ยและการสมั ภาษณ์
Personal Communication
การประเมนิ ด้วยการส่ือสารสว่ นบุคคล
Individual Small–Group Interviews
Conferences Discussions
การสัมภาษณร์ ะหว่าง
การพบปะครู การอภปิ รายกลมุ่ ย่อย ผู้สอนกับผูเ้ รยี น /
เปน็ รายบคุ คล ประเมนิ ผูเ้ รียนกบั ผเู้ รียน
ดว้ ยการพูดคยุ นักเรียน
เปน็ รายบุคคล
28
3. การประเมินการปฏิบัติ (Performance) ได้แก่ โครงงาน วาดภาพ สาธิต กล่าวสุนทรพจน์
โตว้ าที เขียนรายงาน ทดลองและวิดที ัศนห์ รือบนั ทึกเสียง
Projects Drawing Demonstrations
โครงงาน วาดภาพ สาธิต
Video / Audio Tapes Performance Speeches
วิดีทัศน์ บนั ทกึ เสยี ง การประเมนิ การปฏบิ ตั ิ กล่าวสนุ ทรพจน์
Experiments Written Reports Debates
ทดลอง เขียนรายงาน โตว้ าที
4. การสงั เกต (Observation and Perception) ได้แก่ สงั เกตจากการท่นี กั เรยี นมีปฏิสัมพนั ธ์
และร่วมกจิ กรรมกับผ้อู น่ื ในชั้นเรยี น
Observation and Perceptions
การสงั เกต
Classroom Interaction Student Participation /
การปฏิสมั พันธก์ บั ผอู้ ื่นในชั้นเรียน Involvement
การมสี ว่ นร่วมในชั้นเรียน
29
ข้อควรคานงึ และลักษณะสาคัญของการประเมินตามสภาพจรงิ
1. ข้อควรคานึงในการประเมนิ ตามสภาพจริง
1.1 เน้นพฤตกิ รรมทีแ่ สดงออกจากความสามารถทแี่ ทจ้ รงิ
1.2 ทาไปพรอ้ ม ๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1.3 ใหค้ วามสาคัญกับจุดเดน่ ของผเู้ รยี น
1.4 ตัง้ อยูบ่ นพน้ื ฐานของสถานการณ์จริง
1.5 มกี ารใช้ขอ้ มลู ท่หี ลากหลายและมีการเกบ็ ข้อมูลในทกุ ด้านอยา่ งต่อเน่อื ง
1.6 ตอบสนองการเรยี นร้แู ละความสามารถของผู้เรียนอย่างกวา้ งขวาง
1.7 สนบั สนุนการสรา้ งองคค์ วามรขู้ องผเู้ รียน
1.8 เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นประเมินตนเอง
1.9 เกดิ ความร่วมมอื ระหว่างครู ผู้ปกครองและผ้เู รียน ในการพัฒนาการเรยี นรู้
1.10 ตอบสนองหลักสูตรทเ่ี น้นการเรียนรู้ในสภาพจริง
การประเมนิ ตามสภาพจรงิ
บุคคลทร่ี บั การประเมินและบุคคล
ท่มี ีสว่ นรว่ มในการประเมนิ
ครเู ป็นผู้ประเมนิ เพ่ือนเปน็ ผปู้ ระเมิน ประเมินตนเอง
ก่อนและหลงั การสอน
นกั เรียน
ครู
ผู้ปกครองผปู้ ระเมนิ ผเู้ รียนประเมนิ ตนเอง
เพ่ือนครปู ระเมิน
ระหว่างการสอน
30
2. การประเมินตามสภาพจริง แบ่งเปน็ 2 ลกั ษณะ ดังนี้
2.1 การประเมินด้วยข้อสอบท่ีสร้างข้ึนและได้มีการทดลองใช้จนเป็นท่ีเชื่อถือได้เรียกว่า
“ข้อสอบมาตรฐาน”
2.2 การประเมนิ ท่ีเน้นตามสภาพความเปน็ จริงของผเู้ รียนจะเนน้ การประเมนิ 4 ด้านคือ
1) ประเมินการปฏบิ ัติ (Performance)
2) ประเมนิ กระบวนการ (Process)
3) ประเมินช้ินงาน (Products)
4) ประเมินแฟม้ สะสมงาน (Portfolio)
เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการประเมนิ
ข้อสอบมาตรฐาน แ ม้ สะสมงาน การตรวจงาน
เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชป้ ระเมิน แบบบนั ทึกความรู้สกึ
ความคดิ เหน ของผู้ท่ีเกย่ี วข้อง
แบบสังเกต แบบรายงานตัวเอง แบบสัมภาษณ์
การสรา้ งเครือ่ งมือวดั ผลประเมนิ ผลการเรียนรู้
การสร้างเครื่องมือเพื่อใชว้ ัดผลประเมินผลการเรียนรู้ในชนั้ เรียน ครูจะตอ้ งศกึ ษาหาความรู้ และ
พิจารณาเลอื กนามาใช้ให้สอดคลอ้ ง เหมาะสมกบั ลกั ษณะการสอนและกระบวนการเรยี นร้ขู องผ้เู รียน
เครื่องมือการวดั ผลประเมินผลมี 2 ลักษณะคือ เครื่องมือท่ีใช้เก็บรวบรวมข้อมูล และ เครื่องมอื
บนั ทึกผลขอ้ มูล เช่น ภาระงานท่ีกาหนดให้ปฏบิ ัติ คอื การเขยี นเร่อื งจากภาพ ดงั น้นั
เครื่องมอื ที่ใช้ในการรวบรวมข้อมลู ได้แก่ ภาพ บตั รงาน เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
31
เคร่ืองมือที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกคะแนนตรวจผลงาน การตอบคาถาม แบบ
สังเกตพฤตกิ รรม แบบสงั เกตพฤตกิ รรมขณะทเ่ี ขียนเร่ือง
เกณฑก์ ารประเมิน
เกณฑ์การประเมิน (Rubric Assessment) ความหมาย คาว่า “Rubric” หมายถึง กฎหรือ
กติกา (Rule ) ส่วนคาว่า Rubric Assessment หมายถึง แนวทางการให้คะแนน ซึ่งสามารถแยกแยะระดบั
ตา่ ง ๆ ของความสาเรจ็ ในการเรยี น หรอื การปฏบิ ตั ิของนักเรยี นได้อย่างชัดเจน
รูบริค (Rubric) เป็นเครื่องมือให้คะแนนชนิดหน่ึง ใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานหรือผลงาน
ของนักเรยี น รูบริคประกอบด้วย 2 ส่วน คือเกณฑ์ท่ีใช้ประเมินการปฏิบัตหิ รอื ผลผลิตของนักเรยี น และระดบั
คุณภาพหรือระดบั คณุ ภาพหรือระดบั คะแนน เกณฑจ์ ะบอกผ้สู อนหรอื ผ้ปู ระเมนิ วา่ การปฏิบตั งิ านหรือผงานนั้น
ๆ จะต้องพิจารณาส่ิงใดบ้าง ระดับคุณภาพหรือระดับคะแนนจะบอกว่า การปฏิบัติหรือผลงานท่ีสมควรจะได้
ระดับคุณภาพหรือระดับคะแนนนั้น ๆ ของเกณฑ์แต่ละตัวมีลักษณะอย่างไร รูบริคจึงเป็นเหมือนการกาหนด
ลักษณะเฉพาะ (Specification) ของการปฏิบัติหรือผลงานนั้น ๆ ในเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ หรือท้ัง 2
ประเภทรวมกนั ท้ังนี้ ขนึ้ อยูก่ ับเปา้ หมายของการประเมิน
ข้อดใี นการให้คะแนนแบบรูบริคในการประเมนิ คอื
1. เปน็ เครือ่ งมือในการสนับสนนุ การประเมินวา่ บรรลุเกณฑท์ รี่ ะบุไว้หรือไม่
2. เป็นเครื่องมือในการสะท้อนผลกลับไปยงั ครูเพือ่ ปรับปรุงและพฒั นาการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนในชนั้ เรียน และเป็นเครื่องมอื ในการสะท้อนผลกลับไปยังนักเรียนเพือ่ พฒั นาความสามารถของตนเอง
การกาหนดเกณฑก์ ารประเมนิ
ครแู ละนักเรยี นควรจะกาหนดเกณฑ์การประเมนิ ดว้ ยกัน ซงึ่ ควรจะทาใหเ้ สรจ็ ก่อนท่นี กั เรียนจะ
