27
3. ไฟฟ้าที่เกิดจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยสร้างเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) จากการเปล่ียน
พลังงานแสงอาทิตย์ให้เปน็ พลังงานไฟฟ้า เชน่ นาฬกิ าข้อมอื เครื่องคดิ เลข เป็นตน้
4. ไฟฟ้าท่ีเกิดจากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า โดยใช้ลวดตัวนาไฟฟ้าตัดผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการ
นาสนามแม่เหล็กว่ิงตัดผ่านลวดตัวนาจะทาให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลในลวดตัวนา เช่น มอเตอร์ เป็นต้น มีทั้ง
กระแสตรงและกระแสสลับ
อุปกรณ์ไฟฟา้ ในชีวติ ประจาวัน
สายไฟ (wire) เป็นอุปกรณ์สาหรับส่งพลังงานไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้าจะนาพลังงานไฟฟ้า
ผา่ นไปตามสายไฟจนถงึ เครื่องใช้ไฟฟา้ สายไฟทาด้วยสารท่ีมีคณุ สมบตั เิ ปน็ ตวั นาไฟฟา้ ได้แก่
1. สายไฟแรงสูง ทาด้วยอะลูมิเนียม เพราะอะลูมิเนียม มีราคาถูกและน้าหนักเบากว่าทองแดง
(อะลูมเิ นยี มมีความต้านทาน สูงกวา่ ทองแดง)
2. สายไฟทั่วไป (สายไฟในบ้าน) ทาด้วยโลหะทองแดง เพราะทองแดงมีราคาถูกกว่าโลหะเงิน
(เงินมีความตา้ นทานน้อยกวา่ ทองแดง)
กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ท่ี 13/18, คาบท่ี 37–39/54)
1. เตรียมความพร้อมในการเรียนโดยการเรียกชื่อสารวจการแต่งกายพร้อมบันทึกลงในแบบสังเกต
ความมีวินยั และความรบั ผิดชอบ
2. นกั เรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรียนหน่วยที่ 7
3. แบง่ กลมุ่ นักเรียนเปน็ กลุ่มๆ ละ 5 คน
4. ครนู าเขา้ ส่บู ทเรียน และครูแจง้ จุดประสงค์การเรยี น
5. ครสู อนเนอ้ื หาสาระ หัวขอ้ 7.1-7.2
6. นกั เรยี นทากจิ กรรมที่ 7.1-7.3 ขณะนกั เรยี นทากิจกรรมครูจะสงั เกตการทางานกลมุ่
7. ครูและนักเรยี นร่วมกันเฉลยกจิ กรรม และร่วมอภปิ รายสรปุ บทเรยี น
กจิ กรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ท่ี 14/18, คาบที่ 40-42/54)
1. เตรียมความพร้อมในการเรียนโดยการเรียกชื่อสารวจการแต่งกายพร้อมบันทึกลงในแบบสังเกต
ความมวี ินยั และความรับผิดชอบ
2. ข้นั นาเข้าสบู่ ทเรียน
2.1 ครทู บทวนเนอ้ื หาทเ่ี รียนในคร้งั ท่ี 13
2.2 ครูแจง้ จดุ ประสงค์การเรยี น
2.3 นักเรียนจดั กลุ่ม ๆ ละ 5 คน
3. ข้นั สอนเนอ้ื หาสาระข้อ 7.3
28
4. นักเรยี นทากจิ กรรมที่ 7.4 ขณะนักเรยี นทากิจกรรมครูจะสังเกตการทางานกลุ่ม
5. ข้นั สรปุ ครแู ละนกั เรียนร่วมกันเฉลยกจิ กรรม และร่วมอภปิ รายกับนักเรียน
กิจกรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ที่ 15/18, คาบที่ 43-45/54)
1. เตรียมความพร้อมในการเรียนโดยการเรียกชื่อสารวจการแต่งกายพร้อมบันทึกลงในแบบสังเกต
ความมวี ินัย และความรบั ผดิ ชอบ
2. ขน้ั นาเขา้ สู่บทเรียน
2.1 ครทู บทวนเนือ้ หาท่ีเรยี นในครั้งท่ี 14
2.2 ครูแจ้งจุดประสงค์การเรยี น
2.3 นกั เรียนจัดกลุม่ ๆ ละ 5 คน
3. ขน้ั สอนเนอื้ หาสาระขอ้ 7.4-7.5
4. นกั เรียนทากจิ กรรมท่ี 7.5-7.6 ขณะนักเรยี นทากจิ กรรมครูจะสงั เกตการทางานกลุม่
5. ข้ันสรปุ ครูและนักเรียนรว่ มกันเฉลยกิจกรรม และรว่ มอภปิ รายกับนักเรียน
6. นกั เรียนทาแบบทดสอบหลังเรยี นหนว่ ยท่ี 7
สื่อและแหล่งการเรียนรู้
1. ส่ือการเรียนรู้ หนังสือเรียน หน่วยที่ 7, ใบกิจกรรมที่ 7.1-7.6, PowerPoint ประกอบการสอน
และแบบทดสอบกอ่ นเรยี น และหลังเรียน
2. แหล่งการเรียนรู้ หนังสือ วารสาร เก่ียวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต
www.google.com
การวดั และการประเมินผล
1. แบบประเมินพฤติกรรม ความมีวินัย และความรับผิดชอบ ต้องได้คะแนน ไม่น้อยกว่าร้อยละ
60 ผ่านเกณฑ์
2. แบบทดสอบหลังเรียน ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
3. สังเกตการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มโดยใช้แบบประเมินผล การปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม ต้องได้คะแนน
ไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
4. ตรวจกจิ กรรมการทดลอง ไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
5. ตรวจแบบฝกึ หดั ไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
งานท่ีมอบหมาย
งานท่ีมอบหมายนอกเหนือเวลาเรยี น ใหท้ าแบบฝกึ หดั ใหเ้ สร็จเรยี บรอ้ ย สมบูรณ์
29
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 8 หนว่ ยที่ 8
ช่อื วิชา วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ (20000- เวลาเรียนรวม 54
1303) คาบ
ชอื่ หน่วย คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า สอนคร้ังท่ี 16/18
ชอื่ เร่ือง คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จานวน 3 คาบ
หัวข้อเรื่อง กิจกรรมท่ี 8.1
8.1 ความหมายของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้
8.2 การเกดิ คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้
8.3 สเปกตรมั คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
8.4 ระบบสื่อสารโทรคมนาคม
8.5 ประโยชน์ของการส่ือสารและโทรคมนาคม
แนวคดิ สาคญั
ปัจจุบันมนุษย์สามารถส่งสัญญาณโดยไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนท่ี แต่อาศัยคลื่นออกจากตัวนา
คล่ืนในธรรมชาติมีหลายชนดิ เช่น คลืน่ ในเส้นเชอื กเกิดจากการสัน่ ปลายเชอื ก คลื่นที่ผิวนา้ เกิดจากคล่ืนกระทบ
กั บ ผิ วน้ า แ ล ะค ลื่ น เสี ย งเกิ ด จ าก ก าร อั ด ตั ว แ ล ะข ยาย ตั ว ข อ งโม เล กุ ล อ าก าศ แ ล ะ ยังมี ค ล่ื น
ท่ีไม่สามารถปรากฏออกมาให้เห็นได้ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นแสง และคลื่นรังสีเอกซ์ เป็นต้น คล่ืนเหล่าน้ีเรียกว่า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) เป็นคลื่นตามขวางท่ีไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคล่ือนท่ี
คล่นื แมเ่ หลก็ ทกุ คลนื่ จะมีความเร็วในสุญญากาศโดยประมาณ 3 108 เมตร/วินาที
สมรรถนะย่อย
แสดงความรู้เกยี่ วกับหลกั การของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้
จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
ดา้ นความรู้
1. อธบิ ายความหมายและคณุ สมบัติของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้
2. อธิบายการเกิดคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้
3. อธิบายเกี่ยวกับสเปกตรมั ของการเกดิ คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าได้
4. บอกคลน่ื ทใ่ี ช้ในระบบส่อื สารโทรคมนาคมได้
5. บอกประโยชน์ของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ ได้
30
ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม/บูรณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
แสดงออกด้านการตรงต่อเวลา ความสนใจใฝ่รู้ ไม่หยดนิง่ ทีจ่ ะแกป้ ัญหา ความซ่อื สัตย์
ความรว่ มมอื
เน้อื หาสาระ
8.1 ความหมายของคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) หมายถึง คลื่นต่าง ๆ ท่ีมีความถี่หรือความยาว
คล่ืนต่างกัน แตม่ ีความเร็วคล่ืนเท่ากัน ได้แก่ คล่ืนวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คล่ืนรังสีอัลตราไวโอเลต คลื่นรังสีเอกซ์
คล่นื รงั สแี กมมา และคลนื่ รงั สีอินฟราเรด เป็นต้น โดยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ เหลา่ น้ีมีความสาคัญต่อชีวติ ประจาวัน
ของมนุษยอ์ ยา่ งมาก
8.2 การเกดิ คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า
8.3 สเปกตรัมคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้
8.3.1 คลื่นวิทยุ (Radio Wave)
8.3.2 คล่ืนโทรทศั น์ (TV Wave)
8.3.3 รงั สีอินฟราเรด (Infrared Radiation)
8.3.4 แสง (Light)
8.3.5 รงั สอี ัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Radiation)
8.3.6 รังสีเอกซ์ (X–rays)
8.3.7 รังสีแกมมา (Gamma Radiation)
8.4 ระบบส่ือสารโทรคมนาคม
ระบบส่ือสารโทรคมนาคมไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรภาพ โทรทัศน์ ต้องมีเครื่องส่งเปลี่ยนข่าวสาร
เป็นสัญญาณไฟฟ้า และผสมสัญญาณไฟฟ้า ความถี่คล่ืนวิทยุส่งออกไปในลักษณะของคล่ืนผสมไปยังเคร่ืองรับ ซึ่ง
จะเปลี่ยนสัญญาณให้กลับมาเป็นข่าวสาร จากการศึกษาพบว่าไมโครเวฟใช้เป็นคลื่นพาหะได้ดีกว่าคลื่นวิทยุ
และไมโครเวฟสะท้อนโลหะได้ดีจึงใช้ทาเรดาร์ ทาให้ระบบการส่ือสารมีประสิทธิภาพ สามารถสื่อสารกันได้
ระยะไกลเม่ือเปลี่ยนคล่ืนพาหะเป็นไมโครเวฟ การสื่อสารที่ใช้ไมโครเวฟเป็นพาหะ เรียกว่า ระบบส่ือสาร
โทรคมนาคม
8.5 ประโยชน์ของการสือ่ สารและโทรคมนาคม
กจิ กรรมการเรียนรู้ (สัปดาห์ท่ี 16/18, คาบที่ 46-48/54)
1. เตรียมความพร้อมในการเรียนโดยการเรียกชื่อสารวจการแต่งกายพร้อมบันทึกลงในแบบสังเกต
ความมวี นิ ัย และความรบั ผดิ ชอบ
2. ขัน้ นาเข้าสบู่ ทเรียน
2.1 ครทู บทวนเนื้อหาท่เี รยี นในคร้งั ที่ 15
2.2 ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียน
31
2.3 นกั เรียนจดั กลมุ่ ๆ ละ 5 คน
3. ขั้นสอนเนอ้ื หาสาระ
4. นักเรยี นทากจิ กรรมท่ี 8.1 ขณะนกั เรยี นทากิจกรรมครูจะสังเกตการทางานกลุ่ม
