The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรียบเรียงโดย สหัส ราชเมืองขวาง
สถานีวิจัยเพื่อการพัฒนาชายฝั่งอันดามัน
ฝ่ายสนับสนุนวิชาการ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

สัตว์น้ำในป่าชายเลนคลองกำพวน จังหวัดระนอง

เรียบเรียงโดย สหัส ราชเมืองขวาง
สถานีวิจัยเพื่อการพัฒนาชายฝั่งอันดามัน
ฝ่ายสนับสนุนวิชาการ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

45 ลักษณะ เปลือกแข็ง รูปทรงกลมรี ด้านข้างแผ่ขายออก ผิวเปลือก มีร่องตื ้นๆ ในแนวตั ้ง ส่วนบนของเปลือกบิดเป็ นวงตื ้น วงเปลือกวงสุดท้ายมี ขนาดใหญ่ ไม่มีแผ่นปิ ดเปลือก ช่องเปิ ดเปลือกแคบ ขอบช่องเปิ ดเปลือก หนา ผิวเรียบและมีสีขาว ริมขอบปากด้านในมีฟัน 2 ซี่ โดยฟันซี่บน (upper dent) ตั ้งอยู่ด้านล่างแนวกลางของช่องเปิ ดเปลือก เส้นผ่าศูนย์กลางของ ล าตัวยาวมากกว่าครึ่งหนึ่งของความยาวล าตัว เปลือกมีสีน ้าตาลอ่อนถึง น ้าตาลเข้ม นิเวศวิทยา หายใจได้โดยใช้ เส้ นเลือดบริเวณผนังแมนเติล สามารถอาศัยบนบกได้เป็ นเวลานาน อาศัยอยู่ตามพื ้นป่ าชายเลน หอยนน Ellobium aurismidae (Linnaeus, 1758) วงศ์ Ellobiidae Midas ear cassidula Gastropod upper dent เส้นประ = แนวกลางของช่องเปิ ดเปลือก H= 78.0 mm


46 ล าตัวแบนข้าง มีฝาเปลือกสองข้างประกบเข้าด้วยกันและสามารถ เปิ ดปิ ดได้ เปลือกทั ้งสองอาจมีขนาดเท่ากันหรือไม่เท่ากัน เปลือกส่วนที่สร้าง ก่อน เรียกว่า umbo หรือ beak ซึ่งมักจะอยู่ทางด้านบนของเปลือก ด้านบน ผิวเปลือกจะมีสัน (ridge หรือ rib) แสดงการเจริญเติบโต เมื่อเปิ ดเปลือกออก จะพบฟันที่ด้านบานพับของเปลือก เรียกว่า hinge teeth และมีเอ็นยึดที่ท า หน้าที่ยึดเปลือกทั ้งสองข้างเข้าด้วยกัน เรียกว่า ligament นอกจากนี ้จะพบ รอยกล้ ามเนื ้อยึดเปลือก (adductor muscle scar) และ รอยกล้ ามเนื ้อ ห่อหุ้มอวัยวะภายใน เรียกว่า pallial line (สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากร ทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่ าชายเลน, 2549) Class Bivalvia hinge teeth umbo or beak ridge or rib ligament pallial line adductor muscle scar height


47 การวัดความสูงของเปลือก (height : H) จะวัดจากเปลือกด้านใด ด้านหนึ่ง ซึ่งวัดจากส่วนที่นูนแหลมของเปลือกที่สร้ างก่อนลงมาถึงขอบ เปลือกด้านตรงกันข้าม (Carpenter and Niem, 1998a) หอยสองฝาจะมีเยื่อเหนียวท าหน้าที่ห่อหุ้มล าตัวและสร้ างเปลือก เรียกว่า เนื ้อเยื่อ mantle ส่วนหัวของหอยสองฝามักจะไม่พัฒนาและไม่มี หนวด ไม่มีตาที่ส่วนหัว ปากมีขนาดเล็ก มีเหงือกลักษณะเป็ นแผ่นใหญ่คล้าย ใบไม้ ใช้ส าหรับแลกเปลี่ยนแก๊สและกรองอาหารจากน ้าที่พัดผ่านทางท่อน ้า เข้ า (inhalant siphon) และทางน ้าออก (exhalent siphon) หอยสองฝา เคลื่อนที่โดยใช้เท้า (foot) ซึ่งเป็ นกล้ามเนื ้อที่แข็งแรง บางชนิดไม่เคลื่อนที่แต่ จะสร้ างเส้นใยส าหรับใช้ยึดเกาะอยู่กับวัสดุต่างๆ ที่อยู่ใต้น ้า เรียกว่า byssal threads และบางชนิดก็ซุ่มซ่อนตัวเพื่อล่าเหยื่อ ขณะที่บางกลุ่มสามารถเปิ ด ฝาปิ ดนี ้อ้าและหุบเป็ นจังหวะ เพื่อพ่นขับแรงดันน ้าจนเสมือนกับว่าว่ายน ้าได้ (บพิธและนัทพร, 2540; ธีระพงศ์และคณะ, 2550; ธรณ์และคณะ, 2551) ที่มา : http://www.vattenkikaren.gu.se/fakta/arter/mollusca/bivalvia/mytiedul/mytifile.html


48 หอยแครงขน Barbatia sp. วงศ์ Arcidae Barbatia ark clam ลักษณะ เปลือกหนา รูปทรงคล้ายสี่เหลี่ยมคางหมู เปลือกทั ้งสอง ข้างมีขนาดเท่ากัน มีฟันที่ด้านบานพับของเปลือกเป็ นซี่ละเอียดจ านวนมาก ส่วนยอดของเปลือกโป่ งพองออกเล็กน้อยมองเห็นเป็ นปุ่ มขนาดเล็ก สันบน เปลือกมีจ านวนมาก ลักษณะเป็ นเส้นแคบๆ โค้งลาดลงจากส่วนยอดของ เปลือกไปจนถึงขอบของฝาปิ ดเปิ ด สันบนเปลือกแต่ละด้านไม่มีปุ่ มปม ขอบ ล่างของเปลือกด้านในเรียบ เปลือกมีสีน ้าตาลแดงอมด าและมีขนสั ้นๆ สี น ้าตาลอ่อนขึ ้นปกคลุมอยู่ทั่วเปลือก นิเวศวิทยา พบฝังตัวอยู่ในในพื ้นดินที่เป็ นโคลนปนทรายบริเวณ ปากแม่น ้าและป่ าชายเลน เคลื่อนที่ตามผิวโคลนได้ Bivalvia H= 17.6 mm


49 หอยแครง Tegillarca granosa (Linnaeus, 1758) วงศ์ Arcidae Granular ark ลักษณะ เปลือกหนาและค่อนข้างกลม เปลือกทั ้งสองข้างมีขนาด เท่ากัน มีฟันที่ด้านบานพับของเปลือกเป็ นซี่ละเอียดจ านวนมาก ส่วนยอด ของเปลือกโป่ งพองออกชัดเจน ด้านนอกของเปลือกเป็ นสันโค้ง ด้านบนของ สันจะสูงแล้วลาดลงไปถึงขอบของฝาปิ ดเปิ ด สันบนเปลือกแต่ละด้านมีปุ่ ม ปมเรียงเป็ นแนวชัดเจนประมาณ 18 แถว ขอบล่างของเปลือกด้านในนูน เป็ นหยักเห็นได้ชัดเจน เปลือกมีสีน ้าตาลอมด า แต่ถ้าหอยอยู่ในบริเวณที่น ้า ตื ้นและแห้งฝาด้านบนจะมีสีขาว นิเวศวิทยา พบฝังตัวอยู่ในในพื ้นดินที่เป็ นโคลนปนทรายบริเวณ ปากแม่น ้าและป่ าชายเลน เคลื่อนที่ตามผิวโคลนได้ Bivalvia H= 32.4 mm


50 หอยแมลงภู่ Perna viridis (Linnaeus, 1758) วงศ์ Mytilidae Asian green mussel ลักษณะ เปลือกเป็ นรูปยาวรี ด้านหน้าเรียวยาวแหลม ด้านท้าย ป้ าน เปลือกทั ้งสองข้างมีขนาดเท่ากัน เปลือกหอยด้านในมีสีขาวขุ่นมันวาว เปลือกด้านนอกมีสีเขียวอมน ้าตาลและมีวงเป็ นชั ้นซึ่งไม่ค่อยชัดเจนอยู่บน เปลือกแสดงถึงการเจริญเติบโตของหอยในแต่ละปีหอยชนิดนี ้มีการสร้ าง เส้นใยส าหรับยึดติดกับวัตถุแข็งเรียกว่า byssal thread โดยมีต่อมสร้ างเส้น ใยดังกล่าวอยู่บริเวณฐานของเท้า นิเวศวิทยา อาศัยในบริเวณชายฝั่งและบริเวณปากแม่น ้า กรอง กินอาหารจากมวลน ้าทะเล ส่วนใหญ่เป็ นแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ขนาดเล็ก โปรโตซัว และอินทรียวัตถุที่แขวนลอยอยู่ในน ้าทะเล Bivalvia byssal threads H= 97.0 mm