ลงมือปฏบิ ตั ิงานชิน้ นั้น เกณฑ์การประเมนิ น้ัน นอกจากจะใชเ้ ปน็ เครื่องมอื ในการประเมินแล้วยงั สามารถใช้เป็น
เครื่องมือในการสอนอีกด้วย เพราะเกณฑ์การประเมินน้ัน เปรียบเสมือนเป้าหมายในการเรียนท่ีนักเรียน
จะตอ้ งเรียนรู้ และทาใหค้ รู ผปู้ กครอง และบคุ คลอนื่ ๆ รูว้ ่านกั เรียนทาอะไรไดบ้ า้ ง และรูอ้ ะไรบ้าง
ประโยชนข์ องการกาหนดเกณฑ์การประเมิน
- มีความชัดเจนในการประเมนิ
- ทาให้รวู้ า่ นักเรียนเรียนรแู้ ละทาอะไรได้บา้ ง
- กระตนุ้ ให้นกั เรียนเรียนรไู้ ด้ตามเปา้ หมาย
32
รูปแบบของเกณฑก์ ารประเมนิ จาแนกออกเปน็ 2 ประเภท
1. เกณฑ์การประเมนิ ในภาพรวม (Holistic Rubric) คือแนวการให้คะแนนโดยพิจารณาจาก
ภาพรวมของชิ้นงาน โดยมีคาอธิบายลักษณะของงาน แต่ละระดับไว้อย่างชัดเจน จึงเหมาะท่ีจะใช้ประเมิน
ทกั ษะทม่ี ีความต่อเน่อื ง เช่น งานเขียน
ตัวอยา่ ง
ระดับคะแนน ลกั ษณะของงาน
3 (ดี) - เขยี นไดต้ รงประเด็นตามที่กาหนดไว้ ไมว่ กวน
- มกี ารจดั ระบบงานเขียน เชน่ มีคานา เน้อื หา และบทสรปุ อย่างชัดเจน
- ภาษาที่ใช้ถูกต้องมตี ัวสะกดและไวยากรณ์มีความถูกต้องสมบรู ณ์ ทาให้
ผอู้ ่าน
เข้าใจง่าย
- ใช้คาศัพท์ท่เี หมาะสม สือ่ ความหมายได้
2 (ผา่ น) ขาด 1 ประเด็น
1(ตอ้ งปรบั ปรุง) ขาด 2 ประเดน็ ข้ึนไป
0 ไม่มผี ลงาน
เกณฑ์การประเมินในภาพรวมส่วนใหญ่จะใช้ 3-6 ระดับ การกาหนดเกณฑ์หลายระดับย่ิงมี
ความละเอยี ดชดั เจนมาก เปน็ ประโยชนต์ ่อการพัฒนาปรับปรุงงานท้ังของครแู ละนักเรียน แต่ท่ีนิยมใชก้ ันมาก
คือเกณฑ์การประเมิน 3 ระดับ เนื่องจากง่ายต่อการกาหนดรายละเอียด โดยจะยึดเกณฑ์ค่าเฉล่ียสูงกว่า
คา่ เฉล่ยี และต่ากว่าคา่ เฉล่ีย ซงึ่ งา่ ยตอ่ การตรวจให้คะแนน เนอ่ื งจากงานมคี วามแตกต่างกนั อยา่ งเห็นได้ชดั
2. เกณฑ์การประเมินแบบแยกส่วน (Analytic Rubric )
เป็นการประเมินผลงาน โดยจาแนกออกเป็นด้าน ๆ ว่ามีรายการประเมินอะไรบ้าง และ
กาหนดวิธกี ารใหค้ ะแนนอยา่ งไร การประเมินในลักษณะน้ี ต้องกาหนดแนวทางการใหค้ ะแนนที่อธิบายระดบั
การปฏบิ ตั ผิ ลงานนั้น ๆ ไว้อย่างชัดเจน
ข้นั ตอนการสร้างเกณฑก์ ารประเมนิ
- กาหนดมิติ หรือองค์ประกอบต่าง ๆ ของพฤติกรรม หรือคุณลักษณะท่ีคาดหวังว่านักเรียนพึงมี
หรือพึงกระทา
- พิจารณาตัวอย่างช้ินงานของนักเรียน เพ่ือตรวจสอบว่า มิติ หรือองค์ประกอบที่กาหนดไว้
ครบถ้วนหรอื ไม่
- เขยี นนิยามของมิตหิ รือองคป์ ระกอบ ให้ชดั เจน กาหนดเปน็ พฤติกรรม หรือคณุ ลกั ษณะงานที่
สามารถสังเกตได้
- กาหนดระดบั ของการประเมนิ โดยนาพฤติกรรม หรือคุณลักษณะ มากาหนดในแต่ละระดบั
- การประเมินที่แตกตา่ งกนั จะต้องสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความแตกต่างของนักเรยี นอยา่ งชัดเจน
33
- นาเกณฑไ์ ปทดลองใช้ประเมนิ ชนิ้ งานนักเรียน
- ปรับปรงุ แกไ้ ขแลว้ นาไปทดลองใชป้ ระเมนิ อกี คร้ังหน่ึง
