แนวปฏบิ ัติการทำคำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์
และ
ขอ้ สงั เกตการตรวจร่างคำพิพากษาคดียาเสพติด
แผนกคดียาเสพตดิ ในศาลอุทธรณ์
คำนำ
เอกสารแนวปฏิบัติการทำคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีความผิดเก่ียวกับยาเสพติดและข้อสังเกตใน
การตรวจร่างคำพิพากษาฉบับนี้ เป็นการรวบรวมแนวปฏิบัติและข้อสังเกตจากผู้พิพากษาที่รับผิดชอบในการ
ตรวจร่างคำพิพากษาในแผนกคดียาเสพติดทุกภาคส่วน ได้แก่ ผู้บริหารซ่ึงเป็นผู้สงั่ ออก เลขานุการแผนกคดี
ยาเสพติด รองเลขานุการแผนกคดียาเสพติด ผู้ช่วยใหญ่ ผู้ช่วยเล็กและผู้ช่วยคัดท้าย ซึ่งเป็นผู้ตรวจร่างคำ
พพิ ากษาและพบเห็นปัญหาในการปฏิบตั ิงานโดยตรง
เอกสารฉบับน้ีแสดงถึงแนวปฏิบัติและข้อสังเกตโดยระบุถึงข้ันตอนและรายละเอียดของการจัดทำคำ
พิพากษาและกระบวนการตรวจร่างคำพิพากษาตั้งแต่ช่อื คู่ความ ชื่อเรื่อง คำฟ้อง คำขอท้ายฟ้อง คำให้การ
คำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์และฐานความผิด ตลอดจนข้อสังเกตที่พบบ่อย ๆ ในการ
ตรวจร่างคำพพิ ากษา
ขอขอบคุณคณะทำงานและผู้เก่ยี วข้องทกุ ท่านทส่ี ละเวลาและรว่ มแรงรว่ มใจกนั จดั ทำเอกสารฉบับน้ี
จนสำเรจ็ ลลุ ่วงด้วยดี
แผนกยาเสพติดในศาลอุทธรณ์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารแนวปฏิบัติและข้อสังเกตในการตรวจร่าง
คำพิพากษาฉบับน้ี จะเป็นประโยชนต์ ่อการปฏิบัติงานในแผนกยาเสพติด ทง้ั นี้ เพื่อใหผ้ ู้พิพากษา ผชู้ ่วยเล็ก
ผู้ช่วยใหญ่ ผู้สั่งออก ผู้ช่วยยกร่างและผู้ช่วยคัดท้าย ตลอดจนบุคลากรในแผนกยาเสพติดใช้เป็นแนวทางใน
การจัดทำคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและตรวจร่างคำพิพากษา เพื่อให้การ
ปฏิบัติงานในคดีความผิดเก่ียวกบั ยาเสพติดซ่ึงมีปริมาณขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์แผนกยาเสพติดจำนวนมากเป็นไป
โดยรวดเรว็ เปน็ ระบบและมมี าตรฐานเดียวกนั
นายอำนาจ โชติชะวารานนท์
ประธานแผนกคดยี าเสพตดิ ในศาลอุทธรณ์
30 กรกฎาคม 2564
คำสัง่ แผนกคดียาเสพตดิ ในศาลอทุ ธรณ์
ที่ 7/2563
เร่ือง แต่งตัง้ คณะทำงานพจิ ารณาข้อสังเกตในการตรวจรา่ งคำพพิ ากษา
ด้วยปัจจุบันมีคดีค้างพิจารณาจำนวนมากเพื่อให้การตรวจร่างคำพิพากษาเกิดความรัดกุม รวดเร็ว
มปี ระสทิ ธิภาพและเป็นไปในแนวทางเดยี วกนั จึงมีความจำเป็นตอ้ งแต่งต้ังคณะทำงานรวบรวมข้อสังเกตในการตรวจ
ร่างคำพิพากษาเพอื่ จัดทำแนวปฏิบัตขิ องแผนกคดียาเสพติดตอ่ ไป ดังน้ี
คณะทำงาน
1. นายสชุ าติ สุนทรเี กษม ประธานคณะทำงาน
รองประธานแผนกคดียาเสพตดิ ในศาลอุทธรณ์
2. นายธรรมนิตย์ ตนั ติยวรงค์ คณะทำงาน
รองประธานแผนกคดยี าเสพติดในศาลอุทธรณ์
3. นายปรชั ญา อยปู่ ระเสริฐ คณะทำงาน
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณป์ ระจำกองผชู้ ่วยผพู้ พิ ากษาศาลอุทธรณ์
4. นายสรุ ัตน์ชยั ศลิ าภากุล คณะทำงาน
ผูพ้ ิพากษาศาลอุทธรณป์ ระจำกองผ้ชู ่วยผ้พู พิ ากษาศาลอุทธรณ์
5. นายอรา่ มศกั ดิ์ ไทพาณชิ ย์ คณะทำงาน
ผู้พพิ ากษาศาลอุทธรณป์ ระจำกองผู้ช่วยผพู้ พิ ากษาศาลอุทธรณ์
6. นางรัชนี ตนั ปน่ิ เพชร คณะทำงาน
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณป์ ระจำกองผู้ช่วยผู้พพิ ากษาศาลอุทธรณ์
7. นายวนิ ยั สร้อยพลอย คณะทำงาน
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณป์ ระจำกองผ้ชู ว่ ยผู้พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์
8. นางสาวดษุ ดี พชิ ยภิญโญ คณะทำงาน
ผู้พพิ ากษาศาลชนั้ ต้นประจำกองผูช้ ว่ ยผ้พู พิ ากษาศาลอุทธรณ์
9. นายบญั ชา สวุ รรณน้อย คณะทำงาน
ผพู้ พิ ากษาศาลชน้ั ต้นประจำกองผ้ชู ่วยผู้พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์
10. นางกาญจนา งามญาติ เศวตนัย คณะทำงานและเลขานกุ าร
ผู้พพิ ากษาศาลชนั้ ตน้ ประจำกองผชู้ ว่ ยผพู้ พิ ากษาศาลอทุ ธรณ์
11. นางอชริ ญา พลภกั ดี คณะทำงานและผชู้ ว่ ยเลขานุการ
ผพู้ ิพากษาศาลอทุ ธรณป์ ระจำกองผชู้ ว่ ยผพู้ ิพากษาศาลอทุ ธรณ์
ทั้งนี้ ต้งั แตว่ ันท่ี 1 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เปน็ ต้นไป
สงั่ ณ วนั ท่ี 27 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2563
(นายอำนาจ โชติชะวารานนท)์
ผพู้ พิ ากษาหัวหนา้ คณะในศาลอุทธรณ์ ช่วยทำงานชัว่ คราวในตำแหน่ง
ประธานแผนกคดยี าเสพติดในศาลอุทธรณ์
สารบัญ หน้า
ส่วนท่ี 1 ช่อื คคู่ วาม 1
1
1 ชือ่ โจทก์ 3
2 ชื่อจำเลย
3 ช่อื ผรู้ อ้ งหรือผคู้ ัดคา้ น 5
สว่ นท่ี 2 ชือ่ เรอื่ ง 7
7
ส่วนที่ 3 รูปแบบ 9, 11
1 กรณตี าม ป.ว.ิ อ. มาตรา 193 12
2 กรณตี าม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง 12
3 กรณรี วมพจิ ารณา และกรณรี ื้อฟืน้ คดอี าญาขึ้นพจิ ารณาใหม่ 13
13
ส่วนท่ี 4 ฟอ้ ง 14
15
1 กรณแี ก้ฟ้อง 18
2 วันเวลาเกิดเหตุ 18
3 การกระทำความผิดหลายกรรม 20
4 หน่วยการใช้ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 15 วรรคสาม (1) และ (2) 21
5 น้ำหนกั และลักษณะของยาเสพติด 21
6 ฐานความผิด
7 ทเี่ กิดเหตุ 22
8 ของกลาง 22
9 กรณเี พิ่มโทษ บวกโทษ และนับโทษตอ่ 23
10 ฐานความผดิ สมคบตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ มาตรา 6, 8 23
11 การใหข้ ้อมลู ตาม พ.ร.บ.ยาเสพตดิ ฯ มาตรา 100/2 23
ส่วนท่ี 5 คำขอท้ายฟ้อง
1 บทความผิดและบทกำหนดโทษ
2 คำขอรบิ ของกลาง
3 คำขอเพ่ิมโทษ บวกโทษ และนบั โทษตอ่
4 คำขอเพิกถอนหรือพกั ใช้ใบอนุญาตขับรถ
5 การเรยี งลำดับคำขอทา้ ยฟ้อง
สว่ นท่ี 6 คำใหก้ าร 24
24
1 รบั สารภาพ/ปฏเิ สธทกุ ข้อหา 24
2 รบั สารภาพบางข้อหา 24
3 รบั สารภาพไมเ่ ต็มตามข้อหา 25
4 ปฏเิ สธแลว้ ถอนคำให้การเป็นรับสารภาพ 25
5 จำเลยหลายคน ใหก้ ารรบั สารภาพ/ปฏิเสธ ตา่ งกัน 25
6 กรณีมีคำขอเพ่ิมโทษ หรือบวกโทษ หรือนบั โทษต่อ
7 ศาลชน้ั ต้นไม่สอบจำเลยกรณีมีคำขอเพ่ิมโทษ หรือบวกโทษ หรอื นบั โทษต่อ 26
26
ส่วนที่ 7 คำพพิ ากษาศาลชัน้ ตน้ 31
34
1 กรณีดัดแปลงได้ 35
1.1 ช่ือฐานความผิด 35
1.2 การปรับบทความผดิ 35
1.3 การกระทำกรรมเดียวผดิ กฎหมายหลายบท 36
1.4 การกระทำความผดิ หลายกรรม 37
1.5 การกระทำหลายกรรม กรรมหนงึ่ เป็นความผิดหลายบท 40
1.6 การเขียนโทษจำคุกและปรับ 42
1.7 การลดมาตราสว่ นโทษ 45
1.8 การเพม่ิ โทษ 47
1.9 การลดโทษ 49
1.10 การเพ่ิมโทษและลดโทษควรใชเ้ หมอื นกนั 52
1.11 การเพิ่มโทษประหารชีวติ 56
1.12 การเพิ่มโทษจำคุกตลอดชวี ติ 56
1.13 การลดโทษประหารชวี ิต 57
1.14 การลดโทษจำคุกตลอดชวี ิต 57
1.15 การบวกโทษ 58
1.16 การนบั โทษต่อ 59
1.17 การริบของกลาง 59
1.18 การบังคับโทษปรับ 60
1.19 การรอการลงโทษ และคมุ ความประพฤติ
1.20 การเพิกถอนหรือพักใช้ใบอนญุ าตขับขี่
1.21 การเรียงคำพิพากษาตามลำดับคำขอ
1.22 กรณยี กฟ้องบางข้อหา หรือยกคำขอ
2 กรณตี ัดออกได้ 60
3 การใช้วงเล็บ 60
60
3.1 ตามคมู่ ือฯ 61
3.2 ตามคำพิพากษาศาลฎกี า
66
สว่ นท่ี 8 คำวนิ ิจฉัยศาลอุทธรณ์ 66
67
1 การนำวธิ ีพิจารณาในศาลช้นั ตน้ มาใช้ 71
2 การกลา่ วถึงฐานความผิดท่ยี ตุ ิในชนั้ อทุ ธรณ์ 72
3 การต้งั ปญั หาวินจิ ฉยั ในชัน้ อทุ ธรณ์ 77
4 การใช้ภาษาเรียงคำพิพากษา 78
5 การจดรายงานกระบวนพิจารณากรณตี ่างๆ 80
6 กรณีร่างไมล่ งโทษปรับสถานเดยี ว 80
7 กรณีจำเลยอุทธรณ์ใหล้ งโทษสถานเบา 80
8 การใช้ถอ้ ยคำกรณไี มร่ อการลงโทษ 81
9 การใชค้ ำ ตำรวจ ตาม พ.ร.บ. ยาเสพตดิ ฯ มาตรา 100/2 81
10 การใช้เครือ่ งหมายจุลภาคและยตั ิภงั ค์ 81
11 การใชค้ ำกรยิ า แลน่ หรอื วง่ิ 81
12 การใชค้ ำบุพบท ของ 82
13 การใชค้ ำ ปมั๊ น้ำมนั หรอื สถานบี รกิ ารน้ำมัน 82
14 การใชค้ ำ ชื่อโรคตดิ ต่อไวรสั โคโรน่า 2019 82
15 การใช้ชอื่ บริษัท 82
16 การใชช้ ่อื ฐานความผิด 83
17 การเขียนช่ือบุคคลกรณีไม่ทราบช่ือ 83
18 การอา้ งช่ือตำบลหรืออำเภอหลายแห่ง 84
19 การแกเ้ งอื่ นไขคุมความประพฤติ
20 การวนิ จิ ฉยั ปรับบทตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดฯ มาตรา 100/1 85
21 การระวางโทษสามเท่า 85
86
สว่ นท่ี 9 คำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์ 86
88
1 การลดโทษปรบั ลง 1 ใน 3 89
2 การลดมาตราสว่ นโทษ หรอื ลดโทษเปน็ จดุ ทศนิยม
3 กรณรี า่ งออกรายงานกระบวนพจิ ารณา
4 การแก้โทษกรณีไมเ่ ปน็ ปัญหาในชนั้ อทุ ธรณ์
5 การกำหนดระยะเวลาการกักขังแทนคา่ ปรบั
6 การระบุระยะเวลาการกักขังแทนคา่ ปรบั
7 ความผิดฐานมกี ญั ชาไว้ในครอบครอง 90
8 การพิพากษายนื ยก กลบั แก้ 90
9 การพิพากษาปรบั บทความผิดและบทลงโทษ 92
10 การลงโทษ ลดโทษ ลดมาตราสว่ นโทษ กรณีโทษจำคกุ ตลอดชีวติ และปรับ 102
11 การลงโทษ ลดโทษ ลดมาตราส่วนโทษ กรณีโทษประหารชีวติ 103
12 การลดโทษ กรณีมีโทษประหารชวี ิต และโทษจำคุกตลอดชีวติ และปรับ 104
13 การบวกโทษ 104
14 การนับโทษต่อ 104
15 การรวมโทษกรณีรา่ งแก้บางฐานความผดิ 105
16 การระวางโทษสามเท่าของโทษจำคกุ ตลอดชีวติ หรือโทษประหารชีวติ 105
17 การปรับบทกรณเี พิ่มโทษของโทษจำคุกตลอดชวี ติ หรอื โทษประหารชีวิต 106
18 การปรับบทฐานสมคบตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ มาตรา 8 107
19 การปรบั บทฐานสนบั สนุนตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ มาตรา 6 111
20 การปรบั บทฐานพยายามตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ มาตรา 7,ป.อ.มาตรา 80 113
21 การรอการลงโทษ หรอื ไม่รอการลงโทษ และการคุมความประพฤติ 114
22 การใช้ชอ่ื ฐานความผิดกรณมี ีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหนา่ ย 115
23 การลงโทษกรณีไมเ่ ต็มจำนวนยาเสพติดในฟ้อง 116
24 การปรบั บทตาม ป.อ. มาตรา 90 116
25 การปรบั บทฐานความผิดกรณีประเภทยาเสพตดิ เดียวกัน หลายชนิด 117
ภาคผนวก 119
1 ชอื่ ฐานความผิดในคดยี าเสพตดิ ใหโ้ ทษและคดที เี่ กี่ยวขอ้ ง 120
2 การใชช้ อื่ ประเทศต่าง ๆ ในคำพิพากษา 132
3 คำไทยทบั ศัพท์ภาษาองั กฤษและคำทับศัพท์ดา้ นไอที 152
1
ส่วนท่ี 1
ชอื่ ค่คู วาม
1. ช่ือโจทก์
1.1 คดีในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งคดีในศาลอาญาพระโขนง ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญา
มีนบุรี (ศาลท้งั สามแห่งเปดิ ทำการเม่ือวันท่ี 1 สิงหาคม 2562) และศาลแขวง ให้ใช้ว่า “พนักงานอัยการ สำนักงาน
อยั การสูงสุด”
1.2 คดใี นจังหวัดอื่น ใหใ้ ช้ว่า “พนกั งานอยั การจังหวัด...” เวน้ แต่
1.2.1 คดศี าลแขวง ให้ใชว้ า่ “พนักงานอัยการคดศี าลแขวง...”