51 หอยนางรม Unidentified วงศ์ Ostreidae Oyster วงศ์ Mytilidae Asian green mussel Blood cockle ลักษณะ ฝาทั ้งสองข้างเป็ นเปลือกหนาแข็ง มีขนาดไม่เท่ากัน ไม่มี ฟันที่ด้านบานพับของเปลือก รอยกล้ามเนื ้อยึดเปลือกซึ่งมีเพียงมัดเดียว เป็ นรูปไตหรือรูปถั่ว มีสีขาวขุ่น รอยดังกล่าวอยู่ใกล้กับจุดกึ่งกลางของ เปลือกด้ านใน เปลือกของหอยนางรมจะมีรู ปร่ างเปลี่ยนไปตาม สภาพแวดล้อม บางชนิดเปลือกมีสีน ้าตาลหรือสีเทา เปลือกมีส่วนประกอบ ของหินปูนร้อยละ 95 นิเวศวิทยา ยึดติดอาศัยเป็ นกลุ่มเกาะกับพื ้นแข็ง เช่น ก้อนหิน รากไม้ในป่ าชายเลน เป็ นต้น กินแพลงก์ตอน ไดอะตอม และสารอินทรีย์ที่ ล่องลอยอยู่ในน ้าเป็ นอาหาร Bivalvia


52 หอยหลอด Pharella acutidens (Broderip & Sowerby, 1828) วงศ์ Solenidae Sharp razor clam วงศ์ Ostreidae Oysters วงศ์ Mytilidae Asian green mussel Blood cockle ลักษณะ เปลือกบางมาก รูปทรงคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้ายื่นยาว ขอบ หน้าและขอบท้ายของเปลือกโค้งออก ความยาวของเปลือกประมาณ 5 เท่า ของความสูง ส่วนยอดของเปลือกไม่โป่ งออกและตั ้งอยู่หลังต าแหน่ง1/3 ของความยาวเปลือก บนเปลือกมีเส้นแสดงการเจริญเติบโตเห็นได้ชัดเจน ซี่ ฟันที่ด้านบานพับของเปลือกด้านซ้ายมี 2 ซี่ ด้านขวามี 3 ซี่ ด้านนอกของ เปลือกมีสีน ้าตาลอ่อนจนถึงสีเขียวเข้ม ด้านในของเปลือกมีขาวครีมจนถึงสี ขาวอมฟ้ า นิเวศวิทยา พบฝังตัวอยู่ในโคลน หรือโคลนปนทรายตามป่ าชาย เลน ยังไม่พบว่ามีรายงานถึงหอยชนิดนี ้ในชายฝั่งทะเลอันดามันของไทย Bivalvia H= 11.7 mm


53 หอยกัน Polymesoda erosa (Solander, 1786) วงศ์ Corbiculidae Common geloina วงศ์ Ostreidae Oysters วงศ์ Mytilidae Asian green mussel Blood cockle ลักษณะ เปลือกหนา รูปทรงเกือบเป็ นทรงสามเหลี่ยมจนถึง ค่อนข้างกลม เปลือกส่วนที่สร้ างก่อนจะโค้งออกไปทางด้านหน้าชัดเจน ผิว เปลือกด้านนอกไม่เรียบ มีเส้นการเจริญเติบโตเห็นได้ชัดเจน เอ็นยึดเปลือก มีสีน ้าตาลเข้ม ขนาดสั ้นและหนา เปลือกมีสีน ้าตาลปนด าหรือสีเขียวปนด า เปลือกด้านในตอนบน มีสีขาว ขอบด้านล่างมีขาวจนถึงสีม่วงและมันวาว นิเวศวิทยา มักพบฝังตัวตื ้นๆ ในพื ้นทะเลที่เป็ นโคลนหรือตามเศษ ใบไม้เน่าเปื่ อยบริเวณริมคลองในป่ าชายเลน ชาวบ้านในต าบลก าพวนนิยม เก็บหอยชนิดนี ้เพื่อน ามาบริโภคในครัวเรือน บางส่วนน าไปขายเพื่อเป็ น รายได้เสริมให้กับครอบครัว Bivalvia H= 43.4 mm


54 หอยตลับ Meretrix sp. วงศ์ Veneridae Asiatic hard clam ลักษณะ เปลือกหนาและนูนออก เปลือกมีรู ปทรงคล้ าย สามเหลี่ยมขอบมนกลม บานพับหนา ด้านข้างของบานพับมีร่องเป็ นแนว ยาวที่พัฒนาดีรอยกล้ามเนื ้อห่อหุ้มอวัยวะภายในแผ่ขยายกว้างไปตามแนว ของเปลือก ผิวเปลือกด้านในเรียบ ผิวเปลือกด้านนอกเรียบและเป็ นมันเป็ น เงา มีสีและลวดลายต่างๆ กัน ตั ้งแต่สีขาวเรียบ สีครีม ลายสีน ้าตาลอ่อน ไป จนถึงสีน ้าตาลเข้ม นิเวศวิทยา ฝังตัวอาศัยตามชายฝั่งทะเลที่เป็ นทรายละเอียดปน โคลนในเขตน ้าขึ ้น-ลง ชาวบ้านในต าบลก าพวนนิยมเก็บหอยชนิดนี ้มา บริโภคในครัวเรือน เปลือกหอยสามารถน ามาท าเครื่องประดับในบ้านได้ Bivalvia H= 38.0 mm


55 หอยทราย Paphia gallus (Gmelin, 1791) วงศ์ Veneridae Rooster venus ลักษณะ เปลือกแข็ง มีขนาดเท่ากันทั ้งสองข้าง ขอบเปลือกด้านใน เรียบ สันบนเปลือกพัฒนาดีและมองเห็นได้ชัดเจน โดยเรียงตัวเป็ นเส้นสัน โค้งขนานไปตามแนวยาวของขอบเปลือก ส่วนยอดของเปลือกไม่โป่ งออก เปลือกบิดค่อนไปทางซ้ายตามแนวของสันบนเปลือก เปลือกด้านในมีสีขาว ครีม เปลือกนอกมีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีน ้าตาล นิเวศวิทยา พบฝังตัวอยู่ตามหาดทราย และอาจพบได้บริเวณที่ เป็ นทรายปนโคลนในป่ าชายเลน Bivalvia H= 34.4 mm


56 ไชเนื ้อไม้เพื่อฝังตัวอยู่ภายใน เรียกว่า pallet เพรียงจะอาศัยอยู่ในเนื ้อไม้ โดยมีรังซึ่งมีลักษณะเป็ นแผ่นหินปูนบางๆ รูปทรงกลมยาวเคลือบล าตัวอยู่ พบแพร่แพร่กระจายอยู่ในเขตน ้ากร่อยและน ้าเค็ม พบมากในไม้โกงกาง และ ไม้ตะบูน ซึ่งอยู่บริเวณป่ าชายเลน เพรียงเจาะไม้มักจะท าความเสียหาย ให้กับไม้ที่ใช้ท าเสา แพ และ โป๊ ะ(Carpenter and Niem,1998a) ปัจจุบันมี การน าเพรียงเจาะไม้มาขายในตลาดก าพวนเพื่อน าไปท าเป็ นอาหาร เป็ นสัตว์ประเภทหอย สองฝา (Bivalvia) ที่เจาะ ไชไม้เพื่ออาศัยอยู่ในเนื ้อ ไม้ มีลักษณะล าตัวยาว คล้ายไส้เดือน สีค่อนข้าง ขาวขุ่น มีแคลเซียมบุอยู่ที่ ผ นัง ภ า ย ใ น ล า ตัว เ พื่ อ ป้ องกันล าตัวที่มีผิวบาง และฉีกขาดง่าย ส่วนหัวจะ มีท่อน ้าเข้าและท่อน ้าออก (siphon)และมีอวัยวะแข็ง กลมคล้ายเปลือกหอย ซึ่ง อวัยวะนี ้ ใช้ ส าหรับเจาะ เพรียงจะอาศัยอยู่ในเนื ้อ ไม้ โดยมีรัง วงศ์ Teredinidae รังของเพรียงเจาะไม้ pallet siphon Unidentified sp. 2 cm


57 แมงดาทะเลเป็ นสัตว์ที่โบราณมากกลุ่มหนึ่ง เริ่มมีในโลกตั ้งแต่ยุค ออร์โดวิเชียน (Ordovician) และสูญพันธ์ไปเกือบหมด เหลือเพียง 3 สกุล 4 ชนิดเท่านั ้น คือ Limulus polyphemus, Tachypleus gigas, Tachypleus tridentatusและ Carcinoscorpius rotundicaudaซากดึกด าบรรพ์ของพวก ที่สูญพันธ์ไปแล้วมีรูปร่างเหมือนกับแมงดาทะเลในปัจจุบัน แสดงว่ามีการ เปลี่ยนแปลงน้อยมากหรือไม่มีวิวัฒนาการเลย จึงจัดเป็ น living fossil ชนิด หนึ่ง แมงดาทะเลสามารถพบได้ในทะเลและน ้ากร่อยเท่านั ้น (บพิธและนันท พร, 2540) ที่มา : http://www.dysfunctionalkid.deviantart.com/art/Fossilized-Horseshoe-Crab-215237104