5. ขน้ั สรปุ ครูและนกั เรยี นร่วมกนั เฉลยกจิ กรรม และร่วมอภิปรายกับนกั เรียน
6. นักเรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียนหนว่ ยที่ 8
ส่อื และแหล่งการเรียนรู้
1. ส่ือการเรียนรู้ หนังสือเรียน หน่วยท่ี 8, ใบกิจกรรมที่ 8.1, PowerPoint ประกอบการสอน และ
แบบทดสอบก่อนเรยี น และหลังเรยี น
2. แหล่งการเรียนรู้ หนังสือ วารสาร เก่ียวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต
www.google.com
การวัดและการประเมินผล
1. แบบประเมินพฤติกรรม ความมีวินัย และความรับผิดชอบ ต้องได้คะแนน ไม่น้อยกว่าร้อยละ
60 ผ่านเกณฑ์
2. แบบทดสอบหลงั เรียน ต้องได้คะแนนไมน่ ้อยกว่า ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
3. สังเกตการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มโดยใช้แบบประเมินผล การปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม ต้องได้คะแนน
ไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
4. ตรวจกจิ กรรมการทดลอง ไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
5. ตรวจแบบฝกึ หดั ไม่นอ้ ยกว่า รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
งานทม่ี อบหมาย
งานทม่ี อบหมายนอกเหนือเวลาเรียน ใหท้ าแบบฝกึ หดั ให้เสรจ็ เรียบร้อย สมบรู ณ์
ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสาเรจ็ ของผเู้ รียน
1. ผลการทาและนาเสนอจากกจิ กรรมการทดลอง
2. ผลการทาแบบฝึกหดั หนว่ ยที่ 8
3. คะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน (Post–test) หนว่ ยท่ี 8
เอกสารอ้างองิ
1. หนงั สือเรียนวชิ า วทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชีพธุรกจิ และบริการ (2000–1303)
บรษิ ัทศนู ยห์ นังสอื เมืองไทย จากดั
2. เวบ็ ไซต์และสื่อสง่ิ พิมพท์ ี่เก่ียวข้องกบั เน้ือหาบทเรยี นตามบรรณานุกรม
1
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยท่ี 1
เร่ือง การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม
คาชแ้ี จง : 1. แบบทดสอบมีจำนวน 20 ข้อ
2. จงทำเคร่อื งหมำย บนตวั เลือกท่ถี กู ต้องทสี่ ดุ เพยี งขอ้ เดียว
1. ข้อใดเปน็ บริเวณที่มีกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพนั ธกุ รรม
ง. นิวเคลยี สและไซโทพลำซมึ
2. ขอ้ ใดกล่ำวได้ถูกต้องตำมหลกั ของกำรกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพนั ธุกรรม
ง. มิวเทชันมีทัง้ ประโยชนแ์ ละโทษ
3. ขอ้ ใดเปน็ ลักษระควำมแปรผันทำงพนั ธุกรรมแบบไมต่ ่อเน่ือง
ข. กำรห่อลน้ิ
4. ข้อใดเป็นสำเหตุของควำมแปรผันทำงพันธุกรรม
ก. มวิ เทชนั
5. ข้อใดเป็นประโยชน์จำกกำรเพิ่มกำรแปรผันทำงพันธุกรรม (Genetic Variation) ของสิ่งมีชีวิตท่ีมีกำร
สบื พนั ธ์แุ บบอำศยั เพศ
ค. ทำให้เกิดส่งิ มีชีวติ มขี นำดใหญ่
6.ข้อใดเปน็ อทิ ธิพลจำกสง่ิ แวดลอ้ มภำยนอกซง่ึ ทำใหส้ ่ิงมีชวี ติ เกิดกำรแปรผนั
ง. อำหำร
7. เมนเดลไดท้ ำกำรทดลองถ่วั ลันเตำ (Garden Pea) ทม่ี ลี ักษณะแตกต่ำงกนั กล่ี ักษณะ
ค. 7 ลักษณะ
8. ข้อใดเปน็ ลักษณะของถั่วทีเ่ มนเดลไดท้ ำกำรทดลองจนไดช้ ่ือวำ่ เปน็ บิดำแห่งพันธุศำสตร์
ข. เพำะปลูกงำ่ ย
9. ข้อใดเปน็ ส่ิงทีก่ ำหนดเพศในคนว่ำจะเกิดเป็นเพศหญงิ หรือเพศชำย
ข. โครโมโซมเพศ
10. ขอ้ ใดเปน็ รปู แบบโครโมโซมเพศหญิง
ข. XX
11. ขอ้ ใดเป็นองคป์ ระกอบของโครโมโซม
ข. DNA + Protein
12. ขอ้ ใดเปน็ ควำมผิดปกติของเซลล์ร่ำงกำยของบคุ คลกลุม่ อำกำรดำวน์ (Down Syndrome)
ข. โครโมโซมคทู่ ี่ 21 เกนิ มำ 1 แทง่
13. ข้อใดเป็นลักษณะโครโมโซมของคนทีเ่ ปน็ โรคครดิ ชู ำต์
ค. 44 + XY
14. ขอ้ ใดเป็นโครโมโซมร่ำงกำยทมี่ ีรูปร่ำงลกั ษณะเหมือนกนั เปน็ คู่ ๆ
ง. โฮโมโลกสั โครโมโซม
15. ขอ้ ใดหมำยถึงยนี
ข. หน่วยพนั ธกุ รรมที่อยู่บนโครโมโซม
16. ข้อใดเป็นกำรถ่ำยทอดทำงพันธกุ รรมของโรคทำลัสซีเมีย
ข. โลหติ
17. ขอ้ ใดเป็นลักษณะกำรปฏสิ นธขิ องฝำแฝดสยำม
ก. ไข่ 1 ใบ สเปิรม์ 1 ตัว
18. ข้อใดกลำ่ วไดถ้ ูกตอ้ งท่ีสดุ
ก. สำรอะฟลำทอกซินจำกเชื้อรำทำใหอ้ ัตรำกำรเกดิ มิวเทชนั สูงขึ้น
19. ขอ้ ใดเป็นมวิ เทชนั ท่เี กี่ยวขอ้ งกับกำรแปรผนั ลักษณะทำงพนั ธุกรรมของสงิ่ มีชวี ิต
ข. มวิ เทชันเปน็ สำเหตุหนึง่ ทท่ี ำให้เกิดกำรแปรผันในส่ิงมชี วี ิต
20. สำมภี รรยำคูห่ น่งึ มีบุตรตำบอดสที งั้ ชำยหญิง ขอ้ ใดถกู ต้อง
ก. สำมตี ำบอดสี ภรรยำตำปกตแิ ต่ภรรยำมียนี ท่เี ป็นพำหะ
3
เฉลยแบบฝึ กหดั หน่วยที่ 1
เรอื่ ง การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม
คาชีแ้ จง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ใหถ้ ูกตอ้ ง
1. นำยกติ ตชิ ยั และนำงสมทรงมสี ผี วิ ปกติ ลกู คนแรกมผี วิ เผอื ก ถ้ำสีผวิ ปกตเิ ปน็ ลักษณะเดน่
และผิวเผอื กเปน็ ลกั ษณะดอ้ ย
1.1 จโี นไทนข์ องนำยกติ ตชิ ัยและนำงสมทรงเป็นแบบใด
ตอบ แบบ Aa เมื่อ A เปน็ ผวิ ปกติ และ a เป็นผิวเผอื ก
1.2 ลูกคนต่อไปจะมีโอกำสผวิ เผอื กในอัตรำส่วนเทำ่ ใด
ตอบ ในอตั รำสว่ น 1 : 4
2. ถำ้ นักศกึ ษำหมเู่ ลอื ด O หรือ AB จะถ่ำยเลอื ดและรบั เลือดกับคนทีม่ ีหม่เู ลือดอะไรได้บ้ำง
เพรำะเหตุใด (2 คะแนน)
ตอบ - ผทู้ ่มี ีหม่เู ลอื ด A ไมส่ ำมำรถใหเ้ ลอื ดแกผ่ ู้ทมี่ ีหมูเ่ ลือด B
- ผูท้ ่ีมหี มเู่ ลือด O สำมำรถใหเ้ ลอื ดแกผ่ ทู้ ี่มหี มูเ่ ลือดใด ๆ ไดท้ ุกหมู่
- ผทู้ ม่ี หี ม่เู ลอื ด AB จะรบั เลอื ดจำกผทู้ ่ีมหี มู่เลอื ดใด ๆ ได้ทกุ หมู่
3. หญิงปกติคนหน่ึงมีพ่อแม่เป็นโรคฮีโมฟีเลีย เม่ือหญิงคนนี้แต่งงำนกับชำยปกติ ถ้ำมีบุตรชำย 2 คน
และบตุ รหญิง 2 คน ลูกของสำมภี รรยำคนู่ จ้ี ะปกตหิ รอื เปน็ โรคฮีโมฟีเลยี (2 คะแนน)
ตอบ หญิงปกติคนหนึ่งมีพ่อแม่เป็นโรคฮีโมพีเลีย เม่ือหญิงคนน้ีแต่งงำนกับชำยปกติ ลูกของสำมีภรรยำ
ค่นู มี้ บี ตุ รชำย จะเป็นโรคฮโี มพีเลีย 1 คน ปกติ 1 คน บุตรหญิง ปกติ 1 คน เป็นพำหะ 1 คน
4. จงอธบิ ำยควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งมวิ เทชนั ของเซลล์รำ่ งกำยและมิวเทชันของเซลล์สืบพันธ์ุ (2 คะแนน)
ตอบ ควำมแตกต่ำงระหว่ำงมิวเทชันของเซลล์ร่ำงกำย และมิเทชันของเซลล์สืบพันธ์ุเป็นดังน้ี มิวเทชันของ
เซลล์รำ่ งกำยเกิดแล้วไม่มีกำรถำ่ ยทอดทำงพันธุกรรม และไม่สำมำรถขยำยไปสู่เซลล์อื่นได้ ส่วนมวิ เทชนั ของเซลล์
สบื พันธุ์จะถ่ำยทอดทำงพนั ธกุ รรม
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยท่ี 1
เร่อื ง การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม
คาช้ีแจง: 1. แบบทดสอบมจี ำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเครอื่ งหมำย บนตัวเลอื กท่ีถกู ต้องทส่ี ดุ เพียงข้อเดยี ว
คาชแ้ี จง : 1. แบบทดสอบมจี ำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเคร่อื งหมำย บนตวั เลือกทถี่ กู ตอ้ งทส่ี ุดเพียงข้อเดยี ว
1. ขอ้ ใดเปน็ บริเวณท่ีมีกำรถำ่ ยทอดลกั ษณะทำงพันธกุ รรม
ง. นวิ เคลยี สและไซโทพลำซึม
2. ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้องตำมหลกั ของกำรกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม
ก. มิวเทชันมที ้ังประโยชน์และโทษ
3. ข้อใดเปน็ ลกั ษระควำมแปรผนั ทำงพันธกุ รรมแบบไมต่ ่อเน่ือง
ค. กำรหอ่ ลิ้น
4. ข้อใดเปน็ สำเหตุของควำมแปรผันทำงพันธกุ รรม
ก. มิวเทชัน
5. ข้อใดเป็นประโยชน์จำกกำรเพิ่มกำรแปรผันทำงพันธุกรรม (Genetic Variation) ของสิ่งมีชีวิตที่มีกำร
สืบพนั ธ์แุ บบอำศัยเพศ
ก. ทำใหเ้ กิดสิ่งมชี ีวิตชนดิ ใหม่
6.ขอ้ ใดเปน็ อิทธพิ ลจำกสง่ิ แวดลอ้ มภำยนอกซึง่ ทำให้สงิ่ มีชีวติ เกดิ กำรแปรผนั
ง. อำหำร
7. เมนเดลได้ทำกำรทดลองถ่วั ลนั เตำ (Garden Pea) ท่ีมลี ักษณะแตกตำ่ งกันกี่ลักษณะ
ข. 7 ลักษณะ
8. ข้อใดเปน็ ลกั ษณะของถ่ัวทเ่ี มนเดลได้ทำกำรทดลองจนไดช้ ่ือวำ่ เป็นบดิ ำแห่งพนั ธุศำสตร์
ค. เพำะปลูกง่ำย
9. ขอ้ ใดเป็นสิง่ ทกี่ ำหนดเพศในคนวำ่ จะเกิดเป็นเพศหญงิ หรอื เพศชำย
ค. โครโมโซมเพศ
10. ขอ้ ใดเปน็ รปู แบบโครโมโซมเพศหญงิ
ข. XX
11. ข้อใดเป็นองค์ประกอบของโครโมโซม
ค. DNA + Protein
5
12. ข้อใดเปน็ ควำมผิดปกติของเซลล์ร่ำงกำยของบุคคลกลุ่มอำกำรดำวน์ (Down Syndrome)
ค. โครโมโซมคู่ท่ี 21 เกนิ มำ 1 แทง่
13. ข้อใดเปน็ ลักษณะโครโมโซมของคนท่ีเป็นโรคครดิ ชู ำต์
ข. 44 + XY
14. ข้อใดเป็นโครโมโซมรำ่ งกำยที่มีรปู รำ่ งลกั ษณะเหมือนกนั เปน็ คู่ ๆ
ง. โฮโมโลกัสโครโมโซม
15. ขอ้ ใดหมำยถึงยนี
ก. หน่วยพันธุกรรมท่ีอยู่บนโครโมโซม
16. ขอ้ ใดเปน็ กำรถำ่ ยทอดทำงพนั ธกุ รรมของโรคทำลสั ซเี มีย
ค. โลหติ
17. ข้อใดเปน็ ลักษณะกำรปฏสิ นธขิ องฝำแฝดสยำม
ก. ไข่ 1 ใบ สเปริ ์ม 1 ตวั
18. ข้อใดกล่ำวไดถ้ ูกต้องทสี่ ุด
ง. สำรอะฟลำทอกซินจำกเช้ือรำทำใหอ้ ัตรำกำรเกิดมิวเทชันสูงขึ้น
19. ข้อใดเป็นมิวเทชนั ทีเ่ กี่ยวข้องกับกำรแปรผนั ลกั ษณะทำงพันธุกรรมของสิง่ มชี ีวติ
ข. มวิ เทชันเป็นสำเหตหุ นึ่งท่ีทำใหเ้ กิดกำรแปรผันในส่งิ มีชวี ติ
20. สำมภี รรยำคหู่ นึง่ มีบตุ รตำบอดสที ง้ั ชำยหญิง ขอ้ ใดถกู ต้อง
ค. สำมีตำบอดสี ภรรยำตำปกติแต่ภรรยำมยี ีนที่เปน็ พำหะ
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยท่ี 2