1.2.2 คดีศาลสาขา ใชว้ งเลบ็ ดังน้ี
- “พนกั งานอัยการจังหวัดนา่ น (สาขาปวั )” (ฎ.4551/2561)
- “พนักงานอัยการจังหวัดแม่ฮ่องสอน (สาขาป าย)” (ฎ .4275/2562 ส่วน
ศาลจังหวัดเชียงราย (สาขาเวียงป่าเปา้ ) ศาลจังหวัดพษิ ณุโลก (สาขานครไทย) และศาลจังหวัดมหาสารคาม (สาขา
พยัคฆภูมิพิสัย) ตามประกาศ ก.บ.ศ. เร่ืองการเปิดทำการของศาลสาขาแต่ละแห่ง ซึ่งมีผลตั้งแต่วันท่ี 3 มกราคม
2560 ใหศ้ าลสาขาดังกลา่ วรบั พิจารณาเฉพาะคดีแพ่ง)
ยกเว้น สาขาปากช่อง ไมต่ ้องใช้คำวา่ “สาขา” นำหน้า ใหใ้ ช้ว่า
-“พนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้ว (ปากช่อง)” (ฎ.1830/2544 และชื่อศาลในเว็บไซต์ของ
สำนักงานศาลฯ โดยมีสาขาปากช่องเพยี งแหง่ เดยี วท่ไี มใ่ ช้คำว่า “สาขา” นำหนา้ )
2. ชอื่ จำเลย
2.1 กรณีมจี ำเลยหลายคน ใหร้ ะบจุ ำเลยแต่ละคนต่างบรรทัดกนั (คมู่ ือฯ เลม่ 4 หนา้ 118)
2
2.2 กรณีจำเลยมียศ ให้ใช้ชื่อกับยศติดกัน เช่น สิบตำรวจโทสมศักดิ์ หรือ ดาบตำรวจสมศักด์ิ ซ่ึง
เป็นไปตามคู่มอื ปฏบิ ัติราชการของตุลาการ สว่ นการปฏบิ ตั ิงานในศาลอทุ ธรณ์หรอื ศาลอทุ ธรณภ์ าค เลม่ ท่ี 4 (สแี ดง)
แต่หากร่างใช้ช่ือกับยศติดกัน เช่น สิบตำรวจโทสมศักด์ิ หรือ ดาบตำรวจสมศักด์ิ ให้คงตามร่าง เนื่องจากเป็นไป
ตามหลักเกณฑ์การใชเ้ ครือ่ งหมายวรรคตอนและเครือ่ งหมายอ่ืน ๆ หลกั เกณฑก์ ารเวน้ วรรค หลักเกณฑก์ ารเขียนคำ
ยอ่ ของราชบณั ฑติ ยสถาน (คู่มือปฏิบัติราชการของตุลาการ ส่วนการปฏิบัติงานในศาลอุทธรณห์ รอื ศาลอุทธรณ์ภาค
เล่ม 4 มีหมายเหตุไว้ว่า “แม้ตามหลักเกณฑ์การใช้เคร่ืองหมายวรรคตอนและเครื่องหมายอ่ืน ๆ หลักเกณฑก์ ารเว้น
วรรค หลกั เกณฑ์การเขยี นคำยอ่ แกไ้ ขเพิม่ เติม เอกสารเผยแพร่ชุดที่ 4 เนื่องในวนั สถาปนาราชบัณฑิตยสถาน
31 มีนาคม 2530 พิมพ์ครั้งท่ี 5 เดือนธันวาคม 2533 จะกำหนดให้เว้นวรรคระหว่างยศกับช่ือ แต่ตามแนวปฏิบัติ
ของศาลฎกี าจะไม่เวน้ วรรคระหว่างยศกบั ชื่อ)
2.3 ชื่อและช่ือสกุลจำเลยท่ีมีภาษาอ่ืน ให้ใช้ชื่อภาษาไทย แล้ววงเล็บช่ือและชื่อสกุลภาษาอื่น ตาม
ฟ้อง เช่น นายเมือง คยอ คยอ นาย (Mr. MAUNG KYAW KYAW NAING) หรอื นายมูฮาหมัด ฟาร์ไซร์หรือไฟซาล
บิน ซากาเรีย (MR. MUHAMAD FAIZAL BIN ZAKARIA) หากฟ้องใช้ช่ือภาษาอ่ืนข้ึนก่อนภาษาไทย ควรสลับเอา
ภาษาไทยข้นึ กอ่ น
2.4 กรณีจำเลยมีหลายชื่อหรือช่ือสกุล ใช้คำว่า “หรือ” ติดกับช่ือหรือชื่อสกุล โดยไม่เว้นวรรค เช่น
“นายสมพงษ์หรือสมพงศห์ รือพงศ์ มบี ญุ หรอื บุญมหี รือบุณมี” เปน็ ต้น
2.5 กรณีฟ้องระบุว่า “นักโทษชาย” ให้ใช้ “นาย” ส่วน “นักโทษหญิง” ให้ใช้ “นางสาว” หรือ
“นาง” ตามท่ีปรากฏเอกสารในสำนวน เชน่ บัตรประจำตัวประชาชนหรือแบบรับรองทะเบียนราษฎร
2.6 กรณีฟ้องสะกดชื่อหรือชื่อสกุลไม่ตรงกับแบบรับรองทะเบียนราษฎรหรือสำเนาบัตรประจำตัว
ประชาชนท้ายฟ้อง ให้ใช้ตามฟ้อง และใช้คำว่า “(ที่ถูก...)” (ฎ.5871/2543) ตามด้วยชื่อหรือช่ือสกุลตามเอกสาร
ทา้ ยฟ้อง เน่ืองจากไมช่ ดั เจนว่าชอ่ื และชอื่ สกุลใดถกู ตอ้ ง
3
3. ชอื่ ผรู้ อ้ งหรือผู้คัดค้าน
3.1 กรณีคดีสาขา ให้ใส่ชื่อผู้ร้องหรือผู้คัดค้านไว้ตรงกลางระหว่างโจทก์กับจำเลย กรณีมีผู้ร้องหรือผู้
คัดค้านหลายคน ใหร้ ะบผุ ู้รอ้ งหรอื ผ้คู ัดคา้ นแต่ละคนตา่ งบรรทัดกนั เชน่
พนกั งานอัยการ..................... โจทก์
นาย..................................... ท่ี 1 ผู้คดั คา้ น
นาย..................................... ที่ 2 จำเลย
นาย.................................... ท่ี 1
นาย.................................... ที่ 2
3.2 กรณศี าลชั้นตน้ ต้งั สำนวนขึ้นต่างหากแยกจากสำนวนเดิม ใช้วา่ ผู้ร้อง กับ ผู้คดั คา้ น เชน่
3.2.1 ขอให้ริบทรัพย์ตาม พ.ร.บ. มาตรการฯ กรณียื่นคำร้องเป็นคดีต่างหากจากคดี
ยาเสพตดิ และกรณยี ่นื คำร้องหลังมีคำพพิ ากษาคดยี าเสพติด ให้ใช้ (คมู่ ือฯ เลม่ 4 หน้า 72 ถึง 76)
พนกั งานอยั การ....................... ผู้ร้อง
นาย....................................... ผูค้ ัดคา้ น
4
หมายเหตุ กรณีท่ีมผี ู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่เกี่ยวข้องยื่นคำร้องคัดค้านเขา้ มาในคดี ให้ใช้ว่า “ผูค้ ัดค้าน” หาก
ศาลชั้นต้นเรียกชื่ออย่างอ่ืน เช่น เรียกว่า “ผู้เกี่ยวข้อง” ในส่วนปีกกาชื่อคู่ความให้แก้ไขเป็น “ผู้คัดค้าน” ได้ เม่ือ
ศาลอุทธรณแ์ กไ้ ขโดยเรยี กวา่ “ผู้คดั ค้าน” แลว้ ให้อธิบายการเรียกในสว่ นนีไ้ ว้ด้วย ใหใ้ ช้ข้อความในทำนองวา่ “เดิม
นาย... ยนื่ คำคัดค้าน ศาลชัน้ ตน้ เรยี กนาย... วา่ ผู้เกย่ี วข้อง ต่อไปใหเ้ รยี กว่า ผู้คัดค้านท่ี 2”
3.2.2 ขอให้รื้อฟืน้ คดีอาญาขน้ึ พิจารณาใหม่ (แนวส่ังออกแดงที่ 10406/2560,
8453/2560) ใหใ้ ช้
นาย............................... ผ้รู อ้ ง
3.3 กรณีผิดสัญญาประกนั ให้ใชว้ า่ “ผปู้ ระกนั ” ไวต้ รงกลางระหวา่ งโจทกก์ บั จำเลย
ไมใ่ ชค้ ำว่า “ผ้ขู อประกัน”
พนักงานอยั การ................ โจทก์
นาย................................. ผู้ประกัน
นาย................................. จำเลย
5
สว่ นท่ี 2
ชอ่ื เรื่อง
1. ใหใ้ สท่ ุกข้อหาตามคำขอทา้ ยฟอ้ ง แม้วา่ บางข้อหาจะยุติไปแลว้ ก็ตาม โดยความผิดลหโุ ทษ ให้ใส่ไว้
หลงั สุดของความผิดอื่น (คูม่ ือฯ เล่ม 4 หน้า 119)
2. ความผิดตามพระราชบัญญัติต่าง ๆ ใช้ชื่อเร่ืองว่า “ความผิดต่อพระราชบัญญัติ...” ตามชื่อเต็ม
โดยไม่ตอ้ งมี พ.ศ. หรือเครื่องหมายไปยาลน้อย “ฯ” เว้นแต่ความผดิ ตามพระราชบญั ญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน
วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และส่ิงเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ให้ใช้ว่า “ความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ”
(คู่มือฯ เล่ม 4 หนา้ 119)
3. กรณีฟ้องข้อหาความผิดอ่ืนด้วย ให้ใช้ช่ือเรื่อง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ ข้ึนก่อน เพราะเป็น
ความผดิ หลักของแผนกคดียาเสพติด เช่น ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ความผิดตอ่ พระราชบัญญัติ
อาวุธปืนฯ ลหุโทษ หรือความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก
ความผดิ ตอ่ พระราชบญั ญตั กิ ารขนสง่ ทางบก เปน็ ต้น (คมู่ ือฯ เล่ม 4 หนา้ 119)
รวมทั้งกรณีที่ฟ้องขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. มาตรการฯ เช่น มาตรา 5, 6, 7, 8, 40, 41, 42
เป็นต้น ให้ใช้ชื่อเร่ืองว่า “ความผิดต่อพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเก่ียวกับ
ยาเสพตดิ ” (แนวสงั่ ออกดำที่ ยส.3083/2560 แดงที่ 15186/2560)
4. กรณีฟ้องบรรยายการกระทำข้ันพยายามกระทำความผิด ให้ระบุคำว่า “พยายาม” ต่อท้ายช่ือ
เรื่องนั้น ๆ ไว้ด้วย แม้ว่าฟ้องไม่ได้ขอ ป.อ. มาตรา 80 เช่น ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พยายาม
แต่กรณีฟ้องขอบทลงโทษตาม พ.ร.บ. มาตรการฯ มาตรา 7 มาด้วย ให้ระบุ พ.ร.บ. มาตรการฯ ต่อท้าย เช่น
ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พยายาม ความผิดต่อพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปราม
ผ้กู ระทำความผดิ เก่ยี วกบั ยาเสพติด เปน็ ตน้ (คมู่ ือฯ เล่ม 4 หน้า 119)
6
5. คดีสาขา ให้ใช้ช่ือเรื่องเดิม แต่ระบุเร่ืองสาขาในวงเล็บ เช่น ความผิดต่อพระราชบัญญัติ
ยาเสพติดใหโ้ ทษ - (ชั้นขอคนื ของกลาง)
- (ช้นั ผดิ สญั ญาประกัน)
- (ชน้ั ขอกำหนดโทษใหม่)
- (ชน้ั ผดิ เงอ่ื นไขคุมความประพฤต)ิ
- (ชัน้ ขอขยายระยะเวลาอทุ ธรณ)์
- (ช้ันอทุ ธรณ์คำสงั่ ไม่รบั อทุ ธรณ)์
- (ชน้ั ขอหักวนั ต้องขัง)
- (ช้นั ขอให้แก้ไขหมายจำคุกเม่ือคดถี งึ ที่สุด)
- (ช้ันบังคับคดี) เช่น กรณีขอเงินค่าปรับคืนเนื่องจากได้รับอภัยโทษ หรือขอออกหมาย
บังคบั คดี หรอื ขอใหไ้ ม่นับโทษตอ่ หรือขอให้คำนวณการเพิม่ โทษใหม่
- (ชั้นขอใหร้ ือ้ ฟนื้ คดอี าญาขนึ้ พิจารณาใหม่)
แต่สำหรับเร่ืองริบทรัพย์สินตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเก่ียวกับ
ยาเสพติดฯ ไมต่ อ้ งมวี งเล็บวา่ (ช้ันขอใหร้ บิ ทรพั ยส์ นิ ) (คู่มอื ฯ เล่ม 4 หน้า 119)
7
ส่วนที่ 3
รูปแบบ
1. รูปแบบกรณีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ให้ใช้ชื่อคู่ความท่ีอุทธรณ์ โดยวันที่ศาลอุทธรณ์รับสำนวนไว้
พิจารณาใหถ้ ือวันท่ีตามตราประทับพนักงานรับฟอ้ งที่ปกสำนวน ถ้าวันท่ีตามตราประทบั พนักงานรับฟ้องไม่ตรงกับ
ปกชมพู ให้ถอื ตามตราประทับพนกั งานรับฟ้อง (ตราวงรี)
โจทก์/จำเลย อุทธรณค์ ำพิพากษา ศาลจงั หวดั ...............
ลงวันท่ี............... เดอื น............... พุทธศักราช...............
ศาลอุทธรณ์รบั วนั ท.่ี .............. เดือน............... พุทธศักราช...............
2. รูปแบบกรณีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง แยกเป็น 2 กรณี ดังน้ี (ตามบันทึกงานเลขานุการแผนก
คดยี าเสพติดฯ ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2559 ข้อ 6)
2.1 กรณไี มม่ คี คู่ วามอทุ ธรณ์ ให้ใช้
โจทก์และจำเลยไมอ่ ุทธรณ์ คำพิพากษาศาลจังหวัด...............
ลงวันท.ี่ .............. เดือน............... พทุ ธศักราช...............
ศาลจงั หวดั ...............สง่ สำนวนมายงั ศาลอุทธรณ์
ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง
ประกอบพระราชบญั ญตั ิวิธีพจิ ารณาคดียาเสพตดิ พ.ศ. 2550 มาตรา 16
ศาลอทุ ธรณ์รบั วันที่............... เดือน............... พุทธศักราช...............
8
2.2 กรณีมีคู่ความบางคนอุทธรณ์ และศาลช้ันต้นมีคำส่ังให้ส่งสำนวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245
วรรคสอง ดว้ ย (อาจปรากฏคำสงั่ ในรายงานกระบวนพจิ ารณา รายงานเจา้ หน้าที่ หรือหนงั สอื นำส่งสำนวน) ใหใ้ ช้
โจทก/์ หรือจำเลยท่ี ............... อุทธรณค์ ำพพิ ากษา ศาลจงั หวดั ...............
ลงวนั ที่............... เดือน............... พุทธศักราช...............
จำเลยที่ ...............ไม่อทุ ธรณ์ ศาลจงั หวดั ...............สง่ สำนวนมายังศาลอทุ ธรณ์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง
ประกอบพระราชบัญญตั ิวธิ ีพิจารณาคดียาเสพตดิ พ.ศ. 2550 มาตรา 16
ศาลอุทธรณร์ ับวนั ที่............... เดอื น............... พุทธศักราช...............
