วัดอรุณราชวราราม
WAT ARUNRATCHAWARARAM
Landmarks and monuments / Temple
“ภาษาคือกล้อง ส่องความคิด
ภาพน�้าจิตอาจเห็นให้เด่นใส
ถ้าพูดเขียนปูดเปื้อนเลอะเลือนไป
ก็น�้าใจหรือจะแจ่มแอร่มฤทธิ์
เงาพระปรางค์วัดอรุณอรุณส่อง
ย่อมผุดผ่องกว่าเงาแห่งเตาอิฐ
อันค�าพูดนั้นเล่า เงาความคิด
เปรียบเหมือนพิศพักตร์ชะโงกกระโหลกทึก”
อ้างอิง กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (นามปากกา น.ม.ส.) พระนามเดิมของพระองค์เจ้ารัชนี
ประวัติวัดอรุณราชวราราม
วดอรณราชวรารามเป็นพระอารามหลวงชนเอกชนดราชวรมหาวหารของถนนอรุณอมรนทร์ระหว่าง
ุ
ั
ั
ิ
้
ิ
ิ
คลองนครบาลหรือคลองวัดแจ้งกับพระราชวังเดิม ต�าบลวัดอรุณ อ�าเภอบางกอกใหญ่จังหวัดธนบุรี เป็นวัด
โบราณสร้าง มาแต่ครั้งสมัยอยุธยาเดิมเรียกว่า “วัดมะกอก” ภายหลังเปลี่ยนเป็นวัดมะกอกนอกแล้วเปลี่ยน
เป็นวัดแจ้งวัดอรุณราชธารามและวัดอรุณราชวราราม โดยล�าดับ ปัจจุบันเรียกว่า “วัดอรุณราชวราราม”
มูลเหตุที่เรียกวัดนี้แต่เดิมว่า “วัดมะกอก” นั้นตามทางสันนิษฐานว่าเรียกคล้อยตามต�าบลที่ตั้งวัด ซึ่งสมัย
นั้นมีชื่อว่า “บางมะกอก” ตามคติเรียกชื่อวัดของไทยสมัยโบราณ เพราะชื่อวัดที่แท้จริงมักจะไม่มี จึกเรียกชื่อ
วัดตามต�าบลที่ตั้ง เช่น วัดบางล�าพู วัดปากน�้า เป็นต้น
พระปรางค์
พระปรางค์ตั้งอยู่หน้าวัดทางทิศใต้หลังโบสถ์และวิหารน้อยเดิมสูง 16 เมตรเป็นปูชนียสถานที่สร้างขึ้น
พร้อมกับโบสถ์และวิหารน้อยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 ทรงมีพระราชศรัทธาเสริม
�
�
ั
สร้างให้สูงใหญ่เป็นพระมหาธาตุสาหรับพระนครแต่ทรงกระทาได้เพียงดเพียงขุดรากเตรียมไว้เท่าน้นยังค้างอยู่
เพราะสวรรคตเสียก่อนต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดเป็นการ
ื
�
ั
ใหญ่อีกคร้งเร่มแต่ทรงปฏิสังขรณ์และสร้างกุฏิเป็นตึกใหม่ท้งหมดและทรงมีพระราชดาริเพ่อสนองพระราช
ั
ิ
ประสงค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถได้เสด็จพระราชด�าเนินไปก่อพระฤกษ์พระปรางค์
พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามอันประกอบไปด้วยปรางค์ประธานห้ายอดล้อมรอบด้วยปรางบริเวณ
ทั้ง 4 มุมและมณฑปทั้ง 4 ทิศที่ฐานของปูชนียสถานเหล่านี้ล้วนละลานตาไปด้วย “พลแบก” ได้แก่ “ปรางค์
ประธาน” ประกอบด้วยฐาน “ยักษ์แบก” ฐาน “กระบี่แบก” และฐาน “เทวดาแบก” ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป
ถึง 3 ชั้น “ปรางค์มุมบริวาร” มีรูปยักษ์แบกและกระบี่แบกสลับกันที่ฐาน และ “มณฑปทิศ” มีรูปเทวดาแบก
