2.เนื้อหา 2.1 สาระที่ 1 การอ่าน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อน าไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาในการด าเนิน ชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน 2.2 ตัวชี้วัด ม.1/3 ระบุเหตุและผล และข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน ม.3/2 ระบุความแตกต่างของค าที่มีความหมายโดยตรง และความหมายโดยนัย ม.3/3 ระบุใจความส าคัญและรายละเอียดของข้อมูลที่สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน ม.3/4 อ่านเรื่องต่าง ๆแล้วเขียนกรอบแนวคิดผังความคิด บันทึก ย่อความและรายงาน ม.3/5 วิเคราะห์วิจารณ์และประเมินเรื่องที่อ่านโดยใช้กลวิธีการเปรียบเทียบ เพื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจได้ดีขึ้น ม.3/6 ประเมินความถูกต้องของข้อมูล ที่ใช้สนับสนุนในเรื่องที่อ่าน ม.3/7 วิจารณ์ความสมเหตุสมผล การล าดับความและความเป็นไปได้ของเรื่อง ม.3/8 วิเคราะห์เพื่อแสดงความคิดเห็นโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ม.3/9 ตีความและประเมินคุณค่าแนวคิดที่ได้จากงานเขียนอย่างหลากหลาย เพื่อน าไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต 2.3 เนื้อหา ตัวชี้วัด ม.1/3 ระบุเหตุและผล และข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน ใบความรู้เรื่อง ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น ความหมายของข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริงพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๐๗๑ ) ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง “ข้อความหรือเหตุการณ์ที่เป็นมาหรือเป็นอยู่ตามจริง” ข้อคิดเห็นนั้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๐๗๑ ) ได้ให้ความหมายไว้ ว่า หมายถึง “ความเห็น” ข้อเท็จจริง คือ ข้อความหรือเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้มีความสมจริงมีหลักฐานเชื่อถือได้มีความ สมเหตุสมผล เช่น ถ้าฝนตกในเวลาที่แดดออกเราจะมองเห็นรุ้งกินน้า ข้อความนี้เป็นข้อเท็จจริง เพราะมีความ สมจริง เป็นไปได้พิสูจน์ได้ ข้อคิดเห็น เป็นข้อความที่แสดงความรู้สึก แสดงความคาดคะเนหรือข้อความที่แสดงทรรศนะของผู้พูดที่ สอดแทรกเข้าไปในข้อความที่พูดเพื่อแสดงความคิดเห็นส่วนตัว เช่นชีวิตที่มีแต่ความสุขเพียงอย่างเดียวเป็น ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายมากข้อความนี้เป็นข้อคิดเห็นเพราะเป็นความรู้สึกหรือความคิดเห็นส่วนตัว
ลักษณะของความแตกต่างระหว่างข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น 1.มีความเป็นไปได้ 1.เป็นข้อความที่แสดงความรู้สึก 2.มีความเป็นจริง 2.เป็นข้อความที่แสดงการคาดคะเน 3.มีหลักฐานอ้างอิงพิสูจน์ได้ 3.เป็นข้อความที่ข้อเสนอแนะ 4.มีความสมเหตุสมผล 4.เป็นข้อความที่แสดงความคิดเห็นของผู้พูดหรือผู้เขียนเอง 5. เป็นข้อความที่แสดงการเปรียบเทียบหรือเป็นความเชื่อที่ไม่ สมเหตุสมผล ตัวอย่างข้อความที่เป็นข้อเท็จจริง ๑. ปลาทะเลมีธาตุไอโอดีน ซึ่งช่วยป้องกันโรคคอพอกได้ ๒. วันหนึ่ง ๆ ควรดื่มน้ าอย่างน้อย ๖ –๘ แก้ว ซึ่งจะช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง ไตขับถ่ายของกระแสเลือดออกไปได้ ดีกระแสเลือดไหลเวียนดีและของเสียถูกขับถ่ายออกไปจากร่างกายได้มากทางเหงื่อ ๓. การสระผมที่ถูกต้อง ต้องไม่ใช้วิธีเอาเล็บครูดเกาหรือใช้แปรงที่มีตุ่ม ๆ สระผม ใช้ปลายนิ้วมือทั้งมือถูขยี้ไป ทั่ว ๆ หนังศีรษะ แล้วฟอกด้วยสบู่หรือแชมพูและล้างด้วยน้ าอุ่นสัก ๒ –๓ ครั้ง ๔. การออกก าลังกายอย่างพอเพียง จะสามารถส่งผลให้ต่อมไร้ท่อในสมองขับสารเอนเดอร์ฟินออกมาท าให้ เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ตัวอย่างข้อความที่เป็นข้อคิดเห็น ๑. นักเรียนที่เรียนไม่เก่งทุกคน จะไม่มีโอกาสประสบความส าเร็จในชีวิตเลย เพราะคิดอะไรไม่เป็นคอยแต่จะ ท าตามเขาอย่างเดียว ๒. ถ้าเพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการทุกคนมาก ๆ รับรองว่าจะไม่มีการทุจริตต่อหน้าที่หรือฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่าง ในปัจจุบัน เพราะทุกคนมีกินมีใช้พอแล้ว ๓. ถ้าให้ประชาชนเลือกผู้แทนเขตเดียวได้เบอร์เดียว จะไม่มีการซื้อเสียงแน่นอนเพราะประชาชนต้องเลือกคน ที่เขาเห็นว่าดีที่สุดเพียงคนเดียวเท่านั้น ๔. คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ
กิจกรรมแบบฝึก ข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง ค าชี้แจง ให้บอกว่าข้อความต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็น ( ๕ คะแนน) 1. ถ้าตื่นขึ้นมาตอนเช้า แล้วดื่มน้ าสัก 2-3 แก้ว จะท าให้สดชื่นและผิวหนังเต่งตึง ........................................ 2. ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาก าลัง ..................................................... 3. นักเรียนที่เรียนไม่เก่งทุกคน จะไม่มีโอกาสประสบความส าเร็จในชีวิตเลย เพราะคิดอะไรไม่เป็นคอยแต่จะท า ตามเขาอย่างเดียว ..................................................................................................... 4. วันหนึ่งๆควรดื่มน้ าอย่างน้อย ๖ –๘ แก้ว ซึ่งจะช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง ไตขับถ่ายของกระแสเลือดออกไปได้ดี กระแสเลือดไหลเวียนดี ............................................................................... 5. คนดีตกน้ าไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ .................................................................... 6.ถ้าเพิ่มเงินเดือนให้ข้าราชการทุกคนมาก ๆ รับรองว่าจะไม่มีการทุจริตต่อหน้าที่หรือฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่าง ในปัจจุบัน เพราะทุกคนมีกินมีใช้พอแล้ว ...................................................................... 7.ปลาทะเลมีธาตุไอโอดีน ซึ่งช่วยป้องกันโรคคอพอกได้ ................................................................ 8. คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ........................................................................
2 องศาฯ วิกฤตอุณหภูมิเปลี่ยนโลก อย่างที่รู้กันว่าโลกร้อนขึ้นทุกวัน สาเหตุหลักอย่างหนึ่งมาจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆ เป็นตัวเร่งให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ท าให้เกิดการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 21 หรือ COP21 (Conference of Parties) ที่เป็นการเจรจา ระหว่างผู้น าประเทศจากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยของเรา ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 50,000 คน ทั้งจากภาคการเมือง นักวิทยาศาสตร์ และภาคประชาสังคม โดยมีการเจรจาตกลงเพื่อให้นานาประเทศ เห็นพ้องต้องกันในการก าหนดเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เกิน 2 องศา เซลเซียส ซึ่งถือเป็นจุดวิกฤต เมื่อเทียบกับอุณหภูมิในยุคก่อนอุตสาหกรรม ให้ได้ภายในปี 2030 หรืออีก 15 ปี ข้างหน้า ในส่วนของประเทศไทยเอง มีแผนที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ร้อยละ 20-25 ก่อน ปี พ.ศ. 2573 โดยในแผนพัฒนาก าลังการผลิตไฟฟ้า 2015 (PDP 2015) ของไทย ได้เดินหน้าลดก๊าซเรือน กระจกของด้วยการน าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดที่ทันสมัยมาใช้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศ ซึ่งหมายความ ว่ามาตรการในการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยนั้นต้องเดินตาม PDP2015 ที่เราได้สัญญาไปแล้ว ซึ่งจากข้อมูล เปรียบเทียบระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับประเทศต่างๆ ไทยปล่อยน้อยกว่า จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่น หรือ แม้กระทั่งเยอรมันเสียอีก การที่ NGOs บางกลุ่มออกมาต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยอ้างว่าเป็นต้นเหตุส าคัญของการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกจึงเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะการอ้างว่าประเทศไทยต้องยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินให้ หมดแล้วเปลี่ยนมาเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ยิ่งไม่เป็นความจริงเพราะในการประชุม COP21 ไม่มีการ พูดคุยในหัวข้อนี้เลย การคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดไม่ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ จึงเหมือนกันการตัดโอกาส การพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ไม่ให้มีความมั่นคงทางด้านพลังงาน และท าให้ต้องเป็นฝ่ายพึ่งพาการ น าเข้าเทคโนโลยีพลังงานทดแทนราคาแพงจากประเทศพัฒนา ที่เป็นฝ่ายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเสียเอง ซึ่ง อาจจะอยู่เบื้องหลังการสนับสนุนกลุ่ม NGOs ที่มาให้ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับโรงไฟฟ้าถ่านหินก็เป็นได้
ค าชี้แจง ให้นักเรียนอ่านสถานการณ์ “2 องศาฯ วิกฤตอุณหภูมิเปลี่ยนโลก” แล้วระบุข้อความที่เป็น “ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น” ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น 1 1 2 2 3 3 4 4 5 5 6 6 ตัวอย่างแบบทดสอบ 1.ข้อใดเป็นข้อความแสดงข้อเท็จจริง ( o-net 61) 1.ปัจจุบันวันตรุษไทยกลายเป็นเทศกาลเล่นน้ าสนุกสนานไปเสียแล้ว 2.ในวันตรุษจีน ชาวจีนมักเชื่อว่าการไม่มีหนี้สินเป็นมงคลแก่ชีวิตใหม่ 3.เราควรระวางทุกข์เป็นประจ าทุกคืน เพราะเมื่อหลับเราจะไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว 4.ก่อนเข้าพิธีดื่มชาต้องท าความสะอาดร่างกาย สวมชุดญี่ปุ่น แล้วคลานเข้าไปนั่งในห้องพิธี 2.ข้อใดเป็นข้อความแสดงข้อคิดเห็น ( o-net 62 ) 1.นกเงือกมีบทบาทช่วยกระจายเมล็ดพันธุ์ไม้ในป่า 2.พวกมันจะบินครอบคลุมและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่ากว้างมาก 3.ท าให้ป่าเกิดความสมดุลจากการกระจายเมล็ดพันธุ์ผ่านมูลนก 4.หากอนุรักษ์นกเงือกไว้ก็น่าจะสามารถอนุรักษ์และสร้างสมดุลพืชพรรณในป่าได้อีกมาก
3.ข้อใดเป็นข้อความแสดงข้อเท็จจริง ( o-net 63) 1.สุกรจินหัว แพะนมเหลาซาน และเป็ดอี้เหลียง นับว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีสายพันธ์ ที่ดีที่สุดในโลก 2.”บ้านหอมเทียน” อ าเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เปิดแสดงเทศกาลงานเทียนและเทศกาลดนตรีในช่วง ฤดูหนาว 3.หากมีโอกาสเดินทางไป จังหวัดนครปฐม แนะน าว่าให้ลองไปเที่ยวที่ “ตลาดน้ าดอนหวาย” แล้วจะ ประทับใจ 4.คนที่ชอบอาหารไทยรสชาติจัดจ้าน ต้องบอกเลยว่าไม่ผิดหวังกับร้านที่อ าเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี แห่งนี้แน่นอน 4.ข้อใดเป็นข้อความแสดงข้อคิดเห็น ( o-net 63 ) 1.คีโตเจนิคไดเอท คือการลดน้ าหนักที่เน้นอาหารประเภทไขมันและโปรตีน พร้อมกับงดแป้งและน้ าตาล 2.หลักการก็คือ ไม่กินแป้งท าให้ไม่มีคาร์โบไฮเดรตไปช่วยสร้างพลังงาน 3.ท าให้ร่างกายดึงไขมันที่สะสมอยู่ออกมาใช้นั่นเอง 4.ส่วนผู้ที่มีภาวะเบาหวานควรอยู่ในความดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด ตัวชี้วัด ม.3/2 ระบุความแตกต่างของค าที่มีความหมายโดยตรง และความหมายโดยนัย ใบความรู้เรื่อง ค าที่มีความหมายโดยตรงและโดยนัย ความหมายนัยตรง คือ ความหมายที่ใช้ตามปกติในภาษา ความหมายโดยนัย คือ ความหมายของค าที่ไม่ใช่ธรรมดาแต่เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ(อุปมา) ค า ความหมายตรง ความหมายเปรียบเทียบ(แฝง) หิน เขาขว้างก้อนหิน แบบฝึกหัดที่โรงเรียนวันนี้หินจริงๆ หมู แม่พาฉันไปกินหมูกระทะ แบบฝึกหัดที่โรงเรียนวันนี้หมูมากๆ หิน ส าหรับความหมายตรง หมายถึง ก้อนหิน ความหมายแฝง หมายถึง เรื่องที่ยาก ไม่ง่ายอาการหนักเหมือนยกหิน หมู ส าหรับความหมายตรง หมายถึง สัตว์ที่เรากินเนื้อของมัน ความหมายแฝง หมายถึง เรื่องที่ง่าย สบายๆ กระจอก ฯ จะเห็นได้ว่า ค าเดียวกัน แต่ความหมายแตกต่างกันเมื่อรูปประโยคและสถานการณ์แตกต่างกัน เพื่อให้ชัดเจนกว่านี้จะยกตัวอย่าง เช่น ค า ความหมายตรง ความหมายโดยนัย ด า สีด า สิ่งชั่วร้าย สิ่งไม่ดี ขาว สีขาว สิ่งที่ดี สิ่งที่บริสุทธิ์ แกะด า แกะที่มีขนสีด า คนที่แปลกแยกแตกต่างจากคนอื่น
เต่า สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ า คนที่ท างานช้า ดาว สิ่งที่เห็นเป็นดวงมีแสงระยิบระยับ ความเด่น ความสวยงาม ในท้องฟ้าเวลากลางคืน หมู สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เท้ามีกีบคู่ ตัวอ้วน ง่าย เพชร วัตถุธาตุคาร์บอน มีความแข็งแกร่ง สิ่งที่มีค่ามาก มีค่ ามากใช้ท าเครื่องประดับ บ้านเล็ก บ้านที่มีขนาดเล็ก ภรรยาน้อย ยื่นซองขาว ส่งซองจดหมายสีขาวให้ผู้รับ ไล่ออกจากงาน ใบงานเรื่อง ค าที่มีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ค าสั่ง จงเติมความหมายโดยตรงและโดยนัยของค าที่ก าหนดให้ต่อไปนี้ ค า ความหมายโดยตรง ความหมายโดยนัย สุนัขจิ้งจอก นกพิราบ หนอนหนังสือ กล้วย แพะ หมูสนาม แกะด า ซองขาว บ้านเล็ก ใบงานเรื่อง ค าที่มีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ค าสั่ง จงเติมความหมายโดยตรงและโดยนัยของค าที่ก าหนดให้ต่อไปนี้ ค า ความหมายโดยตรง ความหมายโดยนัย สุนัขจิ้งจอก นกพิราบ โอ่ง กล้วย แพะ หมูสนาม แกะด า ซองขาว บ้านเล็ก
ตัวอย่างแบบทดสอบ 5.ข้อใดมีค าที่ใช้ได้ทั้งความหมายโดยตรงและโดยนัยทุกค า ( o-net 61) 1.แก้ต่าง แก้เผ็ด 2. เอาชัย เอาถ่าน 3.คอขวด คอแข็ง 4. เข้ารีต เข้าฌาน 6.ข้อใดไม่มีความหมายโดยนัย ( o-net 62) 1.เธออย่านั่งกินที่ 2.ฉันชอบกินเส้นใหญ่ 3.เพลงนี้มีเนื้อหากินใจ 4.รถคันนี้กินน้ ามันมาก 7.ค าที่ขีดเส้นใต้ข้อใดมีความหมายโดยนัย ( o-net 61) 1.เธอทอดสะพานให้ชายหนุ่มเข้ามาจีบ 2.เขาทอดลูกเต๋าเพื่อเล่นเกมเศรษฐีมหาสนุก 3.ฉันทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อระดมเงินทุนเข้าวัด 4.ผมเตรียมท าทอดมันเพื่อท าบุญเลี้ยงพระเพล 8.ค าที่ขีดเส้นใต้ข้อใดมีความหมายโดยนัย ( o-net 63) 1.เสื้อผ้าตัวนี้เอาไปท าผ้าขี้ริ้วได้แล้ว 2.เขาเคยเป็นเศรษฐี แต่ตอนนี้กลายเป็นหมาขี้เรื้อน 3.สมัยโบราณใช้ขี้เลื่อยกลบน้ าแข็งช่วยให้ละลายช้า 4.วันนี้เวรเธอท าความสะอาด ดูเรื่องขี้ผงตรงซอกตู้ด้วยนะ 9.ค าที่ขีดเส้นใต้ในข้อใดมีความหมายทั้งโดยตรงและโดยนัย ( o-net 63) 1.รายการวันนี้ขอแนะน าดินแดนแห่งไข่มุกอันดามัน 2.ที่แห่งนี้มีธรรมชาติสวยงามดั่งสวรรค์ของนักท่องเที่ยว 3.นิทรรศการอาหารท้องถิ่นท าให้คนทั่วไปรู้จักภูมิหลังของภูเก็ต 4.นิทรรศการแสดงการอพยพของลูกหลานพญามังกรมายังภูเก็ต ตัวชี้วัด ม.3/3 ระบุใจความส าคัญและรายละเอียดของข้อมูลที่สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน ใบความรู้เรื่อง การอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความ คือ การอ่านที่มุ่งค้นหาสาระของเรื่องหรือของหนังสือแต่ละเล่มที่เป็นส่วนใจความ ส าคัญ และส่วนขยายใจความส าคัญของเรื่อง ข้อความหนึ่งย่อหน้าประกอบด้วย ๑. ประโยคใจความส าคัญหรือประโยคหลัก ที่สรุปความคิดของข้อเขียนตอนนั้นไว้ทั้งหมด ประโยค ท านองนี้จะอยู่ส่วนใดของย่อหน้าก็ได้ แต่ที่นิยมมากคือ อยู่ต้นหรือท้ายย่อหน้า อย่างไรก็ตามข้อเขียนบาง ย่อหน้าอาจไม่มีประโยคใจความส าคัญเลยก็ได้ ในกรณีนี้ผู้อ่านจะต้องสรุปใจความส าคัญเอง ๒. ประโยคขยายความ เป็นข้อความขยายสนับสนุนประโยคใจความส าคัญให้ชัดเจนขึ้นหลักการ พิจารณาหาใจความส าคัญ ๑. พิจารณาความทีละย่อหน้า ใจความส าคัญส่วนมากจะมีลักษณะเป็นประโยค ซึ่งอาจปรากฏอยู่ใน ส่วนใดส่วนหนึ่งของย่อหน้าก็ได้ ดังนี้
๑.๑ ประโยคที่อยู่ตอนต้นย่อหน้า เป็นจุดที่พบใจความส าคัญของเรื่องในแต่ละย่อหน้ามากที่สุด เพราะผู้เขียนมักบอกประเด็นส าคัญไว้ก่อน แล้วจึงขยายรายละเอียดให้ชัดเจน ในเกาะเกร็ดมีวัดและสถานที่ที่น่าศึกษามากมาย ส าหรับวัดในเกาะเกร็ดมีถึง ๖ วัด คือ วัดปรมัยยิกา วาส วัดไผ่ล้อม วัดเสาธงทอง วัดฉิมพลี วัดป่าเลไลยก์ และวัดศาลากุล นอกจากวัดแล้วยังมีเตา เครื่องปั้นดินเผาโบราณหลายเตา โรงปั้นกระถางและโรงปั้นครก ศูนย์ผลิตเครื่องปั้นดินเผา ใจความส าคัญ : ในเกาะเกร็ดมีวัดและสถานที่ที่น่าศึกษามากมาย ๑.๒ ประโยคที่อยู่ตอนท้ายย่อหน้า เป็นจุดที่พบใจความส าคัญของเรื่องในแต่ละย่อหน้ารองลงมา โดยผู้เขียนจะบอกรายละเอียดหรือประเด็นย่อยก่อน แล้วจึงสรุปด้วยประโยคที่เป็นประเด็นไว้ภายหลัง เมื่อขุดคลองลัดแม่น้ าเจ้าพระยาได้แล้ว เรียกคลองนี้ในสมัยนั้นว่า คลองเกร็ดน้อย ต่อมานิยมเรียกกัน ว่า คลองลัดเกร็ด ต้นคลองหรือปากคลองเรียกกันว่าปากเกร็ด ต่อมาคลองลัดเกร็ดได้ถูกความแรงของ กระแสน้ าตลิ่งพัง จนกว้างขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นแม่น้ าไป บริเวณที่ดินที่เป็นเกาะเกร็ดจึงมีลักษณะเป็นเกาะ เรียกกันว่า เกาะเกร็ด ใจความส าคัญ : บริเวณที่ดินที่เป็นเกาะเกร็ดมีลักษณะเป็นเกาะ เรียกกันว่า เกาะเกร็ด ๑.๓ ประโยคตอนกลางย่อหน้า เป็นจุดที่พบใจความส าคัญยากขึ้น ซึ่งผู้อ่านจะต้องใช้ความสังเกต และพิจารณาให้ดี ขณะนี้ไม่ว่าท่านจะอยู่ ณ ที่ใด ที่ในบ้าน บนรถไฟ รถเมล์ ในห้องท างาน บนสถานที่ราชการหรือ ที่ใดก็ตาม ท่านจะต้องใช้สายตา “อ่าน” อยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่ละเราต้องยกเว้นในกรณีที่ท่านตาบอด เพราะ ท่านย่อมจะอ่านหนังสือในเล่มนี้ไม่ได้แน่ ยกเว้นแต่จะมีใครอ่านให้ท่านฟัง ใจความส าคัญ : ท่านจะต้องใช้สายตา “อ่าน” อยู่ตลอดเวลา ๑.๔ ไม่ปรากฏในประโยคใดอย่างชัดเจน อาจอยู่ในหลายประโยคหรืออยู่รวม ๆ ในย่อหน้า ซึ่งผู้อ่าน จะต้องสรุปออกมาเอง นับเป็นการจับใจความส าคัญที่ยากกว่าอย่างอื่น อาจจะใช้วิธีการตั้งค าถามแล้วตอบ ตัวเองให้ได้ว่า ใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ท าไม ซึ่งจะท าให้มองเห็นส่วนที่เป็นประเด็นส าคัญ และ ส่วนที่เป็นประเด็นเสริม หรือการขยายความได้ง่ายขึ้น
