39 5. กรอบแนวคิดในการวิจัย การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5E) มี 5 ขั้นตอน 1.ขั้นสร้างความสนใจ ➢ การนำเข้าสู่บทเรียนซึ่งอาจเกิดความสนใจ ความสงสัย จากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นการกระตุ้นให้ เกิดความสนใจนำไปสู่ประเด็นที่จะศึกษาค้นคว้า 2.ขั้นการสำรวจและค้นหา ➢ การทำความเข้าใจในประเด็นที่ศึกษา การศึกษา อาจเป็นการตรวจสอบ การทดลอง การปฏิบัติ การสืบค้น ความรู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลในการที่จะใช้ในขั้นต่อไป 3.ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ➢ การนำข้อมูลข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปล ผล สรุปผล และนำเสนอในรูปของภาพวาด ตาราง แผนภูมิ การค้นพบในขั้นนี้อาจเป็นการสนับสนุนหรือโต้แย้งสมมติฐาน ก็ได้ ผลที่ได้สามารถสร้างความรู้และช่วยให้เกิดการเรียนรู้ 4.ขั้นขยายความรู้ ➢ การนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้ เดิม หรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม ทำให้เกิดความรู้ที่กว้าง ขึ้น 5.ขั้นประเมินผล ➢ การประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่ามีความรู้อะไรบ้าง รู้มากน้อยเพียงใดและนำไปประยุกต์ ความรู้สู่เรื่องอื่น ๆ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียน ชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของ นักเรียนชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวม ข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. รูปแบบในการทดลอง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 26 คน รูปแบบในการทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) T1 X T2 T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest)
41 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่ใช้กิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) จำนวน 10 แผน 1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย 2. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 2.1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรุง 2560) หลักสูตรสถานศึกษา คู่มือครูหนังสือเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของ กระทรวงศึกษาธิการ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1.3 วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหา 2.1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ความคล้าย 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 2.1.4.1 รูปเรขาคณิตที่คล้ายกัน จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.2 รูปเรขาคณิตที่คล้ายกัน (2) จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.3 รูปเรขาคณิตที่คล้ายกัน (3) จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.4 รูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.5 รูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน (2) จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.6 รูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน (3) จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.7 รูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน (4) จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.8 โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับรูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.9 โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับรูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน (2) จำนวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.10 โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับรูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน (3) จำนวน 1 ชั่วโมง
42 ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระสำคัญ จุดประสงค์การ เรียนรู้(รายชั่วโมง) ทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 2.1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษา ด้านหลักสูตรและการสอน การวิจัย และการวัดและประเมินผลตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล โดยให้ ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ตรวจสอบ ให้คะแนนดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่าไม่มีความเหมาะสมและไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้และการวัดผลประเมินผล แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องขององค์ประกอบ ของ แผนการเรียนรู้(Index of Item – Objective Congruence : IOC) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่าตั้งแต่ 0.67 – 1.00 2.1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ตามข้อเสนอแนะ 2.1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย 2.2แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ความคล้าย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลือก ในการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 2.2.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู คู่มือวัดและประเมินผลวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเอกสารที่เกี่ยวข้องเทคนิคการเขียน ข้อสอบ การสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 2.2.2 วิเคราะห์เนื้อหา เรื่อง ความคล้าย เพื่อแบ่งเนื้อหาออกเป็นเนื้อหาย่อย ๆ แล้ว เขียนจุดประสงค์การเรียนรู้
43 2.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์แบบปรนัยชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ตามตาราง วิเคราะห์หลักสูตร 2.2.4 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนคณิตศาสตร์ ด้านการสอนการวิจัย และด้านการวัดผลและประเมินผล เพื่อ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ตรวจสอบ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดได้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดได้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดไม่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2.2.5 นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยหาค่า IOC ซึ่งจะต้องมีค่าตั้งแต่ 0.67 – 1.00 2.2.6 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลัง เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีที่เรียนผ่านมาแล้ว และไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย แล้วนำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และหาค่า อำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อ ซึ่งมีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.50 - 0.68 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.25 – 1.00 2.2.7 นำข้อสอบที่คัดเลือกแล้วไปทดสอบเพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้ง ฉบับ โดยใช้สูตรของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน KR - 20 ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตั้งแต่ 0.83 2.2.8 นำแบบทดสอบที่ได้ไปวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการทดลองต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีการดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ละ ขั้น มีดังนี้ 1. เตรียมนักเรียนก่อนดำเนินการสอน โดยแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการ เรียน ขั้นตอนการเรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ใช้เวลา 60 นาทีใน สัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง
44 2. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ใช้เวลา 60 นาทีในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3. ดำเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เรื่อง ความคล้าย กับนักเรียนตามแผนการ จัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง 4. ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อน การทดลอง โดยใช้เวลา 60 นาที 5. นำคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่เรียนด้วยกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีทางสถิติ เพื่อ ตรวจสอบสมมติฐาน การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการ ทางสถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้ในการหาค่าร้อยละ ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2. การทดสอบสมมติฐาน นำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบมาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน หลังจากที่ได้รับกิจกรรมการเรียนการสอนวิชา คณิตศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) โดยใช้การ ทดสอบทีแบบไม่อิสระ (Dependent Sample t-test) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพเครื่องมือ 1.1 การหาค่าความเที่ยงตรง (Validity) ของแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) เรื่อง ความคล้าย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน แบบประเมินทักษะการแก้ปัญหา แบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบ สืบเสาะหาความรู้(5E) โดยใช้สูตรดัชนีความสอดคล้อง IOC ดังนี้(สมนึก ภัททิยธนี, 2558 : 220-221)
45 IOC = N R เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหาหรือ ระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 1.2 การหาค่าความยากและค่าอำนาจจำแนกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่ง เป็นแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม โดยใช้สูตร ดังนี้(สมนึก ภัททิยธนี, 2558 : 195) N R p = f Ru Rl r − = เมื่อ P แทน ค่าความยาก R แทน ค่าอำนาจจำแนก R แทน จำนวนผู้ตอบถูกทั้งหมด (Ru+Rl) N แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ (ซึ่งเท่ากับ 2f) f แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ Ru แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงที่ตอบข้อนั้นถูก Rl แทน จำนวนคนในกลุ่มต่ำที่ตอบข้อนั้นถูก 1.3 การหาค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ค่าความ เชื่อมั่นด้วยสูตร KR-20 ดังนี้(สมนึก ภัททิยธนี, 2558 : 223) − − − = tt 2 s pq 1 n 1 n KR 20 : r เมื่อ tt r แทนค่า ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ N แทนค่า จำนวนข้อของแบบทดสอบทั้งฉบับ P แทนค่า อัตราส่วนของผู้ตอบถูกในข้อนั้น q แทนค่า อัตราส่วนของผู้ตอบผิดในข้อนั้น S 2 แทนค่า ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ 2. สถิติพื้นฐาน ดังนี้ 2.1 ร้อยละ (Percentage) มีสูตรคำนวณ ดังนี้(สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2553: 29) 100 N f p =
46 เมื่อ p แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 2.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) มีสูตรคำนวณ ดังนี้(สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2553 : 29) N x X = เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม 2.2 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) มีสูตรคำนวณ ดังนี้ (สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2553 :123) ( ) N(N 1) N X X S.D. 2 2 − − = เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด X แทน คะแนนแต่ละตัว N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม 3. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน 3.1 การเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลัง เรียน โดยใช้สูตรคำนวณหาค่า t-test แบบ Dependent Samples (บุญชม ศรีสะอาด, 2556 : 68) (N 1) N D ( D) D t 2 2 − − = เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต เพื่อทราบนัยสำคัญ D แทน ความแตกต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่างหรือจำนวนคู่ แทน ผลรวม df แทน ความเป็นอิสระมีค่าเท่ากับ N – 1
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มุ่ง 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้นชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้นชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้วิจัยได้ทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนชั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ที่ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ซึ่งผู้วิจัยขอนำเสนอผลการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย และผล การศึกษาดังรายละเอียดต่อไปนี้ ตอนที่ 1 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลคะแนนของผู้เรียนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้นชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 เป็นรายบุคคลและภาพรวม ดังแสดงผลการวิเคราะห์ในตารางที่ 2 ตารางที่ 2 ตารางการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ความคล้าย ที่เรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เลขที่ ก่อนเรียน หลังเรียน ความก้าวหน้า คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 1 8 40 15 75 7 35 2 7 35 14 70 7 35 3 10 50 15 75 5 25 4 10 50 15 75 5 25 5 6 30 14 70 8 40 6 7 35 14 70 7 35 7 8 40 14 70 6 30
