พิจารณาข้อความประชาสัมพันธ์ต่อไปนี้ แล้วตอบค าถามข้อที่ 45 และข้อ 46 (o-net 63) ดื่มไม่ขับ ขับไม่ซิ่ง ง่วงไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย 45.จากข้อความประชาสัมพันธ์ ข้างต้น ข้อใดกล่าวถูกต้อง 1. คนที่ง่วงนอนไม่ควรขับรถ 2. คนที่ชอบขับรถช้าไม่ควรขับรถ 3. คนที่จะไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ควรขับรถ 4. คนที่ต้องการกลับบ้านปลอดภัยต้องเดินทางด้วยรถ 46. จากข้อความประชาสัมพันธ์ ข้างต้น บุคคลในข้อใดน าความรู้มาปรับใช้ในการด าเนินชีวิตได้อย่าง สมเหตุสมผล 1. ป้าเลิกขับรถตลอดชีวิต 2. ลุงขับรถเร็วตามที่กฎหมายก าหนด 3. น้าง่วงนอนจึงรีบขับรถกลับไปนอนที่บ้าน 4. อาดื่มเหล้าหลังเลิกงานแล้วขับรถไปเที่ยวต่อ ม.3/4 พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ม.3/5 พูดโน้มน้าวโดยน าเสนอหลักฐานการพูดโน้มน้าวใจ ตามล าดับเนื้อหาอย่างมีเหตุผล และน่าเชื่อถือ ใบความรู้เรื่อง การพูดในโอกาสต่าง ๆ : การพูดอภิปราย ความหมายของการอภิปราย การอภิปราย คือ การที่บุคคลคณะหนึ่งซึ่งมีความรู้และความสนใจในด้านต่าง ๆ มาร่วมกันพูดเสนอความรู้ความคิดเห็นที่มีสารประโยชน์บนเวทีและเปิดโอกาสให้ผู้ฟังร่วมแสดงความ คิดเห็นหรือซักถามในตอนท้าย ท าให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันจนกระทั่งหาข้อยุติเพื่อตัดสินใจ แก้ปัญหาหรือสรุปผลในเรื่องนั้นได้ จุดมุ่งหมายของการอภิปราย การอภิปรายโดยทั่วไป มีจุดมุ่งหมายดังต่อไปนี้ ๑) เพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งได้มีโอกาสร่วมแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนทัศนะกันอย่างมีเหตุผล ๒) เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาที่น ามาอภิปราย ๓) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด และเหตุผลในเรื่องที่อภิปราย ๔) เพื่อหาข้อยุติข้อวินิจฉัยในเรื่องนั้น ๆ ๕) เพื่อเผยแพร่ความรู้ข้อเสนอแนะที่เกิดจากการอภิปรายสู่สาธารณชน ประเภทของการอภิปราย การอภิปรายมีรูปแบบดังนี้
๑) การอภิปรายเป็นคณะ ประกอบด้วยผู้คณะอภิปราย ๒ –๕ คน เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องที่อภิปราย นั่งบนเวทีมี ผู้ด าเนินการอภิปรายกล่าวทาให้ผู้ร่วมอภิปรายแสดงความรู้และความคิด ผู้ฟังมีโอกาสแสดง ความคิดเห็นและ ซักถามในตอนท้าย ๒) การอภิปรายแบบปาฐกถาหมู่ ประกอบด้วยคณะผู้บรรยาย ๒ –๕ คน มีผู้ด าเนินการอภิปราย ผู้ร่วม อภิปรายแต่ละคนพูดเฉพาะส่วนที่ได้รับมอบหมาย บรรยากาศเป็นวิชาจริงจังมากกว่าการอภิปรายเป็นคณะ ผู้ฟังมีโอกาสซักถามและแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง อาจแยกที่บรรยายเป็นพิเศษ เมื่อผู้ด าเนินการ อภิปรายเชิญก็ลุกออกมายืนพูด เมื่อพูดเสร็จกลับไปนั่งที่เดิม ๓) การอภิปรายซักถาม เป็นรูปแบบที่ปรับปรุงมาจากการอภิปรายเป็นคณะ ผู้อภิปรายมี๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง เป็นวิทยากร ๒ –๔ คน อีกกลุ่มหนึ่งเป็นตัวแทนผู้ฟัง ๒ –๔ คน นั่งหันหน้าหากัน มีผู้ด าเนินการอภิปรายอยู่ ตรงกลาง เมื่อเป็นการอภิปรายแล้ว เปิดโอกาสให้ตัวแทนผู้ฟัง และผู้ฟังซักถาม วิทยากรเป็นฝ่ายตอบ ๔) การเปิดอภิปรายทั่วไป เป็นการอภิปรายที่ผู้ฟังมีส่วนร่วมอภิปราย อาจเป็นการตั้งกระทู้ถามในเรื่องที่สงสัย กล่าวสนับสนุน กล่าวขัดแย้ง กล่าวประนีประนอม หรือตั้งข้อสังเกตแสดงความคิดเห็นได้ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึง การอภิปรายเสร็จสิ้น บทบาทผู้ด าเนินการอภิปราย ผู้น าการอภิปราย มีบทบาทดังนี้ ๑) ประสานงาน นัดหมายผู้อภิปราย วางแผนล่วงหน้า แจ้งก าหนดการ จุดประสงค์โครงเรื่อง เนื้อหา วิธีอภิปราย สถานที่ เวลา และอื่น ๆ ๒) กล่าวน าการอภิปราย บอกสาเหตุที่น าเรื่องนี้มาอภิปราย ความหมายขอบเขตของเรื่องใช้เวลา เท่าใด รอบแรกผู้อภิปรายพูดคนละกี่นาทีรอบสองกี่นาทีผู้ฟังมีเวลาซักถามกี่นาทีฯลฯ ๓) กล่าวแนะน าผู้ร่วมอภิปรายตามลาดับ ชื่อ ต าแหน่ง ความสามารถ แนะน าตนเองเป็นคนสุดท้าย บอกเฉพาะชื่อและนามสกุล ๔) กล่าวน าประเด็นที่จะอภิปรายเพื่อให้ผู้ฟังและผู้ร่วมอภิปรายเข้าใจตรงกัน ๕) เชิญผู้ร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น ผู้ด าเนินการอภิปรายบันทึกประเด็นส าคัญไว้สรุปและ เชื่อมโยงให้ผู้ร่วมอภิปรายคนถัดไปสามารถพูดต่อได้จนครบทุกคน ๖) ช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตลอดการอภิปราย ๗) สรุปท้ายอภิปราย เชิญผู้ฟังซักถามกล่าวสรุป ขอบคุณและปิดอภิปราย บทบาทผู้ร่วมอภิปราย ๑) ศึกษาเรื่องและจุดมุ่งหมายในการอภิปราย ๒) ปรึกษาและวางแผนการอภิปรายร่วมกันระหว่างผู้ร่วมอภิปราย ๓) เตรียมค้นคว้าข้อมูล เขียนโครงร่างการพูดล่วงหน้า ๔) เตรียมสื่อ โสตทัศนูปกรณ์ล่วงหน้า ๕) ใช้เวลาพูดให้เหมาะสม ตรงประเด็น ภาษาสุภาพ บรรยากาศเป็นมิตร แทรกอารมณ์ขัน ๖) ขณะที่ผู้อภิปรายอื่นพูดตั้งใจฟังตลอด เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหา ๗) หากจะแสดงความคิดขัดแย้งผู้อื่น ควรมีวาทศิลป์ที่สุภาพและมีเหตุผล ๘) ตอบค าถามอย่างกระตือรือร้น ได้สาระ บทบาทผู้ฟัง ๑) มีมารยาทในการฟัง ฟังอย่างตั้งใจตลอดการอภิปราย ๒) ให้เกียรติผู้อภิปราย ต้องปรบมือเมื่อผู้ด าเนินการอภิปรายแนะนาผู้ร่วมอภิปราย ผู้อภิปราย แต่ละคนพูดจบ และเมื่อการอภิปรายจบสิ้น
๓) จดบันทึกสาระความรู้ขณะฟัง แสดงถึงความใฝ่รู้ของผู้ฟัง ๔) ขณะฟังคิดตามไปด้วย ไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย ไม่นั่งหลับ ไม่คุย ๕) ให้ความร่วมมือโดยการซักถามหรือแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสม (พูดดีมีอนาคต : พิศวาท น้อยมณี) ใบความรู้เรื่อง การพูดโน้มน้าว การพูดโน้มน้าวใจ เป็นการพูดให้ผู้ฟังเกิดความไว้วางใจ เชื่อถือ ประทับใจในถ้อยค าของผู้พูด และมีความคิดเห็นคล้อยตาม จุดมุ่งหมายของการพูดโน้มน้าวใจ จุดมุ่งหมายของการพูดโน้มน้าวใจ แบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ ๑. ให้ผู้ฟังปฏิบัติตามในสิ่งที่ผู้พูดเสนอ ซึ่งจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ไม่น าไปในทางที่เสื่อมเสีย ๒. ให้ผู้ฟังเลิกปฏิบัติในสิ่งนั้น ๆ เพราะการประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นจะเกิดผลเสียต่อตนเองหรือผู้อื่น จึงต้องการให้เลิกพฤติกรรมนั้น ๓. ให้ผู้ฟังปฏิบัติสิ่งนั้นต่อไป เพราะเป็นการปฏิบัติที่ดีอยู่แล้ว ผู้พูดจะต้องไม่กล่าวยกยอเกินจริงเพราะจะท าให้ ผู้ฟังเกิดความไม่ไว้วางใจ คิดว่ามีเจตนาบางอย่างแฝงอยู่ก็จะไม่ปฏิบัติตามที่ผู้พูดต้องการ การพูดจะประสบ ความล้มเหลว การพูดโน้มน้าวใจจะประสบความส าเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับเทคนิคและวิธีการของผู้พูดเป็นส าคัญ ว่าจะสร้างความเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ฟังได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้นจึงควรศึกษาถึงหลักการพูด ใน ลักษณะนี้ไว้เพื่อให้เกิดประโยชน์และบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ หลักการพูดโน้มน้าวใจ หลักการพูดโน้มน้าวใจ มีดังนี้ ๑. ก าหนดจุดมุ่งหมายให้แน่นอนว่าต้องการพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังมีการตอบสนองอย่างไร ๒. แสดงให้ผู้ฟังเชื่อมั่นว่าผู้พูดมีความรู้ในเรื่องที่พูด ซึ่งผู้พูดต้องศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดมา เป็นอย่างดีพร้อมที่จะเสนอความคิดอย่างมีหลักการ มีเหตุผล มีหลักฐานอ้างอิง พร้อมที่จะตอบข้อซักถามของ ผู้ฟัง ๓. ท าความรู้จักกับผู้ฟังโดยแนะน าข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้พูดพอสมควร เพื่อสร้างความเป็นมิตรและความไว้วางใจ ๔. ใช้เหตุและผลในการน าเสนอชี้ให้เห็นผลดีในการปฏิบัติตามและผลเสียของการไม่ปฏิบัติตาม หากมี หลักฐานอ้างอิงก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในตัวผู้พูด ๕. ใช้ค าพูดที่สุภาพ สร้างสรรค์เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อนและมีน้ าเสียงที่เหมาะสม ตัวอย่าง การพูดโน้มน้าวใจให้เลิกปฏิบัติ ยาไม่สามารถรักษาโรคได้ทุกโรค เพราะโรคแต่ละโรคเกิดจากเชื้อโรคที่แตกต่างกัน ตัวยาที่ใช้ในการ รักษาก็แตกต่างกันด้วย คนที่ชอบซื้อยาชุดมากินเวลาเจ็บป่วยควรจะได้รู้ถึงโทษที่จะเกิดขึ้นตามมา นั่นก็คือ ระบบการท างานของตับและไตถูกท าลาย กระดูกผุตัวบวมเป็นโรคกระเพาะ ซึ่งออกมาในลักษณะใดนั้นขึ้นอยู่ กับชนิดของยาที่เรากินเข้าไป เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ขอให้ทุกคนเลิกซื้อยาชุดตามร้านขายยากินเอง ให้ไปพบ แพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธี ตัวอย่าง การพูดโน้มน้าวใจให้ปฏิบัติตาม ภาษาไทยเป็นภาษาประจ าชาติและเป็นเอกลักษณ์ที่ส าคัญของชาติไทย พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์มี ส่วนส าคัญในการด ารงรักษาภาษาไทยไว้ให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป แต่คนไทยในปัจจุบันกลับใช้ภาษาอย่าง ผิด ๆ จนเป็นความเคยชิน ท าให้เอกลักษณ์ทางภาษาถูกท าลายความมั่นคงของชาติก็ถูกบั่นทอนไปด้วย เราทุก
คนจึงควรตระหนักถึงความส าคัญ ช่วยกันอนุรักษ์และพัฒนาภาษาไทยให้คงอยู่กับชาติไทยตลอดไป อย่าให้ ภาษาซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติต้องถูกท าลายด้วยมือของคนไทยเอง มารยาทในการพูด มารยาทในการพูด คือ กิริยาวาจาที่เรียบร้อย ถูกต้อง งดงามตามแบบแผนของสังคม มารยาทเป็นคุณสมบัติประจ าตัวของผู้พูดที่มีส่วนท าให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อผู้พูด โดยทั่วไปผู้พูดควรมีมารยาทในการพูด ดังนี้ ๑. มารยาทในการแต่งกาย ควรแต่งกายสะอาดเรียบร้อย เครื่องแต่งกายสุภาพเหมาะสมกับกาลเทศะและเข้า กับบุคลิกภาพของผู้พูด ๒. มารยาทในการแสดงออก เช่น การเดิน การยืน การใช้อวัยวะของร่างกาย ควรท าอย่างสง่าผ่าเผย สอดรับ กับเนื้อหาที่จะพูด และเป็นธรรมชาติ ๓. มารยาทในการใช้ค าพูด หลักการใช้ค าพูด คือ จะต้องเป็นข้อเท็จจริง เป็นเหตุเป็นผล มีคุณค่า สารประโยชน์หลีกเลี่ยงค าที่ไม่สุภาพ ค าก ากวม ค าที่ออกเสียงไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ควรเลือกใช้ค าพูดให้ เหมาะสมกับที่ประชุมชนนั้น ๆด้วย ๔. การรักษาเวลาในการพูดอย่างเคร่งครัด ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ควรพูดให้จบภายในเวลา ที่ก าหนด ๕.การควบคุมอารมณ์ขณะที่พูดอาจจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นหรือมีการรบกวนการพูด เช่น คนยกมือถาม มีคน พูดคุยกัน มีผู้ฟังพูดแทรกกลางคัน เป็นต้น ผู้พูดจะต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองให้หนักแน่น และแก้ปัญหา นั้นอย่างดี ๖. การรับฟังข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ฟังหากมีผู้ฟังแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ควรรับฟัง และแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างเหมาะสมมีเหตุมีผลไม่ยึดมั่นว่าความเห็นของตนเองถูกต้องที่สุดเท่านั้น มารยาทในการพูดมีความส าคัญมาก เพราะมีผลอย่างยิ่งต่อความส าเร็จและความล้มเหลวในการพูด โดยเฉพาะการพูดในที่ประชุมชนหรือพูดในที่สาธารณะ จะต้องระมัดระวังมารยาทในการพูดอย่างมาก มารยาทในการพูดไม่ใช่การแสร้งท าว่ามีมารยาท หากแต่เป็นการฝึกฝนตนเองจนกลายเป็นนิสัย ไม่ว่าจะพูด ที่ ไหน เมื่อไร ก็ยังคงรักษามารยาทในการพูดอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ถือเป็นมาตรฐานส่วนบุคคล หรือเป็น บุคลิกภาพอย่างหนึ่ง ตัวอย่างแบบทดสอบ ใช้ข้อความต่อไปนี้ตอบค าถาม ข้อ 47 ( o-net 61) ร้านอาหารแห่งนี้ ติดตั้ง กล้องวงจรปิด และ ระบบกันขโมย เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าทุกท่าน 47. จากข้อความข้างต้น ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง 1. ร้านอาหารแห่งนี้มีขโมยชุกชุม 2. ร้านอาหารแห่งนี้ถูกลูกค้าขโมยของเป็นประจ า 3. ร้านอาหารแห่งนี้เน้นความปลอดภัยของลูกค้า 4. ร้านอาหารแห่งนี้มียามรักษาความปลอดภัยตลอดเวลา
