ก
สมาชกิ
๑. นางสาว ปาจรีย์ คงสถิตย์ เลขท่ี ๓๖
๒. นางสาว วราภรณ์ วัฒนากรรุ่งเรอื ง เลขท่ี ๓๗
๓. นางสาว สิริประภา พงษพ์ ลู เลขที่ ๓๘
๔. นางสาว ณัฐธิดา รตั นวิเศษศรี เลขท่ี ๔๒
๕. นางสาว ดลนภา รัตนมณุ ี เลขที่ ๔๕
ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๕ / ๘
เสนอ
คณุ ครู ธรี กานต์ ขะชาตย์
ข
คานา
รายงานฉบับน้ีเป็นส่วนหน่ึงของวิชา ท๓๒๑๐๒ ภาษาไทย
ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๕ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาหาความรู้ท่ี
ได้จากเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ซ่ึงรายงานเล่มนี้มีเน้ือหาเกี่ยวกับ
ความรู้จากตาราพิชัยสงคราม การจัดทัพ การตั้งทัพ การเคลื่อน
ทัพ กลศึกต่างๆ โหราศาสตร์ในการทาสงคราม ตลอดจนการ
ประยุกต์ใช้ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันแสดงให้เห็นถึง
พระปรีชาสามารถในการรบของพระองค์ เพ่ือสดุดีวีรกรรมของ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 010
ผู้จัดทาได้เลือกหัวข้อลิลิตตะเลงพ่ายในการทารายงาน
เน่ืองมาจากเป็นเร่ืองท่ีน่าสนใจ รวมถึงเป็นการสดุดีวีรกรรม
กษัตริย์ไทย และความฉลาดของบรรพบุรุษ ผู้จัดทาต้อง
ขอขอบคุณคุณครู ธีรกานต์ ขะชาตย์ ผู้ให้ความรู้ในเรื่องลิลิต
ตะเลงพ่าย จนทาให้พวกเรามีความสนใจและอยากหาข้อมูลใน
เรื่องลิลติ ตะเลงพ่ายมากยงิ่ ขึ้น ทาให้พวกเราจดั ทารายงานฉบับนี้
ขนึ้ มา และขอบคุณเพอ่ื นๆทุกคนที่ให้ความชว่ ยเหลอื มาโดยตลอด
ผู้จัดทาหวังว่ารายงานฉบับน้ีจะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่
ผอู้ ่าน
สารบัญ ค
เรื่อง หนา้
ชื่อสมาชิก ก
คานา ข
สารบัญ ค–ง
ลิลิตตะเลงพา่ ย ๑
ผแู้ ต่ง ๒
ความเป็นมา ๓–๔
ลักษณะคาประพนั ธ์ ๕
แผนผังรา่ ยสภุ าพและโคลงสองสุภาพ ๖–๙
เรอ่ื งยอ่ ๑๐
๑๑
ตอนท่ี ๑ เร่มิ บทกวี ๑๒ – ๑๓
ตอนท่ี ๒ เหตกุ ารณท์ างเมืองมอญ ๑๔ – ๑๕
ตอนที่ ๓ พระมหาอุปราชายกทพั เขา้ เมืองกาญจนบุรี ๑๖
ตอนท่ี ๔ พระนเรศวรทรงปรารภเรอื่ งตเี มอื งเขมร ๑๗ – ๑๘
ตอนที่ ๕ สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรยี มสมู้ อญ ๑๙ – ๒๑
ตอนท่ี ๖ พระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทพั ๒๒ – ๒๓
ตอนท่ี ๗ พระมหาอปุ ราชาทรงปรึกษาศกึ แล้วยกทพั
๒๔ – ๒๕
เขา้ ปะทะหน้าของไทย ๒๖ – ๒๗
ตอนที่ ๘ ทัพหน้าไทยถอยไม่เปน็ กระบวน
ตอนที่ ๙ ทพั หลวงเคล่ือนพล ช้างทรงพระนเรศวรและ ๒๘ – ๒๙
พระเอกกาทศรถฝ่าเขา้ ไปในกองข้าศกึ
ตอนท่ี ๑๐ ยุทธหตั ถี และ ชัยชนะของไทย
สารบญั ง
เรอ่ื ง หน้า
ตอนที่ ๑๑ พระนเรศวรทรงสรา้ งสถูปและปูนบาเหนจ็ ทหาร ๓๐
ตอนที่ ๑๒ สมเดจ็ พระวันรัตขอพระราชทานอภัยโทษ ๓๑ – ๓๒
๓๓ – ๓๘
คณุ ธรรมทีไ่ ด้จากเร่ืองน้ี ๓๙ – ๔๕
วิเคราะหค์ ุณคา่ จากเร่ือง ลิลติ ตะเลงพา่ ย
บทอาขยาน ๔๖
ความรจู้ ากวรรณคดี ๔๗
สรปุ สาระสาคญั ๔๘
010
๑
ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย
แผ่นดินไทยต้องผ่านการทาศึกสงครามอย่างมากมายกว่าที่จะมา
รวมกันเป็นปึกแผ่นพระราชภารกิจของกษัตริย์ไทยในสมัยก่อน คือการ
ปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและรบเพ่ือปกป้องอธิปไตยของไทย
ลิลิตตะเลงพ่ายสะท้อนให้เห็นความรักชาติ ความเสียสละ ความกล้าหาญ
ของบรรพบรุ ษุ ซึง่ คนไทยควรภาคภูมิใจ
ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีช้ันสูงของชาติซ่ึงถือได้ว่าเป็น
แบบอย่างท่ีดีของวรรณคดีอื่นๆให้คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์หลาย
ประการ เช่น การเล่นคา การแทรกบทนิราศคร่าครวญ การใช้โวหาร
ต่างๆ
ก า ร พ ร ร ณน า ฉา ก ท่ี ท า ใ ห้ ผู้ อ่ า น มี อ า ร ม ณ์ ร่ ว ม แ ล ะเกิ ด คว า ม รู้ สึ ก
คลอ้ ยตามใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั ประวัตศิ าสตร์และลักษณะผู้ฟังที่ดี ปลุกใจให้
คนไทยรกั และเทดิ ทูนแผ่นดินไทยจนพร้อมที่จะเสยี สละเพอ่ื บ้านเมอื ง
๒
ผู้แต่ง
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ดิ ชโิ นรสมี
พระนามเดมิ ว่าพระองค์เจ้าวาสกุ รี เป็นพระเจ้าลูกยา-
เธอในพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช
ประสตู ิเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๓ เม่ือพระชนมายปุ ระมาณ ๑๒
พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณรและทรงศึกษาอย่ใู น
สานักสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในพ.ศ. ๒๓๕๔
ทรงได้รับอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ประทับอยู่ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลา
ราม ต่อมาได้ดารงตาแหน่องเป็นราชาคณะและได้รับสถาปนาเป็นกรมหม่ืน
นชุ ิตชโิ นรสในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๓๙๔ มี
ประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็นกรมสมเด็จพระปรมา
นุชิตชิโนรส ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
สถาปนาขน้ึ เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นพระอาจารย์
เจ้านายในพระราชวงศ์จักรีหลายพระองค์ รวมท้ังพระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย พระนิพนธ์ต่างๆ มีท้ังตาราและวรรณคดีหลายเล่ม
ตัวอย่างเช่น ตาราฉันท์วรรณพฤติและมาตราพฤติ สรรพสิทธิ์คาฉันท์
กฤษณาสอนน้องคาฉันท์ ลิลิตรตะเลงพ่าย มหาชาติ ๑๑ กัณฑ์ ( เว้นกัณฑ์
มหาพนและมัทรี ) พระปฐมสมโพธิกถา และยังมีหนังสือเบ็ดเตล็ดต่างๆอีก
เชน่ โคลงฤาษดี ดั ตนโคลงกลบท และ เพลงยาวเจา้ พระ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์ใน
สมณเพศ เมื่อพ.ศ. ๒๓๙๖ พระชนมายุ ๖๔ พรรษา
๓
ความเปน็ มา
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ ลิลิต
ตะเลงพา่ ย โดยมพี ระนัดดา คอื พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ภูบาลบรริ ักษ์