58 ลักษณะทั่วไป แมงดาทะเลมีส่วนหัวและอกเชื่อมต่อกันเป็ นรูปตัวยู (U) คล้ายเกือกม้า ในภาษาอังกฤษจึงเรียกว่า Horseshoe crab ล าตัว ด้านบนห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็ง (carapace) ส่วนด้านบนนูนเป็ นหลังเต่า มี ตารวม (compound eye) 1 คู่ และมีตาตรงกลาง (median eye) 1 คู่ ด้านล่างล าตัวมีปากและมีขา 6 คู่ ส่วนท้อง (abdomen) มีขนาดเล็ก กว่าส่วนหัวและอก ริมสองข้างของส่วนท้องมีหนามแหลมเรียงอยู่เป็ น แถว ข้างล่างท้องมีแผ่นเหงือกเรียงซ้อนๆ กันใช้ในการหายใจและว่าย น ้า และมีหางแหลม (telson) เรียวเล็กยื่นไปด้านหลัง เพื่อใช้ในการจิ ้มกับ พื ้นทรายเพื่อกลับตัวเวลาตีลังกา (คณะประมง, มปป) median eye compound eye carapace abdomen telson วงศ์Limulidae 4cm


59 ส าหรับแมงดาที่พบในป่ าชายเลนคลองก าพวน คือ แมงดาจาน (Tachypleus gigas)ซึ่งเป็ นแมงดาขนาดใหญ่ มีลักษณะเด่นคือ หางเป็ นสัน แหลม มีรูปหน้าตัดของหางเป็ นรูปสามเหลี่ยม จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แมงดาหางเหลี่ยม ซึ่งมี carapace ค่อนข้ างเรี ยบและมีขนแข็งอยู่บน carapace น้อยมาก แมงดาทะเล กินหอย ไส้เดือน สัตว์ขนาดเล็กอื่นๆ และสาหร่ายเป็ น อาหาร ช่วงเวลาผสมพันธุ์แมงดาตัวผู้จะเกาะหลังตัวเมียอย่างแน่นเพื่อรอ การตกไข่ แมงดาทะเลจะผสมพันธุ์และขุดหลุมเพื่อวางไข่บนทรายหาด และ นิยมจะผสมพันธุ์กันเป็ นกลุ่มใหญ่ ซึ่งจะผสมพันธุ์ในวันที่พระจันทร์เต็มดวง ในบริเวณน ้าตื ้นๆ บริเวณน ้าขึ ้นน ้าลง โดยตัวผู้จะเกาะอยู่บนหลังตัวเมียเผื่อ รอปล่อยสเปิ ร์มใส่ไข่ที่ตัวเมียปล่อยลงในทราย ตัวอ่อนที่ผสมแล้วจะลอก คราบหลายครั ้งก่อนจะกลายเป็ นตัวเติมวัย ส าหรับแมงดาบางชนิด เช่น แมงดาถ้ วย (Carcinoscorpius rotundicauda) อาจมีพิษในบางฤดูกาล เนื่องจากมันกินอาหารที่เป็ นพิษเข้าไป หากคนจับมากินอาจถึงตายได้(จักร กริชและคณะ, 2550) เลือดของแมงดาทะเล มีทองแดงผสมอยู่เป็ นจ านวนมาก มีรงควัตถุ พวก hemocyanin และมีamebocyte ซึ่งท าหน้าที่ให้เลือดตกตะกอน เลือด ของแมงดาทะเล สามารถน าไปสกัดเป็ นสารที่เรียกว่า Limulusamoebocyte lysate (LAL) ได้สารดังกล่าวสกัดได้มาจากเลือดของแมงดาชนิด Limulus polyphemus และ Tachypleus tridentatus สาร LALนี ้มีคุณสมบัติช่วยใน การตรวจวินิจฉัยโรคจากการติดเชื ้อราบางชนิดได้ เช่น เชื ้อรา Aspergillus spp. เป็ นต้น (กัญญา, 2554)


60 ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ท าให้สามารถอาศัยอยู่บนบกได้เป็ นเวลานาน ตรงกลาง ตัวมีแผ่นหินปูน 2 แผ่นประกบกัน โดยแผ่นทั ้งสองนี ้สามารถเคลื่อนไหวได้ เพื่อปิ ดเปิ ดให้รยางค์ของอกออกมาโบกจับอาหาร เพรียงหินส่วนใหญ่อาศัย อยู่ริมชายฝั่งทะเลและยังพบได้ในป่ าชายเลน (Paterson et al., 2004) ตัว อ่อนของเพรียงหินที่มีอยู่ปริมาณมาก ท าให้เกิดปัญหาต่อการเพาะเลี ้ยงหอย นางรมและหอยแมลงภู่ โดยกองหินที่ชาวประมงใช้ล่อลูกหอยนางรมหรือ หลักไม้ล่อลูกหอยแมลงภู่ให้มาเกาะ ถูกตัวอ่อนของเพรียงหินลงเกาะแย่ง พื ้นที่เสียก่อน เพรียงหินที่ลงเกาะกับตัวอ่อนของพันธุ์ไม้โกงกางบริเวณป่ า ชายเลนมีผลท าให้ต้นอ่อนล้ม ไม่สามารถเจริญขึ ้นเป็ นต้นใหญ่ได้ นอกจากนี ้ เพรียงหินยังเกาะตามท้องเรือประมงหรือเรือเดินทะเลท าให้เรือแล่นไปได้ช้า วงศ์Balanidae รูปร่างคล้ายกรวย ตัดเล็กๆ ร่างกายไม่ แบ่งเป็ นปล้องชัดเจน ตัวเพรี ยงหินมีการ สร้ างเปลือกเป็ นแผ่น หินปูน (calcareous plate) อ อก ม าช่ ว ย ยึดติดอยู่กับที่และ Balanus sp. 5 mm


61 ล าตัวเรียวยาวและแบนข้าง แนวสันหลังโค้งงอและมีเปลือกซึ่งเป็ น สารประกอบจ าพวก chitin ห่อหุ้มตัว ร่างกายแบ่งออกเป็ นส่วนหัว(และอก) ซึ่งประกอบไปด้วยเปลือกคลุมหัว เรียกว่า carapace ส่วนล าตัว และส่วน หาง กรีแบบฟันเลื่อย (rostrum) ยื่นแหลมออกมาทางด้านหน้าของส่วนหัว มีตา (eye)ซึ่งเป็ นตารวม ก้านตาโยกคลอนได้ มีหนวด 2 คู่ หนวดคู่แรกเป็ น หนวดคู่สั ้น (antennule) และคู่ที่สองเป็ นหนวดคู่ยาว (antenna) หนวดทั ้ง สองคู่ท าหน้าที่รับความรู้ สึก มีรยางค์ท าหน้าที่เกี่ยวกับการกินอาหารอยู่ บริเวณหัวจ านวน 6 คู่ ล าตัวเป็ นข้อปล้องอยู่ถัดไปจากหัว มีขาเดิน (walking leg หรือ pereiopod) จ านวน 5 คู่ โดยขาเดิน 3 คู่แรก มักจะพัฒนาไปเป็ น ก้ามหนีบ (Chela) Order Decapoda rostrum antennule eye antenna chela carapace swimming leg or pleopod walking leg or pereiopod telson uropod carapace length


62 ก้ามหนีบ (chela) ใต้ท้องมีขาว่ายน ้า (swimming leg หรือ pleopod) อยู่ 5 คู่ นอกจากจะท าหน้าที่ในการว่ายน ้าแล้ว กุ้งตัวเมียยังใช้ท าหน้าที่ยึดเกาะไข่ ที่ได้รับการผสมจากน ้าเชื ้อตัวผู้ และเป็ นที่ฟักไข่อีกด้วย ปล้องสุดท้ายเป็ น ส่วนของหางท าหน้าที่คล้ายหางเสือเรือ ประกอบด้วยแผ่นแบนอยู่ 2 ข้าง (uropod) ปลายหางแหลมและแข็ง เรียกว่า telson (คณะประมง, มปป) การวัดขนาดตัวอย่างกุ้ง จะวัดความยาวเปลือกคลุมหัว (carapace length : CL) ซึ่งเป็ นการวัดความยาวตั ้งแต่ร่องโคนก้านตา จนถึงขอบท้าย ทางด้านบนของเปลือกคลุมหัว (Carpenterand Niem, 1998b) กุ้งมีเพศแยกเป็ นตัวผู้และตัวเมีย เมื่อตัวเมียลอกคราบและเจริญ เต็มวัยแล้ว และหลังลอกคราบใหม่ ๆ ตัวผู้จะเข้าผสมพันธุ์โดยฝากน ้าเชื ้อไว้ กับตัวเมีย เมื่อไข่เจริญเต็มที่แล้วจะไหลผ่านออกจากรังไข่มาผสมกับน ้าเชื ้อ ตัวผู้ที่ฝากไว้ ไข่จะฟักออกเป็ นแพลงก์ตอน (ตัวอ่อนระยะแรก) ว่ายน ้าอิสระ และลอกคราบอีกหลายครั ้งจนเปลี่ยนเป็ นกุ้งขนาดเล็กและจมลงสู่พื ้นทะเล เติบโตเป็ นตัวเติมวัยต่อไป ที่มา : Carpenter and Niem (1998b)