เรื่อง สารเคมใี นชีวติ ประจาวัน
คาชีแ้ จง: 1. แบบทดสอบมีจำนวน 20 ข้อ
2. จงทำเครอื่ งหมำย บนตวั เลือกที่ถกู ต้องท่สี ุดเพยี งขอ้ เดียว
คาช้แี จง จงทำเคร่อื งหมำยกำกบำท () บนตวั เลือกทีถ่ ูกตอ้ งทสี่ ดุ เพียงขอ้ เดียว
1. สำรปรงุ แตง่ อำหำรแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ประเภททีไ่ ด้จำกกำรสงั เครำะหไ์ ด้แกส่ ำรปรงุ แต่งชนิดใด
ก. นำ้ ปลำ ข. น้ำอญั ชัน
ค. เกลอื ง. น้ำมะนำว
2. ผงชรู สทีใ่ ช้เปน็ สำรปรงุ แตง่ รสอำหำรมีชอ่ื ทำงเคมีตำมขอ้ ใด
ก. โซเดยี มคลอไรด์ ข. โซเดียมไฮดรอกไซด์
ค. โซเดยี มกลตู ำเมต ง. โมโนโซเดยี มกลตู ำเมต
3. ผลิตภณั ฑว์ ัตถุอันตรำยทน่ี ำมำใช้ในบำ้ นเรือนอยใู่ นควำมควบคุมของกระทรวงใด
ก. กระทรวงสำธำรณสุข ข. กระทรวงอตุ สำหกรรม
ค. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ง. ถกู ทกุ ขอ้
4. สำรเคมีชนิดใดท่ีกฎหมำยยกเว้นให้ไม่ต้องข้ึนทะเบียนวัตถุอันตรำยไม่จำเป็นต้องมีเคร่ืองหมำย อย. แต่
ยังต้องแสดงฉลำกซึ่งมขี ้อควำมหรอื รำยละเอียดตำมที่กฎหมำยกำหนด
ก. ผลิตภณั ฑท์ ำไลย่ งุ ข. ผลติ ภณั ฑ์กำจัดลกู น้ำยงุ
ค. Naphthalene หรือลูกเหมน็ ง. ผลติ ภัณฑก์ ำจัดหนู
5. เหตุผลขอ้ ใดที่ทำให้ผูผ้ ลิตอำหำรนิยมใชส้ ีสงั เครำะหม์ ำกกวำ่ สีจำกพืช
ก. ใช้สะดวก มีให้เลือกมำกสี ข. สีทนควำมร้อน ไม่จำงลงง่ำย
ค. สตี ดิ ทนทำน ง. ถกู ทัง้ ขอ้ ก ข และ ค
6. ถำ้ สำรชนิดหนึง่ มีสมบัติเป็นกลำงจะมคี ำ่ pH เท่ำไร
ก. เท่ำกบั 7 ข. ระหว่ำง 5–6
ค. นอ้ ยกวำ่ 7 ง. มำกกวำ่ 7
7. ขอ้ ใดจัดเป็นกลุ่มพวกเดียวกนั
ก. นำ้ มะนำว โซดำไฟ นำ้ ฝน ข. นำ้ ปนู ใส นำ้ ขีเ้ ถ้ำ โซดำ
ค. ยำสีฟัน น้ำสบู่ น้ำฝน ง. แชมพู ผงซกั ฟอก โซดำไฟ
7
8. สำรต้งั ต้นในกำรเกดิ สนมิ ของกระปอ๋ งบรรจุอำหำรคือข้อใด
ก. โลหะทำกระป๋องกับน้ำ ข. โลหะกระปอ๋ งกบั ออกซิเจน
ค. อำหำรกับน้ำ ง. อำหำรกบั ออกซิเจน
9. ข้อควรปฏบิ ตั ทิ ี่ถกู ตอ้ งในกำรเก็บรักษำวัตถอุ ันตรำย
ก. ไมเ่ ก็บวำงรวมไวก้ บั อำหำรหรือของใชอ้ ื่น ๆ
ข. เกบ็ ใหม้ ิดชดิ ปลอดภัยใหห้ ำ่ งจำกมอื ของเด็ก
ค. เกบ็ ให้พ้นจำกควำมรอ้ น เปลวไฟ หรอื วตั ถุไวไฟ
ง. ถูกทุกข้อ
10. กำรจำแนกสำรเคมีถำ้ ใชป้ ระโยชนเ์ ป็นเกณฑ์ข้อใดไมถ่ ูกต้อง
ก. ยำฆำ่ แมลง สำรกนั บูด ข. แอลกอฮอล์ ทงิ เจอร์ไอโอดนี
ค. ผงซกั ฟอก สบู่ ง. นำ้ สม้ สำยชู นำ้ ปลำ
เฉลยแบบฝึ กหัดหน่วยท่ี 2
คาชแ้ี จง จงตอบคำถำมต่อไปนีใ้ หถ้ ูกต้อง
1. จงให้ควำมหมำยของคำว่ำสำรเคมใี นชวี ิตประจำวัน พรอ้ มทัง้ ยกตัวอยำ่ งประกอบคำอธิบำย
สำรเคมี (Chemical Substance) คือธำตุหรือสำรประกอบที่มีสูตรทำงเคมี สมบัติทำงกำยภำพ และทำงเคมีที่
สำมำรถระบุองค์ประกอบทำงเคมีที่แน่นอนได้ เช่น น้ำบริสุทธ์ิ (H2O) ประกอบด้วยธำตุ ไฮโดรเจน (H) 2
อะตอม และออกซเิ จน (O) 1 อะตอมรวมตัวกนั หรือเกลอื โซเดียมคลอไรด์ (NaCl)
2. สำรปรงุ แตง่ อำหำรแบ่งเป็น 2 ประเภท อะไรบำ้ ง
ประเภทของสำรปรุงแต่งอำหำรแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ได้จำกกำรสังเครำะห์ เช่น น้ำปลำน้ำส้มสำยชู ซีอ๊ิว
และซอสมะเขอื เทศ เปน็ ตน้ และไดจ้ ำกธรรมชำติ เช่น เกลอื นำ้ มะนำว นำ้ มะขำมเปียก และอัญชนั
3. จงยกตวั อย่ำงสำรเคมใี นชวี ติ ประจำวนั และในงำนอำชีพมำอย่ำงละ 20 ชนิด
- น้ำตำล
- เกลอื น้ำปลำ
- นำ้ สม้ สำยชู น้ำมะนำว ซอสมะเขือเทศ
- ซีอวิ๊ น้ำมะขำมเปยี ก อัญชนั
- ผงซักฟอก น้ำยำล้ำงจำน น้ำยำดัดผม สบู่ก้อน สบู่เหลว แชมพูสระผม น้ำยำลำ้ งห้องน้ำ แชมพู ครีม
นวด
4. ผลติ ภณั ฑ์เคร่ืองดื่มชนดิ ใดบ้ำงที่ใหป้ ระโยชน์และชนิดใดบำ้ งทใ่ี หโ้ ทษแก่ร่ำงกำย ใหน้ ักเรียน ย ก ตั ว อ ย่ ำง
พรอ้ มทง้ั บอกเหตผุ ลประกอบ
นำ้ อัดลม เคร่ืองดมื่ บำรุงรำ่ งกำย ชำ กำแฟ เคร่ืองดมื่ แอลกอฮอล์
5. ผลิตภัณฑว์ ัตถอุ ันตรำยทน่ี ำมำใช้ในชีวติ ประจำวันอำจกอ่ ใหเ้ กดิ อันตรำยไดห้ ำกใชไ้ มถ่ ูกต้อง นักเรยี น จ ะ มี
ข้อควรปฏิบัตใิ นกำรเกบ็ รกั ษำวัตถอุ ันตรำยได้อย่ำงไรบำ้ ง
1. เกบ็ ให้มดิ ชิดปลอดภยั ใหห้ ่ำงจำกมอื ของเดก็
2. ไมว่ ำงกระจัดกระจำยไมเ่ ป็นท่ี หำกเก็บใสต่ ู้ควรมีกุญแจลอ็ ก
3. ไมเ่ ก็บวำงรวมไว้กบั อำหำรหรอื ของใช้อ่นื ๆ
4. เกบ็ ให้พน้ จำกควำมรอ้ น เปลวไฟ หรอื วตั ถุไวไฟ
5. ภำชนะบรรจเุ ม่อื ใช้หมดแล้วควรทิง้ หรอื ทำลำย หำ้ มนำมำใส่อำหำรหรอื ของใชอ้ ่ืน
9
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 2
คาช้ีแจง จงทำเครื่องหมำยกำกบำท () บนตวั เลือกที่ถูกตอ้ งทส่ี ุดเพียงขอ้ เดยี ว
1. สำรปรงุ แตง่ อำหำรแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ประเภทท่ีไดจ้ ำกกำรสังเครำะหไ์ ดแ้ ก่สำรปรุงแตง่ ชนดิ ใด
ก. เกลือ ข. น้ำมะนำว
ค. น้ำปลำ ง. นำ้ อญั ชัน
2. ผงชรู สทใี่ ชเ้ ป็นสำรปรงุ แตง่ รสอำหำรมชี อื่ ทำงเคมตี ำมขอ้ ใด
ก. โซเดยี มกลูตำเมต ข. โมโนโซเดยี มกลูตำเมต
ค. โซเดียมคลอไรด์ ง. โซเดียมไฮดรอกไซด์
3. ผลติ ภณั ฑว์ ตั ถุอันตรำยที่นำมำใช้ในบ้ำนเรือนอยใู่ นควำมควบคมุ ของกระทรวงใด
ก. กระทรวงอตุ สำหกรรม ข. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ค. กระทรวงสำธำรณสุข ง. ถูกทุกข้อ
4. สำรเคมีชนิดใดท่ีกฎหมำยยกเว้นให้ไม่ต้องขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรำยไม่จำเป็นต้องมีเคร่ืองหมำย อย. แต่
ยังตอ้ งแสดงฉลำกซึง่ มีขอ้ ควำมหรอื รำยละเอยี ดตำมที่กฎหมำยกำหนด
ก. Naphthalene หรอื ลูกเหมน็ ข. ผลติ ภัณฑก์ ำจัดหนู
ค. ผลติ ภณั ฑท์ ำไล่ยุง ง. ผลิตภัณฑ์กำจดั ลูกนำ้ ยงุ
5. เหตผุ ลขอ้ ใดท่ที ำให้ผูผ้ ลิตอำหำรนิยมใช้สีสงั เครำะห์มำกกว่ำสจี ำกพืช
ก. สตี ิดทนทำน ข. สที นควำมร้อน ไมจ่ ำงลงง่ำย
ค. ใช้สะดวก มใี หเ้ ลอื กมำกสี ง. ถกู ทัง้ ขอ้ ก ข และ ค
6. ถำ้ สำรชนดิ หน่งึ มสี มบัติเป็นกลำงจะมีค่ำ pH เท่ำไร
ก. น้อยกวำ่ 7 ข. มำกกวำ่ 7
ค. เทำ่ กับ 7 ง. ระหว่ำง 5–6
7. ขอ้ ใดจดั เปน็ กลมุ่ พวกเดยี วกนั
ก. ยำสฟี นั น้ำสบู่ นำ้ ฝน ข. แชมพู ผงซกั ฟอก โซดำไฟ
ค. นำ้ มะนำว โซดำไฟ น้ำฝน ง. นำ้ ปูนใส น้ำขี้เถำ้ โซดำ
8. สำรตัง้ ตน้ ในกำรเกิดสนิมของกระป๋องบรรจอุ ำหำรคือข้อใด
ก. อำหำรกับนำ้ ข. อำหำรกบั ออกซเิ จน
ค. โลหะทำกระป๋องกับน้ำ ง. โลหะกระป๋องกบั ออกซเิ จน
9. ข้อควรปฏิบัตทิ ีถ่ กู ตอ้ งในกำรเก็บรกั ษำวตั ถุอนั ตรำย
ก. เกบ็ ใหม้ ดิ ชิดปลอดภยั ให้หำ่ งจำกมอื ของเด็ก
ข. เกบ็ ให้พ้นจำกควำมร้อน เปลวไฟ หรอื วตั ถุไวไฟ
ค. ไมเ่ ก็บวำงรวมไวก้ ับอำหำรหรือของใช้อนื่ ๆ
ง. ถูกทุกข้อ
10. กำรจำแนกสำรเคมีถ้ำใช้ประโยชน์เปน็ เกณฑข์ ้อใดไม่ถูกต้อง
ก. ผงซกั ฟอก สบู่ ข. น้ำส้มสำยชู นำ้ ปลำ
ค. ยำฆ่ำแมลง สำรกันบูด ง. แอลกอฮอล์ ทิงเจอรไ์ อโอดนี
11
เฉลยทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 3
เรือ่ ง เทคโนโลยชี ีวภาพ
คาช้ีแจง: 1. แบบทดสอบมีจำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเครอ่ื งหมำย บนตัวเลอื กที่ถกู ตอ้ งทีส่ ดุ เพียงข้อเดยี ว
1. ส่ิงมีชวี ติ ข้อใดที่จดั เปน็ จเี อม็ โอ (GMO)
ค. เซลล์แบคทีเรยี ทม่ี ียีนอินซูลนิ ของคน
2. ข้อใดเป็นเหตุผลท่ีนักเรียนคิดว่ำข้ำวโพดพันธ์ุใหม่มีประโยชน์ถ้ำนักวิทยำศำสตร์ใช้เทคนิค
ทำงพนั ธุวิศวกรรมสร้ำงข้ำวโพดสปีชีสใ์ หม่ที่สำมำรถชักนำแบคทีเรยี กลุ่มไรโซเบียมมำอำศยั อยู่ในรำกได้
ง. ลดกำรใชส้ ำรกำจดั ศัตรพู ืชในกำรเพำะปลกู
3. ข้อใดเปน็ กำรนำเทคนิคทำงพันธุวิศวกรรมมำใช้ประโยชน์
ข. กำรวนิ จิ ฉัยโรคพนั ธุกรรมและกำรรักษำยีนก่อนคลอด
4. ขอ้ ใดเป็นวธิ กี ำรนำเทคโนโลยีชีวภำพมำใช้ในกำรปรับปรงุ พันธุพ์ ชื ใหม้ ีคุณภำพและปรมิ ำณเพมิ่ ขน้ึ
ข. กำรตดั ตอ่ ยีน
5. ข้อใดเป็นกำรศึกษำเรื่องกำรนำควำมรู้เก่ียวกับเทคนิคและวิธีกำรผลิตในระดับอุตสำหกรรมมำพัฒนำ
เทคโนโลยี
ค. วิศวกรรมกระบวนกำร
6. ข้อใดเปน็ ขัน้ ตอนกำรผสมเทยี มท่ีมีกำรปฏสิ นธิ
ก. กำรรดี นำ้ เชื้อ
7. ขอ้ ใดเปน็ ขัน้ ตอนกำรผสมเทยี มได้ถูกตอ้ ง
ง. รีดนำ้ เชื้อ ตรวจนำ้ เช้ือ ละลำยน้ำเชื้อ เก็บนำ้ เชื้อ ฉดี นำ้ เชื้อ
8. ขอ้ ใดเปน็ จดุ ประสงค์ในกำรละลำยนำ้ เชือ้ ของกำรผสมเทยี ม
ค. ได้น้ำเชื้อปริมำณมำกข้นึ
9. ข้อใดเป็นข้นั ตอนแรกในกำรผสมเทยี ม
ก. รดี น้ำเชอ้ื
10. ขอ้ ใดเปน็ บริเวณในกำรฉีดฮอร์โมนตอ่ มใตส้ มองของปลำเพื่อกำรผสมเทยี ม
ค. สีข้ำงปลำตวั ผู้
11. ข้อใดเป็นประโยชน์ในกำรผสมเทียมโดยกำรฉีดฮอรโ์ มนตอ่ มใต้สมองของปลำ
ข. กระตุน้ ใหไ้ ข่ของตวั เมียสกุ
12. ขอ้ ใดกล่ำวไม่ถกู ตอ้ งในกระบวนกำรถ่ำยฝำกตัวออ่ น
ค. ลูกท่ไี ดจ้ ะมลี ักษณะเหมือนตวั รับและพ่อพันธุ์
13. ขอ้ ใดเปน็ ประโยชน์ของกำรถำ่ ยฝำกตวั อ่อน
ง. ตวั ออ่ นสำมำรถสร้ำงภูมิตำ้ นทำนโรคไดด้ ี
14. ข้อใดเป็นควำมหมำยของ คำว่ำ “โคลน” จำกข่ำวหนังสือพิมพ์ “นักวิชำกำรต่ำงชำติแอบโคลนทุเรียน
พนั ธ์ใุ หม”่
ค. กำรนำตน้ ทุเรยี นพนั ธใ์ุ หมไ่ ปขยำยพนั ธ์โุ ดยกำรตอน
15. ขอ้ ใดเป็นกำรสบื พันธแ์ุ บบโคลนนิ่ง
ก. ไมอ่ ำศยั เพศ
16. ข้อใดเปน็ ลักษณะสิง่ มชี วี ติ ท่ไี ด้จำกกำรโคลนน่งิ
ค. เปน็ ไดท้ ัง้ เพศผู้และเพศเมยี
17. ขอ้ ใดเปน็ ลกั ษณะของสัตวท์ ี่สำมำรถทำกำรถ่ำยฝำกตัวอ่อนได้
ข. ตัง้ ทอ้ งนำนมลี ูกครง้ั ละตัว