ใบงานการสรุปใจความส าคัญ ใหน้กัเรียนอ่านขอ้ความแลว้สรุปใจความสา คญั ใหไ้ดข้อ้ความที่ถูกตอ้งชดัเจน ๑. ใจความส าคัญคือ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ........................................................................... ๒. ใจความส าคัญคือ .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ........................................................................... ชีวิตคือการต่อสู้นับต้งัแต่เกิดมามีชีวิต สัตวโ์ลกย่อมต่อสู้เพื่อการดา รงชีวิตให้ยืนยาวที่สุด มีท้งัสุขและทุกข์แต่ส่วนใหญ่มกัจะทุกขเ์สียมากกวา่เคยเห็นลูกนกยามที่แม่ไม่อยู่ตวัที่แข็งแรงกวา่จะท า ร้ายตวัที่อ่อนแอกวา่จนกระทงั่เบียดให้ตกมาจากรัง เพื่อจะไดไ้ม่มีใครแยง่อาหาร ชีวิตสัตวโ์ลกตอ้งดิ้น รนต่อสู้ต้งัแต่เกิด แมก้ระทงั่มนุษยเ์องก่อนที่จะถือกา เนิดมาจะมีสเปิร์มจากพ่อหลายร้อยลา้นตวัที่จะ ต่อสู้กนัเพื่อไปผสมกบัไข่ของแม่โดยมีเพียงตวัหน่ึงเท่าน้นัที่แข็งแรงที่สุดและเป็นผู้ชนะ ทารกแรกเกิด จะร้องอุแว้ๆ เหมือนกบัจะรู้วา่ต่อไปตอ้งเผชิญความทุกขต์อ้งต่อสู้และคงไม่สุขสบายเหมือนกบัที่อยใู่น ทอ้งแม่ การใช้ปลิงดูดเลือดเสียออกจากร่างกายของผู้ป่วยเป็นวิธีโบราณที่ชาวบายันเคยใช้กันอย่าง แพร่หลาย วิธีการในปัจจุบันคือ แพทย์จะใช้เข็มเจาะที่ผิวหนังส่วนที่ต้องการรักษาให้เป็นแผล (บริเวณที่มีเลือดเสีย) ปล่อยให้เลือดหยดสักเล็กน้อย แล้วน าปลิง (ที่เลี้ยงไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ 15 สายพันธุ์ไม่ใช่ปลิงทั่วๆ ไป) มาดูดเลือด ผู้ป่วยบางคนอาจบ าบัดด้วยวิธีนี้ครั้งเดียวโรคหาย แต่บาง คนต้องท าซ้ าอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลา 5-10 นาที เมื่อปลิงดูดเลือดจนอิ่มแล้วก็จะปล่อยตัว หลุดจากผิวหนังของผู้ป่วย ขณะดูดเลือดปลิงจะมี เอ็นไซม์” ชนิดหนึ่งในน้ าลายของมันเพื่อมิให้ เลือดแข็งตัว ขยายหลอดเลือดและท าให้รู้สึกชา โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วโลกนิยมใช้ปลิงบ าบัดส าหรับ ผู้ป่วยที่มีเลือดคั่งหลังการผ่าตัด
ตัวอย่างแบบทดสอบ 10.ข้อใดคือใจความส าคัญของข้อความต่อไปนี้(o-net 62) เกษตรกรรมทางเลือกเป็นการท าเกษตรที่หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เน้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ผสมผสานการปลุก พืชและเลี้ยงสัตว์ งดเว้นหรือลดการใช้สารเคมีให้น้อยลง ปัจจุบันมีความต้องการพืชผักปลอดสารพิษในกลุ่มผู้ รักสุขภาพ ท าให้เกษตรกรรมทางเลือกเป็นแนวทางที่เกษตรกรน่าจะอยู่รอดได้ 1.สารเคมีเป็นอันตรายต่อสุขภาพของทุกคน 2.เกษตรกรรทางเลือกช่วยให้เกษตรกรอยู่รอด 3.พืชผักปลอดสารพิษเป็นที่นิยมของผู้รักสุขภาพและคนทั่วไป 4.เกษตรกรรมทางเลือกเป็นการท าเกษตรที่งดเว้นหรือลดการใช้สารเคมี 11.ข้อใดสรุปใจความใจความส าคัญของข้อความต่อไปนี้ได้ถูกต้อง (o-net 63) 1) เหงื่อเป็นของเหลวที่ถูกขับออกตามผิวหนังเพื่อช่วยระบายความร้อนจากการท ากิจกรรมต่างๆ 2)ไม่ว่า จะเป็นการออกก าลังกาย การเดินหรือการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อน แม้แต่สภาวะเครียดก็ท าให้เกิดเหงื่อได้ เช่นกัน 3)เหงื่ออาจจะสร้างความร าคาญให้ใครหลายๆคน แต่รู้หรือไม่ว่า ข้อดีของเหงื่อประการหนึ่ง คือ ช่วย ท าให้ผิวของเราสะอาด 4)เนื่องจากเหงื่อจะช่วยขับสารพิษที่สะสมอยู่ในผิวหนัง ลดการเกิดผดผื่น สิว หรือ ปัญหาที่เกิดจากการติดเชื้อบริเวณผิวหนังได้ 1.เหงื่อเป็นของเหลวที่ถูกขับออกตามผิวหนัง 2.แม้เหงื่อจะน่าร าคาญ แต่ก็มีประโยชน์ต่อมนุษย์ 3.ข้อดีประการเดียวของเหงื่อคือช่วยท าให้ผิวของเราสะอาด 4.เหงื่อช่วยขับสารพิษและลดการติดเชื้อบริเวณผิวหนังเท่านั้น ม.3/4 อ่านเรื่องต่าง ๆแล้วเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก ย่อความและรายงาน 12.จากข้อความ ข้อ 11 ข้อความตอนใดไม่ต้องใช้ในการย่อความ (o-net 63) 1. ตอนที่ 1) 2. ตอนที่ 2) 3. ตอนที่ 3) 4. ตอนที่ 4)
ใบความรู้ เรื่องการเขียนแผนผังความคิด หรือแผนที่ความคิด(Mind Map) Mind Map คืออะไร ? Mind Map คือ การถ่ายทอดความคิด หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสมองลง กระดาษ โดยการใช้ภาพ สีเส้น และการโยงใย แทนการจดย่อแบบเดิมที่เป็นบรรทัดๆ เรียงจากบนลงล่าง ขณะเดียวกันมันก็ช่วยเป็นสื่อน าข้อมูลจากภายนอก เช่น หนังสือ ค าบรรยาย การประชุม ส่งเข้าสมองให้เก็บ รักษาไว้ได้ดีกว่าเดิม ซ้ ายังช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายเข้า เนื่องจะเห็นเป็นภาพรวม และเปิดโอกาส ให้สมองให้เชื่อมโยงต่อข้อมูลหรือ ความคิดต่าง ๆ เข้าหากันได้ง่ายกว่า “ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับ เรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่างความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน” ผังความคิด (Mind Map) “ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่างความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อยที่ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน” การสร้าง แผนที่ความคิด หรือ Mind Map ขั้นตอนการสร้าง Mind Map ๑. เขียน/วาดมโนทัศน์หลักตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ ๒. เขียน/วาดมโนทัศน์รองที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์หลักไปรอบ ๆ ๓. เขียน/วาดมโนทัศน์ย่อยที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์รองแตกออกไปเรื่อย ๆ ๔.. ใช้ภาพหรือสัญลักษณ์สื่อความหมายเป็นตัวแทนความคิดให้มากที่สุด ๕. เขียนค าส าคัญ (Key word) บนเส้นและเส้นต้องเชื่อมโยงกัน ๖. กรณีใช้สีทั้งมโนทัศน์รองและย่อยควรเป็นสีเดียวกัน ๗. คิดอย่างอิสระมากที่สุดขณะท า
วิธีการเขียน Mind Map โดยละเอียดอีกวิธีหนึ่ง ๑. เตรียมกระดาษเปล่าที่ไม่มีเส้นบรรทัดและวางกระดาษภาพแนวนอน ๒. วาดภาพสีหรือเขียนค าหรือข้อความที่สื่อหรือแสดงถึงเรื่องจะท า Mind Map กลาง หน้ากระดาษ โดยใช้สีอย่างน้อย 3 สีและต้องไม่ตีกรอบด้วยรูปทรงเรขาคณิต ๓. คิดถึงหัวเรื่องส าคัญที่เป็นส่วนประกอบของเรื่องที่ท า Mind Map โดยให้เขียนเป็นค า ที่มีลักษณะเป็น หน่วย หรือเป็นค าส าคัญ (Key Word) สั้น ๆ ที่มีความหมาย บนเส้น ซึ่งเส้นแต่ละเส้นจะต้องแตกออกมาจาก ศูนย์กลางไม่ควรเกิน 8 กิ่ง ๔. แตกความคิดของหัวเรื่องส าคัญแต่ละเรื่องในข้อ 3 ออกเป็นกิ่ง ๆ หลายกิ่ง โดยเขียนค าหรือวลีบนเส้น ที่แตกออกไป ลักษณะของกิ่งควรเอนไม่เกิน 60 องศา ๕. แตกความคิดรองลงไปที่เป็นส่วนประกอบของแต่ละกิ่ง ในข้อ 4 โดยเขียนค าหรือวลีเส้นที่แตกออกไป ซึ่งสามารถแตกความคิดออกไปเรื่อยๆ ๖. การเขียนค า ควรเขียนด้วยค าที่เป็นค าส าคัญ (Key Word) หรือค าหลัก หรือเป็นวลีที่มีความหมาย ชัดเจน ๗. ค า วลีสัญลักษณ์หรือรูปภาพใดที่ต้องการเน้น อาจใช้วิธีการท าให้เด่น เช่น การล้อมกรอบหรือใส่ กล่อง เป็นต้น ๘. ตกแต่ง Mind Map ที่เขียนด้วยความสนุกสนานทั้งภาพและแนวคิดที่เชื่อมโยงต่อกัน การน าไปใช้ ๑. ใช้ระดมพลังสมอง ๒. ใช้น าเสนอข้อมูล ๓. ใช้จัดระบบความคิดและช่วยความจ า ๔. ใช้วิเคราะห์เนื้อหาหรืองานต่าง ๆ ๕. ใช้สรุปหรือสร้างองค์ความรู้ (สรุปและสังเคราะห์โดยคณะท างาน KM กองวิจัย)
ม.3/5 วิเคราะห์วิจารณ์และประเมินเรื่องที่อ่านโดยใช้กลวิธีการเปรียบเทียบ เพื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจได้ดีขึ้น ม.3/6 ประเมินความถูกต้องของข้อมูล ที่ใช้สนับสนุนในเรื่องที่อ่าน ใบความรู้ เรื่องการอ่านเพื่อการวิเคราะห์วิจารณ์ การวิเคราะห์ เป็นการหาค าตอบว่า ข้อความ บทความ ที่อ่านนั้นให้ความรู้เรื่องอะไรบ้าง ข้อเขียนแสดง ความคิดเห็นและความรู้สึกอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพรวมและรายละเอียดของเรื่องที่อ่าน ช่วยให้เข้าใจ เรื่องนั้นได้อย่างแท้จริง รวมทั้งช่วยพัฒนาสติปัญญา เพราะต้องใช้เหตุผลในการอธิบายแง่มุมต่างๆ ซึ่งทักษะ ในการอ่านนี้สามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันและน าไปในการอ่านเพื่อการประเมินค่าต่อไปได้ การวิจารณ์พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายไว้สองความหมาย คือ ความหมายที่ ๑ เป็นการให้ค าตัดสินสิ่งที่เป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรม โดยผู้มีความรู้เชื่อถือได้ว่ามีความ งาม ความไพเราะเพียงใดหรือมีข้อขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง เช่น วิจารณ์ว่าหนังสือเล่มนี้สะท้อนปัญหา สังคมในปัจจุบันได้ดีมาก สมควรได้รับรางวัล ความหมายที่ ๒ เป็นการติชมในความหมายโดยทั่วไปมักใช้ค าว่า วิพากษ์วิจารณ์ เช่น ผู้ชมมัก วิพากษ์วิจารณ์ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ด าเนินเรื่องช้าท าให้ผู้ชมเบื่อ เป็นต้น การวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดี วรรณคดี หมายถึง หนังสือที่แต่งดีด้วยเนื้อเรื่องและศิลปะในการประพันธ์ ท าให้ผู้อ่านนั้นได้รับ ความเพลิดเพลินในการอ่าน ได้ความรู้ เห็นสภาพชีวิตของคนในสังคม ซึ่งงานประพันธ์ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นวรรณคดีนั้นมีทั้งที่แต่งเป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง วรรณกรรม หมายถึง หนังสือทั่วๆไปทุกชนิดทุกประเภท มีความหมายรวมถึงจุล สาร วารสาร ปาฐกถา เทศนา สุนทรพจน์ด้วย “วรรณกรรม” จึงมีความหมายกว้างกว่า “วรรณคดี” ขั้นตอนการวิเคราะห์วิจารณ์ มีขั้นตอนดังนี้ ๑ หาความรู้เกี่ยวกับประเภทและลักษณะของหนังสือนั้นๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ๒ อ่านหนังสือเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วน หาแนวคิดหลักหรือแก่นของเรื่องที่ผู้เขียนตั้งใจจะสื่อถึงผู้อ่าน ๓ หาความรู้และข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่อ่านให้มากที่สุดเพื่อให้เข้าใจเรื่องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๔ ตั้งค าถามเกี่ยวกับองค์ประกอบหรือข้อเท็จจริงในเรื่องแล้วพยายามหาค าตอบให้ได้ ๕ ฝึกตั้งค าถามเชิงคาดคะเนเหตุการณ์ที่อ่านโดยมีเหตุผลประกอบ ๖ เรียงล าดับความส าคัญของประเด็นต่างๆ ที่คิดว่าเป็นประเด็นส าคัญและจ าเป็นต้องน ามากล่าวในค า วิจารณ์ ๗ แยกแยะข้อดีและข้อบกพร่องที่ควรน ามากล่าวถึง ๘ จัดล าดับประเด็นที่จ าเป็นต้องวิจารณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อชี้ให้ผู้อ่านเห็นจุดดีและจุดที่ควรปรับปรุง แก้ไขโดยมีเหตุผลหรือข้อมูลประกอบ หลักการวิเคราะห์วิจารณ์จากการอ่าน ๑ พิจารณารูปแบบการประพันธ์ ๒ ศึกษาประวัติผู้แต่ง ๓ พิจารณาองค์ประกอบของเรื่องว่าสอดคล้องเหมาะสมกันหรือขัดแย้งกัน ๔ พิจารณาเนื้อหา ๕ พิจารณาแก่นเรื่อง ๖ การวิจารณ์สรุปด้วยความคิดเห็นของผู้วิจารณ์เอง
อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบค าถามข้อ 13 และข้อ 14 (o-net 62) 1) ข้าวย าเป็นอาหารท้องถิ่นทางภาคใต้ ที่น าข้าวมาคลุกรวมกับเครื่องปรุงและผัก 2) โดยเครื่องปรุงจะ ประกอบด้วย กุ้งแห้งป่นมะพร้าวคั่วและน้ าบูดู 3)ส่วนผัก ได้แก่ ถั่วฝักยาว ถั่วงอก ถั่วพู ตะไคร้และใบยอ เช่นเดียวกับข้าวคลุกกะปิของภาคกลาง 4) แต่ชาวใต้จะนิยมน าสีจากพืช ดังเช่นสีเขียวจากใบเตยมาหุงข้าว เพื่อให้ข้าวมีสีสันน่ารับประทาน 13.ข้อความตอนใดแสดงการเปรียบเทียบ 1. ตอนที่ 1) 2. ตอนที่ 2) 3. ตอนที่ 3) 4. ตอนที่ 4) 14.ข้อความข้างต้นแสดงคุณค่าด้านใดอย่างเด่นชัด 1. ความรู้ 2.ความบันเทิง 3. ความคิดเห็น 4.ความจรรโลงใจ อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบค าถามข้อ 15 และข้อ 16 (o-net 63) 1) สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นอัตราส่วนอย่างน้อยร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดในสังคม 2) ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 3)สถานการณ์นี้เป็นผลมาจากอัตราการเกิดและอัตราการตายของประชากร ลดลง ท าให้สัดส่วนประชากรของไทยเป็นรูปพีระมิดคว่ า 4) ประเทศไทยเป็นประเทศก าลังพัฒนาเพียงไม่กี่ ประเทศที่อยู่ในกลุ่มสังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากประเทศที่อยู่ในกลุ่มสังคมผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนา แล้ว 15.ข้อความตอนใดใช้กลวิธีการเปรียบเทียบ 1. ตอนที่ 1) 2. ตอนที่ 2) 3. ตอนที่ 3) 4. ตอนที่ 4) 16.ข้อความข้างต้นน่าเชื่อถือตามข้อใด 1. ให้เหตุผลชัดเจน 2. มีหลักฐานอ้างอิง 3. แสดงความคิดเห็นน่าสนใจ 4. โน้มน้าวให้ผู้อ่านคิดเห็นโต้แย้ง
ม.3/7 วิจารณ์ความสมเหตุสมผล การล าดับความและความเป็นไปได้ของเรื่อง ม.3/8 วิเคราะห์เพื่อแสดงความคิดเห็นโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ใบความรู้ เรื่อง การอภิปรายแสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ************************************************************************* การอภิปราย คือ การร่วมกันแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง รวมไปถึงการพูดให้ความรู้ข้อมูลใหม่ด้วย การอภิปรายที่ได้ยินกันบ่อยปัจจุบัน เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล การอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ เป็นต้น วัตถุประสงค์ของการอภิปราย ๑. เพื่อหาข้อเท็จจริง ๒. เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็น ๓. เพื่อวัดและตรวจสอบทิศทางหรือความรู้สึกของสมาชิกของสังคมหรือกลุ่มต่อ เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็น ประเด็นสนใจ ๔. เพื่อกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดความสนใจและเรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นปัญหา ๕. เพื่อน าข้อมูลความรู้และความคิดเห็นไปประกอบการตัดสินใจ ๖. เพื่อแก้ปัญหาและหาทางออกร่วมกันของกลุ่ม การแสดงความคิดเห็น คือ การแสดงความรู้สึก ความเห็นของตนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง จาก การอ่าน การดู การฟัง เป็นการพูดที่ผู้พูดต้องพูดอย่างมีเหตุมีผล การโต้แย้ง คือ การแสดงทรรศนะที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล ๒ ฝ่าย แต่ละฝ่ายจะต้อง พยายาม หาหลักฐาน ข้อมูล เหตุผล มาสนับสนุนทรรศนะของตนให้น่าเชื่อถือ ทั้งคัดค้าน ทรรศนะของอีกฝ่ายหนึ่ง การอภิปราย แสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ประกอบด้วย ข้อความส าคัญของเรื่องที่อ่าน คือ การน าใจความส าคัญจากเรื่องที่อ่านมาแสดงให้ผู้รับสารได้เข้าถึงความ เป็นมาของเรื่องได้อย่างครบถ้วน ข้อสนับสนุน คือ การอธิบายหลักการและเหตุผลประกอบตามความเป็นจริงพร้อมด้วยการเปรียบเทียบ หรือ อาจท าข้อสรุปการอภิปรายของผู้อื่นมาประกอบเหตุผล ชี้แจง และสนับสนุน ซึ่งมีทั้งความคิดเห็นที่คล้อย ตาม เรื่องที่อ่านและข้อโต้แย้งที่ไม่เห็นด้วย ข้อสรุป คือ การชี้ให้เห็นถึงเรื่องส าคัญในการอภิปรายว่าเป็นการยอมรับหรือโต้แย้งด้วยการใช้ถ้อยค าที่มี ความหมายลึกซึ้งเพื่อโน้มน้าวใจให้ผู้รับสารยอมรับและปฏิบัติตาม
ใบงานเรื่อง การวิเคราะห์ความสมเหตุสมผล เรื่อง การวิจารณ์ความสมเหตุสมผลและประเมินความถูกต้องของเรื่องที่อ่าน คุณติดคุก ครั้งนี้ ชั่วชีวิต คุณท าผิด คิดรัก ตัวอักษร คุณถูกขัง ตั้งแต่เช้า จนเข้านอน คุณวิงวอน ไม่ยอมให้ ใครประกัน คุกหนังสือ คือโซ่ทอง ที่คล้องล่าม คุกหนังสือ คือความงาม แห่งความฝัน คุกหนังสือ คือดนตรี กล่อมชีวัน คุกหนังสือ คือความฝัน กักกันคุณ (แคน สังคีต) ค าถามเพื่อการวิเคราะห์ความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้และความถูกต้องของเรื่องที่อ่าน 1. บทร้อยกรองเรื่องนี้ควรตั้งชื่อว่าอะไร ............................................................................................................................. ................................................. ......................................................................................................................................................................... ..... 2. บทร้อยกรองนี้มีเนื้อหาโดยสรุปว่าอย่างไร .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 3. แคน สังคีต ผู้เขียนบทร้อยกรองนี้ประกอบอาชีพอะไร ............................................................................................................................. ................................................. ..................................................................................................................................... ......................................... 4. นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่ว่าผู้เขียนเหมือนคนติดคุก เพราะเหตุใด ................................................................................................................................................. ............................. .............................................................................................................................................................................. 5. ผู้อ่านได้ข้อคิดอะไรจากบทร้อยกรองนี้ ............................................................................................................................. ................................................. ..............................................................................................................................................................................