- นาเกณฑ์การประเมินแจ้งนกั เรยี น/ผปู้ กครองรบั ทราบ
เทคนิคการเขยี นเกณฑก์ ารประเมิน
กาหนดรายละเอียดข้ันสูงไว้ท่ีระดับ 4 แล้วลดลักษณะที่สาคัญลงทีละระดับ เช่น งานเขียน มี
ประเด็นท่ีจะต้องประเมิน คือ เน้ือหา การกาหนดรายละเอียด ถ้าแบ่งเป็น 4 ระดับ ควรกาหนดลักษณะยอ่ ย
หรอื ตวั แปรย่อยท่สี าคญั ให้ได้ 4 ลกั ษณะ เชน่
เนอื้ หา ระดบั 1 สอดคล้องกับเนื้อเร่อื ง
ระดบั 2 ลาดับเนื้อเรอื่ งชัดเจน
ระดบั 3 เรอ่ื งนา่ สนใจ
ระดับ 4 มีจนิ ตนาการ
เมอื่ กาหนดลักษณะยอ่ ยได้แลว้ นามาเขยี นรายละเอียดต่าง ๆ โดยนาลักษณะยอ่ ยมาจัดลาดบั
ความสาคญั แล้วเขียนบรรยายให้ชดั เจน จากความสาคัญสูงท่ีสุดและลดตัวแปรถัดไปทลี ะระดบั ดังนี้
ระดับ 4 เน้ือหาที่เขยี นสอดคลอ้ งกบั เนือ้ เรื่อง ลาเรือ่ งได้ชดั เจน ไมว่ กวน สอดแทรก สาระ
ทที่ าให้เรือ่ งนา่ สนใจ อ่านแล้วเกิดจนิ ตนาการ
ระดบั 3 เนอ้ื หาทเี่ ขียนสอดคล้องกบั เนื้อเรือ่ ง ลาดบั เรอื่ งไดช้ ดั เจน ไมว่ กวน สอดแทรกสาระ
ทใี่ ห้เร่อื งน่าสนใจ
ระดบั 2 เน้ือหาท่เี ขยี นสอดคล้องกับเนอื้ เรอ่ื ง และลาดบั เรื่องได้ชดั เจนไม่วกวน
ระดับ 1 เนอื้ หาที่เขยี นสอดคล้องกับเน้ือเรือ่ ง
กาหนดระดับสูงสุดไว้ท่ีระดับ 4 แล้วลดความถูกต้องลงทีละระดับ เช่น งานเขียน ประเด็นท่ี
ต้องการประเมนิ ด้านการใช้ภาษา สามารถเขียนรายละเอียดไดท้ ้งั ในเชิงคุณภาพและปริมาณ เช่น
เชงิ คณุ ภาพ
การใชภ้ าษา ระดับ 1 ภาษาผิดพลาดมากแต่ยังสื่อความหมายได้
ระดับ 2 ภาษาถูกต้องสว่ นมาก และส่อื ความหมายได้
ระดับ 3 ความผิดพลาดน้อย เชอื่ มโยงภาษาได้ดี
ระดับ 4 ภาษาถกู ต้องเกือบทัง้ หมดและใช้ภาษาไดส้ ละสลวย
เชงิ ปรมิ าณ
การใชภ้ าษา ระดบั 1 ภาษาผดิ พลาดไม่เกินรอ้ ยละ 50 แตย่ ังสอ่ื ความหมายได้
ระดบั 2 ภาษาถูกต้องรอ้ ยละ 50-70 และสื่อความหมายได้
ระดับ 3 ภาษาถูกตอ้ งรอ้ ยละ 70-90 และเชอ่ื มโยงภาษาไดด้ ี
ระดบั 4 ภาษาถกู ตอ้ งร้อยละ 90-100 และใชภ้ าษาได้สละสลวย
34
การกาหนดตัวแปรย่อยทม่ี นี า้ หนกั เท่ากันทุกตวั แลว้ ระบุวา่ ตวั แปรหายไปเท่าไร ระดับคะแนนก็
ลดหล่ันตามมา เช่น การประเมินการจดั ทารายงาน โดยกาหนดลกั ษณะย่อย ดังน้ี ปก คานา สารบญั
การอ้างอิง บรรณานกุ รม สามารถเขยี นรายละเอียดไดด้ งั นี้
องคป์ ระกอบของรายงาน
ระดับ 4 มคี รบ คือ ปก คานา สารบญั การอ้างอิง บรรณานุกรม
ระดบั 3 ขาด 1 ลักษณะ
ระดบั 2 ขาด 2 ลกั ษณะ
ระดับ 1 ขาด 3 ลักษณะ
การสร้างเกณฑโ์ ดยใช้วธิ แี ยกประเด็นย่อย แล้วทาตารางพจิ ารณาความถกู ตอ้ งกาหนดระดับของ
คะแนนตามจานวนท่ปี ฏบิ ตั ไิ ด้ถูกต้องในแตล่ ะประเดน็
สรุป
การกาหนดประเด็นการประเมินและรายละเอียดการให้ระดับคะแนนมีความจาเป็นท่ีผู้ประเมินผล