48 ตารางที่ 2 (ต่อ) เลขที่ ก่อนเรียน หลังเรียน ความก้าวหน้า คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 8 9 45 15 75 6 30 9 7 35 14 70 7 35 10 10 50 15 75 5 25 11 6 30 14 70 8 40 12 7 35 14 70 7 35 13 5 25 14 70 9 45 14 8 40 14 70 6 30 15 12 60 18 90 6 30 16 7 35 14 70 7 35 17 8 40 14 70 6 30 18 9 45 16 80 7 35 19 6 30 14 70 8 40 20 5 25 14 70 9 45 21 7 35 14 70 7 35 22 9 45 15 75 6 30 23 8 40 14 70 6 30 24 5 25 14 70 9 45 25 6 30 14 70 8 40 26 11 55 17 85 6 30 รวม 201 1,005 379 1,895 178 890 คะแนนเฉลี่ย( ) 7.73 38.65 14.58 72.88 6.85 32.23 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน(S.D.) 1.87 9.33 1.03 5.13 1.19 5.95 จากตารางที่ 2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 7.73 คิดเป็นร้อยละ 38.65 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 14.58 คิดเป็นร้อยละ 72.88 คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเพิ่มขึ้น 6.85 คะแนน
49 คิดเป็นร้อยละ 32.23 นั่นคือนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่ เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) หลังเรียนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 70 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน จากการวิเคราะห์ข้อมูลคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่ เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนหลังเรียน ซึ่งมีคะแนนเต็มก่อนเรียนและหลังเรียน 20 คะแนน และเปรียบเทียบคะแนน ก่อนเรียนและหลังเรียน ดังแสดงรายละเอียดในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ตารางแสดงการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ความคล้าย ที่เรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน การทดสอบ X S.D. MD S.D.D t Sig.(2-tailed) ก่อนเรียน 7.73 1.87 6.85 1.19 29.34* 0.0000 หลังเรียน 14.58 1.03 * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 จากตารางที่ 3 พบว่า ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ก่อนเรียนและหลัง เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.73 คะแนน และ 14.58 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง ผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ในรายวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ความคล้าย สำหรับนักเรียนชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จังหวัดอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงทดลอง สรุปได้ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนโดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน สมมติฐานการวิจัย 1.นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่เรียนโดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วิธีดำเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัด อุดรธานีปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน 26 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่มจากห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเป็นกลุ่มตัวอย่างในการ วิจัยครั้งนี้ 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวนทั้งสิ้น 10 แผน รวม 10 ชั่วโมง
51 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ความคล้าย ที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้นเป็นแบบทดสอบปรนัยมี4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ แต่ละข้อมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 มีความยากง่ายระหว่าง 0.50 - 0.68 ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบรายข้อ มีค่าตั้งแต่ 0.25 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับมีค่า 0.83 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี การดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ละขั้น มีดังนี้ 3.1 เตรียมนักเรียนก่อนดำเนินการสอน โดยแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับ การเรียน ขั้นตอนการเรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียน ใช้เวลา 60 นาทีในสัปดาห์แรก ก่อนทำการทดลอง 3.2 ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ใช้เวลา 60 นาทีในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3.3 ดำเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เรื่อง ความคล้าย กับนักเรียนตามแผนการ จัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง 3.4 ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อน การทดลอง โดยใช้เวลา 60 นาที สรุปผลการวิจัย จากการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจสอบสมมติฐานการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E)ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนเท่ากับ 7.73 คิดเป็นร้อยละ 38.65 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 14.58 คิดเป็นร้อยละ 72.88 คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเพิ่มขึ้น 6.85 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 32.23 นั่นคือนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) หลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ก่อนเรียนและหลังเรียนของ
52 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.73 คะแนน และ 14.58 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 การอภิปรายผล ผลการศึกษาการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย สำหรับนักเรียนชั้นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประเด็นในการ นำมาอภิปรายผลตามลำดับ ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนน เฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 2.12 คิดเป็นร้อยละ 21.2 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 8.28 คิดเป็นร้อยละ 82.8 คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเพิ่มขึ้น 6.85 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 32.23 นั่นคือนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วยกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้หลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 สอดคล้อง กับงานวิจัยของโสรยา ไพศาลวัฒนการณ์ (2563) ที่ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 3 หน่วยความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ จำนวนจริง โดยใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) สำหรับนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหารผลการเรียนรู้ด้านผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียน ได้แก่ ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ทักษะการทำงานกลุ่ม ความมี วินัยและความพึงพอใจ สูงกว่าเกณฑ์ที่ร้อยละของคะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.73 คะแนน และ 14.58 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับงานวิจัยของชนกานต์ แกล้วน้อย (2558) ที่ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากรโดยการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E พบว่าการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน
53 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.20 คะแนน และ 15.23 คะแนนตามลำดับ และ ค่า t คำนวณ มีค่าเท่ากับ 18.56 และ ค่า t ตาราง มีค่าเท่ากับ 1.6991 ซึ่งพบว่า ค่า t คำนวณ มีค่ามากกว่าค่า t ตาราง จึง สามารถสรุปได้ว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ข้อเสนอแนะ จากผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) วิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย สำหรับนักเรียนชั้นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยให้ข้อเสนอแนะ ในการวิจัย และข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ (5E) วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ครูผู้สอนควรที่จะศึกษาความหมาย และขั้นตอนของการจัดกิจกรรมทั้ง 5 ขั้น อย่างละเอียด เพื่อง่าย ต่อการสอน 1.2 ในการทำใบงานของนักเรียนแต่ละคาบเรียน ครูผู้สอนควรที่จะเฉลยใบงานก่อนที่ จะหมดคาบเรียน 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ในการ จัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในเรื่องอื่น ๆ และระดับอื่น ๆ เช่น การวัดน้ำหนัก เวลา เป็นต้น 2.2 ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ในการ จัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น 2.3 ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) กับวิชา อื่น ๆ เช่น วิชาสังคมศึกษา วิชาวิทยาศาสตร์ เป็นต้น 2.4 ควรจัดการเรียนการสอนแบบ 5E ควบคู่ไปกับนวัตกรรมการสอนแบบอื่น เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2.5 ควรสร้างใบงานให้นักเรียนเพิ่มขึ้นในส่วนของการเชื่อมโยงความคิด ความคิด สร้างสรรค์หรือการบูรณาการกับวิชาอื่น
54 บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2546). คู่มือหลักสูตรสอน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. เกษม เปรมประยูร, สุดาลัด ลอยฟ้า และและไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2554). การพัฒนาภาษาทาง คณิตศาสตร์ของ นักเรียนโดยวิธีการแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E). เอกสารการประชุมทาง วิชาการประจำปีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 9-10 (2554) จิราภรณ์ ศิริทวี. (2541). เทคนิคการจัดกิจกรรมให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้(Constructivism). วารสารวิชาการ, 1(9): 37-52 จิราภัส พรมบังเกิด. (2563). ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้. ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2556). การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน Developmental Testing of Media and Instructional Package. วารสารศิลปกรศึกษาศาสตร์วิจัย. ตติมา ทิพย์จินดาชัยกุล. (2556). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบสืบเสาะหาความรู้ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย โดยใช้การจัดการเรียนรูปแบบปลายเปิด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลกำแพงเพชร. จังหวัดกำแพงเพชร. ทิพวรรณ พวกดี. (13 กันยายน 2557). นวัตกรรมการศึกษาที่น่าสนใจ. สืบค้นจาก http://tippawanpundown.blogspot.com/2014/09/blog-post_34.html. ที่ 3. ปริญญานพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา). มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ. ธันวาคม 2560, ณ สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร, หน้า 244-253. บุญชม ศรีสะอาด. (2556). วิธีการทางสถิติสำหรับการวิจัย เล่ม 1 (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงทพฯ: ประภัสสร เพชรสุ่ม, อภิณห์พร สถิตภาคีกุล และกตัญญุตา บางโท. (2560). ผลการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารราชพฤกษ์, 15(1), 80-87. ประสานการพิมพ์. ปรีชา เนาว์เย็นผล. (2537). การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์. ในการพัฒนาทักษะการคิดคำนวณของ นักเรียนระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
55 ปิยภรณ์ ศิริมา และปสาสน์ กงตาล. (2554). การสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้นวัตกรรม การศึกษาชั้นเรียน (Lesson study) และวิธีการแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) (Open แปรเดียว โดย การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 โรงเรียนไทยนิยมสังเคราะห์. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาคณิตศาสตร์ ศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง เผชิญ กิจระการ. (2544).การวิเคราะห์ประสิทธิภาพสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา E1 / E2. พรเพ็ญ เฟื่องฟู และ นฤมล ช่างศรี. (2562). ความคิดยืดหยุ่นทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนในชั้น เรียนคณิตศาสตร์ ที่ใช้การศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E). วารสาร มหาจุฬานาครทรรศน์, 7(1), 43-56. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. 2540. วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่7. กรุงเทพฯ : สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ. พักตร์ผกา ศรีสว่าง. (2558). ผลการใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ 5E วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เซต. พัทธยากร บุสสยา. (2559). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการ สอนคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2547, มกราคม-มิถุนายน). การสอนโดยใช้วิธีการแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ในชั้นเรียนญี่ปุ่น. KKU Journal of Mathematics Education 1. (1): 1-9. ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์. (2557). กระบวนการแก้ปัญหาในคณิตศาสตร์ระดับโรงเรียน. ขอนแก่น. ระเบียบ อนันตพงศ์. (2550). ผลการใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง สนามของแรงและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นผสมของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน หาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา. มหาวิทยาลัยทักษิณ. รินติ้ง เยาวลักษณ์ ชื่นอารมณ์. (2549). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมวัฏจักร การเรียน5E (วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วนัญชนา เชิงดี. (2555). การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้วิธีแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5E) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี.