( พระองค์เจ้ากปิตถา ) นิพนธ์ร่วมด้วยบ้างเพ่ืองานพระราชพิธีฉลองตึกวัด
พระเชตุพนวิมลมังคลารามครัง้ นี้ พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจ้าอยู่หัว การ
กอ่ สร้างตึกตา่ งๆ ในวดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในรชั กาลพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประชุมนักปราชญ์ราช
บัณฑิตแต่งตาราต่างๆ จารึกลงบนแผ่นหินอ่อนประดับไว้ตามระเบียงพระ
วิหารคดและศาลาราย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้วัดพระเชตุพนวิมลมัง
คลาราม เปน็ แหล่งศกึ ษาอนั ถาวรสาหรับมหาชน
ลิลติ ตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีสาคัญเร่ือง
หนึง่ ในสมัยรัตนโกสินทร์ จดั อยูใ่ นวรรณคดี
เฉลิมพระเกียรติพระมหากษตั รยิ ์ เช่นเดียว
กบั ลลิ ิตยวนพา่ ยซ่งึ เป็นวรรณคดสี มัยอยุธยา
ชอื่ " ตะเลงพ่าย "แปลตรงตวั ว่า " มอญแพ้ "
ท่เี รียกเช่นนี้เพราะเมอ่ื พม่ามีอานาจเหนือมอญ พม่าไดย้ า้ ยเมอื งหลวงมาต้งั ที่
กรงุ หงสาวดี ซึง่ เปน็ เมอื งหลวงมอญมาก่อน กองทัพพมา่ จงึ ยกมาจากเมือง
มอญ และได้เกณฑพ์ วกมอญมาในกองทัพดว้ ยเป็นอันมาก คนไทยจงึ เรียกวา่
" ทัพมอญ " สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพทรง
อธบิ ายไว้ในหนังสือเรื่อง " ไทยรบพมา่ " วา่
๔
" ชาวเรามกั เขา้ ใจกนั มาแต่กอ่ นโดยมาก วา่ เม่อื คราวรบศกึ พระเจ้าหงสาวดี
นน้ั ไทยรบกบั มอญ เพราะเมอื งหงสาวดเี ปน็ ราชธานีของรามัญประเทศตน้ วงศ์
อยู่เมอื งตองอปู ราบปรามไดท้ งั้ ประเทศพมา่ รามญั รวมไวใ้ นราชอาณาจักรเดียว
กัน ตงั้ แตเ่ มอื งหงสาวดเี ป็นราชธานี จงึ ไดป้ รากฏพระนามวา่ เจ้าหงสาวดที ั้ง ๓
พระองค์ แตส่ ่วนชนชาติมอญนนั้ หาไดป้ รากฏว่าเคยเปน็ ศตั รกู บั ไทยโดยลาพัง
ไม่ ทมี่ อญมารบพุ่งกับไทยคราวใด กถ็ กู พม่าบังคับใหม้ าในเวลาตกอยใู่ นอานาจ
พมา่ ....และในการศึกทพ่ี ระเจา้ หงสาวดมี ีพระราชบญั ชาใหพ้ ระมหาอุปชายกทพั
ตกี รงุ ศรีอยุธยาในสมยั พระนเรศวรครง้ั นี้ พม่าได้เกณฑพ์ วกมอญมาในกองทพั
เป็นจานวนมาก คาว่า " ตะเลงพา่ ย " ซงึ่ แปลว่ามอญแพใ้ นท่ีนี้ จงึ หมายถงึ พมา่
แพ้นั่นเอง "
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส ทรงนาเนอ้ื หาและ
สานวนโวหารมาจากพระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ตอนแผน่ ดนิ สมเดจ็
พระสรรเพชญท์ ่ี ๒ ( พระนเรศวร ) มบี างสว่ นทน่ี าสานวนโวหารมาจาก
วรรณคดโี บราณ เชน่ ยวนพา่ ยโคลงดัน้ ลลิ ติ พระลอ เปน็ ตน้ และบางสว่ น
ทรงนิพนธข์ นึ้ จากจนิ ตนาการของพระองค์เอง เช่น บทนิราศ ลลิ ติ ตะเลงพพา่ ย
จึงมที ั้งสว่ นทีเ่ สนอข้อเทจ็ จริงทางประวัตศิ าสตร์และสว่ นทีเ่ สนออารมณข์ องตวั
ละคร
๕
ลกั ษณะคาประพนั ธ์
ลลิ ติ เป็นลักษณะงานประพนั ธ์รปู แบบหนึ่งของไทย ทีใ่ ช้ร่ายและโคลง
ต่อกันเป็นเรื่องยาวโดยมสี มั ผสั ต่อกันไปท้งั เรือ่ ง เรยี กว่า " เข้าลลิ ติ "
ลิลิตมี ๒ ประเภท คือ ลิลิตดั้นกับลิลิตสุภาพ ลิลิตสุภาพประกอบไปด้วย
ร่ายสุภาพและโคลงสุภาพแตง่ สลบั กนั
ลักษณะคาประพันธ์ของลลิ ติ มีดังนี้
๑. ร่ายสภุ าพ คือ เป็นร่ายที่ตอ้ งจบบทด้วยรูปแบบโคลงสองสุภาพ
ลักษณะบงั คับ มีดังน้ี
• รา่ ยสุภาพ ๑ บทมตี ั้งแต่ ๕ วรรคขึน้ ไป วรรคหน่งึ ๆ มีประมาณ ๕ คา
• คาสุดทา้ ยของวรรคหนา้ สง่ สมั ผัสสระไปยังคาที่ ๑ หรอื ๒ หรอื ๓ ของวรรค
ต่อไป
คาสุดท้ายของวรรคหน้าไม่นิยมลงท้ายด้วยคาท่ีมีวรรณยุกต์และต้องรับ
สัมผสั ด้วยคาที่ไมม่ รี ูปวรรณยกุ ต์เช่นกัน แต่ถ้าหากคาสุดท้ายของวรรคหน้าลง
ท้ายด้วยคาที่มีรูปวรรณยุกต์ใด เมื่อรับสัมผัส ต้องใช้คาที่มีรูปวรรณยุกต์น้ัน
ด้วย เช่น
• • • • มา • • พา • •
• • • • ป่า • • ค่า • •
• การสง่ และรับสัมผัสกันระหว่างวรรคเช่นนี้ดาเนินไปสิ้นสดุ ทกี่ ารส่งสมั ผสั
จากคาสุดท้ายของวรรคสดุ ท้ายของรา่ ย มายงั คาท่ี ๑ หรือ ๒ หรอื ๓ ใน
วรรคแรกของโคลงสองสุภาพ
๖
แผนผงั รา่ ยสุภาพและโคลงสองสุภาพ
• • • • • (• •) • • • • • (• •) • • • • • (• •) • • • • • (• •)
• • • • • (• •) ………… • • • น•่ น•้ • น•่ • • น•้ น•่ น•้ • • • (• •)
ตัวอย่าง
ธก็ประกาศเกณฑ์พล บอกยุบลบม่ ิหงึ ถึงเชียงใหม่ตระบดั เร่งแจงจัดจตรุ งค์
ลงมาสหู่ งสา แล้วธให้หาเมืองออก บอกทกุ แดนทกุ ด้าว บอกทกุ ทา้ วทกุ เทศ
ท่วั ทุกเขตทุกขอบ รอบสมี ามณฑล ทราบนุสนธ์ิทกุ แหง่ ตา่ งตกแตง่ แสะสาร
แสนยาหาญมหิมา คลาบรรลุเวยี งราช แลสระพราศสระพรง่ั คัง่ คบั นบั เหลือตรา
ตา่ งภาษาต่างเพศ พเิ ศษสรรพแตง่ ตน ขา้ ศกึ ยลแสยงฤทธ์ิ บพติ รธเทียบทพั หลวง
โดยกระทรวงพยุหบาตร จักยาตราตรู่เชา้ เสดจ็ คนื เขา้ นเิ วศไท้ เกรยี มอุระราชไหม้
หมน่ เศรา้ ศรสี ลาย อยนู่ า
๒. โคลงสองสภุ าพ
ลักษณะบงั คบั มดี งั นี้
• ๑ บทมี ๓ วรรค วรรคท่ี ๑ และวรรคที่ ๒ มี ๕ คา วรรคสุดท้ายมี ๔ คา อาจ
มคี าสร้อยได้
• มีคาเอก ๓ แหง่ และคาโท ๓ แหง่ อาจมีคาสรอ้ ยที่ท้ายบาทหลงั ได้
• สามารถใช้คาตายแทนตาแหนง่ คาเอกได้
• สัมผัสระหว่างวรรคไดแ้ ก่ คาสุดทา้ ยของวรรคที่ ๑ สง่ สมั ผสั ไปยงั คาสดุ ท้าย
ของวรรคที่ ๒
• สัมผสั ระหว่างบทได้แก่ คาสดุ ท้ายของวรรคท่ี ๓ สง่ สัมผสั ไปยงั คาที่ ๑ หรอื ๒
หรอื ๓ ของวรรคท่ี ๑ ของบทต่อไป
บทท่ี ๑ • • • น•่ น•้ • น•่ • • น•้ ๗
น•่ น•้ • • (• •)
บทที่ ๒ • • • น•่ น•้ • น•่ • • น•้ น•่ น•้ • • (• •)
ตัวอยา่ ง
๔ ( ๙ ) กรตระกองกอดแกว้ เรยี มจักร้างรสแคล้ว คลาดเคลา้ คลาสมร
๕ ( ๑๐ ) จาใจจรจากสร้อย อยแู่ มอ่ ยา่ ละห้อย ห่อนชา้ คืนสม แม่แล
๓. โคลงสามสภุ าพ
โคลงสามสภุ าพมลี ักษณะบงั คับคลา้ ยโคลงสองสภุ าพทุกประการ แตกตา่ ง
กันก็คือ โคลงสามสุภาพจะเพ่ิมวรรคหนา้ เขา้ ไป ๑ วรรค ดังนนั้ ๑ บทจะมี ๔
บาท บาทแรกมี ๒ วรรค วรรคละ ๕ คา รวมเปน็ ๑๙ คา อาจมคี าสร้อยได้ ๒
คา ในบาทสุดท้ายมีคาเอก ๓ แห่งและคาโท ๓ แห่ง อาจมีคาสร้อยในท้าย