18. ข้อใดเปน็ กำรนำเทคโนโลยีสมยั ใหม่มำใช้ประโยชน์
ค. ด้ำนกำรแพทย์
19. ข้อใดเป็นกำรนำเทคโนโลยีทำงชวี ภำพมำพฒั นำประเทศได้มำกทส่ี ดุ
ข. ดำ้ นเกษตรกรรม
20. ข้อใดไม่ถกู ตอ้ งในกำรนำจลุ ินทรยี ม์ ำใช้ประโยชน์ในด้ำนเทคโนโลยชี วี ภำพ
ง. ใช้ปรับปรงุ พนั ธ์ุพชื และพันธุ์สัตว์
13
เฉลยแบบฝึ กหดั หน่วยท่ี 3
เรอื่ ง เทคโนโลยชี วี ภาพ
ตอนท่ี 1 จงตอบคำถำมต่อไปนใ้ี หถ้ กู ตอ้ ง
1. ควำมก้ำวหนำ้ ทำงวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยชี ีวภำพมีผลตอ่ มิวเทชนั อยำ่ งไร (2 คะแนน)
ตอบ ควำมก้ำวหน้ำทำงวิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยีมีผลต่อมิวเทชันโดยทำให้แมลงเกิดควำมต้ำนทำนยำ
ฆ่ำแมลง เชื้อโรคสำมำรถตำ้ นยำปฏชิ ีวนะไดเ้ ป็นต้น
2. พนั ธุวศิ วกรรมคืออะไร มีควำมสำคัญอย่ำงไร (2 คะแนน)
ตอบ พันธุวิศวกรรมคือกำรปรับปรุงกำรเปล่ียนแปลงลักษณะทำงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต มีควำมสำคัญ
เพรำะนำมำใชป้ ระโยชนท์ ำงอตุ สำหกรรมกำรแพทย์และกำรเกษตรหลำยอยำ่ ง
3. จงยกตัวอย่ำงกำรปรับปรงุ พันธ์พุ ืชและพันธ์ุสัตวม์ ำอย่ำงละ 3 ข้อ (2 คะแนน)
ตอบ ตัวอย่ำง กำรปรับปรุงพืชพันธ์ุ เช่น พวกกะหล่ำปลีทำให้ได้พืชที่น่ำรับประทำน พันธุ์พืชปอแก้วได้ปอ
แก้วท่ีไม่หนำม พันธุข้ำวโพดได้ลักษณะพิเศษที่มีเมล็ดแข็งใส มีสีสัน ต้ำนทำนโรครำน้ำค้ำงได้ดี และให้
ผลติ ภัณฑส์ งู
ตัวอยำ่ ง กำรปรบั ปรงุ พนั ธุส์ ตั ว์ เช่น พันธุโ์ คนม พันธุ์โคเน้อื พันธุ์ไกไ่ ขด่ ก
4. จงอธบิ ำยขอบเขตและรำกฐำนของเทคโนโลยีชวี ภำพมำพอเขำ้ ใจ (2 คะแนน)
ตอบ ขอบเขตและรำกฐำนของเทคโนโลยีชีวภำพมีขอบเขตท่ีกว้ำงขวำงมำกครอบคลุมต้ังแต่เทคโนโลยีท่ีใช้
ในกำรเกษตรกรรมจนถงึ อตุ สำหกรรมกำรแพทย์ กำรผลติ พลงั งำนและกำรรักษำสภำวะแวดล้อม
5. กำรคัดเลอื กพันธแุ์ ละกำรปรบั ปรุงพันธเุ์ หมือนกนั หรือตำ่ งกนั อยำ่ งไร (2 คะแนน)
ตอบ กำรคัดคัดเลือกและกำรปรับปรุงพันธุ์มีควำมแตกต่ำงกัน คือ กำรคัดเลือกพันธ์ุหมำยถึง กำรคัดเลือก
ของพืชที่ดีออกจำกพืชพวกที่ไม่มสี ว่ นกำรปรบั ปรงุ พนั ธเ์ุ ป็นกำรผสมพันธเ์ุ พอื่ ให้เกดิ พนั ธใุ์ หม่ ๆ
ตอนท่ี 2 จงพิจำรณำข้อควำมต่อไปน้ีกล่ำวผิดหรือถูก โดยทำเครื่องหมำย หน้ำข้อควำมท่ีถูกและทำ
เครือ่ งหมำย หนำ้ ข้อควำมที่ผดิ (ข้อละ1 คะแนน)
1. เทคโนโลยีชวี ภำพ คอื กำรใช้ควำมร้เู ก่ยี วกบั สง่ิ มชี วี ิต และผลิตภณั ฑข์ องสิ่งมีชีวิตใหเ้ ปน็
ประโยชน์แก่มนษุ ย์
2. เทคโนโลยีชีวภำพไม่สำมำรถนำไปใชป้ ระโยชน์ในทำงกำรแพทย์ได้
3. เทคโนโลยีชวี ภำพเป็นกำรนำควำมร้เู ฉพำะสำขำวชิ ำเคมีเท่ำนนั้ มำใช้
4. กำรปรับปรุงพนั ธ์ุพชื และสัตว์โดยมนษุ ยน์ ั้นเปน็ กำรสรำ้ งยีนใหมห่ รือสรำ้ งลักษณะใหม่
5. กำรผสมเทียมใช้กบั สตั วท์ ่มี ีกำรปฏสิ นธภิ ำยในเท่ำน้ัน
6. พนั ธ์ุวศิ วกรรม คือ กำรปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงลักษณะทำงพันธุกรรมของสง่ิ มีชีวิต
7. เทคนคิ วธิ กี ำรท่นี ำเอำยนี จำกสิ่งมชี ีวิตหน่ึงหรอื นำยีนท่ีสังเครำะห์ขน้ึ ใส่เข้ำไปในอกี
ส่ิงมีชีวติ หนงึ่ เพือ่ ให้ทำหน้ำที่ทำงพันธกุ รรมได้ เปน็ พนั ธวุ ิศวกรรม
8. วศิ วกรรมระดับโมเลกุล หมำยถึง กำรออกแบบและสร้ำงโมเลกลุ ท่มี ีคุณสมบตั ติ ำมเี่ รำ
ตอ้ งกำร
9. โคลนนง่ิ คือ กำรขยำยพันธแุ์ บบอำศัยเพศ
10. เทคโนโลยีชวี ภำพทำไปใช้ในด้ำนกำรอนุรักษ์พันธ์ุสัตวท์ ีม่ ีอยู่น้อยใกลส้ ญู พันธ์ ทำให้มี
ควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพมำกขึ้น
15
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 3
เรือ่ ง เทคโนโลยีชีวภาพ
คาช้ีแจง : 1. แบบทดสอบมีจำนวน 20 ข้อ
2. จงทำเครือ่ งหมำย บนตวั เลือกทถ่ี กู ต้องท่สี ดุ เพียงข้อเดยี ว
1. ขอ้ ใดเป็นส่ิงมชี ีวิตทจี่ ัดเป็นจเี อม็ โอ (GMO)
ข. เซลลแ์ บคทเี รยี ทมี่ ยี ีนอนิ ซลู นิ ของคน
2. ข้อใดเป็นเหตุผลที่นักเรียนคิดว่ำข้ำวโพดพันธ์ุใหม่มีประโยชน์ถ้ำนักวิทยำศำสตร์ใช้เทคนิค
ทำงพันธุวศิ วกรรมสร้ำงข้ำวโพดสปีชีสใ์ หม่ที่สำมำรถชักนำแบคทเี รยี กลุ่มไรโซเบียมมำอำศัยอยู่ในรำกได้
ก. ลดกำรใชป้ ุย๋ ไนโตรเจนในกำรเพำะปลูก
3. ขอ้ ใดเป็นกำรนำเทคนิคทำงพันธวุ ิศวกรรมมำใช้ประโยชน์
ง. กำรวนิ ิจฉยั โรคพนั ธกุ รรมและกำรรกั ษำยีนก่อนคลอด
4. ขอ้ ใดเป็นวธิ กี ำรนำเทคโนโลยชี วี ภำพมำใช้ในกำรปรบั ปรุงพันธพ์ุ ชื ให้มีคณุ ภำพและปรมิ ำณเพิม่ ขนึ้
ค. กำรตัดตอ่ ยนี
5. ข้อใดเป็นกำรศึกษำเรื่องกำรนำควำมรู้เกี่ยวกับเทคนิคและวิธีกำรผลิตในระดับอุตสำหกรรมมำพัฒนำ
เทคโนโลยี
ข. วิศวกรรมกระบวนกำร
6. ขอ้ ใดเปน็ ขน้ั ตอนกำรผสมเทียมที่มกี ำรปฏิสนธิ
ก. กำรรดี น้ำเช้อื
7. ข้อใดเปน็ ขั้นตอนกำรผสมเทียมได้ถูกตอ้ ง
ก. รดี น้ำเชื้อ ตรวจน้ำเชอ้ื ละลำยนำ้ เช้ือ เก็บนำ้ เช้ือ ฉดี น้ำเชือ้
8. ข้อใดเป็นจุดประสงค์ในกำรละลำยนำ้ เช้ือของกำรผสมเทียม
ข. ได้น้ำเชื้อปรมิ ำณมำกขน้ึ
9. ขอ้ ใดเปน็ ขัน้ ตอนแรกในกำรผสมเทยี ม
ก. รดี น้ำเชื้อ
10. ขอ้ ใดเป็นบรเิ วณในกำรฉดี ฮอรโ์ มนต่อมใต้สมองของปลำเพื่อกำรผสมเทียม
ง. สขี ้ำงปลำตัวเมีย
11. ข้อใดเป็นประโยชน์ในกำรผสมเทยี มโดยกำรฉดี ฮอร์โมนตอ่ มใต้สมองของปลำ
ค. กระตุ้นให้ไข่ของตวั เมยี สกุ
12. ขอ้ ใดกล่ำวไมถ่ กู ต้องในกระบวนกำรถำ่ ยฝำกตัวอ่อน
ข. ลูกท่ไี ด้จะมลี ักษณะเหมือนตวั รับและพอ่ พันธ์ุ
13. ขอ้ ใดเปน็ ประโยชนข์ องกำรถ่ำยฝำกตวั ออ่ น
ง. ตัวออ่ นสำมำรถสรำ้ งภูมติ ้ำนทำนโรคไดด้ ี
14. ข้อใดเป็นควำมหมำยของ คำว่ำ “โคลน” จำกข่ำวหนังสือพิมพ์ “นักวิชำกำรต่ำงชำติแอบโคลนทุเรียน
พนั ธ์ุใหม”่
ก. กำรนำต้นทุเรียนพนั ธ์ใุ หม่ไปขยำยพนั ธุโ์ ดยกำรตอน
15. ข้อใดเปน็ กำรสบื พันธุแ์ บบโคลนนิง่
ก. ไม่อำศัยเพศ
16. ข้อใดเปน็ ลักษณะส่งิ มชี ีวติ ทไ่ี ดจ้ ำกกำรโคลนน่งิ
ข. เปน็ ไดท้ ั้งเพศผู้และเพศเมยี
17. ข้อใดเป็นลักษณะของสตั ว์ทีส่ ำมำรถทำกำรถ่ำยฝำกตัวอ่อนได้
ค. ตง้ั ทอ้ งนำนมลี กู คร้ังละตวั
18. ข้อใดเป็นกำรนำเทคโนโลยสี มยั ใหมม่ ำใช้ประโยชน์
ข. ด้ำนกำรแพทย์
19. ขอ้ ใดเปน็ กำรนำเทคโนโลยีทำงชวี ภำพมำพัฒนำประเทศได้มำกทีส่ ุด
ค. ดำ้ นเกษตรกรรม
20. ข้อใดไมถ่ ูกต้องในกำรนำจลุ ินทรียม์ ำใช้ประโยชนใ์ นดำ้ นเทคโนโลยีชีวภำพ
ง. ใช้ปรับปรงุ พันธุ์พชื และพนั ธ์ุสัตว์
17
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 4
เรือ่ ง จุลนิ ทรียใ์ นอาหาร
คาช้แี จง: 1. แบบทดสอบมีจำนวน 20 ข้อ
2. จงทำเคร่ืองหมำย บนตัวเลอื กท่ีถกู ตอ้ งทส่ี ุดเพยี งข้อเดียว
1. ข้อใดเป็นลกั ษณะของจลุ นิ ทรยี ์
ก. เซลล์เดียว
2. ข้อใดเป็นส่ิงมีชวี ติ ในกลมุ่ จุลนิ ทรีย์
ง. แบคทีเรยี
3. ขอ้ ใดเป็นอำหำรของจลุ ินทรยี ท์ ่ที ำใหเ้ จรญิ เติบโตเพิ่มจำนวนมำกข้นึ
ก. น้ำตำล
4. ขอ้ ใดไมใ่ ช่จลุ นิ ทรียใ์ นอำหำร
ข. เหด็
5. ข้อใดเปน็ ผลติ ภณั ฑ์อำหำรที่มแี บคทเี รียเปน็ สว่ นผสม
ก. นมเปร้ยี ว
6. ข้อใดเป็นรปู รำ่ งของแบคทีเรยี
ง. ถกู ทกุ ขอ้
7. จลุ ินทรยี ์จำพวกใดทมี่ คี วำมสำคญั ดำ้ นอำหำร
ก. แบคทเี รีย รำ ยสี ต์
8. ข้อใดเปน็ แบคทีเรียทใี่ ชใ้ นกำรผลติ กรดอะมิโน
ก .มอนอโซเดยี มกลูตำเมต
9. รำเป็นจลุ ินทรยี ์ท่ีมลี กั ษณะตรงตำมขอ้ ใด
ค. เส้นสำย
10. ขอ้ ใดเปน็ รูปร่ำงของรำช้นั ต่ำ
ข. กลม
11. ขอ้ ใดเปน็ ลักษณะของกำรเกิดไฮฟำ
ก. กำรแตกหน่อ
12. ข้อใดเปน็ ลักษณะโครงสรำ้ งของผนังเซลล์ชั้นในสดุ ของรำ
ง. ไคติน
13. ข้อใดเป็นลักษณะกำรสืบพันธขุ์ องรำ
ข. กำรสรำ้ งสปอร์
14. สปอรข์ องรำที่สืบพันธุ์แบบไม่อำศัยเพศแบ่งออกเป็นก่ีแบบ
ข. 2
15. ขอ้ ใดเป็นสปอร์ของรำแบบอำศยั เพศ
ก. โอโอสปอร์
16. ขอ้ ใดเป็นพำหะในกำรแพร่กระจำยของยีสต์
ข. แมลงหวี่
17. ข้อใดเปน็ ลกั ษณะรปู รำ่ งของยสี ต์
ค. กลม
18. ข้อใดเป็นลักษณะเดน่ ของยสี ต์
ก. เชลล์เดียวและมีหนอ่
19. ขอ้ ใดเป็นปจั จยั ภำยในอำหำรท่ีทำให้จลุ ินทรยี ์เตบิ โต
ก. ควำมช้นื
20. ขอ้ ใดเป็นสำรพิษทจี่ ุลนิ ทรีย์สร้ำงขึ้นในอำหำร
ง. ถกู ทกุ ขอ้
19
เฉลยแบบฝึ กหัดหน่วยที่ 4
เรอื่ ง จลุ ินทรยี ใ์ นอาหาร
คาชแ้ี จง จงตอบคำถำมต่อไปนีใ้ หถ้ ูกต้อง
1. จุลินทรีย์เป็นส่ิงมีชีวิตขนำดเล็กซ่ึงมองด้วยตำเปล่ำไม่เห็นต้องมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ
เหล่ำน้ี เรียกวำ่ “จุลินทรีย์” ประกอบด้วย ส่ิงมีชีวติ 5 กลุ่ม ได้แก่ แบคทีเรีย (Bacteria) ไวรัส (Virus)
ฟังใจ (Fungi) โปรโตซวั (Protozoa) และสาหรา่ ย (Algae)
2. จลุ นิ ทรยี ์ทม่ี คี วำมสำคัญด้ำนอำหำร แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 พวกใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ แบคทีเรีย รา และยีสต์
3. สำรพิษจำกแบคทีเรยี เรยี กว่ำ Clostridium botulinum staphylococcus aureus
4. แบคทีเรยี เปน็ จุลินทรีย์พวกโพรคำรโิ อต มรี ูปรำ่ ง 3 แบบ ไดแ้ ก่ กลม ทอ่ น และเกลียว
5. แบคทีเ่ รียท่มี ีรูปรำ่ งคงตัวเป็นรปู เกลียว เรยี กวำ่ สไปโรคตี (Spirochetes)
6. รำเป็นจุลนิ ทรีย์จำพวกยูคำริโอตมลี กั ษณะ เปน็ เส้นสาย
7. รำทม่ี รี ปู รำ่ งไม่แน่นอนจะมีรปู รำ่ ง คล้ายอะมบี า
8. รำสืบพันธุ์อยำ่ งไร โดยการสรา้ งสปอร์