63 ลักษณะ ล าตัวเรียวยาว เปลือกคลุมหัวค่อนข้างเรียบ นัยน์ตาโต กรีมีสีด า ปลายเรียวแหลมและยาวถึงระดับเดียวกับฐานหนวดคู่สั ้น ขอบกรี ด้านบนมีฟัน 6-9 ซี่ ด้านล่ามี 3-5 ซี่ กรีมักยกตัวขึ ้นเป็ นสันสามเหลี่ยม (เด่นชัดในตัวเต็มวัยเพศเมีย) สีล าตัวกึ่งโปร่งแสงหรือมีสีขาวอมเหลืองอ่อน และมีจุดสีด ากระจายทั่วตัว หนวดคู่ยาวมีสีน ้าตาลแดง ปลายขาว่ายน ้ามีสี แดงเรื่อๆ แพนหางใหญ่ มีสีเขียวเหลืองและมีขอบสีแดง นิเวศวิทยา กุ้งแชบ๊วยระยะวัยรุ่นจะอาศัยอยู่ในพื ้นที่ป่ าชายเลน เพื่อเลี ้ยงตัวอ่อนก่อนที่จะอพยพออกสู่ทะเลเพื่อการแพร่ขยายพันธุ์ ก ุ้งแชบ๊วย Fenneropenaeus merguiensis (De Man, 1888) วงศ์ Penaeidae Banana prawn ว Banana prawn Shrimp CL= 18.7 mm


64 ลักษณะ ล าตัวเรียวยาว ใส ส่วนหัวมีขนาดใหญ่เรียวเล็กลงไปถึง หาง เปลือกคลุมหัวเรียบ ผิวเปลือกเรียบ กรีสั ้นยื่นพ้นขอบตามาเล็กน้อย หรืออยู่บริเวณโคนหนวด ไม่มีฟันบนกรีนัยน์ตาเล็กและมีหนวดยาว ขาเดิน มี 5 คู่ขาเดินคู่แรกมีลักษณะเป็ นก้ามหนีบขนาดไม่เท่ากัน โดยข้างหนึ่งจะ ใหญ่กว่าอีกข้างหนึ่ง สีของล าตัวทั่วไปเป็ นสีน ้าตาลอมเขียว ก้ามอันใหญ่มี สีเขียวอมฟ้ า นิเวศวิทยา กุ้งดีดขันจะใช้ก้ามหนีบขบกันท าให้เกิดเสียงดังเพื่อ ท าให้ศัตรูตกใจ ชอบหลบซ่อนอยู่ตามซอกวัสดุต่างๆ ริมฝั่งทั ้งในน ้าเค็มและ น ้ากร่อย ก ุ้งดีดขัน Alpheus sp. วงศ์ Alpheidae Snapping shrimp Shrimp CL= 15.0 mm


65 มีรูปร่างคล้ายกุ้งผสมกับปู กรีเรียบไม่มีฟัน ตามีขนาดเล็ก เปลือก คลุมหัว (carapace) เป็ นทรงกระบอก มีปุ่ มและหนามแหลมกระจายอยู่ ทั่วไปทั ้ง 2 ข้าง ความยาวกระดองน้อยกว่า 1 ใน 3 ของความยาว ล าตัวล าตัว มีสีแดงเข้มอมน ้าตาล มีขาเดิน (pereiopod) มี 5 คู่ ขาเดินคู่แรกมีขนาดใหญ่ คล้ายก้ามปูเรียกว่า cheliped ส่วนท้อง (abdomen) มีขนาดเล็ก ยาวเรียว และแบ่งออกเป็ นปล้องชัดเจน จ านวน 7 ปล้อง มีทวารหนักอยู่ปลายสุด ปลายหางแหลม (telson) ไม่มีแพนหาง (คณะประมง, มปป; Paterson et al., 2004) F 1 st pereiopod or cheliped 3 rd pereiopod carapace abdomen telson วงศ์Thalassinidae Thalassina anomala (Herbst, 1804) Order Decapoda – Infraorder Thalassinidea ภาพโดย จิระพงศ์ มาตทอง 2 cm


66 แม่หอบในป่ าชายเลนคลองก าพวน มีการขุดรูท ารังอยู่เป็ นจ านวน มากบริเวณรอบๆ สถานีวิจัยเพื่อการพัฒนาชายฝั่งอันดามัน โดยขุดรูอาศัย อยู่ตามพื ้นดินที่มีลักษณะอ่อนนุ่มจนถึงค่อนข้างแข็ง แต่จะไม่พบแม่หอบ อาศัยอยู่ในบริเวณหาดเลนที่เป็ นดินโคลนอ่อน แม่หอบจะขุดรูในตอน กลางคืน โดยน าดินที่ขุดขึ ้นมาทับถมบริเวณปากรูจนเป็ นเนินสูง มีรูปร่าง คล้ายกับภูเขาไฟ เรียกว่า จอมหอบ แม่หอบจะใช้ขาเดิน 2 คู่แรก ในการขุดดิน โดยจะเอาส่วนหัวมุดลง ไปในดิน แล้วใช้ขาคู่ที่ 1 ขุดเจาะดิน และใช้ ขาคู่ที่ 2 ช้ อนก้อนดินขึ ้นมา หลังจากนั ้นจะเดินถอยหลังขึ ้นมาจากรูแล้วจึงน าดินขึ ้นมาวางไว้บริเวณปากรู เมื่อน ้าทะเลท่วมถึงจะพัดพาดินตะกอนดังกล่าวซึ่งมีธาตุอาหารต่างๆ ไปเป็ น อาหารของแพลงค์ตอนพืช ท าให้เกิดการหมุนเวียนธาตุอาหารจากใต้ดิน จอมหอบ


67 ภายในจอมหอบจะมีรูซึ่งเป็ นทางเข้าออกหลายทาง โดยรูดังกล่าว จะมีขนาดเล็กและใหญ่สลับกันไป และอาจเชื่อมต่อกับจอมหอบอื่นๆ ใน บริเวณใกล้เคียง ที่ก้นรูจะแยกออกเป็ นแขนงสลับซับซ้อนและมีแอ่งพักซึ่งมี น ้าขังเป็ นที่อยู่ของแม่หอบ ปากรูกว้างประมาณ 5-8 เซนติเมตรจอมหอบจะ มีความสูงโดยเฉลี่ยจากระดับพื ้นดินประมาณ 0.5-1.5 เมตร ความลึกของรัง แม่หอบที่ขุดได้ วัดจากระดับพื ้นดินประมาณ 1-2 เมตร ภายในรังมีสัตว์ชนิด ต่างๆ อาศัยอยู่ เช่น แมงมุม กุ้งดีดขัน ปูแสมก้ามม่วง แม่หอบน้อย เป็ นต้น ในประเทศไทยพบแม่หอบเฉพาะในป่ าชายเลนทางภาคใต้ โดยเฉพาะ ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน เป็ นสัตว์น ้าที่ไม่นิยมน ามาบริโภค การที่ได้ชื่อในภาษาไทยว่า "แม่หอบ” เนื่องจากมีความเชื่อว่า เนื ้อของ แม่หอบสามารถรักษาอาการหอบหืดได้จึงนิยมน ามาเผาไฟรับประทานกัน ในอดีต 1.0 0.5 0.0 -0.5 -1.0 ความสูง (เมตร) ปากรู รู ระดับพื้นดิน แอ่งพัก ภาพโดย อานันท์ สุขใส


68 แม่หอบน้อย Mangrove mud shrimp Wolffogebia phuketensis Sakai, 1982 วงศ์ Upogebiidae เป็ นสัตว์ขนาดเล็ก ส่วนหน้าของกระดองมีลอน 3 ลอน กรีมี ลักษณะเกือบกลมและมีฟัน 4-5 ซี่ในแต่ละข้าง มีขนแข็งขึ ้นเป็ นแถวที่ขอบ ด้านข้างของกรี พบบริเวณป่ าชายเลน มักพบอยู่ร่วมกับรังของแม่หอบแต่ จะขุดรูและสร้างเนินดินไว้ที่ปากโพรง โดยต าแหน่งของกองเนินดินจะวาง ไว้ที่ด้านข้างของปากโพรง และปิ ดทางเข้าด้วยโคลนเพื่อป้ องกันน ้าเข้า เป็ นสัตว์ขนาดเล็ก ล าตัวมีลักษณะคล้ายกั ้ง ส่วนหน้าของเปลือก คลุมหัว มีลอน 3 ลอน และมีขนขนาดเล็กขึ ้นอยู่เป็ นจ านวนมาก กรีมีลักษณะ เกือบกลมและมีฟัน 4-5 ซี่ในแต่ละข้าง มีขนแข็งขึ ้นเป็ นแถวที่ขอบด้านข้าง ของกรี ขาเดินคู่ที่ 1 มีลักษณะเป็ นก้าม มีแพนหางแผ่ขายกว้าง พบบริเวณ ป่ าชายเลน มักพบอยู่ร่วมกับรังของแม่หอบ แต่จะขุดรูและสร้ างเนินดินไว้ที่ ปากโพรง โดยต าแหน่งของกองเนินดินจะวางไว้ที่ด้านข้างของปากโพรง และ ปิ ดทางเข้าด้วยโคลนเพื่อป้ องกันน ้าเข้า (Ngoc-Ho et al., 2001; Paterson et al., 2004) วงศ์Upogebiidae Wolffogebia phuketensis Sakai, 1982 Order Decapoda – Infraorder Thalassinidea 5 mm