56 วัชรา เล่าเรียนดี. (2554). รูปแบบและกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด. นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร. วาสนา กีรติจำเริญ. (2563). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและทักษะการสื่อสารและ การนำเสนอของนักศึกษา ระดับปริญญาตรีโดยใช้วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E กับวิธีการสอนโดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน. ชุมชนวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. วิมลสิทธิ หรยางกูร. 2549. พฤติกรรมมนุษย์กับสภาพแวดล้อม: มูลฐานทางพฤติกรรมเพื่อการ ออกแบบและวางแผน. (พิมพ์ครังที 6). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ศุภมาศ แก้วมณี. 2561. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เพื่อพัฒนา ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. (วิทยานิพนธ์สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร). มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี. ศิริภรณ์ ตันนะลา. (2554). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้(5Es) ที่เน้นทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เรื่องการประยุกต์ของสมการเชิง เส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.). (2555). ทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์(พิมพ์ครั้งที่3). กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2546). คู่มือวัดผลประเมินผลคณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สมนึก ภัททิยธนี. (2558). การวัดผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 10. กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์. สุภาภรณ์ อุ้ยนอง. (2564). การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น ที่ส่งเสริมความสามารถ ในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์เรื่อง พีระมิด กรวย และทรงกลมสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่3. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. โสรยา ไพศาลวัฒนการณ์. (2563). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 3 หน่วยความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับ จำนวนจริง โดยใช้ชุดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหาร. มหาวิทยาลัยราชธานี.
57 อัสมา หะยีตาเฮร์. (2560). ผลของการสอนโดยใช้วิธีการแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่มีต่อ ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลานครินทร์. อาภา ธัญญะศิริกุล. (2552). การศึกษาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีวิจารณญาณ และความพึง พอใจต่อวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ 5E ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิกของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. (วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยทักษิณ. Adam, S; et l. (1977). Teching Mathematics with Emphasis on Diagnostic Approach. New York : Harper & Row. Akar, E. (2005). Effectiveness of 5E learning cycle model on students’ Understanding. Anderson, K.B.; & Pingry, R.E. (1973). Problem-Solving in Mathematics. The Learning Mathematics : It’s Theory and Practice. Washington. D.C. : The National Council of Teachers and Mathematics. Baroody. (1993). Problem solving, reasoning, and communicating, K-8 : Helping children think mathematically. New York : Merrill.. Bergman, J. (1996). Understanding educational measurement and evaluation. Boston. Bybee, R.W., Taylor, J.A., Gardner, A., Van S.P., Carlson P.J., Westbrook, A. & Landes, N. (2006). The BSCS 5E instructional model : Origins and effectiveness. Colorado Springs, CO: BSCS. Charles, R. I., Lester, F. K., & Phares, O’ Daffer. (1 9 8 7 ) . How to evaluate progress in solving problem. Reston, VA: National Council of Teachers of Mathematics. Clyde. (1 9 6 7 ) . Teaching Mathematics in the Elementary School. New York : the Ronald Press Company. Ebrahim, A. (2004). The effects of traditional learning and a learning cycle inquiry ed.).New York:elementary science (Kuwait). Dissertation Abstracts International. Gronlund, N.E. and Linn, R. L. (1990). Measurement and evaluation in teaching. Harrington, H. James. Simulation Modeling Methods. (New York: McGraw- Hill, 1996), 1853-1931. McNamara, C. (1 9 9 9 ) . Basic guidelines to problem solving and decision making. Available HTTP: http//www.authenticityconsulting.com.
58 Pehkonen, E. (1 9 9 7 ) . Use of open-ended problems in mathematics classroom. Helsinki: Department of Teacher Education University of Helsinki. Polya, G. (1957). How To Solving it. Anew Aspect of Mathematical Method. Garden City, New York: Doubleday and Company. Reys, Suydam and Lindquist. (1992). Helping children learn mathematics. Needham Heights,MA : Allyn and Bacon.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย
61 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ที่ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีรายนามดังต่อไปนี้ 1. นายอภิรักษ์ สรรพโส รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000 2. นางสาวณัฐกฤตา หลานวงศ์ ครูชำนาญการพิเศษ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000 3. นางพิมลวรรณ ลาชะเลา ครูชำนาญการพิเศษ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนเทศบาล 7 รถไฟสงเคราะห์อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000