หรือยักษ์แบกสลับกัยในแต่ละครั้ง พลแบกเหล่านี้เมื่อดูผิวเผินก็อาจจะดูไม่มีความส�าคัญอะไร มากไปกว่า
ั
ี
ื
ื
เคร่องประดับเชิงช้นของสถาปัตยกรรมไทยประเพณีท่เป็นส่อสัญลักษณ์ตามคติจักรวาลแต่ถ้สลองพินิจดูให้
ดีแล้วจะเห็นความแต่งต่างของ “เครื่องแต่งกาย” อันได้แก่ ศิราภรณ์ เกราะ ระหว่างพลแบกที่ปรางค์บริเวร
และมณฑปอย่างชัดเจน
พลแบกฐานปรางค์ประธาน อันประกอบด้วย ยักษ์แบก กระบี่แบก และเทวดาแบก ล้วนสวมศิราภรณ์
มียอดเป็น “ยักษ์ยอด” และ “ลิงยอด” แบบหัวโขนทศกัณฐ์และหัวโขนพาลีหรือสุครีพโดยรูปยักษ์แบกสวม
�
ี
ื
ี
เกราะเป็นสายคาดท่หน้าอกรัดเกราะเป็นแผ่นโค้งแนบลาตัวส่วนรูปเทวดาแบกสวมเกราะท่ดูเหมือนเส้อเสนา
ี
กุฎมีรูปหน้าขบคาบสายรัดเพราะท่หน้าอกและแขนรูปเหราขณะท่กระบ่แบกจะสวยสังวาลและทับทรวงไม่
ี
ี
สวมเกราะ
“สัตตภัณฑศีรี ทั้ง 7 นี้ตั้งเสมอรอบๆกันแต่เขาพระสุเมรุเป็นล�าดับกันออกมาบุคคลทัศนาการเห็นเหมือน
ดังบันไดย่อมเป็นนิวาสถานที่อยู่แห่งหมู่เทวดาแลคนธรรพ์ ยักษ์กุมภัณฑ์ สุบรรณ ครุธาราช ปักษี อันมีฤทธานุ
รูปยักษ์ยืน
หน้าประตูชัยยอดมงกุฏมี 2 ตัวมือทั้ง 2 ข้างกุมกระบองยืนอยู่บนแท่นสูงประมาณ 3
วายักษ์ที่ยืนด้านเหนือ (ตัวขาว) คือ สหัสเดชะ สวนด้านใต้ (ตัวเขียว) ค่ือ ทศกัณฐ์ ปั้นด้วยปูน
ื
�
ื
ึ
ประดับกระเบ้องเคลือบสีเป็นลวดลายรูปลักษณะและเคร่องแต่งตัวยักษ์คู่น้เป็นของทาข้น
ี
ใหม่งานศิลปะที่องค์พญายักษ์ทั้งสองสะท้อนถึง 9 เอกลักษณ์ของพญายักษ์ที่ไม่เหมือนใคร
และ ไม่มีใครเหมือน ศาสตร์และพระเวทย์ทั้ง 4 (ทศกัณฐ์) ยืนแบบเหลี่ยมยักษ์อย่างชัดเจน
คือ กางขาออก ย่อเข่า เป็นลักษณะที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและพลังอ�านาจ พละก�าลังมหา
ศาลความน่่าเกรงขามพญายักษ์มีรากเหง้าจากรามเกรียต์วรรณกรรมของฮินด ู
ิ
ด้านหน้ายักษ์ทั้ง 2 ตน มีสิงโตโบราณแกะสลักจากหิน ตั้งอยู่ด้านละ 3 ตัวตามประวัติการสร้างยักษ์
วัดอรุณแต่เดิมสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยทรงโปรดให้หลวงเทพ
กัน ช่างปั้นฝีมือดีเป็นผู้ปั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พุทธศักราช 2473 ในสมัยพระเดชพระคุณพระพิมล
ธรรมเป็นเจ้าอาวาส ได้เกิดฝนตกหนัก มีอสุนีบาตตกถูกยักษ์หน้าพระอุโบสถด้านทิศเหนือ คือ สหัสเดชะพังลง
ึ
มาจึงได้สร้างข้นใหม่เป็นยักษ์คู่ท่มีความสวยสง่างามด่งท่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
ี
ี
ั
สหัสเดชะ
สหสเดชะเป็นรากษสกายสีขาวเจ้าเมองปาง
ื
ั
ตาลมี 1000 หน้า 2000 มือ ร่างกายสูงใหญ่ดั่งเขา
อัศกรรม หน้ายักษ์สีขาวท�าเป็นหน้า 4 ชั้นหรือ 5