69 ล าตัวอ่อนนุ่มนิ่มและมีลักษณะโค้งงอ จึงต้องอาศัยอยู่ในเปลือกของหอยฝา เดียวที่ตายแล้ว เพื่อเป็ นที่ก าบังและป้ องกันตัวตลอดเวลา โดยจะโผล่เฉพาะ หัวและขา 2 คู่ออกจากเปลือก ส่วนขาอีก 2 คู่ใช้ยึดกับเปลือกหอย หายใจ ด้วยเหงือกบริเวณใต้กระดอง ปูเสฉวนจะเลือกเปลือกหอยฝาเดียวซึ่งจะมี ลักษณะเข้ากันพอดีกับส่วนท้อง โดยถอยหลังเข้าไปอยู่ในเปลือกหอย เมื่อ ปูเสฉวนโตขึ ้น ล าตัวจะคับเปลือก ปูเสฉวนก็จะละจากเปลือกหอยอันเดิม เปลี่ยนไปใช้เปลือกหอยอันใหม่ที่เหมาะพอดีกับตัว (นงนุช, 2542) กินซากพืช ซากสัตว์เป็ นอาหาร มักอาศัยอยู่ตามหาดทรายชายทะเล ป่ าชายเลน บาง ชนิดอาจอาศัยอยู่ในน ้าลึก บางสกุลอาศัยอยู่แต่เฉพาะบนบก เช่น สกุล Coenobita (คณะประมง, มปป) มี ลั ก ษ ณ ะ ก ้ากึ่งระหว่างปู และกุ้ ง แต่ไม่มี เปลือกแข็งหุ้มตัว มีขาจ านวน 5 คู่ ข า คู่ที่ 5 ล ด รู ป และมีขนาดเล็ก ส่ ว น ท้ า ย ข อ ง ล าตัว Order Decapoda - Infraorder Anomura


70 Hermit crab ลักษณะ กระดองรูปทรงกระบอก ล าตัวส่วนท้ายอ่อนนุ่ม บิดเบี ้ยว มาก รูปร่างโค้งคล้ายรูปเคียว ซีกซ้ายและซีกขวาไม่เหมือนกัน ทางซีกซ้ายมี ส่วนที่คล้ายขาเล็กๆ ยื่นออกมาด้านข้างคล้ายขาเทียมใช้จับหรือยึดเหนี่ยว ก้านตาสีม่วงอมด า แบนข้าง มีแผงขนอยู่ที่ขาเดินทุกคู่ ขาเดินคู่ที่ 1-3 พัฒนาดีและมีสีม่วงเห็นได้ชัดเจน ขาเดินคู่แรกเป็ นก้ามขนาดใหญ่ โดย ก้ามด้านซ้ายจะใหญ่กว่าด้านขวา ผิวตอนกลางด้านในของก้ามซ้ายไม่มีสัน ตุ่มเรียงเป็ นแถว นิเวศวิทยา อาศัยอยู่บนบก หากินในเวลากลางคืนและซ่อนตัวอยู่ ใต้ใบไม้หรือตามโคนต้นไม้ในเวลากลางวัน ปูเสฉวนบก Coenobita violascens Heller, 1862 วงศ์Coenobitidae Land hermit crab 2 cm


71 Hermit crab ลักษณะ กระดองรูปทรงกระบอก ล าตัวส่วนท้ายอ่อนนุ่ม รูปร่าง โค้งคล้ายรูปเคียว ซีกซ้ายและซีกขวาไม่เหมือนกัน ทางซีกซ้ายมีส่วนที่ คล้ายขาเล็กๆ ยื่นออกมาด้านข้างคล้ายขาเทียมใช้จับหรือยึดเหนี่ยว ก้านตา สีส้ม รูปทรงกระบอก มีแผงขนอยู่ที่ขาเดินทุกคู่ ขาเดินคู่ที่ 1-3 พัฒนาดีขา เดินคู่แรกเป็ นก้ามขนาดปานกลาง มีสีเขียวและมีปุ่ มอยู่บนก้ามจ านวนมาก ขาเดินคู่ที่ 2 และ 3 ค่อนข้างยาวและมีแถบสีน ้าเงินพาดไปตามความยาว ของขาเดินเห็นได้ชัดเจน นิเวศวิทยา อาศัยตามพื ้นดินในป่ าชายเลน กินสารอินทรีย์หรือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ติดมากับน ้า ทั ้งนี ้ขึ ้นอยู่กับสภาพของแหล่งที่อยู่อาศัย ปูเสฉวนขายาว Clibanarius longitarsus (De Haan, 1849) วงศ์Diogenidae Long-legged hermit crab 2 cm


72 ส่วนหัวและ 3 ปล้ องแรกของส่วนอกเชื่อมรวมกัน เรี ยกว่า cephalothorax อยู่ภายใต้ กระดอง (carapace) ซึ่งเป็ นเปลือกแข็งพวก แคลเซียมหุ้มล าตัว ส่วนท้อง (abdomen) ลดรูปและพับลงไปอยู่ใต้กระดอง ล าตัวแบนลง กว้างและกะทัดรัด ท าให้ปูแข็งแรงและเคลื่อนที่ได้ดีในที่แคบ มีหนวดอยู่ระหว่างตา มีขาเป็ นคู่รวม 5 คู่ คู่แรกมีขนาดใหญ่ลักษณะเป็ นก้าม หนีบ (claw) ขาอีกสี่4 คู่เป็ นขาเดิน (ambulatory leg)อยู่ทางด้านข้างล าตัว ขาแต่ละข้างมีรอยแยกหรือข้อต่อติดต่อกันเป็ นส่วน ๆ ลักษณะของปลายขา เดินคู่ที่ 4 ของปูบางจ าพวกจะมีลักษณะคล้ายใบพาย (paddle-like leg) เพื่อ ใช้ท าหน้าที่ในการว่ายน ้า เช่น ปูม้า และปูทะเล เป็ นต้น (สมโภชน์, 2545; คณะประมง, มปป; Paterson et al., 2004) claw paddle-likeleg carapace 1 st leg 2 nd leg 3 rd leg 4 th leg ambulatory leg Order Decapoda – Infraorder Brachyura carapace width


73 ส่วนท้อง (abdomen) ของปู เรียกว่า จับปิ ้งหรืออาจเรียกเป็ นชื่ออื่น เช่น จะปิ ้ง ตะปิ ้ง หรือตับปิ ้ง มีลักษณะคล้ายแผ่นกระเบื ้องเรียงต่อกันอยู่ 7 แผ่น จับปิ ้งของปูเพศเมียมีขนาดกลมกว้างใหญ่เกือบเต็มส่วนอก ส่วนเพศผู้ จะมีจับปิ ้งเรียวยาว ส่วนหาง (telson) ไม่มีหน้าที่ชัดเจนและไม่มีแพนหาง การวัดขนาดตัวอย่างปูจะวัดความกว้างกระดอง (carapace width : CW) เป็ นการวัดความยาวในแนวนอนในส่วนที่กว้างที่สุดของกระดอง (Carpenter and Niem, 1998b) ปูเป็ นสัตว์ที่มีกระดองแข็งหุ้มตัว เมื่อโตจนคับกระดองต้องลอก คราบออกจากกระดองเดิมเพื่อสร้ างกระดองใหม่ ในช่วงลอกคราบ ปูจะ อ่อนแอ ท าให้กลายเป็ นเหยื่อของปูด้วยกันเองหรือสัตว์อื่นที่แข็งแรงกว่าได้ ง่าย ปูเป็ นสัตว์แยกเพศ ตัวเมียจะมีถุงส าหรับเก็บน ้าเชื ้อของตัวผู้ ไว้ใต้ กระดอง เมื่อไข่ได้รับการผสม ตัวเมียจะปล่อยไข่ออกมาและอุ้มไว้ใต้ท้อง ไข่ จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็ นสีเข้มขึ ้นจนถึงเวลาฟักออกเป็ นแพลงก์ตอนล่องลอย อย่างอิสระอยู่ในน ้าระยะหนึ่ง จากนั ้นจึงลอกคราบเปลี่ยนรูปร่างหลายครั ้ง จนกระทั่งกลายเป็ นตัวอ่อนของปูขนาดเล็กจมลงสู่พื ้นทะเลและเติบโตเป็ นปู ตัวเติมวัยต่อไป telson abdomen ดัดแปลงจาก Carpenter and Niem (1998b)


74 Crab ลักษณะ กระดองค่อนข้างกลม ตุ่มบนกระดองไม่ชัดเจน ด้านข้าง กระดองมีหนามแหลมแข็งแรงยื่นยาวออกมาข้างละ 1 อัน บนกระดองมี ลายจุดเล็กๆ สีแดงถึงสีม่วงเข้มเรียงตัวเป็ นวง และมีลายเส้นกระจายอยู่ ทั่วไป ก้ามมีขนาดใหญ่และเกือบเท่ากันทั ้งสองข้าง ด้านล่างของล าตัว ค่อนข้างแบนและมีพื ้นสีขาว ขาเดินทุกคู่แบนลักษณะคล้ายใบพายและมีสี เหลืองเด่น ขอบปลายใบพายของขาเดินเป็ นสีขาว นิเวศวิทยา มักฝังตัวอยู่ในบริเวณพื ้นทรายหรือทรายปนโคลนใน เขตน ้าขึ ้นน ้าลง โดยใช้ขาคู่สุดท้ายในการขุดและช่วยในการว่ายน ้าได้เร็ว เมื่อถูกรบกวน ปูหนุมานลายแดง Matuta planipes Fabricius, 1798 วงศ์Calappidae Flower moon crab CW= 62.0 mm