2.3 กรณีมีคู่ความบางคนอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งให้ส่งสำนวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245
วรรคสอง ใหใ้ ช้
โจทก์/หรือจำเลยท่ี ............... อุทธรณค์ ำพิพากษา ศาลจงั หวดั ...............
ลงวนั ท่.ี .............. เดือน............... พทุ ธศกั ราช...............
ศาลอทุ ธรณร์ บั วันท่ี............... เดือน............... พุทธศักราช...............
หมายเหตุ การอ้าง ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง ก่อน พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550
มาตรา 16 เป็นไปตามบันทึกงานเลขานุการแผนกคดียาเสพติดฯ ลงวันท่ี 7 กรกฎาคม 2559 ข้อ 6
แนวทางเดียวกับการอ้าง พ.ร.บ. วธิ ีพิจารณาคดยี าเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 แต่เคยมแี นวส่งั ออกที่อา้ ง
พ.ร.บ. วธิ พี ิจารณาคดียาเสพตดิ พ.ศ. 2550 มาตรา 16 กอ่ น ป.ว.ิ อ. มาตรา 245 วรรคสอง
9
3. หลังจากใช้รูปแบบการอุทธรณ์ตามข้อ 1. หรือ 2. แล้ว กรณีรวมการพิจารณา ให้ใช้ข้อความดังน้ีเป็น
ยอ่ หนา้ แรกก่อนยอ่ ฟ้อง ดงั นี้
3.1 กรณีขน้ึ สู่การพิจารณาของศาลอุทธรณท์ ุกสำนวน ให้ใช้ข้อความว่า
“คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกนั โดยให้เรยี กโจทกท์ ้ังสองสำนวนว่า โจทก์
เรยี กจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยท่ี 1 และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2”
3.2 กรณขี นึ้ สกู่ ารพิจารณาของศาลอุทธรณบ์ างสำนวน ให้ใชข้ อ้ ความวา่
- รวมพจิ ารณา 2 สำนวน ยุติไป 1 สำนวน เช่น
“คดีนี้ เดิมศาลช้ันต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันกับคดีหมายเลขแดงที่ ... ของศาลช้ันต้น
โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนดังกล่าวว่า จำเลยท่ี 1 และเรียกจำเลยในสำนวนนี้
ว่า จำเลยท่ี 2 แต่คดีสำหรับจำเลยท่ี 1 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงข้ึนมาสู่ศาลอุทธรณ์เฉพาะ
คดสี ำนวนน”ี้ (ฎ.7008/2562)
- รวมพจิ ารณา 3 สำนวน ยุตไิ ป 1 สำนวน ให้ใชข้ ้อความว่า
“คดีท้ังสองสำนวนน้ี เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันกบั คดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ...
ของศาลช้ันต้น โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนน้ีว่า โจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และท่ี 2
ตามลำดับ เรียกจำเลยในสำนวนท่ีสองว่า จำเลยท่ี 3 ท่ี 4 และท่ี 5 ตามลำดับ แต่คดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ...
ยุติไปแล้วตามคำพพิ ากษาศาลช้ันต้น คงขน้ึ มาสูศ่ าลอุทธรณ์เฉพาะคดสี องสำนวนน้ี” (ฎ.2696-2697/2562)
หรอื “คดีทงั้ สองสำนวนนี้ เดิมศาลชน้ั ต้นพิจารณาและพิพากษารวมกนั กบั คดีอาญาหมายเลขแดง
ที่ ... ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกโจทก์ท้ังสองสำนวนน้ีว่า โจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และท่ี 2
ตามลำดับ เรียกจำเลยในสำนวนที่สองว่า จำเลยท่ี 3 ที่ 4 และท่ี 5 ตามลำดับ และเรียกจำเลยในคดีอาญา
10
หมายเลขแดงที่... ว่า จำเลยที่ 6 แต่คดีอาญาหมายเลขแดงที่ ... ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงข้ึนมาสู่
ศาลอทุ ธรณเ์ ฉพาะคดสี องสำนวนน”ี้
- รวมพิจารณา 4 สำนวน ต่อมาแยกสำนวนไปพิจารณาและพิพากษา 1 สำนวน ให้ใช้ข้อความว่า
“คดีทั้งสามสำนวนนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณารวมกับคดีหมายเลขแดงท่ี ... โดยให้เรียกโจทก์
ทุกสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยท้ังสามสำนวนว่า จำเลยท่ี 1 ท่ี 2 และที่ 3 ตามลำดับ และเรียกจำเลยในคดี
ดังกลา่ วว่า จำเลยท่ี 4 ก่อนสืบพยานจำเลยท่ี 4 ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้แยกสำนวนของจำเลยท่ี 4
ออกไปพิจารณาและมีคำพิพากษาแล้ว ส่วนคดีท้ังสามสำนวนน้ี ศาลช้ันต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน ”
(ฎ.2560-2568/2561)
ทั้งนี้ การกล่าวถึงจำเลยที่เท่าใดหลังจากชื่อคู่ความในปีกกาให้คงเป็นไปตามช่ือท่ีเรียกเม่ือรวม
การพิจารณา เว้นแต่ลำดับการเรียกจำเลยตรงท่ีระบุในปีกกา ให้คงใส่ลำดับท่ีเดิมตามสำนวนของจำเลยน้ัน ๆ
และกล่าวถึงเฉพาะสำนวนท่ีมีการอุทธรณ์ เพราะสัมพันธ์กับหมายเลขคดีท่ีศาลอุทธรณ์รับไว้พิจารณา
(ฎ.2696-2697/2562, 2560-2568/2561) เช่น กรณีรวมพิจารณา 3 สำนวน ยุติไป 1 สำนวน จะระบุในปีกกา
เพยี ง 2 สำนวน ดงั นี้
พนกั งานอัยการ............................... โจทก์
นาย................................................ ที่ 1 จำเลย
นาย................................................ ที่ 2
เรื่อง ความผิดตอ่ พระราชบญั ญัตยิ าเสพตดิ ให้โทษ
พนกั งานอยั การ สำนักงานอยั การสูงสดุ 11
โจทก์
นาย................................................. ท่ี 1
นาย................................................ ที่ 2
นาย................................................. ที่ 3 จำเลย
เร่ือง ความผิดต่อพระราชบัญญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ
จำเลยท่ี 4 และที่ 5 อุทธรณ์คำพพิ ากษา ศาล...............
ลงวันที.่ .............. เดือน............... พทุ ธศกั ราช...............
ศาลอทุ ธรณร์ ับวนั ที่............... เดอื น............... พุทธศักราช...............
คดีท้ังสองสำนวนนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ...
ของศาลช้ันต้น โดยให้เรียกโจทก์ท้ังสองสำนวนนี้ว่า โจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2
ตามลำดับ เรียกจำเลยในสำนวนท่ีสองว่า จำเลยท่ี 3 ที่ 4 และท่ี 5 ตามลำดับ แต่คดีอาญาหมายเลขแดงที่ ...
ยุตไิ ปแล้วตามคำพพิ ากษาศาลชั้นต้น คงขึ้นมาสศู่ าลอทุ ธรณเ์ ฉพาะคดสี องสำนวนน้ี
กรณีขอให้ร้อื ฟน้ื คดีอาญาข้นึ พิจารณาใหม่ ให้ใช้ขอ้ ความวา่
“ระหว่างพนักงานอัยการ... โจทก์ นาย... จำเลย และสำนวนไต่สวนรื้อฟ้ืนคดีอาญาขึ้นพิจารณา
ใหม่ พร้อมบันทึกความเห็นของศาลช้ันต้นในคดีรื้อฟ้ืนมาให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาตามพระราชบัญญัติ
การรอ้ื ฟน้ื คดอี าญาข้นึ พิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 9
ศาลอุทธรณ์รับวันที่... เดือน... พทุ ธศกั ราช....” (แนวสงั่ ออกแดงที่ 8453/2560)
12
สว่ นที่ 4
ฟ้อง
การย่อฟอ้ งต้องให้ครบถ้วนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) โดยพิจารณาตามฟ้อง หากกรณีครบองคป์ ระกอบ
ความผดิ ตามฟ้องใหย้ ่อให้กระชบั โดยคำนงึ ว่าการยอ่ ฟอ้ งไมใ่ ช่การลอกฟอ้ ง ดงั น้ี
1. กรณีแก้ฟ้อง ควรใช้ว่า “โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า” (คู่มือฯ เล่ม 2 หน้า 389 และ ฎ.8491/2561,
5537/2561) แต่หากร่างใช้ “โจทก์ฟ้องหรือแก้ฟ้องว่า” ให้คงตามร่าง เพราะเป็นถ้อยคำตาม ป.วิ.อ. มาตรา 161
(ฎ.2580/2563, 1354/2563)
2. วันเวลาเกดิ เหตุ
2.1 หากฟ้องระบุวันเกิดเหตุวันเดียว ใช้ว่า “เมื่อวันท่ี...” หากฟ้องระบุวันเกิดเหตุหลายวัน ใช้ว่า
“เมอื่ ระหวา่ งวนั ที่... ถึงวนั ที.่ .. วนั เวลาใดไมป่ รากฏชัด” (ฎ.782/2547)
2.2 หากฟ้องบรรยายว่า เวลาประมาณ 18.30 นาฬิกา ใช้ว่า “เวลา 18.30 นาฬิกา” เพราะถ้าเป็น
เวลาแนน่ อนจะไม่ใช้ประมาณ แต่ถ้าใชป้ ระมาณจะไม่มีเศษต่อทา้ ยอีก (ฎ.277/2546)
2.3 การระบุ เวลา ห ากฟ้ องบ รรยายว่า เวลา 8.00 น าฬิ กา ใช้ว่า “เวลา 8 น าฬิ กา”
ไม่ใช้ 08.00 นาฬิกา หรอื 8.00 นาฬิกา เวน้ แต่ช่วงเวลาระหว่าง 0 นาฬกิ า ถงึ กอ่ น 1 นาฬกิ า เช่น 0.30 นาฬกิ า
ถา้ ไมม่ ีเศษนาที ใชว้ ่า เวลา 9 นาฬิกา ไม่ใช้ 9.00 นาฬกิ า
หากฟ้องบรรยายเวลา 24.00 นาฬิกา ใช้ว่า “เวลา 24 นาฬิกา” หรือ บรรยายว่า 00.00 นาฬิกา
ใช้ว่า “เวลา 0 นาฬิกา” (คู่มือฯ เล่ม 1 หน้า 573 ถึง 574 ซึ่งแตกต่างจาก “หนังสือ อ่านอย่างไร และ เขียน
อย่างไร ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งท่ี 16, กุมภาพันธ์ 2546 หน้า 68 ถึง 69” ที่เขียนเวลา เช่น
เวลา 08.00 นาฬกิ า หรือ 24.00 นาฬิกา หรอื 00.00 นาฬกิ า หรือ 08.30 นาฬกิ า)
13
แต่หากฟ้องบรรยายเวลาในการกระทำความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมาย ให้คงรูปแบบของ
เวลานนั้ ไว้ เชน่ เวลา 8.00 นาฬกิ า ตาม พ.ร.ก.การบรหิ ารราชการในสถานการณฉ์ ุกเฉนิ ฯ
3. การกระทำความผิดหลายกรรม อาจไม่ต้องย่อว่า “จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมตา่ งกัน
กล่าวคือ...” เพราะเนื้อหาของความผิดตามฟ้องสามารถเข้าใจไดว้ า่ จำเลยกระทำความผดิ หลายกรรมต่างกนั และคำ
ขอท้ายฟ้องระบุ ป.อ. มาตรา 91 ไว้แล้ว แต่หากร่างระบุมา ให้คงตามร่าง (ฎ.132/2554, 8207/2553,
7650/2553) เว้นแต่เป็นปัญหาช้นั อุทธรณ์ให้ย่อตามฟอ้ ง
ท้ังนี้ กรณีฟ้องบรรยายไม่ตรงกับเอกสารท้ายฟ้อง ให้แก้โดยใช้ “(ที่ถูก ...)” เว้นแต่ จำเลยหลงต่อสู้
หรอื เป็นผลรา้ ยแก่จำเลย หรือเป็นปัญหาในช้ันอุทธรณ์ ให้คงตามฟ้อง
4. หน่วยการใชข้ องยาเสพติดตามมาตรา 15 วรรคสาม (1) และ (2)
4.1 สำหรับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายหรือความผิดฐานผลิต นำเข้า หรือส่งออกเพ่ือ
จำหน่ายท่ีมีปริมาณ 15 หน่วยการใช้ขึ้นไป หากฟ้องบรรยายหน่วยการใช้ต้องระบุหน่วยการใช้ไว้ด้วย (คู่มือฯ
เล่ม 4 หน้า 120) โดยให้ระบุลักษณะนามของหน่วยยาเสพติดให้โทษตามฟ้อง เช่น เม็ด ถุง เป็นตน้ ก่อนใช้ถอ้ ยคำ
ตามกฎหมาย เช่น มีเมทแอมเฟตามีน 15 เม็ดหรือหน่วยการใช้ หรือ 15 เม็ด (หน่วยการใช้) ไวใ้ นครอบครองเพื่อ
จำหนา่ ย และไม่ควรใช้เคร่อื งหมาย / ระหวา่ งลักษณะนามกบั หน่วยการใช้ เพราะไมใ่ ช่คำภาษาไทย
4.2 สำหรบั ความผิดฐานอ่ืนอาจไม่ระบหุ น่วยการใช้ เช่น ฐานเสพเมทแอมเฟตามนี หากร่างระบหุ น่วย
การใช้ตามฟ้อง ให้คงไว้ตามรา่ ง (คำวนิ ิจฉัยศาลฎกี าท่ี ยช.37/2559) เวน้ แต่เปน็ ปัญหาชัน้ อทุ ธรณ์ให้ย่อตามฟอ้ ง
4.3 สำหรับข้อความอื่นท่ีโจทก์บรรยายในตอนต่อมาเพื่อให้เข้าข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย เช่น
ข้ อ ค ว า ม ที่ ว่ า อั น มี ป ริ ม าณ ค ำน ว ณ เป็ น ส าร บ ริ สุ ท ธิ์ ตั้ งแ ต่ ส าม ร้อ ย เจ็ ด สิ บ ห้ ามิ ล ลิ ก รั ม ข้ึ น ไป
มียาเสพติดที่มีสารดังกล่าวผสมอยู่จำนวนสิบห้าหน่วยการใช้ขึ้นไป และมีน้ำหนักสุทธิตั้งแต่หนึ่งจุดห้ากรัมขึ้นไป
ไม่ควรย่อขอ้ ความดงั กล่าว (คมู่ ือฯ เล่ม 4 หน้า 120)
14
5. นำ้ หนักและลกั ษณะของยาเสพติด (คมู่ ือฯ เล่ม 4 หน้า 120 – 121)
5.1 ใช้ว่า “น้ำหนกั ... กรัม” หรอื “นำ้ หนักสุทธิ ... กรัม” แต่ตามตวั บทใชค้ ำว่า น้ำหนกั สุทธิ
5.2 หากมีสารบริสุทธ์ิด้วย ให้ใช้ว่า “คำนวณเป็นสารบริสทุ ธไิ์ ด้ ... กรัม” หรือ “มปี ริมาณคำนวณเป็น
สารบริสุทธิ์ ... กรมั ”
5.3 กรณีฟ้องระบุรวมน้ำหนักสุทธิกับรวมปริมาณสารบริสุทธ์ิไว้ ให้ใช้ว่า “รวมท้ังสองชนิด น้ำหนัก
สทุ ธิ... กรัม คำนวณเป็นสารบรสิ ุทธิ์ได้ (หรอื มปี ริมาณคำนวณเปน็ สารบรสิ ทุ ธิ)์ ... กรัม” โดยไม่ใช้คำวา่ “รวม” อกี
5.4 กรณีตามฟ้องบรรยายแยกเมทแอมเฟตามีนไว้หลายชนิด การระบุลักษณะของเมทแอมเฟตามีน
แตล่ ะชนิดไว้ในรา่ ง ให้เปน็ ไปตามร่าง หากระบุ ควรให้ตรงตามฟ้อง หากไม่ระบุไว้ แต่เปน็ ประเด็นในคดี เชน่ ฟังได้
ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนเฉพาะเม็ดสีเขียว หรือเฉพาะชนิดเกล็ด ตามฟ้องไว้ในครอบครอง ควรระบุตามฟ้อง
เพือ่ ให้ชดั เจนยิ่งขน้ึ
5.5 การย่อฟ้องในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษประเภทอื่น ให้ย่อทำนองเดียวกับความผิด
เกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีน คือ เร่ิมจากประเภทท่ีกฎหมายกำหนด ชนิดหรือลักษณะ และจำนวน เช่น
จำเลยมีกัญชา อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ลักษณะ (ชนิดหรือตามที่บรรยายฟ้อง) ใบสด น้ำหนัก
(หรือน้ำหนักสุทธิ) 15 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพอ่ื จำหน่าย
5.6 ให้ใช้ตัวเลข โดยไมต่ ้องใช้วงเล็บเปน็ ตัวหนงั สืออกี แตห่ ากตวั เลขไม่ตรงกับตัวอักษร โดยมีรายงาน
การตรวจพสิ ูจน์แนบทา้ ยฟอ้ งให้ถือตามรายงาน หากไมม่ ีใหถ้ ือตามตวั อกั ษรในฟ้อง (เทยี บเคียง ป.พ.พ. มาตรา 12)
หากฟ้องระบุหน่วยเป็นกรมั โดยมีตัวเลขหลังจุดทศนิยมเพียง 2 ตำแหน่ง ไม่ถึง 3 ตำแหน่ง เช่น คำนวณ
เป็นสารบริสุทธ์ิได้ 0.38 กรัม ให้คงตามฟ้อง รวมถึงหากฟ้องไม่ระบุตัวเลข 0 ก่อนจุดทศนิยม เช่น .38 กรัม ให้คง
ตามฟ้อง โดยไมต่ ้องเตมิ เลข 0 อีก แต่หากฟอ้ งระบุหนว่ ยหลังจุดทศนิยมคำนวณเป็นกรัม ไดล้ งตัว เช่น 4.000 กรัม
ให้ใชว้ ่า 4 กรมั
15
หากฟ้ องระบุจุดทศนิยมมามากกว่า 1 จุด เช่น คำนวณ เป็นสารบริสุทธ์ิได้ 1.234.5 กรัม
ให้ใช้ “(ท่ถี กู 1.2345 กรัม)” เนื่องจากเป็นไปตามหลกั คณิตศาสตร์
6. ฐานความผิด (คมู่ อื ฯ เลม่ 4 หนา้ 121)
6.1 การย่อฟ้องเก่ียวกับความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน
ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่าย ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การย่อฟ้องให้ระ บุ
“อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย” ต่อท้ายฐานความผิดดังกล่าวด้วย หรือระบุ “เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย” แทน
หากกอ่ นหน้ามีการใช้ถ้อยคำ เช่น “อันเปน็ การพยายามกระทำความผดิ ” เพือ่ เลยี่ งคำซ้ำ
ทั้งน้ี ควรเลี่ยงไม่ใช้คำว่า “โดยไม่ได้รับอนุญาต” เพราะจะซ้ำกับชื่อฐานความผิด และไม่ใช้คำว่า
“โดยฝ่าฝนื ตอ่ กฎหมาย” เพราะมีคำว่า “โดย” ทอี่ าจซำ้ กบั ช่ือฐานความผิดบางฐาน แต่
6.1.1 กรณฟี ้องเพียงฐานเดียว เช่น ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไมไ่ ดร้ บั อนุญาต
หรือความผิดที่ในชื่อฐานต้องมีคำว่า “โดยไม่ได้รับอนุญาต” หรือ “โดยไม่ได้รับใบอนุญาต” อยู่แล้ว เช่น
ฐานมกี ัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รบั อนญุ าต เปน็ ตน้ ไม่ต้องระบุขอ้ ความ “อันเปน็ การฝ่าฝนื ตอ่ กฎหมาย” ซำ้
6.1.2 ถ้ามีความผิดดังกล่าวหลายฐาน ควรใส่ข้อความ “อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย”
ไว้หลังความผิดฐานสุดท้าย เช่น “จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน ... เม็ด
หรอื หน่วยการใช้ หรือ เมด็ (หนว่ ยการใช้) นำ้ หนกั สุทธิ ... กรมั คำนวณเปน็ สารบริสทุ ธไิ์ ด้ ... กรัม ไวใ้ นครอบครอง
เพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว/จำหน่ายโดยการขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว ...