บาท หลังได้สัมผัสระหว่างวรรคและสัมผัสระหว่างบทเป็น เช่นดังโคลงสอง
สุภาพทกุ
บทท่ี ๑ • • • • • • • • น•่ น•้ • น•่ • • น•้ น•่ น•้ • • (• •)
บทท่ี ๒ • • • • • • • • น•่ น•้ • น•่ • • น•้ น•่ น•้ • • (• •)
ตัวอยา่ ง อวยพระพรเลิศล้น
ภูบาลอน้ื อานวย แหง่ เง้ือมมือเทอญ พ่อนา
จงอยุธยอ์ ยา่ พ้น
๘
๔. โคลงสี่สุภาพ
เป็นโคลงสุภาพที่มีผู้นิยมแต่งมากท่ีสุด เพราะมีท่วงทานองไพเราะมีลีลา
สง่างามการร้อยกรองโคลงตั้งแต่ ๒ บทขึ้นไป กวีอาจเลือกแต่งให้ส่งสัมผัส
ระหว่างบทหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าแต่งให้ส่งสัมผัสต่อเน่ืองกัน จะช่วยเพ่ิมความ
ไพเราะดว้ ยเสียงท่ีคล้องจองกันโดยตลอด
ลกั ษณะบงั คับ ดงั นี้
• ๑ บท มี ๔ บาท หนง่ึ บาทมี ๒ วรรค หนง่ึ บทมี ๘ วรรค บาทท่ี ๑ – ๓ วรรค
หน้ามี ๕ คา วรรคหลงั มี ๒ คา อาจจะมี ( คาสรอ้ ยท้ายบาทที่ ๑ และบาทท่ี
๓ ตาแหนง่ ละ ๒ คา ) บาทที่ ๔ วรรคหน้ามี ๕ คา วรรคหลังมี ๔ คา รวม
หนึ่งบทมี ๓๐ คา
• คาเอก ( ใชค้ าตายแทนได้ ) คาโทและคาสุภาพ ( คาทีไ่ ม่กาหนดบังคบั รปู
วรรณยุกตเ์ อก และรูปวรรณยกุ ตโ์ ท จะมีหรอื ไม่มีกไ็ ด้ )
ลักษณะบังคับ ดงั นี้
๑. บังคับคาท่ีมีรูปวรรณยุกต์เอก ๗ คา รูปวรรณยุกต์โท ๔ คา ตาม
แผนผงั นอกจากน้อี าจสลบั ทคี่ าเอกโทตรงคาท่ี ๔ และ ๕ ของบาท
ท่ี ๑ เปน็ คาโทเอกได้
๒.คาสุดท้ายของบาทที่ ๑ และบาทที่ ๔ คาท่ี ๕ ของบาทท่ี ๒ และ
บาทท่ี ๓ ไม่นิยมใช้คาที่มีรูปวรรณยุกต์ ( คาสุภาพ ) และคา
สดุ ทา้ ยของบาทท่ี ๔ ไม่นิยมลงท้ายด้วยคาตาย
๓.บังคับสัมผสั ตามแผนผัง ดังนี้
• คาสดุ ทา้ ยของบาทที่ ๑ สง่ สมั ผสั ไปยงั คาที่ ๕ ของบาทที่ ๒ และท่ี ๓
• คาสดุ ทา้ ยของบาทที่ ๒ สง่ สัมผัสไปยังคาท่ี ๕ ของบาทท่ี ๔
• • • น•่ น•้ • • (• •) บาทท่ี ๑ ๙
• น•่ • • • บาทท่ี ๒
• • น•่ • • น•่ น•้ บาทที่ ๓ ๑ บท
• น•่ • • น•้ บาทท่ี ๔
• น•่ (• •)
น•่ น•้ • •
ตัวอย่าง ยามสาย
สายหยุดหยุดกลน่ิ ฟ้งุ ห่างเศรา้
วางเทวษ ราแม่
สายบห่ ยดุ เสน่ห์หาย หยุดไดฉ้ นั ใด
กคี่ นื กวี่ ันวาย
ถวลิ ทุกขวบคา่ เช้า
๑๐
เรอ่ื งย่อ
ในพระราชพงศาวดากรงุ ศรีอยธุ ยาฉบับพนั จนั ทนมุ าศ ( เจมิ ) มกี าร
บนั ทกึ ไวว้ า่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๑๓๓ พระเจา้ กรงุ หงสาวดนี นั ทบุเรงทรงทราบขา่ วว่า
สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาเสดจ็ สวรรคต แผน่ ดนิ ไทยคงกาลงั ระส่าระส่าย อาจ
มีเหตุวนุ่ วายดว้ ยพระราชโอรสทง้ั สองพระองคช์ งิ ราชบลั ลังก์ จึงโปรดพระมหา
อุปราชายกกองทพั เขา้ ตีกรงุ ศรีอยุธยา โดยกองทัพพม่าเขา้ ทางดา่ นเจดยี ์สาม
องค์ และเขา้ ตเี มืองกาญจนบรุ ี ขณะนัน้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเปน็
พระมหากษตั รยิ ไ์ ทย ทรงเตรมี ทพั จะไปรบเขมร แตเ่ มอ่ื ทรงทราบขา่ วข้าศกึ พมา่
จึงทรงนาทพั ออกไปรบั ศึกพมา่ นอกพระนคร ทพั ไทยและทพั พม่าปะทะกันท่ี
ตาบลตระพงั ตรุ จังหวดั สพุ รรณบรุ ี ชา้ งทรงของพระนเรศวรมหาราชและช้าง
ทรงของสมเด็จพระเอกาทศรถตกมนั จงึ เตลิดเขา้ ไปอยู่ในวงล้อมข้าศกึ โดยไม่
มกี องทพั ของพระองคต์ ดิ ตามไปดว้ ย สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเชญิ พระ
มหาอุปราชาเสด็จมากระทายทุ ธหัตถดี ้วยกนั พระมหาอปุ ราชาเพลยี่ งพลา้ ต้อง
แสงของา้ วของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชส้ินพระชนมบ์ นคอชา้ ง
หลังจากสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชเสดจ็ กลบั กรุงศรีอยุธยาแลว้ ทรงปูน
บาเหนจ็ ทหารทม่ี ีความชอบในการรบ และทรงตดั สนิ โทษทหารทตี่ ามเสดจ็ ไม่
ทนั แตส่ มเดจ็ พระวันรตั วัดปา่ แก้วได้กราบทูลของพระราชทานอภัยโทษใหแ้ ก่
ทหารเหลา่ นนั้ พระองคก์ ท็ รงยินยอมและยกทพั ไปตีเมอื งทวายและตะนาวศรี
เป็นการไถ่โทษ
๑๑
ตอนท่ี ๑ เร่ิมบทกวี
กล่าวสดุดีพระบรมเดชานุภาพแห่กษัตริย์ไทยที่เอาชนะเหล่าศัตรูผู้
ยง่ิ ใหญท่ ง้ั หลาย พระเกียรติยศเป็นท่ีเล่ืองลือเหมือนพลิกแผ่นฟ้า ข้าศึกเกรง
พระบรมเดชานุภาพไม่กล้าเสี่ยงทาสงคราม ยอมเป็นเมืองข้ึน กรุงศรีอยุธยา
เจริญรุ่งเรืองมีความสุขสาราญพรั่งพร้อมด้วยโภคสมบัติพร้อมสรรพด้วยพืช
พันธ์ุธัญญาหารอันสมบูรณ์ บ้านเมืองมีแต่ความสงบปราศจากศึกสงคราม
ข้าราชการ ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในก็พากันเฝ้าแหนอย่างพร้อมพรั่ง เหล่า
ทหารพล ชา้ ง ม้า อาวุธ ปนื ไฟ ทั่วโลกล้วนสรรเสริญสดุดี เป็นบุญญานุภาพ
แหง่ พระมหากษตั ริย์แหง่ แผน่ ดินสยาม เมือ่ ขา้ ศกึ ไดย้ นิ พระเกียรตยิ ศช่ือเสียง
พากันเกรงกลัวพระบรม เดชานุภาพ ฤทธานุภาพของพระองค์เปรียบ
พระรามท่ีปราบยักษ์ (ทศกัณฐ์) พระองค์เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้าท่ีปราบ
กาลังพลของพญามาร ข้าศึกไม่อาจต่อสู้พระองค์ได้ เมื่อเสร็จศึกแล้วก็ขึ้น
ครองราชสมบัติ พระบารมขี องพระองค์ทาให้บ้านเมืองร่มเย็นดุจแสงจันทร์ที่
ส่องอยู่บนท้องฟ้า ส่องความสุข ความสบายใจแก่มนุษยโลก บ้านเมืองมีแต่
ความสมบูรณ์ ปราศจากความทุกข์ จนเป็นท่ีแซ่ซ้องสรรเสริญท่ัวไปทุกแหล่ง
หลา้
๑๒
ตอนท่ี ๒ เหตุการณ์ทางเมอื งมอญ
ฝ่ายนครรามัญ คือ หงสาวดี ทราบข่าวว่าพระมหาธรรมราชากษัตริย์
แห่งกรุงศรีอยุธยาสวรรคต พระราชโอรส คือพระนเรศวรได้ข้ึนครองราช
สมบัติ จึงได้ประชุมหมู่อามาตย์ปรึกษากันว่า กรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยน
แผ่นดินใหม่ โอรสทั้งสองพระองค์อาจจะวิวาทกันเพื่อแย่งชิงราชสมบัติ ควร
ยกทัพไปดูลาดเลา ถ้าได้เปรียบก็จะได้รบแย่งชิงเอาบ้านเมือง ขุนนางต่าง
เห็นชอบตามพระราชดาริ จึงมีรับส่ังให้พระมหาอุปราชาจัดเตรียมทัพพร้อม
ดว้ ยทพั เมอื งเชียงใหมห่ า้ แสนคนยกไปตกี รุงศรีอยธุ ยา พระมหาอุปราชากราบ
บังคมทูลว่าโหรทานายว่าพระองค์กาลังมีเคราะห์ถึงตาย พระเจ้าหงสาวดีจึง
ตรัสเป็นเชิงประชดว่า กษัตริย์อยุธยามีโอรสเก่งกล้าสามารถในการรบ กล้า