75 Crab ลักษณะ กระดองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (ค่อนข้างกลมในปูเพศเมีย) กระดองมีสีเทาอมน ้าตาล ผิวกระดองค่อนข้ างสาก ขอบด้านข้ างของ กระดองหลังมุมเบ้าตามีฟัน 3-4 ซี่ โดยฟันซี่แรกมีขนาดใหญ่ที่สุด ร่องแบ่ง บนกระดองเห็นได้ชัดเจน ก้ามทั ้ง 2 ข้างมีขนาดเท่ากัน ปลายก้ามเรียว แหลมหักโค้งเข้าด้านใน ปูเพศเมียจะมีก้ามขนาดเล็กกว่าขาเดิน ส่วนปูเพศ ผู้จะมีก้ามขนาดใหญ่กว่าขาเดิน ขาเดินมีปลายเรียวและยาวมาก ขอบของ ขาเดินทุกคู่ มีซี่หยักเล็กๆ แบบฟันเลื่อยเรียงติดต่อกัน นิเวศวิทยา อาศัยอยู่ตามพื ้นโคลนนุ่มบริเวณป่ าชายเลน ขาของปู ชนิดนี ้เรียวยาวและมีปลายแหลม ท าให้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วบนพื ้นดิน ปแูสมขาฟันเลื่อย Metaplax crenulata (Gerstaecker, 1856) วงศ์Vanuridae Long-armed signaller crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 17.0 mm


76 Crab ลักษณะ กระดองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื ้นกระดองค่อนข้างโค้งนูน และมีสีน ้าตาล มีตุ่มขนาดเล็กรวมทั ้งขนแข็งขึ ้นอยู่ประปราย ขอบกระดอง ระหว่างตาเว้าเข้าตอนกลาง สันใต้ขอบตามีหยัก ร่องแบ่งบนกระดองตื ้น ขอบด้านข้างกระดองมีรอยหยักเป็ นฟัน 3-4 ซี่ โดยฟันซี่ที่ 1-2 มีปลายแหลม และเห็นได้ชัดเจน ก้ามหนีบทั ้งสองข้างมีขนาดเกือบเท่ากันและมีสีส้ม ตัวผู้ จะมีก้ามใหญ่กว่าตัวเมียมาก ตอนกลางของขอบด้านในของก้ามหนีบที่ เคลื่อนที่ได้โค้งออกเล็กน้อย ขาเดินเรียวและยาวมาก นิเวศวิทยา อาศัยอยู่ตามพื ้นโคลนนุ่มบริเวณป่ าชายเลน ขาของปู ชนิดนี ้เรียวยาวและมีปลายแหลม ท าให้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วบนพื ้นดิน ปูแสมก้ามยาว Metaplax sp. วงศ์Vanuridae Orange signaller crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 17.0 mm


77 Crab ลักษณะ กระดองกลมรูปไข่ ด้านบนกระดองโค้งและลาดลงสู่ด้าน ท้ายของกระดองมาก ผิวกระดองปกคลุมด้วยตุ่มขนาดเล็กจ านวนมาก ขอบ ด้านข้างของกระดองแต่ละด้านมีฟัน 4 ซี่ ก้ามทั ้ง 2 ข้างมีขนาดไม่เท่ากัน ที่ ฐานของก้ ามหนีบที่เคลื่อนที่ได้ของก้ ามข้ างใหญ่มีฟั นบดขนาดใหญ่ กระดอง ก้าม และขาเดินมีสีน ้าตาลไม่สม ่าเสมอ ก้ามหนีบสีน ้าตาลเข้ม ปลายก้ามมีสีด า ตามีขนาดเล็กสีเขียว ก้านตาสั ้น นิเวศวิทยาอาศัยอยู่ใต้ก้อนหิน โพรงของขอนไม้หรือรากไม้ในป่ า ชายเลน หากินพวกหอยสองฝาเป็ นอาหาร จึงมักเป็ นตัวสร้ างปัญหาให้กับ ฟาร์มเลี ้ยงหอยแมลงภู่ ปูใบ้ตาด า Myomenippe hardwickii (Gray, 1831) วงศ์Menippidae Stone or Thunder crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 97.0 mm


78 Crab ลักษณะ กระดองเกือบเป็ นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีกลุ่มขนสั ้นๆ และ ตุ่มสีด าขนาดเล็กปกคลุมกระจัดกระจายอยู่ทั่วกระดอง มีซี่หยักคล้ายฟัน 1 ซี่ อยู่ที่มุมนอกของเบ้าตา ตอนกลางของกระดองซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับปากมี ลักษณะค่อนข้างแบน ก้ามทั ้งสองข้างมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกัน ขอบในของ ก้ามหนีบที่เคลื่อนที่ได้มีปุ่ มกลมประมาณ 40-48 ปุ่ ม ขาเดินทั ้ง 4 คู่ มีปลาย แหลมสามารถใช้ในการยึดเกาะกับต้นไม้ป่ าชายเลนได้เป็ นอย่างดีพื ้น กระดองสีน ้าตาลอมม่วง ก้ามหนีบมีสีม่วง ส่วนปลายเป็ นสีขาว นิเวศวิทยา พบบริเวณป่ าชายเลนตามโคนไม้และรากแสม โกงกาง มีการน าปูชนิดนี ้มาท าปูเค็ม ท าให้ปูชนิดนี ้มีจ านวนลดน้อยลงมาก ปูแสมก้ามม่วง Episesarma versicolor (Tweedie, 1940) วงศ์Grapsidae Violet vinegar crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 26.7 mm ภาพโดย วารินทร์ นิ ้มสันติเจริญ


79 Crab ลักษณะ กระดองเป็ นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปี ยกปูน ผิวบนกระดอง ค่อนข้างเรียบ ตาทั ้งสองข้างอยู่ห่างกันมากโดยตั ้งอยู่ตอนปลายสุดของมุม กระดองด้านหน้า มีร่องระหว่างตา 3 ร่อง พื ้นกระดองแข็งมีสีม่วงด าสลับกับ จุดสีขาวประปราย ก้ามขนาดใหญ่มีสีม่วงสด ปลายก้ามมีสีขาว ขาเดินทั ้ง 4 คู่ มีปลายแหลม สามารถใช้ในการยึดเกาะกับต้นไม้ป่ าชายเลนได้เป็ นอย่าง ดีขาเดินทุกคู่มีขนขึ ้นอยู่โดยรอบเห็นได้ชัดเจน นิเวศวิทยา พบบริเวณป่ าชายเลนตามโคนไม้และรากแสม โกงกาง บางครั ้งพบปี นป่ ายอยู่ตามต้นไม้ในช่วงเวลาน ้าขึ ้น ปูแสมก้ามม่วง Metopograpsus frontalis Miers, 1880 วงศ์Grapsidae Purple climber crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 35.0 mm


80 Crab ลักษณะ กระดองเกือบเป็ นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และมีกลุ่มขนสั ้น ๆ กระจัดกระจายอยู่บนกระดอง มีซี่หยักคล้ายฟัน 1ซี่อยู่ที่มุมนอกของเบ้า ตา ตอนกลางกระดองซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับปากมีลักษณะโค้งนูน ขอบบน ด้านข้ างของกระดองยกเป็ นสันเกือบตรง ก้ ามทั ้งสองข้างมีขนาดใหญ่ ใกล้เคียงกัน ขอบในของก้ามหนีบที่เคลื่อนที่ได้มีปุ่ มกลมประมาณ 9-12 ปุ่ ม ขาเดินทั ้ง 4 คู่ มีปลายแหลมสามารถใช้ในการยึดเกาะกับต้นไม้ป่ าชายเลน ได้เป็ นอย่างดี กระดองมีสีน ้าตาลเข้ม ก้ามมีสีส้มทั ้งสองข้าง นิเวศวิทยา กินใบไม้ ซากสัตว์ที่เน่าเปื่ อยเป็ นอาหาร ชอบขุดรู ตามริมตลิ่งที่น ้าท่วมไม่ถึง พบทั่วไปในพื ้นที่ป่ าชายเลนในช่วงเวลาน ้าลง ปูแสมก้ามส้ม Parasesarma plicatum (Latreille, 1803) วงศ์Sesarmidae Orange-claw marsh crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 23.1 mm ภาพโดย ภควัฒน์ มิ่งแม้น