9. ยีสต์เปน็ จุลินทรียพ์ วกยคู ำริโอตสว่ นใหญม่ รี ูปร่ำง กลมหรอื รี
10. จุลินทรีย์มปี ระโยชน์และโทษอยำ่ งไร
ตอบ โทษ 1. ทำใหอ้ ำหำรเนำ่ เสยี 2. ทำใหอ้ ำหำรเปน็ พิษ
ประโยชน์ 1. ทำให้เกดิ ผลิตภัณฑอ์ ำหำร เชน่ ขนมปงั ไวน์ ซีอิว้ เป็นตน้
2. เป็นอำหำรโดยตรง โดยใช้เปน็ แหลง่ โปรตนี
3. เป็นดัชนีคณุ ภำพอำหำร
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 4
เร่อื ง จุลนิ ทรยี ใ์ นอาหาร
คาชี้แจง: 1. แบบทดสอบมจี ำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเคร่ืองหมำย บนตัวเลือกทีถ่ ูกตอ้ งทสี่ ุดเพยี งขอ้ เดยี ว
1. ขอ้ ใดเปน็ สิง่ มีชวี ิตในกลุ่มจลุ ินทรยี ์
ง. แบคทีเรีย
2. ข้อใดเปน็ ลักษณะของจุลินทรยี ์
ก. เซลลเ์ ดียว
3. ขอ้ ใดไมใ่ ช่จลุ ินทรยี ์ในอำหำร
ข. เห็ด
4. ขอ้ ใดเป็นอำหำรของจลุ นิ ทรีย์ที่ทำให้เจริญเตบิ โตเพิ่มจำนวนมำกขน้ึ
ก. น้ำตำล
5. ขอ้ ใดเปน็ ผลิตภัณฑ์อำหำรทีม่ แี บคทเี รยี เป็นส่วนผสม
ง. นมเปรี้ยว
6. จุลินทรียจ์ ำพวกใดท่ีมคี วำมสำคัญด้ำนอำหำร
ก. แบคทเี รีย รำ ยีสต์
7. ข้อใดเปน็ รปู รำ่ งของแบคทเี รีย
ง. ถูกทกุ ข้อ
8. ขอ้ ใดเป็นแบคทเี รยี ทใ่ี ช้ในกำรผลติ กรดอะมโิ น
ง. มอนอโซเดยี มกลตู ำเมต
9. รำเปน็ จุลนิ ทรียท์ มี่ ลี ักษณะตรงตำมข้อใด
ง. เส้นสำย
10. ข้อใดเป็นรูปร่ำงของรำชนั้ ตำ่
ข. กลม
11. ขอ้ ใดเปน็ ลกั ษณะโครงสรำ้ งของผนังเซลลช์ น้ั ในสุดของรำ
ก. ไคติน
12. ขอ้ ใดเปน็ ลกั ษณะของกำรเกิดไฮฟำ
ง. กำรแตกหนอ่
21
13. ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะกำรสืบพันธ์ุของรำ
ข. กำรสรำ้ งสปอร์
14. ข้อใดเป็นสปอร์ของรำแบบอำศัยเพศ
ก. โอโอสปอร์
15. ข้อใดเปน็ ลักษณะรปู รำ่ งของยีสต์
ค. กลม
16. สปอรข์ องรำท่ีสืบพันธ์ุแบบไม่อำศัยเพศแบง่ ออกเป็นก่ีแบบ
ข. 2
17. ขอ้ ใดเป็นพำหะในกำรแพรก่ ระจำยของยสี ต์
ข. แมลงหวี่
18. ข้อใดเปน็ ปจั จยั ภำยในอำหำรท่ที ำให้จุลนิ ทรีย์เตบิ โต
ก. ควำมชน้ื
19. ขอ้ ใดเปน็ สำรพิษทจ่ี ลุ ินทรีย์สร้ำงขนึ้ ในอำหำร
ง. ถูกทุกขอ้
20. ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะเด่นของยีสต์
ก. เชลลเ์ ดียวและมีหน่อ
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 5
เรื่อง ปโิ ตรเลียม
คาช้แี จง: 1. แบบทดสอบมีจำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเคร่ืองหมำย บนตวั เลือกท่ีถูกต้องที่สุดเพยี งข้อเดยี ว
1. ข้อใดเป็นสำรท่ีใช้เติมลงไปในน้ำมันเบนซินเพ่ือทำให้เลขออกเทนสูงขึ้นและป้องกันกำรกระตุก
ของเคร่อื งยนต์
ง. เตตระเอทิลเลด
2. ข้อใดเปน็ สำรทใ่ี ช้เติมในน้ำมนั เบนซินเพือ่ ใหม้ เี ลขออกเทนสงู ข้นึ และลดปริมำณอำกำศเสยี
ง. เมทิลเทอรเ์ ซียรีบวิ ทิลอีเทอร์
3. ข้อใดเปน็ แก๊สทีเ่ กิดจำกกำรเผำไหมข้ องเครอ่ื งยนต์ทม่ี ีผลต่อสภำพแวดล้อมและส่งิ มีชีวติ
ข. CO และสำรตะก่วั
4. ข้อใดเปน็ สำเหตทุ ่ตี ้องแยกแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ออกในกระบวนกำรแยกแกส๊ ธรรมชำติ
ข. ปอ้ งกันกำรอุดตันของท่อ เน่อื งจำกสถำนะเป็นของแข็งเม่ืออณุ หภูมิลดลง
5. ขอ้ ใดเปน็ วิธกี ำรแยกกลน่ั นำ้ มันดิบออกมำเป็นนำ้ มนั ชนดิ ตำ่ ง ๆ
ค. กำรกลัน่ ลำดับสว่ น
6. ขอ้ ใดสรปุ สมบัตขิ องนำ้ มันเบนซินธรรมดำออกเทน 84 นำ้ มันเบนซินซุปเปอร์ หรือน้ำมันเบนซนิ พิเศษ ออก
เทน 95 ไดถ้ ูกต้อง
ง. นำ้ มนั เบนซินชนดิ พเิ ศษป้องกันกำรกระตุกของเครอ่ื งยนต์ไดด้ ีกวำ่ ชนิดธรรมดำ
7. ข้อใดเปน็ วธิ ีกำรทำนำ้ มนั เบนซินใหม้ เี ลขค่ำออกเทนสูง
ก. เตมิ แอลกอฮอล์ลงไป
8. ขอ้ ใดทำให้เกิดมลพิษต่อสง่ิ แวดล้อมจำกกำรเพ่ิมจำนวนเลขค่ำออกเทนในนำ้ มนั เบนซิน โดยกำรเตมิ เทท
ระเอทลิ เลด
ค. เกิดแกส๊ CO มำกขนึ้ เน่ืองจำกตะกั่วมีกำรเผำไหม้ไม่สมบูรณ์
9. เพรำะเหตุใดแสงอำทติ ยเ์ ปน็ แหล่งพลงั งำนทส่ี ะอำด
ก. ไม่ทำใหเ้ กิดปญั หำสง่ิ แวดล้อมเปน็ พษิ
10. ขอ้ ใดเปน็ แกส๊ ปิโตรเลยี มท่ีใชเ้ ปน็ เช้ือเพลงิ หุงต้ม
ค. แอลพจี ี (LPG)
11. ข้อใดเป็นแกส๊ ท่เี กดิ จำกกำรเผำไหม้ของเชอื้ เพลงิ ในยำนพำหนะ
ข. คำร์บอนมอนอกไซด์
23
12. ขอ้ ใดเปน็ องคป์ ระกอบหลักของปโิ ตรเลียม
ก. คำรบ์ อน
13. ขอ้ ใดเป็นองค์ประกอบหลักของแกส๊ ธรรมชำตใิ นสภำวะปกติ
ข. แก๊สมีเทน
14. ขอ้ ใดเป็นชั้นหินทถ่ี กู เกบ็ กักแกส๊ ธรรมชำติและนำ้ มนั ดิบ
ง. ช้ันหินดินดำน
15. ข้อใดหมำยถึงสำรประกอบไฮโดรคำรบ์ อน
ค. สำรประกอบท่มี ธี ำตุคำร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองคป์ ระกอบ
16. ขอ้ ใดเป็นลกั ษณะของชั้นหินกักเกบ็
ค. เป็นหนิ เนอ้ื พรนุ
17. ขอ้ ใดเป็นหินท่ีอยู่ในชน้ั หินปิดกนั้
ข. หินโคลน
18. ข้อใดเปน็ วิธกี ำรสำรวจขนำดและขอบเขตของแหลง่ ปิโตรเลยี ม
ค. กำรสำรวจทำงธรณีฟิสิกส์
19. ขอ้ ใดเป็นวธิ กี ำรสำรวจโดยกำรตรวจวัดคลนื่ ไหวสะเทอื นของชนั้ หิน
ข. กำรสำรวจทำงธรณฟี ิสิกส์
20. ข้อใดเปน็ จงั หวัดทสี่ ำรวจพบแหล่งนำ้ มันดิบเป็นครงั้ แรกในประเทศไทย
ง. จังหวัดเชียงใหม่
เฉลยแบบฝึ กหัดหน่วยท่ี 5
เร่ือง ปิโตรเลยี ม
คาชี้แจง จงตอบคำถำมต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. สำรประกอบไฮโดรคำร์บอนท่ีใชท้ ำน้ำมนั เบนซินและนำ้ มนั ดีเซลเหมือนหรือตำ่ งกันอยำ่ งไร
ตอบ ต่ำงกัน โดยในน้ำมันเบนซินประกอบด้วยสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนท่ีมีจำนวนคำร์บอน 6-12
อะตอม แต่ในน้ำมนั ดีเซลประกอบดว้ ย สำรประกอบไฮโดรคำร์บอนทม่ี จี ำนวนคำร์บอน 14-19 อะตอม
2. จงเรยี งลำดบั ผลติ ภณั ฑ์ท่ีได้จำกกำรกลน่ั น้ำมันดบิ จำกจุดเดอื ดต่ำไปสงู
ตอบ แก๊สปิโตรเลียม -> แนพพำเบำ -> น้ำมนั เบนซิน -> นำ้ มันก๊ำด -> น้ำมันดีเซล -> น้ำมันหล่อลน่ื น้ำมัน
เตำ -> ไข -> บทิ ูเมนหรอื ยำงมะตอย
3. แก๊สธรรมชำติเหลวและแกส๊ ปิโตรเลยี มเหลวเหมือนหรอื ตำ่ งกนั อยำ่ งไร
ตอบ แก๊สธรรมชำติเหลว (LNG) ประกอบด้วยเพนเทน (C5H12) และเฮกเซน (C6H14) ส่วนแก๊สปิโตรเลียม
เหลว (LPG) ประกอบดว้ ย โพรเพน (C3H8) และบิวเทน (C4H10)
4. LPG คืออะไร และมีประโยชนอ์ ยำ่ งไรบ้ำง
ตอบ LPG คอื แกส๊ ปิโตรเลียมเหลวทปี่ ระกอบดว้ ยโพรเทน (C3H8) และบิวเทน (C4H10) ซ่ึงบรรจุในถงั โลหะที่
มีควำมดนั สงู ประโยชน์ของ LPG
1. ใชเ้ ป็นเชอ้ื เพลงิ ในครวั เรือนแทนกำรใช้ถำ่ นไม้
2. ใชท้ ำนำ้ ร้อนสำหรับอำบ อบเสอ้ื ผำ้ ใหแ้ ห้ง
3. ใชเ้ ปน็ เชอ้ื เพลงในกำรตดั หรือเช่ือมโลหะ
4. ใชเ้ ป็นเชือ้ เพลิงในโรงงำนอุตสำหกรรม
5. ใชเ้ ปน็ เช้อื เพลงิ ในกำรบ่มใบยำ
6. ใช้บรรจใุ นกระป๋องชนดิ สเปรยฉ์ ดี เพ่ือให้มแี รงดนั สำมำรถฉดี เป็นฝอยได้
7. ใช้เปน็ เชื้อเพลงิ ในรถยนต์ เชน่ รถแทก็ ซี่
5. แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ มสี มบัติอย่ำงไร และมผี ลต่อมนุษย์อย่ำงไรบ้ำง
ตอบ แก๊สคำร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เป็นแก๊สที่ไม่มีสี ไม่มีกล่ิน และเป็นพิษ เพรำะแก๊ส CO สำมำรถจับ
ฮีโมโกลบินได้ดีกว่ำแก๊ส O2 มำก ทำให้ร่ำงกำยได้รับแก๊ส O2 ไม่เพียงพอ อำกำรท่ัวไปเม่ือร่ำงกำยได้รับแก๊ส
CO คือ วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อำเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อำจช็อกหมดสติหรือตำยได้ ควำมเป็นพิษของ
แก๊ส CO ขึ้นอยู่กบั ควำมเข้มขน้ ของแก๊ส CO ในอำกำศ ระยะเวลำทรี่ ่ำงกำยไดร้ บั แกส๊ CO และสขุ ภำพของแต่
ละคน
25
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 5
เรอื่ ง ปโิ ตรเลยี ม
คาช้ีแจง: 1. แบบทดสอบมีจำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเครื่องหมำย บนตัวเลอื กที่ถูกต้องทสี่ ดุ เพียงขอ้ เดยี ว
1. ข้อใดเป็นสำรที่ใช้เติมลงไปในน้ำมันเบนซินเพ่ือทำให้เลขออกเทนสูงขึ้นและป้องกันกำรกระตุก
ของเครอ่ื งยนต์
ง. เตตระเอทลิ เลด
2. ข้อใดเป็นสำรทใี่ ช้เติมในน้ำมนั เบนซนิ เพอ่ื ให้มีเลขออกเทนสงู ข้นึ และลดปริมำณอำกำศเสยี
ง. เมทลิ เทอร์เซยี รีบิวทลิ อีเทอร์
3. ข้อใดเปน็ แก๊สท่ีเกิดจำกกำรเผำไหมข้ องเครอ่ื งยนต์ทม่ี ีผลต่อสภำพแวดล้อมและสง่ิ มีชวี ิต
ข. CO และสำรตะกว่ั
4. ขอ้ ใดเป็นสำเหตทุ ตี่ ้องแยกแก๊สคำรบ์ อนไดออกไซด์ออกในกระบวนกำรแยกแกส๊ ธรรมชำติ
ข. ปอ้ งกันกำรอดุ ตนั ของทอ่ เนอ่ื งจำกสถำนะเป็นของแขง็ เม่อื อณุ หภมู ิลดลง
5. ข้อใดเป็นวธิ กี ำรแยกกลน่ั น้ำมนั ดบิ ออกมำเปน็ น้ำมนั ชนดิ ตำ่ ง ๆ
ค. กำรกล่นั ลำดับส่วน
6. ข้อใดสรุปสมบตั ขิ องน้ำมันเบนซนิ ธรรมดำออกเทน 84 น้ำมันเบนซินซุปเปอร์ หรือน้ำมนั เบนซนิ พิเศษ ออ ก
เทน 95 ไดถ้ กู ต้อง
ง. น้ำมนั เบนซนิ ชนดิ พิเศษป้องกันกำรกระตุกของเคร่ืองยนต์ได้ดกี วำ่ ชนดิ ธรรมดำ
7. ขอ้ ใดเปน็ วธิ กี ำรทำนำ้ มนั เบนซินให้มีเลขค่ำออกเทนสูง
ก. เติมแอลกอฮอล์ลงไป
8. ข้อใดทำใหเ้ กิดมลพษิ ต่อสิง่ แวดลอ้ มจำกกำรเพิ่มจำนวนเลขค่ำออกเทนในนำ้ มันเบนซนิ โดยกำรเติม เ ต
ตระเอทลิ เลด
ค. เกิดแกส๊ CO มำกข้นึ เน่อื งจำกตะกวั่ มีกำรเผำไหม้ไมส่ มบูรณ์
9. เพรำะเหตใุ ดแสงอำทิตย์เปน็ แหล่งพลังงำนท่ีสะอำด
ก. ไมท่ ำใหเ้ กิดปัญหำส่ิงแวดลอ้ มเปน็ พิษ
10. ขอ้ ใดเปน็ แก๊สปิโตรเลียมทใ่ี ช้เป็นเชอ้ื เพลงิ หุงต้ม
ค. แอลพีจี (LPG)