ตัวอย่างแบบทดสอบ (o-net 63) อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบค าถามข้อ 17 และข้อ 18 ดีดีทีเป็นยาฆ่าแมลงที่นิยมใช้มากในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อควบคุมโรคมาลาเรียที่มียุงเป็น พาหะ ประสิทธิภาพของดีดีทีท าให้เกิดความนิยมใช้ในการจ ากัดแมลงศัตรูพืชด้วย อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1962 นักชีววิทยาชาวอเมริกัน ราเชล คาร์สัน เขียนหนังสือเกี่ยวกับผลกระทบของพิษดีดีทีต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์และท าให้สัตว์ป่าหลายชนิดโดยเฉพาะนก เช่น อินทรีหัวขาวมี จ านวนลดลงจนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ อิทธิพลของหนังสือดังกล่าวท าให้เกิดการศึกษาวิจัยสืบเนื่องจนมีการ รณรงค์ให้ยกเลิกการใช้ดีดีที และเกิดอนุสัญญาสต็อกโฮล์มที่ห้ามการใช้ดีดีทีทั่วโลกในปี ค.ศ. 2001 17.บุคคลใดแสดงความคิดเห็นได้สมเหตุสมผลตามประเด็นส าคัญของข้อความข้างต้น 1.ปู่บอกว่าเรื่องนี้ดี แต่มะเร็งอาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ดีดีทีก็ได้ 2.ย่าบอกว่าเรื่องนี้ดี เพราะท าให้เห็นถึงความรุนแรงของโรคมาลาเรียที่ย่าเคยป่วยในสมัยเด็ก 3.ตาบอกว่าเรื่องนี้ดีมากๆ เพราะช่วยให้นึกถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตาเคยเผชิญมาในวัยเด็ก 4.ยายบอกว่าเรื่องนี้ดี เพราะท าให้รู้ว่าพิษดีดีทีมีผลต่อสิ่งมีชีวิตหลายชนิดไม่เฉพาะกับแมลงเท่านั้น 18.บุคคลใดแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับข้อความข้างต้น 1.น้องบอกว่าดีดีทีช่วยก าจัดแมลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่จ าเป็นต้องเลิกใช้ 2.พ่อบอกว่าดีดีทีช่วยในการก าจัดแมลงได้ดีแต่มีผลกระทบต่อสัตว์นานาชนิดด้วย 3.แม่บอกว่า ราเชล คาร์สันไม่เห็นด้วยกับการใช้ดีดีที เพราะพบว่าสารนี้เป็นพิษต่อนกอินทรี 4.พี่บอกว่าอนุสัญญาสต็อกโฮล์มห้ามใช้ดีดีทีในทุกประเทศทั่วโลก เนื่องจากพิษมีผลในวงกว้าง อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบค าถามข้อ 19 (o-net 61) ผักและผลไม้สดจะมีเอนไซม์ที่เป็นตัวช่วยในการย่อยอาหารให้โมเลกุลที่เล็กที่สุดเข้าสู่กระเลือดไปใช้ ประโยชน์ในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และเร่งปฏิกิริยาการย่อยอาหารให้สมบูรณ์ เอนไซม์หลาย ชนิดเป็นเอนไซม์ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ จึงต้องได้รับจากการรับประทานผัก ผลไม้เท่านั้น เอนไซม์ บางชนิดยังช่วยเปลี่ยนอนุมูลอิสระเป็นน้ าและออกซิเจน บางชนิดช่วยเผาผลาญพลังงาน สลายไขมันและ ก าจัดสารพิษในร่างกาย 19.ข้อใดกล่าวโต้แย้งกับข้อความข้างต้น 1.ร่างกายสร้างเอนไซม์ได้ไม่ดีเท่าผักและผลไม้สด 2.ผักและผลไม้สดอาจช่วยบรรเทาอาการท้องอืดจากอาหารไม่ย่อยได้ 3.หากต้องการให้ระบบการย่อยอาหารดีควรรับประทานผักและผลไม้สด 4.เอนไซม์จากผักและผลไม้สดท าหน้าที่ก าจัดสารพิษในร่างกายได้เท่านั้น
อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบค าถามข้อ 20 (o-net 61) คนไทยไม่ค่อยใส่ใจการเลือกใช้เกลือในการปรุงอาหารโดยไม่รู้ว่าเกลือธรรมชาติกับเกลือที่พ่นไอโอดีนมี รสชาติแตกต่างกัน เกลือที่พ่นไอโอดีนมากเกินไปจะท าให้อาหารมีรสขม แปร่งปร่า และขื่น เสียรสชาติของ เครื่องปรุงตามธรรมชาติไป 20.จากข้อความข้างต้นข้อใดเป็นการโต้แย้งที่ไม่สมเหตุสมผล 1.เกลือชนิดใดก็ใช้ท าอาหารได้ทั้งนั้นเพราะเกลือก็คือเกลือ 2.คนชอบอาหารร้านนี้เพราะใช้เกลือธรรมชาติปรุงอาหาร 3.เกลือที่พ่นไอโอดีนไม่ได้รับความนิยมเพราะท าให้อาหารไม่อร่อย 4.คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าไอโอดีนมีผลต่อรสชาติของอาหารเพราะขาดข้อมูล อ่านบทสนทนาต่อไปนี้ แล้วตอบค าถามข้อ 21 (o-net 63) นักเรียน 1 แสดงความคิดเห็น การวาดรูปของนักเรียน 2 ดังนี้ นักเรียน 1 : ไม่ไหว ไม่ไหว วาดแบบนี้ใช้ไม่ได้ รถดับเพลิงคันนี้มันเหมือนรถดับเพลิงจริงๆมากเกินไป นักเรียน 2 : วาดให้เหมือนของจริงไม่ได้หรือ นักเรียน 1 : การวาดให้เหมือนของจริงใครๆก็ท าได้ ถ้าฉันจะวาดรถดับเพลิง ฉันคงจะวาดให้เหมือนซาลาเปา สีแดงมากกว่า นักเรียน 2 : แล้วท าไมต้องเป็นอย่างนั้นด้วยล่ะ นักเรียน 1 : ท าไมน่ะหรือ ก็เพราะการวาดแต่สิ่งที่ตามองเห็น จะไม่มีค่าอะไรเลยน่ะสิ รูปที่ดีก็คือ รูปที่วาดใน สิ่งที่ใจมองเห็นต่างหาก 21.ข้อใดกล่าวโต้แย้งกับบทสนทนาข้างต้น 1.การวาดรูปให้ดีต้องวาดให้เหมือนจริง และมองเห็นชัดเจน 2.การวาดรูปให้เหมือนของจริงมากๆเป็นสิ่งที่ทุกคนท าได้ 3.รูปที่วาดจะมีคุณค่าสูงขึ้น ต้องวาดตามที่ใจของผู้วาดมองเห็น 4.ผู้วาดรูปที่พยายามวาดรูปให้เหมือนของจริงเป็นการวาดรูปตามที่ตามองเห็น 22.บทสนทนาข้างต้นสนับสนุนเรื่องใด 1. พัฒนาการ 2. นันทนาการ 3. จินตนาการ 4. ศิลปวิทยาการ
ม.3/9 ตีความและประเมินคุณค่าแนวคิดที่ได้จากงานเขียนอย่างหลากหลาย เพื่อน าไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง การอ่านตีความ การอ่านตีความ เป็นการอ่านเพื่อหาความหมายที่ซ่อนเร้น หรือหาความหมายที่แท้จริงของสารโดย พิจารณาข้อความที่อ่านว่าผู้เขียนมีเจตนาหรือมีจุดมุ่งหมายให้ผู้อ่านเกิดความคิดหรือความรู้อะไร นอกเหนือไปจากการรู้เรื่อง. การอ่านตีความต้องอาศัยความรู้ประสบการณ์เดิมและความสามารถใน การแปลความ จับใจความส าคัญ และสรุปความได้. ความส าคัญของการอ่านตีความ 1.ช่วยให้ผู้อ่าน เข้าใจเรื่องที่อ่านได้หลายด้านหลายมุม 2.ท าให้เห็นคุณค่า และได้รับประโยชน์จากสิ่งที่อ่าน 3.ช่วยฝึกการคิด ไตร่ตรองหาเหตุผล 4.ท าให้มีวิจารณญาณในการอ่าน ประเภทของการอ่านตีความ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. ตีความตามเนื้อหา คือน าข้อความจากเนื้อหามาตีความว่าหมายถึงอะไร เช่น แสงสว่าง หมายถึง ปัญญา สีแดงหมายถึงความร้อนแรง ดอกบัวหมายถึงความงาม เป็นต้น 2. ตีความตามน้ าเสียง หรือตามเจตนาของผู้เขียน คือเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้วต้องรู้ว่าผู้เขียนมี เจตนาหรือจุดมุ่งหมายใด ความรู้เกี่ยวกับการอ่านตีความ 1.เสียง (ค า) และความหมาย เสียงของค าที่แตกต่างกัน ย่อมสื่อความหมายที่แตกต่างกัน 2.โวหารภาพพจน์ผู้อ่านต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องภาพพจน์ซึ่งจะช่วยให้การอ่านตีความ มีความกว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น ภาพพจน์อุปมา อุปลักษณ์นามนัย อธิพจน์บุคลาธิษฐาน เป็นต้น 3.สัญลักษณ์หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมักจะเป็นรูปธรรม ที่เป็นเครื่องแทนนามธรรม เช่น ดอกไม้ แทนหญิงงาม พระเพลิงแทนความร้องแรง ฯลฯ 4.พื้นหลังของ เหตุการณ์คือ ความเป็นไปในสมัยที่งานเขียนเรื่องนั้นได้แต่งขึ้น รวมถึงลัทธิความ เชื่อ สภาพภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์ประวัติศาสตร์เป็นต้น 5.ความรู้อื่น ๆ ได้แก่ความรู้เกี่ยวกับประวัติผู้แต่ง ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์จิตวิทยา ปรัชญา ศาสนา เป็นต้น 6.องค์ประกอบอื่นๆที่ท า ให้การอ่านตีความแตกต่างกัน ได้แก่ความสนใจ ประสบการณ์จินตนาการ เจตคติระดับสติปัญญา ความรู้และวัย เป็นต้น 7.เกณฑ์การพิจารณา การอ่านตีความ การตีความงานเขียน ความผิดถูกไม่ใช่เรื่องส าคัญ อยู่ที่มี ความลึกซึ้งกว้างขวางและมีความสมเหตุสมผล ตัวอย่างการตีความ 1 “แม้เราได้ทุกอย่างดั่งที่คิด สิ้นชีวิตจะเอาของกองที่ไหน ได้อย่างเสียอย่างช่างปะไร ขอเพียงใจสงบสบสุขเทอญ” ตีความตามเนื้อหา “ถ้าได้อะไรตามที่ใจเราคิดหรืออยากได้ข้าวของต่างๆก็จะเต็มไปหมด เพราะตาย แล้วเอาอะไรไปไม่ได้”
ตีความตามน้ าเสียงหรือตามเจตนาของผู้เขียน “ให้พอใจในสิ่งที่ตนเป็นและมีอยู่ ” ตัวอย่างการตีความ 2 “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย” ตีความตามเนื้อหา “มีคนสองคน มองเข้าไปตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนหนึ่งมองเห็น ดวงดาวมากมาย” ตีความตามน้ าเสียงหรือตามเจตนาของผู้เขียน “คนสองคนอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หรือมองเห็นสิ่งเดียวกัน คนหนึ่งเห็นว่าสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่า แต่อีกคนหนึ่งมองเห็นช่องทางที่จะน าสิ่งนั้นมาใช้ประโยชน์สร้างคุณค่าและความส าเร็จแก่ตนได้” ที่มาจาก : http://gold.rajabhat.edu/learn/luis/w_louis/readhit.htm ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง ความหมายและความส าคัญของการอ่านตีความ ความหมาย การอ่านตีความ หมายถึง การอ่านเพื่อให้เข้าใจความหมาย ความคิดส าคัญของ เรื่อง ความรู้สึก และอารมณ์ สะเทือนใจจากบทประพันธ์ ซึ่งอาจเข้าใจได้มากน้อยลึกซึ้งเพียงใด ตรงกันกับผู้ประพันธ์หรือไม่ หรือผู้อ่านคน อื่น ๆ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถและ ประสบการณ์เดิมและความรู้สึกของผู้อ่านแต่ละคน การตีความของ ทุกคนอาจไม่ตรงกันเสมอ ไป โดยในกระบวนการอ่านเพื่อตีความนั้นผู้อ่านจะต้องใช้ความรู้ ความสามารถใน การแปลความ จับใจความส าคัญ การสรุปความ รวมทั้งการเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ของข้อความ ความส าคัญของการอ่านตีความ การอ่านตีความเป็นการอ่านที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ประสบการณ์ การสังเกต และ การวิเคราะห์ ของผู้อ่าน การอ่านตีความเป็นการอ่านขั้นส าคัญที่ท าให้เข้าใจงานเขียนทุกชนิด การอ่าน ตีความจึงมีความส าคัญ ดังนี้ ๑. ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาสาระของเรื่องที่อ่านได้หลายแง่หลายมุม ๒. ช่วยให้เห็นคุณค่าของวรรณกรรมอันมีผลเกี่ยวโยงถึงคุณค่าของชีวิตและสิ่งแวดล้อม ๓. การอ่านตีความช่วยให้เกิดการฝึกคิด ฝึกไตร่ตรองเหตุผล เป็นผลให้ผู้อ่านมีความละเอียด ถี่ถ้วนและมี วิจารณญาณในการอ่านมากยิ่งขึ้น ๔. การอ่านตีความเป็นเครื่องมือส าคัญในการเข้าถึงงานประพันธ์นั้น ๆ ๕. การอ่านตีความช่วยให้ผู้อ่านมีโลกทัศน์ที่กว้างไกล ลึกซึ้ง มีใจกว้างยอมรับความแตกต่าง ของมนุษย์ ด้วยกันได้
ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง สิ่งที่ต้องค านึงถึงในการอ่านตีความ และลักษณะของข้อเขียนที่ต้องใช้การอ่านแบบตีความ สิ่งที่ควรค านึงในการอ่านตีความ การอ่านเพื่อการตีความควรค านึงสิ่งส าคัญต่อไปนี้ ๑. ความเข้าใจจุดประสงค์หรือเจตนารมณ์ของผู้เขียนและความหมายของสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนการแสดงเจตนา ของผู้เขียนนั้นมีทั้งแสดงไว้ โดยชัดเจนและโดยซ่อนเร้น การแสดงเจตนา โดยชัดเจน ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ ทันที โดยไม่ต้องใช้ความคิด พิจารณามากมายนัก การแสดง เจตนาโดยซ่อนเร้น คือ ไม่บอกเจตนาตรง ๆ กล่าวถึงเรื่องหนึ่งแต่ มีความหมายถึงสิ่งหนึ่งก็ได้ การเข้าใจความหมายของ เจตนาดังกล่าว ผู้อ่านจะต้องมี ความรู้ความเข้าใจ และเข้าถึง ความหมายของค าและข้อความนั้น ๆ เสียก่อน ๒. แนวคิดส าคัญที่ได้จากการอ่านที่ผู้เขียนอาจเสนออย่างจงใจหรือไม่จงใจก็ได้ การ ค้นหาสารเป็นขั้นตอน ส าคัญในการเข้าถึงเรื่องที่อ่าน ซึ่งผู้อ่านต้องมีความรู้ ความสามารถในการ อ่านและเข้าใจโครงสร้างของงาน ประพันธ์แต่ละประเภทให้ชัดเจน การค้นหาสาร าส าคัญมิใช่การแปลความหมายของถ้อยค าอย่าง ตรงไปตรงมาเท่านั้น แต่ต้องจับเนื้อความให้ได้ครบถ้วน แยกแยะ ส่วนที่เป็นความรู้ความคิด และความรู้สึก ส่วนใดส าคัญ ส่วนใดส าคัญ รองลงมา รวมทั้งเสียงของค า มีท่วงท านอง ล าน า และจังหวะเป็นอย่างไร ๓. น้ าเสียงของผู้เขียนและสีสันบรรยากาศในการเขียน ซึ่งอาจเป็นน้ าเสียงแสดงอารมณ์ขัน ล้อเลียน น้ าเสียง อ่อนโยน นุ่มนวล น้ าเสียงประชดประชัน เสียดสี เยาะเย้ย น้ าเสียงโกรธ เกรี้ยว แสดงอารมณ์ร้อนแรง น้ าเสียง โศกเศร้า สลดหดหู่ ว้าเหว่ น้ าเสียงปลุกเร้าใจ น้ าเสียง เสียดาย อาลัยอาวรณ์ น้ าเสียงชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญ และน้ าเสียงจริงจัง เคร่งขรึม ซึ่งบางครั้งในงานเขียนเดียวกันอาจจะ มีน้ าเสียงหลายลักษณะปะปนกัน ลักษณะของข้อเขียนที่ต้องใช้การอ่านแบบตีความ ๑. เป็นข้อเขียนที่ใช้ค าที่มีความหมายโดยนัย หรือความหมายแฝง ซึ่งหมายถึงความหมาย ในเชิงเปรียบเทียบ หรือความหมายที่ชักน าความคิดให้เกี่ยวโยงไปถึงสิ่งอื่น ๒. เป็นข้อเขียนที่มีการเปรียบเทียบ หรือใช้โวหารเชิงเปรียบเทียบ ๓. เป็นข้อเขียนที่ใช้สัญลักษณ์ หมายถึงข้อเขียนที่ผู้เขียนกล่าวถึงสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง
แบบฝึกทักษะที่ 1 การอ่านตีความ ค าชี้แจง ให้นักเรียนอ่านข้อความแล้วตอบค าถามต่อไปนี้ (๑๐ คะแนน) มีมติให้ปีพุทธศักราชสองห้าหนึ่งแปดประกาศรับนับถือ เป็นปีหญิงระหว่างประเทศ เหตุผล คือ ต้องการ ความร่วมมือเพื่อช่วยกัน ทั้งบุรุษสตรีอิตถีเพศทุกประเทศทั่วโลกร่วม สร้างสรรค์ ยกระดับเพศหญิงสิ่งส าคัญ เสมอภาคเทียมทันเท่าเพศชาย ช่วยส่งเสริมสนับสนุน ให้สตรีมีบทบาทเต็มที่คือเป้าหมาย ชี้ให้เห็นคุณค่าน่า เสียดายประโยชน์อันมากมายของสตรีแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยจ ากัดขอบเขตของหน้าที่ หากเปลี่ยน ค่านิยมใหม่ได้ผลดีหญิง อาจมีค่าล้นเพราะผลงาน ถ้ามาตรแม้นสตรีมีโอกาสแสดงความสามารถในหลายด้าน มีหน้าทีมีสิทธิ์ร่วมกิจการช่วยประสานประโยชน์ให้ ในสังคม ๑. ข้อความนี้มีเจตนารมณ์อย่างไร .................................................................................. ……….…………….……………..................... ............................................................................................................................. ................... ๒. การเลือกปฏิบัติ มีความหมายว่าอย่างไร …………….…………………………………………….…………………………………………………………………….. ........................................................................................................................................... ....... ๓. วรรคที่ว่า “ต้องการความร่วมมือเพื่อช่วยกัน” มีความหมายว่าอย่างไร ……… …….…………….…………….…………….…………….………..................................................... ............................................................................................................................. ................... ๔. นักเรียนได้ข้อคิดส าคัญว่าอย่างไรจากข้อความข้างบนนี้ …………............................................................................ ….…………….…………….……………. ............................................................................................................................. ................. ๕. สรุปใจความของข้อความนี้ได้ว่าอย่างไร …………….…………….…………….……………............................................................................ ............................................................................................................................. ................