ควรคานึง เพราะส่งผลต่อคุณภาพของการประเมิน คือ ความเที่ยงตรง และความเชื่อมั่น คุณภาพท้ังสอง
องค์ประกอบนจ้ี ะมีผลถึงศักยภาพของผู้เรยี นในการนาความรไู้ ปใช้ปฏิบัติงาน ผลิตผลงานตลอดจนคุณลักษณะที่
พึงประสงค์ของผู้เรียนตามหลักสูตร นอกจากนี้ยังแสดงถึงคุณภาพของการจัดการเรียนการสอน และการ
ประเมินผล ตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 แกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบบั ท่ี 2 ) พ.ศ. 2545 ซึ่งเปน็
ส่วนหนึ่งของการปฏิรปู การศกึ ษาอกี ด้วย
35
ตัวอยา่ ง
1. แบบบนั ทึกการประเมนิ ดา้ นทกั ษะการ งั ภาษาอังกฤษเพือ่ การสือ่ สาร
วชิ า…………………………………………………………………………. ชนั้ ……………………………
วนั ท่ี ......................... เดือน .......................................................... พ.ศ. .......................................
ประเดน/คะแนน ความ การจบั การรู้ ปฏิบตั ติ าม รวม
เขา้ ใจ ใจความ ความหมาย คาสั่ง คะแนน
เลขที่ ช่อื - สกลุ สาคัญ
4 คาศัพท์ 4 20
8 4
ลงชอ่ื .........................................................ผู้ประเมนิ
(................................................................)
วันที.่ .........เดอื น.................................พ.ศ. .................
36
ตัวอย่าง
เกณฑ์การประเมนิ ดา้ นทักษะการ งั ภาษาอังกฤษเพือ่ การสื่อสาร
ระดับ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน นา้ หนกั / คะแนน
คะแนน 4321 ความสาคญั รวม
สามารถตอบ สามารถตอบ สามารถตอบ ตอบคาถาม
ประเดน
การประเมิน
ความเข้าใจ
คาถาม คาถาม คาถาม หลงั จากทีฟ่ งั
หลังจาก หลงั จากท่ีฟัง หลงั จากทีฟ่ งั ได้นอ้ ยมาก 1 4
ท่ีฟงั ได้ ได้เป็นส่วน ไดเ้ ลก็ น้อย
ทั้งหมด ใหญ่
การจับใจความ จบั ใจความ จับใจความ จับใจความ จบั ใจความ
สาคญั สาคญั ของ สาคัญของ สาคญั ของ สาคัญของ
เน้ือหาได้ เ น้ื อ ห า ไ ด้ เนื้อหาได้ เน้อื หาได้ 2 8
ท้งั หมด เกือบ เล็กน้อย นอ้ ยมาก
ทงั้ หมด
การรู้ ร้คู วามหมาย รูค้ วามหมาย รคู้ วามหมาย รคู้ วามหมาย
ความหมาย คาศัพท์ คาศพั ทโ์ ดย คาศพั ท์ คาศพั ท์
คาศัพท์ ทั้งหมด สว่ นใหญ่ ท้ังหมด เล็กนอ้ ย 14
และ และไม่
ชดั เจน ชดั เจน
การปฏิบัติตาม ปฏบิ ตั ิตาม ปฏบิ ัตติ าม ปฏิบตั ติ าม ปฏิบัติตาม
คาส่ัง คาสั่ง คาส่ัง คาส่ัง คาสง่ั
ไดถ้ กู ตอ้ ง ได้ถูกตอ้ งแต่ ไมค่ อ่ ย ไดถ้ ูกตอ้ ง 1 4
และ ค่อนข้างช้า ถกู ตอ้ งและ นอ้ ยมาก
คล่องแคลว่ ค่อนข้างชา้
รวม 5 20
37
ตัวอย่าง
2. แบบประเมินดา้ นทกั ษะการพดู ภาษาองั กฤษเพื่อการส่อื สาร
วิชา…………………………………………………………………………. ชั้น ……………………………
วันที่ ......................... เดอื น .......................................................... พ.ศ. .......................................