11. ข้อใดเปน็ แก๊สที่เกิดจำกกำรเผำไหมข้ องเชือ้ เพลงิ ในยำนพำหนะ
ข. คำร์บอนมอนอกไซด์
12. ข้อใดเปน็ องค์ประกอบหลกั ของปโิ ตรเลียม
ก. คำร์บอน
13. ขอ้ ใดเปน็ องคป์ ระกอบหลักของแก๊สธรรมชำติในสภำวะปกติ
ข. แก๊สมีเทน
14. ข้อใดเปน็ ชน้ั หินที่ถูกเกบ็ กกั แก๊สธรรมชำตแิ ละนำ้ มนั ดิบ
ง. ชน้ั หนิ ดนิ ดำน
15. ขอ้ ใดหมำยถึงสำรประกอบไฮโดรคำร์บอน
ค. สำรประกอบทม่ี ธี ำตุคำรบ์ อนและไฮโดรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ
16. ข้อใดเปน็ ลกั ษณะของชัน้ หินกักเก็บ
ค. เป็นหินเนอ้ื พรนุ
17. ขอ้ ใดเปน็ หนิ ที่อย่ใู นชน้ั หนิ ปดิ กั้น
ข. หนิ โคลน
18. ข้อใดเป็นวธิ ีกำรสำรวจขนำดและขอบเขตของแหลง่ ปิโตรเลียม
ค. กำรสำรวจทำงธรณฟี สิ ิกส์
19. ข้อใดเปน็ วธิ ีกำรสำรวจโดยกำรตรวจวดั คลน่ื ไหวสะเทือนของชนั้ หิน
ข. กำรสำรวจทำงธรณีฟสิ ิกส์
20. ขอ้ ใดเป็นจงั หวัดที่สำรวจพบแหลง่ นำ้ มันดบิ เปน็ คร้งั แรกในประเทศไทย
ง. จังหวดั เชยี งใหม่
27
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยท่ี 6
เรื่อง พอลิเมอรแ์ ละผลิตภณั ฑ์
คาชีแ้ จง: 1. แบบทดสอบมีจำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเครื่องหมำย บนตัวเลอื กที่ถูกตอ้ งท่สี ดุ เพยี งขอ้ เดยี ว
1. ขอ้ ใดเป็นพอลเิ มอรธ์ รรมชำติ
ข. พอลไิ อโซพรีน แป้ง ยำงพำรำ
2. ขอ้ ใดหมำยถงึ PVC
ง. พอลไิ วนลิ คลอไรด์
3. ข้อใดเปน็ พอลิเมอรท์ ่เี กดิ จำกมอนอเมอร์ตำ่ งชนดิ กนั มำกท่ีสุด
ก. แปง้
4. ข้อใดเป็นเสน้ ใยสงั เครำะห์
ก. ใยหิน
5. สำรชนิดใดจัดเป็นพอลิเมอร์แบบเติม
ง. พอลิสไตรนี
6. ข้อใดเปน็ โครงสรำ้ งพลำสติกทีม่ คี วำมแข็งแรงมำกท่สี ุด
ค. แบบร่ำงแห
7. ข้อใดเปน็ โครงสร้ำงของพลำสติกทม่ี สี มบัตกิ ำรยดื หย่นุ ไดม้ ำกและโคง้ ตัวดี
ง. แบบสำยยำว
8. พอลเิ มอร์ชนดิ ใดใช้ผลิตถุงพลำสตกิ ใสอ่ ำหำรร้อน
ข. พอลิโพรพิลีน
9. สำรชนิดใดทใ่ี ช้เป็นส่วนผสมทำใหย้ ำงมสี มบัตแิ ขง็ และเหนยี ว
ข. กำมะถนั
10. ขอ้ ใดเป็นคณุ สมบตั ขิ องพอลิไวนิลคลอไรด์
ค. ใช้ทำรองเทำ้ ท่อน้ำ ท่อร้อยสำยไฟ
11. พลำสตกิ ชนดิ ใดมีสมบตั ิไม่สำมำรถละลำยในสำรไฮโดรคำรบ์ อนและน้ำ
ข. อีพอกซี
12. ข้อใดจัดเปน็ พลำสติกเทอรม์ อเซต
ข. เมลำมีน
13. ข้อใดเปน็ กระบวนกำรทที่ ำใหย้ ำงในธรรมชำตมิ ีควำมยดื หยนุ่ สูงและอยู่ตัวมำกขึน้
ข. วลั คำไนเซชัน
14. เพรำะเหตใุ ดยำงวลั คำไนซ์มีควำมยดื หยุน่ ไดด้ ีกวำ่ ยำงดิบ
ข. สำยของโมเลกลุ เช่ือมต่อกนั เป็นรำ่ งแห
15. ข้อใดเป็นพลำสตกิ ท่ใี ช้ผลติ ถงุ พลำสตกิ บรรจุอำหำรในท้องตลำด
ก. พอลิเอทลิ ีน
16. ข้อใดเปน็ พลำสตกิ ที่ใชท้ ำไฟเบอรก์ ลำส
ค. พอลเิ อสเทอร์หรอื อีพอกซี
17. ขอ้ ใดเป็นสมบตั ขิ องกำวท่ีใช้ในอุตสำหกรรมไม้อดั
ข. แขง็ ตวั เร็ว
18. ขอ้ ใดไม่ใช่สมบัติของเสน้ ใยสงั เครำะห์
ง. ระบำยควำมร้อนไดด้ ีเม่อื นำมำทำเสื้อผ้ำ
19. ขอ้ ใดไม่ใช่ยำงสงั เครำะห์
ก. ยำงกัตตำ
20. วธิ ใี ดเปน็ วธิ ีท่ีเหมำะท่สี ดุ ในกำรกำจัดของเสียประเภทพลำสตกิ ท่ีกำลงั เปน็ ปัญหำกอ่ ใหเ้ กิดมลพษิ ข้ึน
ข. กำรนำกลบั มำใช้ใหม่ (Recycle)
29
เฉลยแบบฝึ กหดั หน่วยท่ี 6
คาชแ้ี จง จงตอบคำถำมต่อไปนใี้ ห้ถูกต้อง
1. จงระบพุ อลเิ มอร์ประเภทโฮโมพอลเิ มอรแ์ ละโคพอลเิ มอร์มำอย่ำงละ 5 ชนดิ
โฮโมพอลิเมอร์ โคพอลิเมอร์
1) แปง้ 1) โปรตนี
2) ไกลโคเจน 2) เมลามีน
3) พอลิเอทลิ ีน 3) ยางเอสบอี าร์
4) พอลไิ วนลิ คลอไรด์ 4) ไนลอน-6,6
5) เซลลโู ลส 5) ฟีนอลฟอมาดไิ ฮด์พอลิเมอร์
2. จงระบุส่งิ ของภำยในบ้ำนท่ีทำจำกเทอรม์ อพลำสติกและพลำสตกิ เทอร์มอเซต
เทอร์มอพลาสติก พลาสตกิ เทอร์มอเชต
1) โตะ๊ 1) สวิตชไ์ ฟฟ้า
2) เกา้ อ้ี 2) จาน ชาม ถว้ ยกาแฟ
3) ท่อน้า 3) เคร่อื งผสมอาหาร
4) กระเปา๋ เดินทาง 4) หูหมอ้ หูกระทะ
5) ปกแฟ้มเอกสาร 5) ด้ามเครื่องมือชา่ ง
3. LDPE และ HDPE แตกต่ำงกนั อย่ำงไร จงอธบิ ำย
ตอบ LDPE คือ พอลิเอทิลีน ท่ีมีควำมหนำแน่นต่ำ มีโครงสร้ำแบบก่ิงเกิดจำกเอทิลีนเช่ือมต่อกันแบบ
มกี ่ิง ส่วน HDPE คือ พอลเิ อทิลีน ท่ีมีควำมหนำแน่นสูงท่ีโครงสร้ำงแบบเส้นเกดิ จำกเอทิลีนเชือ่ มต่อกันแบบไม่
มีก่งิ
4. พอลเิ มอรท์ ่ใี ช้ทำเส้นใยแตกต่ำงจำกพอลเิ มอร์ทว่ั ไปอย่ำงไร
ตอบ พอลิเมอร์ที่ใช้ทำเส้นใยต้องเป็นพอลิเมอร์ท่ีโลเลกุลมีขนำดยำวมำกกำรจัดเรียงตัวของโมเลกุล
คอ่ นข้ำงเปน็ ระเบยี บและเรียงตัวตำมแนวแกนของเส้นใย
5. จงระบชุ ื่อเสน้ ใยทเ่ี ปน็ เส้นใยธรรมชำตแิ ละเสน้ ใยสงั เครำะห์มำอย่ำงละ 3 ชนดิ
เส้นใยธรรมชาติ เส้นใยสงั เคราะห์
1) ขนแกะ 1) ไนลอน
2) ไหม 2) ดาครอน
3) ฝ้าย 3) เซลลโู ลสแอซเี ตต
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยท่ี 6
คาชี้แจง: 1. แบบทดสอบมจี ำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเคร่อื งหมำย บนตวั เลอื กทีถ่ กู ตอ้ งที่สุดเพยี งข้อเดียว
1. ข้อใดเป็นพอลิเมอรธ์ รรมชำติ
ค. พอลไิ อโซพรนี แป้ง ยำงพำรำ
2. ขอ้ ใดหมำยถงึ PVC
ง. พอลิไวนิลคลอไรด์
3. ขอ้ ใดเปน็ พอลเิ มอรท์ เ่ี กดิ จำกมอนอเมอร์ต่ำงชนิดกันมำกทีส่ ุด
ก. แป้ง
4. ข้อใดเปน็ เส้นใยสังเครำะห์
ก. ใยหิน
5. สำรชนิดใดจดั เปน็ พอลเิ มอร์แบบเติม
ง. พอลสิ ไตรนี
6. ข้อใดเป็นโครงสร้ำงพลำสติกทีม่ คี วำมแข็งแรงมำกทส่ี ุด
ข. แบบรำ่ งแห
7. ข้อใดเป็นโครงสรำ้ งของพลำสติกทีม่ สี มบตั ิกำรยืดหยุน่ ไดม้ ำกและโคง้ ตวั ดี
ง. แบบสำยยำว
8. พอลเิ มอร์ชนดิ ใดใช้ผลิตถุงพลำสตกิ ใสอ่ ำหำรรอ้ น
ค. พอลิโพรพลิ นี
9. สำรชนิดใดทใี่ ช้เปน็ ส่วนผสมทำใหย้ ำงมสี มบตั แิ ข็งและเหนียว
ค. กำมะถัน
10. ข้อใดเปน็ คณุ สมบัตขิ องพอลไิ วนลิ คลอไรด์
ข. ใช้ทำรองเท้ำ ท่อนำ้ ทอ่ ร้อยสำยไฟ
11. พลำสตกิ ชนิดใดมีสมบตั ไิ ม่สำมำรถละลำยในสำรไฮโดรคำร์บอนและน้ำ
ค. อพี อกซี
12. ข้อใดจดั เป็นพลำสตกิ เทอร์มอเซต
ค. เมลำมนี
13. ข้อใดเป็นกระบวนกำรท่ีทำใหย้ ำงในธรรมชำติมีควำมยืดหย่นุ สงู และอย่ตู ัวมำกขนึ้
ค. วัลคำไนเซชัน
31
14. เพรำะเหตใุ ดยำงวัลคำไนซ์มีควำมยดื หยนุ่ ได้ดีกว่ำยำงดบิ
ก. สำยของโมเลกุลเช่ือมตอ่ กนั เป็นร่ำงแห
15. ขอ้ ใดเป็นพลำสติกทใ่ี ชผ้ ลิตถงุ พลำสติกบรรจอุ ำหำรในท้องตลำด
ก. พอลเิ อทลิ ีน
16. ข้อใดเป็นพลำสติกท่ีใช้ทำไฟเบอรก์ ลำส
ข. พอลเิ อสเทอร์หรืออีพอกซี
17. ขอ้ ใดเป็นสมบัตขิ องกำวที่ใช้ในอตุ สำหกรรมไม้อดั
ค. แข็งตวั เรว็
18. ข้อใดไม่ใช่สมบัตขิ องเสน้ ใยสังเครำะห์
ง. ระบำยควำมร้อนได้ดีเมอื่ นำมำทำเสื้อผ้ำ
19. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ยำงสังเครำะห์
ก. ยำงกัตตำ
20. วิธใี ดเป็นวธิ ีทีเ่ หมำะทสี่ ุดในกำรกำจัดของเสียประเภทพลำสติกท่ีกำลังเป็นปญั หำก่อใหเ้ กิดมลพิษขึ้น
ค. กำรนำกลับมำใช้ใหม่ (Recycle)
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 7
เร่ือง ไฟฟา้ ในชีวติ ประจาวนั
คาชแ้ี จง: 1. แบบทดสอบมจี ำนวน 20 ขอ้
คาชแ้ี จง จงทำเครื่องหมำยกำกบำท () บนตัวเลอื กทถ่ี ูกตอ้ งทส่ี ุดเพียงขอ้ เดยี ว
1. แหลง่ กำเนิดไฟฟำ้ ท่ใี ช้ในบ้ำนเรือนมำจำกแหลง่ ใด
ก. ปฏิกริ ิยำโฟโตอเิ ล็กตรกิ ข. กำรเหนย่ี วนำระหว่ำงแมเ่ หลก็ กบั ขดลวด
ค. กำรเสยี ดสี ง. ปฏกิ ริ ิยำเคมี
2. แหลง่ กำเนดิ ไฟฟำ้ มีหลำยชนดิ ทงั้ ทีเ่ กดิ โดยธรรมชำติ และมนษุ ย์ค้นพบขึน้ ชนิดท่เี กดิ โดนธรรมชำติเกดิ ไ ด้
อย่ำงไร
ก. ฟ้ำแลบ ฟำ้ ผำ่ ข. ตวั ตำ้ นทำน
ค. กำรเสียดสี ง. ปฏกิ ริ ยิ ำทำงเคมี
3. สำยไฟแรงสงู ทำด้วยโลหะชนดิ ใด
ก. โลหะเงนิ ข. สงั กะสี
ค. อะลมู ิเนียม ง. ทองแดง
4. สำยไฟในบำ้ นทำดว้ ยโลหะชนิดใด
ก. โลหะเงนิ ข. สงั กะสี
ค. อะลมู เิ นียม ง. ทองแดง
5. กำรส่งจ่ำยกำลังไฟฟ้ำสำหรับที่อยู่อำศัยควำมต่ำงศักย์จะต้องลดลงเหลือเท่ำใดจึงจะเหมำะสมที่จะ
นำไปใช้
ก. 15,800 โวลต์ ข. 230,000 โวลต์
ค. 380 โวลต์ ง. 12,000 โวลต์
6. หลอดไฟฟำ้ จะใหส้ ว่ำงมำกหรือน้อยข้นึ อยกู่ ับอะไร
ก. กระแสไฟฟำ้ ข. ชนิดของไส้หลอด
ค. ชนิดของหลอด ง. กำลังไฟฟำ้
7. กำรใช้เครือ่ งใช้ไฟฟ้ำประเภทใหพ้ ลงั งำนกลข้อใดควรระมัดระวัง
ก. ตอ้ งใช้ไฟฟำ้ กระแสตรงผำ่ นเขำ้ ไปในขดลวดอำรเ์ มเจอร์
ข. ต้องใช้ไฟฟ้ำกระแสสลบั โดยใชห้ ลกั กำรดดู และผลกั ของแมเ่ หล็ก
ค. ห้ำมใชเ้ คร่ืองใชไ้ ฟฟ้ำประเภทนี้ในชว่ งไฟตก
ง. ใชเ้ ครอ่ื งใช้ไฟฟำ้ ประเภทนใ้ี นช่วงท่มี ีแรงดนั ไฟฟ้ำ 220 โวลต์
33
8. วงจรไฟฟำ้ ภำยในบำ้ นส่วนใหญจ่ ะต่อวงจรไฟฟำ้ แบบใด
ก. แบบผสม ข. แบบกระแสตรง
ค. แบบอนุกรม ง. แบบขนำน
9. สำยไฟฟำ้ ที่ใช้ภำยในบ้ำนนยิ มใช้ 2 ชนิดเรยี กว่ำสำยชนิดใด
ก. AVF และ IEC 04 ข. VAF และ IEC 01
ค. VAB และ IEC 03 ง. VAC และ IEC 02
10. กำรใช้เครือ่ งใช้ไฟฟำ้ ในชวี ติ ประจำวันทุกชนดิ ขอ้ ใดเป็นวิธกี ำรใชอ้ ยำ่ งประหยดั พลงั งำน
ก. เปลยี่ นสญั ญำณเสียงและข้อควำมเป็นสัญญำณไฟฟ้ำไปยังผู้รับ
ข. รับ–สง่ ข้อมูลในรูปคลืน่ แม่เหล็กไฟฟำ้ ไปยงั ผ้รู บั
ค. ถอดปลัก๊ ทุกคร้ังหลงั จำกเลิกสแกนข้อมลู ทัง้ เอกสำรและรปู ภำพส่งไปเป็นสัญญำณไฟฟำ้
ง. ฉำยแสงของขอ้ มูลแลว้ เปลี่ยนผงหมกึ ไปยังผ้รู บั
เฉลยแบบฝึ กหัดหน่วยที่ 7
คาชีแ้ จง จงตอบคำถำมตอ่ ไปนใี้ ห้ถกู ตอ้ ง
1. ไฟฟ้ำท่สี ง่ ออกจำกโรงผลติ ไฟฟำ้ จะถกู แปลงให้มีแรงดันไฟฟำ้ กี่โวลต์
230 โวลต์