แบบฝึกทักษะที่ 2 การอ่านตีความ ค าชี้แจง ให้นักเรียนอ่านข้อความแล้วตอบค าถามต่อไปนี้ (๑๐ คะแนน) บางสิ่งมีค่าโดยไม่มีราคาและบางสิ่งมีราคาโดยไม่มีค่า แต่ทั้ง ค่า และ ราคา ล้วนแต่ เป็นค าที่โลกสมมุติ ขึ้น จะต่างกันก็ตรงที่ว่า เมื่อพูดถึง ราคา เราสัมผัสหรือวัดด้วยเงิน แต่เมื่อ พูดถึง ค่า เราวัดและสัมผัสมันด้วย ใจ ด้วยความความรู้สึก บางครั้งดอกไม้เล็ก ๆ ริมทาง หรือ น้ าเย็น ๆ สักขันที่หยิบยื่นด้วยใจ ก็เป็นสิ่งที่มีค่าต่อ ผู้รับอย่างประมาณมิได้ แม้มันจะไม่มีราคา ค่างวด ตรงกันข้ามสุรานอกจิบละสองหมื่นขวดละสองแสนอย่างที่ เคยเป็นข่าว แม้จะมีราคาสูง ยิ่งแต่ก็มิแน่ใจว่ามันจะเปี่ยมด้วย ค่า ที่สัมผัสได้สักเสี้ยวหนึ่งของน้ าเย็นหนึ่งขันที่ ไม่มีราคานั้น ในสังคมที่วัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วย ราคา เราจะ พบว่าบุคคลที่มีราคาโดยไม่มีค่า และ บุคคลที่มีค่าโดยไม่มีราคานั้นมีให้เห็นได้กลาดเกลื่อน จะเจ็บปวดอยู่บ้างก็ตรงคนที่มีราคา นั้นเป็นที่ยอมรับ มากกว่าคนที่มีค่า คนที่มีความรู้สูง ๆ ชนิดที่สามารถขายความรู้ความช านาญ ได้ในราคาดีเป็นเงินเดือนเรือน หมื่นเรือนแสน เป็นที่ชื่นชมอยากจะเอาอย่างกัน โดยไม่มีค าถามว่าความรู้ราคาแพงหรือผลงานราคาแพง เหล่านั้นท าให้คนผู้นั้นมี ค่า ได้จริงหรือไม่ ในขณะเดียวกันบุคคลที่มีค่าแต่ไม่มีราคา เพราะไม่เคยขายความคิด หรือหลักการ แม้จะมีผู้พยายามซื้ออยู่ตลอดเวลาก็ตามนั้น เป็นบุคคลที่สังคมเราตระหนักถึงมากน้อยแค่ไหน ในเมื่อค่า ในยุคสมัยนี้สับสนปนเปวัด ค่า ด้วยราคาของเงินทั้งนั้น ๑. ข้อเขียนนี้เป็นข้อความลักษณะใด................................................. ๒. หลักเกณฑ์การวัด ค่าของคนของผู้เขียนคืออะไร............................ ๓. ผู้เขียนมีน้ าเสียงเช่นไรเมื่อพูดถึงคนที่มีค่าแต่สังคมไม่ยอมรับ............................ ๔. นักเรียนคิดว่าทรรศนะของผู้เขียนน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร..................................................... ๕. ผู้เขียนเสนอทรรศนะเกี่ยวกับอะไร .................................................... สาระที่ 2 การเขียน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราว ในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัด ม.1/2 เขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยค าถูกต้องชัดเจน เหมาะสม และสละสลวย ม.2/2 เขียนบรรยายและพรรณนา ม.2/3 เขียนเรียงความ ม.2/6 เขียนจดหมายกิจธุระ
ม.3/4 เขียนย่อความ ม.3/6 เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น และโต้แย้งอย่างมีเหตุผล ม.3/7 เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งในเรื่องต่างๆ เนื้อหา ม.1/2 เขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยค าถูกต้องชัดเจน เหมาะสม และสละสลวย ใบความรู้ที่ 1 เรื่ององค์ประกอบของการสื่อสาร การสื่อสารแต่ละครั้งจะสมบูรณ์และประสบความส าเร็จเมื่อมีองค์ประกอบ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. ผู้ส่งสาร คือ ผู้พูด เขียน หรือแสดง เพื่อถ่ายทอดเรื่องราว จะต้องเรียบเรียงให้ชัดเจนและเหมาะสมกับ ผู้รับสาร ๒. สาร คือ ข้อความที่ส่งไปถึงผู้รับสาร ต้องสมบูรณ์และสื่อความหมายชัดเจน ๓. สื่อ คือ ตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดสาร เช่น คลื่นเสียง กระดาษ สายโทรศัพท์ ๔. ผู้รับสาร คือ ผู้ฟัง อ่าน หรือรับชมข้อความ ต้องจับประเด็นและพิจารณาสารเพื่อตอบสนองได้ตรงตาม จุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร การแยกองค์ประกอบของการสื่อสารตามสถานการณ์ พิจารณาสถานการณ์แล้ววิเคราะห์องค์ประกอบ ๔ ประการ เช่น “ฉันโทรศัพท์หาแม่” แยกองค์ประกอบได้ว่า ผู้ส่งสาร คือ ฉัน, สาร คือ ค าพูด, สื่อ คือ โทรศัพท์, ผู้รับสาร คือ แม่ ภาษาในการสื่อสาร ๑. วัจนภาษา คือ ถ้อยค าในภาษาพูดและภาษาเขียน ใช้สื่อความโดยตรงระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร ๒. อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยค า ใช้เสริมวัจนภาษา เช่น ท่าทาง สายตา น้ าเสียง รวมทั้งเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ภาษาพูด ภาษาเขียน ๑. ภาษาพูด ๑) ภาษาปาก เป็นกันเอง ค าง่าย กะทัดรัด อาจเป็นค าไม่สุภาพ ภาษาถิ่น ค าสแลง มักใช้กับเพื่อนหรือคน ในครอบครัว เช่น ขับรถอย่างกับเป็นเจ้าถนน ไม่เกรงใจใครเลย ๒) ภาษากึ่งทางการ ใช้สนทนาทั่วไป สุภาพกว่าภาษาปาก ใช้กับคนไม่ค่อยสนิท ขอบคุณมากนะคะที่ กรุณาช่วยเหลือมาตลอด ๒. ภาษาเขียน เลือกใช้ภาษาอย่างเคร่งครัด เป็นระเบียบแบบแผน สุภาพ อาจใช้ค าเฉพาะหรือศัพท์วิชาการ เช่น วันนี้ผมจะชี้แจงให้ทุกท่านทราบ ข้อสังเกตในการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน ๑. ภาษาเขียนสละสลวยกว่าภาษาพูด เช่น ภาษาพูด เธอนี่เดินซุ่มซ่ามจริง ดูซิเลอะเทอะไปหมดแล้ว ภาษาเขียน เธอเดินไม่ระมัดระวังเลย เปื้อนหมดแล้ว ๒. อาจตัดบางส านวนในภาษาพูดทิ้งเมื่อเรียบเรียงเป็นภาษาเขียน เช่น ภาษาพูด ฝนตกหนักอย่างกับฟ้ารั่วขนาดนี้ เราจะกลับบ้านยังไงกันนี่ ภาษาเขียน ฝนตกหนักขนาดนี้ เราจะกลับบ้านได้อย่างไร ๓. ภาษาพูดมักมีหางเสียง เช่น นะ สิ ล่ะ เถอะแต่ภาษาเขียนไม่มี เช่น
ภาษาพูด ขอฉันไปด้วยคนสิ ภาษาเขียน ขอฉันไปด้วยคน ๔. ภาษาพูดอาจออกเสียงไม่เหมือนรูปเขียน แต่ก็ต้องเขียนให้ถูกต้องตามหลักพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน เช่น เมื่อใด ออกเสียงเป็น เมื่อไหร่ เขา ออกเสียงเป็น เค้า ๕. ภาษาพูดมักใช้ค าสรรพนามตามหลังค านาม เช่น คุณยายท่านเลี้ยงดูฉันเป็นอย่างดี ค าว่า ท่าน หมายถึง คุณยาย จึงเป็นประธานร่วมของประโยค ดังนั้นการเลือกใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียนต้องพิจารณาจากสถานการณ์ จุดมุ่งหมาย สถานภาพ และ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง ความหมายของการเขียนสื่อสาร ความหมายของการเขียนสื่อสาร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.(๒๕๔๖:๒๐๓) ให้ความหมายของคาว่า เขียน ก. ขีดให้ เป็นตัวหนังสือหรือเลข, ขีดให้เป็นเส้นหรือรูปต่าง ๆ,วาด, แต่งหนังสือ วิภา ฌานวังศะและคณะ (๒๕๕๐:๒-๕) ให้ความหมายของการเขียนสื่อสารไว้ว่าคือ การสื่อสารความคิด ความรู้ประสบการณ์ความรู้สึก และจินตนาการโดยใช้สัญลักษณ์คือ ตัวอักษรถ่ายทอดจากผู้เขียนไปสู่ผู้อ่าน ธนูทดแทนคุณ และกานต์รวีแพทย์พิทักษ์(๒๕๕๒ : ๑๑๗) ให้ความหมายของการเขียนสื่อสารว่าหมายถึง การเรียบเรียงความคิดในสิ่งที่จะสื่อสารเป็นตัวหนังสืออย่างมีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก ความนึกคิด ความต้องการและข้อมูลต่าง ๆ ไปยังผู้อ่าน โสภณ สาทรสัมฤทธิ์ผล (๒๕๕๔: ๗๗) ให้ความหมายของการเขียนสื่อสารว่า หมายถึง ทักษะในการใช้ ภาษาที่มุ่งถ่ายทอดความรู้สึก ความคิด ความรู้และข้อมูลต่าง ๆ เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบ จุดประสงค์ตามเจตนาของผู้เขียน ดังนั้นการเขียนสื่อสาร หมายถึง การสื่อความหมายผ่านตัวอักษรเพื่อแสดงความรู้ความคิด ความรู้สึกและ ประสบการณ์ของผู้เขียนออกเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบและเข้าใจเรื่องราวในสิ่งที่ผู้เขียน ต้องการสื่อความ
ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง ความส าคัญของการเขียนสื่อสาร ปัจจุบันคนเราสื่อสารกันด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างหลากหลาย แต่สิ่งที่ยังคงความส าคัญมาโดยตลอดคือ การสื่อสารด้วยการเขียน การเขียนมีความส าคัญ โดย ธนูทดแทนคุณและกานต์รวีแพทย์พิทักษ์(๒๕๕๒: ๑๑๘) ได้แสดงความส าคัญของการเขียนไว้ดังนี้ ๑. เป็นเครื่องแสดงออกถึงความรู้ความคิด และความรู้สึกของมนุษย์ ๒. เป็นเครื่องมือส าคัญที่แสดงถึงอารยธรรมของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย ๓. เป็นเครื่องมือส าหรับสื่อสารของมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพ ๔. เป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ส าคัญอันเป็นมรดกทางสติปัญญาของมนุษย์เช่น วรรณกรรม วรรณคดี ต านาน เป็นต้น ๕. เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนองความต้องการของมนุษย์เช่น ความรัก ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ เป็นต้น ๖. เป็นบันทึกที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สามารถสืบค้นเพื่อการเรียนรู้ของคนรุ่นหลังได้ ๗. เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพของคนบางอาชีพ เช่น นักเขียนข่าว นักประพันธ์นักวิชาการ เป็นต้น การเขียนมีลักษณะเป็นการสื่อสารที่ถาวร สามารถคงอยู่ได้นาน ตรวจสอบได้ ลักษณะของงานเขียนสื่อสารที่ดี งานเขียนสื่อสารที่ดีจะต้องมีลักษณะถูกต้องสมบูรณ์สามารถสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิผล ธนูทดแทนคุณและกานต์รวีแพทย์พิทักษ์(๒๕๕๒: ๑๒๗) ได้อธิบายลักษณะของงานเขียนสื่อสารที่ดีไว้ดังนี้ ๑. มีความชัดเจน (Perspicuity) ได้แก่การใช้ค าให้ถูกต้องตามความหมาย การเรียบเรียงประโยคที่ถูกต้อง มี จุดมุ่งหมายในการสื่อสารที่ตรงประเด็น สามารถเห็น สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อสารได้อย่างชัดเจน เนื้อหาของ งานเขียนมีเอกภาพ เป็นต้น ๒. มีความเรียบง่าย (Simplicity)ได้แก่การใช้ค าธรรมดา ๆ แต่สามารถอ่านแล้ว เข้าใจทันทีไม่ใช้ค าที่อ่าน แล้วต้องแปลความหมายมาก ใช้ประโยคที่เรียบ ๆ แต่สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์และจินตนาการต่าง ๆ เป็นต้น ๓. มีความกระชับ (Brevity) ได้แก่การใช้ค าน้อยแต่มีความหมายกว้าง ไม่ใช้ค าฟุ่มเฟือย อ้อมค้อม วกวนจน ท าให้ไม่สามารถจับประเด็นของงานเขียนนั้นได้เลย ๔. สร้างความประทับใจ (Impressiveness) ได้แก่การสร้างอารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ให้ผู้อ่านเกิด ความรู้สึกที่ดีด้วยการใช้ค า ส านวน โวหาร ค าภาพพจน์ต่างๆ สื่อความโดยการใช้ค าที่ เร้าความรู้สึก ๕. มีลีลา ได้แก่ความสามารถในการเลือกสรรค ามาใช้ในงานเขียน แล้วท าให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกที่ดีเช่น การ ใช้ถ้อยค าที่ราบรื่นแต่สร้างความไพเราะ การหลากค า การเล่นค า ฯลฯ ๖. สร้างภาพพจน์หรือจินตนาการ ในงานเขียนบางชนิดจ าเป็นที่ผู้เขียนจะต้องใช้ถ้อยค าที่สร้างภาพพจน์หรือ จินตนาการให้ผู้อ่านเห็นภาพตามไปด้วย ๗. มีความสร้างสรรค์ได้แก่การใช้ภาษาเขียนที่สื่อสารในทางบวกไม่ยุยงส่งเสริมสิ่งที่ไม่ดีแก่ผู้อ่าน อันจะ ก่อให้เกิดการแตกร้าว ขาดความสามัคคีในสังคม
แบบฝึกทักษะการเขียนสื่อสาร ค าชี้แจง ให้นักเรียนเปลี่ยนภาษาในประโยคต่อไปนี้ให้เป็นภาษาทางการ (รวม ๕ คะแนน) ๑. คุณตาและคุณยายของนุศราตายหมดแล้ว ........................................................................................................................................ ๒. ในช่วงปิดเทอมวัดต่าง ๆ จะมีการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ....................................................................................................................................... . ๓. เมื่อผู้ชายไทยอายุ ๒๑ ปีเต็มจะต้องไปจับใบด าใบแดงเพื่อเข้าเป็นทหารเกณฑ์ ........................................................................................................................................ ๔. ขอเชิญร่วมฟังสวดศพคุณมะลิวัลย์ที่วัดท่าคอย ....................................................................................................................................... ๕. ในหลวงรับสั่งให้นายกเร่งแก้ปัญหาน้ าท่วมภาคใต้โดยด่วน ....................................................................................................................................... ........ .......................................................................................................................... . ตัวอย่างแบบทดสอบ 23.ค าในข้อใดใช้เติมลงในช่องว่างต่อไปนี้ได้ถูกต้อง (o-net 63) อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นโบราณสถานที่มี...............การตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ 1. หลักฐาน 2. หลักแหล่ง 3. หลักเกณฑ์ 4. หลักประกัน 24.ข้อใดใช้ค าถูกความหมายและเหมาะกับบริบท 1. ความเจริญรุกรานเข้ามาในพื้นที่การเกษตรของคลองลัดมะยม 2. ผู้น าชุมชนจึงเปิดตลาดน้ าให้ชาวบ้านในอาณานิคมนั้นน าผลผลิตมาขาย 3. ในตลาดมีข้าวของกระจุบกระจิบที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษวางขายทั่วไป 4. ร้านค้าที่นี่กว่าร้อยละ 80 จะขายของกินหลากหลายประเภท มีให้เลือกมากมายจนลายตา