62 ภาพที่ 2 ภาพแสดงบันทึกข้อความขอความอนุเคราะห์แต่งตังผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพแบบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ภาคผนวก ข แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง ความคล้าย แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง ความคล้าย
64 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง ความคล้าย คำชี้แจง : ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรุณาแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย โดยใส่เครื่องหมายถูก (√) ลงในช่องความคิดเห็นของท่านพร้อมเขียน ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไปนี้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 1 นักเรียนสามารถระบุเงื่อนไขที่ทำให้รูป หลายเหลี่ยมสองรูปคล้ายกันได้ 1. ข้อใดคือลักษณะที่ทำให้รูปหลายเหลี่ยมสองรูปคล้ายกัน ก. มีรูปร่างเหมือนกัน และขนาดเท่ากันหรือแตกต่างกัน ก็ได้ ข. มีขนาดเท่ากัน รูปร่างแตกต่างกัน ค. มีขนาดแตกต่างกัน รูปร่างแตกต่างกัน ง. มีรูปร่างเหมือนกัน ขนาดแตกต่างกันเท่านั้น 2. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวได้ถูกต้อง ก.รูปหลายเหลี่ยมสองรูปคล้ายกันเมื่อขนาดของมุมที่สม นัยกันเท่ากันบางคู่ ข. รูปหลายเหลี่ยมสองรูปคล้ายกันเมื่อมีอัตราส่วนของ ความยาวของด้านคู่ที่สมนัยกันบางคู่เป็นอัตราส่วนที่เท่ากัน ค. รูปหลายเหลี่ยมสองรูปคล้ายกันเมื่อขนาดของมุมที่ สมนัยกันเท่ากันทุกคู่และมีอัตราส่วนของความยาวของด้าน คู่ที่สมนัยกันทุกคู่เป็นอัตราส่วนที่เท่ากัน ง. รูปหลายเหลี่ยมสองรูปคล้ายกันเมื่อขนาดของมุมที่สม นัยกันเท่ากันบางคู่และมีอัตราส่วนของความยาวของด้านคู่ ที่สมนัยกันบางคู่เป็นอัตราส่วนที่เท่ากัน ......... ......... ........ ......... ........ ......... ……………………………. ……………………………. ……………………………. …………………………… ……………………………. …………………………… …………………………… …………………………… …………………………… ……………………………
65 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 2 นักเรียนสามารถระบุสมบัติที่ทำให้รูป หลายเหลี่ยมสองรูปคล้ายกันได้ 3. จากรูปมีสมบัติตรงกับข้อใด ก. สมบัติถ่ายทอด ข. สมบัติสะท้อน ค. สมบัติสมมาตร ง. สมบัติการหมุน 4. ข้อใดกล่าวได้ถูกต้อง ก. รูปหลายเหลี่ยมที่มีขนาดของมุมเท่ากันเป็นคู่ๆ ทุกคู่ เป็นรูปหลายเหลี่ยมที่คล้ายกัน ข. รูปหลายเหลี่ยมสองรูปที่มีอัตราส่วนของความยาว ด้านคู่ที่สมนัยกันทุกคู่เท่ากัน เป็นรูปหลายเหลี่ยมที่ คล้ายกัน ค. รูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่มีขนาดของมุมที่ฐานแต่ละ มุมเท่ากับ 70° กับรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่มีขนาดของมุม ยอดเท่ากับ 40° เป็นรูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน ง. ข้อ ก และ ข กล่าวได้ถูกต้อง ...... ......... ...... ......... ...... ......... ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..…….. ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..……..
66 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 3 นักเรียนสามารถวิเคราะห์รูปหลายเหลี่ยมที่คล้ายกันได้ 5. ข้อใดเป็นรูปที่คล้ายกัน ก. ข. ค. ง. 6. ข้อใดเป็นรูปที่ไม่คล้ายกัน ก. ข. ค. ง. ......... ......... ......... ......... ......... ......... ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..…….. ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..……..
67 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม/ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 4 นักเรียนสามารถระบุเงื่อนไขที่ทำให้รูปสามเหลี่ยมสองรูป คล้ายกันได้ 7. ข้อความใดเป็นเงื่อนไขของรูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน ก. เฉพาะข้อความ c ข. ทั้งข้อความ a , b และ c ค. ทั้งข้อความ b และ c ง. เฉพาะข้อความ b ......... ......... ......... ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..……. a. รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก 2 รูปใดๆ เป็นรูป สามเหลี่ยมที่คล้ายกัน b. รูปสามเหลี่ยมคล้ายจะเป็นรูปสามเหลี่ยมที่เท่ากัน ทุกประการด้วย c. รูปสามเหลี่ยมสองรูปจะคล้ายกัน ก็ต่อเมื่อมุมที่สม นัยกันมีขนาดเท่ากันทุกคู่
68 ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 5 นักเรียนสามารถระบุสมบัติของรูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน 8. จากรูป∆ และ ∆ คล้ายกันหรือไม่ เพราะ เหตุใด ก. คล้ายกัน เพราะด้านที่สมนัยกันยาวเท่ากันสามคู่ ข. ไม่คล้ายกัน เพราะขนาดมุมทั้งสามไม่เท่ากันเป็นคู่ ๆ สามคู่ ค. คล้ายกัน เพราะมีขนาดของมุมเท่ากันเป็นคู่ ๆ สามคู่ ง. ไม่คล้ายกัน เพราะอัตราส่วนของด้านที่สมนัยกันไม่ เท่ากัน จุดประสงค์ข้อที่ 6 นักเรียนสามารถวิเคราะห์รูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกันได้ 9. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง ก. รูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วทุกรูปคล้ายกัน ข. รูปสามเหลี่ยมด้านเท่าทุกรูปคล้ายกัน ค. รูปสามเหลี่ยมที่มีอัตราส่วนของความยาวของด้านคู่ ง. รูปสามเหลี่ยมมุมฉากที่มีมุมแหลมมุมหนึ่งเท่ากัน จะคล้ายกัน 10. รูปสามเหลี่ยมสองรูปที่มีพื้นที่เท่ากัน จะเท่ากันทุก ประการเมื่อใด ก. เมื่อเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วทั้งสองรูป ข. เมื่อเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉากทั้งสองรูป ค. เมื่อเป็นรูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน ง. เมื่อเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีฐานและส่วนสูงเท่ากัน ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ......... ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..…….. ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..…….. ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..……..