48. ข้อใดใช้คุณสมบัติของสินค้าในการโฆษณาเพื่อโน้มน้าวใจ ( o-net 61) 1. เมนูเด็ดของร้านนี้คือซีฟู้ด กุ้ง หอย ปู ปลา 2. กุ้งแม่น้ าเผาตัวใหญ่ยักษ์หอมฉุย ชวนน้ าลายไหล 3. ส าหรับพวกกุ้งเลิฟเวอร์ ที่นี่มีสารพัดกุ้งให้ลิ้มลอง 4. เมนูเด็ดอีกอย่างคือส้มต าปูม้าที่ปรุงโดยกุ๊กชาวอีสานขนานแท้ 49. ข้อใดเป็นค าพูดของผู้ด าเนินการอภิปราย ( o-net 61) 1. สวัสดีครับ ท่านผู้ฟัง ผมต้องขอบคุณทุกท่านที่สนใจมาฟังเรื่องเก่าๆ จากคนแก่ๆ อย่างผม 2. ดิฉันก็เก่าและแก่ไม่แพ้ท่านที่เพิ่งพูดจบไป ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้รับเชิญให้มาเล่าเรื่องจากภาพโบราณ เหล่านี้ 3. เราได้รับเกียรติจากวิทยากร 3 ท่าน ซึ่งล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ รู้จักกันดี 4. ภาพโบราณสถานที่เห็นนี้แสดงถึงศิลปะในสมัยอยุธยาตอนต้นอย่างชัดเจน ผมจะอธิบายแต่ละส่วนให้ ท่านเข้าใจ 50. ข้อใดโน้มน้าวใจด้วยการใช้เหตุผลสนับสนุน ( o-net 61) 1. ผู้รู้กล่าวว่าการเรียนรู้คือชีวิต 2. คนที่หยุดพัฒนาตัวเองคือมะเร็งร้ายที่เกาะกินสังคม 3. ผู้มีประสบการณ์ชีวิตมากย่อมมีโอกาสเจริญก้าวหน้าสูง 4. การรู้จักมองและใช้ประโยชน์จากสิ่งรอบๆตัวนั้นจะท าให้เราฉลาดขึ้น 51. “ กรรมเราเป็นคนท า เราก็ควรจะเป็นคนแก้ จะไปให้คนอื่นแก้ให้ไม่ได้” ข้อความนี้ใช้ภาษาในการพูด โน้มน้าวใจตามข้อใด ( o-net 61) 1. การใช้ภาษาเชิงเสนอแนะ 2. การใช้ภาษาเชิงวิงวอน 3. การใช้ภาษาเชิงขอร้อง 4. การใช้ภาษาเชิงเร้าใจ 52. ข้อใดเป็นการพูดแสดงความคิดเห็นในการอภิปราย ( o-net 62) 1. จากการศึกษาพบว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่แพร่หลายมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา 2. นักวิจัยในมหาวิทยาลัยค้นพบว่าน้ ามันจากปลาทะเลช่วยระงับอาการปวดศีรษะข้างเดียวได้ 3. อย่างไรก็ตาม วิธีแก้ปัญหาเรืองการเรียนการสอนในปัจจุบัน วิธีหนึ่งก็คือ จะต้องมีการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศในการเรียนการสอนให้มากขึ้น 4. เราได้ธาตุเหล็กจากการกินเนื้อสัตว์ และผักผลไม้ เมื่ออาหารถูกย่อย ธาตุเหล็กจะถูกดูดซึมผ่านผนัง กระเพาะและล าไส้ ร่างกายก็จะน าไปใช้ประโยชน์ต่อไป 53. “เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรให้เบ็ดตกปลาและสอนวิธีตกปลาแก่เขา” เมื่อฟังข้อความนี้แล้ว ได้ข้อคิดเรื่องใด ( o-net 62) 1. การพึ่งพาตนเอง 2. ความเมตตาปรานี 3. ความอดทนอดกลั้น 4. การประหยัดอดออม
54. การโน้มน้าวใจในข้อใดไม่มีการแสดงเหตุผล ( o-net 62) 1. บุฟเฟ่ต์ข้าวแกงอร่อยที่สุดในย่านนี้ 2. ผลิตจากสมุนไพรคุณภาพดี ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม 3. รับประกันความอร่อย เพราะเปิดขายมานานกว่า 50 ปี 4. ถ้าโทรตอนนี้ คุณจะได้รับส่วนลดทันที 50 เปอร์เซ็นต์ 55. โอกาสใดไม่จ าเป็นต้องใช้การพูดแสดงความยินดี ( o-net 62) 1. คลอดบุตร 2. ขึ้นบ้านใหม่ 3. ส าเร็จการศึกษา 4. สมัครสอบเข้าศึกษาต่อ 56. ส านวนข้อใดไม่ใช่การพูดโน้มน้าวใจโดยใช้ภาษาเชิงเสนอแนะ ( o-net 62) 1. ร าไม่ดีโทษปีโทษกลอง 2. ที่ทับจงมีไฟ ที่ไปจงมีเพื่อน 3. คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ 4. เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่ 57. เมื่อครูได้เลื่อนต าแหน่งเป็นครูใหญ่ ประธานนักเรียนควรกล่าวอย่างไรจึงจะเหมาะสม ( o-net 63) 1. พวกเรารู้สึกยินดีที่ครูได้รับต าแหน่งใหม่ 2. พวกเรารู้สึกซาบซึ้งที่ครูได้รับต าแหน่งใหม่ 3. พวกเรารู้สึกประทับใจที่ครูได้รับต าแหน่งใหม่ 4. พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติที่ครูได้รับต าแหน่งใหม่ 58. ข้อใดเป็นค ากล่าวลงท้ายของผู้น าเสนอโครงงาน ( o-net 63) 1. ขอขอบคุณที่ให้โอกาสแสดงแนวความคิดในวันนี้ 2. ขอตอบแทนน้ าใจอันดีงามที่ช่วยเหลือนักเรียนทุกคน 3. ขอแสดงความยินดีที่ได้ประดิษฐ์ผลงานจนส าเร็จลุล่วง 4. ขอชื่นชมในความมุ่งมั่นท าโครงงานนี้จนได้รับรางวัลชนะเลิศ 59. ข้อความต่อไปนี้ใช้กลวิธีโน้มน้าวใจตามข้อใด ( o-net 63) แม่บอกลูกว่า “อย. เตือนให้ระวังผักและผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาด ผักผลไม้พวกนั้นมีแต่สารเคมี และสิ่งสกปรกต่างๆติดอยู่ทั้งนั้น ต้องล้างน้ าหลายๆครั้งให้สะอาด เพื่อสุขภาพที่ดี” 1. ให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือ 2. ใช้วิธีการเปรียบเทียบ 3. เร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า 4. ให้ทางเลือกทั้งด้านดีและด้านเสีย
60. การโน้มน้าวใจในข้อใดไม่มีการแสดงเหตุผล ( o-net 63) 1. ครีมบ ารุงนี้ปลอดภัยต่อผู้ใช้ด้วยสารสกัดบริสุทธิ์จากธรรมชาติ 2. การกดซื้อบัตรคอนเสิร์ตของศิลปินบางคนให้ได้ที่ติดเวทีเป็นเรื่องยาก 3. กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจากการออกก าลังกายช่วยให้สมรรถภาพร่างกายดีขึ้น 4. ห่านย่างร้านนี้รับประกันความอร่อย จากรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย ท 4.1: เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา ภูมิ ปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วัด ม.1/3 วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของค าในประโยค ม.1/6 จ าแนกและใช้ส านวนที่เป็นค าพังเพยและสุภาษิต ม.2/1 สร้างค าในภาษาไทย ม.2/2 วิเคราะห์โครงสร้างประโยคสามัญ ประโยครวม และประโยคซ้อน ม.3/1 จ าแนกและใช้ค าภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย ม.3/3 วิเคราะห์ระดับภาษา ม.3/4 ใช้ค าทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ ม.3/6 แต่งบทร้อยกรอง เนื้อหา ม.1/3 วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของค าในประโยค ใบความรู้เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของค าในประโยค องค์ประกอบของค า “ค า” ประกอบด้วยเสียงสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ ใช้สร้างประโยคเพื่อสื่อสาร ชนิดและหน้าที่ของค า แบ่งด้วยเกณฑ์หน้าที่และความหมายได้ ๗ ชนิด ได้แก่ ค านาม ค าสรรพนาม ค ากริยา ค าวิเศษณ์ ค าบุพบท ค าสันธาน และค าอุทาน ค านาม คือ ค าที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ สภาพ ทั้งมีตัวตนและไม่มีตัวตน ได้แก่ ๑. สามานยนาม คือ ค านามทั่วไป ไม่เจาะจง เช่น เสื้อผ้า ต้นไม้ ๒. วิสามานยนาม คือ ค านามที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น ดอกกุหลาบ กรุงเทพฯ ๓. สมุหนาม คือ ค านามบอกหมวดหมู่ เช่น ฝูงนก เหล่าลูกเสือ วงดนตรี ๔. อาการนาม คือ ค านามบอกอาการ สร้างจากค ากริยาหรือค าวิเศษณ์ ได้แก่ ค าว่า การ น าหน้าค ากริยา เช่น การนอน การกิน และค าว่า ความ น าหน้าค าวิเศษณ์หรือค ากริยาเกี่ยวกับความรู้สึก เช่น ความหวัง ความรู้ ๕. ลักษณนาม คือ ค านามบอกลักษณะของค านามอื่น อยู่หลังค าบอกจ านวน เช่น กลอน ๓ บท ลักษณนาม ต่างจากสมุหนามตรงที่อยู่หลังจ านวนนับหรือค านามทั่วไป ส่วนสมุหนามจะอยู่หน้าค านามทั่วไป เช่น คณะ นักแสดง (สมุหนาม) นักแสดง ๑ คณะ (ลักษณนาม)
หน้าที่ของค านาม ๑. ประธานของประโยค เช่น นักเรียนเดินข้ามถนน ๒. กรรมของประโยค เช่น ลุงปลูกต้นไม้ ๓. ส่วนขยาย เช่น สัตว์น้ าต้องอยู่ในน้ า (ขยายประธาน) ๔. ส่วนเติมเต็ม เช่น ฉันเป็นคนไทย ๕. อยู่หลังค าบุพบท เช่น หนังสืออยู่ในรถ ๖. ค าเรียกขาน เช่น พ่อจ๋า หนูกลับมาแล้ว ค าสรรพนาม คือ ค าใช้เรียกแทนค านามเพื่อไม่ต้องกล่าวนามซ้ า มี ๖ ชนิด ได้แก่ ๑. บุรุษสรรพนาม คือ ค าสรรพนามที่ใช้ในการสื่อสาร ได้แก่ บุรุษที่ ๑ (แทนผู้พูด) เช่น ฉัน บุรุษที่ ๒ (แทน ผู้ฟัง) เช่น คุณ บุรุษที่ ๓ (แทนผู้ที่กล่าวถึง) เช่น เขา มัน ๒. ปฤจฉาสรรพนาม คือ ค าสรรพนามที่ใช้ถามเพื่อค าตอบ เช่น อะไรแตก ๓. วิภาคสรรพนาม คือ ค าสรรพนามที่ใช้แทนค านามเพื่อชี้ซ้ าและแยกเป็นส่วน ๆ ได้แก่ ต่าง บ้าง กัน เช่น ชาวสวนต่างเก็บผลผลิต หากค าเหล่านี้ท าหน้าที่อื่น เช่น ต่างคนก็ต้องท างาน ถือเป็นค าวิเศษณ์ ๔. อนิยมสรรพนาม คือ ค าสรรพนามไม่ชี้เฉพาะ คล้ายปฤจฉาสรรพนามแต่ไม่ใช่ค าถาม เช่น ใคร ๆ ก็อยากรู้ ๕. นิยมสรรพนาม คือ ค าสรรพนามชี้เฉพาะหรือบอกระยะ ได้แก่ นี่ นั่น โน่น เช่น นี่คืองานของเขา ๖. ประพันธสรรพนาม คือ ค าสรรพนามที่ท าหน้าที่แทนนามข้างหน้าและเชื่อมประโยค ได้แก่ ที่ ซึ่ง อัน เช่น นักเรียนที่ตั้งใจเรียนจะได้คะแนนดี หน้าที่ของค าสรรพนาม ๑. ประธานของประโยค เช่น ฉันก าลังอ่านหนังสือ ๒. กรรมของประโยค เช่น ครูท าโทษพวกเรา ๓. ส่วนเติมเต็ม เช่น ตุ๊กตานี้หน้าตาเหมือนเธอ ๔. ค าเชื่อมในประโยคความซ้อน เช่น คนที่ท าผิดต้องได้รับโทษ ค ากริยา คือ ค าแสดงอาการของนามหรือสรรพนามที่เป็นประธานของประโยค มี ๔ ชนิด ได้แก่ ๑. อกรรมกริยา คือ ค ากริยาที่สมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องมีกรรมตามหลัง เช่น งูเลื้อย โทรศัพท์ดัง ๒. สกรรมกริยา คือ ค ากริยาที่ต้องมีกรรมตามหลังจึงสมบูรณ์ เช่น แมวกินปลา ๓. วิกตรรถกริยา คือ ค ากริยาที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง ต้องการค านามหรือค าสรรพนามมาเป็นส่วนเติมเต็ม ได้แก่ เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ ราวกับ เช่น หวัดเป็นโรคติดต่อ เธอเหมือนแม่ ๔. กริยานุเคราะห์ คือ ค ากริยาช่วยที่เติมหน้ากริยาหลักให้มีความหมายชัดขึ้น มี ๒ ลักษณะ คือ – เป็นกริยาช่วยอย่างเดียว ได้แก่ ย่อม ก าลัง จะ พึง ควร น่า อย่า เช่น พ่อก าลังล้างจาน – เป็นกริยาต่างจ าพวก ได้แก่ อยู่ ได้ แล้ว จะ คง ถ้าไม่ได้ประกอบกริยาอื่นจะจัดเป็นอกรรมหรือ สกรรมกริยา เช่น ลุงปลูกต้นไม้อยู่ (อยู่ เป็นกริยานุเคราะห์) แต่ เขาอยู่บ้าน (อยู่ เป็นอกรรมกริยา) หน้าที่ของค ากริยา ๑. กริยาหลักของประโยค เช่น สุดาล้างมือ ๒. ประธานของประโยค เช่น นอนเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ๓. กรรมของประโยค เช่น ฉันชอบเล่นดนตรี ๔. ขยายกริยาหลัก เช่น พ่อก าลังอ่านหนังสือพิมพ์ ๕. เป็นส่วนขยาย เช่น เขากินมะม่วงสุก (ขยายกรรม)