ม.2/2 เขียนบรรยายและพรรณนา ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง การเขียนบรรยาย การเขียนบรรยาย เป็นการเขียนเล่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น เพื่อให้ ผู้อ่านเห็นภาพ เหตุการณ์ ล าดับเวลา สถานที่ บุคคล ผู้เขียนควรกล่าวถึง เหตุการณ์ให้ ชัดเจน โดยมีข้อมูลและเนื้อหาสาระ ของเรื่องที่จะแสดงความคิด บางครั้งอาจแทรกบท สนทนาตัวละครท าให้ผู้อ่านเข้าใจลักษณะอารมณ์ความคิด ของตัวละครและเข้าใจเรื่อง ทั้งหมด ข้อสังเกตการเขียนบรรยาย การเขียนบรรยายกล่าวข้างต้น เป็นการเขียนบรรยายตามความจริง สามารถใช้เป็น หลักฐานอ้างอิง ไม่ มีการสอดแทรกอารมณ์หรือความรู้สึกลงไปในงานเขียน จุดมุ่งหมายของการเขียนบรรยาย การเขียนบรรยายใช้แสดงความคิดเห็นได้หลายรูปแบบ เช่น ใช้ในค าประพันธ์แบบ เล่าเรื่อง เล่า เหตุการณ์ การเขียนชีวประวัติ การเขียนบันทึก การให้ข้อมูล การรายงานข่าว เป็นต้น การเขียนบรรยาย เป็นการเขียนเล่าข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของเรื่องตามที่ เป็นอยู่โดยค านึงถึงความต่อเนื่อง ประเภทของเรื่องที่ใช้วิธีการเขียนบรรยาย ๑. อัตชีวประวัติหรือการเล่าประวัติชีวิตบุคคลต่าง ๆ ๒. ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ๓. เรื่องที่แต่งขึ้นหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ๔. เรื่องแนะน าสถานที่ท่องเที่ยว ๕. การบรรยายภาพและวิธีการ ที่มา : หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทยวรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
ใบความรู้ที่2 เรื่อง การเขียนพรรณนา ความหมายของการเขียนพรรณนา การเขียนพรรณนา หมายถึงการเขียนที่เรียบเรียงถ้อยค าทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนเพื่อให้รายละเอียด ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ว่าบุคคล สัตว์พืช วัตถุสถานที่หรือเหตุการณ์โดยเน้นให้ผู้ฟังหรือผู้อ่าน นึกเป็นภาพที่ เด่นชัดและเกิดอารมณ์ความรู้สึกตามที่ผู้ส่งสาร มุ่งหมายโวหารพรรณนามีลักษณะวรรณศิลป์มากกว่าโวหาร อย่างอื่น เนื่องจากมีการใช้ถ้อยค าที่ก่อให้เกิดภาพพจน์และอารมณ์สะเทือนใจ การเขียนพรรณนา เป็นการ บอกสภาพของสิ่งของ บุคคล โดยไม่ค านึงถึงการเรียงล าดับเหตุการณ์โดยแสดงถึงความรู้สึกประทับใจอย่าง ลึกซึ้งได้ ลักษณะการเขียนพรรณนา เป็นการเขียนที่มุ่งอธิบายความให้เห็นสภาพหรือลักษณะที่ละเอียดลออ เป็นการพรรณนาความรู้สึก โดยแสดงในเนื้อความรู้สึกประทับใจหรือสะเทือนใจไปกับเนื้อความที่พรรณนา นั้นๆ เช่น เขียนเรื่อง “อาหาร” ถ้ากล่าวถึงวิธีปรุงหรือคุณค่าอาหารเป็นการเขียนอธิบาย แต่ถ้าเขียนเน้น ความน่ารับประทาน รูปลักษณะ สีสัน กลิ่นรส ก็เป็นการเขียนพรรณนา หลักการเขียนพรรณนา การเรียบเรียงข้อความแบบพรรณนาโวหารเพื่อก่อให้เกิดภาพพจน์และอารมณ์ สะเทือนใจควรด าเนินตามหลักเกณฑ์ดังนี้ ๑. วิเคราะห์สิ่งที่จะพรรณนาอย่างละเอียดว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง ส่วนใดเป็นลักษณะเด่น ส่วนใดเป็น ลักษณะประกอบซึ่งเสริมลักษณะเด่น ลักษณะเด่นและลักษณะประกอบมีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ๒. เขียนพรรณนาลักษณะเด่น ตามล าดับความส าคัญหรือล าดับความมากน้อย ใหญ่-เล็ก เช่น พรรณนา ลักษณะบุคคล ควรกล่าวถึงเรือนร่าง ใบหน้าและเครื่องแต่งกายตามล าดับ พรรณนาต้นไม้โดยทั่วไปมักกล่าวถึง ล าต้นก่อนดอกและใบ แต่ถ้าต้องการเน้นสิ่งใดเป็นพิเศษก็กล่าวถึงสิ่งนั้นก่อนหรือขยายความให้มากกว่าสิ่งอื่น ๓. การคัดสรรถ้อยค าที่เหมาะสมทั้งเสียงและความหมาย โดยค า ๆ นั้น มีเสียงไพเราะและมีความหมาย ให้ ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ท าให้เห็นภาพหรือได้ยินเสียงอีกด้วย โดยเฉพาะค านาม กริยา และวิเศษณ์ควรเลือกเฟ้น อย่างพิถีพิถันให้สอดคล้องกับเนื้อความ ๔. ใช้ค าหรือกลุ่มค าที่เป็นภาษาภาพพจน์ซึ่งได้แก่ภาษา ที่ผิดแผกจากปกติหรือผิดจากภาษาตามตัวอักษร ด้านการเรียบเรียงล าดับค าหรือด้านความหมายของค าเพื่อให้เป็นส านวนแปลกใหม่และมีพลังท าให้มองเห็น ภาพและเร้าอารมณ์ความรู้สึกส านวนที่ท าให้เกิดภาษาภาพพจน์ต่าง ๆ เช่น อุปมา คือส านวนภาษาที่น าสิ่งซึ่งต่างพวกกันสองสิ่งมาเปรียบเทียบกัน โดยใช้ค าเชื่อม เหมือน คล้ายดุจ ประหนึ่ง ราวกับว่า ฯลฯ เช่น ดุเหมือนเสือ ร้ายกว่ายุง นัยน์ตาดุจดวงดาว
อุปลักษณ์คือส านวนภาษาที่น าเอาสิ่งต่างกันสองสิ่งหรือมากกว่า แต่มีคุณสมบัติบางอย่างร่วมกันมา เปรียบเทียบโดยเปรียบว่าสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งโดยตรง ใช้ค ากริยาเป็นหรือ คือ เช่น ลูกเป็นแก้วตาและดวงใจ ของพ่อแม่ เขาคือวีรบุรุษแห่งทุ่งนาแก บุคลาธิษฐาน คือการสมมุติสิ่งไม่มีชีวิตให้มีชีวิต ความคิดนามธรรมหรือสัตว์ให้มีสติปัญญาอารมณ์หรือ กิริยาอาการเหมือนมนุษย์เช่น ลมหนาวมาเยือน คลื่นน้อยค่อย ๆ กระซิบกับฝั่ง ความอาฆาตเกาะกินหัวใจ การเลียนเสียงธรรมชาติคือส านวนภาษาที่ใช้ค าเพื่อเลียนเสียง ต่าง ๆ เช่น ไฟลุกคึ่ก ๆ เสียงคนพูด หึ่ง ๆ บัดเดี๋ยวดังหงั่งเหง่งวังเวงแว่ว ประเภทของการเขียนพรรณนา ๑. การพรรณนาบุคคล จ าเป็นต้องสังเกตรูปร่างหน้าตาการเดินน้ าเสียง การพูดจากิริยาอาการลักษณะ นิสัยอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นบุคคลประเภทใด หรืออยู่ในฐานะใด เช่น ตัวตลกในบทละครหรือเด็กที่เล่น ตามหาดทราย โดยเขียนเฟ้นหาบุคลิกลักษณะเฉพาะ อาจร่าเริงแจ่มใส เคร่งขรึม หวีผมเรียบไม่มีเส้นแตกหรือ ยืนหลังค่อม การพรรณนาบุคคลท าได้สองวิธีคือการพรรณนาโดยตรงและพรรณนาโดยอ้อมใน การพรรณนา โดยตรงผู้เขียนกล่าวถึงลักษณะกิริยาอาการนิสัยใจคอหรือความคิดนึกของตัวละครเองส่วน การพรรณนาโดย อ้อมตัวละครเป็นผู้เผยลักษณะต่าง ๆ ของตนด้วย ค าพูดกิริยาท่าทางหรือให้ตัวละครอื่นกล่าวพาดพิงถึง ๒. การพรรณนาสถานที่ควรจะได้สังเกตลักษณะที่เด่นของสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่คุ้นเคยมาแล้ว เช่น โรงเรียนหรือสถานที่ที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จะต้องพิจารณาสีรูปร่าง ขนาดและการจัดวางสิ่งของสิ่งที่ ประทับใจทั่วไปและเฟ้นหาลักษณะเฉพาะที่ท าให้เกิดความประทับใจนั้นเมื่อสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงเลือก พรรณนาเฉพาะลักษณะที่เด่นชัดที่จะเร้าความสนใจของผู้อ่าน และเรียงล าดับการพรรณนาตาม ความ เหมาะสม เช่น เริ่มต้นจากใกล้ไป หาไกล หรือจากบนลงล่าง การพรรณนาพระพุทธรูปในพระอุโบสถ เป็น ตัวอย่างการพรรณนาสถานที่ใช้ค าที่เหมาะเจาะชัดเจนก่อให้เกิดจินตนาการประกอบด้วยโวหารเปรียบเทียบ ท าให้เกิด ภาพพจน์เด่นชัด ๓. การพรรณนาธรรมชาติควรกล่าวถึงทิวทัศน์บรรยากาศ ตลอดจนพืชสัตว์ต่างๆ เช่น นก แมลง ถ้าเป็น ชายทะเลควรเน้นหาดทราย สีน้ าทะเล คลื่นลม สภาพใต้ทะเล หากเกี่ยวกับฤดูกาลควรเพ่งเล็งลักษณะพิเศษ ของแต่ละฤดูกาล ๔. การพรรณนาเหตุการณ์ควรเลือกเหตุการณ์ที่เด่น ชวนติดตามหรือเร้าความตื่นเต้น สะเทือนอารมณ์ และควรใช้การบรรยายประกอบเพื่อให้เนื้อเรื่องแจ่มแจ้ง ที่มา : หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทยวิวิธภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. ฐะปะนีย์นาครทรรพ. การสอนภาษาไทย.
แบบทดสอบ เรื่อง การเขียนบรรยายและพรรณนา ค าชี้แจง ให้นักเรียนเลือกค าตอบที่ถูกต้องที่สุดแล้วกาเครื่องหมาย (X) ลงในกระดาษค าตอบ 1. ข้อใดใช้ภาษาดีเด่นในด้านการพรรณนา ก. เด็ดผักหักรากกระชากฉุดเผลาะผลุดรากเลื้อยอะล่อนจ้อน ข. ล่วงประถมยามราตรีเธอเปล่งรัศมีอันเรืองระยับจับเนตร ค. มโหรีจากราวป่ามาเรื่อยรี่ราชินีแห่งน้ าค้างจะห่างหิน ง. เสียงผีป่าโป่งศัพท์อุโฆษโขมดนางไม้กู่ก้องคะนองไพรไหวหวั่นหวาด 2. ข้อใดไม่ใช่การเขียนพรรณนา ก. ดวงอาทิตย์สีส้มกลมโตก าลังโผล่ขึ้นเหนือพื้นน้ าท้องฟ้าเริ่มมีสีชมพูเรื่อตัดกับ น้ าทะเลสีครามใส ข. ก าแพงน้ าโถมปะทะต้นไม้ริมฝั่งน้ าพุ่งสูงซัดต้นไม้ใหญ่โค่นชั่วพริบตา ค. เมฆสีด าเป็นกลุ่มก้อนซับซ้อนเคลื่อนไหวรวดเร็วปั่นป่วนหมุนวนไม่เป็นทิศ เป็นทาง ง. สายลมยามเย็นพัดผ่านชายน้ าฝูงปลาวนเวียนกันเข้ามาตอดอาหารนกกระเต็นโผบินจากฟากนี้ ไปฟากโน้น ๓. ข้อใดเป็นการเขียนพรรณนา ก. สิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวของเราที่สุดที่เราควรช่วยกันอนุรักษ์คือสิ่งแวดล้อมรอบๆ โรงเรียนของเรานั่นเอง ข. ป่าภูหลวงที่รกทึบไปด้วยพรรณไม้ขนาดใหญ่เป็นเครื่องยืนยันว่าป่าแห่งนี้ยังอยู่ ห่างไกลจากน้ ามือของผู้ท าลาย ค. นอกจากภาพของป่าเขาที่ท าให้เราพิศวงในความงามแล้วอากาศหนาวและ ลมอ่อนๆก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสังคมเมืองเบื้องล่าง ง. ต้นไม้ใบหญ้าไม้ดอกไม้ใบทุกชนิดหลังจากที่ได้หยุดปรุงอาหารและนอน พักผ่อนมาตลอดคืนเมื่อถึงยามเช้าจะอยู่ในสภาพที่เบิกบานชูกิ่งก้านสล้าง ๔. ข้อใด ไม่ใช่การเขียนแบบพรรณนา ก. อุทยานรอบมหาสถานนั้นเล่าก็งามไม่น้อยเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ไม้ดอก และลดาวัลย์งาม น่าทัศนา ข. ทุกๆตึกนั้นแบ่งออกเป็นสองบ้านทุกๆบ้านมีขนาดและการจัดแบ่งห้อง เหมือนกันทุกๆห้อง มีขนาดเล็กคับแคบมากราวหนึ่งในสี่ของห้องนอนข้าพเจ้า ที่วังปารุสก์ ค. ภาพแสดงโคมที่ห้อยจากเพดานรวมทั้งแสงเทียนบนแท่นที่บูชาภาพพระประธานองค์ใหญ่ทรงไว้ ซึ่งรัศมีอันไพโรจน์ล้วนเป็นภาพที่สุดใสตระการตาน่าชมยิ่งนัก ง. โลหิตคือสายธารแห่งชีวิตถ้าร่างกายขาดโลหิตชีวิตก็อยู่ไม่ได้โลหิต จึงเป็นน้ าหล่อเลี้ยงร่างกายที่ จ าเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้มีชีวิตอยู่
๕. “อากาศยามเช้าในสวนของคฤหาสน์บดินทราช...ดูสดใสผีเสื้อแสนสวยกรีดปีกระยับในสายแดดอ่อน ยามเช้าจากดอกหนึ่งไปที่ดอกไม้นานาพันธุ์อีกหลายๆดอก สีของกุหลาบปักกิ่ง...แดงสดสว่างจ้าตัดกับ สีเขียวสดของสนามหญ้าประกายของน้ าค้างต้องแดดวาววับราวกับอัญมณีเรียงรายอยู่บนพื้นสนาม” จากข้อความข้างบนเป็นการกล่าวพรรณนาแบบใด ก. พรรณนาสถานที่ ข. พรรณนาบุคคล ค. พรรณนาธรรมชาติ ง. พรรณนาเหตุการณ์ ๖. ข้อใดเด่นด้านพรรณนา ก. พอประสบพบหน้าเยนเนอรัลก็ชวนกันขึ้นรถไฟครรไลจร ข. ส่งประทานให้ลอร์ดกรมท่ากลับออกมาชี้แจงแถลงไข ค. อยู่สี่วันลอร์ดแซลบนขุนนางใหญ่บัญชาให้คนข าน าอักษร ง. ใส่สายสร้อยพระศอลออเพราช่างงามเงาย้อยหยาดเพียงบาดตา ๗. ข้อใดไม่ใช่แนวทางในการพัฒนาความสามารถในการเขียนพรรณนา ก. การอ่านมากฟังมาก ข. ความช่างสังเกต ค. การรวบรวบถ้อยค าส านวน ง. การฝึกท่องจ าจากตัวอย่าง ๘. ข้อใดเป็นหลักการเขียนพรรณนา ก. เขียนแสดงความหรือหรือข้อเท็จจริงเท่านั้น ข. เขียนล าดับเรื่องตามเหตุการณ์ ค. ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายตามความหมายของค าศัพท์เฉพาะที่น ามาใช้ ง. ใช้ค าหรือกลุ่มค าที่เป็นภาษาภาพพจน์ ๙. การเขียนพรรณนาที่ดีควรเขียนอย่างไร ก. เขียนเหตุการณ์ตามล าดับใช้ค าแสดงข้อเท็จจริง ข. เขียนเหตุการณ์ที่เด่นชวนเร้าความตื่นเต้นสะเทือนอารมณ์ ค. เขียนเหตุการณ์ที่ใช้ถ้อยค าส านวนเปรียบเทียบที่ถูกต้อง ง. เขียนเรียงล าดับเหตุการณ์ตามความเหมาะสมพร้อมยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ๑๐. ข้อใด ไม่เหมาะสม ที่จะใช้เป็นถ้อยค าในการเขียนพรรณนา ก. ใช้ค ากระชับตรงตามความหมายของค าศัพท์ ข. ใช้ค าที่ให้รายละเอียดเสริมลักษณะเด่นให้ชัดเจน ค. ใช้ค าที่สื่อความหมายปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึก ง. ใช้ค าที่สื่อความหมายมองเห็นภาพ ............................................................................................