2. กำรตอ่ วงจรไฟฟ้ำมีกี่แบบ อะไรบ้ำง
มี 3 แบบ 1.กำรต่อวงจรไฟฟ้ำแบบอนกุ รม 2.กำรตอ่ วงจรไฟฟ้ำแบบขนำน
3.กำรต่อวงจรไฟฟำ้ แบบผสม
3. เคร่อื งใช้ไฟฟำ้ ประเภทใหค้ วำมรอ้ นจะใชพ้ ลงั งำนไฟฟ้ำสงู มำกจงึ ต้องมีเคร่อื งควบคุมอุณหภูมิที่เรยี กว่ำ อะไร
เทอรโ์ มสตำร์ท หรือสวิตซ์
4. เคร่ืองใช้ไฟฟ้ำในชีวิตประจำวันแบ่งตำมประเภทกำรใช้งำนออกเป็น 5 ประเภทอะไรบ้ำงแต่ละประเภท
มเี ครือ่ งใชไ้ ฟฟำ้ ชนดิ ใดบ้ำง
1.ประเภทเครอื่ งใชไ้ ฟฟำ้ ใหค้ วำมบันเทิง
โทรทศั น์ (Television) ,เครอื่ งเลน่ แผน่ ซีดี
2.ประเภทเครอื่ งใช้ไฟฟ้ำในครัวเรอื น
ตู้เย็น (Refrigerator) ,หม้อหงุ ขำ้ วไฟฟ้ำ (Rice Cooker) ,เตำไมโครเวฟ (Microwave
Ovens) กระติกน้ำร้อนไฟฟำ้ (Air Pressure Automatic Electric Pots) ,เครอ่ื งปิ้งขนมปงั
เครอื่ งปน่ั และเครื่องบดอำหำร, กระทะไฟฟำ้
3.ประเภทเครอื่ งใช้ไฟฟำ้ ภำยในบ้ำน
เครอ่ื งดดู ฝ่นุ ,หลอดไฟฟำ้ ,เตำรีดไฟฟ้ำ ,เคร่อื งใช้ไฟฟ้ำ
4. ประเภทเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้ำห้องนำ้
เครอ่ื งทำนำ้ อนุ่ ไฟฟ้ำ (Water Heater)
5. ประเภทเครอ่ื งใช้ไฟฟำ้ ห้องนอน
เคร่อื งปรบั อำกำศ (Air Condition)
35
5. จงอธิบำยหลักกำรใช้ กำรประหยัดพลังงำน และกำรดูแลรักษำเครื่องใช้ไฟฟ้ำในชีวิตประจำวันประเภท
ตำ่ ง ๆ มำ 2 ประเภท
เครื่องปรับอากาศ (Air Condition) เป็นเคร่ืองทำควำมเย็นทป่ี รบั อุณหภมู ิ เครื่องปรบั อำกำศ
หลกั การใช้
1. ไม่ตง้ั ตเู้ ยน็ ไมร่ ดี ผ้ำ ไม่ต้มน้ำร้อนในห้องทมี่ ีเคร่อื งปรบั อำกำศ
2. ตั้งอุณหภูมิที่ระดับร่ำงกำยรู้สึกสบำยโดยไม่ต่ำกว่ำ 25 องศำเซลเซียส และทุกอุณหภูมิท่ี
เพิ่มขึ้น 1 องศำเซลเซียสจำก 25 องศำเซลเซียส จะช่วยประหยัดไฟได้ร้อยละ 10 แต่ไม่ควรเกิน 28 องศำ
เซลเซยี ส
3. ถ้ำไมอ่ ยใู่ นหอ้ งนำนเกิน 1 ชว่ั โมง ควรปดิ เครื่องปรับอำกำศ
4. ไม่ปลกู ตน้ ไมห้ รือตำกผำ้ ในห้องทีม่ ีกำรปรับอำกำศ
การดแู ลรกั ษา
ทำควำมสะอำดแผ่นกรองอำกำศสม่ำเสมออย่ำนำส่ิงของไปขวำงทำงลมเข้ำออกของชุดระบำย
ควำมร้อนท่ีอยู่นอกบ้ำนทำให้เครื่องระบำยควำมร้อนไม่ดีอย่ำติดตั้งชุดระบำยควำมร้อนใกล้ผนัง เพรำะเครื่อง
จะใช้ไฟมำกขน้ึ ร้อยละ 15-20 ควรต้งั หำ่ งอยำ่ งน้อย 15 เซนติเมตร
พัดลม (Electric Fans) เป็นอุปกรณ์หลักท่ีช่วยในกำรหมุนเวียนอำกำศและระบำยควำมร้อน
ภำยในบ้ำน ปัจจุบันพัดลมท่ีใช้ท่ัวไปมีหลำยลักษณะข้ึนอยู่กับกำรใช้งำน เช่น ตั้งโต๊ะ ตั้งพ้ืน ติดผนัง
แขวนเพดำน และสำ่ ยรอบตัว
หลักการใช้และประหยดั พลงั งาน
1. เลือกใช้ควำมแรงของลมให้เหมำะสมกับควำมต้องกำร ควำมแรงของลมยิ่งมำก
ย่งิ เปลืองไฟ
2. ปิดพัดลมทันทีเม่ือไม่ใช้งำน กรณีท่ีพัดลมมีระบบรีโมทคอนโทรล อย่ำเสียบปลั๊กทิ้งไว้เพรำะ
จะมีไฟฟำ้ หลอ่ เลย้ี งอุปกรณต์ ลอดเวลำ
3. ควรวำงพัดลมในที่มีอำกำศถ่ำยเทสะดวก เพรำะพัดลมใช้หลักกำรดูดอำกำศจำกบริเวณรอบ
ๆ ด้ำนหลังของตัวใบพัดแล้วปล่อยออกสู่ด้ำนหน้ำ เช่น ถ้ำอำกำศบริเวณรอบพัดลมมีกำรถ่ำยเทดี
ไมร่ อ้ นหรอื อับช้ืน จะทำให้มอเตอรร์ ะบำยควำมร้อนไดด้ เี ป็นกำรยดื อำยุกำรใช้งำน
กำรดแู ลรกั ษำ
ทำควำมสะอำดใบพัด ตะแกรงครอบ และแผงหุ้มมอเตอร์พัดลม อย่ำให้มีฝุ่นเกำะอย่ำให้ใบพัด
โคง้ งอผิดส่วน ควำมแรงจะลดลง ตั้งพดั ลมในท่ีทม่ี อี ำกำศถ่ำยเทสะดวก
กระทะไฟฟ้ำ กระทะไฟฟ้ำเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ำที่ใช้สำหรับปรุงอำหำรโดยกำรอำศัยควำมร้อนที่ได้จำกผิวของ
กระทะไฟฟ้ำ เม่ือมกี ระแสไฟฟ้ำไหลผำ่ นเข้ำไปที่ขดลวดควำมรอ้ นจะทำให้ลวดควำมร้อนน้ีร้อนขน้ึ เร่ือย ๆ และ
แพร่กระจ่ำยมำยังผิวของกระทะอยำ่ งรวดเรว็
หลักกำรใช้
1. ใช้ต๋นุ อำหำรแทนหมอ้ ต๋นุ ไฟฟำ้ เพรำะสำมำรถ ตั้งไฟอ่อน ๆได้
2. ใชอ้ ำหำรแทนเตำอบไฟฟ้ำได้ โดยต้ังไฟอ่อน ๆ และ ตง้ั เวลำได้
3. กอ่ นทำควำมสะอำดกระทะ ต้องถอดปลก๊ั ไฟออก ก่อนเสมอ
4. ไมค่ วรแชก่ ระทะไฟฟำ้ ลงในน้ำ
5. เช็ดปลั๊กเสยี บใหแ้ ห้งทกุ ครั้ง หลังจำกทำควำมสะอำดกระทะไฟฟ้ำเสรจ็
6. ควรล้ำงผิวกระทะให้สะอำดไม่ควรใช้ฝอยเหล็กขัดจำกนั้นเช็ดให้แห้งแล้วนำมำเสียบปลั๊กไฟ
ทิง้ ไว้ 2–3 นำที
7. ไม่ควรใส่น้ำเกิดขีดที่ระบุไว้ อำจทำให้น้ำเดือดล้นออกมำทำให้เกิด อันตรำยและทำ
ควำมสะอำดยำก
การดูแลรักษา
ก่อนทำควำมสะอำดกระทะไฟฟ้ำ ต้องถอดปล๊ักไฟออกก่อนเสมอไม่ควรแช่กระทะไฟฟ้ำลงในน้ำ
ใช้ฟองน้ำชุบน้ำสบู่ร้อน ๆ ในกำรเช็ดควำมสะอำดกระทะไฟฟำ้ ท้ังด้ำนในและด้ำนนอก ก่อนเชด็ ด้วยน้ำเปล่ำให้
สะอำดอีกคร้ังหนึ่งเช็ดปลั๊กเสียบให้แห้งทุกครั้ง หลังจำกทำควำมสะอำดกระทะไฟฟ้ำเสร็จ ควรล้ำงผิวของ
กระทะให้สะอำด แต่ไม่ควรใช้ฝอยเหล็กขัด หลังจำกเช็ดกระทะไฟฟ้ำให้แห้งแล้ว เรำควรนำมำเสียบปลั๊กทิ้งไว้
3 นำที เพ่ือไล่ควำมช้ืนออกจำกชิ้นส่วนไม่ควรใส่น้ำเกินขีดที่ระบุไว้ เพรำะอำจทำให้น้ำเดือดจนล้นออกมำได้
นอกจำกอันตรำยแลว้ ยงั ทำให้ทำควำมสะอำดยำกอีกดว้ ย
37
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 7
คาชี้แจง : 1. แบบทดสอบมจี ำนวน 10 ขอ้
2. จงทำเคร่ืองหมำย บนตวั เลอื กท่ีถูกต้องที่สดุ เพียงขอ้ เดยี ว
1. แหล่งกำเนดิ ไฟฟำ้ ทใ่ี ชใ้ นบำ้ นเรอื นมำจำกแหลง่ ใด
ก. กำรเสียดสี ข. ปฏกิ ิรยิ ำเคมี
ค. ปฏกิ ิริยำโฟโตอเิ ล็กตริก ง. กำรเหนยี่ วนำระหวำ่ งแมเ่ หลก็ กับขดลวด
2. แหล่งกำเนิดไฟฟ้ำมีหลำยชนิดท้ังที่เกิดโดยธรรมชำติ และมนุษย์ค้นพบข้ึน ชนิดท่ีเกิดโดยธรรมชำติ
เกิดได้อย่ำงไร
ก. กำรเสียดสี ข. ปฏกิ ิริยำทำงเคมี
ค. ฟำ้ แลบ ฟำ้ ผ่ำ ง. ตัวต้ำนทำน
3. สำยไฟแรงสงู ทำด้วยโลหะชนิดใด
ก. อะลมู ิเนยี ม ข. ทองแดง
ค. โลหะเงนิ ง. สังกะสี
4. สำยไฟในบ้ำนทำด้วยโลหะชนดิ ใด
ก. อะลูมิเนียม ข. ทองแดง
ค. โลหะเงิน ง. สังกะสี
5. กำรส่งจ่ำยกำลงั ไฟฟ้ำสำหรบั ที่อยอู่ ำศยั ควำมตำ่ งศกั ยจ์ ะต้องลดลงเหลอื เท่ำใดจึงจะเหมำะสมที่จะนำไปใช้
ก. 380 โวลต์ ข. 12,000 โวลต์
ค. 15,800 โวลต์ ง. 230,000 โวลต์
6. หลอดไฟฟ้ำจะใหส้ วำ่ งมำกหรอื น้อยขน้ึ อยกู่ บั อะไร
ก. ชนดิ ของหลอด ข. กำลงั ไฟฟำ้
ค. กระแสไฟฟ้ำ ง. ชนดิ ของไส้หลอด
7. กำรใช้เครอ่ื งใชไ้ ฟฟำ้ ประเภทใหพ้ ลงั งำนกลข้อใดควรระมัดระวัง
ก. ห้ำมใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้ำประเภทนใ้ี นช่วงไฟตก
ข. ใช้เคร่อื งใช้ไฟฟ้ำประเภทน้ใี นชว่ งทีม่ ีแรงดันไฟฟำ้ 220 โวลต์
ค. ต้องใชไ้ ฟฟำ้ กระแสตรงผ่ำนเขำ้ ไปในขดลวดอำรเ์ มเจอร์
ง. ตอ้ งใชไ้ ฟฟำ้ กระแสสลับโดยใช้หลักกำรดดู และผลกั ของแม่เหลก็
8. วงจรไฟฟ้ำภำยในบำ้ นส่วนใหญจ่ ะตอ่ วงจรไฟฟ้ำแบบใด
ก. แบบอนุกรม ข. แบบขนำน
ค. แบบผสม ง. แบบกระแสตรง
9. สำยไฟฟำ้ ทใ่ี ช้ภำยในบำ้ นนิยมใช้ 2 ชนดิ เรยี กวำ่ สำยชนิดใด
ก. VAB และ IEC 03 ข. VAC และ IEC 02
ค. AVF และ IEC 04 ง. VAF และ IEC 01
10. ข้อใดเป็นหลักกำรทำงำนของเครื่องโทรสำร
ก. ถอดปลั๊กทกุ ครั้งหลงั จำกเลกิ สแกนข้อมลู ทง้ั เอกสำรและรปู ภำพส่งไปเป็นสญั ญำณไฟฟำ้
ข. ฉำยแสงของขอ้ มลู แลว้ เปล่ยี นผงหมึกไปยงั ผู้รับ
ค. เปลีย่ นสัญญำณเสยี งและขอ้ ควำมเป็นสญั ญำณไฟฟ้ำไปยังผรู้ บั
ง. รับ–สง่ ข้อมูลในรูปคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำไปยังผรู้ บั
39
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยท่ี 8
เรอื่ ง คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
คาชแ้ี จง: 1. แบบทดสอบมีจำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเครอ่ื งหมำย บนตัวเลือกทีถ่ กู ตอ้ งท่ีสุดเพยี งขอ้ เดยี ว
1. ข้อใดเป็นหลักของกำรเกดิ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟำ้
ก. ประจุไฟฟำ้ เคล่อื นที่โดยมีอัตรำเร็วลดลง
2. ข้อใดเปน็ คล่ืนทีส่ ำมำรถเคลอื่ นทไ่ี ดโ้ ดยไมต่ ้องอำศยั ตัวกลำงในกำรเคล่อื นท่ี
ง. คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟำ้
3. ขอ้ ควำมใดกลำ่ วถกู ตอ้ งตำมทฤษฎีคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้ำ
ค. เม่อื สนำมไฟฟำ้ เปล่ยี นแปลงจะเหนยี่ วนำให้เกดิ สนำมแมเ่ หล็กโดยรอบ
4. ขอ้ ใดไมใ่ ช่สมบตั ิของคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟำ้
ข. ต้งั ฉำกกบั ทิศทำงสนำมไฟฟำ้ และทิศทำงกำรเคลื่อนทีข่ องแสง
5. ข้อใดเป็นสมบตั ิของคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำท่ีมีลกั ษณะเหมือนกนั
ง. มพี ลังงำนสง่ ผ่ำนไปพร้อมกบั คลนื่
6. ข้อใดเป็นช่วงของสเปกตรมั ของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟำ้ ที่เป็นอันตรำยตอ่ ร่ำงกำยมนุษย์
ง. 1018 – 1022 Hz
7. ขอ้ ใดเป็นคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้ำท่ใี ชใ้ นกำรตรวจหำตำแหน่งของวตั ถดุ ว้ ยเรดำร์
ข. ไมโครเวฟ
8. ข้อใดกล่ำวไมถ่ กู ต้อง
ง. สนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหลก็ ของคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้ำมีเฟสตำ่ งกัน 90 องศำ
9. ข้อใดเปน็ กำรส่งสัญญำณไปกบั คล่นื พำหะในกำรส่งคลน่ื วิทยุระบบเอฟเอ็ม
ข. ให้ควำมถี่ของคล่ืนพำหะเปลีย่ นแปลงตำมสัญญำณแตแ่ อมพลิจูดเท่ำเดมิ
10. เพรำะเหตุใดกำรส่งคลน่ื วิทยใุ นระบบเอเอม็ สำมำรถส่งไปได้ไกลกว่ำระบบเอฟเอม็