เม็ดหรือหน่วยการใช้ หรือ เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนักสุทธิ ... กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธ์ิได้ ... กรัม
ให้แกส่ ายลบั ผู้ลอ่ ซอื้ ในราคา ... บาท อันเปน็ การฝา่ ฝืนตอ่ กฎหมาย”
หรือ “จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน ... เม็ด หรือหน่วย
การใช้ หรือ เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนักสุทธิ ... กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธ์ิได้ ... กรัม ไว้ในครอบครองเพ่ือ
จำหน่าย จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว/จำหน่ายโดยการขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว ... เม็ดหรือ
16
หนว่ ยการใช้ หรือ เมด็ (หนว่ ยการใช)้ น้ำหนกั สุทธิ ... กรัม คำนวณเปน็ สารบริสุทธิไ์ ด้ ... กรัม ให้แก่สายลับผู้ล่อซ้ือ
ในราคา ... บาท และจำเลยมีอาวุธปืน... ขนาด... ไม่มีเคร่ืองหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ 1 กระบอก
ไวใ้ นครอบครองโดยไมไ่ ด้รับใบอนญุ าต จากนายทะเทยี นทอ้ งท่ตี ามกฎหมาย อนั เป็นการฝ่าฝนื ต่อกฎหมาย”
6.1.3 ชื่อความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง ซึ่งกระทำความผิดก่อนวันท่ี 19 กุมภาพันธ์ 2562
ให้ใช้ว่า ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” หากกระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562
ให้ใช้ว่า ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต” ต่อท้าย ท้ังน้ี ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
(ฉบับ ท่ี 7) พ.ศ. 2562 ซ่ึงมผี ลใชบ้ งั คับเมื่อวันท่ี 19 กมุ ภาพันธ์ 2562
6.2 กรณีโจทก์บรรยายฟ้องว่า “จำเลยจำหน่ายโดยการขายเมทแอมเฟตามีน...” หากร่างระบุ คำว่า
“โดยการขาย” มาด้วย ให้คงไวต้ ามรา่ ง เพราะอย่ใู นนิยามคำวา่ “จำหนา่ ย” ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดใหโ้ ทษฯ
6.3 สำหรับความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน หากจำเลยได้รับใบอนุญาตขับรถ
ควรระบุว่า จำเลยซ่ึงได้รับใบอนุญาตขับขี่/ขับรถชนิดใด อาจใช้คำว่า “ใบอนุญาตขับข่ี”และ“ใบอนุญาตขับรถ”
ในร่างเดียวกันได้ (ฎ.5923/2559, 18527/2556, 4541/2554) เลขท่ีหรือฉบับท่ี กับวันท่ีส้ินอายุ (ถ้าหากมี)
ส่ ว น ก า ร ใ ช้ ช่ื อ ต ำ แ ห น่ ง น า ย ท ะ เ บี ย น ผู้ อ อ ก ใ บ อ นุ ญ า ต ขั บ ร ถ ต า ม พ . ร . บ .
การขนส่งทางบกฯ ภายในเขตกรุงเทพมหานคร ใช้ว่า “นายทะเบียนกลาง” ในส่วนภูมิภาค ใช้ว่า “นายทะเบียน
ประจำจังหวัด...” ตาม พ.ร.บ. รถยนต์ฯ ภายในเขตกรุงเทพมหานคร ใช้ว่า “นายทะเบียนกรุงเทพมหานคร”
ในส่วนภูมิภาค ใช้ว่า “นายทะเบียนจังหวัด...” หากมีสาขา ให้ระบุไว้ด้วย และระบุว่าเสพด้วยวิธีใดและขับรถไป
ตามถนนใด อาจใช้ตามฟ้องว่า ถนนสาย... หรือถนนเส้น... เน่ืองจากเป็นองค์ประกอบความผิดที่เป็นสาระสำคัญ
โดยไม่จำต้องระบุว่า จากท่ีใดไปที่ใดหรือที่ตั้งของถนนดังกล่าว รวมทั้งหมู่ที่ เพราะระบุไว้ตอนย่อว่าเหตุเกิดท่ีใด
แลว้ เพ่อื ให้กระชบั และไมใ่ ห้ซ้ำซอ้ นกัน เพียงพอใหจ้ ำเลยเข้าใจแล้ว เวน้ แตเ่ ปน็ กรณที ีจ่ ำเป็นตอ้ งระบุใหช้ ัดเจน
หมายเหตุ คำว่า “ขับ” เป็นคำกริยา หมายความว่า บังคับให้เคล่ือนไปได้, สามารถบังคับเคร่ืองยนต์ให้
ยานพาหนะเคล่ือนที่ไปได้ คำว่า “ขับขี่” เป็นคำกริยา หมายความว่า สามารถบังคับเครื่องยนต์ให้ยานพาหนะ
17
เคล่ือนท่ีไปได้ และเป็นคำวิเศษณ์ เรียกใบอนุญาตให้ขับรถได้ ว่า ใบขับข่ี จึงสามารถใช้ท้ัง “ขับ” หรือ “ขับข่ี”
ทำหน้าท่ีคำกริยากับยานพาหนะท่ีใช้เคร่ืองยนต์ได้ท้ังคู่ แต่หากเป็นรถจักรยาน ให้ใช้คำว่า “ข่ี” เป็นคำกริยา
(คู่มอื ฯ เล่ม 2 หนา้ 408 รถยนตก์ บั รถจักรยานยนต์ ใหใ้ ช้ “ขบั ” สว่ นคำว่า “ขบั ข่ี” เปน็ คำวิเศษณ์ มิใช่คำกรยิ า)
ในกรณีฟอ้ งว่า “จำเลยขับรถยนต์ คันหมายเลขทะเบียน...” ให้ตัดคำว่า “คนั ” ออก แต่หากมีการกล่าวถึง
รถยนตด์ ังกล่าวอกี คร้ัง อาจใช้คำวา่ “รถยนตด์ ังกลา่ ว” หรอื รถยนตค์ ันดงั กลา่ ว”
การใช้เครือ่ งหมายยตั ิภังค์ “ - ” ให้ใช้คำบุพบท “ถึง” แทนเคร่ืองหมายขีด (hyphen) หรอื ยัตภิ ังค์ “ - ”
เช่ น ค ำ ว่ า เว ล า 1 3 น า ฬิ ก า – 1 8 น า ฬิ ก า ให้ ใช้ ว่ า “ เว ล า 1 3 น า ฬิ ก า ถึ ง 1 8 น า ฬิ ก า
หรอื “เวลา 13 ถึง 18 นาฬกิ า”
ค ำ ว่ า “ ถ น น ส า ย พั ท ย า -ม า บ ต า พุ ด ” ห รื อ “ ท า ง ห ล ว ง พิ เศ ษ ส า ย ก รุ ง เท พ -ช ล บุ รี ”
หรือ “เท่ียวบินกรงุ เทพ-สุราษฎรธ์ านี” ใหค้ งไวต้ ามรา่ ง
ส่วนคำว่า “ถุงแบบเปิด-ปิด” ใหใ้ ช้ว่า “ถงุ แบบเปิดปดิ ” โดยไม่ต้องใส่เครื่องหมายขดี
สำหรับช่ือประเทศต่าง ๆ ให้ใช้ตามราชบัณฑิตยสถาน แม้ไม่ตรงกับฟ้อง เช่น ฟ้องระบุว่าประเทศลาว
ให้ใช้ว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือประเทศกัมพูชา ให้ใช้ว่า ราชอาณาจักรกัมพูชา
หรอื ประเทศเมียนมา ให้ใชว้ ่า สาธารณรฐั แห่งสหภาพเมียนมา เปน็ ต้น
6.4 ความผดิ ฐานทมี่ ีการเสพยาเสพติดและกรณีตอ้ งด้วยมาตรา 19 แหง่ พ.ร.บ. ฟนื้ ฟูสมรรถภาพผตู้ ิด
ยาเสพตดิ ฯ ต้องกลา่ วถึงการปฏิบตั ติ ามขัน้ ตอนของบทบญั ญัติดงั กลา่ วไวพ้ อสังเขป
6.5 ความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธ์ิ เช่น คีตามีน ในกรณีฟ้องบรรยายว่าจำเลยมีคีตามีน
คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินปริมาณท่ีกำหนดในกฎกระทรวง ไว้ในครอบครองเพื่อขาย (อันเป็นการขาย) ตาม
พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธ์ิฯ มาตรา 88 วรรคสาม ควรระบุคำว่า “ซึ่งเกินปริมาณท่ีกำหนดในกฎกระทรวง” ไว้ด้วย
18
เพอ่ื ให้ชัดเจนว่าเป็นการฟ้องโดยอาศยั ขอ้ สันนษิ ฐานของกฎหมายหรือไม่ เว้นแตฟ่ ้องบรรยายว่า จำเลยขายคีตามีน
ไม่ต้องใส่ขอ้ ความดังกล่าว
6.6 การย่อฟ้องให้เรียงลำดับฐานความผิดตามวันเวลาเกิดเหตุ เว้นแต่ วันเวลาเกิดเหตุเดียวกัน
ให้ยกความผิดเก่ยี วกบั ยาเสพตดิ ขน้ึ กอ่ น
6.7 ความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตาม พ.ร.บ. มาตรการในการ
ปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 8 ไม่ควรย่อฟ้องโดยตัดข้อความว่า เป็นการตกลงกันตั้ง
สองคนขึ้นไป ออก ควรยอ่ ตามท่ีโจทกบ์ รรยายฟ้องเกย่ี วกบั องค์ประกอบการกระทำอันเป็นข้อเท็จจรงิ ให้ครบถว้ น
7. ท่ีเกิดเหตุ กรณี มีหลายฐาน แม้เหตุเกิดคนละแห่ง ควรระบุรวมไว้หลังความผิดฐานสุดท้าย
เพอื่ ความกระชับ แตห่ ากร่างแยกระบุไว้หลงั ฐานน้นั ๆ ใหค้ งตามรา่ ง
8. ของกลาง ควรกล่าวไว้ให้ชัดเจนและให้กระชับ โดยระบุไว้หลังเกิดเหตุเกิดที่... ดังนี้ (คู่มือฯ เล่ม 4
หนา้ 122)
8.1 ไม่ต้องใช้คำว่า “ตามวันเวลาดังกล่าว” นำหน้า เช่น ใช้ว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึด
เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของกลาง ไม่ควรย่อว่า ยึดเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยจำหน่ายให้แก่สายลับ 10 เม็ด
และท่ีได้จากการจำหน่ายอีก 5 เม็ด เพราะไม่กระชับ และสามารถเข้าใจได้อยู่แล้วว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว
คือจำนวนที่โจทก์ฟ้องมาข้างต้น เว้นแต่เป็นปัญหาในชั้นอุทธรณ์ ควรระบุให้ชัดเจน ธนบัตรท่ีใช้ล่อซื้อ ... บาท
โทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข ... (โดยอาจมีคำว่า “พร้อมซิมการ์ด” เช่น โทรศัพท์เคล่ือนที่พร้อมซิมการ์ด
หมายเลข... ตาม ฎ.2446/2562, 6766/2561, 6413/2561) และรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน ...