81 Crab ลักษณะ กระดองเกือบเป็ นรูปทรงกลม มุมทั ้งสี่ด้านของกระดอง โค้งมน ตอนบนของกระดองโค้งนูนออกเกือบกลม ผิวกระดองเรียบ ร่อง กลางกระดองลึก มองเห็นคล้ายรูปหยดน ้าขนาดใหญ่วางอยู่ขอบด้านข้าง กระดองบริเวณหลังเบ้าตาเว้าเป็ นลอน 2 ลอน ก้ามทั ้งสองข้างแข็งแรงและ มีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกัน ขาเดินทั ้ง 4 คู่ ไม่ยาวมากนัก มีปลายแหลม พื ้น กระดองมีสีม่วงแดง ก้ามและขาเดินมีสีม่วงอ่อนอมน ้าตาล นิเวศวิทยา ชอบขุดรูอาศัยอยู่บริเวณใกล้กับโคนต้นไม้ในป่ าชาย เลน หรือบริเวณอื่นๆ ที่ลักษณะพื ้นหาดเป็ นเลน มีอินทรียวัตถุสูง ปูแสม Sarmatium germaini (Milne-Edwards, 1869) วงศ์Sesarmidae Mound crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 16.0 mm


82 Crab ลักษณะ กระดองค่อนข้างกลม ส่วนหลังโค้งนูนออก ร่องบน กระดองมองเห็นได้ชัดเจน ตาพัฒนาดี บริเวณตั ้งแต่ขอบด้านท้ายของ กระดองจนถึงขอบหน้าของส่วนท้องตอนแรกมีขนสั ้นๆ ขึ ้นอยู่ ช่องเปิ ด ปากใหญ่และกลม ก้ามทั ้งสองข้างเรียวยาวและมีขนาดเกือบเท่ากันทั ้ง ในเพศผู้และเพศเมีย ขาเดินทั ้ง 4 คู่ เรียวยาวและมีปลายแหลม นิเวศวิทยา ขุดรูอยู่ตามพื ้นทรายปนโคลน กินสารอินทรีย์ใต้ พื ้นเลน โดยใช้ก้ามช้อนดินขึ ้นมาที่ปาก แล้วพลิกด้วยความเร็ว ก้อนดิน ที่ถูกกินแล้วจะถูกเขี่ยอออกไปเรียงเป็ นก้อนเล็กๆ กระจายอยู่รอบรู ปูทหาร Mictyris thailandensis Davie, Wisespongpand & Shih, 2013 วงศ์Mictyridae Soldier crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 10.4 mm


83 Crab ลักษณะ กระดองเกือบเป็ นรูปทรงกลม ส่วนหลังโค้งนูนออก มีร่อง ลึกบนกระดองยาวตั ้งแต่ด้านหน้าไปจนถึงขอบด้านหลังและด้านข้างของ กระดอง ตาพัฒนาดีขอบหลังของปล้องที่สี่ของขาเดินคู่ที่ 1-3 มีขนแข็ง หนาแน่นเรียงยาวคล้ายแปรง ปล้องท้องที่ 4 ของเพศผู้แผ่กว้างประมาณ 3 เท่าของความกว้างของปล้องที่ 5 ก้ามทั ้งสองข้างมีขนาดเกือบเท่ากันทั ้งเพศ ผู้และเพศเมีย ขาเดินทั ้ง 4 คู่ เรียวยาวและมีปลายแหลม กระดองมีสี ้น ้าตาล เข้ม ก้ามและขาเดินมีสีน ้าตาลอมแดง นิเวศวิทยา พบอาศัยอยู่ในป่ าชายเลนตรงบริเวณที่พื ้นดินเป็ น โคลนอ่อนมาก ๆ ปูทหารชายเลน Dotillopsis brevitarsis (De Man, 1888) วงศ์Dotillidae Mud soldier crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab ภาพโดย นัฎฐิกา ทองวล CW= 11.3 mm


84 Crab ลักษณะ กระดองเป็ นรูปสี่เหลี่ยม ไม่มีฟันที่บริเวณขอบด้านข้าง กระดอง เบ้าตาลึกและมีขนาดใหญ่ ก้านตายาวและพับอยู่ภายในเบ้าตา ตัวเต็มวัยจะมีก้านทรงกระบอกยาวคล้ายเขาสัตว์ต่อจากปลายแก้วตา พื ้น กระดองสีเทาและมีลวดลายสีน ้าตาลเข้ มบริเวณท้ ายกระดอง ส่วนใต้ กระดองลงมามีสีเดงเลือดหมู ก้ามมีสีขาวและมีขนาดไม่เท่ากันทั ้งสองเพศ มีสันแข็งเป็ นแนวยาวอยู่บริเวณผิวด้านในของก้าม ขาเดินเรียวยาวจึงท าให้ วิ่งได้เร็วมาก นิเวศวิทยา ชอบขุดรูอาศัยบริเวณชายหาดตอนบน บางครั ้งพบได้ ในป่ าชายเลน ส่วนใหญ่จะออกหากินบนหาดทรายช่วงเวลาน ้าลง ปูลมใหญ่ Ocypode ceratophthalmus (Pallas, 1772) วงศ์Ocypodidae Horned ghost crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 34.3 mm


85 Crab ลักษณะ กระดองเป็ นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ผิวเรียบโค้งนูนจากส่วน หน้าไปยังส่วนท้าย ร่องบนกระดองไม่ชัดเจน ก้านตาเรียวยาว มุมเบ้าตา ด้านนอกแหลมชี ้ออกด้านข้างเฉียงไปด้านหน้า ก้ามของเพศผู้มีขนาดไม่ เท่ากัน ก้ามของเพศเมียทั ้งสองข้างมีขนาดเล็ก ส่วนปลายของก้ามใหญ่ (ที่ ขยับไม่ได้) มีปลายตัด กระดองมีสีด าลายสีขาวเรียงเป็ นแถว ก้ามข้างใหญ่ มีสีแดง ชมพูเข้ม หรือสีส้ม ก้ามหนีบสีขาว หรืออาจจพบมีสีขาวทั ้งตัว นิเวศวิทยา อาศัยขุดรูอยู่บริเวณพื ้นโคลนในป่ าชายเลน ก้ามที่มี ขนาดใหญ่ใช้ในการเกี ้ยวพาราสีและประกาศอาณาเขต ปูก้ามดาบจะอาศัย อยู่ในรูเมื่อเวลาน ้าขึ ้น และออกมาหาอาหารในเวลาน ้าลง ปูก้ามดาบ Uca annulipes (Milne-Edwards, 1837) วงศ์Ocypodidae Fiddler crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 15.2 mm


86 Crab ลักษณะ กระดองเป็ นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ผิวเรียบโค้งนูนจากส่วน หน้าไปยังส่วนท้าย ร่องบนกระดองไม่ชัดเจน ก้านตาเรียวยาว มุมเบ้าตา ด้านนอกแหลมชี ้ออกด้านข้างเฉียงไปด้านหน้า ขอบเบ้าตาด้านล่างมีฟัน เรียงเป็ นแถว ก้ามของเพศผู้มีขนาดไม่เท่ากัน ก้ามของเพศเมียทั ้งสองข้างมี ขนาดเล็ก กระดองมีสีฟ้ าหรือสีขาว ก้ามข้างใหญ่มีสีส้ม ส่วนขา ก้ามข้าง เล็กและก้านตามีสีเทาอ่อนหรือสีเหลือง นิเวศวิทยา อาศัยขุดรูอยู่บริเวณพื ้นโคลนในป่ าชายเลน ก้ามที่มี ขนาดใหญ่ใช้ในการเกี ้ยวพาราสีและประกาศอาณาเขต ปูก้ามดาบจะอาศัย อยู่ในรูเมื่อเวลาน ้าขึ ้น และออกมาหาอาหารในเวลาน ้าลง ปูก้ามดาบเบงกอล Uca bengali Crane, 1975 วงศ์Ocypodidae Bengal fiddler crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 10.0 mm


87 Crab ลักษณะ กระดองเป็ นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ผิวเรียบโค้งนูนจากส่วน หน้าไปยังส่วนท้าย ร่องบนกระดองไม่ชัดเจน ก้านตาเรียวยาว ก้ามของเพศ ผู้มีขนาดไม่เท่ากัน ก้ามของเพศเมียทั ้งสองข้างมีขนาดเล็ก ขอบด้านใน ตอนกลางของก้ามใหญ่ (ที่ขยับไม่ได้) ไม่มีปุ่ ม กระดองมีสีน ้าเงินอมด า ตอนล่างของปล้อง merus มีสีน ้าตาลแดง ส่วนที่อยู่เหนือขึ ้นไปมีสีเทาอ่อน ปลายของก้ามทั ้งที่ขยับได้และไม่ได้มีสีขาว ขาเดินมีสีเข้มเหมือนกระดอง นิเวศวิทยา อาศัยขุดรูอยู่บริเวณพื ้นโคลนในป่ าชายเลน ก้ามที่มี ขนาดใหญ่ใช้ในการเกี ้ยวพาราสีและประกาศอาณาเขต ปูก้ามดาบจะอาศัย อยู่ในรูเมื่อเวลาน ้าขึ ้น และออกมาหาอาหารในเวลาน ้าลง ปูก้ามดาบ Uca sp. วงศ์Ocypodidae Purple fiddler crab vinegar c วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 29.8 mm merus