ตัวอย่างแบบทดสอบ 25. ข้อใดเป็นการเขียนพรรณนา (o-net 63) 1. จามจุรีเป็นไม้ยืนต้นที่มีกิ่งก้านสาขาแผ่กว้างประดุจร่มขนาดใหญ่ ให้ร่มเงาและความร่มเย็นสดชื่น 2. กะเพรามีสรรพคุณช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือดได้ 3. แคคตัสเป็นพืชที่อยู่ในกลุ่มของไม้อวบน้ า สามารถเก็บน้ าหรือความชื้นไว้ในส่วนต่างๆของล าต้นได้ดี 4. การตัดแต่งกิ่งต้นไม้พุ่มออกไปบ้างจะท าให้สัดส่วนของอาหารที่สะสมในต้นไม้เหมาะกับการออกดอก ออกผล 26. ข้อใดเป็นการเขียนบรรยาย (o-net 63) 1. แสงรุ้งเลื่อมลายพรั่งพรายนภา 2. ยามลมหนาวพัดโบกโบยโชยชื่น 3. พระพรหมท่านบันดาลให้ฝนหลั่ง 4. น้ าทิพย์สาดเป็นสายพรายพริ้วทิวงาม 27. ข้อความใดไม่ใช่การเขียนพรรณนา (o-net 62) 1. น้ าตกช่วงสุดท้ายยังพุ่งลงเป็นสายกระทบลานหินกว้างสะท้อนแสงตะวันงามระยับตา 2. น้ าตกสายนี้มีเสน่ห์ติดตาตรึงใจผู้มาเยือนด้วยสายธารที่ตกลงมาไหลรินโอบกอดลานหิน 3. นักท่องเที่ยวจะได้ตื่นตากับฝูงผีเสื้อที่บินวนเวียนเหนือน้ าตกราวกับกลีบดอกไม้โปรยปราย 4. หนุ่มสาวนิยมมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่น้ าตกแห่งนี้ จึงขนานนามน้ าตกนี้ว่า “น าตกลานรัก” 28. ข้อใดไม่ใช่พรรณนาโวหาร (o-net 61) 1. ดอยหัวแม่เป็นหมู่บ้านชาวเขาซึ่งแต่งกายด้วยสีสันงดงามราวกับลูกกวาดหลากสี 2. ในหุบเขายังมีกลุ่มหมอกคลอเคลียภูเขาเหมือนเป็นทะเลขาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา 3. ช่วงฤดูหนาวทุ่งดอกบัวตองสีเหลืองอร่าม บานสะพรั่งเป็นพรมดอกไม้งดงามไปทั่งทั้งขุนเขา 4. เราเดินทางจากตัวเมืองเชียงรายไปตามทางหลวงหมายเลข1130 ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะถึง ดอยหัวแม่ค า
ม.2/3 เขียนเรียงความ ใบความรู้ เรื่องความรู้เกี่ยวกับการเขียนเรียงความ ความหมายของเรียงความ เป็นงานเขียนชนิดหนึ่งที่ผู้เขียนมีจุดประสงค์จะถ่ายทอดความรู้ความคิด ทรรศนะ ความรู้สึก ความเข้าใจออกมาเป็นเรื่องราว ด้วยถ้อยค าส านวนที่เรียบเรียงอย่างชัดเจนและท่วงท านองการเขียนที่น่าอ่าน การเลือกเรื่องที่จะเขียนเรียงความ หากจะต้องเป็นผู้เลือกเรื่องเอง ควรเลือกตามความชอบหรือความถนัดของตนเอง การค้นคว้าหาข้อมูลอาจท าได้โดยการค้นคว้าจากหนังสือ นิตยสาร วารสาร อินเทอร์เน็ต หรือสื่ออื่น ๆ ประเภทของเรื่องที่จะเขียนเรียงความ ๑.เรื่องที่เขียนเพื่อความรู้ ๒.เรื่องที่เขียนเพื่อความเข้าใจ ๓.เรื่องที่เขียนเพื่อโน้มน้าวใจ องค์ประกอบของเรียงความ เรียงความมีองค์ประกอบ ๓ ส่วน คือ ค าน า เนื้อเรื่อง และสรุป งานเขียนทุกประเภทจะต้อง ประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนนี้ ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดขององค์ประกอบพร้อมกับกลวิธีการเขียน ต่อไปนี้ ๑.ค าน า เป็นส่วนหนึ่งของเรียงความส่วนแรกที่มีหน้าที่เปิดประเด็นเข้าสู้เรื่อง เป็นการบอกให้ผู้อ่าน ทราบว่าผู้เขียนจะเขียนเรื่องอะไร เพื่อชักน าให้คนสนใจอ่านเนื้อเรื่องต่อไป ค าน าเป็นส่วนที่ส าคัญส่วนหนึ่ง ของเรียงความเพราะเป็นส่วนช่วยดึงดูดให้ผู้อ่านหันมาสนใจเรื่องราวที่เขียน ผู้อ่านจะอ่านเรื่องต่อไป หรือไม่ ก็อยู่ที่ค าน านั้นเอง ๒.เนื้อเรื่อง หรือ เนื้อความ เป็นส่วนที่ส าคัญที่สุดของการเขียนเรียงความ เพราะเป็นส่วนที่เสนอ ความรู้ความคิดความเข้าใจทรรศนะหรือความรู้สึกของผู้เขียนให้แจ่มแจ้งโดยอาจจะยก อุทาหรณ์ สุภาษิต และประสบการณ์ของผู้เขียนมาสนับสนุนเรื่องที่เขียนได้ นักเรียนจะต้องคิดก่อนเป็นขั้นแรกว่า จะเลือกเขียนเรื่องอะไร มีวัตถุประสงค์และมีขอบเขตในการ เขียนกว้างหรือแคบเพียงใด เมื่อคิดวางแผนเป็นล าดับดังกล่าวแล้ว ก็เริ่มเขียนโครงเรื่องเพื่อเป็นแนวทางใน การเขียน ขั้นตอนต่อไปคือการเรียงเนื้อหาไปตามโครงเรื่องที่ได้ก าหนดไว้ โครงเรื่องที่ก าหนดไว้เป็นข้อ ๆ นั้นก็ คือเนื้อหาในย่อหน้าหนึ่ง ๆ นั้นเอง เมื่อจะขยายความแต่ละหัวข้อก็ย่อมจะได้ย่อหน้าที่มีเนื้อหาเป็นเอกภาพ และมีน้ าหนัก และถ้าเขียนแต่ละย่อหน้ามีประโยคใจความส าคัญ และมีประโยคขยายความที่สนับสนุน ประโยคใจความส าคัญอย่างชัดเจนแล้ว เรียงความเรื่องนั้นก็จะเป็นเรียงความที่มีเนื้อหาสมบูรณ์เรียงความแต่ ละเรื่องจะมีย่อหน้าเรื่องเท่าใดก็ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่เรียงความเรื่องหนึ่งจะมีย่อหน้าเนื้อเรื่องเพียงย่อหน้า เดียว ในการเขียนเรียงความนั้น การใช้ถ้อยค าภาษาเป็นสิ่งส าคัญมาก นักเรียนจะต้องพิถีพิถันในการใช้ ภาษา ภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาแบบเป็นทางการ กล่าวคือภาษาจะถูกต้องตามหลักการเขียน มีการเลือกสรร ถ้อยค ามาเรียบเรียงให้กะทัดรัด ชัดเจนอ่านเข้าใจง่าย ราบรื่น สละสลวย และมีลีลาการเขียนที่น่าสนใจ
๓.สรุป เป็นส่วนสุดท้ายของเรียงความที่ผู้เขียนจะเน้นความรู้ ความคิดหลักหรือประเด็นส าคัญของ เรื่องที่เขียนอีกครั้งหนึ่ง การสรุปนับว่ามีส่วนส าคัญเท่ากับค าน า เพราะเป็นส่วนช่วยเสริมให้เรียงความมี คุณค่าขึ้น การวางโครงเรื่องก่อนเขียน เมื่อได้หัวข้อเรื่องแล้ว ต้องวางโครงเรื่องโดยค านึงถึงการจัดการจัดล าดับหัวข้อเรื่องที่จะเขียนให้ สัมพันธ์ ต่อเนื่องกัน เช่น - จัดล าดับหัวข้อตามเวลาที่เกิด - จัดล าดับหัวข้อจากหน่วยเล็กไปสู่หน่วยใหญ่ - จัดล าดับตามความนิยม โครงเรื่องของงานเขียนควรจัดหมวดหมู่ของแนวคิดส าคัญเพื่อเป็นแนวทางในการเขียน โครงเรื่อง เปรียบเสมือนแปลนบ้านผู้สร้างบ้านจะต้องใช้แปลนบ้านเป็นแนวทางในการสร้างบ้าน การเขียนโครงเรื่องจึงมี ความส าคัญท าให้ผู้เขียนเรียงความเขียนได้ตรงตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ถ้าไม่เขียนโครงเรื่องหรือไม่วางโครงเรื่อง เรียงความอาจจะออกมาไม่ตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ การเขียนย่อหน้า การย่อหน้าเป็นสิ่งจ าเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านอ่านเข้าใจง่ายและอ่านได้เร็ว มีช่องว่าง ให้ได้พักสายตา ผู้เขียนเรียงความได้ดีต้องรู้หลักในการเขียนย่อหน้า และน าย่อหน้าแต่ละย่อหน้ามาเชื่อมโยง ให้สัมพันธ์กัน ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ต้องมีสาระเพียงประการเดียว ถ้าจะขึ้นสาระส าคัญใหม่ให้เขียนในย่อหน้า ต่อไป ดังนั้นการย่อหน้าจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสาระส าคัญที่ต้องการเขียนถึงในเนื้อเรื่อง แต่อย่างน้อย เรียงความต้องมี ๓ ย่อหน้า คือย่อหน้าที่เป็นค าน า เนื้อเรื่อง และสรุป การเชื่อมโยงย่อหน้า การเชื่อมโยงย่อหน้าท าให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้าเรียงความเรื่องหนึ่งย่อมประกอบด้วยย่อ หน้าหลายย่อหน้าการเรียงล าดับย่อหน้าตามความเหมาะสมจะท าให้ข้อความเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่อง เดียวกัน วิธีการเชื่อมโยงย่อหน้าแต่ละย่อหน้าก็เช่นเดียวกันกับการจัดระเบียบความคิดในการวางโครงเรื่องซึ่ง มีด้วยกัน ๔ วิธีคือ ๑. การล าดับย่อหน้าตามเวลาอาจล าดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนไปยัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง ๒. การล าดับย่อหน้าตามสถานที่เรียงล าดับข้อมูลตามสถานที่หรือตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ๓. การล าดับย่อหน้าตามความส าคัญ เรียงล าดับตามความส าคัญมากที่สุด ส าคัญรองลงมาไปถึง ส าคัญน้อยที่สุด ๔. การล าดับย่อหน้าตามเหตุผล อาจเรียงล าดับจากเหตุไปหาผลหรือผลไปเหตุ
ตัวอย่างรียงความ (แสดงให้เห็นค าน า เนื้อเรื่อง และสรุปที่ชัดเจน) เรียงความเรื่อง "วันพ่อแห่งชาติ" โดย นายวุฒิชัย เจาะโพ ชายคนหนึ่งต้องท างานหนัก ชายคนหนึ่งต้องตื่นแต่เช้า ชายคนหนึ่งต้องหาเช้ากินค่ าชายคนหนึ่งต้อง ตากแดดตากฝน ชายคนหนึ่งต้องอดมื้อกินมื้อ ชายคนหนึ่งกินข้าวไม่ค่อยอิ่ม ชายคนหนึ่งต้องใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ชายคนหนึ่งต้องท าไร่ท านา ชายคนหนึ่งที่เคยผ่านอะไรมามากมาย ชายคนหนึ่งโดนมีดบาดมือเป็นประจ า ชาย คนหนึ่งสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี ชายคนนั้นอายุมากแล้ว ชายคนหนึ่งก าลังเฝ้ารอคอยการกลับมาของใครบาง คน...ชายคนนั้นก็คือพ่อของผม ผมเป็นลูกชาวนาจน ๆ คนหนึ่งในช่วงหน้าฝนนั้นพ่อจะพาผมไปที่ไร่เพื่อดายหญ้า ถางหญ้า ล้อมรั้ว รอบ ๆ ไร่ เพื่อไม่ให้วัวควายเข้าไปในไร่ ให้วัวควายเข้าไปเฉพาะในนาเท่านั้น พ่อของผมท่านไม่ค่อยได้พักผ่อน เพราะมีงานให้ท าอยู่มากมายพ่อมักจะโดนมีดบาดมืออยู่เสมอ เพราะท่านเป็นคนที่ขยัน เร่งรีบ และใจร้อน พ่อ ของผมท่านต้องท างานเกือบทุกย่างเพื่อท าหน้าที่ผู้น าครอบครัว ผมมีพี่น้องอยู่หลายคน แต่ส่วนใหญ่แล้ว แต่งงานกันหมดแล้วต้องสร้างครอบครัวของตนเอง ท าให้ไม่ค่อยมีเวลามาดูแลพ่อกับแม่ ส่วนที่เหลือก็ก าลัง เรียนอยู่ พี่สาวของผมที่ก าลังเรียนอยู่นั้นได้กลับบ้านเป็นประจ า เพราะโรงเรียนอยู่ไม่ค่อยไกลผมเป็นลูกคน สุดท้องไม่ค่อยได้กลับบ้าน เพราะโรงเรียนของผมนั้นอยู่ห่างไกลจากบ้าน ท าให้ไม่ค่อยได้อยู่ดูแลพ่อกับแม่ ซึ่ง ท่านทั้งสองนั้นมีอายุมากแล้วแต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสามารถท าเพื่อท่านได้ นั่นก็คือ ตั้งใจเรียนสวดมนต์อธิษฐาน ภาวนาเพื่อท่านให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง พ่อมักจะสอนผมอยู่เสมอว่าต้องตั้งใจเรียน เรียนให้สูง ๆ จะได้มี งานท าที่ดีไม่ต้องล าบากเหมือนกับท่าน พ่อสอนสานตะกร้าด้วยไม้ไผ่ท าด้ามมีด ด้ามจอบ ด้ามเสียม ลับมีด เลื้อยไม้ ตอกตะปู และอะไรต่าง ๆ ให้ผมมากมาย พอถึงหน้าฝนพ่อจะสอนให้ผมด านาเป็น เกี่ยวข้าวเป็น ตี ข้าวเป็น ต าข้าวเป็น ในตอนเด็ก ๆ นั้น พ่อผมจะเล่านิทานให้ผมฟังก่อนนอนทุกครั้ง ตอนนี้ผมยังจ านิทานทุกเรื่องที่พ่อเล่า ให้ผมฟังได้อยู่ ตอนนี้พ่อของผมท่านอายุมากแล้วท าให้สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง พ่อมักจะปวดหลัง ปวดหัวอยู่เสมอ ผมจึงนวดหลังให้พ่ออยู่เสมอเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย เมื่อถึงเวลาเปิดเรียนแล้วนั้น ผม ต้องเดินทางไปเรียนทุกครั้งที่ผมจะไปเรียนนั้น แม่ของผมท่านจะร้องไห้ทุกครั้งผมต้องปลอบใจแม่ทุกครั้ง ก่อน เดินทางไปเรียนในช่วงเปิดเรียน ผมเป็นห่วงท่านทั้งสองและคิดถึงท่านทั้งสองเสมอ เนื่องในโอกาสวันพ่อ แห่งชาตินี้ผมขอให้พ่อมีสุขภาพร่างกายที่สมบรูณ์และอยากบอกพ่อว่า "ผมรักพ่อ" เอกสารอ้างอิง ประนอม วิบูลย์พันธ์ และคณะ. ๒๕๕๔. หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย. สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.). กรุงเทพฯ. การเขียนเรียงความ. ๒๕๕๖. (ออนไลน์). สืบคนจาก : http://th.wikipedia.org [๒๕ธันวาคม ๒๕๕๖]
ตัวอย่างแบบทดสอบ อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบค าถามข้อ 29 (o-net 61) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตินั้นกระท าได้หลากหลายแนวทาง แนวทางหนึ่งที่เยาวชนสามารถท าได้ ไม่ยากนักคือ การทิ้งขยะลงในถังที่จ าแนกตามประเภทของขยะ เช่น ถังขยะส าหรับภาชนะประเภทแก้ว พลาสติก กระดาษ เป็นต้น จุดประสงค์ก็เพื่อน าทรัพยากรมาหมุนเวียนใช้ใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เรามีทรัพยากรใช้ ในกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจ าวันไปได้อีกเป็นเวลานาน 29. ข้อใดไม่ปรากฏในส่วนสรุปของเรียงความข้างต้น 1. นิยาม 2. เหตุผล 3. ตัวอย่าง 4. รายละเอียด 30. ข้อใดล าดับโครงเรื่อง เพื่อเขียนเรียงความเรื่องความซื่อสัตย์ได้ถูกต้อง (o-net 62) 1. ชี้แจงข้อดี ข้อเสีย 2. ให้รายละเอียด 3. บอกนิยาม 4. ให้ข้อคิด 1. 1 – 3 – 4 - 2 2. 2 – 1 – 4 - 3 3. 3 – 2 – 1 - 4 4. 4 – 3 – 1 – 2 31.ข้อใดเป็นส่วนเนื้อเรื่องของเรียงความ เรื่อง “เพลินชมตลาดมิงกาลา” (o-net 63) 1. ย่างกุ้งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้แม่น้ า เป็นท่าเรือหน้าด่านของการค้า 2. หากมีโอกาสเดินทางไปประเทศเมียนมา ขอเชิญชวนให้แวะชมตลาดมิงกาลา 3. ในสมัยที่อยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ เมียนมาจัดเป็นประเทศที่ร่ ารวยที่สุดในเอเชียอาคเนย์ 4. สินค้าในตลาดมีตั้งแต่ของมีค่าชิ้นเล็กอย่างพลอย ไปจนถึงผ้าหลากชนิดและของแข็งอย่างกะละมัง
ม.2/6 เขียนจดหมายกิจธุระ ใบความรู้เรื่อง การเขียนจดหมายกิจธุระ ความหมายของจดหมายกิจธุระ จดหมายกิจธุระ หมายถึง จดหมายที่ใช้ติดต่อกันเกี่ยวกับเรื่องงาน กิจธุระต่าง ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ การด าเนินชีวิตและเพื่อประโยชน์ในการด าเนินงาน รวมทั้งแสดงไมตรีจิตที่มีต่อกัน เช่น จดหมายเชิญวิทยากร จดหมายขอเข้าชมสถานที่ จดหมายขอความช่วยเหลือ หรือความร่วมมือ จดหมายขอบคุณ การเขียนจดหมาย กิจธุระอาจเป็นการติดต่อระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือบริษัท ห้างร้าน หน่วยงาน องค์การต่างๆ การเขียน จดหมายประเภทนี้ต้องพิจารณาการใช้รูปแบบ ถ้อยค าส านวนให้เหมาะสมกับกาล เทศะโอกาสและบุคล รูปแบบของจดหมายกิจธุระ รูปแบบของจดหมายกิจธุระมีลักษณะเหมือนจดหมายทั่วไป ประกอบด้วยส่วนส าคัญ ๓ ส่วน คือ ๑. ส่วนหัวจดหมาย ประกอบด้วย ๑.๑ สถานที่เขียนจดหมาย ระบุสถานที่ที่ต้องการให้ผู้รับติดต่อกลับมาได้สะดวกโดยระบุรายละเอียด อย่างชัดเจน ๑.๒ วัน เดือน ปีที่เขียนจดหมาย โดยทั่วไปไม่ใส่ค าว่า วัน เดือน ปี ๑.๓ ค าขึ้นต้น ใช้ให้เหมาะสมกับผู้รับ โดยค านึงถึงเพศ วัย ฐานะ และกาลเทศะ ๒. ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ๒.๑ เนื้อความ เขียนข้อความให้กะทัดรัด ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการสื่อสาร ไม่อ้อมค้อม วกวน เยิ่นเย้อ หากเขียนด้วยลายมือต้องเขียนด้วยลายมือให้ชัดเจน อ่านง่าย ๒.๒ ค าจบเนื้อความ สรุปความต้องการให้ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้รับปฏิบัติอย่างไร ๓. ส่วนความลงท้าย ๓.๑ ค าลงท้าย ต้องให้เหมาะสมกับผู้รับและกาลเทศะ ๓.๒ ลายมือชื่อผู้เขียน เขียนให้อ่านง่ายโดยวงเล็บ ชื่อ นามสกุลเต็มไว้ใต้ลายมือชื่อ หากเขียนถึงหน่วยงาน องค์การ หรือบุคคลที่ไม่คุ้นเคย ในการเขียนจดหมายกิจธุระติดต่อเป็นทางการ อาจใช้แบบฟอร์มในลักษณะเดียวกับหนังสือราชการหรือ จดหมายราชการก็ได้
ใบความรู้เรื่อง การเขียนจดหมายกิจธุระ (จดหมายขอบคุณ) ที่ วก. ๒๑๔ /๒๕๖๒ โรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ เลขที่ ๓ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ๗๗๑๑๐ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เรื่อง ขอขอบคุณ เรียน ............................................................................ ตามที่......... ......(ชื่อหน่วยงานเรื่องเดิม)................ได้ให้ความอนุเคราะห์/ความร่วมมือ/ อนุญาตให้(อะไร อย่างไร เมื่อไร ที่ไหน) ....................................................................................นั้น เป็นผลให้.........(จัดกิจกรรมอะไร) ....................... ส าเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามวัตถุประสงค์ทุก ประการ โรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้และหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าคงได้รับความอนุเคราะห์/ความร่วมมือด้วยดีตลอดไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ (นางราตรีศรีไพรวรรณ) ผู้อานวยการโรงเรียนวังไกลกังวล ในพระบรมราชูปถัมภ์ กลุ่มบริหารงานวิชาการ โทรศัพท์0-๔๒๔๘๑๑๒-๔ โทรสาร 0 –๔๒๔๘๑๑๒-๔