ง. ระบบเอเอ็มเป็นท้งั คล่ืนยำวและคลน่ื สน้ั
11. บ้ำนหลงั หนง่ึ ใชเ้ สำอำกำศยำว 1.25 เมตร จะรบั คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำควำมถไ่ี ด้ชดั เจนท่สี ดุ กี่เมกะเฮริ ตซ์
ง. 120 เมกะเฮิรตซ์
12. คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำในขอ้ ใดมคี วำมยำวคลนื่ มำกทีส่ ุด
ค. คล่นื วิทยุ
13. ข้อใดเปน็ เหตุผลทคี่ ล่นื ไมโครเวฟเป็นคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้ำท่ีอำจเปน็ อันตรำยต่อมนษุ ย์ได้
ก. มีควำมถ่สี งู ทีจ่ ะทำใหโ้ มเลกลุ ส่ันและเกิดควำมร้อนสูง
14. ข้อใดกล่ำวได้ถูกตอ้ งเก่ียวกบั รงั สีอนิ ฟรำเรด
ง. ดวงอำทติ ย์เปน็ แหลง่ กำเนดิ รังสอี นิ ฟรำเรด โลกจะไม่มีกำรสง่ รงั สอี ินฟรำเรดออกมำ
15. ข้อใดเป็นคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้ำทีม่ นุษย์ไมส่ ำมำรถใชป้ ระสำทสมั ผัสได้
ง. รังสอี ลั ตรำไวโอเลต
16. ขอ้ ใดเป็นรงั สที ม่ี อี ำนำจในกำรทะลทุ ะลวงมำกทส่ี ุด
ค. รงั สีแกมมำ
17. ขอ้ ใดเปน็ ประโยชน์ของรงั สอี ลั ตรำไวโอเลต
ก. ใช้ฆำ่ เช้ือโรค
18. ข้อใดเป็นสมบตั ิที่ใชใ้ นกำรตรวจสอบรังสีอลั ตรำไวโอเลตซง่ึ เปน็ รังสที ่มี องไมเ่ ห็น
ก. ทำใหส้ ำรเรอื งแสงเปล่งแสงได้
19. ขอ้ ใดเปน็ คลืน่ ท่ีใชส้ ื่อสำรเป็นระยะทำงไกล ๆ ข้ำมทวปี ไดโ้ ดยใช้ดำวเทยี มเปน็ ตวั รบั สญั ญำณ
ค. คลืน่ ไมโครเวฟ
20. ขอ้ ใดเป็นเคร่ืองใช้ไฟฟ้ำทีส่ ำมำรถเปล่งรังสอี ลั ตรำไวโอเลตออกมำสภู่ ำยนอกได้
ง. หลอดฟลอู อเรสเซนต์
41
เฉลยแบบฝึ กหดั หน่วยท่ี 8
เร่อื ง คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
คาช้แี จง จงทำเครื่องหมำย หนำ้ ขอ้ ที่เห็นวำ่ ถูกและเครอ่ื งหมำย หน้ำข้อทีเ่ หน็ วำ่ ผดิ
1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟำ้ คือคล่ืนทไี่ ม่ต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเคลอ่ื นที่
2. คลนื่ วทิ ยมุ ีควำมถี่ 104 -109 เฮิรตช์ (Hz)
3. คลื่นพำหะ คือ คลน่ื วทิ ยุทที่ ำนำพำคล่นื เสียงออกไปให้เสียงไปได้ไกล
4. คลน่ื วทิ ยกุ ระจำยเสียง คอื คลื่นพำหะผสมกับคลน่ื ควำมถ่ีของเสียง
5. ววิ ฒั นำกำรจำกเคร่ืองมือโทรเลขปจั จุบนั เรียกเครอ่ื งมอื นั้นว่ำโทรพมิ พ์
6. เครอ่ื งโทรพิมพท์ ี่สำมำรถติดต่อกันไดอ้ ตั โนมัตเิ รียกวำ่ Tetex
7. แสงอนิ ฟรำเรด อลั ตรำไวโอเลต เอกซเรย์ และรังสีแกมมำ ไม่ใช่คลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้ำ
8. กำรสง่ วิทยกุ ระจำยเสยี งระบบ AM คือกำรส่งคล่ืนวิทยุกระจำยเสียงผสมคลน่ื ทำงควำมถ่ี
9. กำรส่งวทิ ยกุ ระจำยเสยี งระบบ FM คอื กำรส่งคลนื่ วิทยุกระจำยเสียงผสมคลน่ื ทำงแอมพลจิ ูด
10. กำรส่งคล่นื โทรทศั นผ์ ่ำนสำยเคเบลิ สำมำรถสง่ คล่ืนโทรทัศนไ์ ปได้ไกล
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 8
เรอ่ื ง คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้
คาชี้แจง 1. แบบทดสอบมจี ำนวน 20 ข้อ
2. จงทำเครื่องหมำย บนตัวเลือกทถ่ี กู ตอ้ งท่สี ุดเพียงข้อเดียว
1. ข้อใดเปน็ หลกั ของกำรเกิดคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟำ้
ง. ประจุไฟฟำ้ เคลื่อนท่โี ดยมีอตั รำเรว็ ลดลง
2. ข้อใดเปน็ คลืน่ ท่ีสำมำรถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องอำศยั ตวั กลำงในกำรเคลอ่ื นท่ี
ง. คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้ำ
3. ข้อควำมใดกล่ำวถูกต้องตำมทฤษฎีคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟำ้
ข. เมือ่ สนำมไฟฟำ้ เปล่ยี นแปลงจะเหน่ยี วนำให้เกดิ สนำมแม่เหล็กโดยรอบ
4. ข้อใดไมใ่ ช่สมบตั ขิ องคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟำ้
ค. ตงั้ ฉำกกับทศิ ทำงสนำมไฟฟำ้ และทิศทำงกำรเคล่ือนทีข่ องแสง
5. ข้อใดเป็นสมบตั ิของคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำท่ีมลี กั ษณะเหมือนกัน
ก. มีพลังงำนส่งผ่ำนไปพรอ้ มกับคลืน่
6. ขอ้ ใดเปน็ ชว่ งของสเปกตรัมของคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟำ้ ท่ีเปน็ อนั ตรำยตอ่ ร่ำงกำยมนุษย์
ง. 1018–1022 Hz
7. ข้อใดเป็นคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำท่ใี ช้ในกำรตรวจหำตำแหน่งของวัตถดุ ้วยเรดำร์
ค. ไมโครเวฟ
8. ขอ้ ใดกลำ่ วไม่ถูกตอ้ ง
ก. สนำมไฟฟำ้ และสนำมแมเ่ หลก็ ของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้ำมีเฟสต่ำงกัน 90 องศำ
9. ข้อใดเปน็ กำรส่งสญั ญำณไปกับคล่นื พำหะในกำรสง่ คล่นื วิทยุระบบเอฟเอ็ม
ก. ให้ควำมถ่ขี องคลื่นพำหะเปลย่ี นแปลงตำมสญั ญำณแตแ่ อมพลจิ ดู เทำ่ เดิม
10. เพรำะเหตุใดกำรส่งคลนื่ วิทยใุ นระบบเอเอ็ม สำมำรถสง่ ไปได้ไกลกวำ่ ระบบเอฟเอ็ม
ง. ระบบเอเอม็ เปน็ ทงั้ คลื่นยำวและคลื่นสน้ั
11. บำ้ นหลังหนึ่งใชเ้ สำอำกำศยำว 1.25 เมตร จะรบั คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้ำควำมถี่ไดช้ ัดเจนทสี่ ุดกี่เมกะเฮริ ตซ์
ง. 120 เมกะเฮริ ตซ์
12. คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟำ้ ในขอ้ ใดมคี วำมยำวคลืน่ มำกทสี่ ดุ
ก. คลื่นวิทยุ
13. ขอ้ ใดเปน็ เหตผุ ลท่คี ล่นื ไมโครเวฟเป็นคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟำ้ ที่อำจเปน็ อันตรำยต่อมนษุ ย์ได้
ง. มีควำมถสี่ ูงที่จะทำให้โมเลกลุ ส่นั และเกิดควำมรอ้ นสูง
43
14. ข้อใดกลำ่ วไดถ้ ูกต้องเกีย่ วกับรังสอี นิ ฟรำเรด
ก. ดวงอำทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดรังสอี นิ ฟรำเรด โลกจะไม่มีกำรสง่ รังสอี นิ ฟรำเรดออกมำ
15. ข้อใดเปน็ คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้ำทมี่ นุษยไ์ มส่ ำมำรถใช้ประสำทสัมผสั ได้
ง. รงั สีอลั ตรำไวโอเลต
16. ข้อใดเป็นรงั สที ม่ี ีอำนำจในกำรทะลุทะลวงมำกทส่ี ุด
ข. รงั สแี กมมำ
17. ขอ้ ใดเปน็ ประโยชน์ของรังสอี ลั ตรำไวโอเลต
ก. ใช้ฆ่ำเช้ือโรค
18. ข้อใดเป็นสมบัตทิ ่ใี ชใ้ นกำรตรวจสอบรังสีอลั ตรำไวโอเลตซงึ่ เปน็ รงั สีท่ีมองไมเ่ หน็
ก. ทำใหส้ ำรเรอื งแสงเปล่งแสงได้
19. ข้อใดเป็นคลน่ื ท่ีใชส้ ่ือสำรเปน็ ระยะทำงไกล ๆ ขำ้ มทวปี ไดโ้ ดยใช้ดำวเทยี มเป็นตัวรบั สัญญำณ
ข. คล่นื ไมโครเวฟ
20. ข้อใดเปน็ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้ำท่ีสำมำรถเปลง่ รังสีอลั ตรำไวโอเลตออกมำส่ภู ำยนอกได้
ง. หลอดฟลอู อเรสเซนต์
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 9
เรือ่ ง พลังงานนิวเคลียร์ตอ่ การดารงชีวิต
คาชแ้ี จง 1. แบบทดสอบมจี ำนวน 20 ขอ้
2. จงทำเครื่องหมำย บนตัวเลอื กทถี่ กู ตอ้ งท่ีสุดเพียงขอ้ เดียว
1. ข้อใดกล่ำวได้ถกู ต้องตำมลกั ษณะของพลังงำนนิวเคลียร์
ก. พลงั งำนนวิ เคลียร์อำจอยใู่ นรปู พลงั งำนจลนห์ รือคลื่นแม่เหล็กไฟฟำ้ ก็ได้
2. ข้อใดเป็นปฏิกริ ยิ ำท่ีเกิดจำกพลงั งำนนวิ เคลียร์
ง. กำรเปลี่ยนแปลงบริเวณอเิ ล็กตรอนรอบดวงอำทิตย์
3. ข้อใดหมำยถงึ สำรกมั มันตรังสี
ง. สำรท่ใี ห้รังสอี อกมำจำกนวิ เคลยี สดว้ ยตนเองได้
4. ขอ้ ใดเปน็ เหตุผลที่เบคเคอเรลกล่ำวว่ำ รงั สีทอ่ี อกมำจำกสำรประกอบยเู รเนยี มไม่ใชร่ งั สเี อกซ์
ก. ไมต่ ้องใช้ไฟฟำ้
5. ขอ้ ใดเป็นประโยชน์จำกกำรใช้สำรกมั มันตภำพรังสี
ก. วดั ควำมหนำของวตั ถุ
6. ข้อใดเป็นตัวกระต้นุ ท่ีทำใหธ้ ำตุกมั มนั ตรังสสี ลำยตวั ไดม้ ำกหรือน้อย
ก. มวล
7. ขอ้ ใดหมำยถึงไอโซโทป
ค. กลุ่มนิวเคลยี สท่มี ีจำนวนโปรตอนเทำ่ กนั นิวตรอนไม่เทำ่ กนั สมบัติทำงเคมีเหมอื นกัน
8. ข้อใดเปน็ บคุ คลแรกท่ีคน้ พบสำรกมั มนั ตรังสี
ค. เบคเคอเรล
9. ข้อใดเป็นวิธีกำรกำจดั กำกกมั มนั ตรงั สีที่มคี วำมเขม้ สงู ท่ีดที ่ีสุด
ก. ใส่ในภำชนะโลหะหนำ ๆ ทีก่ ้นั รงั สีได้ และทำเครื่องหมำยไม่ให้คนเขำ้ ใกล้
10. ข้อใดเปน็ รงั สีจำกกำรปลดปลอ่ ยกมั มันตภำพรังสที ม่ี ลี ักษณะคล้ำยกับกำรปลดปล่อยรังสีจำกอะตอม ท่ีอยู่
ในสถำนะกระตุ้น
ค. รงั สแี กมมำ
11. ขอ้ ใดเป็นชนิดของกัมมนั ตภำพรงั สที ี่มสี มบตั ิคลำ้ ยรงั สีเอกซ์
ข. รงั สีแกมมำ
12. ขอ้ ใดเป็นกำรสลำยตัวของธำตุกมั มนั ตรงั สี ทำใหม้ วลของสำรลดลงเหลอื คร่ึงหน่ึง
ข. ครง่ึ ชวี ติ
45
13. ขอ้ ใดเป็นส่วนท่ีทำหน้ำที่เปน็ เคร่ืองถว่ งควำมเรว็ ของอนุภำคนวิ ตรอนในเครื่องปฏกิ รณป์ รมำณู
ค. มอเดอเรเตอร์
14. ข้อใดเปน็ ปฏกิ ิริยำเครอ่ื งปฏกิ รณ์นวิ เคลียร์ท่ีใชผ้ ลติ พลังงำนไฟฟ้ำ
ก. ลูกโซ่และฟชิ ชัน
15. ข้อใดเป็นหนำ้ ทขี่ องมอเดอเรเตอร์ในเคร่ืองปฏิกรณน์ ิวเคลยี ร์
ข. เป็นสำรที่ทำใหน้ วิ ตรอนพลังงำนสงู วิง่ ชำ้ ลง
16. ข้อใดเปน็ สมบตั ิของเตำปฏิกรณน์ วิ เคลยี รม์ อเดอเรเตอร์
ง. มีนำ้ หนักโมเลกลุ ใกลเ้ คียงกับนวิ ตรอน
17. ขอ้ ใดเป็นลักษณะกำรเกิดปฏิกริ ิยำลูกโซ่
ง. นิวตรอนท่เี กิดขน้ึ มีมำกกวำ่ จำนวนนวิ ตรอนที่ใชไ้ ป
18. ข้อใดเปน็ ปรมิ ำณรังสีทีป่ ระชำชนทั่วไปรบั ไดโ้ ดยไมเ่ ปน็ อนั ตรำย
ข. ไม่เกนิ 0.4 เรม/ปี
19. ข้อใดเปน็ สำเหตุตอ้ งนำพลังงำนนิวเคลียรม์ ำใชท้ ดแทนพลงั งำนจำกธรรมชำติอื่น ๆ
ก. ใหพ้ ลังงำนมหำศำล
20. ขอ้ ใดเปน็ ข้อเสียของกำรนำพลังงำนนวิ เคลียรม์ ำทดแทนพลังงำนธรรมชำติอ่ืน ๆ
ข. มีโอกำสที่กมั มันตรังสีจะกระจำยออกมำภำยนอกได้