หาญทาศกึ ไม่ต้องใหพ้ ระบดิ าใชว้ าน มีแต่จะห้ามปรามไม่ให้ทาศึก ถ้าพระมหา
อุปราชาเกรงว่าเคราะหร์ า้ ยให้เอาผา้ สตรีมานุง่ จะได้หมดเคราะห์ พระมหาอุป
ราชาทรงอับอายขุนนางข้าราชการมาก จึงทูลลา พระบิดาแล้วเตรียมยกทัพ
โดยเกณฑ์จากหัวเมืองต่างๆรวมห้าแสนคนเตรียมยกทัพไปในเวลาเช้าตรู่
วันรุ่งขึ้น แล้วเสด็จกลับตาหนักส่ังลาพระสนมท้ังหลายด้วยความอาวรณ์
จนถงึ รุ่งเชา้ ยังไม่ทันสว่างก็แต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้วก็ไปเฝ้าพระราชบิดา
เพื่อ ทูลลาไปราชสงคราม พระเจ้าหงสาวดีก็พระราชทานพรให้ชนะศึกสยาม
ในครั้งน้ี แล้วพระราชทานโอวาทในการทาสงคราม ๘ ประการ
๑๓
๑.อยา่ เป็นคนหเู บา ( จงพอ่ ยา่ ยินยล แต่ตื้น )
๒.อย่าทาอะไรตามใจตนเอง ไมน่ ึกถงึ ใจผู้อนื่ ( อยา่ ลองคะนองตน
ตามชอบ ทานา )
๓. รู้จกั เอาใจทหารให้ฮึกเหมิ อยู่ ( เอาใจทหารหาญ เรงิ รนื่ อยูน่ า )
๔. อย่าไว้ใจคนข้ีขลาดและคนโง่ ( อย่าระคนปนใกล้ เกลือกกลัว้ ขลาดเขลา )
๕. ควรรอบรใู้ นการจัดกระบวนทัพทกุ รปู แบบ( หนง่ึ รู้พยหุ เศกิ ไสร้ สบสถาน )
๖. รหู้ ลักการตง้ั คา่ ยตามพชิ ยั สงคราม ( ร้เู ชิงพชิ ยั ชาญ ชุมคา่ ย ควรนา )
๗. รู้จักใหบ้ าเหนจ็ ความดคี วามชอบแกแ่ ม่ทพั นายกองทเี่ ก่งกล้า
( หน่ึงรูบ้ าเหน็จให้ ขนุ พล อนั สมรรถมอื ผจญ จดื เสี้ยน)
๘. อย่าเกียจครา้ น ( อย่าหย่อนวิริยะยล อยา่ งเกยี จ )
พระมหาอุปราชาทรงรบั โอวาทและคาประสาทพรแลว้ กราบบงั คมลามาท
เกยประทบั บนหลังชา้ งพระทนี่ ่ัง ยกกองทัพออกจากพระนครผา่ นโขลนทวาร
เสดจ็ พระราชดาเนินไปทนั ที
๑๔
ตอนท่ี ๓ พระมหาอปุ ราชายก
ทพั เขา้ เมอื งกาญจนบรุ ี
พระมหาอุปราชายกทัพผา่ นด่านเจดีย์สามองค์ ทรงราพนั ถงึ นางสนมวา่
เสด็จมาลาพังพระองค์เดียวเปล่าเปลี่ยวใจและน่าเศร้านัก เมื่อทรงชมต้นไม้
และดอกไมท้ ท่ี รงพบเหน็ ระหวา่ งทางทาใหเ้ บิกบานพระทัยข้ึนมาบ้าง แต่ก็ยัง
คิดถึงนางสนมกานัลทั้งหลาย ทรงเห็นต้นสลัดไดทรงดาริถึงสาเหตุท่ีต้องจาก
นางมาเพอ่ื ทาสงครามกบั ขา้ ศึก เห็นต้นสละเหมือนพระองค์สละนางมา เห็น
ต้นระกาท่ีช่ือต้นไม้เหมือนใจของพระองค์ท่ีระกาเพราะคิดถึงนาง เห็นดอก
สายหยุดซ่งึ กลน่ิ หอมจะหมดไปเมอ่ื เวลาสาย ต่างจากใจของพระองค์แม้เวลา
ผ่านไปกี่วนั กีค่ นื มีแตค่ วามทกุ ข์คดิ ถงึ นางทกุ ค่าเชา้ ไม่อาจหยดุ รักนางได้
ฝา่ ยเจ้าเมืองกาญจนบรุ ี จดั ทหารไปสืบข่าวในเขตมอญ ทหารก็ลดั เลาะ
ไปทางลาน้าแม่กษัตริย์ เห็นฉัตรห้าชั้นก็ทราบว่าพระมหาอุปราชายกทัพมา
กลับมาแจ้งข่าวศึกให้เจ้าเมืองกาญจนบุรี เจ้าเมืองทราบข่าวศึกปรึกษากัน
แล้วเห็นว่ากาลังทหารมีน้อย คงต้านไม่ได้จึงชวนกันหลบหนีเข้าป่า ส่วน
กองทพั พระมหาอปุ ราชามาถึงแม่นา้ ลากระเพนิ ให้พระยาจิตตอง ทาสะพาน
ไม้ไผ่เพื่อยกพลเดินข้ามฟาก ชาวสยามเห็นเช่นน้ันจึงมีสาร แล้วให้ขุนแผน
(นายด่าน) ขม่ี ้าเร็วมาบอกพญามหาดไทย เพ่อื กราบทลู เร่อื งใหท้ รงทราบ
๑๕
สว่ นกองทัพมอญยกทัพมาถึงเมืองกาญจนบุรีเห็นบ้านเมืองว่างเปล่า ไม่
มีผู้ใดออกสู้รบ จึงรู้ว่าคนไทยทราบข่าวและหลบหนีไปหมด จึงให้ยกทัพเข้าไป
ในเมือง แล้วต่อไปถึงตาบลพนมทวน เกิดลมเวรัมภาพัดฉัตรหักลง ทรงตก
พระทัย ทรงให้โหรทานาย โหรไม่กล้าทูลตามความจริง กลับทานายว่า
เหตุการณ์เช่นนี้หากเกิดในตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดในตอนเย็นจะได้ลาภ และจะ
ชนะศึกคร้ังน้ี พระมหาอุปราชาได้ทรงฟังก็อดที่จะหว่ันพระทัยไม่ได้ด้วยเกรง
พ่ายแพ้ข้าศึก การรบกับพระนเรศวร ใครก็ไม่อาจจะต่อสู้ได้ เสียดายแผ่นดิน
มอญจะต้องพินาศเพราะไม่มีใครอาจจะต่อสู้ต้านทาน สงสารพระราชบิดา ท่ี
จะต้องสูญเสียพระโอรสพระราชบิดาทรงชราภาพมาก เกรงจะพ่ายแพ้ศึก
สยาม หากพระมหาอปุ ราชาสน้ิ พระชนม์ไม่มีใครเก็บผี(ศพ)ไปให้พระบิดา ไม่มี
ใครเผา พระราชบิดาไม่มีใครเป็นคู่ทุกข์ จะริเร่ิมสงครามเพียงลาพังไม่ได้
พระองค์คงจะต้องคับแค้นพระทัย พระมหาอุปราชาทรงราพึงถึงพระคุณของ
พระราชบิดาวา่ ใหญห่ ลวงนักเกรงวา่ จะไมโ่ อกาสกลับไปตอบแทนพระคณุ
๑๖
ตอนที่ ๔ พระนเรศวรทรงปรารภ
เร่อื งตีเมืองเขมร
สมเด็จพระนเรศวรมพี ระราชดารสั ถามถึงทุกข์สุขของปวงชน ขุนนางก็
กราบทลู ให้ทรงทราบ พระองคท์ รงตัดสนิ คดีดว้ ยความยตุ ิธรรม ราษฎรกอ็ ยู่
ด้วยความรม่ เย็นเปน็ สขุ จากนนั้ มพี ระราชดารัสถงึ การทจี่ ะยกทพั ไปตีเขมร
โดยกาหนดวนั ทจ่ี ะยกทพั ออกไป ส่วนทัพเรอื จะใหเ้ กณฑ์หวั เมอื งปกั ษใ์ ต้เพื่อ
ยกไปตเี มืองพุทไธมาศและเมืองป่าสัก แล้วให้เข้าลอ้ มเมอื งหลวงของเขมรไว้
พระองค์ทรงพระวิตกว่า พมา่ จะยกกองทพั มา จงึ ได้ใหผ้ ู้แทนพระองค์อยู่
ปอ้ งกนั บา้ นเมืองรอพระองค์เสด็จกลบั มา ทรงเหน็ วา่ พระยาจกั รเี ปน็ ผ้ทู ี่
เหมาะสมก็ทรงแตง่ ตงั้ ใหเ้ ปน็ ผูร้ กั ษาบา้ นเมือง แต่ทรงคาดคะเนว่าทัพพมา่ พึ่ง
จะแตกไปเมือ่ ต้นปี คงจะยังไม่ยกมาในปนี ี้ หากมีก็เหน็ จะเปน็ ปหี นา้ ขณะท่ที รง
ปรกึ ษากนั อยนู่ น้ั ทูตเมืองกาญจนบรุ ีกม็ าถงึ และกราบทลู เร่อื งราวให้ทรง
ทราบ พระองคก์ ลับทรงยนิ ดที ี่ได้รบั ข่าวศกึ จงึ ให้พระเอกาทศรถเข้าเฝ้าเพอ่ื
แจง้ ข่าวใหท้ ราบ
๑๗
ตอนท่ี ๕ สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรยี มสู้
มอญ
สมเด็จพระนเรศวรมพี ระราชดารัสวา่ พระองค์เตรียมทพั จะไปตเี ขมรแต่
ศกึ มอญกลบั มาชงิ ตดั หน้า จงึ มรี บั สงั่ ใหป้ ระกาศแก่เมอื งราชบรุ ีให้เกณฑ์ทหาร
จานวน ๕๐๐ คน ไปซ่มุ ดขู ้าศกึ ขณะกาลังข้ามสะพานทีล่ ากระเพนิ ตดั สะพาน
ใหข้ าด จุดไฟเผาอยา่ ใหเ้ หลือ แลว้ ใหห้ ลบหนกี ลบั มาอยา่ ใหข้ ้าศกึ จับได้ พอ
รบั สง่ั เสรจ็ ทตู จากเมอื งสิงห์ เมอื งสรรค์ เมอื งสุพรรณบรุ ี เขา้ เฝา้ กราบบงั คม
ทลู และถวายสารใหท้ รงทราบวา่ กองทพั มอญลาดตระเวน เขา้ มาถงึ เขตเมือง
วเิ ศษไชยชาญ สมเด็จพระนเรศวรโสมนัสที่จะไดป้ ราบข้าศกึ ทงั้ สองพระองค์