ตัวอย่างจดหมายเชิญวิทยากร ที่ ปค ๖ / ๒๕๕๖ ชมรมภาษาไทย โรงเรียนบ้านปะโค ๑ ม. ๑ ต. ปะโค อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ๔๑๓๗๐ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เรื่อง ขอเชิญเป็นวิทยากร เรียน อาจารย์พิญชวิทย์ หมั่นศึกษา สิ่งที่ส่งมาด้วย ก าหนดการจัดงาน “วันภาษาไทยแห่งชาติ “ ประจ าปี ๒๕๖๒ เนื่องในโอกาส “วันภาษาไทย” ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ชมรมภาษาไทย โรงเรียนบ้านปะโค จะจัดกิจกรรมการประกวดความสามารถ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ด้านการอ่านออกเสียง และการอ่านท านองเสนาะ รายละเอียดดังก าหนดการที่แนบ ชมรมภาษาไทยพิจารณาเห็นว่าท่านเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านเป็นอย่างยิ่งและได้รับยกย่องในระดับประเทศ ชมรมภาษาไทยใคร่ขอเชิญ ท่านเป็นวิทยากรบรรยาย และสาธิตเรื่องการอ่านออกเสียงและการอ่านท านองเสนาะ ในวันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เวลา ๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. ณ ห้องประชุมอาคารฟ้า เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้ความเข้าใจ ก่อนการประกวดในวันภาษาไทย จึงเรียนมาเพื่อขอเชิญเป็นวิทยากรตามวันและเวลาดังกล่าว หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะกรุณา และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ ขอแสดงความนับถือ (นางสาวเลิศฟ้า เลิศหล้า) ประธานชมรมภาษาไทย (นางสาวทิพยา ทิพยนิจ) อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมภาษาไทย ชมรมภาษาไทย โทร ๐๔๒ ๒๐๐๗๓๖
ตัวอย่างแบบทดสอบ 32. ข้อใดใช้เป็นย่อหน้าบอกวัตถุประสงค์ในการเขียนจดหมายกิจธุระ (o-net 61) 1. จึงเรียนมาเพื่อโปรดให้ความอนุเคราะห์และขอขอบคุณมาในโอกาสนี้ 2. ด้วยคณะนักเรียนของโรงเรียนจะเดินทางไปทัศนศึกษาสถานที่ส าคัญในจังหวัดของท่าน 3. เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนในวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 ครบรอบ 59 ปี 4. ตามที่โรงเรียนได้รับความอนุเคราะห์จากท่านให้เยี่ยมชมกิจการของโรงงานผลิตรถยนต์นั้น 33. ข้อใดใช้ภาษาทางการในการเขียนย่อหน้าจุดประสงค์เพื่อเชิญวิทยากรได้ถูกต้อง (o-net 62) 1. จึงเรียนมาเพื่อขอเชิญท่านผู้มีความรู้รับเป็นวิทยากรในครั้งนี้ 2. จึงเรียนมาเพื่อขอเชิญเป็นวิทยากรตามวันเวลาดังกล่าว จะเป็นพระคุณยิ่ง 3. จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาช่วยอนุเคราะห์มาบรรยายด้วย จะขอบคุณยิ่ง 4. จึงขอเรียนเชิญมา ณ โอกาสนี้ หวังว่าท่านคงยินดีมาร่วมงานที่ชมรมของเราจัดขึ้น 34. ข้อใดใช้ส านวนภาษาได้เหมาะสมกับการเขียนจุดประสงค์ในจดหมายเชิญวิทยากร (o-net 63) 1. จึงเรียนมาเพื่อโปรดด าเนินการต่อไปจะเป็นพระคุณยิ่ง 2. จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดอนุมัติเป็นวิทยากรจะขอขอบคุณยิ่ง 3. จึงแจ้งมาเพื่อโปรดมาเป็นวิทยากรจัดกิจกรรมด้วยจะขอขอบคุณยิ่ง 4. จึงเรียนมาเพื่อโปรดให้ความอนุเคราะห์เป็นวิทยากรจะเป็นพระคุณยิ่ง ม.3/4 เขียนย่อความ ใบความรู้เรื่อง ย่อความให้ได้ความ การย่อความ ประกอบด้วยทักษะส าคัญ 2 ประการ ดังนี้ 1. การอ่าน การอ่านเพื่อย่อความ เป็นการอ่านแบบสรุปความหรือการอ่านจับใจความส าคัญของเรื่อง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1) อ่านเรื่องที่จะเขียนย่อความทั้งหมดอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร 2) แยกอ่านท าความเข้าใจเรื่องแต่ละย่อหน้าอย่างละเอียด 3) จับความคิดหลัก หรือประโยคใจความส าคัญในแต่ละย่อหน้า โดยความคิดหลัก หมายถึง ความรู้ ความคิดที่ผู้เขียนเสนอต่อผู้อ่าน ในแต่ละย่อหน้าจะต้องมีความคิดหลักที่ผู้อ่านสรุปได้เพียง อย่างเดียว ซึ่งมัก แสดงด้วยประโยคใจความส าคัญซึ่งอาจอยู่ต้นย่อหน้า กลางย่อหน้า หรือท้ายย่อหน้า ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ ประโยคขยายความหรือพลความ ซึ่งท าหน้าที่ขยายใจความส าคัญหรือ ความคิดหลักในย่อหน้าให้ผู้อ่านเข้าใจ แจ่มแจ้งชัดยิ่งขึ้น เช่น รายละเอียดข้อเปรียบเทียบ ตัวอย่าง ย่อหน้าบางแบบอาจมีความคิดหลักแต่ไม่มี ประโยคใจความส าคัญ มีแต่ประโยคขยายความเรียง ต่อเนื่องกันไป 2. การเขียน การเขียนเพื่อย่อความเป็นการเรียบเรียงสาระสาคัญที่บันทึกไว้จากการอ่าน โดยมีหลักดังนี้ 2.1 ข้อความที่ย่อ 1) มีเฉพาะสาระส าคัญ คือ ความคิดหลัก ส่วนที่เป็นพลความตัดออกทั้งหมด 2) ในกรณีที่สาระส าคัญซ้ ากันหลายๆ แห่ง เมื่อน ามาเรียบเรียงให้กล่าวเพียงครั้งเดียว 3) ครอบคลุมประเด็นส าคัญของเรื่องได้ครบถ้วน สมบูรณ์ถูกต้องตามเรื่องเดิม
4) ข้อความที่เป็นค าพูดอยู่ในเครื่องหมายอัญประกาศ ถ้าไม่ใช่ประเด็นส าคัญให้ตัดออก ถ้าเป็นประเด็น ส าคัญให้สรุปสั้นๆ 5) ข้อความที่ย่อเรียงล าดับอย่างไรก็ได้ให้อ่านเข้าใจง่าย ไม่จ าเป็นต้องเรียงล าดับตามเรื่องเดิม 2.2 ส านวนภาษา 1) ใช้ส านวนภาษาของผู้เขียน โดยเป็นการเรียบเรียงเนื้อความใหม่ ไม่ควรใช้ส านวนภาษาของ เรื่องเดิม และหลีกเลี่ยงการตัดต่อประโยคใจความส าคัญของต้นฉบับ 2) เรียบเรียงเป็นเรื่องเล่า ถ้าจะเอ่ยถึงบุคคลอื่น ให้ใช้ชื่อหรือใช้สรรพนามบุรุษที่ 3 ห้ามใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 และ 2 ในย่อความ 3) ส านวนภาษาหรือค ายาก ค ายาว ในเรื่องเดิมให้เปลี่ยนมาใช้ค าธรรมดา 4) ไม่จ าเป็นต้องใช้อักษรย่อในข้อความที่ย่อ นอกจากชื่อเดิมจะยาวมากและอักษรย่อนั้น เป็นที่รู้จักกัน แพร่หลาย เช่น กทม. รสช. รสพ. ททท. 5) ถ้าเรื่องเดิมเป็นร้อยกรองให้ย่อความเป็นร้อยแก้ว 6) ใช้ส านวนภาษาที่คงไว้ซึ่งลีลาหรือน้ าเสียงให้เหมือนเดิม เช่น ความรู้สึกสะเทือนใจ 2.3 ความยาวของย่อความ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่า ย่อความควรมีสัดส่วนเหลือเท่าไรจากเรื่องเดิม หรือเรื่อง ขนาดใด ควรย่อให้สั้นเท่าใด ขึ้นอยู่กับความต้องการและการน าไปใช้ประโยชน์และที่ส าคัญ คือสาระส าคัญ และพลความในเรื่องเดิม ถ้าเรื่องใดมีสาระส าคัญมาก พลความน้อย ย่อความก็จะไม่สั้น คือ ประมาณ 1 ใน 2 ของเรื่องเดิม เพราะถ้าย่อสั้นมากไป จะไม่ได้ใจความครบถ้วนตามเรื่องเดิม หากเรื่องใดมีสาระส าคัญน้อย พล ความมาก ย่อความก็อาจจะสั้นประมาณ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของเรื่องเดิม ตัวอย่างแบบดสอบ 35. ข้อใดเขียนค าน าย่อความไม่ถูกต้อง (o-net 61) 1. ย่อบทความเรื่องพระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน ของส านักงานเลขาธิการคุรุสภา จากหนังสือสมเด็จ พระบรมราชินี”ครู” ศรีแผ่นดิน หน้า 41 – 59 มีใจความว่า 2. ย่อสารคดีเรื่องมิวนิค หรือ มึนเชน ของเรือใบสองสี จากหนังสือเลียบเส้นทางโรแมนติก บาวาเรีย ออสเตรีย หน้า 67 – 70 มีใจความว่า 3. ย่อข่าวเรื่องค่าไฟพุ่ง ค่าครองชีพพรวด จากหนังสือพิมพ์ B.L.T. C ฉบับวันที่ 27 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2560 หน้า 5 มีใจความว่า 4. ย่อค าบรรยายวิชาพิเศษเรื่องอุปัชฌาย์ ของสมเด็จพระธีรญาณมุนี บรรยายถวายเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอ าเภอ ณ โรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนกลาง วัดสามพระยา กรุงเทพ ฯ มีใจความว่า อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบค าถามข้อ 36 (o-net 62) เมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 24 มนุษย์รู้จักการใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน ท าให้การผลิตสินค้าต่างๆ มีหลากหลายชนิดมากขึ้นและผลิตได้ในปริมาณมากภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่การช่างที่ใช้ฝีมือและศิลปะก็ยังคงมีอยู่ต่อมา และยังได้พัฒนาทั้งในด้านรูปแบบและคุณภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมได้ 36. ข้อใดเป็นสาระส าคัญที่น าไปใช้เขียนย่อความได้ถูกต้อง
1. การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มเมื่อตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 24 ก่อนการช่างฝีมือ 2. การช่างฝีมือและเครื่องจักรอุตสาหกรรมสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน 3. ผลิตภัณฑ์ของช่างฝีมือมีรูปแบบสวยงามเป็นที่นิยมมากกว่าผลิตภัณฑ์เครื่องจักรอุตสาหกรรม 4. แม้โรงงานอุตสาหกรรมจะผลิตสินค้าได้ปริมาณมาก แต่การช่างฝีมือก็สามารถผลิตสินค้าคุณภาพ แข่งขันได้ อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบค าถามข้อ 37 (o-net 63) ปัจจุบันกระดาษเริ่มกลับมาเป็นที่นิยมใช้ในชีวิตประจ าวันเพราะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราพบกระดาษ ในรูปของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ถุง ถ้วย หลอด จาน และกล่องบรรจุอาหารรูปแบบต่างๆ ตามร้านค้า ต่างๆ มากขึ้น แม้กระดาษจะย่อยสลายได้ง่าย แต่ตัววัสดุนั้นไม่ทนน้ าเท่าที่ควร ท าให้ระยะเวลาการใช้งานสั้น และไม่สามารถใช้ซ้ าได้ อีกทั้งกระดาษบางชนิดก็มีสารฟอกขาวที่อาจปนเปื้อนอาหารได้ 37. จากข้อความข้างต้นข้อใดไม่ต้องใช้ในการเขียนย่อความ 1. บรรจุภัณฑ์กระดาษมีทั้งถุง ถ้วย หลอด จาน และกล่อง 2. ผลิตภัณฑ์จากกระดาษมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ 3. กระดาษเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะย่อยสลายง่าย 4. กระดาษไม่ทนน้ าจึงไม่สามารถใช้ซ้ าได้หลายครั้ง ม.3/6 เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น และโต้แย้งอย่างมีเหตุผล ม.3/7 เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งในเรื่องต่างๆ ใบความรู้ เรื่องการเขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น และโต้แย้ง การเขียนนั้นมีจุดประสงค์ต่างๆ มากมาย เช่น การเขียนอธิบาย การเขียนชี้แจง การเขียนต่างๆ เหล่านี้ จ าเป็นต้องเขียนให้เข้าใจ ชัดเจน และมีเหตุผล การเขียนอธิบาย เป็นการเขียนสื่อสารให้เกิดความเข้าใจกระจ่างแจ้งในเรื่องเรื่องหนึ่ง โดยผู้เขียนต้องเขียนให้ ผู้รับสารเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ได้แก่ การยกตัวอย่าง การให้นิยาม การขยายความโดยให้เหตุผล เป็น ต้น ตัวอย่างการเขียนอธิบายโดยการยกตัวอย่าง เช่น “ปรากฏการณ์ธรรมชาติคือ การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ทั้งในระยะยาวและระยะสั้น สภาพแวดล้อมของ โลกเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ทั้งเป็นระบบและไม่เป็นระบบ เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เช่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ไฟไหม้ ป่า น้ าท่วม ภูเขาถล่ม แผ่นดินไหว” ตัวอย่างการเขียนอธิบายโดยใช้นิยาม เช่น “ผ้าเช็ดหน้า หมายถึง ผืนผ้ารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ท าขึ้นอย่าง ประณีต มีขนาดพอเหมาะ มีหลากสี ส าหรับใช้ติดตัวเพื่อประโยชน์ต่างๆ เช่น ใช้เช็ดหน้า ใช้ซับเหงื่อ หรือ เหน็บกระเป๋าเพื่อความสวยงาม” การเขียนชี้แจง เป็นการเน้น ขยายความ และให้รายละเอียด การเขียนชี้แจงมักมีสาเหตุ หรือประเด็นเฉพาะ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่น การเขียนชี้แจงเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด การเขียนชี้แจงเพื่อไม่ให้เกิดความ เสียหาย เป็นต้น ประเภทของการชี้แจงมีดังนี้ 1. การเขียนเน้นย้ า เพื่อให้เกิดความเข้าใจและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ควรตั้งจุดมุ่งหมายในการชี้แจงให้ชัดเจน
เช่น ค าชี้แจงในการสอบ 2. ค าชี้แจงเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด เป็นการอธิบายล่วงหน้า เช่น การป้องกันไข้เลือดออก 3. การชี้แจงเพื่อแก้ไขการเข้าใจผิด ต้องอธิบายให้ละเอียด รวมทั้งยกหลักฐานอ้างอิง ต้องใช้ค าสุภาพ ไม่ ควรใช้ข้อความที่แสดงความรู้สึกในทางลบ การเขียนแสดงความคิดเห็น เป็นการเขียนที่สื่อความรู้สึก และค่านิยมของบุคคลต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจจะ เขียนเป็นบทความหรือสารคดีก็ได้ การเขียนแสดงความคิดเห็นที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ 1. ก าหนดวัตถุประสงค์ให้ชัด 2. ล าดับความคิดให้ดี 3. เรียบเรียงถ้อยค าให้ดี การเขียนโต้แย้ง เป็นการเขียนเพื่อแสดงทรรศนะที่ต่างกัน จะต้องมีข้อมูล สถิติ หรือเหตุผลต่างๆ มา สนับสนุนความคิดเห็นของเรา การเขียนโต้แย้งที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ 1. ก าหนดประเด็นการโต้แย้งให้ชัดเจน 2. ค้นหาและเรียบเรียงข้อมูลในการสนับสนุนทรรศนะของตน ซึ่งต้องมีข้อสนับสนุนเพียงพอ มีน้ าหนัก น่าเชื่อถือ และต้องตรงประเด็น 3. ชี้ให้เห็นจุดอ่อนและความผิดพลาดของทรรศนะฝ่ายตรงข้าม ใบงานเรื่อง ปัญหาสุขภาพของเด็กไทย ค าชี้แจง อ่านบทความต่อไปนี้แล้วตอบค าถามและแสดงความคิดเห็น เรื่อง ปัญหาสุขภาพของเด็กไทย (พญ.ลลิตา ธีระสิริ) เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป สุขภาพเด็กสมัยนี้จึงไม่เหมือนกับเด็กรุ่นก่อน จะลองแบ่งกลุ่มของเด็กเพื่อ น าเสนอปัญหาสุขภาพของเด็ก ดังนี้ กลุ่มตุ้ยนุ้ย เด็กกลุ่มนี้รูปร่างใหญ่ส่วนมากมีน้ าหนักมาก กลายเป็นคนจ้ าม่ า ซึ่งผู้ใหญ่บางคน อาจจะ เห็นว่าเด็กอ้วนนั้นน่ารัก และมักจะภูมิใจที่พอเอาเด็กไปชั่งน้ าหนัก วัดส่วนสูงแล้วพบว่าตัวเลขออกมา เกินมาตรฐาน หลงคิดว่าตัวเองเลี้ยงลูกหลานมาดี กลุ่มขี้มูกไหล เด็กกลุ่มนี้มีอาการแพ้อากาศ พออากาศเปลี่ยน อุณหภูมิเย็นลง ฝนตก เข้าห้องแอร์ หน่อย ก็เกิดอาการฟุตฟิต คัดจมูก น้ ามูกไหล บางคนมีผื่นแพ้ด้วย ต้องกินยาทั้งปีแต่ก็แก้ปัญหาได้แค่ทุเลา อาการลง ไม่หายขาด กลุ่มผิวลาย เด็กกลุ่มนี้มีอาการของภูมิแพ้ของผิวหนัง ผิวระคายเคืองง่าย มีจุดกระด ากระด่างมีตุ่มขึ้น บนผิวหนังเป็นประจ า บางคนถูกหาว่าแพ้น้ าลายยุง บางคนเป็นลมพิษคันคะเยอ ไปไหนก็เกายิก ๆ ท าให้เสีย บุคลิก บางคนมีผิวกร้าน หยาบแห้ง ผิวที่มีปัญหาจะบดบังผิวอ่อนนุ่มของเด็ก ๆ ไปจนหมด ลองส ารวจเด็ก ๒ กลุ่มหลังนี้ดูเด็กมักจะไม่ได้กินนมแม่ แต่กินนมวัวมาตั้งแต่เล็ก กินผลิตภัณฑ์จากนมวัวแล้ว แพ้โปรตีนจากนมวัวนั่นแหละ วิธีแก้ปัญหาของเด็กกลุ่มนี้จึงน่าจะอยู่ที่ งดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวอย่างเด็ดขาด แล้วอาการของ ภูมิแพ้ทั้งอาการแพ้อากาศ และผื่นแพ้จะค่อย ๆ หายไปเอง กลุ่มก่อกวน เด็กกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มเด็กดื้อ เด็กซนเกินกว่าเหตุก้าวร้าว อยู่นิ่งไม่ได้อยู่ที่ไหน ก็จะเกิด ความโกลาหลวุ่นวายไปหมดอาจจะเรียกได้ว่า สมาธิสั้น โดยมากจะเรียนหนังสือไม่ได้เดินวนรอบโรงเรียนทั้ง วัน ชอบแกล้งเพื่อนแหย่คนโน้นทีคนนี้ทีจนห้องเรียนไม่เป็นอันต้องท าอะไร ครูก็อิดหนาระอาใจจนอยากให้ ขึ้นชั้นไปเร็ว ๆ ที่จริงอาการนี้เกิดขึ้นเพราะเด็กกลุ่มนี้กินน้ าตาลหวาน ๆ เป็นปริมาณมาก แต่ที่แท้การเผา