69 ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 11. รูปสามเหลี่ยมในข้อใดต่อไปนี้คล้ายกัน ก. ข. ค. ง. ......... ......... ......... ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..……..
70 ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 ข้อที่ 12 จงพิจารณาว่ารูปสามเหลี่ยมข้อใดไม่เป็นรูป สามเหลี่ยมที่คล้ายกัน ก. ข. ค. ง. ......... ......... ......... ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..……..
71 ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 จุดประสงค์ข้อที่ 7 นักเรียนสามารถใช้สมบัติของรูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกันใน การให้เหตุผลและการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ได้ จากรูป ตอบคำถามข้อ 13 – 15 กำหนดให้ ~ 13. ขนาดของ ̂ และ ̂ เท่ากับข้อใด ก. ̂ = 70° , ̂ = 90° ข. ̂ = 90° , ̂ = 70° ค. ̂ = 80° , ̂ = 90° ง. ̂ = 90° , ̂ = 80° 14. ความยาวของ ̅̅̅̅และความยาวของ ̅̅̅̅̅̅ เท่ากับ เท่าใด ก. ̅̅̅̅ = 8 หน่วย , ̅̅̅̅̅̅ = 9 หน่วย ข. ̅̅̅̅ = 9 หน่วย , ̅̅̅̅̅̅ = 10 หน่วย ค. ̅̅̅̅ = 8 หน่วย , ̅̅̅̅̅̅ = 10 หน่วย ง. ̅̅̅̅ = 10 หน่วย , ̅̅̅̅̅̅ = 9 หน่วย ......... ......... ......... ......... ......... ......... ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..…….. ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..……..
72 ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 15. อัตราส่วนของความยาวรอบรูปของ ต่อความยาวรอบรูปของ เท่ากับเท่าใด ก. 1 2 ข. 2 3 ค. 3 2 ง. 2 1 16. จากรูป ∆ ~ ∆ อัตราส่วนของด้านใน ข้อใดถูกต้อง ก. AB AB = BC BD = AC AD ข. AB BC = AC AD = BD BC ค. AC BC = AD BD = AB AB ง. AB BD = AB BC = AC AD ......... ......... ......... ......... ......... ......... ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..…….. ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..……..
73 ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 17. จากรูป กำหนดให้ PQ // BC ถ้า AP = 1 หน่วย PB = 3 หน่วย แล้ว PQ : BC ตรงกับข้อใด ก. 1 : 3 ข. 1 : 4 ค. 2 : 3 ง. 3 : 4 ......... . ......... ......... ……………………………… ……………………………… ……………………………… ……………………………… ………………………..……..
74 ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 18. จากรูป x + y มีค่าเท่ากับข้อใด ก. 5 ข. 17 3 ค. 16 3 ง. 19 3 19. ต้นไม้อยู่ห่างจากตึกโดยวัดในแนวราบได้กี่เมตร ก. 20 เมตร ข. 18 เมตร ค. 16 เมตร ง. 12 เมตร ......... ......... ......... ......... ......... ......... ………………………………… ………………………………… ………………………………… ………………………………… ……………..…………………. ………………………………… ………………………………… ………………………………… ………………………………… ………………………………… 7 3 9 y 9 X 9 1
75 +1 หมายถึง เหมาะสม, 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ, -1 หมายถึง ไม่เหมาะสม ลงชื่อ ......................................... ผู้เชี่ยวชาญ (.....................................................................) วันที่ .................................................................. ข้อสอบ ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 20. ในตอนเช้าเงาของเจดีย์ทอดยาว 25 เมตรและ ต้นไม้ต้นหนึ่งสูง 4 เมตรมีเงาทอดยาว 5 เมตรแล้ว เจดีย์นี้สูงกี่เมตร ก. 12 เมตร ข. 20 เมตร ค. 24 เมตร ง. 25 เมตร ......... ......... ......... ………………………………… ………………………………… ………………………………… ………………………………… ……………..………………….