อันเป็นเครื่องมือเคร่ืองใช้ และยานพาหนะซ่ึงจำเลยได้ใช้ใน การกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง
กรณีหมายเลขของโทรศัพท์และหมายเลขทะเบียนรถ หากไม่เป็นปัญหาในชั้นอุทธรณ์และเจ้าของร่างมิได้ย่อไว้
ให้คงตามร่าง (ฎ.5747/2561, 1888/2561) สำหรับจำนวนและลักษณะของของกลาง ให้ถือตามฟ้องเป็นหลัก
19
หากร่างไมร่ ะบแุ ละไมเ่ ป็นปญั หาในชนั้ อุทธรณ์ ให้คงไวต้ ามร่าง สำหรับจำนวนของของกลางบางอยา่ งท่ีหากตัดออก
อาจทำใหเ้ ข้าใจผดิ ให้ระบตุ ามฟ้อง เชน่ กรณียดึ โทรศัพทเ์ คลื่อนทไี่ ด้ 1 เครอ่ื ง แต่มี 2 ซมิ การ์ด
หมายเหตุ 1. การเขยี นหมายเลขโทรศพั ท์ ใหแ้ บง่ วรรคตอน ดงั นี้
โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นท่ี เช่น 08 1234 5678
โทรศพั ทพ์ ืน้ ฐาน (กรุงเทพมหานคร) เชน่ 0 2123 4567
โทรศัพทพ์ ื้นฐาน (ภมู ภิ าค) เช่น 0 3412 3456
2. การเขียนหมายเลขทะเบียนรถ ใหใ้ ช้ตามทะเบียนจรงิ (คู่มอื ฯ เลม่ 2 หนา้ 408) เช่น
รถยนตส์ ว่ นบุคคล (กรุงเทพมหานคร) เชน่ กข 9999 กรงุ เทพมหานคร
รถยนตส์ ว่ นบุคคล รถสามลอ้ เครือ่ ง (ตา่ งจงั หวัด) เช่น กข 9999 นนทบรุ ี
รถจกั รยานยนต์ (กรงุ เทพมหานคร) เชน่ กขค กท 999
รถจกั รยานยนต์ (ต่างจงั หวดั ) เชน่ กขค สข 999 หรือ กขค ภูเก็ต 999
รถกระบะ รถแทก็ ซ่ี (กรุงเทพมหานคร) เช่น มข 9999 กรุงเทพมหานคร
รถโดยสารประจำทาง รถบรรทุก (กรุงเทพมหานคร) เชน่ 10 – 0993 กรุงเทพมหานคร
รถโดยสารประจำทาง รถบรรทกุ (ต่างจังหวัด) เช่น 70 – 3803 นครปฐม
รถทะเบียนป้ายแดง เชน่ รถยนต์ หมายเลขทะเบียนป้ายแดง กข 9999 กรงุ เทพมหานคร
(ฎ.6117/2562, 907/2561, 5923/2559 แนวสัง่ ออกแดงที่ 6166/2561, 4908/2561, 4292/2561)
8.2 ไม่ต้องใช้คำว่า เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้เพราะสามารถเข้าใจจากคำขอให้ริบของกลางได้
แต่หากเมทแอมเฟตามีนหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ต้องกล่าวไว้ หากมีการคืนแก่เจ้าของ หรือศาลริบในคดีอื่น
หรือเจ้าพนักงานจัดการตาม ป.วิ.อ. มาตรา 85 หรือโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ริบทรัพย์ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการ
ปราบปรามผู้กระทำความผิดเก่ียวกบั ยาเสพติดฯ ตอ้ งกลา่ วไว้
20
8.3 หากไม่มีของกลาง ไม่ควรกล่าวถึงการจับจำเลยได้ไว้ แม้จำเลยจะถูกจับในภายหลัง เพราะไม่ใช่
สาระสำคัญ เว้นแต่กรณีจำเลยถูกจับภายหลังจากยึดของกลางได้แล้ว หรือกรณีจำเลยหลายคนถูกจับต่างวันกัน
และยดึ ของกลางจากจำเลยบางคน
9. กรณีเพิ่มโทษ บวกโทษ และนับโทษต่อ ควรกล่าวไว้ให้พอเข้าใจ ขอให้ใช้ถ้อยคำดังน้ี (คู่มือฯ เล่ม 4
หน้า 122 -123)
9.1 กรณีเพิ่มโทษ “ก่อนคดีนี้ เมื่อวันท่ี ... จำเลยต้องคำพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษ จำคุก ... ปี
ฐาน... ตามคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี .../... ของศาล... (ศาลเดียวกัน ใช้คำว่า ของศาลช้ันต้น) จำเลยกลับมากระทำ
ความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลาห้าปีนับแตว่ ันพ้นโทษ” หากฟ้องบรรยายวา่ “จำเลยพน้ โทษเม่ือวนั ที่ ... แล้วกลบั มา
กระทำความผิดในคดีนอ้ี กี ภายในเวลาห้าปนี บั แต่วนั พน้ โทษ” ให้ระบุไว้ดว้ ย
9.2 กรณีบวกโทษ “ก่อนคดีนี้ เม่ือวันท่ี ... จำเลยต้องคำพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษ จำคุก ... ปี
และปรับ ... บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ ... ปี ฐาน... ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ .../... ของศาล...
ภายในเวลาที่รอการลงโทษจำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก” โดยไม่จำต้องระบุว่า อันมิใช่ความผิดโดย
ประมาทหรือความผิดลหุโทษ และกระทำในขณะท่ีมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี เพราะเป็นที่เห็นได้โดยชัดเจนว่า
เปน็ ความผิดใด และไม่เปน็ ประเดน็ โดยตรง
9.3 กรณีนับโทษต่อ “จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี .../...ของศาล
ช้ันต้น” ส่วนคำว่า คดีอาญาหมายเลขดำและคดีอาญาหมายเลขแดง ควรใช้เฉพาะคดีอาญาหมายเลขแดง
ส่วนคดีอาญาหมายเลขแดงกับคดีหมายเลขแดง ควรใช้อย่างใดอย่างหนึ่งให้เหมือนกันท้ังคดี และในบางศาลท่ีมี
เฉพาะคดีอาญา เช่น ศาลอาญา อาจใช้ คดีหมายเลขแดง โดยไม่ต้องระบุว่าเป็นคดีอาญา ส่วนอักษรย่อ
และหมายเลขคดีให้ใช้ตามฟ้อง หากมีจุด . ระหว่างตัวอักษรและหมายเลข ไม่ต้องเว้นวรรค เช่น ย 123/2563
หรอื ย123/2563 หรือ ย.123/2563 เปน็ ต้น (ระเบียบ ก.บ.ศ. ว่าด้วยงานธุรการเก่ียวกบั สำนวนความและเอกสาร
พ.ศ. 2557 ข้อ 6 และประกาศสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง การกำหนดอักษรย่อของสำนวนความในศาล
21
พ.ศ. 2561 ให้แยกสำนวนความตามประเภทคดีโดยใช้อักษรย่อนำหน้าหมายเลขคดเี ท่านั้น มิได้ระบุเจาะจงว่าต้อง
มีจุด หรอื เวน้ วรรคระหวา่ งตวั อักษรกบั ตวั เลขหรือไม่ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกามีทกุ รูปแบบ)
9.4 กรณีคำฟ้องบรรยายถึงประวัติกระทำความผิดของจำเลยเพ่ือประกอบดุลพินิจในการลงโทษ
หากรา่ งนำมาใชป้ ระกอบคำวินจิ ฉัย ควรยอ่ ไว้ใหป้ รากฏ เชน่ “ก่อนคดนี ้ี เม่ือวันท่ี ... จำเลยต้องคำพิพากษาถงึ ทสี่ ุด
ให้ลงโทษ จำคุก ... ปี และปรับ ... บาท (โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ ... ปี) ฐาน... ตามคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี
.../... ของศาล...” หากร่างไมน่ ำมาใช้ประกอบคำวินิจฉยั อาจไม่ต้องย่อไว้
9.5 สำหรับช่ือฐานความผิดเก่ียวกับยาเสพติดให้โทษ และฐานความผิดเก่ียวกับวัตถุที่ออกฤทธ์ิต่อจิต
และประสาท หากเป็นความผิดกรรมเดียวและฟ้องบรรยายชนิดของยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์มี
ตั้งแต่ 3 ชนิด ขึ้นไป ให้ระบุเป็นประเภทนั้น ๆ ไป เช่น ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดย
ไม่ได้รับอนุญาต หรือฐานมีวัตถุออกฤทธ์ิในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่หากมี 1 หรือ 2
ชนิด ให้ระบุเป็นชนิดน้นั ๆ ไป เช่น ฐานมีเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอนี ไวใ้ นครอบครองโดยไม่ได้รบั อนญุ าต
10. กรณีโจทกฟ์ ้องจำเลยฐานสมคบฯ ตามมาตรา 6, 8 แห่ง พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำ
ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ หากโจทก์บรรยายฟ้องว่าได้รับอนุมัติจากเลขาธิการ ป.ป.ส. ตามมาตรา 14 ควรย่อ
ไว้ให้ปรากฏ โดยให้ใช้ว่า “เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอนุมัติให้จับกุม
(หรือแจ้งข้อหา) ตามมาตรา 6 (หรือ มาตรา 8) แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิด
เกีย่ วกับยาเสพตดิ พ.ศ. 2534 แล้ว”
11. กรณีจำเลยให้ข้อมูลที่สำคัญฯ หากฟ้องบรรยายว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลท่ีสำคัญและเป็นประโยชน์อย่าง
ยงิ่ ตามมาตรา 100/2 ควรยอ่ ไว้ด้วย
22
ส่วนที่ 5
คำขอท้ายฟอ้ ง
(คู่มือฯ เลม่ 4 หนา้ 124) ให้ใช้คำว่า “ขอให้ลงโทษตาม...” โดยเรยี งลำดบั ดังน้ี
1. บทความผิดและบทกำหนดโทษ ให้ระบุ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ ก่อน แล้วต่อด้วย
พ.ร.บ. ฉบบั อ่ืนที่เกยี่ วขอ้ งกับความผิดเกย่ี วกับยาเสพติด และ พ.ร.บ. อ่นื ๆ เช่น พ.ร.บ. ยาเสพตดิ ให้โทษฯ
พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเก่ียวกับยาเสพติด พ.ร.บ. จราจรทางบก
พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ เป็นต้น และปิดท้ายด้วย ป.อ. พร้อมมาตราให้ครบถ้วนตามคำขอท้ายฟ้อง แต่ไม่ต้อง
ระบุ พ.ร.บ. ทแ่ี ก้ไข หรือกฎกระทรวง เว้นแตเ่ ป็นปัญหาช้นั อทุ ธรณเ์ รอ่ื งอำนาจฟอ้ ง ให้ยอ่ เท่าทเ่ี กีย่ วข้อง
2. คำขอริบของกลาง
2.1 กรณมี ีของกลางอย่างเดียวหรอื กรณีริบของกลางทง้ั หมด ให้ใชค้ ำวา่ รบิ ของกลาง
2.2 หากของกลางมีหลายอย่างมีท้ังขอริบในคดีน้ีและขอริบในคดีอื่นจึงไม่ขอริบในคดีน้ี หรือคืนบาง
รายการแก่เจ้าของแล้ว ควรระบุให้ชัดเจน เช่น โจทก์บรรยายฟ้องว่ายึดได้เมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่
รถยนต์ และธนบัตร ของกลาง แต่รถยนต์ได้ดำเนินคดีไว้ในคดีมาตรการฯ และธนบัตรได้คืนแก่เจ้าของแล้ว
โดยทา้ ยฟอ้ งขอมาเพียงวา่ ขอใหร้ บิ ของกลาง ให้ใช้ว่า ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคล่อื นทขี่ องกลาง ไม่ควรใช้
คำว่า ริบของกลาง
2.3 ส่วนคำวา่ ท่ีเหลือจากการตรวจพิสูจน์ กรณีริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ไม่ควรใช้เพราะเป็นคำ
ทไี่ ม่กระชบั
2.4 ไม่ควรระบลุ ักษณะ ย่หี ้อ สี และปรมิ าณ รวมถึงหมายเลขโทรศัพท์ของของกลางแตล่ ะรายการอีก
เช่น กรณีบรรยายฟ้องว่า ริบถุงพลาสติกขนาดใหญ่สีขาวขุ่น 10 ใบ และโทรศัพท์เคลื่อนท่ี ย่ีห้อซัมซุง พร้อม
ซิ ม ก า ร์ ด ห ม า ย เล ข 0 8 1 2 3 4 5 6 7 8 เป็ น ข อ ง ก ล า ง ใน ส่ ว น ค ำ ข อ ท้ า ย ฟ้ อ ง ให้ ใช้ เพี ย ง ว่ า
23
ริบถุงพลาสติกและโทรศัพท์เคล่ือนท่ีพร้อมซิมการ์ดของกลาง เนื่องจากเป็นรายละเอียดของของกลางท่ีระบุไว้ใน
สว่ นย่อฟ้องแล้ว จะไม่กระชับ เว้นแต่ของกลางที่เป็นประเภทเดียวกันแต่มีลักษณะต่างกัน ควรระบุลักษณะเฉพาะ
ของของกลางนนั้ ๆ ใหช้ ัดเจน เชน่ รบิ กระเป๋าถือสนี ำ้ ตาลและกระเป๋าคาดเอวของกลาง
3. คำขอให้เพ่ิมโทษหรือบวกโทษหรือนับโทษต่อ ให้เรียงลำดับจากเพิ่มโทษ บวกโทษ นับโทษต่อ
เพราะเปน็ ไปตามลำดับการพิพากษา ควรใช้คำวา่
3.1 “เพ่ิมโทษจำเลยตามกฎหมาย” แต่หากร่างใช้คำว่า “เพ่ิมโทษจำเลยก่ึงหน่ึงตามกฎหมาย”
หรือ “เพ่ิมโทษจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย” หรือ “เพ่ิมโทษจำเลยก่ึงหน่ึงและหนึ่งในสามตามกฎหมาย”
ให้คงไว้ตามร่าง (ฎ.7446/2562, 5593/2562, 800/2558, 6905/2562)
3.2 “บวกโทษจำคุกท่ีรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี .../... ของศาล... เข้ากับโทษของ
จำเลย (ท.่ี ..) ในคดีน้ี”
3.3 “นบั โทษของจำเลยตอ่ จากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี .../... ของศาล...”