การ ทา่ ทาง ความ เนอื้ หา/ รวม
เลขท่ี ช่ือ – สกลุ ออกเสยี ง ประกอบ คลอ่ งแคลว่ การนาเสนอ
3 คะแนน 3 คะแนน 3 คะแนน 3 คะแนน 12 คะแนน
เกณฑ์การประเมนิ ดี
9 - 12 คะแนน พอใช้
4 - 8 คะแนน ควรปรบั ปรงุ
นอ้ ยกว่า 4 คะแนน
38
ตวั อยา่ ง
เกณฑ์การประเมนิ ด้านทักษะการพูดภาษาองั กฤษเพ่อื การสือ่ สาร
ระดบั คะแนน
3 2 1 คะแนนรวม
ประเดน
ออกเสียงถกู ตอ้ งตาม ออกเสยี งคา/ประโยคได้ ออกเสยี งคา/ประโยค
หลักการออกเสยี ง ถูกตอ้ ง ผิดหลกั การ
การออกเสยี ง มเี สียงเนน้ หนกั มีเสยี งเนน้ หนัก ไมเ่ น้นเสยี งทาให้ 3
ในคา/ประโยค ในคา/ประโยค เป็น สอื่ สารไมไ่ ด้
อย่างสมบรู ณ์ สว่ นใหญ่
แสดงทา่ ทาง พูดด้วย พูดโดยไม่ค่อยแสดง พูดเหมือนอา่ น ไม่เป็น
น้าเสยี งได้ตามบทบาท ท่าทางประกอบ ธรรมชาติ ยืนนงิ่ ๆ ไม่
ทา่ ทางประกอบ และสถานการณ์ มที ่าทาง ทาให้การ 3
สือ่ สารขาดความ
น่าสนใจ
พูดตอ่ เนื่อง ไม่ติดขัด พูดตะกุกตะกักบา้ งแต่ยงั พูดเปน็ คา ๆ หยุดเปน็
ความคลอ่ งแคลว่ พดู ชดั เจน ทาให้สือ่ สาร พอสอ่ื สารได้ ชว่ ง ๆ ทาให้ส่ือสารได้ 3
ได้ ไม่ชัดเจน
พูดไดต้ รงเนอ้ื หา พูดเบ่ยี งเบนเนื้อหา พูดไม่ตรงเนอื้ หา
เนอื้ หา/ การนาเสนอ นาเสนอไดอ้ ย่าง เลก็ น้อย นาเสนอไม่ค่อย นาเสนอไม่นา่ สนใจ 3
น่าสนใจ นา่ สนใจ
39
ตัวอย่าง
3. แบบประเมินด้านทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษเพอ่ื การส่อื สาร
วิชา…………………………………………………………………………. ชน้ั ……………………………
วันท่ี ......................... เดอื น .......................................................... พ.ศ. .......................................
คะแนน ป ร ะ เ ด็ น / ความเข้าใจ การจบั ใจความ การรู้ รวมคะแนน
สาคัญ ความหมาย 20
เลขที่ 8
ช่อื - สกลุ 8 4
ลงชอื่ .........................................................ผู้ประเมนิ
(................................................................)
วันท.่ี .........เดือน.................................พ.ศ. .................