76 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง ความคล้าย คำชี้แจง ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรุณาแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย โดยใส่เครื่องหมายถูก (√) ลงในช่องความคิดเห็นของท่านพร้อม เขียนข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป ข้อ รายการพิจารณา ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ข้อเสนอแนะ +1 0 -1 1. แผนการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วนและ สัมพันธ์กัน 2. รูปแบบการสอนมีความเหมาะสมกับเนื้อหา และ วัยของผู้เรียน 3. การเขียนสาระการเรียนรู้ที่สำคัญในแผนกระชับ ครอบคลุม 4. เนื้อหาสาระการเรียนรู้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 5. เนื้อหาสาระในแผนถูกต้องตามหลักวิชาการ 6. เนื้อหา/กิจกรรมการสอนเหมาะสมกับเวลา 7. กิจกรรมการสอนเน้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด 8. กิจกรรมการสอนตามแผนมีความน่าสนใจ กระตุ้น ให้นักเรียนตื่นเต้น และสนุกกับการเรียน 9. มีการใช้สื่อเหมาะสมกับวัยและเนื้อหาสาระ 10. มีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ +1 หมายถึง เหมาะสม, 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ, -1 หมายถึง ไม่เหมาะสม ข้อเสนอแนะ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ ...................................... ผู้เชี่ยวชาญ (.........................................................
ภาคผนวก ค ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนี ความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง ความคล้าย ผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง ความคล้าย
78 ตารางที่ 4 ตารางแสดงผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนี ความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง ความคล้าย ข้อที่ ผลการประเมินผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 3 +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 4 +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 5 +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 6 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 8 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 10 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 11 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 12 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 13 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 14 +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 15 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 16 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 17 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 18 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 19 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 20 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ หมายเหตุการแปลค่า IOC ใช้เกณฑ์ดังนี้ IOC < 0.5 หมายถึง ข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับเนื้อหา ควรตัดข้อสอบข้อนี้ทิ้งไป IOC > 0.5 หมายถึง ข้อสอบนั้นสอดคล้องกับเนื้อหา สามารถใช้ข้อสอบข้อนั้นได้
79 ตารางที่ 5 ตารางแสดงผลการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Index of Item Objective Congruence : IOC) เรื่อง ความคล้าย แผน ที่ ผลการประเมินผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 3 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 4 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 6 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 8 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 10 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
ภาคผนวก ง ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความคล้าย ผลการทดสอบค่าเฉลี่ยของสมมติฐานทางสถิติ (t – test for One Sample and t-test for Dependent Sample)
81 ตารางที่ 6 ตารางแสดงผลการหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความคล้าย ข้อที่ ประสิทธิภาพของแบบทดสอบ ผลการวิเคราะห์ ค่าความยาก (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) 1 0.625 0.750 ใช้ได้ 2 0.688 0.250 ใช้ได้ 3 0.625 0.500 ใช้ได้ 4 0.625 0.750 ใช้ได้ 5 0.500 1.000 ใช้ได้ 6 0.563 0.750 ใช้ได้ 7 0.563 1.000 ใช้ได้ 8 0.563 1.000 ใช้ได้ 9 0.563 0.750 ใช้ได้ 10 0.563 0.250 ใช้ได้ 11 0.688 0.250 ใช้ได้ 12 0.625 0.500 ใช้ได้ 13 0.625 0.750 ใช้ได้ 14 0.500 1.000 ใช้ได้ 15 0.563 0.750 ใช้ได้ 16 0.563 1.000 ใช้ได้ 17 0.625 0.750 ใช้ได้ 18 0.563 0.750 ใช้ได้ 19 0.563 1.000 ใช้ได้ 20 0.563 1.000 ใช้ได้ หมายเหตุการพิจารณาค่าความยาก (p) ที่พอเหมาะ ควรมีค่าตั้งแต่ 0.20 – 0.80 การพิจารณาค่าอำนาจจำแนก (r) ที่พอเหมาะ ควรมีค่าตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป
82 ตารางที่ 7 ตารางแสดงผลการทดสอบค่าเฉลี่ยของสมมติฐานทางสถิติ (t-test for Dependent Sample) ระหว่างคะแนนหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ตารางที่ 8 ตารางแสดงผลการทดสอบค่าเฉลี่ยของสมมติฐานทางสถิติ (t – test for One Sample) ระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียน การทดสอบ n คะแนนเต็ม Mean S.D. % of Mean t Sig หลังเรียน 26 20 14.58 1.03 72.88 2.87* 0.0042 Paired Samples Statistics Mean N Std. Deviation Pair 1 Pre-test 7.73 26 1.87 Posttest 14.58 26 1.03 Paired Samples Test Paired Differences Mean Std. Deviation Std. Error Mean t df Sig.(2- tailed) Sig.(1- tailed) Pair 1 Posttest - Pretest 6.85 1.19 0.23 29.3424 25 0.0000 0.0000
ภาคผนวก จ ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง ความคล้าย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย
84 ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง ความคล้าย
85 ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง ความคล้าย
86 ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง ความคล้าย
87 ภาพที่ 3 ภาพตัวอย่างใบกิจกรรม เรื่อง ความคล้าย
88 ภาพที่ 4 ภาพตัวอย่างใบกิจกรรม เรื่อง ความคล้าย