4. คำขอเพิกถอนหรือพักใช้ใบอนุญาตขับรถ ใช้ว่า “พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับข่ีของจำเลยตาม
กฎหมาย” หรือ “พักใช้ใบอนุญาตขับข่ีของจำเลยมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของ
จำเลย”
5. การเรียงลำดับคำขอของโจทก์ ควรเรียงดังน้ี เร่ิมจากบทความผิดและบทกำหนดโทษตามชื่อกฎหมาย
เพิ่มโทษ บวกโทษ นับโทษต่อ ริบของกลาง วิธีการเพ่ือความปลอดภัย และพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับข่ี
เพราะเป็นการเรียงลำดบั ตามตัวบทกฎมาย ลำดบั การวางโทษ และความหนกั เบาของโทษ
24
สว่ นที่ 6
คำให้การ
(ตามคู่มอื ฯ เลม่ 4 หนา้ 125)
1. จำเลยใหก้ ารรับสารภาพ/ปฏิเสธทุกข้อหา กรณีฟ้องโจทกไ์ มม่ ีคำขออื่นพเิ ศษ ให้ใชค้ ำว่า
“จำเลยให้การรับสารภาพ/ปฏิเสธ” หากจำเลยมีหลายคนและให้การเหมือนกัน ควรระบุไว้ในบรรทัดเดียวกัน
เพือ่ ให้กระชบั
2. จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพบางขอ้ หา ให้ใชค้ ำว่า “จำเลยให้การรบั สารภาพข้อหา... ส่วนขอ้ หาอนื่
ให้การปฏิเสธ” โดยระบคุ ำวา่ “ขอ้ หา” นำหน้าทกุ ข้อหา เพ่ือใหช้ ัดเจน
3. จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพไม่เตม็ ตามข้อหา เช่น ฟอ้ งข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง
เพอ่ื จำหน่าย จำเลยรับว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ให้ใชค้ ำว่า “จำเลยให้การรบั สารภาพขอ้ หามีเมทแอมเฟตามีน
ไว้ในครอบครองโดยไมไ่ ด้รบั อนุญาต แต่ปฏิเสธว่ามไิ ด้มีไว้เพื่อจำหนา่ ย”
กรณีจำเลยรับสารภาพบางส่วน ปฏิเสธบางส่วน เช่น ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 25 เม็ด
ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับว่ามีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองเพ่ือเสพ ให้ใช้ว่า
“จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไมไ่ ด้รบั อนุญาต แต่ปฏิเสธว่ามไิ ด้มี
เมทแอมเฟตามนี ตามฟ้องไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่าย” เพ่ือใหช้ ดั เจนว่ารับและปฏเิ สธฐานใดกับจำนวนใด
4. จำเลยใหก้ ารปฏิเสธ แลว้ ถอนคำให้การเปน็ รับสารภาพ
4.1 หากเป็นกรณลี ดโทษให้กึง่ หนึง่ ให้ใช้คำวา่ “จำเลยใหก้ ารรับสารภาพ”
4.2 หากเป็นกรณีลดโทษให้หนึ่งในสาม ให้ใช้คำว่า “จำเลยให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยาน
โจทก์ไปบา้ งแล้ว (หรือเม่ือสบื พยานโจทก์เสรจ็ แล้ว) จำเลยขอถอนคำใหก้ ารเดมิ และให้การใหม่เป็นรบั สารภาพ”
25
5. จำเลยหลายคน บางคนใหก้ ารรับสารภาพ บางคนใหก้ ารปฏิเสธ ให้ใช้คำวา่
“จำเลยที่ 1 และท่ี 2 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ ศาลช้ันตน้ มคี ำสัง่ ใหโ้ จทก์แยกฟ้องเปน็ คดใี หม่”
6. กรณีมีคำขอใหเ้ พิ่มโทษ หรอื บวกโทษ หรือนบั โทษต่อ
6.1 กรณีให้การปฏิเสธ ให้ใช้คำว่า “จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับ
จำเลยในคดที ่โี จทก์ขอให้เพมิ่ โทษ/และบวกโทษ/และนบั โทษต่อ”
6.2 กรณีให้การรับสารภาพ ให้ใช้คำว่า “จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคน
เดียวกบั จำเลยในคดที โี่ จทก์ขอใหเ้ พ่มิ โทษ/และบวกโทษ/และนบั โทษตอ่ ”
6.3 กรณีจำเลยรับสารภาพบางส่วน ปฏิเสธบางส่วน ซ่ึงมีการใช้คำว่า “แต่...” ในส่วน
คำให้การเนื้อหาความผิดแล้ว ดังนั้นในส่วนคำรับเกยี่ วกับการเพ่ิมโทษ/บวกโทษ/นับโทษต่อ ให้ใชค้ ำเช่ือมวา่ “กับ”
แทน เช่น จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญ าต
แตป่ ฏิเสธวา่ มิไดม้ ีไวเ้ พอ่ื จำหนา่ ย กับรบั ว่าเปน็ บุคคลคนเดยี วกับจำเลยในคดที ีโ่ จทก์ขอให้เพิ่มโทษ เปน็ ตน้
7. กรณีศาลชั้นต้นไม่ได้สอบถามจำเลยว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้
เพ่ิมโทษ/และบวกโทษ/และนับโทษต่อ หรือไม่ หากคำให้การจำเลยหรือรายงานกระบวนพิจารณาระบุว่า
“จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพตามฟ้อง” ให้ใชค้ ำว่า “จำเลยให้การรับสารภาพตามฟอ้ ง” (ฎ.4521/2561)
26
สว่ นที่ 7
คำพพิ ากษาศาลชั้นตน้
ควรย่อให้ครบถว้ นตามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ แตส่ ามารถดดั แปลงหรอื ตดั ออกไดใ้ นส่วนที่ไมเ่ ปน็
สาระสำคญั หรือหากปรับบทผิดในส่วนของบทความผิดหรือบทลงโทษทร่ี ะบุผดิ แตข่ ้อวินจิ ฉยั และโทษท่ีลงถูกตอ้ ง
ให้ใชว้ งเล็บที่ถกู หรือปรบั เป็นบททถี่ ูกได้ แต่กรณีศาลช้ันต้นลงโทษผดิ หรือรวมโทษผิด ห้ามใช้วงเล็บทีถ่ กู
1. กรณดี ดั แปลงได้ เชน่ ใช้คำไม่ตรงกบั ตัวบทกฎหมาย หรือฐานความผิดไม่ถูกต้องหรอื กวา้ งเกินไป
หรอื ส่วนทีไ่ ม่เป็นไปในทางเดียวกันทัง้ รา่ ง หรอื จดั วางสลบั ท่กี นั เป็นต้น
1.1 ชือ่ ฐานความผิด เชน่
1.1.1 ความผิดตอ่ พระราชบัญญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ
ฐานมียาเสพตดิ ให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพ่ือจำหนา่ ย กรณีเมทแอมเฟตามนี ใช้วา่
“ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองเพอ่ื จำหนา่ ย” (ตามค่มู ือฯ)
ฐานขายวตั ถุออกฤทธ์ิในประเภท 2 กรณคี ีตามนี ใชว้ ่า “ฐานขายคตี ามีน” (ฎ. 6549/2554)
หมายเหตุ กรณีเป็นยาเสพติดให้โทษหรือวตั ถุออกฤทธิ์ในประเภทเดยี วกนั เกินกว่า 1 ชนดิ เชน่
เมทแอมเฟตามนี และเฮโรอนี ศาลชน้ั ต้นใช้คำว่า ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท 1 หรอื คตี ามีนและอลั ปราโซแลม
ศาลชั้นตน้ ใช้คำว่า วตั ถอุ อกฤทธิ์ในประเภท 2 ให้คงไวต้ ามคำพิพากษาศาลช้ันตน้ ได้
1.1.2 ความผิดตอ่ พระราชบญั ญตั ิอาวธุ ปืนฯ
1.1.2.1 การมีอาวธุ ปืนไม่มเี ครอื่ งหมายทะเบียนและหรือเครอื่ งกระสุนปนื ไว้ในครอบครอง
ตามมาตรา 7, 72 วรรคหนึง่ และหรอื วรรคสอง
27
กรณีอาวุธปืน ใชว้ า่ “ฐานมอี าวธุ ปืนไวใ้ นครอบครองโดยไมไ่ ด้รบั ใบอนุญาต” (ฎ. 17235/2455,
10004/2555, 208/2554, 10347/2553)
กรณีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ใชว้ ่า “ฐานมอี าวธุ ปืนและเครอื่ งกระสุนปนื ไว้ในครอบครองโดย
ไมไ่ ดร้ บั ใบอนุญาต” (ฎ. 724/2563, 2594/2562, 7551/2561)
กรณเี ครือ่ งกระสุนปนื ใชว้ า่ “ฐานมีเครอ่ื งกระสุนปนื ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนญุ าต”
(ฎ. 10434/2558, 15274/2553)
หมายเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2550 โจทกฟ์ ้องวา่ จำเลยมีอาวธุ ปืนและเคร่ืองกระสนุ ปนื ไวใ้ น
ครอบครองโดยไม่ไดร้ ับใบอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นความผดิ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เคร่ืองกระสุนปนื
วตั ถรุ ะเบิด ดอกไมเ้ พลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหน่ึง สว่ นความผิดตาม
มาตรา 72 วรรคสอง ต้องเป็นเพยี งกรณมี ีเครื่องกระสนุ ปืนไวใ้ นครอบครองโดยไม่ได้รบั ใบอนญุ าตเท่าน้ัน
คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 1046/2558 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผดิ ตาม
พระราชบัญญตั ิอาวุธปนื เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และส่ิงเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490
มาตรา 7, 72 วรรคหน่ึง ฐานมีอาวธุ ปนื ไม่มที ะเบยี น ใช้ (ท่ีถูก ฐานมอี าวุธปนื และเคร่ืองกระสนุ ปนื ไว้ในครอบครองโดย
ไม่ได้รบั ใบอนุญาต)
ข้อสังเกต กรณมี ีอาวธุ ปืนและกระสุนปืนเป็นคนละขนาด มคี ำพิพากษาศาลฎกี า 2 แนว
แนวแรกวินิจฉยั วา่ องค์ประกอบความผดิ ตามพระราชบัญญตั ิอาวธุ ปืน เคร่ืองกระสนุ ปืน วตั ถุระเบิด
ดอกไม้เพลงิ และสงิ่ เทียมอาวุธปนื พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 คือการมไี ว้ในครอบครองซ่ึงอาวธุ ปนื หรือเคร่ือง
กระสนุ ปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบยี น จำเลยมีเคร่อื งกระสนุ ปืนคนละขนาดกบั อาวธุ ปนื เปน็ ความผดิ
ตามมาตรา 72 วรรคหน่ึง (ฎ. 9109/2549, 4955/2533)
28
แนวทส่ี องวินิจฉัยว่า อาวธุ ปืนและกระสุนปนื ของกลางทีจ่ ำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นคนละชนดิ และ
ขนาด นอกจากเป็นความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิอาวุธปืน เครือ่ งกระสุนปนื วัตถรุ ะเบิด ดอกไม้เพลงิ และสิ่งเทยี ม
อาวธุ ปนื พ.ศ. 2490 มาตรา 72 วรรคหนง่ึ แลว้ ยงั เป็นความผิดตามมาตรา 72 วรรคสองดว้ ย การกระทำของ
จำเลยเปน็ กรรมเดยี วเปน็ ความผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 72 วรรคหนงึ่ ซึง่ เปน็ กฎหมายบท
ทมี่ ีโทษหนกั ท่สี ุด (ฎ. 3283/2545)
1.1.2.2 การมีอาวุธปืนมเี ครอ่ื งหมายทะเบยี นของผู้อ่ืนและเคร่ืองกระสุนปนื ไวใ้ นครอบครอง
ตามมาตรา 7, 72 วรรคสาม
กรณีอาวุธปืน ใชว้ ่า “ฐานมีอาวธุ ปืนท่ีเป็นของผู้อื่นซ่งึ ไดร้ บั ใบอนญุ าตใหม้ ีและใชต้ ามกฎหมายไว้
ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต” (ฎ. 21745/2556, 4525/2556, 2986/2554, 250/2546, 1783/2544,
4321/2543, 995/2543 และ 12/2542)
กรณีอาวธุ ปืนและเคร่ืองกระสุนปืน ใช้ว่า “ฐานมอี าวธุ ปืนท่ีเป็นของผู้อน่ื ซงึ่ ไดร้ บั ใบอนุญาตให้มีและ
ใช้ตามกฎหมายและเครือ่ งกระสนุ ปืนไว้ในครอบครองโดยไมไ่ ดร้ ับใบอนุญาต” (ฎ. 1270/2543)
หมายเหตุ มาตรา 10 บญั ญตั ิว่า อาวธุ ปนื ที่ไดอ้ อกใบอนุญาตให้ตามมาตราก่อน ใหน้ ายทะเบียนทาํ
เคร่ืองหมายประจําอาวธุ ปนื นนั้ ไวต้ ามที่กาํ หนดในกฎกระทรวง ดงั นน้ั หากศาลช้ันต้นใช้ว่า อาวธุ ปืนมีเคร่อื งหมาย
ทะเบยี นหรืออาวธุ ปืนไม่มีเคร่ืองหมายทะเบยี นในชอ่ื ฐานความผิด ให้คงไวต้ ามคำพิพากษาศาลชั้นตน้ ได้ เชน่
การมอี าวุธปนื ตามมาตรา 7, 72 วรรคหนง่ึ ใช้วา่ “ฐานมอี าวุธปนื ไม่มีเครือ่ งหมายทะเบียนไว้ใน
ครอบครองโดยไมไ่ ด้รบั ใบอนุญาต” (ฎ. 2893/2562)
การมีอาวุธปืนตามมาตรา 7, 72 วรรคสาม ใช้ว่า “ฐานมอี าวธุ ปืนมเี ครอ่ื งหมายทะเบียนทเ่ี ป็น
ของผู้อืน่ ซ่ึงได้รับใบอนญุ าตใหม้ ีและใชต้ ามกฎหมายไวใ้ นครอบครองโดยไม่ได้รบั ใบอนุญาต” (ฎ. 2910/2553)
29
1.1.2.3 การมเี คร่ืองกระสนุ ปนื ซึง่ มใิ ช่สำหรับใช้กับอาวธุ ปืนที่ตนได้รับใบอนุญาตตาม
มาตรา 8, 72 ทวิ วรรคหนึ่ง ใชว้ ่า “ฐานมีเครอ่ื งกระสนุ ปนื ซง่ึ มิใชส่ ำหรบั ใชก้ ับอาวธุ ปืนท่ีตนไดร้ ับใบอนญุ าตให้มี
และใช”้ (ฎ. 15274/2553)
หมายเหตุ คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 15274/2553 อาวุธปนื ทีจ่ ำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้เปน็ อาวุธ
ปืนพกรวี อลเวอร์ขนาด .357 และกระสุนปืนท่ีจำเลยมีไวใ้ นครอบครองเปน็ ขนาด .38 แม้จะใช้กบั อาวุธปืนพก
รวี อลเวอร์ขนาด .357 ได้ แต่กระสุนปืนดงั กล่าวมใิ ชเ่ คร่ืองกระสุนปืนสำหรับใชก้ ับอาวุธปนื ทีจ่ ำเลยได้รับใบอนุญาต
ใหม้ ีและใช้ จำเลยจึงมีความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนซง่ึ มิใชส่ ำหรบั ใชก้ บั อาวุธปนื ที่ตนไดร้ บั ใบอนญุ าตใหม้ ีและใช้
คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 8350/2547 เมือ่ จำเลยไดร้ บั อนุญาตใหม้ ีและใชอ้ าวุธปืน
ขนาด 22 มม. การทีจ่ ำเลยมีกระสนุ ปนื ขนาด 22 มม. เพื่อใชก้ ับอาวุธปืนดังกลา่ วย่อมไม่มีความผดิ
1.1.2.4 การพาอาวธุ ปืนโดยไม่ได้รับใบอนญุ าตตามมาตรา 8 ทวิ วรรคหน่งึ , 72 ทวิ วรรคสอง
ใชว้ ่า “ฐานพาอาวธุ ปืนตดิ ตวั ไปในเมือง หมบู่ ้าน หรอื ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต” (ฎ. 6762/2562,
6663/2562 และ 3730/2561)
1.1.2.5 การพาอาวธุ ปนื โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไมม่ ีเหตุสมควรตามมาตรา 8 ทวิ
วรรคหน่ึง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ใชว้ า่ “ฐานพาอาวุธปนื ตดิ ตวั ไปในเมอื ง หมู่บ้าน หรือทาง
สาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตสุ มควร” (ฎ. 1270/2563, 662/2563 และ 6663/2563)
1.1.2.6 การพาอาวธุ ปืนโดยไม่ไดร้ บั ใบอนญุ าต โดยเปิดเผย และโดยไม่มีเหตุสมควรตาม
มาตรา 8 ทวิ วรรคหนงึ่ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ใช้ว่า “ฐานพาอาวุธปืนตดิ ตวั ไปใน
เมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ไดร้ ับใบอนุญาต โดยเปิดเผย และโดยไม่มีเหตุสมควร” (ฎ. 2494-2495/2562,
8731/2561, 8780/2556)
30
ข้อสังเกต กรณีพาอาวธุ ปนื ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รบั ใบอนุญาตและ
โดยเปิดเผยตามมาตรา 8 ทวิ มคี ำพิพากษาศาลฎีกา 2 แนว
แนวแรกวินิจฉัยใหป้ รบั บทความผิดตามมาตรา 8 ทวิ วรรคสอง (ฎ. 8731/2561, 8572/2558, 7019/2549)
แนวทส่ี องวินจิ ฉยั ใหป้ รบั บทบทความผดิ ตามมาตรา 8 ทวิ วรรคหน่ึงและวรรคสอง (ฎ. 6762/2562, 60/2535)
1.1.2.7 การมีอาวธุ ปืน เครื่องกระสนุ ปนื หรอื วัตถุระเบดิ ท่ีนายทะเบียนไมอ่ าจออก
ใบอนญุ าตให้ได้ไวใ้ นครอบครองตามมาตรา 55, 78 วรรคหนึง่
กรณีอาวุธปนื ใช้ว่า “ฐานมอี าวุธปืนที่นายทะเบยี นไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไวใ้ น
ครอบครอง” (ฎ. 8616/2550)
กรณเี คร่ืองกระสุนปืน ใชว้ ่า “ฐานมเี ครื่องกระสุนปนื ทนี่ ายทะเบยี นไม่อาจออก
ใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง” (ฎ. 10434/2558, 1046/2558, 10338/2553, 2185/2547)
กรณีอาวธุ ปืนและเครื่องกระสนุ ปนื ใชว้ า่ “ฐานมอี าวุธปืนและเคร่ืองกระสุนปนื ท่ี
นายทะเบยี นไม่อาจออกใบอนุญาตใหไ้ ด้ไวใ้ นครอบครอง” (ฎ. 2374/2543, 2089/2542)
กรณวี ัตถุระเบิด ใช้วา่ “ฐานมีวัตถุระเบดิ ทีน่ ายทะเบยี นไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้
ไวใ้ นครอบครอง” (ฎ. 6041/2558)
1.1.2.8 การมอี าวุธปืนไมม่ ีเครอื่ งหมายทะเบยี นและหรอื เครื่องกระสนุ ปนื ไวใ้ นครอบครองตาม
มาตรา 7, 72 วรรคหน่ึงและหรือวรรคสอง และอาวุธปนื เครือ่ งกระสุนปืน หรอื วัตถุระเบิด ทีน่ ายทะเบยี นไม่อาจ
ออกใบอนญุ าตให้ได้ไว้ในครอบครองตามมาตรา 55, 78 วรรคหน่งึ ใช้วา่ “ฐานมอี าวุธปนื ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้
รบั ใบอนุญาตและฐานมีเครอ่ื งกระสุนปืนท่นี ายทะเบียนไม่อาจออกใบอนญุ าตให้ได้ไวใ้ นครอบครอง”
31
(ฎ. 10338/2553) “ฐานมอี าวุธปนื และเคร่ืองกระสนุ ปนื ไว้ในครอบครองโดยไม่ไดร้ ับใบอนญุ าตและฐานมเี คร่ือง
กระสุนปนื ที่นายทะเบยี นไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ ในครอบครอง” (ฎ. 4033/2562) เปน็ ตน้
หมายเหตุ สำหรับช่อื ความผดิ อน่ื ให้ดูในสว่ นของการกำหนดช่ือฐานความผิด
1.2 การปรบั บทความผิด เช่น
1.2.1 กรณีจำเลยมีเมทแอมเฟตามนี ไวใ้ นครอบครองเพ่ือจำหน่ายและจำหนา่ ยเมทแอมเฟตามนี ใช้วา่
“จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหน่ึงและวรรคสาม (2),
66 วรรคสองและวรรคสาม” (ตามคมู่ ือฯ)
1.2.2 กรณีจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองเพ่อื จำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็น
ความผิดตามมาตรา 66 วรรคหน่งึ วรรคสอง และวรรคสาม ใช้ว่า “จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญตั ิยาเสพติด
ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนงึ่ และวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม” (ไม่ใช้วา่
66 วรรคหน่ึงถึงวรรคสาม)
1.2.3 กรณจี ำเลยรว่ มกันและสมคบกันกระทำความผดิ เก่ยี วกบั ยาเสพตดิ ใช้วา่ “จำเลยมีความผดิ
ตามพระราชบัญญัตยิ าเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคหน่ึง ประกอบประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเก่ยี วกับยาเสพติด
พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง” (ฎ. 8049/2561)
1.2.4 กรณจี ำเลยร่วมกันมเี มทแอมเฟตามนี ไว้ในครอบครองเพ่ือจำหนา่ ยและร่วมกนั พยายามจำหน่าย
เมทแอมเฟตามีน ซ่ึงตอ้ งระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรบั ความผิดนั้นเช่นเดียวกับผ้กู ระทำความผิดสำเรจ็
ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผ้กู ระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ใชว้ ่า
“จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัตยิ าเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2),
32
66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 พระราชบญั ญตั มิ าตรการในการปราบปรามผ้กู ระทำ
ความผิดเกีย่ วกบั ยาเสพตดิ พ.ศ. 2534 มาตรา 7 การกระทำของจำเลยเปน็ กรรมเดยี วเปน็ ความผดิ ต่อกฎหมายหลาย
บทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้
ในครอบครองเพ่ือจำหน่าย (ฐานรว่ มกนั พยายามจำหนา่ ยเมทแอมเฟตามีน ซ่งึ ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไวส้ ำหรับ
ความผดิ น้ันเชน่ เดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ) เพยี งบทเดียว จำคุก...(และปรับ...)” (ฎ. 11186/2554)
1.2.5 กรณจี ำเลยกระทำความผดิ ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ฐานเปน็ ผขู้ ับขีเ่ สพเมทแอมเฟตามนี
ตามพระราชบญั ญตั ิจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และฐานปฏิบัติหน้าท่เี ป็นผู้ประจำรถโดยเปน็ ผขู้ บั รถเสพ
เมทแอมเฟตามนี ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522
1.2.5.1 จำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามนี และฐานเป็นผูข้ ับขี่เสพ
เมทแอมเฟตามนี ใช้ว่า “จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91
พระราชบัญญัตจิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนง่ึ , 157/1 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเปน็
กรรมเดยี วเป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522
มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 91 ซง่ึ เป็นกฎหมายบทที่มี
โทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก...(และปรับ...)” (ตามคู่มือฯ)
1.2.5.2 จำเลยกระทำความผดิ ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ฐานเป็นผูข้ ับข่ีเสพเมทแอมเฟตามีน
และฐานปฏบิ ตั ิหน้าทเี่ ป็นผู้ประจำรถโดยเป็นผขู้ ับรถเสพเมทแอมเฟตามีน ใชว้ า่
“จำเลยมคี วามผิดตามพระราชบญั ญตั ิยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 พระราชบญั ญัติจราจรทางบก
พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหน่ึง, 157/1 วรรคสอง พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522
มาตรา 102 (3 ทวิ), 127 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดยี วเปน็ ความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ต้องใช้กฎหมายบทท่ีมีโทษหนักท่ีสุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่บทกำหนดโทษ
33
ตามพระราชบญั ญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง และพระราชบัญญัตกิ ารขนสง่ ทางบก
พ.ศ. 2522 มาตรา 127 ทวิ วรรคสอง ซงึ่ เปน็ กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตาม
พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัตยิ าเสพติดใหโ้ ทษ
พ.ศ. 2522 มาตรา 91 เพียงบทเดียว จำคุก... (และปรับ...)” (ตามคู่มอื ฯ)
1.2.5.3 จำเลยกระทำความผดิ ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและฐานเปน็ ผ้ขู ับขี่เสพ
เมทแอมเฟตามีน กบั ความผิดฐานอื่นซงึ่ เปน็ ความผิดตา่ งกรรมด้วย ใชว้ ่า “การกระทำของจำเลยเปน็ ความผดิ หลาย
กรรมตา่ งกนั ใหล้ งโทษทุกกรรมเปน็ กระทงความผดิ ไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานเสพ
เมทแอมเฟตามีนและฐานเป็นผขู้ บั ข่เี สพเมทแอมเฟตามนี (การกระทำของจำเลย) เปน็ กรรมเดยี วเป็นความผิดตอ่
กฎหมายหลายบท ใหล้ งโทษตามพระราชบัญญัตจิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบ
พระราชบญั ญัติยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 91 ซึง่ เปน็ กฎหมายบทท่ีมีโทษหนักท่ีสุดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก...(และปรับ...) ฐาน...จำคุก... (และปรับ...)”
1.2.5.4 จำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ฐานเป็นผขู้ ับขเ่ี สพเมทแอมเฟตามนี
และฐานปฏบิ ัติหน้าทเ่ี ป็นผู้ประจำรถโดยเป็นผูข้ บั รถเสพเมทแอมเฟตามนี กับความผดิ ฐานอืน่ ซงึ่ เป็นความผิดตา่ ง
กรรมดว้ ย ใช้ว่า “การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมตา่ งกนั ใหล้ งโทษทุกกรรมเปน็ กระทงความผิดไป
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ฐานเป็นผขู้ บั ขี่เสพเมทแอมเฟตามนี
และฐานปฏิบัติหนา้ ท่ีเปน็ ผ้ปู ระจำรถโดยเป็นผู้ขบั รถเสพเมทแอมเฟตามนี (การกระทำของจำเลย) เป็นกรรมเดยี ว
เป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักท่ีสุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 90 แตบ่ ทกำหนดโทษตามพระราชบญั ญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง และ
พระราชบัญญตั ิการขนสง่ ทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 127 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเปน็ กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
มีอัตราโทษเท่ากัน ใหล้ งโทษตามพระราชบัญญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบ
34
พระราชบญั ญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 91 เพียงบทเดยี ว จำคุก...(และปรับ...) ฐาน...จำคุก... (และ
ปรับ...)”
หมายเหตุ 1) กรณีศาลช้ันตน้ ใช้คำวา่ ให้ลงโทษฐานเป็นผขู้ ับขี่เสพเมทแอมเฟตามนี
ตามพระราชบัญญตั ิจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัตยิ าเสพติดให้โทษ
พ.ศ. 2522 มาตรา 91 ใหค้ งไว้ตามคำพิพากษาศาลชน้ั ต้นได้
2) การใช้คำวา่ ฐานเสพเมทแอมเฟตามนี และฐานเป็นผู้ขับขเ่ี สพเมทแอมเฟตามีน
เปน็ การใชต้ ามแนวแผนกฯ กับคำพิพากษาศาลฎกี าท่ี 6846/2558 และ 2692/2559
3) การใช้คำวา่ ฐานปฏบิ ัติหนา้ ท่เี ป็นผปู้ ระจำรถโดยเป็นผู้ขับรถเสพเมทแอมเฟตามนี ใน
ความผดิ ตามพระราชบัญญัติการขนสง่ ทางบก พ.ศ. 2522 เพอ่ื ให้ครอบคลมุ ถึงกรณีผู้ไม่ไดร้ ับใบอนญุ าตให้ปฏิบัติ
หนา้ ทเ่ี ปน็ ผู้ประจำรถประเภทใบอนญุ าตเปน็ ผขู้ ับรถได้ปฏิบัติหน้าทีเ่ ปน็ ผู้ขบั รถซึง่ ต้องระวางโทษสำหรบั การกระทำ
นนั้ เชน่ เดียวกับผไู้ ด้รบั ใบอนุญาตเปน็ ผู้ขบั รถตามมาตรา 93 วรรคหนึ่ง, 151 วรรคสอง ดว้ ย
1.3 การกระทำกรรมเดียวเป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท
1.3.1 การกระทำกรรมเดียวเปน็ ความผิดต่อกฎหมายหลายบทและลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษ
หนักที่สุด ใช้ว่า “การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดยี วเป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท ใหล้ งโทษฐาน (ตาม)...
ซึ่งเปน็ กฎหมายบทท่ีมีโทษหนักท่ีสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคกุ ...(และปรับ...)” (ตามคมู่ ือฯ)
1.3.2 การกระทำกรรมเดียวเปน็ ความผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีโทษเท่ากัน ใช้วา่
“การกระทำของจำเลยเปน็ กรรมเดยี วเป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐาน (ตาม)...เพยี งบทเดยี ว จำคุก...(และปรับ...)” (ตามคมู่ ือฯ)
35
1.3.3 การกระทำกรรมเดยี วเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดมี
โทษเท่ากัน ใช้ว่า “การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดยี วเป็นความผิดตอ่ กฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มี
โทษหนักท่ีสุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แตบ่ ทกำหนดโทษฐาน (หรือตาม)...ซ่งึ เปน็
กฎหมายบทที่มีโทษหนักท่ีสุดมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐาน (ตาม)...เพยี งบทเดียว จำคุก...(และปรับ...)”(ตามคู่มือฯ)
1.4 การกระทำความผดิ หลายกรรม ใช้วา่ “การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ลงโทษทกุ กรรมเปน็ กระทงความผดิ ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐาน...จำคุก...(และปรับ...)
ฐาน...จำคุก...(และปรบั ...)” (ตามค่มู ือฯ)
1.5 การกระทำความผดิ หลายกรรมและกรรมหน่ึงเปน็ ความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท ใช้วา่
“การกระทำของจำเลยเปน็ ความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผดิ ไปตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐาน...และฐาน...การกระทำของจำเลยเปน็ กรรมเดยี วเปน็ ความผิดต่อกฎหมายหลายบท
(เป็นกรรมเดยี วเป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท) ใหล้ งโทษฐาน (ตาม)...ซ่งึ เป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก...(และปรบั ...) ฐาน...จำคุก...(และปรับ...)” (ตามคูม่ ือฯ)
1.6 การเขียนโทษจำคุกและปรับ
1.6.1 กรณโี ทษจำคกุ ตลอดชวี ิตและปรับ เขียนวา่ “จำคุกตลอดชวี ติ และปรับ...บาท”
หมายเหตุ ตามคมู่ ือฯ เว้นวรรคระหวา่ ง โทษจำคุกตลอดชีวติ และโทษปรับตามมาตรา 66 วรรคสองและ
วรรคสาม เหมือนกับมาตราอื่น เนอื่ งจากตามตวั บทคงมีเพียงมาตรา 66 วรรคสองและวรรคสาม ที่เขยี นระวางโทษ
จำคุกตลอดชีวิตและปรับติดกัน
1.6.2 กรณคี ำพิพากษาศาลช้นั ตน้ เขยี นโทษจำคุก 30 วัน หรือต้งั แต่ 30 วัน ขน้ึ ไป ไม่ต้องแก้ไข
30 วนั เป็น 1 เดอื น (ฎ. 477/2563)
36
หมายเหตุ กรณศี าลอุทธรณ์มีการแก้ไขโทษจำคุก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คำนวณโทษ จำคุก 30 วนั
เป็น 1 เดือน (ตามบนั ทึกขอ้ ความลงวันท่ี 7 กรกฎาคม 2558)
1.7 การลดมาตราส่วนโทษ
1.7.1 กรณลี ดมาตราสว่ นโทษประหารชีวิต
ก. ลดมาตราสว่ นโทษให้จำเลย ใช้วา่ “จำเลย (จำเลยทัง้ ...) มคี วามผดิ ตาม...ลดมาตราสว่ นโทษ
ใหห้ นึง่ ในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 52 (1)” หรือ “จำเลย (จำเลยทง้ั ...)
มีความผิดตาม...ลดมาตราสว่ นโทษให้กง่ึ หน่งึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 52(2)”
(ฎ. 7766/2544, 1857/2540)
ข. ลดมาตราส่วนโทษใหจ้ ำเลยบางคน ใชว้ ่า “จำเลยทง้ั ...มีความผิดตาม...ลดมาตราสว่ นโทษ
ใหจ้ ำเลยที่...หน่ึงในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 52 (1)” หรอื “จำเลยทั้ง...