ชั้นชั้นแรกหน้าปกติ 1 หน้า หน้าเล็กๆ 3 หน้า เรียง
อยู่ตรงท้ายทอย ชั้นที่ 2 3 4 ท�าเป็นหน้าเล็ก 4 หน้า
ชั้นบนสุดท�าเป็น 2 แบบ แบบหน้ายักษ์ และแบบ
หน้าพรหม ปากแสยะตาโพล่ง สวมมงกุฎชัย
ทศกัณฐ์
ใบหน้าปกติมีสีเขียวแต่หากน่งเมืองจะใช้หน้า
ั
สีทอง มี 10 พักตร์ 20 กร ใบหน้ามี 3 ชั้น ชั้นแรก
เป็นหน้าปกติ 1 หน้าและมีหน้าเล็กๆ ตรงท้ายทอย
อีก 3 หน้าชั้นที่ 2 เป็นหน้าเล็กๆ 4 หน้าเรียง 4 ด้าน
ชั้นที่ 3 เป็นหน้าพรหมด้านหน้าและหน้ายักษ์ด้าน
หลังทุกหน้าจะมีลักษณะปากแสยะตาโพลง
ุ
ั
ี
สวมมงกฎยอดชยเป็นโอรสของท้าวลสเตยน
ั
้
ื
เคร่องแต่งกายประกอบด้วยกระเบองเคลอบเป็น
ื
ื
ดอกดวงต่างๆ สวยงาม
พระอุโบสถ
พระอุโบสถสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นอาคารยกสูงหลังคาลด 2 ชั้นมุงด้วยกระเบื้องขอบเป็นกระเบื้องสีเขียว
ใบไม้ ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ลงรักปิดทองประดับกระจกแผงหน้าและ
ด้านหลังเป็นไม้แกะลายลงรักปิดทองและประดับกระจกรูปเทวดายืนถือ
�
้
พระขรรค์อยู่ในปราสาทมีสังข์และคนโทนาวางอยู่ในพานข้างละพาน
ั
ื
ประดับลายกนกลงรักปิดทองพระอุโบสถมีมุขย่นท้งด้านหน้าและ
ด้านหลัง
พระพุทธนฤมิตร
เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาท
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าให้
ุ
ู
�
หล่อข้นจาลองจากพระพทธรปฉลองพระองค์ใน
ึ
รัชกาลที่ 2 ซึ่งประดิษฐานบนบุษบกยอดปรางค์หน้า
พระอุโบสถ
เสาพระอุโบสถ
เสาพระอุโบสถประดับลวดลายเคร่องเคลือบ
ื
เป็นลายดอกไม้ร่วงประดับเป็นระยะเว้นจังหวะ
ั
ได้สวยงามตลอดท้งเสาและลวดลายดอกไม้ร่วงน ี ้
ั
ั
้
ยงได้ถูกนามาประดับประดาตลอดทงผนงภายนอก
ั
�
พระอุโบสถอีกด้วย
พระอุโบสถไม่มีก�าแพงแก้ว แต่มีพระระเบียงแทนสร้างขึ้นในสมัย สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีทรวดทรงงดงามกว่าพระระเบียงที่อื่น ที่ผนังระเบียงมีลายเขียนเป็นซุ้ม
เรือนแก้วลายดอกไม้ ใบไม้ มีนกยูงแบบจีนอยู่ตรงกลาง ด้านในพระระเบียงโดยรอบมีตุ๊กตารูปทหาร
เริอท�าจากหินแกรนิตสีเขียวตั้งเรียงเป็นแถวจ�านวน 144 แถว
ตุ๊กตาอับเฉา
ตุ๊กตาหิน ศิลปะจีนที่เรียงรายอยู่บริเวณวัดอรุณราชวราราม ย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่ 3
�
มีการค้าขายกับประเทศจีนโดยการขนส่งสินค้าโดยเรือสาเภาเวลาเดินทางไปส่งสินค้าเข้า
�
้
ประเทศไทยเรือจะมีนาหนักมากแต่เวลาเดินทางกลับจากการส่งสินค้าจึงมิสามารถเดินทาง
ี
กลบโดยลาเรอเปล่าได้เนองจากเรือในสมัยโบราณใช้ไม้ท่มนาหนักเบาและเจอคล่นแรงจึง
ี
ื
้
�
ื
ื
�
ั
่
้
�
�
ทาให้เรือโครงเครงจึงเป็นสาเหตุของเรืออับปางจาเป็นจะต้องถ่วงนาหนักโดยตุ๊กตาหินไปไว้
�
ในใต้ท้องเรือเมื่อกลับถึงประเทศไทยจึงน�ามาถวายวัด เพื่อใช้ตกแต่งสถานที่ของวัด ณ ปัจจุบัน
พระระเบียงคด
พระระเบียงคดของพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามเป็นโบราณสถาน
�
ึ
ี
สาคัญของวัดอรุณราชวรารามอีกสถานท่หน่งกล่าวคือพระอุโบสถของวัดอรุณ
ราชวรารามนั้น ไม่มีก�าแพงแก้วเหมือนวัดอื่นๆแต่ได้สร้างเป็นพระระเบียงคดหรือ
พระวิหารคดขึ้นมาแทนก�าแพงแก้วรอบพระอุโบสถ ลักษณะเป็นระเบียงมีหลังคา
ี
ึ
ู
ี
ู
ี
ื
ุ
มงด้วยกระเบองเคลอบสเหลืองและสเขยวใบไม้มประตเข้าออกอย่ก่งกลาง
ี
ื
้
พระระเบียงทั้ง 4 ทิศ
“พระระเบียงมีอยู่ให้ดูได้สมบูรณ์
ทรวดทรงงามกว่าพระระเบียงที่ไหนหมด
เป็นศรีแห่งฝีมือในสมัยรัชกาลที่ 2 ควรชมอย่างยิ่ง”
พระบรมราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ 2
ซึ่งได้จัดสร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2539 ในสมัยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมสิริชัย (บุญเลิศ)
เป็นเจ้าอาวาสโดยการปรารถให้สร้างของราชสกุลในพระองค์ท่านเหตุเพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ั
ื
ิ
เลิศหล้านภาลัยทรงมีความผูกผันและศรัทธากับวัดอรุณราชวรารามเป็นอย่างย่งเม่อคร้งพระองค์ทรง
ด�ารงค์พระอริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอได้เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังเดิมแห่งนี้พระองค์ทรง
ั
ั
ิ
บูรณะปฏิสังขรณ์โบราณสถานของวัดอรุณราชวรารามท้งหมดท้งพระอารามโดยเฉพาะอย่างย่งกับทรงม ี
พระราชอุตสาหะปั้นหุ่นพระพักตร์พระประธานในพระอุโบสถด้วย และทรงโปรดให้หล่อขึ้นประดิษฐาน
เป็นพระประธานทรงพระนามว่า พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก และใต้ฐานพระประธานองค์นี้ยัง
เป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านอีกด้วย
สมุดภาพวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
ผู้จัดท�า นายรณฤทธิ์ กิจประสงค์
นายอรรณพ แสงคุ้มภัย
อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ประภาภรณ์ แสงสุวรรณ
ผู้สอนวิชาโครงงาน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งทิวา เสาร์สิงห์
ขอกราบขอบพระคุณคณาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์
ทุกท่าน ที่ท�าให้เกิดความรู้และความสามารถที่ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในครั้งนี้
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ Watarun1.com/th