ปรกึ ษาถงึ กลศกึ ทจี่ ะรบั มือกบั มอญ ขุนนางไดถ้ วายคาแนะนาให้ออกไปรับ
ขา้ ศึกนอกกรุงศรอี ยุธยา ซง่ึ ตรงกลับพระดาริของพระองค์ แลว้ มรี ับสงั่ ให้จดั
ทพั กาลงั พลห้าหมื่น เกณฑ์จากหัวเมืองตรีและจตั วา จานวน ๒๓ หวั เมอื งใต้
เป็นทัพหนา้ ใหพ้ ระยาศรไี สยณรงค์เป็นแม่ทพั พระราชฤทธานนท์เป็นปลัด
ทพั โดยใหก้ องหนา้ ออกไปตอ่ สขู้ ้าศึก หากสู้ไมไ่ ด้พระองค์จะออกไปต่อส้ใู น
ภายหลงั แมท่ ัพรบั พระบรมราชโองการแลว้ ก็ยกทพั ไปต้ังอยตู่ าบลหนอง
สาหร่ายโดยต้ังคา่ ยแบบพยหุ ไกรสร(สหี นาม)
ชัยภูมพิ ยหุ ะ หมายถงึ การจดั ตงั้ คา่ ยหรอื การสังเกตภมู ปิ ระเทศที่จะตง้ั
ค่ายตามตาราพิชยั สงคราม มดี ังน้ี
๑๘
๑.ครุฑนาม ตง้ั คา่ ยบริเวณท่มี จี อมปลวกและมีตน้ ไม้ใหญ่ ๑ ต้น
๒.พยคั ฆนาม ตง้ั คา่ ยบรเิ วณแนวป่ารมิ ทาง
๓.สีหนาม ต้งั คา่ ยบรเิ วณท่มี ีตน้ ไมใ้ หญ่ ๓ ต้นเรียงกนั ข้ึนบนภูเขาหรอื
จอมปลวก
๔.สนุ ขั นาม ต้ังคา่ ยตามรายทางใกล้บ้านคน
๕.มุสกิ นาม ตง้ั คา่ ยบรเิ วณทเ่ี ป็นดนิ โพรง(ดินโป่ง)
๖.อัชนาม ตัง้ ค่ายกลางทุ่งหญา้ ท่เี ลีย้ งสัตว์
๗.นาคนาม ตั้งคา่ ยใกลห้ ว้ ย คลองน้าไหล
๘.คชนาม ตัง้ ค่ายบริเวณทม่ี หี ญ้า ปา่ ไผห่ รอื ปา่ หนาม
๑๙
ตอนท่ี ๖ พระนเรศวรทรงตรวจเตรยี มทัพ
ขณะน้ันสมเด็จพระนเรศวรก็มีรับสั่งให้โหรหาฤกษ์ท่ีจะยกทัพ หลวงไป
หลวงญาณโยคและหลวงโลกทีปคานวณพระฤกษ์ว่า พระนเรศวรได้จตุรงค
โชค อาจปราบขา้ ศึกใหแ้ พ้สงครามไป ขอเชญิ เสด็จยกทัพออกจากพระนคร ณ
วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่า เดือนย่ี เวลา ๘ นาฬิกา ๓๐ นาที เม่ือได้มงคลฤกษ์
ทรงเคลอ่ื นพยหุ ยาตรา เขา้ โขลนทวาร พระสงฆ์ประพรมน้าพระพุทธมนต์แก่
กองทพั เสดจ็ ทางชลมารคไปประทับแรมทต่ี าบลปากโมก เมอ่ื ประทับที่ปากโมก
สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษาการศึกอยู่กับขุนนางผู้ใหญ่จนยามที่สามจึง
เสด็จเข้าทีบ่ รรทม คร้นั เวลา ๔ นาฬิกา พระองค์ทรงพระสบุ ินเปน็ ศุภนมิ ติ
ในพระสุบินของสมเด็จพระนเรศวรมีว่า พระองค์ได้ทอดพระเนตรน้าไหลบ่า
ท่วมป่าสูง ทางทิศตะวันตก เป็นแนวยาวสุดพระเนตร และพระองค์ทรงลุย
กระแสน้าอันเช่ียวและกว้างใหญ่น้ัน จระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งโถมปะทะและจะกัด
พระองค์ จึงต่อสู้กันขึ้น พระองค์ใช้พระแสงดาบฟันถูกจระเข้ตาย ทันใดน้ัน
สายน้าก็เหือดแหง้ ไป พอตนื่ บรรทมทรงมรี บั สง่ั ให้โหรทานายทันที พระโหราธิ
บดีถวายพยากรณ์ว่า พระสุบินคร้ังน้ีเกิดขึ้นเพราะเทวดาสังหรให้ทราบเป็น
นัย น้าซ่ึงไหลบ่าท่วมป่าทางทิศตะวันตกหมายถึงกองทัพของมอญ จระเข้คือ
พระมหาอุปราชา สงครามครั้งน้ีอาจ ได้กระทายุทธหัตถีกัน การท่ีพระองค์
เอาชนะจระเข้ได้แสดงว่าศัตรูของพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตด้วยพระแสงของ้าว
และทีพ่ ระองค์ทรงกระแสนา้ น้นั หมายความว่า
๒๐
พระองค์จะรุกไล่บุกฝ่าไปจนข้าศึกแตกพ่ายไปไม่อาจจะทานพระบรมเดชานุ
ภาพได้ พอใกลฤ้ กษ์ยกทพั สมเด็จพระนเรศวร และพระเอกาทศรถเสด็จไปยัง
เกยทรงช้างพระท่ีนั่ง คอยพิชัยฤกษ์อยู่ทันใดนั้นพระองค์ทอดพระเนตรพระ
บรมสารรี กิ ธาตุสอ่ งแสงเรอื งงาม ขนาดเทา่ ผลส้มเกล้ียง ลอยมาในทอ้ งฟ้าทาง
ทิศใต้หมุนเวียนรอบกองทัพเป็นทักษิณาวรรต ๓ รอบ แล้วลอยวนไปทางทิศ
เหนือ สมเด็จพระพี่น้องท้ังสองพระองค์ทรงปิติยินดีต้ืนตันพระทัย ทรง
สรรเสรญิ และนมสั การ อธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุนนั้ บันดาลใหพ้ ระองค์
ชนะขา้ ศกึ แล้วสมเดจ็ พระนเรศวรเสด็จประทับช้างทรงเจ้าพระยาไชยานุภาพ
สมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จประทับช้างทรงเจ้าพระยาปราบไตรจักร แล้ว
เคลือ่ นขบวนทัพ
โศลก หมายความวา่ เกียรติ คาขับรอ้ งสรรเสริญ ในท่ีนห้ี มายถงึ โฉลก
แปลวา่ โชค หรือโอกาส
จตุรงคโชค คือ โชคประกอบด้วยองค์ส่ี ซง่ึ โหรคานวณไดต้ กทด่ี ี ๔ ประการ
คือ ๑. โชคดี เพราะไมท่ นั ไดน้ กทพั ไปตีเขมร
๒. วันเดือนปีดี เพราะเตรยี มจะไปตเี ขมรอยแู่ ล้ว
๓. กาลงั ทหารเข้มแขง็ เพราะเตรยี มจะไปตเี ขมรอยู่แล้ว
๔. เสบียงอาหารบริบรู ณ์ เพราะเตรียมจะไปตีเขมรอยู่แลว้
วาร เปน็ ชอื่ เรยี กวนั ทงั้ ๗ ตามตาราโหราศาสตร์ ดงั นี้ ๒๑
• รวิวาร หรอื อาทติ ยวาร คือ วันอาทติ ย์
• ศศิวาร หรือ จนั ทวาร คือ วนั จนั ทร์
• ภุมวาร หรอื อังคารวาร คอื วนั อังคาร
• วธุ วาร คอื วนั พุธ
• ครวุ าร หรือ ชีรวาล คอื วันพฤหัสบดี
• ศุภรวาร คือ วันศกุ ร์
• โสรวาร หรอื ศนวิ าล คือ วันเสาร์
นมิ ติ คือ ความฝนั ตามคตโิ บราณมี ๔ อยา่ ง
• บพุ นิมติ หมายถงึ ฝนั บอกลางทจี่ ะเกิดขึ้น
• จติ นวิ รณ์ หมายถึง ฝนั ทีเ่ กดิ จากความกงั วลใจ
• เทพสงั หร หมายถงึ ฝันทเ่ี กดิ จากเทวดาบันดาล
• ธาตโุ ขภ หมายถงึ ฝันท่เี กดิ จากธาตใุ นเรอื นกายผติ ปกติ
ตามความเชือ่ โบราณ ความฝนั ท่เี ป็นจรงิ ได้ คือ บุพนมิ ิตและเทพสังหร
ซึง่ เกดิ ขน้ึ ในยามสุดท้ายเทา่ นน้ั
การแบง่ เวลาในสมัยโบราณ
• กลางวัน นับตง้ั แต่ ๐๖.๐๐ – ๑๘.๐๐ นาฬกิ า
• กลางคืน นับต้ังแต่ ๑๘.๐๐ – ๐๖.๐๐ นาฬิกา
ในเวลากลางคนื จะแบง่ เวลาออกเป็น ๔ ยามคอื
• ปฐมยาม ตงั้ แต่ ย่าคา่ ไปจนถงึ ๓ ทมุ่ ( ๑๘.๐๐ – ๒๑.๐๐ นาฬกิ า )
• ทุติยยาม ตง้ั แต่ ๓ ทุ่มไปจนถงึ ๖ ท่มุ ( ๒๑.๐๐ – ๒๔.๐๐ นาฬกิ า )
• ตติยยาม ตง้ั แต่ ๖ ทมุ่ ไปจนถงึ ๙ ทมุ่ ( ๒๔.๐๐ – ๐๓.๐๐ นาฬิกา )
• ปจั ฉมิ ยาม ตง้ั แต่ ๙ ทุม่ ไปจนถงึ ย่ารุง่ ( ๐๓.๐๐– ๐๖.๐๐ นาฬิกา )
๒๒
ตอนที่ ๗ พระมหาอปุ ราชาทรงปรึกษาการ
ศึกแลว้ ยกทัพเขา้ ปะทะหน้าของไทย
ฝ่ายกองตระเวนของมอญ ซึ่งได้รับคาสั่งให้มาสืบข่าวดูกองทัพไทยซึ่งจะ
ออกมาต่อสู้ตา้ นทานได้นาข่าวมาแจ้งพระมหาอุปราชา สมิงอะคร้าน สมิงเป่อ
สมงิ ซายม่วน พร้อมดว้ ยกองม้าจานวน ๕๐๐คน ไดไ้ ปพบกองทัพไทยต้ังค่ายรอ
รับอยทู่ หี่ นองสาหรา่ ยจึงกลับไปทูลแด่องค์พระมหาอุปราชา พระองค์ตรัสถาม