40
ตัวอย่าง
เกณฑ์การให้คะแนนการอา่ น
ระดบั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน นา้ หนัก/ คะแนน
คะแนน ความสาคัญ รวม
ประเดน 4 3 2 1 28
การประเมิน 28
ตอบคาถาม
ความเขา้ ใจ ตอบคาถาม ตอบคาถาม ตอบคาถาม หลังจากท่ี 14
อา่ นไดน้ อ้ ย
หลงั จากที่ หลงั จากท่ี หลงั จากท่ี มาก 5 20
จบั ใจความ
อ่านได้ อา่ นได้เกือบ อา่ นได้ สาคญั ของ
เนื้อหาได้
ทั้งหมด ทั้งหมด เลก็ น้อย น้อยมาก
การจับใจความ จับใจความ จบั ใจความ จบั ใจความ เม่ืออ่านพบ
คาศัพท์ใหม่
สาคัญ สาคญั ของ สาคัญของ สาคญั ของ สามารถเดา
ความหมาย
เน้อื หาได้ เ น้ื อ ห า ไ ด้ เน้อื หาได้ คาศพั ท์จาก
บรบิ ทได้
ทง้ั หมด เกือบ เลก็ นอ้ ย น้อยมาก
ทัง้ หมด
การรู้ความหมาย เม่ืออ่านพบ เมื่ออ่านพบ เม่ืออา่ นพบ
คาศัพท์ คาศพั ท์ใหม่ คาศัพท์ใหม่ คาศพั ท์ใหม่
สามารถเดา สามารถเดา สามารถเดา
ความหมาย ความหมาย ความหมาย
คาศพั ท์จาก คาศพั ท์จาก คาศัพท์จาก
บริบทได้ บรบิ ทได้ บริบทได้
ทั้งหมด เกือบ เล็กนอ้ ย
ทง้ั หมด
รวม
41
ตวั อยา่ ง
4. แบบประเมนิ ดา้ นทักษะการเขียนภาษาองั กฤษเพ่ือการสื่อสาร
วชิ า…………………………………………………………………….. ชัน้ ……………………………….
วนั ท่ี ......................... เดอื น .......................................................... พ.ศ. .......................................
การใช้ การใช้ เนอื้ หา/ การลาดบั รวม
เลขท่ี ชื่อ – สกลุ คาศพั ท์ ภาษา/ การสอื่ ความ เรือ่ ง
ไวยากรณ์
3 คะแนน 3 คะแนน 3 คะแนน 3 คะแนน 12 คะแนน
เกณฑ์การประเมนิ ดี
9 - 12 คะแนน พอใช้
4 - 8 คะแนน ควรปรับปรุง
น้อยกวา่ 4 คะแนน
42
ตวั อย่าง
เกณฑ์การประเมินดา้ นทักษะการเขียนภาษาองั กฤษเพือ่ การสื่อสาร
ระดบั คะแนน
3 2 1 คะแนนรวม
ประเดน
ใช้คาศัพท์ สื่อ ใช้คาศัพท์ ส่อื ใช้คาศพั ท์
การใช้คาศพั ท์ ความหมาย ตรงกับ ความหมาย ไมต่ รงกบั สือ่ ความหมาย 3
เนื้อหา เน้อื หาบางคา ไมต่ รงกับเน้อื หา
หลายคา
เขยี นประโยคถูกตอ้ ง เขยี นประโยค เขยี นประโยคผดิ
ตามหลกั ไวยากรณ์ ไม่ถูกตอ้ งตามหลัก หลกั ไวยากรณ์/
ทกุ ประโยค/ สะกดคา ไวยากรณเ์ ล็กนอ้ ย/ สะกดคาและใช้
การใชภ้ าษา/ ไวยากรณ์ ถกู ต้องเป็นสว่ นใหญ/่ สะกดคาผิดบา้ ง เครอ่ื งหมายต่าง ๆ 3
ใชเ้ ครื่องหมายต่าง ๆ เล็กน้อย/ ใช้ ผิดมาก
ถกู ตอ้ ง เคร่ืองหมายตา่ ง ๆ ผิด
บางแห่ง
เนื้อหา/ การส่ือความ เขียนอธบิ ายเนอื้ หา เขียนอธบิ ายเน้ือหา เขยี นอธิบายเนื้อหา 3
ชัดเจน
พอเขา้ ใจ ไม่ชดั เจน
ลาดับเร่อื งอยา่ งมี ลาดับเรื่องข้าม เน้ือเร่ืองขาดตอนทา 3
การลาดบั เร่อื ง ขั้นตอน ทาให้เร่อื งสื่อ ขน้ั ตอนบ้างแต่ยงั ใหไ้ มน่ า่ สนใจ
ได้อย่างน่าสนใจ ส่อื สารเป็นทเ่ี ข้าใจ
43
ตวั อย่าง
5. แบบบันทึกการประเมนิ การทางานกลุ่ม
ประเดน/ ความ ข้นั ตอน แสดงความ ความ รวม
คะแนน ร่วมมือ 8 คดิ เหน รบั ผิดชอบ คะแนน
เลขที่ ชอื่ - สกลุ 4
4 4 20
ลงชื่อ.........................................................ผปู้ ระเมนิ
(................................................................)