ค าวิเศษณ์คือ ค าขยายค าอื่นให้มีความหมายชัดขึ้นหรือมีเนื้อความต่างไป ใช้ประกอบ ค านาม ค าสรรพนาม ค ากริยา และค าวิเศษณ์ มี ๑๐ ชนิด ได้แก่ ๑. ลักษณวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์บอกลักษณะ สี กลิ่น ขนาด ความรู้สึก เช่น พ่อชอบน้ าเย็น (ความรู้สึก) ๒. กาลวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์บอกเวลา ได้แก่ เช้า สาย อดีต อนาคต ก่อน หลัง นาน เช่น ฉันกลับบ้านดึก ๓. สถานวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์บอกสถานที่ ได้แก่ ใกล้ ไกล ห่าง บน ใต้ บก ซ้าย เช่น รถวิ่งเลนซ้าย ๔. ประมาณวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์บอกปริมาณหรือจ านวน ได้แก่ มาก น้อย หนึ่ง ที่หนึ่ง หลาย หมด บรรดา เช่น นี่คือเงินทั้งหมดที่เหลือ ๕. นิยมวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์ชี้เฉพาะ ได้แก่ นี่ นั้น ทั้งนี้ อย่างนี้ ดังนั้น เอง เฉพาะ เช่น เขาซื้อโต๊ะตัวนี้ ๖. อนิยมวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์ไม่ชี้เฉพาะ ได้แก่ อะไร ไหน อย่างไร เช่น ของอะไรมีค่าก็ควรเก็บ ๗. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์แสดงค าถาม ได้แก่ อะไร ท าไม หรือ ไหน กี่ อย่างไร เช่น เขาต้องการอะไร ๘. ประติชญาวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์ขานรับหรือโต้ตอบ ได้แก่ ครับ คะ ค่ะ จ๊ะ โว้ย เช่น สวัสดีครับ ๙. ประติเษธวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์แสดงการปฏิเสธ ได้แก่ ไม่ ไม่ใช่ มิได้ อย่า เช่น สิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา ๑๐. ประพันธวิเศษณ์ คือ ค าวิเศษณ์เชื่อมประโยค ได้แก่ ที่ ซึ่ง อัน อย่างที่ ที่ว่า เพื่อว่า เช่น เขาท าให้ฉันไว้ใจ ต่างกับประพันธสรรพนาม คือ ประพันธวิเศษณ์จะวางติดกับค ากริยาหรือวิเศษณ์ เช่น เพื่อนยอมรับที่เขาเป็น คนดี แต่ประพันธสรรพนามจะวางติดกับค านามหรือสรรพนาม เช่น เพราะเขาเป็นคนที่ดี เพื่อนจึงยอมรับ ต าแหน่งการวางค าวิเศษณ์ ๑. วางไว้หลัง ได้แก่ วางหลังค านามเพื่อขยายนาม เช่น เก้าอี้ขาว วางหลังกริยาเพื่อขยายกริยา เช่น เขาพูด เก่ง วางหลังกรรมเพื่อขยายกริยา เช่น เขาผัดผักอร่อย วางหลังค าวิเศษณ์เพื่อขยายวิเศษณ์เช่น พี่ขับรถเร็ว มาก ๒. วางไว้หน้า ได้แก่ วางหน้าค านาม เช่น ปวงชนชาวไทย (วิเศษณ์ขยายนาม) มากคนก็มากความ (วิเศษณ์ บอกปริมาณ) วางหน้าค ากริยา เช่น เขาไม่รู้ (วิเศษณ์บอกปฏิเสธ) ๓. วางไว้ทั้งหน้าและหลัง ได้แก่ วิเศษณ์บอกค าถามหรือไม่ชี้เฉพาะ เช่น อะไรที่เธอขอ เธอขออะไร หน้าที่ของค าวิเศษณ์ ๑. ขยายประธาน เช่น รถใหม่วิ่งเร็ว ๒. ขยายกริยา เช่น เต่าคลานช้า ๓. ขยายกรรม เช่น ฉันชอบมะม่วงหวาน ๆ ๔. ขยายส่วนขยาย เช่น แม่ครัวปรุงแกงอร่อยมาก ค าบุพบท คือ ค าที่ท าหน้าที่เชื่อม ๒ ค าให้สัมพันธ์กัน อาจน าหน้าค านาม สรรพนาม หรือกริยาที่ท าหน้าที่เป็น นามก็ได้ ๑. บอกเครื่องใช้หรืออาการร่วมกัน ได้แก่ กับ ด้วย โดย ตาม เช่น พ่อกับพี่ ๒. บอกผู้รับหรือความประสงค์ ได้แก่ แก่ แด่ เพื่อ ต่อ เช่น เขาบริจาคเงินแก่โรงเรียน ๓. บอกสถานที่ต้นทางหรือสาเหตุ ได้แก่ แต่ จาก เช่น เขาบินมาจากต่างประเทศ ๔. บอกสถานที่ ได้แก่ ที่ ใต้ บน เหนือ ล่าง ใกล้ ไกลใน นอก เช่น บ้านอยู่ใกล้วัด ๕. บอกความเป็นเจ้าของ ได้แก่ ของ แห่ง ใน เช่น คุณค่าของภาษาไทย ๖. บอกเวลา ได้แก่ เมื่อ ตั้งแต่ ก่อน หลัง เช่น เมื่อคืน ตั้งแต่เที่ยง ๗. บอกสาเหตุ ได้แก่ เพราะ เนื่องจาก เนื่องแต่ เช่น เพราะความขยัน เนื่องแต่ภัยสงคราม
ค าสันธาน คือ ค าที่ท าหน้าที่เชื่อมค ากับค า ประโยคกับประโยค ข้อความกับข้อความ หน้าที่ของค าสันธาน ๑. เชื่อมค า เช่น ครูและนักเรียน ๒. เชื่อมประโยค ได้แก่ ๑) ความต่อเนื่องหรือคล้อยตาม ได้แก่ และ แล้ว...จึง แล้ว...ก็ พอ...ก็ เช่น พอท างานเสร็จเขาก็นอน ๒) ความขัดแย้งกัน ได้แก่ แต่ แต่ก็ แต่ทว่า กว่า...ก็ เช่น กว่าเขาจะมา พวกเราก็กลับกันแล้ว ๓) ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ มิฉะนั้น มิฉะนั้น...ก็ หรือ เช่น เขาโกหกหรือเธอโกหก ๔) ความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ จึง เพราะฉะนั้น...จึง เพราะ เช่น เพราะเขาตั้งใจจึงมีผลงานเสมอ ๕) เชื่อมใจความหลักกับใจความขยาย ได้แก่ บอกเวลา (เมื่อ ก่อน จาก) เช่น เขาออกไปเมื่อ หมาเห่า บอกความเปรียบ (เหมือน คล้าย) เช่น รู้ด้วยตนเองดีกว่าฟังคนอื่น บอกเหตุผล (เพราะ) เช่น ครูไม่มาเพราะป่วย ข้อสังเกตค าบุพบทและค าสันธาน บางค าเป็นได้ทั้งค าบุพบทและค าสันธาน เช่น แม่เลี้ยงแมวเหมือนลูก (เหมือน เป็นค าบุพบท) แม่เลี้ยงแมวเหมือนมันเป็นลูกของตัวเอง (เหมือน เป็นค าสันธาน) ค าอุทาน คือ ค าที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงความรู้สึก มี ๒ ชนิด ๑. อุทานแสดงอารมณ์ มีเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) อยู่ด้านหลัง ได้แก่ สงสัย เช่น เอ๊ะ! อ้าว! เสียใจ เช่น อนิจจา! ประหลาดใจ เช่น โอ้โฮ! เข้าใจ เช่น อ๋อ! โกรธ เช่น ชิชะ! สงสาร เช่น พุทโธ่! บอกให้รู้ตัว เช่น เฮ้ย! โว้ย! ๒. อุทานเสริมบท ใช้เสริมค าอื่นเพื่อให้คล้องจอง หรือเป็นค าสร้อยในค าประพันธ์ค าเสริมอาจอยู่ข้างหน้า เช่น โรงเล่าโรงเรียน อยู่ข้างหลัง เช่น กลับบ้านกลับช่อง หรืออยู่กลางค าอื่น เช่น ผลหมากรากไม้ส่วนค า สร้อยอื่น เช่น นา แลนา แฮ เอย เฮย แหล่งที่มาของเนื้อหา : ส านักพิมพ์วัฒนาพานิช www.wpp.co.th ตัวอย่างแบบทดสอบ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย ( รูปแบบข้อสอบ จะมีลักษณะเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก 1 ค าตอบ และแบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 61. ข้อใดเป็นประโยคที่มีทั้งค านามและค ากริยาเป็นค าหลัก (o-net 61) 1. ทุกๆเช้า เด็กๆและผู้ใหญ่ทุกคน 2. สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ของฉันเครื่องนี้ 3. พอตื่นเช้าออกก าลังกายแล้วก็รีบไปโรงเรียน 4. ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ควรฝึกให้มีน้ าใจดีต่อกันเสมอ 62. ข้อใดมีค านามที่ใช้อย่างบุรุษสรรพนาม (o-net 62) 1. หัวหน้าบอกว่าจะซื้อผลไม้เอง 2. นกขุนทองในกรงทักทายผู้คนทั้งวัน 3. นักเรียนหญิงส่วนมากชอบร้องเพลง 4. โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดมีราคาแพงมากมาก
63.ประโยคใดใช้ลักษณนามไม่ถูกต้อง (o-net 63) 1. พายุไต้ฝุ่นท าให้ประชาชนต้องอพยพกว่า 400 ครัวเรือน 2. การผลิตรถไฮเปอร์คาร์รุ่นนี้จ ากัดไว้เพียง 500 คันเท่านั้น 3. ถังหมักตัวนี้มีลักษณะพิเศษคือมีการควบคุมอุณหภูมิด้วย 4. ผู้ป่วยกว่าแสนรายต่อปีจะเข้าถึงการรักษาแบบใหม่ง่ายขึ้น 64. ค าว่า “ที่” ในข้อใดไม่ใช่ค าเชื่อมอนุประโยค (o-net 63) 1. ฉันมีโอกาสรู้จักอาจารย์ที่มีความสามารถหลายท่าน 2. เขาน าความรู้ที่ได้จากการอบรมไปช่วยเหลือชาวบ้าน 3. ภาวะโลกร้อนท าให้ธารน้ าแข็งที่ขั้วโลกละลายเพิ่มขึ้น 4. การด าน้ าครั้งนี้ต้องเผชิญกับน้ าทะเลที่มีอุณหภูมิเย็นจัด ม.1/6 จ าแนกและใช้ส านวนที่เป็นค าพังเพยและสุภาษิต ใบความรู้เรื่อง ส านวน สุภาษิต ค าพังเพย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๕๔ : ๑๒๒๗) ได้อธิบายความหมาย “ส านวน” ไว้ว่า “ถ้อยค าที่เรียบเรียง, โวหาร, บางทีก็ใช้ว่าส านวนโวหาร ; ถ้อยค าหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมายไม่ตรงตามตัวหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ให้ว่ายน้ า ร าไม่ดีโทษปีโทษกลอง” ส านวน จึงเป็นถ้อยค าที่มีความหมายไม่ตรงตามตัวอักษร เป็นค ากล่าวเชิงเปรียบเทียบเพื่อใช้อธิบาย การกระท าพฤติกรรม หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผู้พูดไม่ได้กล่าวถึงโดยตรง มีความหมายไม่ตรงรูปค า แต่เป็นที่เข้าใจ ความหมายกันระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เช่น น้ าท่วมทุ่ง ตีท้ายครัว หม้อข้าวไม่ทันด า สุภาษิต คือ ถ้อยค าที่กล่าวไว้เป็นคติหรือเตือนใจ มักเป็นถ้อยค าที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีจุดมุ่งหมายเพื่อสั่งสอนและเป็นข้อเตือนใจให้ปฏิบัติตาม โดยมักมีค าว่า “อย่า” หรือ “ให้” ปรากฏในสุภาษิต นั้นด้วย เช่น น้ าเชี่ยวอย่าขวางเรือ คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ ค าพังเพย คือ ถ้อยค าที่กล่าวให้ข้อคิด โดยจะกล่าวถึงพฤติกรรม การกระท าบางอย่างในสถานการณ์ ต่าง ๆ เช่น ปิดทองหลังพระ ดังนั้น สุภาษิตค าพังเพย จึงจัดรวมอยู่ใน “ส านวน” ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมี ความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยค าที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน ลักษณะของสุภาษิต และค าพังเพย สุภาษิต มีลักษณะเป็นถ้อยค าที่มักใช้สั้นๆ กะทัดรัด แต่มีความหมาย ลึกซึ้งมีสัมผัสคล้องจอง หรือ บางครั้งอาจใช้ค าแปลกชวนให้สะดุดใจ คิดตีความ ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้กันใน สังคมไทย มักมีที่มาจากค าสอนทางพุทธศาสนา ธรรมะในพุทธศาสนา หรืออาจน ามาจากธรรมชาติ และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สุภาษิตเป็นถ้อยค าที่กล่าวสืบต่อกันมาแต่โบราณ มักพบในวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ เช่น สุภาษิตพระร่วง โคลงโลกนิติ สุภาษิตสอนหญิง เป็นต้น ตัวอย่าง - ท าดีได้ดี สอนว่าหากท าดีก็จะได้รับผลดีตอบแทน - ท าชั่วได้ชั่ว สอนว่าหากท าชั่วก็จะได้รับสิ่งไม่ดีตอบแทน - น้ าขึ้นให้รีบตัก สอนให้รีบท าเมื่อมีโอกาสดี - น้ าขุ่นอยู่ใน น้ าใสอยู่นอก สอนให้เก็บความไม่พอใจเอาไว้แสดงท่าทีเป็นมิตร - อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน สอนไม่ให้ไว้ใจหรือเชื่ออะไรใครง่าย ๆ - พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ สอนให้รู้จักระงับความโกรธ
ค าพังเพย มีลักษณะเป็นถ้อยค าที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรม หรือธรรมชาติรอบตัว โดยมากมัก เป็นถ้อยค าที่เป็นข้อสรุปการกระท าหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ต านาน วรรณคดีเป็นต้น ตัวอย่าง - ทองไม่รู้ร้อน หมายถึง ทาตัวไม่มีความรู้สึก ไม่มีปฏิกิริยา - ขมิ้นกับปูน หมายถึง ไม่ถูกกัน ทะเลาะกันเป็นประจ า - กบเลือกนาย หมายถึง คนช่างเลือก เลือกมากจนตัวเองเดือดร้อน - ท าคุณบูชาโทษ หมายถึง ท าความดีแต่กลับได้รับสิ่งไม่ดีตอบแทน - ร าไม่ดีโทษปี่โทษกลอง หมายถึง ตนเองท าผิด แต่โทษว่าเป็นความผิดของผู้อื่น - มือไม่พาย เอาเท้าราน้ า หมายถึง ตนเองไม่ช่วยท า แล้วยังขัดขวางการท างานของผู้อื่น ใบงาน เรื่อง ส านวน สุภาษิต ค าพังเพย จงตอบค าถามต่อไปนี้ให้ถูกต้องสมบูรณ์ สุภาษิตค าพังเพย จัดรวมอยู่ใน “ส านวน” ด้วยกันทั้งคู่ เพราะ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. จงจ ำแนกส ำนวนไทยต่อไปนี้ว่ำส ำนวนใดเป็นสุภำษิตส ำนวนใดเป็นค ำพังเพย ๑. บัวไม่ให้ช้ า น้ าไม่ให้ขุ่น เป็น ..................................................................... ๒. มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท เป็น ..................................................................... ๓. มือถือสาก ปากถือศีล เป็น ..................................................................... ๔. น้ าขึ้นให้รีบตัก เป็น ..................................................................... ๕. กบเลือกนาย เป็น ..................................................................... ๖. ขมิ้นกับปูน เป็น ..................................................................... ๗. น้ าขุ่นอยู่ใน น้ าใสอยู่นอก เป็น ..................................................................... ๘. อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน เป็น ..................................................................... ๙. ท าคุณบูชาโทษ เป็น ..................................................................... ๑๐. พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เป็น ..................................................................... ๑๑. คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ เป็น ..................................................................... ๑๒. เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เป็น .................................................................... จงบอกควำมหมำยของส ำนวนต่อไปนี้ ๑. สู้จนยิบตา หมายถึง ............................................................................................................................. ................................................. ๒. งอมพระราม หมายถึง ............................................................................................................................. ................................................ ๓. เจ้าไม่มีศาล สมภารไม่มีวัด หมายถึง ..................................................................................................................................................................... ......... ......................................................................................................................... .....................................................