มีความผิดตาม...ลดมาตราสว่ นโทษให้จำเลยท่ี...กึ่งหนง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบ
มาตรา 52 (2)” (ฎ. 1315/2534)
1.7.2 กรณลี ดมาตราส่วนโทษจำคกุ ตลอดชวี ิต
ก. ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลย ใช้วา่ “จำเลย (จำเลยทงั้ ...) มคี วามผิดตาม... ลดมาตราสว่ น
โทษใหห้ นงึ่ ในสาม (กึ่งหนึ่ง) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 53 (ฎ. 3934/2562,
1972/2562, 2514/2557, 7592/2554, 6377/2549)
ข. ลดมาตราสว่ นโทษให้จำเลยบางคน ใช้ว่า “จำเลยทัง้ ...มคี วามผดิ ตาม...ลดมาตราส่วนโทษ
ใหจ้ ำเลยท่ี...หนึ่งในสาม (ก่งึ หนึ่ง) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 53” (ฎ.5009/2550,
6255/2541)
37
1.7.3 กรณีลดมาตราสว่ นโทษจำคุกและปรับ หรือจำคกุ หรือปรับ
ก. ลดมาตราส่วนโทษใหจ้ ำเลย ใช้วา่ “จำเลย (จำเลยท้ัง...) มีความผิดตาม... ลดมาตราสว่ น
โทษใหห้ นง่ึ ในสาม (กงึ่ หนงึ่ ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76” (ฎ. 2580/2563, 5610/2558, 3422/2558,
15717/2553)
ข. ลดมาตราสว่ นโทษใหจ้ ำเลยบางคน ใช้ว่า “จำเลยทง้ั ...มคี วามผิดตาม.. ลดมาตราสว่ นโทษ
ใหจ้ ำเลยท.ี่ ..หน่งึ ในสาม (กง่ึ หน่ึง) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76” (ฎ. 4942/2554, 6789/2551)
1.8 การเพิม่ โทษ
1.8.1 กรณจี ำเลยคนเดียว
1.8.1.1 กระทำความผดิ กรรมเดยี วเพิ่มโทษกึง่ หน่งึ หรือหนง่ึ ในสาม ใชว้ ่า “เพิ่มโทษกงึ่ หนง่ึ
ตามพระราชบัญญัตยิ าเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 (หนึง่ ในสามตาม ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 92)” (ฎ. 2092/2561) หรอื “เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ก่งึ หน่งึ
(ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่งในสาม)” (ฎ. 15599/2558) เปน็ จำคุก...(และปรับ...บาท)
1.8.1.2 กระทำความผดิ หลายกรรมเพิ่มโทษกึ่งหนง่ึ หรือหน่งึ ในสาม ใชว้ า่ “เพิม่ โทษกระทงละ
กงึ่ หนึ่งตามพระราชบญั ญัตยิ าเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 (กระทงละหน่งึ ในสามตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 92)” (ฎ. 4849/2547) หรือ “เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97
กระทงละกึ่งหนงึ่ (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 กระทงละหน่งึ ในสาม)” (ฎ. 12333/2558) ฐาน...เป็น
จำคกุ ...(และปรับ...บาท) ฐาน...เป็นจำคกุ ...(และปรับ...บาท)
1.8.1.3 กระทำความผดิ หลายกรรมเพิ่มโทษกึ่งหน่ึงและหนึง่ ในสาม ใชว้ ่า “เพ่ิมโทษกง่ึ หน่ึง
ตามพระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐาน...เปน็ จำคุก...(และปรบั ...บาท) เพม่ิ โทษหนงึ่ ใน
38
สามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐาน...เปน็ จำคุก... (และปรบั ...บาท)” หรือ “เพิ่มโทษตาม
พระราชบญั ญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กึ่งหนึ่ง ฐาน...เป็นจำคกุ ...(และปรับ...บาท) เพิม่ โทษตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่งในสาม ฐาน...เป็นจำคุก...(และปรับ...บาท)”
1.8.2 กรณีจำเลยหลายคน
1.8.2.1 กระทำความผิดกรรมเดยี วเพ่ิมโทษกง่ึ หนึง่ หรือหนง่ึ ในสาม
ก. เพิ่มโทษจำเลยทุกคน ใช้ว่า “เพม่ิ โทษก่งึ หนงึ่ ตามพระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ
ให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 (หนง่ึ ในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92)” (ฎ. 10319/2558) หรือ
“เพ่ิมโทษตามพระราชบญั ญตั ิยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กงึ่ หนึ่ง (ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 92 หนึง่ ในสาม)” (ฎ. 3854/2530) เป็นจำคุกคนละ...(และปรบั คนละ...บาท)
ข. เพิ่มโทษจำเลยบางคน ใชว้ า่ “เพม่ิ โทษจำเลยท.่ี ..กง่ึ หนง่ึ ตามพระราชบญั ญัติ
ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 (หน่งึ ในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92)”
(ฎ. 2367/2560) หรือ “เพ่มิ โทษจำเลยที่...ตามพระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กงึ่ หนงึ่
(ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หน่ึงในสาม)” (ฎ. 3985/2530) เป็นจำคกุ ...(และปรบั ...บาท)
1.8.2.2 กระทำความผดิ หลายกรรมเพ่ิมโทษก่งึ หน่งึ หรือหน่งึ ในสาม
ก. เพ่มิ โทษจำเลยทุกคน ใช้วา่ “เพิ่มโทษกระทงละก่งึ หนึ่งตามพระราชบัญญตั ิ
ยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 (กระทงละหน่งึ ในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92)” หรือ
“เพิ่มโทษตามพระราชบัญญตั ิยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กระทงละกึ่งหนึ่ง (ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 92 กระทงละหนึ่งในสาม)” ฐานร่วมกัน...เปน็ จำคุกคนละ...(และปรับคนละ...บาท) ฐานร่วมกัน...
เป็นจำคุกคนละ...(และปรบั คนละ...บาท)
39
ข. เพิ่มโทษจำเลยบางคน ใชว้ ่า “เพิ่มโทษจำเลยที.่ ..กระทงละก่ึงหน่งึ ตาม
พระราชบัญญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 (กระทงละหน่ึงในสามตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 92)” (ฎีกาที่ 15450/2557) หรือ “เพิ่มโทษจำเลยท.่ี ..ตามพระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. 2522
มาตรา 97 กระทงละก่ึงหน่ึง (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 กระทงละหนง่ึ ในสาม)”ฐานรว่ มกัน...
เป็นจำคกุ ...(และปรบั ...บาท) ฐานรว่ มกนั ...เป็นจำคุก...(และปรับ...บาท)
1.8.2.3 กระทำความผดิ หลายกรรมเพิม่ โทษกงึ่ หนึง่ และหนึ่งในสาม
ก. เพิ่มโทษจำเลยทุกคน ใช้ว่า “เพิม่ โทษกงึ่ หนึ่งตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ
ให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานร่วมกนั ...เปน็ จำคุกคนละ...(และปรับคนละ...บาท) เพ่ิมโทษหน่ึงในสามตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานรว่ มกัน...เปน็ จำคุกคนละ...(และปรบั คนละ...บาท)” หรือ “เพิ่มโทษตาม
พระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กึ่งหนึ่ง ฐานรว่ มกัน...เป็นจำคกุ คนละ...(และปรับคนละ...
บาท) เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่งในสาม ฐานร่วมกนั ..เปน็ จำคุกคนละ...และปรับคนละ...
บาท)”
ข. เพม่ิ โทษจำเลยบางคน ใชว้ ่า “เพม่ิ โทษจำเลยท.ี่ ..ก่ึงหนงึ่ ตามพระราชบัญญตั ิ
ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานรว่ มกัน...เปน็ จำคุก...(และปรับ...บาท) เพิ่มโทษจำเลยท่ี...หนึง่ ในสาม
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานรว่ มกนั ...เป็นจำคุก...(และปรับ...บาท)” หรือ “เพ่ิมโทษจำเลยท่ี...
ตามพระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กงึ่ หนงึ่ ฐานร่วมกนั ...เปน็ จำคุก...(และปรบั ...บาท)
เพมิ่ โทษจำเลยที่...ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึง่ ในสาม ฐานรว่ มกัน...เป็นจำคกุ ...(และปรบั ...บาท)”
40
1.9 การลดโทษ
1.9.1 กรณีจำเลยคนเดียว
1.9.1.1 กระทำความผิดกรรมเดียว ใช้วา่ “จำเลยใหก้ ารรับสารภาพเป็นประโยชนแ์ ก่การ
พิจารณา มเี หตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึง่ หน่ึง” (ตามคมู่ ือฯ) หรือ
“จำเลยให้การรบั สารภาพเป็นประโยชน์แกก่ ารพจิ ารณา มีเหตบุ รรเทาโทษ ลดโทษให้ก่ึงหน่ึงตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 78” (ฎ. 15450/2557) คงจำคกุ ...(และปรับ...บาท)
1.9.1.2 กระทำความผดิ หลายกรรม ใชว้ ่า “จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพเป็นประโยชน์แก่การ
พจิ ารณา มีเหตบุ รรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกงึ่ หน่ึง” (ตามคู่มือฯ)
หรือ “จำเลยใหก้ ารรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละก่งึ หนึ่งตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78” (ฎ. 4444/2561) ฐาน...คงจำคกุ ...(และปรบั ...บาท) ฐาน...คงจำคุก...
และปรับ...บาท) รวมจำคุก...(และปรับ...บาท)
1.9.2 กรณจี ำเลยหลายคน
1.9.2.1 กระทำความผดิ กรรมเดียว
ก. ลดโทษจำเลยทกุ คน ใช้ว่า “จำเลยท้ัง...ให้การรบั สารภาพเป็นประโยชน์แกก่ าร
พจิ ารณา มเี หตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหน่ึง” (ฎ. 9317/2554) หรือ
“จำเลยทั้ง...ให้การรบั สารภาพเป็นประโยชนแ์ ก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษใหก้ งึ่ หน่งึ ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 78 (ฎ. 6246/2561) คงจำคุกคนละ...(และปรบั คนละ...บาท)
ข. ลดโทษจำเลยบางคน ใช้วา่ “จำเลยท่ี...ให้การรบั สารภาพเป็นประโยชน์แก่การ
พจิ ารณา มเี หตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้ก่งึ หนงึ่ ” หรอื “จำเลยท่ี...ให้การรบั
41
สารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตบุ รรเทาโทษ ลดโทษให้ก่ึงหน่ึงตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 78” คงจำคุก...(และปรบั ...บาท)
1.9.2.2 การกระทำความผดิ หลายกรรม
ก. ลดโทษจำเลยทุกคน ใช้ว่า “จำเลยทัง้ ...ให้การรับสารภาพเปน็ ประโยชน์แก่การ
พจิ ารณา มเี หตบุ รรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหน่งึ ”
(ฎ. 6666/2561) หรือ “จำเลยทั้ง...ใหก้ ารรบั สารภาพเป็นประโยชนแ์ ก่การพิจารณา มีเหตบุ รรเทาโทษ ลดโทษให้
กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78” (ฎ. 8572/2558) ฐานร่วมกัน...คงจำคกุ คนละ...(และ
ปรับคนละ...บาท) ฐานร่วมกัน...คงจำคุกคนละ...(และปรับคนละ...บาท) รวมจำคกุ คนละ...(และปรับคนละ...บาท)
ข. ลดโทษจำเลยบางคน ใชว้ ่า “จำเลยท.ี่ ..ให้การรับสารภาพเปน็ ประโยชน์แก่การ
พิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกงึ่ หน่งึ ” หรอื “จำเลยที่...
ใหก้ ารรบั สารภาพเปน็ ประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกงึ่ หนง่ึ ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 78” ฐานร่วมกัน...คงจำคกุ ...(และปรับ...บาท) ฐานร่วมกนั ... คงจำคกุ ...(และปรบั ...บาท)
รวมจำคุก...(และปรับ...บาท)
หมายเหตุ กรณศี าลช้นั ตน้ รวมโทษทกุ กระทงเขา้ ด้วยกนั แลว้ ใช้คำวา่ ลดโทษให้กระทงละก่ึงหน่ึง ให้คงไว้
ตามคำพพิ ากษาศาลชัน้ ต้นได้ เพอื่ ให้สอดคล้องกบั แนวแผนกฯ ทใี่ ห้เพ่ิมโทษและลดโทษแต่ละกระทงความผิด
(ตามบันทึกข้อความลงวันท่ี 7 กรกฎาคม 2558) เชน่
ศาลชัน้ ตน้ พิพากษาว่า ฐาน...จำคุก 6 เดือน ฐาน...จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน จำเลย
ใหก้ ารรบั สารภาพเปน็ ประโยชน์แกก่ ารพิจารณา มเี หตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกงึ่ หนึ่ง ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน (ฎ. 2511/2563) เป็นต้น
42
1.10 การเพิ่มโทษและลดโทษควรใชใ้ หเ้ หมอื นกันทั้งหมด เช่น
1.10.1 กรณจี ำเลยคนเดยี ว
1.10.1.1 กระทำความผิดกรรมเดยี ว ใช้วา่ “เพ่ิมโทษก่งึ หน่ึงตามพระราชบญั ญัติยาเสพตดิ
ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก...(และปรับ...บาท) จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพเป็นประโยชนแ์ กก่ าร
พิจารณา มเี หตุบรรเทาโทษ ลดโทษใหก้ ง่ึ หนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก...(และปรบั ...บาท)”
(ฎ. 698/2563) หรอื “เพ่ิมโทษตามพระราชบญั ญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ก่งึ หน่ึง เปน็ จำคุก...
(และปรบั ...บาท) จำเลยใหก้ ารรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 78 ใหก้ ่ึงหน่ึง คงจำคกุ ... (และปรับ...บาท)” (ฎ. 9440/2558)
1.10.1.2 กระทำความผดิ หลายกรรม ใช้ว่า “เพ่ิมโทษกระทงละก่ึงหน่ึงตาม
พระราชบัญญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐาน...เป็นจำคกุ ...(และปรับ...บาท) ฐาน...เป็นจำคุก...
(และปรับ...บาท) จำเลยให้การรบั สารภาพเป็นประโยชนแ์ ก่การพจิ ารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละ
กงึ่ หน่งึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐาน...คงจำคุก...(และปรบั ...บาท) ฐาน...คงจำคุก...(และปรบั ...
บาท) รวมจำคุก...(และปรับ...บาท)” (ฎ. 8640/2561) หรือ “เพม่ิ โทษตามพระราชบัญญัตยิ าเสพติดใหโ้ ทษ
พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กระทงละก่ึงหน่งึ ฐาน... เปน็ จำคกุ ...(และปรับ...บาท) ฐาน...เป็นจำคุก...(และปรับ...บาท)
จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แกก่ ารพิจารณามเี หตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 78 ให้กระทงละก่ึงหน่ึง ฐาน...คงจำคกุ ...(และปรับ...บาท) ฐาน...คงจำคกุ ...(และปรบั ...บาท) รวมจำคกุ ...
(และปรับ...บาท)” (ฎ. 12333/2558)
43
1.10.2 กรณีจำเลยหลายคน
1.10.2.1 กระทำความผดิ กรรมเดียว
ก. เพมิ่ โทษและลดโทษจำเลยทุกคน ใชว้ า่ “เพ่มิ โทษกง่ึ หนงึ่ ตาม
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคุกคนละ...(และปรับคนละ...บาท) จำเลยท้งั ...
ให้การรบั สารภาพเป็นประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณา มีเหตบุ รรเทาโทษ ลดโทษให้ก่งึ หน่ึงตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 78 คงจำคกุ คนละ...(และปรบั คนละ...บาท)” หรือ “เพ่มิ โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ. 2522 มาตรา 97 กึ่งหน่ึง เปน็ จำคุกคนละ...(และปรบั คนละ...บาท) จำเลยท้ัง...ให้การรับสารภาพเป็น
ประโยชนแ์ ก่การพจิ ารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ใหก้ ง่ึ หนงึ่ คงจำคุก
คนละ...(และปรบั คนละ...บาท)”
ข. เพ่ิมโทษและลดโทษจำเลยบางคน ใชว้ ่า “เพม่ิ โทษจำเลยท.่ี ..ก่งึ หน่งึ ตาม
พระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคกุ ...(และปรับ...บาท) จำเลยท่ี...ให้การรบั
สารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มเี หตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึง่ หนง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คงจำคุก...(และปรบั ...บาท)” หรือ “เพ่ิมโทษจำเลยท.ี่ ..ตามพระราชบญั ญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97
กง่ึ หน่ึง เป็นจำคุก...(และปรบั ...บาท) จำเลยที่...ให้การรบั สารภาพเปน็ ประโยชน์แก่การพิจารณา มเี หตบุ รรเทาโทษ
ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้ก่ึงหน่งึ คงจำคุก...(และปรบั ...บาท)”
1.10.2.2 กระทำความผดิ หลายกรรม
ก. เพม่ิ โทษและลดโทษจำเลยทุกคน ใช้วา่ “เพิม่ โทษกระทงละก่ึงหน่ึง
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานร่วมกัน...เปน็ จำคกุ คนละ...(และปรับคนละ...
บาท) ฐานร่วมกนั ...เปน็ จำคุกคนละ...(และปรบั คนละ...บาท) จำเลยทั้ง...ใหก้ ารรบั สารภาพเป็นประโยชน์แกก่ าร