นายกองท้ังสามถึงกาลังพลฝ่ายไทย นายกองกราบทูลว่า ประมาณสิบเจ็ด -
สิบแปด หมื่น ดูเต็มท้องทุ่ง พระมหาอุปราชาตรัสว่ากษัตริย์ไทย ท้ังสอง
พระองค์ออกมารอรับทัพเป็นกองใหญ่ แต่กาลังน้อยกว่าของมอญ กาลังของ
มอญมากกว่าหลายส่วน ต้องรบี โจมตีหักเอาให้ได้ ตั้งแต่แรกจะได้เบาแรง แล้ว
จะไปล้อมกรุงศรีอยุธยาชิงเอาราชสมบัติได้โดยสะดวก แล้วรับส่ังให้ขุนพล
เตรียมทัพให้เสร็จแต่ ๓ นาฬิกา พอ ๕ นาฬิกา ก็ยกไป โดยกะสว่างเอา
ขา้ งหนา้ รุ่งเช้าจะไดเ้ ข้าโจมตี เสนาผใู้ หญ่ได้ทาตามรับสั่ง เม่ือถึงเวลาพระมหา
อุปราชาเสด็จประทับช้างช่ือ พลายพัธกอซ่ึงกาลังตกมัน ส่วนพระยาศรีไสย
ณรงค์และพระราชฤทธานนท์ เมือ่ ไดร้ บั พระบรมราชโองการใหอ้ อกโจมตีข้าศึก
ทัพไทยเคล่ือนออกจากหนองสาหร่ายถึงโคกเผาข้าวเวลาประมาณ ๗ นาฬิกา
ได้ปะทะกับทัพมอญ ต่างฝ่ายล้มตายจานวนมาก พวกท่ีเหลือก็ต่อสู้กันอย่าง
กล้าหาญ กองทัพมอญท่ีตามมามีมากขึ้น ตีโอบล้อม กองทัพไทย ฝ่ายไทย
กาลังน้อยกว่า กระจายออกรับไม่ไหว จึงต้องถอย ในขณะที่สมเด็จพระ
นเรศวรและพระเอกาทศรถทรงเตรยี มกาลงั ทหารไว้อยา่ งพรอ้ มเพรยี งตัง้ แตย่ งั
ไม่สวา่ ง จนแสงเงินแสงทองจบั ขอบฟา้
๒๓
จึงจดั ทัพพรอ้ มดว้ ยกาลังพล ห้าหมน่ื และจดั ทัพแบบตรเี สนา คือแบ่งเปน็
ทัพใหญ่ ๓ ทัพ แต่ล่ะทพั แยกออกเป็น ๓ กอง ( ตรีเสนาเกา้ กอง )
• ปีกซา้ ย กองหนา้ ปีกขวา
เจา้ เมอื งธนบรุ ี พระยาสพุ รรณบรุ ี เจา้ เมอื งนนทบรุ ี
• กองหลวง
เจา้ เมืองสรรคบ์ ุรี พระยาศรไี สยณรงค์ เจา้ เมอื งสงิ หบ์ รุ ี
• กองหลัง
เจา้ เมืองชยั นาท พระราชฤทธานนท์ พระยาวิเศษชัยชาญ
๒๔
ตอนท่ี ๘ ทัพหนา้ ไทยถอยไมเ่ ป็น
กระบวน
ขณะที่พราหมณผ์ ู้ทาพธิ แี ละผูช้ านาญไสยศาสตร์ ทาพธิ เี บกิ ประตูป่าและ
พิธีละว้าเซ่นไก่ หลวงมหาวิชัยรับพระแสงดาบอาญาสิทธ์ิ ไปทาพิธีตัดไม้ข่ม
นามตามไสยศาสตร์ สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงสดับเสียงปืนซ่ึงไทยกับมอญ
กาลังยิงต่อสู้กัน แต่เสียงน้ันอยู่ไกลฟังไม่ถนัด จึงรับส่ังให้หมื่นทิพเสนารีบไป
สืบข่าว เห็นกองทัพไทยกาลังล่าถอย รับพลางถอยพลาง มอญพม่าตามมา
อย่างกระช้ันชิด หมื่นทิพเสนาได้นาขุนหมื่นผู้หน่ึงมาเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร
ขุนหมื่นผู้นั้นกราบทูลว่า เมื่อเวลา ๗ นาฬิกา ทัพไทยได้ปะทะกับทัพมอญท่ี
ตาบลโคกเผาข้าว ทัพไทยต้องถอยร่นตลอดเวลา เพราะกาลังข้าศึกมีมากกว่า
สมเดจ็ พระนเรศวร จึงตรัสปรึกษาแมท่ พั นายกองว่าควรคิดหาอุบายแก้ไขการ
ศกึ บรรดาแม่ทัพนายกองกราบทูลขอให้พระองค์ส่งทัพไปยันไว้ ให้ข้าศึกอ่อน
กาลังลงก่อนจึงเสด็จยกทัพหลวงออกต่อสู้ภายหลัง สมเด็จพระนเรศวรตรัส
ตอบว่าทัพไทยกาลังแตกพ่ายอยู่ ถ้าจะส่งทัพไปต้านทานอีก ก็จะพลอยแตก
อีกคร้ัง ควรท่ีจะล่าถอยลงมาโดยไม่หยุดย้ัง เพ่ือลวงข้าศึกให้ละเลิงใจ ยก
ติดตามมาไม่เปน็ ขบวน พอไดท้ ใี ห้ยกกาลังส่วนใหญ่ออกโจมตี คงจะได้ชัยชนะ
อย่างง่ายดาย แม่ทัพนายกองเห็นชอบด้วยกับพระราชดารินั้น สมเด็จพระ
นเรศวรจึงมรี บั สง่ั ใหห้ มืน่ ทิพเสนากับหมน่ื ราชามาตยไ์ ปแจ้งทพั หน้าของไทยให้
ล่าถอยโดยเร็ว ทพั พม่า ไม่รูอ้ ุบาย กร็ ุกไล่ตามจนเสยี กระบวน
พธิ ีทางไสยศาสตร์เกี่ยวกบั ศกึ สงคราม ๒๕
• โขลนทวาร หรือประตูปา่ เปน็ พิธบี ารุงขวญั ทหารเม่อื ยกทัพออกจากเมอื ง
โดยทาซมุ้ ประตูใหท้ หารลอดสองข้างประตูทาเป็นรา้ นนัง่ ใหพ้ ราหมณ์
ประพรมน้ามนตข์ ณะทท่ี หารลอดซุ้มประตแู ละมีพระสงฆ์สวดชยันโตเพอ่ื
เป็นสริ มิ งคลและใหก้ าลงั ใจทหารทีอ่ อกรบ
• ละว้าเซน่ ไก่ เปน็ พธิ บี ารงุ ขวัญทหารอีกพธิ หี นง่ึ พิธนี ีเ้ ปน็ พธิ บี วงสรวง
เทวดาและเจ้าป่าของชาวละวา้ ผทู้ าพธิ จี ะตงั้ เครื่องสงั เวย บวงสรวง
เทวดา ขอให้งานสาเรจ็ ลลุ ่วงแลว้ เสย่ี งทายโดยถอดกระดูกคางไก่ที่ใชเ้ ป็น
เครือ่ งเซ่น ถา้ กระดกู ยาวเรยี ว มขี ้อถถี่ ือเป็นนิมิตดี
• ตดั ไม้ข่มนาม เปน็ พิธบี ารงุ ขวญั ทหารก่อนทพั ไปปราบศัตรโู ดยจัดตง้ั โรงพิธี
วงสายสิญจน์ นาดินเหนียวมาป้นั เป็นรูปคน สมมติเปน็ ขา้ ศกึ เขยี นชื่อ ลง
ยนั ตก์ ากับหอ่ ดว้ ยกาบกลว้ ยนาเขา้ พธิ ีปลุกเสก นาไปตดิ กบั ตน้ ไมท้ ่มี ีชื่อ
พอ้ งหรือใกล้เคียง กบั ชือ่ ขา้ ศึก นาตน้ ไมไ้ ปปกั ลงหลมุ ในโรงพิธี พอไดฤ้ กษ์
ผู้ทไ่ี ดร้ ับมอบอานาจจากพระมหากษตั รยิ ์จะเชญิ พระแสงดาบ อาญาสิทธิ์
ในโรงพธิ ไี ปฟันไมแ้ ละรูปป้นั ขา้ ศกึ แลว้ กลบั ไปทูลพระมหากษัตริย์ว่าได้
เอาชนะข้าศึกตามพระกระแสรับส่งั แลว้
• เคลอ่ื นพลตามเกลด็ นาค เป็นการเคล่ือนทัพตามตาราพิชยั สงครามโดย
กาหนดว่าวนั ที่เคลอื่ นทัพนาคหันหวั ไปทศิ ใดให้เคล่อื นทัพไปทางทิศนน้ั จะ
เปน็ สริ ิมงคลหากเดินทวนเกล็ดนาคถอื วา่ เปน็ อัปมงคล
ตอนท่ี ๙ ทพั หลวงเคลือ่ นพล ช้างทรงพระ๒๖
นเรศวรและพระเอกาทศรถฝา่ เข้าไปใน
กองทพั ข้าศกึ
ขณะสมเด็จพระนเรศวรประทับบนเกย เพื่อรอพิชัยฤกษ์เคล่ือนทัพหลวง
ได้บังเกิดเมฆก้อนใหญ่เย็นเยือกลอยอยู่ทางทิศพายัพ แล้วก็กลับสว่าง ดวง
อาทติ ยส์ อ่ งแสงจา้ อนั เปน็ นิมิตทแี่ สดงพระบรมเดชานุภาพและชี้ให้เห็นความ
มีโชคดี สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนพลตามเกล็ดนาค
ตามตาราพิชัยสงคราม จนปะทะกับกองทัพข้าศึก ช้างพระที่นั่งทั้งสอง คือ
พระเจ้าไชยานุภาพ และ เจ้าพระยาปราบไตรจักร ได้สดับเสียง ฆ้อง กลอง
และเสียงปืนของข้าศึก ก็ส่งเสียงร้องด้วยความคึกคะนอง เพราะกาลังตกมัน
ควาญบังคบั ไว้ไมอ่ ยู่ มันวิ่งไปโดยเร็ว จนทหารในกองทัพตามไม่ทัน มีแต่กลาง
ช้างและควาญช้างตามเสด็จไปด้วยจนเข้าไปใกล้กองหน้าของข้าศึก ช้างศึกได้
กลน่ิ มนั ก็พากันตกใจหนีไปปะทะกับพวกทต่ี ามมาข้างหลงั
๒๗
ชา้ งทรงไล่แทงช้างของข้าศกึ อยา่ งเมามนั ทหารพมา่ ล้มตายเปน็ จานวน
มาก ขา้ ศึกยงิ ปนื เขา้ ใส่ แตไ่ มถ่ ูกชา้ งทรง ทงั้ สองฝ่ายต่อสู้กันจนฝุ่นตลบมอง