จงเติมส านวนลงในช่องว่างให้ถูกต้องตรงความหมาย ๑. หาประโยชน์ใส่ตนโดยขูดรีดจากคนอื่น ............................................................................................................................. ................................................ ๒. สร้างเรื่องไม่จริงให้เป็นเรื่องจริง ........................................................................................................................................................................ ..... ๓. ค าพูดตรง แต่ไม่น่าฟัง ............................................................................................................................................................................. ๔. เอาความลับไปบอกให้ใคร ๆ รู้ ............................................................................................................................. ................................................ ๕. ชอบว่าคนอื่นไม่ดีแต่ตัวกับท าเสียเอง ............................................................................................................................. ................................................ ค าชี้แจง : พิจารณาสถานการณ์ต่อไปนี้ว่าตรงกับส านวนใด ๑. สมชายไม่ช่วยเพื่อนท ารายงาน แล้วยังเปิดวิทยุเสียงดังรบกวนเพื่อน ตรงกับส านวนใด ............................................................................................................................. ................................................ ๒. พ่อแม่อุตส่าห์กู้หนี้ยืมสินหาเงินมาให้เรียนหนังสือกลับหนีโรงเรียนเอาเงินไปเที่ยวกับเพื่อน ตรงกับส านวนใด ..................................................................................................................... ........ ๓. ครูของฉันสอนลูกศิษย์ได้ผลดียิ่ง ลูกศิษย์สอบได้ยกชั้นทุกปีท่านท างานมาเกือบสิบปีแล้วเพิ่งได้ เงินเดือนขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งนี้เพราะท่านไม่ต้องการโฆษณาความดีของท่าน การกระท าของ ครูนี้ตรงกับส านวนใด ............................................................................................................................. ................................................ ๔. นักการเมือง ๒ คนนี้เขารู้จุดอ่อนและเล่ห์เหลี่ยมของกันและกัน ตรงกับส านวนใด ................................................................................................................................ ............................................. ๕. นายแดงเป็นคนจน งานหาเลี้ยงชีพก็ไม่มีท า แต่นายแดงชอบแต่งตัวหรูหราจนคนอื่น ๆ เข้าใจว่า เป็นคนร่ ารวย ลักษณะของนายแดงตรงกับส านวนใด ............................................................................................................................. ................................................ ตัวอย่างแบบทดสอบ 65. ส านวน 2 ข้อใดมีความหมายสอดคล้องกัน (o-net 61) ( แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. ขมิ้นกับปูน 2. ถึงไหนถึงกัน 3. เข้ารูปเข้ารอย 4. เป็นปี่เป็นขลุ่ย 5. คอหอยกับลูกกระเดือก
66. ส านวน 2 ข้อใดถูกต้องตามความหมาย (o-net 61) ( แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. พอเขาอกหัก เขาก็หันหน้าเข้าวัด 2. เขาเก็บความลับเก่งแบบคมในฝัก 3. นางงามปีนี้หน้าตาแค่ไปวัดไปวาได้ 4. สาวสมัยนี้แต่งหน้าเก่งเพราะมีเสน่ห์ปลายจวัก 5. ทางเดินไปขึ้นรถไฟไกลมากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา 67. ส านวนในข้อใดไม่ได้เกิดจากการละเล่นหรือกีฬา (o-net 62) ( แบบปรนัย 4 ตัวเลือก 1 ค าตอบ) 1. สู้ยิบตา 2. ตาบอดคล าช้าง 3. ไม่ดูตาม้าตาเรือ 4. งงเป็นไก่ตาแตก 68. ส านวนข้อใดใช้เตือนให้ระมัดระวังเรื่องการถูกหลอกลวง (o-net 62) ( แบบปรนัย 4 ตัวเลือก 1 ค าตอบ) 1. อย่าหมายน้ าบ่อหน้า 2. เดินทางอย่าเดินเปลี่ยว 3. อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน 4. โทษตนผิดร าพึง อย่าคะนึงถึงโทษท่าน 69. ส านวน 2 ข้อใดใช้ส านวนผิดความหมาย (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. แม่ค้าปลาคนนั้นปากปลาร้าชอบว่าลูกค้าหยาบๆคายๆ 2. พรุ่งนี้ต้องสอบท่องอาขยาน น้องจึงซ้อมท่องจนปากเปียกปากแฉะ 3. นักเขียนคอลัมน์นี้ปากหนักมากใช้คารมคมคายเหน็บแนมผู้คนเก่งจริงๆ 4. เขาเป็นคนปากเปราะเราะรายจึงไม่แปลกที่มีเรื่องทะเลาะกับชาวบ้านไปทั่ว 5. ลูกเต่ามากมายเหล่านี้เมื่อปล่อยลงทะเลไป ก็เหลือรอดปากเหยี่ยวปากกาเพียงเล็กน้อย 70. ข้อความ 2 ข้อใดมีความหมายเกี่ยวข้องกับค าพูดหรือการพูด (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. หวานเย็น 2. หวานคอแร้ง 3. หวานอมขมกลืน 4. หวานนอกขมใน 5. หวานเป็นลมขมเป็นยา
ม.2/1 สร้างค าในภาษาไทย ใบความรู้เรื่อง การสร้างค า(ค าสมาส – ค าสนธิ)ในภาษาไทย ค าสมาส ค าสมาสเป็นวิธีสร้างค าในภาษาบาลีและสันสกฤต โดยน าค าตั้งแต่ ๒ ค าขึ้นไปมาประกอบ กันคล้ายค าประสม แต่ค าที่น ามาประกอบแบบค าสมาสนั้น น ามาประกอบหน้าศัพท์ การแปล ค าสมาสจึงแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น บรม (ยิ่งใหญ่) + ครู = บรมครู (ครูผู้ยิ่งใหญ่) สุนทร (ไพเราะ) + พจน์ (ค าพูด) = สุนทรพจน์ (ค าพูดที่ไพเราะ) การน าค ามาสมาสกัน อาจเป็นค าบาลีสมาสกับบาลี สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต หรือบาลี สมาสกับสันสกฤตก็ได้ การเรียงค าตามแบบสร้างของค าสมาส ๑. ถ้าเป็นค าที่มาจากบาลีและสันสกฤต ให้เรียงบทขยายไว้ข้างหน้า เช่น อุทกภัย หมายถึง ภัยจากน้ า อายุขัย หมายถึง สิ้นอายุ ๒. ถ้าพยางค์ท้ายของค าหน้าประวิสรรชนีย์ ให้ตัดวิสรรชนีย์ออก เช่น ธุระ สมาสกับ กิจ เป็น ธุรกิจ พละ สมาสกับ ศึกษา เป็น พลศึกษา ๓. ถ้าพยางค์ท้ายของค าหน้ามีตัวการันต์ให้ตัดการัตน์ออกเมื่อเข้าสมาส เช่น ทัศน์ สมาสกับ ศึกษา เป็น ทัศนศึกษา แพทย์ สมาสกับ สมาคม เป็น แพทยสมาคม ๔. ถ้าค าซ้ าความ โดยค าหนึ่งไขความอีกค าหนึ่ง ไม่มีวิธีเรียงค าที่แน่นอน เช่น นร (คน) สมาสกับ ชน (คน) เป็น นรชน (คน) วิถี (ทาง) สมาสกับ ทาง (ทาง) เป็น วิถีทาง (ทาง) คช (ช้าง) สมาสกับ สาร (ช้าง) เป็น คชสาร (ช้าง) การอ่านค าสมาส การอ่านค าสมาสมีหลักอยู่ว่า ถ้าพยางค์ท้ายของค าลงท้ายด้วย สระอะ, อิ, อุ เวลาเข้า สมาสให้อ่านออกเสียง อะ อิ อุ นั้นเพียงครึ่งเสียง เช่น เกษตร สมาสกับ ศาสตร์ เป็น เกษตรศาสตร์ อ่านว่า กะ-เสด-ตระ-สาด อุทก สมาสกับ ภัย เป็น อุทกภัย อ่านว่า อุ-ทก-กะ-ไพ ประวัติ สมาสกับ ศาสตร์ เป็น ประวัติศาสตร์ อ่านว่า ประ-หวัด-ติ-สาด ภูมิ สมาสกับ ภาค เป็น ภูมิภาค อ่านว่า พู-มิ-พาก เมรุ สมาสกับ มาศ เป็น เมรุมาศ อ่านว่า เม-รุ-มาด เชตุ สมาสกับ พน เป็น เชตุพน อ่านว่า เช-ตุ-พน
ข้อสังเกต ๑. มีค าไทยบางค า ที่ค าแรกมาจากภาษาบาลีสันสกฤต ส่วนค าหลังเป็นค าไทย ค าเหล่านี้ ได้แปล ความหมายตามกฎเกณฑ์ของค าสมาส แต่อ่านเหมือนกับว่าเป็นค าสมาส ทั้งนี้ เป็นการอ่านตามความนิยม เช่น เทพเจ้า อ่านว่า เทพ-พะ-เจ้า พลเรือน อ่านว่า พล-ละ-เรือน กรมวัง อ่านว่า กรม-มะ-วัง ค าเหล่านี้ ผู้เรียนจะสามารถศึกษาพวกกฎเกณฑ์ได้ต่อเมื่อเรียนชั้นสูงขึ้น ๒. โดยปกติการอ่านค าไทยที่มีมากกว่า ๑ พยางค์ มักอ่านตรงตัว เช่น บากบั่น อ่านว่า บาก-บั่น ลุกลน อ่านว่า ลุก-ลน แต่มีค าไทยบางค าที่เราอ่านออกเสียงตัวสะกดด้วย ทั้งที่เป็นค าไทยมิใช่ค าสมาสซึ่ง ผู้เรียนจะต้องสังเกต เช่น ตุ๊กตา อ่านว่า ตุ๊ก-กะ-ตา จักจั่น อ่านว่า จัก-กะ-จั่น จั๊กจี้ อ่านว่า จั๊ก-กะ-จี้ ชักเย่อ อ่านว่า ชัก-กะ-เย่อ สัปหงก อ่านว่า สับ-ปะ-หงก ค าสนธิ การสนธิ คือ การเชื่อมเสียงให้กลมกลืนกันตามหลักไวยกรณ์บาลีสันสกฤต เป็นการเชื่อม อักษรให้ ต่อเนื่องกันเพื่อตัดอักษรให้น้อยลง ท าให้ค าพูดสละสลวย น าไปใช้ประโยชน์ในการแต่งค าประพันธ์ ค าสนธิ เกิดจากการเชื่อมค าในภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น ถ้าค าที่น ามาเชื่อมกัน ไม่ใช่ภาษาบาลีสันสกฤต ไม่ถือว่าเป็นสนธิ เช่น กระยาหาร มาจากค า กระยา + อาหาร ไม่ใช่สนธิ เพราะ กระยาเป็นค าไทยและ ถึงแม้ว่าค าที่น ามารวมกันแต่ไม่ได้เชื่อมกัน เป็นเพียงประสมค าเท่านั้น ก็ไม่ถือว่าสนธิ เช่น ทิชาชาติ มาจาก ทีชา + ชาติ ทัศนาจร มาจาก ทัศนา + จร วิทยาศาสตร์ มาจาก วิทยา + ศาสตร์ แบบสร้างของค าสนธิที่ใช้ในภาษาบาลีและสันสกฤต มีอยู่ ๓ ประเภท คือ ๑. สระสนธิ ๒. พยัญชนะสนธิ ๓. นิคหิตสนธิ ส าหรับการสนธิในภาษาไทย ส่วนมากจะใช้แบบสร้างของสระสนธิ
แบบสร้างของค าสนธิที่ใช้ในภาษาไทย ๑. สระสนธิ การสนธิสระท าได้ ๓ วิธี คือ ๑.๑ ตัดสระพยางค์ท้าย แล้วใช้สระพยางค์หน้าของค าหลังแทน เช่น มหา สนธิกับ อรรณพ เป็น มหรรณพ นร สนธิกับ อินทร์ เป็น นรินทร์ ปรมะ สนธิกับ อินทร์ เป็น ปรมินทร์ รัตนะ สนธิกับ อาภรณ์ เป็น รัตนาภรณ์ วชิร สนธิกับ อาวุธ เป็น วชิราวุธ ฤทธิ สนธิกับ อานุภาพ เป็น ฤทธานุภาพ มกร สนธิกับ อาคม เป็น มกราคม ๑.๒ ตัดสระพยางค์ท้ายของค าหน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าของค าหลังแต่เปลี่ยนรูป อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู หรือ โอ ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนรูป อะ เป็นอา เทศ สนธิกับ อภิบาล เป็น เทศาภิบาล ราช สนธิกับ อธิราช เป็น ราชาธิราช ประชา สนธิกับ อธิปไตย เป็น ประชาธิปไตย จุฬา สนธิกับ อลงกรณ์ เป็น จุฬาลงกรณ์ เปลี่ยนรูป อิ เป็น เอ นร สนธิกับ อิศวร เป็น นเรศวร ปรม สนธิกับ อินทร์ เป็น ปรเมนทร์ คช สนธิกับ อินทร์ เป็น คเชนทร์ เปลี่ยนรูป อุ เป็น อู หรือ โอ ราช สนธิกับ อุปถัมภ์ เป็น ราชูปถัมภ์ สาธารณะ สนธิกับ อุปโภค เป็น สาธารณูปโภค วิเทศ สนธิกับ อุบาย เป็น วิเทโศบาย สุข สนธิกับ อุทัย เป็น สุโขทัย นย สนธิกับ อุบาย เป็น นโยบาย ๑.๓ เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของค าหน้า อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว แล้วใช้สระ พยางค์หน้าของ ค าหลังแทน เช่น เปลี่ยน อิ อี เป็น ย มต ิสนธิกับ อธิบาย เป็น มัตยาธิบาย รังสี สนธิกับ โอภาส เป็น รังสโยภาส, รังสิโยภาส สามัคคี สนธิกับ อาจารย์ เป็น สามัคยาจารย์