ผลาญน้ าตาล ในร่างกายจะต้องใช้วิตามินบีปริมาณมาก เมื่อสมองของเด็กถูกแย่งวิตามินบีไปใช้สมองจะขาด สื่อน าประสาท แล้วจะให้เด็กควบคุมตัวเองได้อย่างไร วิธีแก้จึงอยู่ที่น่าจะงดน้ าตาลและของหวานทั้งหมด หากอยากกินอะไรหวานบ้างก็ควรใช้ผลไม้แทน กลุ่มหวานมัน เด็กกลุ่มนี้นิยมกินอาหาร กินขนมที่มีรสหวานจัดได้รับไขมันจากอาหารสูงมาก กินนมวัว วันละหลาย ๆ แก้ว บางคนกินนมแทนน้ าด้วยซ้ าด้วยความเข้าใจผิด กินเนย กินครีม กินข้าวขาหมูข้าวมันไก่ นิยมกินขนมหวาน ๆ มัน ๆ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ลอดช่องน้ ากะทิจนไขมันที่ได้จากอาหาร การกินล้นเกิน มากเกินกว่าร่างกายจะใช้ได้หมด ท าให้มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูงตั้งแต่เด็ก ๆ บางคนเป็นตั้งแต่อยู่ชั้น อนุบาลด้วยซ้ า หากปรับเปลี่ยนอาหาร ลดไขมันลง ให้เด็กออกก าลังกายกลางแจ้งมากขึ้น ก็จะแก้ปัญหานี้ได้ กลุ่มฟันผุ เด็กกลุ่มนี้มีฟันผุ เพราะชอบกินขนมกรุบกรอบ กินอาหารขยะเป็นประจ าท าให้เศษแป้ง เศษ น้ าตาลติดฟันเป็นอาหารของแบคทีเรีย หรือแมงกินฟัน ท าให้เคลือบฟันไม่แข็งแรงแถมเจ้าตัวยังแปรงฟัน ไม่เป็น แปรงฟันไม่ถูกวิธีบางคนขี้เกียจแปรงฟันเสียอีกก็เลยเกิดรูขึ้นมาในฟันเป็นสีด าๆไม่น่าดู แถมบางครั้ง เป็นสาเหตุของอาการปวดฟันด้วย อ่านจบแล้ว ลองหันมามองดูลูกหลานที่บ้านดูซิว่ามีปัญหาสุขภาพ อย่างไรบ้าง หากเด็ก ๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย นั่นแปลว่าคุณดูแลเขาอย่างดีแต่ถ้าไม่ใช่คงถึงเวลาที่จะต้องท า อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วกระมัง เริ่มจากการปรับอาหารการกินและส่งเสริมให้เขาออกก าลังกายนั่นเอง เป็น หนทางที่ถูกต้อง (ที่มา : http://www.kwanruen.com/health.php?: วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2553) ๑. สรุปใจความส าคัญของบทความนี้สั้นๆ ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................................................ ...... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................. ................ ๒. นักเรียนมีความคิดเห็นอย่างไรกับบทความนี้ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ตัวอย่างแบบทดสอบ 38. ข้อใดมีเนื้อความโต้แย้งที่ให้เหตุผล (o-net 61) 1. บทความนี้เขียนแนะน าวิธีออกก าลังกายแต่ยังไม่น่าสนใจ 2. การออมเงินเป็นวิธีดีที่สุดที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องปฏิบัติตาม 3. ข้อความนี้ไม่ได้อ้างอิงที่มา เพื่อนๆทุกคนยังไม่ควรหลงเชื่อ 4. เพลงที่เพิ่งฟังจบไปร้องได้เพราะมากแต่ไม่มีใครนิยมฟังเลย
ใช้ข้อต่อไปนี้ตอบค าถามข้อ 39 (o-net 61) กรุงเทพ ฯ ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัดวังงามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย 39. ค าขวัญข้างต้นไม่ได้สื่อสารเรื่องใด 1. ความงาม 2. ความเจริญ 3. ความส าคัญ 4. ความยุติธรรม 40. ข้อใดเป็นการเขียนโต้แย้งข้อความโฆษณา “ครีมนี้เปลี่ยนผิวด าเป็นผิวขาวใสได้ในสามวัน” (o-net 62) 1. ผิวด าแก้ไขให้เป็นผิวขาวได้ยากในเวลาอันสั้น 2. ผิวด าท าให้เลือกสีเสื้อผ้าที่เหมาะสมล าบากกว่าผิวขาว 3. ผิวขาวท าให้บุคลิกภาพดี น่าเชื่อถือ เป็นที่ดึงดูดใจ 4. ผิวขาวเป็นค่านิยมของชาวเอเชียเพราะแสดงถึงความเป็นอยู่ที่ดี 41. ข้อความต่อไปนี้ผู้เขียนต้องการกล่าวถึงเรื่องใดเป็นส าคัญ (o-net 62) ในชีวิตนั้นมีค าถามอยู่ 3 ค าถามที่จ าเป็นต้องถามกับตัวเองอยู่เสมอ นั่นคือ ดีหรือเลว จริงหรือเท็จ งามหรืออัปลักษณ์ และการศึกษาจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยเราตอบค าถามเหล่านั้น 1. การเรียนรู้ 2. การท าความดี 3. การยอมรับความจริง 4. การเห็นคุณค่าของชีวิต ใช้ข่าวต่อไปนี้ ตอบค าถามข้อ 42 (o-net 63) ในอดีตมีมนุษย์หลายพันธุ์ แต่ปัจจุบันโฮโมเซเปียนส์เป็นเพียงมนุษย์สายพันธุ์เดียวที่เหลืออยู่ เมื่อ 40,000 ปีที่แล้วโฮโมเซเปียนส์อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์สายพันธุ์อื่นๆ และมีการผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์กัน นักวิจัยด้านพันธุกรรมพบว่า มนุษย์ปัจจุบันมีความแตกต่างจากบรรพบุรุษอย่างมาก เพราะอันที่จริงมนุษย์ ปัจจุบันไม่ใช่สายพันธุ์ที่ผสมอยู่อย่างกลมกลืนในยีนของโฮโมเซเปียนส์ 42. จากรายงานข่าวข้างต้น บุคคลใดไม่ได้แสดงความคิดเห็น 1. พ่อบอกว่าแปลกมากที่โฮโมเซเปียนส์เช่นพวกเราอยู่มาจนถึงปัจจุบัน 2. แม่บอกว่าปัจจุบันน่าจะมีมนุษย์สายพันธุ์โฮโมเซเปียนส์แท้หลงเหลืออยู่บ้าง 3. พี่บอกว่าระยะเวลากว่า 40,000 ปีที่ผ่านมาท าให้เกิดการวิวัฒนาการข้ามสายพันธุ์ 4. น้องบอกว่ายังสามารถจะหามนุษย์สายพันธุ์อื่นๆมาพัฒนาโฮโมเซเปียนส์ได้อีกมาก
สาระที่ 3 การฟัง การดูและการพูด ท 3.1 สามารถเลือกฟัง และดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาส ต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ตัวชี้วัด ม.2/2 วิเคราะห์ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และความน่าเชื่อถือของข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ ม.3/2 วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องที่ฟัง และดูเพื่อน าข้อคิดมาประยุกต์ใช้ในการด าเนินชีวิต ม.3/4 พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ม.3/5 พูดโน้มน้าวโดยน าเสนอหลักฐาน – การพูดโน้มน้าวใจ ตามล าดับเนื้อหาอย่างมีเหตุผล และ น่าเชื่อถือ เนื้อหา ม.2/2 วิเคราะห์ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และความน่าเชื่อถือของข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ ม.3/2 วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องที่ฟัง และดูเพื่อน าข้อคิดมาประยุกต์ใช้ในการด าเนินชีวิต ใบความรู้เรื่อง หลักการวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่ฟังและดู 1. วิจารณญาณในการฟังและดูหมายถึงการรับสารให้เข้าใจตลอดเรื่องแล้วใช้ปัญญาคิดไตรตรอง โดยอาศัยความรู้ ความคิด เหตุผล และประสบการณ์เดิมแล้วสามารถน าสาระต่าง ๆ ไปใช้ในการด าเนินชีวิตได้ อย่างเหมาะสม โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1.1 ฟังและดูให้เข้าใจตลอดเรื่อง 1.2 วิเคราะห์เรื่อง ว่าเป็นเรื่องประเภทใด ลักษณะของเรื่องและตัวละครเป็นอย่างไร มีกลวิธีในการเสนอ เรื่องอย่างไร 1.3 วินิจฉัย พิจารณาเรื่องที่ฟังเป็นข้อเท็จจริง ความคิดเห็น เจตนาของผู้เสนอเป็นอย่างไร มีเหตุผล น่าเชื่อถือหรือไม่ 1.4 การประเมินค่าของเรื่อง ผ่านขั้นตอน 1 – 3 แล้ว ก็ประมาณว่าเรื่องหรือสารนั้นดีหรือไม่ดี มีอะไรที่จะ น าไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ 1.5 การน าไปใช้ประโยชน์ ผ่านขั้นตอนที่ 1 – 4 แล้ว ขั้นสุดท้ายคือ น าคุณค่าของเรื่องที่ฟังและดูไปใช้ได้ เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล 2. การวิเคราะห์ หมายถึง การแยกแยะประเภท ลักษณะ สาระส าคัญและการน าเสนอพร้อมทั้งเจตนาของผู้ พูดหรือผู้เสนอ การวินิจ หมายถึงการพิจารณาเรื่องอย่างไตรตรอง หาเหตุผลข้อดีข้อเสีย และคุณค่าของสาร การวิจารณ์ หมายถึง การพิจารณาอย่างมีหลักเกณฑ์ในเรื่องที่ฟังและดู ว่ามีอะไรน่าคิดน่าสนใจ น่าติดตาม น่าชมเชย น่าชื่นชมและมีไรบกพร่องบ้าง การวิจารณ์สารหรือเรื่องที่ได้ฟังและดู เมื่อได้วิเคราะห์และวินิจและใช้วิจารณญาณในการฟังและดูเรื่องหรือ สารที่ได้รับแล้วก็น าผลมารายงานบอกกล่าวแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งนั้น อย่างมีเหตุผล มีหลักฐาน ประกอบ และเป็นสิ่งสร้างสรรค์ หลักการฟังอย่างวิจารณญาณ การฟังอย่างวิจารณญาณมีหลักปฏิบัติดังนี้ ผู้ฟังพิจารณาว่า ฟังเรื่องอะไร เป็นการฟังประเภทบทความ บทสัมภาษณ์การเล่าเรื่องสรุปเหตุการณ์ ใครเป็นคนพูดคนสัมภาษณ์ ใครเป็นคน เขียนบทความ และหัวข้อนั้นมีคุณค่าแก่การฟังหรือไม่ 1.1 พิจารณาผู้ส่งสารว่ามีจุดมุ่งหมาย และมีความจริงใจในการส่งสารนั้นเพียงใด
1.2 พิจารณาผู้ส่งสารว่ามีความรู้ ประสบการณ์หรือความใกล้ชิดกับเรื่องราวในสารนั้นเพียงใด 1.3 พิจารณาผู้ส่งสารว่าใช้กลวิธีในการส่งสารนั้นอย่างไร คือวิธีการธรรมดาหรือยอกย้อนซ่อนปมอย่างไร 1.4 พิจารณาเนื้อหาของสารว่า ส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นข้อคิดเห็น 1.5 พิจารณาสารว่าเป็นไปได้ และควรเชื่อเพียงใด 1.6 ผู้ฟังควรประเมินว่าสิ่งที่ฟังมีประโยชน์และมีคุณค่ามากน้อยเพียงไร หลักการแยกข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง ในการรับฟังสาร นอกจากจะจับใจความส าคัญของเรื่องที่ฟังแล้ว นักเรียนจะต้องแยะแยะได้ว่า ใจความตอนใดเป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวของผู้พูดซึ่งจะมีลักษณะเมื่อพิจารณาความ ถูกต้องได้ยาก และตอนใดเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์ความถูกต้องได้ การแยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นมีดังนี้ 1. การแยกข้อเท็จจริง เป็นข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้ เห็นว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ได้จากตัวเลขเชิงปริมาณ ต่างๆ ที่มีอยู่ซึ่งท าการตรวจสอบได้ดังนี้ เช่น ประชา หนัก 50 กิโลกรัม โอภาสสูงกว่าเสกสรร 2. ความคิดเห็นเป็นเรื่องของการคาดคะเนหรือการท านายโดยอาศัยเหตุผลส่วนตัวซึ่งควรจะเปิดโอกาสให้มี การโต้แย้งหรือสนับสนุน เช่นของเก่าดีกว่าของใหม่ มีเงินดีกว่ามีเกียรติ หลักและแนวทางการฟังและดูอย่างสร้างสรรค์ 1. ต้องเข้าใจความหมาย หลักเบื้องต้นจองการจับใจความของสารที่ฟังและดูนั้น ต้องเข้าใจความหมายของ ค า ส านวนประโยคและข้อความที่บรรยายหรืออธิบาย 2. ต้องเข้าใจลักษณะของข้อความ ข้อความแต่ละข้อความต้องมีใจความส าคัญของเรื่องและใจความส าคัญ ของเรื่องจะอยู่ที่ประโยคส าคัญ ซึ่งเรียกว่า ประโยคใจความ ประโยคใจความจะปรากฏอยู่ในตอนใดตอนหนึ่ง ของข้อความ โดยปกติจะปรากฏอยู่ในตอนต้น ตอนกลาง และตอนท้าย หรืออยู่ตอนต้นและตอนท้ายของ ข้อความผู้รับสารต้องรู้จักสังเกต และเข้าใจการปรากฏของประโยคใจความในตอนต่าง ๆ ของข้อความ จึงจะ ช่วยให้จับใจความได้ดียิ่งขึ้น 3. ต้องเข้าใจในลักษณะประโยคใจความ ประโยคใจความ คือข้อความที่เป็นความคิดหลัก ซึ่งมักจะมีเนื้อหา ตรงกับหัวข้อเรื่อง เช่น เรื่อง “สุนัข” ความคิดหลักคือ สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่รักเจ้าของ แต่การฟังเรื่องราวจาก การพูดบางทีไม่มีหัวข้อ แต่จะพูดตามล าดับของเนื้อหา ดังนั้นการจับใจความส าคัญต้องฟังให้ตลอดเรื่องแล้ว จับใจความว่า พูดถึงเรื่องอะไร คือจับประเด็นหัวเรื่อง และเรื่องเป็นอย่างไรคือ สาระส าคัญหรือใจความ ส าคัญของเรื่องนั่นเอง 4. ต้องรู้จักประเภทของสาร สารที่ฟังและดูมีหลายประเภท ต้องรู้จักและแยกประเภทสรุปของสารได้ว่า เป็นสารประเภทข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นหรือเป็นค าทักทายปราศรัย ข่าว ละคร สารคดี จะได้ประเด็นหรือ ใจความส าคัญได้ง่าย 5. ต้องตีความในสารได้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารมีเจตนาที่จะส่งสารต่าง ๆ กับบางคนต้องการให้ ความรู้ บางคนต้องการโน้มน้าวใจ และบางคนอาจจะต้องการส่งสารเพื่อสื่อความหมายอื่น ๆ ผู้ฟังและดูต้อง จับเจตนาให้ได้ เพื่อจะได้จับสารและใจความส าคัญได้ 6. ตั้งใจฟังและดูให้ตลอดเรื่อง พยายามท าความเข้าใจให้ตลอดเรื่อง ยิ่งเรื่องยาวสลับซับซ้อนยิ่งต้องตั้งใจ เป็นพิเศษและพยายามจับประเด็นหัวเรื่อง กริยาอาการ ภาพและเครื่องหมายอื่น ๆ ด้วนความตั้งใจ 7. สรุปใจความส าคัญ ขั้นสุดท้ายของการฟังและดูเพื่อจับใจความส าคัญก็คือสรุปให้ได้ว่า เรื่องอะไร ใคร ท า อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไรและท าไม หรือบางเรื่องอาจจะสรุปได้ไม่ครบทั้งหมดทั้งนี้ย่อมขึ้นกับสารที่ฟังจะมี ใจความส าคัญครบถ้วนมากน้อยเพียงใด
วิจารณญาณในการฟังและดู วิจารณญาณในการฟังและดู คือการรับสารให้เข้าใจเนื้อหาสาระใช้ปัญญา คิดใคร่ครวญโดยอาศัยความรู้ ความคิด เหตุผล และประสบการณ์ประกอบแล้วสามารถน าไปใช้ได้อย่าง เหมาะสม การฟังและดูให้เกิดวิจารณญาณนั้นมีขั้นตอนในการพัฒนาเป็นล าดับบางทีก็อาจเป็นไปอย่าง รวดเร็ว บางทีก็ต้องอาศัยเวลา ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้ ประสบการณ์ของบุคคลและความยุ่งยาก ซับซ้อนของเรื่องหรือสารที่ฟัง ขั้นตอนการฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณมีดังนี้ 1. ฟังและดูให้เข้าใจเรื่อง เมื่อฟังเรื่องใดก็ตามผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟังเรื่องนั้นให้เข้าใจตลอดเรื่อง ให้รู้ว่าเนื้อ เรื่องเป็นอย่างไร มีสาระส าคัญอะไรบ้าง พยายามท าความเข้าใจรายละเอียดทั้งหมด 2. วิเคราะห์เรื่อง จะต้องพิจารณาว่าเรื่องเป็นเรื่องประเภทใดเป็นข่าว บทความ เรื่องสั้น นิทาน นิยาย บท สนทนา สารคดี ละคร และเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง เป็นเรื่องจริงหรือแต่งขึ้นต้องวิเคราะห์ลักษณะของตัง ละคร และกลวิธีในการเสนอสารของผู้ส่งสารให้เข้าใจ 3. วินิจฉัยเรื่อง คือการพิจารณาเรื่องที่ฟังว่าเป็นข้อเท็จจริง ความรู้สึกความคิดเห็นและผู้ส่งสารหรือผู้พูดผู้ แสดงมีเจตนาอย่างไรในการพูดการแสดง อาจจะมีเจตนาที่จะโน้มน้าวในจรรโลงหรือแสดงความคิดเห็น เป็น เรื่องที่มีเหตุมีผลมีหลักฐานน่าเชื่อถือหรือไม่และมีคุณค่ามีประโยชน์เพียงใด ตัวอย่างแบบทดสอบ ใช้ข้อความต่อไปนี้ ตอบค าถามข้อ 43 (o-net 61) ส านักงานคณะกรรมการอาหารและยาออกประกาศทางวิทยุและโทรทัศน์ว่า “...อาหารส าเร็จรูปพร้อม บริโภคที่อยู่ในภาชนะบรรจุพร้อมจ าหน่ายต่อผู้บริโภค เช่นอาหารจานเดียวซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นหรือตู้ แช่แข็งตลอดระยะเวลาจ าหน่ายนั้นเป็นอาหารที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการและค่าพลังงาน น้ าตาล ไขมัน และ โซเดียม..” 43. ข้อใดปฏิบัติถูกต้องตามที่ได้ฟังประกาศของส านักงานคณะกรรมการอาหารและยาข้างต้น 1. ผู้ผลิตสินค้าติดฉลากระบุวันหมดอายุบนสินค้าทุกชนิด 2. ผู้ซื้อสินค้าอ่านฉลากแนะน าวิธีการใช้สินค้าอย่างละเอียดทุกครั้ง 3. ผู้จ าหน่ายอาหารส าเร็จรูปจัดเก็บอาหารส าเร็จรูปไว้ในตู้แช่แข็ง 4. ผู้ผลิตอาหารส าเร็จรูปแสดงฉลากโภชนาการบนภาชนะบรรจุพร้อมจ าหน่ายทุกชิ้น 44. จากการฟังข้อความต่อไปนี้ บุคคลใดน าความรู้มาใช้ในการด าเนินชีวิตได้ถูกต้อง (o-net 62) เมื่อเกิดปัญหานอนไม่หลับ เราลองส ารวจเรื่องอารมณ์ อาหาร เครื่องดื่ม การออกก าลังกาย และ สิ่งแวดล้อมในห้องนอน เพราะสาเหตุที่ท าให้นอนไม่หลับ อาจมาจากหลายปัจจัย เช่น ความเครียด การรับประทานอาหารมื้อหนักก่อนนอน การได้รับสารบางชนิดจากกาแฟหรือสุรา การดื่มกาแฟหรือสุราตอน บ่ายถึงกลางคืนอาจจะท าให้นอนไม่หลับในเวลากลางคืน การออกก าลังตอนใกล้เข้านอนและสิ่งแวดล้อมใน ห้องไม่ดี เช่นร้อน หนาว แสงจ้าไป เสียงดังไป เมื่อพบสาเหตุดังกล่าว ก็ควรรีบแก้ไขเพื่อไม่ให้เป็นโรคเรื้อรัง 1. พี่วิดพื้นก่อนนอน 2. แม่ดื่มกาแฟตอนเช้า 3. พ่อดื่มเบียร์ตอนบ่าย 4. น้องกินข้าวมันไก่ตอนดึก