หน้ากันไมเ่ หน็ เหมือนกับเวลากลางคืน สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสประกาศ
แด่เทวดาบนสวรรค์ท้ังหกชั้น และพรหมท้ังสิบหกช้ันว่า ที่ให้พระองค์มา
ประสูตเิ ปน็ พระมหากษัตริยป์ กครองบา้ นเมืองเพ่อื ใหท้ ะนบุ ารงุ ศาสนา และ
พระรัตนตรัยให้เจริญรุ่งเรือง เหตุใดเทวดาจึงไม่บันดาลให้มองเห็นข้าศึกได้
ชัดเจน พอดารัสจบก็เกิดพายุใหญ่พัดหอบเอาฝุ่นและควันหายไป ท้องฟ้า
สว่างดังเดิม มองเห็นสนามรบได้ชัดเจน พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น
พระมหาอุปราชาทรงช้างประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข่อย มีทหารห้อมล้อมและ
ต้ังเคร่ืองสูงครบครัน ทั้งสองพระองค์จึงทรงไสช้างเข้าไปหาแม้ข้าศึกยิงปืน
ไฟเขา้ มาแตก่ ม็ ไิ ด้ตอ้ งพระองค์และช้างทรง
๒๘
ตอนที่ ๑๐ ยุทธหตั ถี และ ชยั ชนะของไทย
สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระราชดารัสทักทายพระมหาอุปราชาว่า ทรง
เป็นใหญ่แห่งประเทศมอญ พระเกียรติยศเลื่องลือไปไกลท่ัวทั้งสิบทิศ ข้าศึกได้
ยินก็เกรงกลัวพระบรมเดชานุภาพไม่กล้าสู้รบพากันหนีไป ทรงปกครอง
ประเทศอนั บรบิ ูรณ์ ไม่สมควรท่ีพระมหาอุปราชาจะประทับอยู่ใต้ร่มไม้ พร้อม
กับเชิญมหาอุปราชา เสด็จมาทายุทธหัตถี เพื่อแสดงเกียรติยศให้ปรากฏ ต่อ
จากรัชสมัยของทง้ั สองพระองค์จะไม่มีอีกแล้ว การทายุทธหตั ถีก็เปรียบประดุจ
การเล่นที่ร่ืนเริงของกษัตริย์เพื่อให้ชมเล่นเป็นขวัญตาแก่มนุษย์จนถึงเมือง
สวรรค์
สมเด็จพระนเรศวรได้ขอทูลเชิญเทวดาและพรหมทั้งปวง มาประชุมเพื่อ
ชมการยทุ ธหัตถี และขอทรงอวยพรใหผ้ ทู้ ี่เช่ียวชาญกว่าได้รับชัยชนะหวังจะให้
พระเกียรติยศในการรบครั้งน้ีดารงอยู่ชั่วฟ้าดิน เป็นท่ียกย่องสรรเสริญ
ตลอดไป เม่ือพระมหาอุปราชาไดท้ รงสดับก็เกิดขัตติยะมานะทรงรับคาท้าต่อสู้
กัน จนถกู พระแสงของ้าวของสมเดจ็ พระนเรศวรฟันพระองั สาขวาขาดสะพาย
แลง่ พระวรกายก็เอนซบสน้ิ พระชนม์อยบู่ นคอชา้ ง
๒๙
ขณะน้ันควาญช้างของสมเด็จ พระนเรศวร คือ นายมหานุภาพก็ถูกปืน
ขา้ ศกึ เสยี ชีวติ ส่วนสมเดจ็ พระเอกาทศรถไดท้ ายทุ ธหตั ถีกับ มางจาชโร( พระพ่ี
เลีย้ งของพระมหาอุปราชา) พระเอกาทศรถไดใ้ ชพ้ ระแสงของ้าวฟนั ถกู มางจาช
โรตายซบอยู่บนหลังพลายพัชเนียง ส่วนกลางช้างของพระเอกาทศรถ คือ
หมื่นภักดีศวรก็ถูกปืนข้าศึกตาย ชัยชนะคร้ังน้ีเป็นเพราะพระบรมเดชานุภาพ
ของท้ังสองพระองค์ เพราะมีทหารตามเสด็จเพียงสี่คน พระเกียรติยศจึงแผ่ไป
ไกล ทหารท่ตี ดิ ตามไปตายสองคนและรอดกลับมาสองคน จากนั้นเมื่อกองทัพ
ไทยติดตามมาทนั ต่างรีบเข้ามาชว่ ยรบ ฆ่าฟันทหาร พมา่ มอญ ไทยใหญ่ ลาว
เชยี งใหม่ ตายลงจานวนมากเหลือคณานับ ที่เหลือบุกป่าฝ่าดงหนีไป ทั้งนี้เป็น
พระบรมเดชานภุ าพของสมเดจ็ พระนเรศวร
๓๐
ตอนที่ ๑๑ พระนเรศวรทรงสร้างสถปู และ
ปูนบาเหน็จทหาร
สมเด็จพระนเรศวรมีรบั สั่งให้สร้างสถปู สวมทบั ทพ่ี ระองคท์ รงทายุทธหตั ถี
ณ ตาบลตระพังตรุ เพื่อเปน็ การเฉลมิ พระเกียรติสืบต่อไป จากนั้นโปรดให้เจ้า
เมือง มล่วน รวมท้ังควาญช้างกลับ ไปแจ้งข่าวการแพ้สงครามและการ
ส้ินพระชนม์ของพระมหาอุปราชาแก่พระเจ้าหงสาวดี แล้วพระองค์ก็ยกทัพ
กลับกรุงศรีอยธุ ยา จากนั้นก็ทรงพระราชทานความดีความชอบแก่ พระยาราม
ราฆพ ( กลางช้างของพระนเรศวร ) และ ขุนศรีคชคง ( ควาญช้างของพระ
เอกาทศรถ ) โดยพระราชทานบาเหน็จ เคร่ืองอุปโภค เงิน ทอง ทาส และ
เชลยให้แล้วก็พระราชทานบานาญแก่บุตรภรรยาของ นายมหานุภาพ และ
หม่ืนภักดีศวร ท่ีเสียชีวิตในสงครามให้สมกับความดีความชอบและความ
จงรักภกั ดี
ต่อมาทรงปรึกษาโทษแม่ทัพนายกองตามกฎอัยการศึกเม่ือข้าศึกเหยียบ
แดนถงึ ชานพระนคร พระองคแ์ ละพระเอกาทศรถทรงมีพระราชประสงค์ท่ีจะ
ท า นุ บ า รุ ง เ ห ล่ า ส ม ณ พ ร า ห ม ณ์ แ ล ะ ป ร ะ ช า ร า ษ ฎ ร มิ ไ ด้ ย่ อ ท้ อ ต่ อ ค ว า ม
ยากลาบาก ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จออกไปปราบอริราชศัตรู แต่แม่ทัพ
นายกองทั้งปวงกลับกลัวข้าศึกย่ิงกว่าพระอาญา ตามเสด็จไม่ทัน ปล่อยให้ทั้ง
สองพระองค์ทรงช้างพระท่ีนั่งฝ่าเข้าไปท่ามกลางข้าศึกตามลาพัง จนมีชัยชนะ
ลกู ขุนเห็นวา่ จะได้รับโทษถึงประหารชีวิต แต่เน่ืองจากใกล้วัน ๑๕ ค่า( บัณรสี
) จึงทรงพระกรุณางดโทษไว้ก่อน ต่อวันหน่ึงค่า (ปาฏิบท) จึงให้ลงโทษ
ประหาร
๓๑
ตอนท่ี ๑๒ สมเดจ็ พระวันรัตขอ
พระราชทานอภัยโทษ
สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้ว กับพระราชาคณะ ๒๕ รูปสองแผนก คือ
ฝ่ายคามวาสี และ อรัญวาสี มาถวายพระพรและถามข่าวที่สมเด็จพระ
นเรศวรทรงมีชัยชนะ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงเล่าจบ พระวันรัตกราบทูล
ว่าเมื่อพระองค์ทรงมีชัยชนะ เหตุใดจึงลงโทษข้าราชบริภารเหล่าน้ัน สมเด็จ
พระนเรศวรจึงตรัสต่อไปว่า แม่ทัพนายกองทั้งปวงซึ่งได้รับเกณฑ์เข้าใน
กองทัพ เม่อื เหน็ ขา้ ศึกกต็ กใจกลัว ยิ่งกว่ากลัวพระองค์ซ่ึงเป็นเจ้านาย ไม่ตาม
เสด็จให้ทัน ปล่อยให้พระองค์สองพี่น้องเข้าสู้รบท่ามกลางข้าศึกจานวนมาก
จนมีชัยชนะรอดพ้นความตายจึงได้มาดูหน้าพวกทหารเหล่าน้ัน ท้ังนี้เพราะ
คณุ ความดยี งิ่ ใหญท่ ี่ได้ทานุบารุงบ้านเมืองไวค้ อยอดุ หนุนพระบรมเดชานุภาพ
ของพระองค์สองพ่ีน้อง ถ้าไม่ได้ความดีแต่เก่าแล้ว กรุงศรีอยุธยาจะต้องส้ิน
อานาจเสียแผ่นดินแก่กรุงหงสาวดีเป็นการเสื่อมเสียเกียรติยศ จึงควรลงโทษ
ตามพระอัยการศกึ เพื่อมใิ ห้คนอ่ืนเอาเยย่ี งอย่างสบื ไป
สมเด็จพระวันรัตจึงกราบทูลว่า บรรดาข้าข้าราชการเหล่าน้ันล้วนมี
ความจงรักภักดี แต่เพราะพระบรมเดชานุภาพปรากฏแก่ปวงชนเป็นที่น่า
อศั จรรย์จึงบันดาลให้เป็นเช่นน้ัน เมอื่ ครัง้ สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้า ( พระ
ตรีโลกนาถ ) ทรงชนะพระยามารลาพังพระองค์เองเช่นเดียวกับ สมเด็จพระ
นเรศวรและพระเอกาทศรถ เสด็จไปปราบอริราชศัตรูจนแพ้พ่ายโดย
ปราศจากไพร่พล พระเกียรติยศจึงเล่ืองลือกึกก้องไปท่ัวทุกแห่งหน หากมี