เปลี่ยน อุ อู เป็น ว สินธุ สนธิกับ อานนท์ เป็น สินธวานนท์ จักษุ สนธิกับ อาพาธ เป็น จักษวาพาธ ธนู สนธิกับ อาคม เป็น ธันวาคม ๒. พยัญชนะสนธิ พยัญชนะสนธิในภาษาไทยมีน้อย คือเมื่อน าค า ๒ ค ามาสนธิกัน ถ้าหากว่าพยัญชนะ ตัวสุดท้าย ของค า หน้ากับพยัญชนะตัวหน้าของค าหลังเหมือนกัน ให้ตัดพยัญชนะที่เหมือนกัน ออกเสียตัวหนึ่ง เช่น เทพ สนธิกับ พนม เป็น เทพนม นิวาส สนธิกับ สถาน เป็น นิวาสถาน ๓. นิคหิตสนธิ นิคหิตสนธิในภาษาไทย ใช้วิธีเดียวกับวิธีสนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต คือ ให้สังเกต พยัญชนะตัวแรกของค าหลังว่าอยู่ในวรรคใด แล้วแปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคนั้น เช่น ส สนธิกับ กรานต เป็น สงกรานต์ (ก เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ง) ส สนธิกับ คม เป็น สังคม (ค เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ง) ส สนธิกับ ฐาน เป็น สัณฐาน (ฐ เป็นพยัญชนะวรรค ตะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ณ) ส สนธิกับ ปทาน เป็น สัมปทาน (ป เป็นพยัญชนะวรรค ปะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ม) ถ้าพยัญชนะตัวแรกของค าหลังเป็นเศษวรรค ให้คงนิคหิต (_ ) ตามรูปเดิม อ่านออกเสียง อัง หรือ อัน เช่น ส สนธิกับ วร เป็น สังวร ส สนธิกับ หรณ์ เป็น สังหรณ์ ส สนธิกับ โยค เป็น สังโยค ถ้า ส สนธิกับค าที่ขึ้นต้นด้วยสระ จะเปลี่ยนนิคหิตเป็น ม เสมอ เช่น ส สนธิกับ อิทธิ เป็น สมิทธิ ส สนธิกับ อาคม เป็น สมาคม ส สนธิกับ อาส เป็น สมาส ส สนธิกับ อุทัย เป็น สมุทัย
ตัวอย่างแบบทดสอบ 71. ข้อความ 2 ข้อใดมีค าสมาสที่มีการสนธิ (o-net 61) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. คนรักษาค าสัตย์นั้น แม้ตัวจะตายไป โลกก็ยังยกย่องมิรู้ลืม 2. พึงอ่อนน้อมต่อผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนด้วย พึงคบหากับผู้ที่เต็มใจจะคบหาสมาคมด้วย 3. สติกับปัญญาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากในการท างานทุกอย่าง และจะต้องให้มีคู่กันไป 4. วางได้บ้าง ก็จะมีสุขบ้าง วางได้หมด ก็จะเป็นสุขได้ทั้งหมด นี่แหละคือสัจธรรมแหละลูกเอ๋ย 5. ความใฝ่ฝันนั้นเป็นการจุดประกายจินตนาการและเป็นแรงกระตุ้นให้คนมีมานะท าฝันให้เป็นจริง 72. ข้อใดมีค าสมาสชนิดที่มีการสนธิ (o-net 62) 1. ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล 2. วัฒนธรรมประจ าถิ่นนี้น่าศึกษา 3. ธรรมาธรรมสงครามมีคติสอนใจ 4. เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ าจุนโลก 73. ข้อใดมีค าสมาส (o-net 62) 1. ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นแคว้นของชนชาวไทย 2. ทุกสิ่งทุกอย่างบริเวณรอบชายหาดเงียบสงบ 3. ประเทศเขตแคว้นนี้มีภาพท้องทะเลงดงามยิ่งนัก 4. นางผีเสื้อสมุทรแสดงความโกรธพิโรธร้องอย่างน่ากลัว 74. ข้อใดมีค าสมาส (o-net 61) 1. ดินแดนที่เป็นประเทศไทยทุกวันนี้ มีผู้คนอยู่อาศัยมานานนับหมื่นๆปี 2. ดังหลักฐานส าคัญคือ โครงกระดูกและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่พบในที่ฝังศพ 3. ผู้คนดังกล่าวได้สร้างสมความเจริญและพัฒนาต่อเนื่องจากยุคหินสู่ยุคโลหะอยู่รวมกันเป็นชุมชน 4. ครั้นเมื่อถึงพุทธศตวรรษที่ 11 ก็เริ่มมีการก่อตั้งเป็นแว่นแคว้น และเริ่มมีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง 75. ข้อความ 2 ข้อใดมีค าสมาสประเภทเดียวกับค าว่า “ธนาคาร” (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. กระทรวงศึกษาธิการดูแลด้านการศึกษา 2. ตัวแทนนักเรียนรุ่นใหม่มีภารกิจมากขึ้น 3. คณบดีคณะต่างๆกล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่ 4. ประชาธิปไตย คือระบอบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่ 5. จุดทศนิยมคือจุดที่ใส่หลังจ านวนเต็มและหน้าเศษตามวิธีท าเลข 76. ค าประพันธ์ 2 ข้อใดมีค าสมาส (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. ตัวพี่มิได้ลวนลาม จะถือความสิ่งนี้นี่ไม่ได้ 2. ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง ดูสูงส่องลอยฟ้านภาลัย 3. อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์ดูโดดเด่น เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส 4. กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น 5. โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก เสียดายนักนึกน่าน้ าตากระเด็น 77. ค าประพันธ์ 2 ข้อใดมีค าสมาส (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. เพื่อนของฉันมีภูมิล าเนาเดิมมาจากต่างจังหวัด 2. นักธุรกิจชาวจีนหันไปลงทุนในภูมิภาคแอฟริกา
3. คนเป็นโรคภูมิแพ้ควรหมั่นออกก าลังกายสม่ าเสมอ 4. พ่อแม่ภูมิใจที่ลูกทุกคนสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงได้ 5. สวนสาธารณะแห่งนี้มีภูมิทัศน์ที่ดูโล่งโปร่งและสบายตา ม.2/2 วิเคราะห์โครงสร้างประโยคสามัญ ประโยครวม และประโยคซ้อน ใบงาน เรื่อง ประโยค ตอนที่ ๑ เติมค าในช่องว่างให้ได้ใจความสมบูรณ์และท าความเข้าใจเรื่องประโยค องค์ประกอบ และชนิดของประโยค ๑) ...................................... หมายถึง ส่วนที่เป็นผู้กระท ากริยา ประกอบด้วย ประธาน และส่วนขยายประธาน ๒) ...................................... หมายถึง ส่วนที่บอกอาการ หรือบอกสภาพของประธานประกอบด้วย กริยาและ ส่วนขยายกริยา อาจจะมีกรรรมหรือส่วนขยายกรรมก็ได้ การจ าแนกประโยคตามโครงสร้าง ประโยคจ าแนกออกเป็น ๓ ชนิดตามโครงสร้าง ดังนี้ ๑.ประโยคความเดียว เป็นประโยคที่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบส าคัญ คือ ภาคประธานและภาค แสดง อย่างละ ๑ ตัว อาจมีส่วนขยายได้ เช่น นกบิน ดนัยกินข้าว นกบินเร็วมาก ดนัยกินข้าวจุมาก นกบินอยู่บนท้องฟ้า ดนัยน้องของฉันกินข้าวจุมาก ๒. ประโยคความรวม เป็นประโยคที่ประกอบด้วยประโยคความเดียวตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปถูกน ามา รวมกันโดยใช้ ค าสันธาน เชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน ส่วนมากจะมีการตัดทอนส่วนที่เหมือนกันออก ท าให้ ประโยคสั้นกระชับและสละสลวยยิ่งขึ้น ประโยครวมแบ่งเป็น ๔ ชนิด ได้แก่ ๑) ประโยคความรวมที่มีใจความคล้อยตามกัน (และ, กับ, แล้ว ก็..., แล้วจึง..., ครั้นจึง..., พอก็...) เช่น น้องกินข้าว, น้องกินชนม น้องกินข้าวและขนม อรอินทร์ท าการบ้าน, อรอินทร์เข้านอน อรอินทร์ท าการบ้านแล้วอรอินทร์จึงเข้านอน ๒) ประโยคความรวมที่มีใจความขัดแย้งกัน (แต่, แต่ทว่า, ถึงก็..., กว่าก็..) เช่น พี่ไปโรงเรียน, น้องไปดูหนัง ……………………………………….. ฉันจะกินข้าว, เธอจะกินขนม ……………………………………….. ๓) ประโยคความรวมที่มีใจความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ, หรือไม่, มิฉะนั้นก็.., หรือไม่ก็) เช่น วีรดาจะอ่านหนังสือ, วีรดาจะเช้านอน ……………………………………….. เธอเป็นคนกรุงเทพ, เธอเป็นคนต่างจังหวัด ……………………………………….. ๔) ประโยคความรวมที่มีใจความเป็นเหตุเป็นผลกัน (จึง, ฉะนั้น, เพราะจึง..., ดังนั้น, เพราะฉะนั้น) เช่น เขาตั้งใจเรียน, เขาสอบผ่าน ……………………………………….. เขาเป็นเด็กดี, คนช่วยเขา ……………………………………….. ๓. ประโยคความซ้อน เป็นประโยคที่เกิดจากการน าประโยคความเดียว ตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปมารวมกัน โดยมีเนื้อความขยายกัน คือมี ประโยคหลัก (มุขยประโยค) และประโยคย่อย (อนุประโยค) จะมี ประพันธสรรพนาม ( ผู้, ที่, ซึ่ง, อัน) ท าหน้าที่เชื่อมประโยค เช่น ไผ่ชอบอ่านหนังสือ, หนังสือมีภาพประกอบ ไผ่ชอบอ่านหนังสือที่มีภาพประกอบ ครูสอนวิชาภาษาไทย, ครูยืนอยู่หน้าห้อง ……………………………………….. ฉันชอบดอกไม้, ดอกไม้มีสีชมพู ………………………………………..
ตอนที่ ๒ ให้นักเรียนบอกชนิดของประโยคต่อไปนี้ ประโยค ชนิดของประโยค ๑. ฝนตกก่อนฟ้าร้อง ๒. นกบินอยู่บนท้องฟ้า ๓. ฉันชอบนักเรียนที่ตั้งใจเรียน ๔. พอฝนซาฟ้าก็สดใส ๕. ช่วงนี้เป็นฤดูน้ าหลากประชาชนจึงต้องระมัดระวังเรื่องน้ าท่วม ๖. เขาอยู่ที่บ้านเมื่อฉันออกมา ๗. เวลาและวารีไม่ยินดีจะคอยใคร ๘. แม่และพ่อไปตลาดหน้าหมู่บ้าน ๙. วันนี้เราจะเรียนเรื่องประโยค ๑๐. พี่เก่งด้านวิชาการแต่น้องเก่งด้านกีฬา ๑๑. กานต์เป็นเด็กที่รู้จักกาลเทศะ ๑๒. นกแก้วที่อยู่ในกรงพูดได้ ๑๓. กมลชัยท าการบ้านเมื่อวันอาทิตย์ ๑๔. ความรับผิดชอบไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ๑๕. ฉันไม่ชอบผิวหนังที่แห้งตึง ๑๖. เราจะเป็นคนดีหรือคนเก่ง ๑๗. แตงโมซื้อขนมแต่โตโน่ซื้อของเล่น ๑๘. ฟ้าจะไปเชียงใหม่แต่ฉันจะไปพังงา ๑๙. ฝนตกอากาศจึงเย็น ๒๐. ปิยะวัฒน์เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒
๒๑. ผู้หญิงชอบดอกกุหลาบสีแดง ๒๒. พลอยไปซื้อผ้าและไปดัดผม ๒๓. สัตว์เลี้ยงของฉันเป็นสัตว์ป่าที่เชื่องแล้ว ๒๔. ฉันชอบดอกกุหลาบสีชมพู เธอจึงให้ฉัน ๒๕. การเดินเล่นตอนเช้าเป็นการออกก าลังกายที่ดี ๒๖. กว่าจะสุกงาก็ไหม้ ๒๗. บุคคลซึ่งมีความรับผิดชอบย่อมประสบความส าเร็จ ๒๘. ณเดชอ่านหนังสือแต่ญาญ่าออกก าลังกาย ๒๙. ชายคนนี้เป็นคนที่ระลึกชาติได้ ๓๐. แม่ไปหาเพื่อนที่ตลาด ตัวอย่างแบบทดสอบ 78. ข้อใดเป็นประโยคซ้อน (o-net 61) 1. แพนด้าที่ศูนย์เฉิงตูถูกถอนขนท่อนล่างก่อนการผ่าตัด 2. โลกก าลังเข้าสู่ยุคสูญพันธุ์ครั้งใหญ่โดยเฉพาะที่เอเซียใต้ 3. สัตว์ที่หายไปจากโลก คือสัตว์มีกระดูกสันหลังกว่า 200 ชนิด 4. ผลเสียของการสูญเสียความหลากหลายของชีวภาพจะอยู่ที่ระบบนิเวศ 79. ประโยค 2 ข้อใดเป็นประโยคชนิดเดียวกับประโยคต่อไปนี้ (o-net 61) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) “โลกดิจิทัลในยุคปัจจุบันมีความก้าวหน้ามาก” 1. วันมาฆบูชาเป็นวันส าคัญทางพุทธศาสนา 2. วันมาฆบูชามีเหตุการณ์ส าคัญที่เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ 3. พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ 4. มาฆบูชาหมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะ ซึ่งก็คือวันเพ็ญเดือน 3 5. วันจาตุรงคสันนิบาตเป็นวันส าคัญทางศาสนาที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 80. ข้อความ 2 ข้อใดเป็นประโยคสามัญ (o-net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. แม่ท าไข่พะโล้ที่ลูกชอบกินไว้แล้ว 2. ข้าวเหนียวร้านนี้อร่อยมาก 3. คุณแม่และคุณป้าท าอาหารอยู่ในครัว 4. ไม่น่าเชื่อว่าพระรามลงสรงเป็นอาหารจีน 5. แม่ครัวซอยตะไคร้ละเอียดยิบด้วยความช านาญ
81. ข้อความ 2 ข้อใดอธิบายประโยคต่อไปนี้ได้ถูกต้อง (o-net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) “ยุโรปตะวันออกมีเส้นทางท่องเที่ยวที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ” 1. เป็นประโยคความรวม เพราะมีค าเชื่อมประโยค 2. เป็นประโยคซ้อนที่มีอนุประโยคท าหน้าที่บทขยายกริยา 3. เป็นประโยคซ้อนที่มีอนุประโยคท าหน้าที่บทขยายกรรม 4. เป็นประโยครวมที่ประกอบด้วยประโยคสามัญ 2 ประโยค 5. เป็นประโยคซ้อนที่มีค าว่า”ที่” เป็นค าเชื่อมอนุประโยค 82. ข้อความ 2 ข้อใดเป็นประโยคสามัญ (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. อาหารลาวมีรสชาติที่ใกล้เคียงกับอาหารไทย 2. ส าเนียงภาษาลาวคล้ายกับภาษาอีสานของไทย 3. วิถีชีวิตของคนลาวมีลักษณะที่ไม่ต่างกับคนไทยมากนัก 4. ชื่อทางการของเมืองลาวคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 5. การเดินทางทางบกจากประเทศลาวโดยสะพานมิตรภาพไทย – ลาว 83. ข้อความ 2 ข้อใดเป็นประโยคซ้อน (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. คนที่ประสบความส าเร็จส่วนใหญ่เป็นคนขยันหมั่นเพียร 2. ความสุขของคนเราอยู่ที่คนรอบข้างไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง 3. นักรัยนของโรงเรียนเราสอบได้คะแนนอันดับที่หนึ่งของจังหวัด 4. บรรยากาศที่โรงแรมนี้เหมาะกับการมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ 5. งานวิจัยเพื่อหาความสุขของมนุษย์เป็นงานวิจัยที่ใช้เวลานานที่สุดในโลก ม.3/1 จ าแนกและใช้ค าภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย ใบความรู้ เรื่อง การยืมค าจากภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย ลักษณะค าไทยที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตมีข้อสังเกตดังนี้ - มักเป็นค าหลายพยางค์ -ตัวสะกดมักไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดอย่างค าไทยแท้ -มักมีตัวการันต์ -ค าที่มีอักษรควบเป็นตัวสะกด เช่น จิตร อัคร ฯลฯ -มีบางค าใช้ตัวสะกดตรงตามมาตราอย่างค าไทยแท้ เช่น มน(ใจ) - ค าที่ประสมด้วยอักษร ฆ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ธ ภ ศ ษ ฬ -ค าที่มีรูปวรรรณยุกต์ และมีไม้ไต่คู้ก ากับ -มักเป็นค าที่มาจากภาษาอื่น ไม่ใช่ภาษาบาลีสันสกฤต ยกเว้นมีการเติมลงในภายหลัง เช่น เล่ห์พ่าห์ เสน่ห์ ฯลฯ นิยมใช้ ฤ ฤา ฦ ฦา ตัวอย่างค าที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต เช่น บิดา มารดา ศีรษะ เคหะ ปักษิน ปักษิณี ราชา ราชินี ยักษ์ เกษม เกษตร ตฤณ ทฤษฎี เทวษ ประพฤติ อัศวะ สัตย์พิสมัย ทุกข์ เลขยุค เมฆ รัฐครุฑ วุฒิ บาท พุทธ เกศ รสบุญ การุณย์ ยนต์เคารพ ลาภ จันทร์จันทน์ วงศ์ ฯลฯ
ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต 1. มีสระ 8 ตัว คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ 1. มีสระ 14 ตัว เพิ่ม ไ เ-า ฤ ฤา ฦ ฦา 2. มีพยัญชนะ 33 ตัว 2. มีพยัญชนะ 35 ตัว เพิ่ม ศ ษ 3. นิยม ฬ 3. ไม่นิยม ฬ จะใช้ ฑ แทน 4. ไม่นิยม รร 4. นิยม รร 5. ส น าหน้าวรรค อื่น 5. ส น าหน้า วรรค ตะ 6.ไม่นิยมค าควบกล้ า(ในค าคู่)-นิยมอักษรคู่กัน 6. นิยมค าควบกล้ า 7.มีหลักตัวสะกดตัวตาม 7. ไม่มีหลักตายตัวแน่นอน ตัวอย่างค าบาลีที่พบ ตัวอย่างค าสันสกฤตที่พบ ขัตติยะ กษัตริย์ สิกขา ศึกษา วิชชา วิทยา มัจฉา มัตสยา ภิกขุ ภิกษุ สามี สวามี ภริยา ภรรยา การสังเกตค าบาลีและสันสกฤต ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ใช้สระ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ เช่น อริยะ สาระ อิสี อุตุ เสล โมลี ใช้สระอะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ และเพิ่ม ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ไอ เอา เช่น ฤษี ฤดู กฤษณ์ ใช้ ส เช่น สาสนา ลิสสะ สันติ วิสาสะ สาลา สิริ สีสะ ใช้ ศ ษ เช่น ศาสนา ศิษย์ ศานติ พิศวาส ศาลา ศีรษะ ใช้พยัญชนะสะกดและตัวตามตัวเดียวกัน เช่น ธัมม กัมม มัคค สัคค สัพพ วัณณ ใช้ตัว รร แทน ร ( ร เรผะ) เช่น ธรรม กรรม มรรค สวรรค์ สรรพ วรรณ ใช้พยัญชนะเรียงพยางค์ เช่น กริยา สามี ฐาน ถาวร ปทุม เปม ปิยะ ปฐม ปชา ใช้อักษรควบกล้ า เช่น กริยา สวามี สถาน สถาวร ปัทมะ เปรม ปรียะ ใช้ ฬ เช่น จุฬา กีฬา บีฬ ครุฬ ใช้ ฑ เช่น จุฑา กรีฑา บีฑา ครุฑ มีหลักตัวสะกดตัวตามที่แน่นอน ไม่มีหลักตัวสะกดตัวตาม
การสังเกตค าไทยที่มาจากภาษาบาลี 1.ภาษาบาลีมีสระ ๘ ตัว คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ 2.ภาษาบาลีมีพยัญชนะ ๓๓ ตัว แบ่งตามฐานที่เกิดได้ดังนี้ ก.พยัญชนะวรรค มี ๒๕ ตัว ได้แก่ พยัญชนะวรรค/ฐาน ตัวที่1 ตัวที่2 ตัวที่3 ตัวที่4 ตัวที่5 วรรคที่ 1 ฐานคอ ก ข ค ฆ ง วรรคที่ 2 ฐานเพดาน จ ฉ ช ฌ ญ วรรคที่ 3 ฐานปุ่มเหงือก ฎ ฐ ฑ ฒ ณ วรรคที่ 4 ฐานฟัน ต ถ ท ธ น วรรคที่ 5 ฐานริมฝีปาก ป ผ พ ภ ม ข.เศษวรรคมี8 ตัว ย ร ล ว ส ห ฬ ° 3.ภาษาบาลีไม่มี ศ ษ 4.ค าทุกค าในภาษาบาลีจะต้องมีตัวสะกดและตัวตาม เช่น วัฑฒนา ฑ เป็นตัวสะกด ฒ เป็นตัวตาม ตัวสะกดและตัวตามในภาษาบาลีจะเป็นไปตามกฎดังนี้ ก.พยัญชนะวรรคที่เป็นตัวสะกดได้ คือ ตัวที่ 1 3 5 ข.ในวรรคเดียวกันถ้าพยัญชนะตัวที่ 1 สะกด ตัวที่ 1 2 ตามได้ ค.ในวรรคเดียวกันถ้าพยัญชนะตัวที่ 3 สะกด ตัวที่ 3 4 ตามได้ ง.ในวรรคเดียวกันถ้าพยัญชนะตัวที่ 5 สะกด พยัญชนะทุกตัวในวรรคเดียวกันตามได้ ตัวอย่าง ตัวที่1 สะกด ตัวที่ 1 ตาม เช่น สักกะ ตัวที่1 สะกด ตัวที่ 2 ตาม เช่น ทุกข์ ตัวที่3 สะกด ตัวที่ 3 ตาม เช่น อัคคี
ข้อสังเกตความแตกต่างของค าบาลีและสันสกฤต ในภาษาไทย ค าที่มาจากภาษาสันสกฤต 1.สระสันสกฤต ต่างจากบาลี 6 ตัว ค าใดประสมด้วยสระ ฤ ฤา ฦ ฦๅ ไอ เอา เป็นค าในภาษาสันสกฤต 2.ค าใดประสมด้วย ศ ษ มีในภาษาสันสกฤต ไม่มีในภาษาบาลีเช่น อภิเษก ศีรษะ อวกาศ ศัตรู ศิลปะ ราษฎร ศอก ศึก อังกฤษ ศึกษาศาสตร์ 3.ค าสันสกฤต ใช้ ฑ เช่น กรีฑา ค าสันสกฤต ไม่นิยมใช้ ฬ 4.ค าในภาษาสันสกฤตมีระบบเสียงควบกล้ า หรือพยัญชนะประสม ค าควบกล้ าจึงมักเป็นค าภาษา สันสกฤต เช่น สตรี ปรารถนา สวัสดีสมัคร มาตรา อินทรา 5.ค าที่ไทยใช้ รร มาจากสันสกฤต ตัว ร ที่ควบกับค าอื่นและใช้เป็นตัวสะกด เช่น มรรค สรรพ มารค (มารฺค สรฺว อารฺย จรฺยา) 6. ฤ (ฤทธิ) ในสันสกฤต บาลีจะเป็น อิทฺธิ (อิ อุ) 7. ค าที่ใช้ ห์ มักเป็นค าที่มาจากภาษาสันสกฤต เช่น สังเคราะห์ โล่ห์ อุตส่าห์ เท่ห์ เล่ห์ เสน่ห์ (? บาลีก็ มี เช่น โลห อุสฺสาห เทห สิเนห เสนฺห) ค าที่มาจากภาษาบาลี 1.ค าในภาษาบาลีไม่มีสระเหล่านี้ ฤ ฤา ฦ ฦๅ ไอ เอา (สระบาลีมี 8 ตัว คือ อ อา อิอีอีอุ อู เอ โอ) 2ใค าที่มาจากภาษาบาลีใช้ ส ทั้งหมด (สันสกฤตมี ทั้ง ศ ษ ส) 3.ค าสันสกฤต ไม่นิยมใช้ ฬ ดังนั้นค าที่มี ฬ จึงเป็นค าภาษาบาลีเช่น กีฬา กาฬ โกวิฬาร กักขฬะ ประวาฬ 4.ภาษาบาลีไม่มีพยัญชนะประสมหรือควบกล้ า (? บาลีใช้ค าควบกล้ าน้อยกว่าสันสกฤต) 5ใบาลีใช้ ริเช่น อริยะ – จริยะ (อริย จริยา) 6.อิ อุ ในบาลี เช่น อิทธิ สันสกฤต จะเป็น ฤ เช่น ฤทธิ์ ตัวอย่างค าที่มาจากสันสกฤต พฤกษ์ ประพฤติศาสนา เกษม ดรรชนีวิทยุ ประจิม ธรรมศาสตร์ เกษตร ศิลปากร วัชระ สัตย์ มฤต ยู อินทร์ อัคนี ภัสดา มัธยม ศึกษาศาสตร์ ศากยะ กษัตริย์ พิสดาร พฤษภ ปราณีสวรรค์ กรรม ฤ ทธิ์ ศรีรัศมีอภิเษก เกษียณ หฤทัย คฤหาสน์ วิทยา เสนา เลขา เสวก พิษ มนุษย์ กรีฑา ครุฑ อิศ วร วิเศษ วิศาล วิเศษ สวามีเนตร สตรีอยุธยา อาศรม อาศัย ราษฎร ตัวอย่างค าที่มาจากบาลี สามัญ วิชา อิสิจริยา ฐาปนา สันติวัฒนา บุญ เวช สิทธิจุฬา สิกขา อัคคี นิสิต สงฆ์ ทุกข์ มัจฉา รังสีรัฐ วิชา โอฬาร กิริยา สมภาร โมลีวชิระ ปฐม เรขา เส นา โอสถ ปิตุ ปัจฉิม วิชชา ญาณ ฐาน วุฑฒิถาวร วิตถาร ตัณหา ญาติสิกขา มัชฌิมา นิพพาน กีฬา จุฬา สามี ปฏิเสธ สาวก สามัญ ขณะ อุตุ นิจ สัจจ มัจฉา
ตัวอย่างแบบทดสอบ 84. ค าบาลีสันสกฤต 2 ข้อใดมีความหมายเหมือนกันทุกค าทั้ง 2 ข้อ (o-net 61) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. มาลา ดรุณี บุษบง 2. นที ชลธี อุทก 3. มาส ธานี ปักษิน 4. สินธุ อาโป สาคร 5. วสันต์ อาชา คัคนางค์ 85. ค าบาลีสันสกฤต 2 ข้อใดเป็นค าซ้อนที่เกิดจากค าที่มีความหมายตรงข้ามกัน (o-net 61) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. วิจิตรอลังการ 2. ทรัพย์ศฤงคาร 3. บาปบุญคุณโทษ 4. เทพยดายักษ์มาร 5. คฤหาสน์เคหสถาน 86. ข้อความ 2 ข้อใดมีค าต่างประเทศที่ไม่จ าเป็นต้องใช้ (o-net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. เด็กวัยรุ่นส่วนมากชอบเผยแพร่ข่างทางเฟสบุ๊ค 2. ผู้ปกครองควรน าเด็กเล็กไปฉีดวัคซีนตามก าหนด 3. นักกีฬาทุกคนต้องให้ความเคารพและเชื่อฟังโค้ชเสมอ 4. คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ท าให้การพิมพ์งานสะดวกมากขึ้น 5. อย่าลืมคอนเฟิร์มการนัดทันตแพทย์ภายในวันที่ 9 มีนาคม 2562 87. ข้อความ 2 ข้อใดมีค าบาลีสันสกฤตที่แปลว่าดอกไม้ (o-net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. มีกลีบได้เจ็ดกลีบผกา 2. กอหนึ่งเจ็ดดอกดวงมาลย์ 3. หอมหวนมวลบุหงาในพนา 4. เบิกบานชื่นชมบุปผาทุกราตรี 5. หมู่มวลวิหคโผผกกลางอุทยาน 88. ค ายืมภาษาต่างประเทศ 2 ข้อใดไม่ใช่ค ายืมภาษาจีน (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. จับเลี้ยงร้านนี้ขายดีทุกวัน 2. กระเทียมไทยมีกลิ่นหอมมาก 3. เขาชอบดื่มน้ าเก๊กฮวยอุ่นๆ 4. จันอับกล่องไหนเป็นของฉัน 5. ชะเอมใช้ท ายามีรสหวานชุ่มคอ
ม.3/3 วิเคราะห์ระดับภาษา ใบความรู้เรื่อง ระดับภาษาและการใช้ภาษาที่ถูกต้อง ระดับของภาษา หมายถึง ความลดหลั่นของถ้อยค าและการเรียบเรียงถ้อยค าที่ใช้โดยพิจารณาตาม โอกาส หรือ กาลเทศะ ความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลที่เป็นผู้สื่อสาร และ ตามเนื้อหาที่สื่อสาร การศึกษาเรื่อง ระดับของภาษาเป็นสิ่งส าคัญเพราะท าให้บุคคลแต่ละกลุ่มเข้าใจภาษาของกันและกัน ไม่เกิดปัญหาด้านการ สื่อสาร และความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล รวมทั้งยังท าให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจถึงลักษณะเฉพาะและวิวัฒนาการของ ภาษาไทยอีกด้วย การศึกษาเรื่องระดับภาษาอาจพิจารณาได้หลายวิธีตามหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น พิจารณาตาม ฐานะของบุคคล ตามเนื้อหา และตามกาลเทศะที่สื่อสาร ในที่นี้จะกล่าวถึงการพิจารณาระดับภาษา ตาม กาลเทศะ / โอกาส ในการใช้ภาษา เพื่อให้ผู้ใช้ภาษาสามารถเลือกใช้ภาษา ในสถานการณ์ ต่างๆ ได้อย่าง เหมาะสม ภาษาแบบเป็นทางการ ภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการมีลักษณะเป็นพิธีการ ถูกต้องตามแบบแผนของภาษา เขียน แบ่งออกเป็น ๑) ภาษาระดับพิธีการ เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบ รูปประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ มีความประณีต งดงาม อาจใช้ประโยคที่ซับซ้อนและใช้ค าระดับสูง ภาษาระดับนี้จะใช้ในโอกาส ส าคัญ ๆ เช่น งาน ราชพิธี วรรณกรรมชั้นสูง เป็นต้น ๒) ภาษาระดับมาตรฐานราชการ หรือ อาจเรียกว่า ภาษาทางการ / ภาษาราชการ เป็นภาษาที่สมบูรณ์ แบบ รูปประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เน้นความชัดเจน ตรงประเด็นเป็นส าคัญ ใช้ในโอกาส ส าคัญ ที่เป็น ทางการ เช่นหนังสือราชการวิทยานิพนธ์ รายงานทางวิชาการ การกล่าวปราศรัย การกล่าวเปิดงานส าคัญ ๆ เป็นต้น ภาษาแบบไม่เป็นทางการ ภาษาที่ไม่เคร่งครัดตามแบบแผน มักใช้ในการสื่อสารทั่วไปในชีวิตประจ าวัน หรือ โอกาสทั่วๆ ไปที่ไม่เป็นทางการ แบ่งเป็น ๑) ภาษาระดับกึ่งทางการ เป็นภาษาที่ยังคงความสุภาพแต่ไม่เคร่งครัดแบบภาษาทางการบางครั้ง อาจใช้ภาษาระดับสนทนามาปนอยู่ด้วย มันใช้ในการติดต่อธุรกิจการงาน หรือใช้สื่อสารกับบุคคลที่ไม่คุ้นเคย หรือ มีคุณวุฒิ และ วัยวุฒิสูงกว่า หรือการบรรยาย การประชุมต่างๆ รวมทั้งใช้ในงานเขียนที่ไม่เป็นทางการ เพื่อให้งานเขียนนั้นดูไม่เครียดจนเกินไป เช่น สารคดี บทวิจารณ์ เกี่ยวกับบันเทิงคดีต่างๆ เป็นต้น ๒) ภาษาระดับสนทนา เป็นภาษาที่ใช้สนทนาโต้ตอบกับบุคคลที่รู้จักในสถานที่หรือเวลาที่ไม่ เป็นการส่วนตัว หรือสนทนากับบุคคลที่ยังไม่คุ้นเคย รวมทั้งใช้เจรจาซื้อขายทั่วไป และการประชุมที่ไม่เป็น ทางการ ภาษาที่ใช้มักมีรูปประโยคง่ายๆ ที่สามารถเข้าใจทันที แต่ยังคงความสุภาพ เช่น ภาษาที่ใช้ในการ รายงานข่าวโทรทัศน์ การเจรจาในเชิงธุระทั่วไป เป็นต้น ๓) ภาษาระดับกันเองหรือภาษาปาก เป็นภาษาพูดที่ใช้สนทนากับบุคคลที่สนิทคุ้นเคยมักใช้ สถานที่ส่วนตัว หรือ ในโอกาสที่ต้องการความสนุกสนานครื้นเครง หรือ การทะเลาะวิวาท ภาษาที่ใช้เป็นภาษา พูดที่ไม่เคร่งครัด อาจมีค าตัด ค าสแลง ค าต่ า ค าหยาบปะปน โดยทั่วไปไม่นิยมใช้ในภาษาเขียน ยกเว้นงาน เขียนประเภท เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย ภาษาข่าวหนังสือพิมพ์ การเขียนบทละคร ฯลฯ การใช้ภาษาผิดระดับย่อมก่อให้เกิดอุปสรรคในการสื่อสาร ผู้รับสารอาจเห็นว่าผู้ส่งสารไม่รู้จักกาลเทศะ ขาดความจริงใจ เสแสร้ง การแบ่งภาษาออกเป็นระดับต่างๆ นั้นมิได้แบ่งกันอย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่ง อาจเหลื่อมล้ ากับภาษาอีกระดับหนึ่ง หรือใช้ปะปนกันได้ การพิจารณาระดับภาษาระดับภาษาอาจต้อง พิจารณาจากข้อความโดยรวมในการสื่อสารนั้น