88 Crab ลักษณะ กระดองเป็ นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผิวกระดองเรียบมัน ไม่ ค่อยโค้งนูน ร่องบนกระดองไม่ลึกมาก ร่องระหว่างตาแคบ ก้านตาเรียวยาว ช่องเปิ ดปากยาวและแคบ ก้ามทั ้งสองข้างของเพศผู้มีขนาดเท่ากัน ก้ามของ เพศเมียทั ้งสองข้างมีขนาดเล็ก พื ้นกระดองและขาเดินมีสีน ้าตาลเทา บน กระดองมีจุดสีด าเข้มขนาดเล็กกระจัดกระจายทั่วไป นิเวศวิทยา พบบริเวณป่ าชายเลนที่มีพื ้นเป็ นทรายปนโคลน ปูใน สกุลนี ้มีก้านตายาวมาก ช่วยในการมองเห็นศัตรูในทิศทางต่าง ๆ ปูก้ามหักก้ามฟ้ า Macrophthalmus pacificus Dana, 1851 วงศ์Macrophthalmidae Sentinel crab vinegar c วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 31.4 mm ภาพโดย นัฎฐิกา ทองวล


89 Crab ลักษณะ กระดองรูปไข่แบนและกว้างมาก หยักระหว่างช่วงตามี จ านวน 4 ซี่ ข้างกระดองมีฟันด้านละ 9 ซี่ ซี่สุดท้ายมีขนาดใหญ่และยาว ที่สุด ขาคู่สุดท้ายเป็ นขาว่ายน ้าลักษณะแบนคล้ายใบพาย ปูม้าตัวผู้มีจับปิ ้ง ที่แคบ ล าตัวมีสีฟ้ าอ่อน มีจุดสีขาวทั่วไปบนกระดอง พื ้นท้องเป็ นสีขาว ก้าม และขามีสีฟ้ า ปูม้าตัวเมียมีจับปิ ้งที่แผ่กว้าง ขอบด้านข้างมีขนละเอียดทุก ปล้อง ก้ามสั ้นกว่าตัวผู้ กระดองสีน ้าตาลอ่อนและมีตุ่มขรุขระ นิเวศวิทยา ปูชนิดนี ้พบทั่วไปตามบริเวณชายฝั่งพื ้นทรายปนเลน พบปูชนิดนี ้ในป่ าชายเลนคลองก าพวนในระยะวัยรุ่น ขนาดประมาณ 5-10 ซม. เป็ นปูเศรษฐกิจที่นิยมบริโภค และสร้างรายได้ให้แก่ชาวประมง ปูม้า Portunus pelagicus (Linnaeus,1758) วงศ์Portunidae Blue swimming crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 95.8 mm


90 Crab ลักษณะ กระดองกลมรีเป็ นรูปไข่ ผิวเรียบมัน บนกระดองมีร่องบุ๋ม รูปตัว H แต่เป็ นร่องตื ้นๆ ไม่ลึกมาก หยักระหว่างตามีปลายกลมมน ไม่ แหลมมาก ข้างกระดองมีฟันด้านละ 8-9 ซี่ ซี่สุดท้ายไม่ยื่นยาว ขาคู่สุดท้าย เป็ นขาว่ายน ้าลักษณะแบนคล้ายใบพาย พื ้นกระดองแข็ง สีน ้าตาลแก่หรือสี เขียวปนน ้าตาล ก้ามมีขนาดใหญ่และมักจะมีสีส้มหรือสีเหลืองตรงบริเวณ ตอนกลางของก้าม ตัวผู้จะมีก้ามขนาดใหญ่แข็งแรงกว่าตัวเมีย นิเวศวิทยา พบทั่วไปในป่ าชายเลนคลองก าพวน ปัจจุบันมีการจับ ปูชนิดนี ้เพื่อน ามาบริโภคกันเป็ นจ านวนมาก ท าให้ประชากรปูชนิดนี ้มี ปริมาณลดน้อยลงเป็ นอย่างมาก ปูทะเล Scylla olivacea (Herbst, 1796) วงศ์Portunidae Orange mud crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 85.0 mm


91 Crab ลักษณะ กระดองเป็ นรูปห้าเหลี่ยม บนกระดองมีสันตื ้นๆ ทอดยาว ไปตามความกว้างกระดอง ตาทั ้งสองข้างอยู่ห่างกันมาก มีหยักระหว่างตา 6 ซี่ ลักษณะปลายกลมมนและมีขนาดใกล้เคียงกัน ข้างกระดองมีฟันด้าน ละ 5 ซี่ ซี่สุดท้ายไม่ยื่นยาว ก้ ามหนาตันและมีหนามที่ก้ ามใหญ่เห็นได้ ชัดเจน ขาคู่สุดท้ายเป็ นขาว่ายน ้าลักษณะแบนคล้ายใบพาย พื ้นกระดอง แข็ง มีสีน ้าตาลจนถึงสีเขียวเข้มปนน ้าตาล ก้ามมีสีน ้าตาล ปลายก้ามมีสี ม่วงแดง ขาเดินคู่ที่ 1-3 มีสีน ้าตาลอ่อน ตอนปลายมีสีแดงอมม่วง นิเวศวิทยา มักพบอาศัยอยู่ตามป่ าชายเลน โดยหลบซ่อนตัว บริเวณที่พื ้นท้องน ้าที่มีก้อนหินหรือดินโคลน ปูหินเขียว Thalamita crenata (Milne-Edwards, 1834) วงศ์Portunidae Crenate swimming crab วงศ์ Matutidae Flower moon crab CW= 59.0 mm


92 สามารถยืดหดได้ ส่วนหัวมีหนวดอยู่ล้อมรอบปาก มีปมประสาทสองเส้น และมีเนพฟริเดีย รงควัตถุในระบบไหลเวียนโลหิตมีสีแดงชนิด haemerythrin หนอนถั่วเป็ นสัตว์แยกเพศ แต่ไม่มีความแตกต่างของรูปร่างระหว่างเพศ การ ปฏิสนธิเกิดขึ ้นภายนอกตัว โดยไข่ที่ผสมแล้วจะเจริญไปเป็ นตัวอ่อนที่ทีขน อยู่รอบตัว เรียกตัวอ่อนนี ้ว่า trochophore ซึ่งจะด ารงชีวิตเป็ นเป็ นแพลงก์ ตอนและล่องลอยอยู่ในทะเลก่อนเจริญไปเป็ นหนอนถั่วตัวเต็มวัย กินซากพืช ซากสัตว์และสารอินทรีย์ในดินเป็ นอาหาร โดยยืดงวงออกมาบนผิวดินและ ใช้หนวดเล็กๆ ที่อยู่รอบปากโบกอาหารเข้าปาก (นงนุช, 2551; Paterson et al., 2004) หนอนถั่วที่พบบริเวณป่ าชายเลนคลองก าพวน จะพบมากบริเวณ หาดเลนหรือหาดเลนปนทราย ชาวประมงในต าบลก าพวนจะจับหนอนถั่ว โดยใช้เสียมขุดดินบริเวณแหล่งอาศัยของหนอนถั่ว จากนั ้นจึงแยกตัวหนอน ถั่วออกมาจากดิน เพื่อน าไปเป็ นเหยื่อส าหรับใช้ในการตกปลา ล าตัวกลมยาวและ ไม่แบ่งเป็ นปล้อง ไม่มี ขา ผิวตัวไม่เรียบ โดยมี ลักษณะเป็ นร่องสันทั่ว ตัวคล้ายเปลือกถั่วลิสง ปลายสองด้านไม่เท่ากัน ด้านหนึ่งเรียวยาวและ สามารถยืดหดได้ วงศ์ Sipunculidae Unidentified sp. 5 mm


93 เม่นทะเล รูปร่างทรงกลม หรือรูปไข่ อวัยวะภายในห่อหุ้มด้วยเปลือก เป็ น สารประกอบจ าพวกแคลเซียมเป็ นแผ่นแข็งขนาดเล็กหลาย ๆ แผ่นเรียงต่อกัน ท าให้ตัวหนาขึ ้น ด้านที่เกาะกับพื ้นเป็ นปาก ทวารหนักอยู่กลางล าตัวด้าน บนสุด บนตัวปกคลุมไปด้วยหนามแหลม (spine) สองขนาด หนามขนาด ยาวใช้ในการผลักดันพื ้นแข็ง ขุดคุ้ยสิ่งต่างๆ หรือช่วยในการฝังตัว หนามเล็ก สั ้นใช้ยึดเกาะเวลาปี นป่ าย มีต่อมน ้าพิษ ที่เรียกว่า pedicellariae อยู่ตรง ระหว่างหนาม (บพิธและนัทพร, 2540; นงนุช, 2551) เม่นทะเลเป็ นสัตว์ที่ เคลื่อนไหวช้า ไม่ดุร้ าย อาศัยอยู่รวมกันเป็ นกลุ่มใหญ่ ๆ ตามพื ้นทราย ตาม ซอกหิน และแนวหินปะการัง หนามของเม่นทะเลจะเปราะแตกง่าย หากถูก ทิ่มต าจะหักคาอยู่ใต้ผิวหนัง ท าให้เกิดอาการเจ็บปวดเหมือนกับถูกเข็มทิ่ม แทง บริเวณที่ถูกต าจะเป็ นรอยแดง บวม เพียงไม่กี่ชั่วโมงจนถึง 2-3 วัน (ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง, 2547) ที่มา : www.aafp.org spine หนามของเม่นทะเล หักติดอยู่ใต้ผิวหนัง Unidentified sp. 1 cm


94


Click to View FlipBook Version