วนั ท.ี่ .........เดือน.................................พ.ศ. .................
44
ระดบั ตวั อย่าง น้าหนัก/ คะแนน
คะแนน เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนการทางานกลุ่ม ความสาคญั รวม
4
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 1
8
ประเดน 4 3 21 2 4
การประเมิน 1
สมาชกิ ในกลมุ่ ทกุ คน สมาชิกในกลมุ่ ทุกคน สมาชกิ ในกลุ่ม สมาชกิ ในกลุม่ 4
ความรว่ มมอื รว่ มมอื กนั ทางาน มี รว่ มมือกนั ทางาน 1 20
การประสานงานทดี่ ี ส่วนใหญ่มีการ 5
เปิดโอกาสใหส้ มาชกิ ประสานงานทดี่ ี เปิด ทกุ คนทางานทีไ่ ดร้ ับ บางคนไม่ทางาน
กลุ่มอืน่ มสี ่วนร่วมใน โอกาสใหส้ มาชกิ กลุ่ม
กจิ กรรมตลอดเวลา อ่ืนมีสว่ นร่วมใน มอบหมาย แตย่ งั ขาด กลุม่ ขาดการ
การนาเสนอ กิจกรรมบางชว่ งของ
การนาเสนอ กาประสานงานในกลุ่ม ประสานงาน
มีการกาหนดขั้นตอน
การทางานค่อนขา้ ง เปิดโอกาสใหส้ มาชิก สมาชกิ กลุ่มอนื่ ไม่มี
ชดั เจนต้ังแต่เริม่ การ
ทางานจนกระท่งั เห็น กลุม่ อน่ื มีส่วนรว่ มน้อย โอกาสเข้าร่วม
ผลงานสมบูรณ์
สมาชกิ สว่ นใหญ่ร่วม มากในช่วงของการ กิจกรรมในช่วงของ
แสดงความคดิ เห็น
นาเสนอ การนาเสนอ
สมาชิกสว่ นใหญร่ ่วม
ขัน้ ตอนการ มกี ารกาหนด แสดงความคดิ เหน็ มีการกาหนดข้ันตอน มกี ารกาหนด
ทางาน ขนั้ ตอนการ สมาชิกส่วนใหญ่
ทางานท่ีชดั เจนตัง้ แต่ ทางานที่ได้รับ การทางานแตย่ ังมี ข้ันตอนการทางาน
การแสดง เรมิ่ ทางานจนกระทัง่ มอบหมายจนเสร็จสิ้น
ความ เหน็ ผลงานสมบูรณ์ สมบูรณ์ ความสาเรจ็ ของงานไม่ ไม่ชดั เจน ทาใหผ้ ล
คิดเหน็ สมาชิกทุกคนรว่ ม
การแสดง แสดงความคดิ เห็น รวม คอ่ ยสมบูรณ์ งานไม่สมบูรณ์
ความ
คดิ เหน็ สมาชิกทุกคน สมาชิกมากกว่า สมาชกิ ไมใ่ หค้ วาม
ความ รว่ มแสดงความ คร่งึ ร่วมแสดง รว่ มมือในการแสดง
รับผดิ ชอบ คดิ เหน็ สมาชิกทุกคน ความคดิ เห็น ความคดิ เห็น
ทางานท่ีได้รบั สมาชกิ มากกว่า สมาชิกไมใ่ ห้
มอบหมายจน ครึ่งร่วมแสดงความ ความร่วมมือใน
งานเสร็จสมบรู ณ์ คิดเหน็ สมาชิกบางคน การแสดงความ
ทันเวลา เลย่ี งงาน ไมท่ า คิดเหน็ สมาชิกไมม่ ี
หน้าท่ีตามท่ีได้ ความรับผดิ ชอบ
รบั มอบหมาย ทาให้งานไม่
งานเสร็จ แต่ไม่ค่อย บรรลเุ ป้าหมาย
สมบูรณ์ทนั เวลา
45
ตวั อยา่ ง
6. แบบบนั ทกึ การประเมินคณุ ภาพช้นิ งาน / ภาระงาน
ประเดน/คะแนน ความสมบรู ณ์ ความคิดสร้างสรรค์ รวมคะแนน
ของช้ินงาน 8 20
เลขท่ี ชอ่ื - สกลุ
12
ลงช่ือ.........................................................ผ้ปู ระเมนิ
(.......................................................)
วันท.ี่ .........เดือน...............................พ.ศ. .................
46