ตัวอย่างการใช้ภาษาระดับต่าง ๆ (๑) “...ขอพระบรมเดชานุภาพมหึมาแห่งสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราช จงคุ้มครองประเทศชาติและ ประชาชาวไทยให้ผ่านพ้นสรรพอุปัทวพิบัติทั้งปวง อริราชศัตรูภายนอกอย่าล่วงเข้าท าอันตรายได้ ศัตรูหมู่พาล ภายในให้วอดวายพ่ายแพ้ภัยตัว บันดาลความสุขความมันคงให้บังเกิดทั่วภูมิมณฑล บันดาลความร่มเย็นแก่ อเนกนิกรชนครบคามเขตขอบขัณฑสีมา...” (ภาวาส บุนนาค, “ราชาภิสดุดี.” ในวรรณลักษณวิจารณ์เล่ม ๒ หน้า ๑๕๙.) (๒) “... บทละครไทยเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของวรรณกรรมไทยเป็นวรรณกรรมที่ประพันธ์ขึ้นทั้งเพื่ออ่านและ เพื่อแสดงรูปแบบที่นิยมกันมาแต่เดิมคือบทละครร าต่อมามีการปรับปรุงละครร าให้ทันสมัยขึ้นตามความนิยม แบบตะวันตกจึงมีรูปแบบใหม่เกิดขึ้น ได้แก่ ละครดึกด าบรรพ์ ละครพันทาง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการรับ รูปแบบละครจากตะวันตกมาดัดแปลงให้เข้ากับสังคมไทยและวัฒนธรรมไทย ท าให้การละครไทยพัฒนาขึ้นโดย มีกระบวนการแสดงที่แตกต่างไปจากละครไทยที่มีอยู่มาเป็นละครร้อง ละครพูดและละครสังคม” (กันยรัตน์ สมิตะพันทุ, การพัฒนาตัวละครในบทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว ในบทความ วิชาการ ๒๐ ปี ภาควิชาภาษาไทย หน้า ๑๕๘) (๓) “... ฉะนั้นในช่วงเรียนอยู่ระดับมัธยม ผู้ที่ขยันมุ่งมั่นจะเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้จะไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบ กายทั้งสิ้นยกเว้นสิ่งที่เขาคิดว่าจะสามารถท าให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ชีวิตนักเรียนมัธยมจึงมีแต่ติวติวและ ติว กีฬาฉันไม่เล่น กิจกรรมฉันไม่มีเวลาท า และยิ่งห้องสมุดฉันไม่ทราบว่าจะเข้าไปท าไมเพราะเวลาทั้งหมด จะต้องใช้ท่องต าราอย่างเดียวแล้วก็มักจะประสบความส าเร็จตามที่คิดเสียด้วย คือ สอบเช้ามหาวิทยาลัยได้...” (เปล่งศรี อิงคนินันท์ ต้องขอให้อาจารย์ช่วย ก้าวไกล ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๔ หน้า ๒๗) (๔) “...จากกรณีที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิดังแห่งวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมาได้ อาพาธลงอย่างกะทันหัน มีอาการอ่อนเพลียอย่างหนักเนื่องจากต้องตรากตร าท าพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลและ เคาะหัวให้กับบรรดาศิษยานุศิษย์จนไม่มีเวลาพักผ่อนเกิดอาการหน้ามืดจนกระทั่งลูกศิษย์ต้องหามส่งโรงบาล มหาราชนายแพทย์เจ้าของไข้ได้ตรวจร่างกายแล้วแจ้งให้ทราบว่าเป็นไข้หวัด” (เดลินิวส์ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๙) (๕) “.... มึงจะไปไหนไอ้มั่นกูสั่งให้ปล่อยมันไว้อย่างนั้นไม่ต้องสนใจกูอยากนั่งดูมันมองมันตายช้าๆเลือดไหล ออกจนหมดตัวและหยุดหายใจในที่สุดถึงจะสมกับความแค้นของกู…” (วราภา, นางละคร, สกุลไทย ปีที่ ๔๒ ฉบับที่ ๒๑๖๒ หน้า ๑๐๗) ตัวอย่างแบบทดสอบ 89. บุคคลในข้อใดใช้ระดับภาษาได้เหมาะสมกับสถานการณ์ (o-net 61) 1. เพื่อนกล่าวทักทายเพื่อนสนิทว่า “ท่านสบายดีหรือขอรับ” 2. พี่สาวใช้ค าว่า “คอมพิวเตอร์” ในรายงานวิชาการหลายครั้ง 3. น้องชายลงท้ายจดหมายกิจธุระว่า “ขอแสดงความนับถืออย่างสูง” 4. พิธีกรกล่าวทักทายในงานสัมมนาวิชาการว่า “ท่านสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีและเพศที่เหลือทุกท่าน” 90. ข้อความ 2 ข้อใดใช้ภาษาปาก (o-net 61) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. คุณสะดวกที่จะท างานนี้หรือไม่ 2. ดิฉันเห็นว่าค่าครองชีพในปัจจุบันสูงขึ้นมาก 3. ธรรมชาตินั้นให้แต่คุณประโยชน์แก่มนุษย์จริงหรือ
4. ถ้าคนเราจะยอมลดความเห็นแก่ตัวลงไปซักหน่อยโลกก็คงน่าอยู่กว่านี้ 5. บนทางเท้าในกรุงเทพฯ มักจะเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขาย เค้าขายของกันหลายอย่าง 91.ข้อความ 2 ข้อใดใช้ภาษาเขียน (o-net 61) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. ผมสงสัยว่าอีกสักร้อยปีโลกจะเป็นยังไง 2. ดิฉันรู้สึกว่าโลกนี้ช่างอยู่ยากขึ้นไปทุกวัน 3. ขณะนี้ประเทศไทยก าลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ 4. นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวดวงอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกับโลก 5. หลายคนไม่ชอบรับประทานอาหารเช้า จะทานแต่ขนมปังกับกาแฟเท่านั้น 92. ข้อความ 2 ข้อใดเป็นค าภาษาปาก (o-net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. ฉันชอบดื่มกาแฟร้านนี้เพราะคนชงกาแฟมีฝีมือขั้นเทพ 2. เขาเป็นนักธุรกิจอุตสาหกรรมสิ่งทอที่มีชื่อเสียงของประเทศ 3. คุณยายดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 4. ผลงานของคุณได้รับรางวัลชนะเลิศเพราะเป็นผลงานที่สุดยอดมาก 5. “กิจกรรมเล่านิทานสร้างสรรค์” จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2560 93.ข้อความ 2 ข้อใดเป็นภาษาระดับทางการ (o-net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. นับวันวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์จะมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทุกที 2. ฝ่ายหารายได้จัดท าของที่ระลึกออกมาจ าหน่าย ปรากฏว่าขายดิบขายดีจนต้องสั่งผลิตเพิ่มอีก 3. สตรีไทยนิยมแต่งกายด้วยผ้าซิ่นและโจงกระเบน มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น 4. แคคตัสเป็นต้นไม้ที่มีเสน่ห์ แต่มองเผินๆ แล้วอาจจะรู้สึกว่าต้นไม้นี้มีอันตรายเพราะล าต้นเต็มไป ด้วยหนาม 5. ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน ต้องรับประทานมังคุดที่เป็นผลไม้มีฤทธิ์เย็นด้วย ร่างกายจึงจะคลาย ความร้อนได้ 94. ข้อความ 2 ข้อใดเป็นภาษาระดับทางการ (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. เขาเป็นนักปลูกบัวที่มีฝีมือและมีความรู้ชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่ง 2. บัวเป็นต้นไม้ที่ดูแลไม่ยาก เติบโตรวดเร็ว ภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง 3. นอกจากเขาจะขายกาแฟแล้ว ในเร็วๆนี้ เขามีแพลนว่าจะต่อยอดธุรกิจการเลี้ยงผึ้งด้วย 4. เรือนเพาะช ากล้วยไม้ ควรมีหลังคาที่ใช้วัสดุชนิดโปร่งแสง ป้องกันฝนและให้อากาศถ่ายเทได้ดี 5. คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางไปยังหมู่เกาะเวสต์อินดีสและได้พบแคคตัสขนาดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ 95. ข้อความ 2 ข้อใดใช้ระดับภาษาทางการในการเขียนรายงาน (o-net 63) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. การเดินทางเป็นการแสวงหาประสบการณ์ชีวิต 2. หน้ากากอนามัยกันฝุ่นพิษจิ๋วๆ 2.5 พี เอ็ม หาซื้อยาก 3. สังคมในยุคปัจจุบันมีเครื่องอ านวยความสะดวกนานาชนิด 4. หน้าร้อนนี้หลายครอบครัวเดินทางไปเที่ยวชายทะเลจังหวัดต่างๆ 5. ดารานักแสดงต่างตั้งตาคอยการประกาศผลนักแสดงยอดเยี่ยมประจ าปี
ม.3/4 ใช้ค าทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ ใบความรู้เรื่อง ค าทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ 1.ค าทับศัพท์เป็นการออกเสียงเดิมตามภาษานั้น ๆ หรือดัดแปลงให้เหมาะสมกับการออกเสียงของคนไทย โดยการใช้ตัวอักษรและวิธีการสร้างค าแบบไทย และจะใช้ในกรณีที่ไม่มีค าไทย หรือบาลีสันสกฤตที่จะแทนค า นั้นๆ เช่น เชิ้ต มาจากภาษาอังกฤษว่า shirt บุฟเฟต์ มาจากภาษาอังกฤษว่า buffet ปาเต๊ะ มาจากภาษาชวาว่า batik 2.ศัพท์บัญญัติเป็นการสร้างค าขึ้นมาใหม่ และมีความหมายตรงตามค าศัพท์เดิม ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการประสม ค าภาษาไทย หรือใช้ค าบาลี สันสกฤตมาสมาสกัน เช่น ดาวเทียม มาจากค าว่า satellite ไฟฟ้า มาจากค าว่า electricity นิตยสาร มาจากค าว่า magazine วิทยาศาสตร์มาจากค าว่า science หลักเกณฑ์ในการเขียนค าทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติ ถ้ามีค าไทยอยู่แล้ว ให้ใช้ค าไทย เช่น คอร์รัปชัน ใช้ค าว่า ทุจริต /ฉ้อราษฎร์บังหลวง ชอปปิง ใช้ค าว่า ซื้อของ ถ้าเป็นภาษาระดับทางการ ให้ใช้ ‘ค าศัพท์บัญญัติ’ แทน ‘ค าทับศัพท์’ โดยเฉพาะการเขียนต าราวิชาการ สาขาต่าง ๆ เช่น ไร้สาย มาจากค าศัพท์ไวร์เลส (wireless) รายการเลือก มาจากค าศัพท์เมนู (menu) การเขียนค าทับศัพท์ จะใช้วิธีการถอดเสียงจากภาษาต้นฉบับ ตัวอย่างค าทับศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น gas เขียนเป็นภาษาไทยว่า ก๊าซ rugby เขียนเป็นภาษาไทยว่า รักบี้ taxi เขียนเป็นภาษาไทยว่า แท็กซี่ strawberry เขียนเป็นภาษาไทยว่า สตรอว์เบอร์รี Football เขียนเป็นภาษาไทยว่า ฟุตบอล การสร้างศัพท์บัญญัติสามารถท าได้ ดังนี้ 1. ใช้ค าไทยแท้ประสมเป็นค าใหม่ขึ้นมา และมีความหมายตรงตามศัพท์เดิมของค าภาษาอังกฤษ เช่น ไฟฟ้า หมายถึง พลังงานที่แยกตัวออกมาของอิเล็กตรอน (electricity) กรดน้ าส้ม ใช้แทนค าภาษาอังกฤษว่า acetic acid 2. ใช้ค าบาลี สันสกฤตที่มีความหมายตรงกับค ายืมนั้น เช่น สิทธิ มาจากภาษาสันสฤต ใช้แทนค าภาษาอังกฤษ ว่า right 3. ใช้ค าสมาส เช่น เอกภาพ หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (unity) ธรณีวิทยา ใช้แทนค า ภาษาอังกฤษว่า geology บางค ามีศัพท์บัญญัติ แต่เรานิยมใช้ค าทับศัพท์มากกว่า เช่น Computer มีศัพท์บัญญัติว่า คณิตกรณ์แต่เรานิยมใช้ค าทับศัพท์ว่า คอมพิวเตอร์ Software ที่มีศัพท์บัญญัติว่า ส่วนชุดค าสั่ง แต่เรานิยมใช้ค าทับศัพท์ว่า ซอฟต์แวร์ ค าทับศัพท์ที่มักเขียนผิด ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ค าทับศัพท์ที่ถูกต้อง ค าอธิบายเพิ่มเติม Application แอปพลิเคชัน Upload อัปโหลด
Update อัปเดต เพราะตัว p พยัญชนะต้นจะใช้ พ แต่หากเป็นตัวสะกดจะใช้ ป Clinic คลินิก ตัว c เมื่อเป็นพยัญชนะต้นแทนด้วย ค แต่หากเป็นตัวสะกดจะ แทนด้วย ก Facebook เฟซบุ๊ก สะกด ce แทนด้วย ซ และตัว k เมื่อเป็นตัวสะกดจะแทนด้วย ก Digital ดิจิทัล ตัว t เมื่อเป็นพยัญชนะต้นแทนด้วย ท แต่หากเป็นตัวสะกดจะ แทนด้วย ต Pattern แพตเทิร์น Post โพสต์ Graphic กราฟิก ค านี้มี p ตัวเดียว และเป็น ph ที่แทนด้วยตัว ฟ จึงไม่สะกดว่า กราฟฟิก Like ไลก์ ตัว k ถ้าเป็นพยัญชนะต้นจะแทนด้วย ค แต่หากเป็นตัวสะกด จะแทนด้วย ก มีการันต์เพราะไม่ได้ออกเสียง k (ก) Link ลิงก์ Series ซีรีส์ ค านี้ลงท้ายด้วย s แต่ไม่ได้ออกเสียงจึงแทนด้วย ส์ ที่มา : ส านักงานราชบัณฑิตยสภา ตัวอย่างแบบทดสอบ 96. ข้อใดไม่จ าเป็นต้องใช้ค าทับศัพท์(o-net 61) 1. คุณหมอให้กินยาแอสไพรินแก้ไข้ 2. เขาชอบสตรอเบอรี่ชีสเค้กมาก 3. พืชใช้คลอโรฟิลล์ในการสังเคราะห์แสง 4. ปัจจุบันนี้คนมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันมากขึ้น 97. ข้อความ 2 ข้อใดไม่จ าเป็นต้องใช้ค าทับศัพท์ (o-net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทส าคัญต่อชีวิต 2. ธุรกิจเพื่อสุขภาพเป็นเทรนด์ที่ก าลังมาแรงในปีนี้ 3. อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ที่ใหญ่ที่สุด 4. ลูกค้าส่วนใหญ่นิยมซื้อเสื้อผ้าที่มีสไตล์สวยหรูทันสมัย 5. การเก็บข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลช่วยให้ประหยัดพื้นที่ได้ 98.ข้อความ 2 ข้อใดมีทั้งค าทับศัพท์และค าศัพท์บัญญัติ(o-net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) 1. ตรีโกณมิติเป็นสาขาหนึ่งของวิชาคณิตศาสตร์ 2. ขยะพลาสติกมีส่วนท าลายสมดุลของระบบนิเวศ 3. ต ารวจบุกค้นคลินิกศัลยกรรมความงามแห่งหนึ่ง 4. กระทรวงศึกษาธิการจัดอภิปรายเรื่องปัญหาวัยรุ่น 5. ครูท าวีดิทัศน์ประกอบการสอนวิชาประวัติศาสตร์
99.ข้อใดจ าเป็นต้องใช้ค าทับศัพท์ (o-net 63) 1. กระแสเกมออนไลน์ก าลังมาแรงและท าเงินได้มหาศาล 2. การน าเสนอข้อมูลในสื่อต่างๆ ผู้ใช้สื่อจ าเป็นต้องชัวร์ก่อนแชร์ 3. พิธีกรรายการทีวีถูกปลดออกจากรายการเนื่องจากพูดจาไม่เหมาะสม 4. เมื่อเราเดินทางไปต่างประเทศ จ าเป็นต้องใช้พาสปอร์ตเพื่อแสดงตน 100. ข้อใดมีศัพท์บัญญัติ (o-net 63) 1. นักเรียนในแถบเอเชียมีความเครียดจากการสอนแข่งขันมาก 2. ข้อมูลสารสนเทศในยุคปัจจุบันช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกสบาย 3. ผู้ที่ต้องการจะไปเรียนต่อต่างประเทศต้องใช้ผลการสอบโทเฟล 4. นักการเมืองมีแฟนคลับคอยให้ก าลังใจไม่ต่างกับนักร้องนักแสดง ม.3/6 แต่งบทร้อยกรอง ใบความรู้เรื่อง การแต่งโคลงสี่สุภาพ ความรู้เรื่องโคลงสี่สุภาพ ตัวอย่าง จากมามาลิ่วล้ า ล าบาง บางยี่เรือราพลาง พี่พร้อง เรือแผงช่วยพานาง เมียงม่าน มานา บางบ่รับค าคล้อง คล่าวน้ าตาคลอ ตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นโคลงบทที่ ๒๒ ในนิราศนรินทร์ซึ่งถือกันว่าเป็น “โคลงครู” หมายความว่า เป็นโคลงสี่สุภาพที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบทุกประการ กล่าวคือ ใช้ค าที่มีรูปวรรณยุกต์ก ากับเฉพาะค าที่บังคับ รูป วรรณยุกต์เอกและรูปวรรณยุกต์ตามแผนผังเท่านั้นส่วนค าอื่น ๆ ไม่มีรูปวรรณยุกต์เอกและรูปวรรณยุกต์โท ก ากับอยู่ (ซึ่งเรียกว่าค าสุภาพ) ตามแผนผังทุกประการ
ข้อบังคับของโคลงสี่สุภาพ จ านวนค า ๑. โคลงบทหนึ่งมี ๔ บาท ๒. บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้ามี๕ ค า และวรรคหลังของบาทที่ ๑ บาทที่ ๓ และบาทที่ ๓ มีวรรคละ ๒ ค า ส่วนวรรคหลังของบาทที่ ๔ มี๔ ค า ค าเอก ค าโท ๑. บังคับให้ใช้ค้าที่มีรูปวรรณยุกต์เอกก ากับ ๗ ต าแหน่ง และค ามีรูปวรรณยุกต์โทก ากับ ๔ ต าแหน่ง - ค าที่มีรูปวรรณยุกต์เอกก ากับนั้น อาจเป็นเสียงวรรณยุกต์เอกหรือเสียงวรรณยุกต์โทก็ได้เช่น รูปเอก เสียง เอก : กว่า ปี่กู่ ใหญ่ เขี่ย เป็นต้น รูปเอก เสียง โท : น่า คู่ โล่ เรื่อย เป็นต้น - ค าที่มีรูปวรรณยุกต์โทก ากับอาจเป็นเสียงวรรณยุกต์โทหรือเสียงวรรณยุกต์ตรีก็ได้เช่น รูปโท เสียง โท : กล้า ให้ขัน บ้าน เป็นต้น รูปโท เสียง ตรี: เลื่อย ค้าน โน้น ชั้น เป็นต้น ดังนั้น ในการแต่งโคลงตรงค าที่บังคับเอก หรือค าที่บังคับโท ก็ไม่จ าเป็นต้องเป็นเสียงเอก หรือเสียงโท เพียง อย่างเดียวดังกล่าวแล้ว ๒. ต าแหน่งค าเอกและค าโท ในวรรคหน้าบาทที่ ๑ (ค าที่ ๔ และ ๕) สลับกันได้ดังนี้ () ๓. ต าแหน่งค าเอกอาจใช้ค าตาย (คือค าที่ประสมสระเสียงสั้นในแม่ก กา หรือมีตัวสะกดในแม่กก กด กบ) เช่น ดุติจาก ตัด เก็บ หรือใช้ค าเอกโทษแทนได้(ค าเอกโทษ คือค าที่ใช้วรรณยุกต์เอกในต าแหน่งบังคับ เช่น หน้า เขียนเป็น น่า เพื่อให้ได้ค าที่บังคับรูปวรรณยุกต์เอกตามแผนผังฉันทลักษณ์) ต าแหน่งโท อาจใช้ค าโทโทษแทนได้(ค าโทโทษ คือค าที่ใช้วรรณยุกต์โทในต าแหน่งบังคับ เช่น เล่น เขียนเป็น เหล้น ท่วม เขียนเป็น ถ้วม เพื่อให้ได้ค้าที่บังคับรูปวรรณยุกต์โทตามแผนผังฉันทลักษณ์) ตัวอย่าง ผิวขาวใบน่าหยิ้ง ขาวนวล น่า เป็นค าเอกโทษ ที่ถูกต้องคือค า หน้า (ใบหน้า) แต่ต้องการใช้รูปเอกในต าแหน่งที่บังคับเอก หยิ้ง เป็นค าโทโทษ ที่ถูกต้องคือค า ยิ่ง แต่ต้องการใช้รูปโทในต าแหน่งที่บังคับโท สัมผัส ๑. สัมผัสบังคับ - ค าสุดท้ายวรรคหลังในบาทที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังค าสุดท้ายวรรคหน้าในบาทที่ ๒ และค าสุดท้าย วรรคหน้าในบาทที่ ๓ - ค าสุดท้ายวรรคหลังในบาทที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังค าสุดท้ายของวรรคหน้าในบาทที่ ๔ - ค าสุดท้ายของบทที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังค าที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของบทต่อไป ค าที่ส่งและรับสัมผัสไม่ นิยมใช้ค าที่มีรูปวรรณยุกต์ ๒. สัมผัสไม่บังคับ (สัมผัสพิเศษหรือสัมผัสใน) ถ้ามีก็จะช่วยเพิ่มความไพเราะให้โคลง ได้แก่การใช้สัมผัส พยัญชนะในแต่ละวรรค
ตัวอย่างแบบทดสอบ 101. ข้อความ 2 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับค าประพันธ์ต่อไปนี้ (o –net 61) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) จากมามาลิ่วล้ า ชลธี บางซ่อนซุกสาวศรี พี่ไว้ นกเอยช่วยรับวจี ค าเอ่ย คะนึงนอ นกบ่รับค าได้ บ่ได้โดยใจ 1. ใช้ค าเอกโทษและค าโทโทษ 2. ใช้ค าสร้อย เพื่อให้มีเนื้อความสมบูรณ์ 3. ใช้ค าครุและค าลหุเพื่อให้เกิดเสียงหนักเบา 4. ใช้ค าตายแทนค าเอกเพื่อให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ 5. ใช้ค าเอกและค าโทถูกต้องตามฉันทลักษณ์ของค าประพันธ์ข้างต้น 102. ค าใน 2 ข้อใดใช้เติมต าแหน่ง (ก) และ (ข) ในค าประพันธ์ต่อไปนี้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ (o –net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) ดอกไม้งาม...(ก).... ตาตรู ส้มแสดแดงชมพู มากหยิ้ง หอมรื่นชื่นชมดู งามเด่น สวยสดพาเพริศพริ้ง ....(ข)....เพลิดเพลิน 1. (ก) แต่งแต้ม (ข) โลกล้วน 2. (ก) เลอเลิศ (ข) คือหอม 3. (ก) นานา (ข) เยี่ยมหยิ้ง 4. (ก) เลิศล้วน (ข) แช่มฉื้น 5. (ก) แต้มแต่ง (ข) ดูแล้ว 103. ข้อความ 2 ข้อใดไม่สามารถเติมในบาทที่ 3 ของโคลงสี่สุภาพต่อไปนี้ได้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ (o –net 62) (แบบปรนัย 5 ตัวเลือก 2 ค าตอบ) เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย ............................... ........................ เย็นฉ่ าน้ าค้างย้อย เยือกฟ้าพาหนาว ฯ 1. ยามดึกนึกหนาวหนาว เขนยแนบ แอบเอย 2. ยามค่ าเจ็บเหน็บหนาว เขนยห่อน อุ่นเอย
3. ยามดึกดาวพราวพริบ ระยิบฟ้า งามเอย 4. ยามค่ าฟ้าสกาว งามเด่น ยิ่งเอย 5. ยามดึกเยียบเย็นหนาว หาอุ่น ใจเอย 104.ตัวเลือกข้อใดต่อไปนี้ใช้เติมต าแหน่ง (ก) และ (ข) ได้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ (o –net 63) ไม้ดัดงาม...(ก).... ตรูตา ใบพุ่มชอุ่มหนา ช่อชี้ เขียวครึ้มพฤกษ์นานา งามเด่น ชื่นจิตชูใจนี้ ....(ข)....เพลินใจ 1. (ก) ชูช่อ (ข) จิตฟุ้ง 2. (ก) แต่งแต้ม (ข) ฟุ้งฟ้า 3. (ก) แช่มช้อย (ข) ร่มหรื้น 4. (ก) ตัดแต่ง (ข) รื่นรมย์ สาระที่ 5 วรรณคดี และวรรณกรรม ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ วรรณคดีและวรรณกรรมไทย อย่างเห็นคุณค่าและน ามา ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัด ม.2/2 วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นที่อ่าน พร้อมยกเหตุผลประกอบ ม.3/1 สรุปเนื้อหาวรรณคดีวรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นในระดับที่ยากยิ่งขึ้น ม.3/2 วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจากวรรณคดี และวรรณกรรมที่อ่าน ม.3/3 สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อน าไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง เนื้อหา ม.2/2 วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นที่อ่าน พร้อมยกเหตุผลประกอบ ม.3/1 สรุปเนื้อหาวรรณคดีวรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นในระดับที่ยากยิ่งขึ้น ม.3/2 วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจากวรรณคดี และวรรณกรรมที่อ่าน ม.3/3 สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อน าไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
ตัวอย่างแบบทดสอบ 105. ค าประพันธ์ต่อไปนี้ไม่ได้แสดงคุณค่าตามข้อใด (o-net 61) อันนินทากาเลเหมือนเทน้ า ไม่ชอกช้ าเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา 1. ใช้ภาษาไพเราะสละสลวย 2. ใช้โวหารเปรียบเทียบชัดเจน 3. ให้คติข้อคิดในการด ารงชีวิต 4. สะท้อนความเชื่อทางด้านศาสนา 106. ข้อใดให้ความคิดเกี่ยวกับความดี (o-net 61) 1. น้ าใช้ใส่ตุ่มตั้ง เต็มดี 2. มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ 3. หอมแห่งกลิ่นกล่าวคือ ศีลสัตย์ นี้นา 4. ความรักประจักษ์ใจ จริงแน่ นอนฤๅ 107. ข้อใดให้ข้อคิดตรงกับใจความส าคัญของค าประพันธ์ต่อไปนี้ (o-net 61) ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า น้ าพึ่งเรื่อเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ 1. ควรมีน้ าใจต่อกัน 2. อย่าไว้ใจใครง่ายๆ 3. รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา 4. ไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่ได้รับ อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบค าถามข้อ 108 และข้อ 109 (o-net 62) พระชนกชนนีเป็นที่ยิ่ง ไม่ควรทิ้งทอดพระคุณให้สูญหาย ถึงลูกเมียเสียไปแม้นไม่ตาย ก็หาง่ายดอกพี่เห็นไม่เป็นไร 108. บุคคลใดน าข้อคิดจากค าประพันธ์ข้างต้นไปใช้ไม่ถูกต้อง 1. น้าดูแลตายายจนไม่คิดจะมีครอบครัว 2. ลุงส่งเงินมาให้ตายายเป็นประจ าทุกเดือน 3. อาไม่เคยส่งข่าวถึงปู่ย่าเลยตั้งแต่แต่งงาน 4. พ่อพาลูกกลับไปเยี่ยมปู่ย่าในวันสงกรานต์ทุกปี
109. ค าประพันธ์ข้างต้นมีจุดมุ่งหมายตักเตือนผู้ใด 1. บิดา 2. มารดา 3. บุตร 4. ภรรยา อ่านค าประพันธ์ต่อไปนี้แล้วตอบค าถามข้อ 110 และข้อ 111 (o-net 62) ฝูงชนก าเนิดคล้าย คลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด เว้นแต่ชั่วดีกระด้าง ห่อนแก้ฤๅไหว 110. ค าประพันธ์ข้างต้นให้ความส าคัญเรื่องใดอย่างชัดเจน 1. ชาติก าเนิด 2. พฤติกรรม 3. ผิวพรรณ 4. ความรู้ 111. ค าประพันธ์ข้างต้นแสดงคุณค่าด้านใดอย่างชัดเจน 1. เนื้อหาให้ความรู้ 2. ข้อคิดในการใช้ชีวิต 3. วิธีการเปรียบเทียบ 4. การอ้างอิงน่าเชื่อถือ อ่านค าประพันธ์ต่อไปนี้แล้วตอบค าถามข้อ 112 และ ข้อ 113 (o-net 63) ยามเช้าฉันไหว้พ่อแม่ก่อนไปเรียน ก่อนขีดเขียนฉันไหว้ครูด้วยรู้รัก ตอนเที่ยงเที่ยงฉันทักทายคนรู้จัก ยามค่ าค่ าก่อนนอนพักกราบพระเอย 112. ค าประพันธ์ข้างต้นแสดงวิถีไทยในเรื่องใด 1. การเห็นคุณค่าของเวลา 2. การรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติ 3. การให้ความส าคัญกับพิธีกรรม 4. การรู้จักแสดงความสนิทกับคนรุ่นต่างๆ 113. ค าประพันธ์ข้างต้นไม่กล่าวถึงเรื่องใด 1. กาลเทศะ 2. จงรักภักดี 3. สัมมาคารวะ 4. อัธยาศัยไมตรี .......................................................................................................