ทหารล้อมจานวนมากแล้วเอาชนะได้
๓๒
พระเกียรติยศก็ไม่ฟุ้งเฟ่ืองเพ่ิมพูน และกษัตริย์ท้ังหลายก็จะไม่พากัน
ออกพระนามเอิกเกรกิ กันเช่นนี้ ขอพระองคท์ งั้ สองอย่าได้โทมนัสน้อยพระทัย
ท้งั นี้เพราะบญุ บารมขี องท้งั สองพระองค์ ทวยเทพทั้งหลายจึงบนั ดาลให้เป็นไป
ดังนั้น ขอทั้งสองพระองค์ อย่าได้ทรงขุ่นแค้นพระทัย สมเด็จพระนเรศวรได้
ทรงฟังก็ทรงเห็นด้วย เมือ่ พระวนั รตั เหน็ วา่ ทรงคลายกริ้วแม่ทพั นายกองแล้ว
จึงกล่าวถวายพระพรใหส้ มเดจ็ พระนเรศวรปราศจากทุกขภ์ ยั อันตรายท้ังปวง
แลว้ กราบทลู ว่า แมท่ ัพนายกองเหลา่ นม้ี คี วามผดิ รุนแรง ควรไดร้ บั โทษท้ังโคตร
แต่เคยได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาแตก่ ่อนนบั ตงั้ แต่สมัยสมเด็จพระ
มหาจกั รพรรดพิ ระบรมราชอยั กา และสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาพระราชบดิ า
จนลว่ งถงึ สมเดจ็ พระนเรศวร ขอให้ ทรงงดโทษประหารแมท่ ัพนายกอง เพอ่ื
จะไดเ้ ปน็ กาลังสง่ เสรมิ พระบรมเดชานุภาพ และเพ่ิมพูนพระบารมใี หแ้ ผไ่ ปทว่ั
บ้านเมอื ง สมเด็จพระนเรศวรทรงพระราชทานอภัยโทษตามคาทลู ของพระวัน
รตั แตท่ รงเหน็ สมควรทจี่ ะใชใ้ ห้ไปตเี มอื งตะนาวศรี ทวาย และ มะรดิ เปน็ การ
ชดเชยความผดิ จึง พระราชทานอภยั โทษแมท่ พั นายกอง และมพี ระราช
กาหนดให้ เจา้ พระยาคลังไปตเี มืองทวาย ให้เจา้ พระยาจักรไี ปตเี มอื ง มะรดิ
และ ตะนาวศรี เปน็ การไถ่โทษ จากนน้ั ทรงมีพระราชดารสั ถงึ หัวเมืองฝ่าย
เหนอื วา่ ไทยไดก้ วาดต้อนครอบครัวเข้ามาจานวนมากแตย่ งั ไมห่ มด ทรงมี
พระราชดาริ ถงึ ศกึ พม่า- มอญ ว่าคงจะลดลงถงึ จะยกมาอกี คงไมน่ ่ากลัว ควร
จะได้ทะนุบารงุ หวั เมืองฝ่ายเหนอื ไว้ให้รงุ่ เรอื งปรากฏเปน็ เกยี รตยิ ศสืบตอ่ ไปชั่ว
กลั ปาวสาน
๓๓
คุณธรรมที่ได้จากเร่อื งน้ี
๑.ความรอบคอบไมป่ ระมาท
ในเร่ืองลิลิตตะเลงพ่ายน้ีเราจะเห็นคุณธรรมของพระนเรศวรได้อย่าง
เด่นชัดและส่ิงที่ทาให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ท่ีทรงพระ
ปรชี าสามารถมากท่ีสุดคือ ความรอบคอบ ไมป่ ระมาท
ด่ังโคลงสส่ี ภุ าพตอนหนงึ่ กล่าววา่
๖๒( ๑๖๔ ) พระหว่ งแตศ่ กึ เส้ยี น อสั ดง
เกรงกระลับก่อรงค์ รว่ั หลา้
คอื ใครจักคุมคง ควรคู่ เข็ญแฮ
อาจประกนั กรงุ ถา้ ทพั ข้อยคนื ถึง
หลังจากที่พม่ายกกองทัพเข้ามาพระองค์ก็ทรงส่ังให้พ่ายพลทหารไป
ทาลายสะพานเพ่ือว่าเม่ือฝ่ายไทยชนะศึกสงคราม พา่ ยพลทหารของฝา่ ยพมา่
ก็จะตกเป็นเชลยของไทยท้ังหมด น่ันแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็น
กษัตรยิ ์ที่มีทัศนคติทก่ี วา้ งไกล ซง่ึ มผี ลมาจากความรอบคอบไม่ประมาท
๒ .การเปน็ คนรจู้ ักการวางแผน ๓๔
จากการท่ีเราได้รับการศึกษาเร่ืองลิลิตตะเลงพ่ายเราจะเห็นได้ชัดเจนว่า
ในช่วงตอนท่ีสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเปลี่ยนแผนการรบเป็นรับศึก
พม่าแทนไปตีเขมร พระองคไ์ ด้ทรงจัดการวางแผนอยา่ งเป็นขั้นเป็นตอนอย่าง
ไม่รอชา้ ทรงแต่งตั้งให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้าและพระราชฤทธา
นนท์เป็นปลัดทัพหน้าตามด้วยแผนการอื่นๆอีกมากมายเพื่อทาการรับมือ
และพรอ้ มทจี่ ะต่อสูก้ ับข้าศึกศตั รูทางฝ่ายพมา่ ยกตวั อย่างโคลงส่สี ภุ าพทแี่ สดง
ใหเ้ ราเหน็ ถึงการรูจ้ ักการวางแผนของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
๖๓( ๑๖๕ ) พระพงึ พเิ คราะห์ผู้ ภักดี ท่านนา
คือพระยาจักรี กาจแกล้ว
พระตรัสแดม่ นตรี มอบมงิ่ เมอื งเฮย
กูไกลกรงุ แกว้ เกลอื กชา้ คลาคืน
เมอ่ื เราเหน็ ถงึ คุณธรรมทางดา้ นการวางแผนแลว้ เรากค็ วรเอาเย่ยี งอย่าง
เพอื่ ใชใ้ นการดาเนนิ ชีวติ ให้เปน็ ไปอยา่ งมรี ะเบยี บ มแี บบแผน ซ่ึงจากคณุ ธรรม
ข้อน้ีก็อาจช่วยเปล่ียนแปลงให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ให้กลายเป็นบุคคลที่มี
คุณภาพชีวิตทางด้านการวางแผนในการดาเนินชีวิตก็เป็นได้ถ้าเรารู้จักการ
วางแผนใหก้ ับตวั เราเอง
๓๕
๓. การเป็นคนรู้จกความกตญั ญูกตเวที
จากบทการราพึงของพระมหาอุปราชาถึงพระราชบิดาน้ัน แสดงให้เรา
เห็นอย่างเด่นชัดเลยทีเดียวว่าพระมหาอุปราชาทรงมีความห่วงใย อาทร ถึง
พระราชบิดาในระหว่างท่ีทรงออกรบ ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความรักของ
พระองค์ท่ีมีต่อพระราชบิดา โดยพระองค์ได้ทรงถ่ายทออดความนึกคิด และ
ราพึงกบั ตวั เอง ดั่งโคลงสี่สภุ าพที่กลา่ วไว้วา่
๕๑( ๑๕๒ ) ณรงคน์ เรศด้าว ดัสกร
ใครจักอาจออกรอน รบสู้
เสียดายแผน่ ดนิ มอญ มอด มว้ ยแฮ
เหตูบ่มมี ือผู้ อ่ืนต้านทานเข็ญ
ซึง่ เม่ือแปลจะมีความหมายว่า เมื่อยามที่สงครามขึ้นใครเล่าจะออกไปรบ
แทนท่านพ่อ จากโคลงน้ีไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงความกตัญญูท่ีมีต่อพระราช
บดิ าของพระมหาอปุ ราชาเพยี งอยา่ งเดียว แตย่ งั มคี วามกตัญญู ความ
จงรัก ภักดี ต่อชาติบ้านเมอื งอีก
๔. การเป็นคนชา่ งสงั เกตและมไี หวพรบิ ๓๖
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชา
สามารถทางด้านการมีความสติปัญญาและมีไหวพริบเป็นเลิศ ดังนั้นจึงไม่
แปลกเลยทสี่ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราชจะทรงมีคุณธรรมทางด้านการเปน็ คน
ช่างสังเกตและมีไหวพริบ ด้วยเหตุนี้ทาให้พระองค์ทรงสามารถแก้ไข
สถานการณ์อันคับขันในช่วงท่ีตกอยู่ในวงล้อมของพม่าได้ ซ่ึงฉากท่ีแสดงให้
เราเหน็ ว่าพระองคท์ รงมคี ณุ ธรรมทางดา้ นนี้คอื
๑๓๐( ๒๙๖ ) โดยแขวงขวาทศิ ท้าว ทฤษฎี แลนา
บัด ธ เห็นขนุ กรี หนง่ึ ไสร้
เถลงิ ฉตั รจตั ุรพริ ีย์ เรียงคั่ง ขูเฮย
หนแหง่ ฉายาไม้ ข่อยชเี้ ฌอนาม
๑๓๑( ๒๙๗ ) ปิน่ สยามยลแทท้ า่ น คะเนนกึ อยูน่ า
ถวลิ วา่ ขนุ ศกึ สา- นักโนน้
ทวยทับเทยี บพันลกึ แลหลาก หลายแฮ
ครบเครื่องอุปโภคโพ้น เพง่ เพยี้ งพศิ วง
สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วิธีการสังเกตหาฉัตร 5ช้ันของพระมหาอุป -
ราชา ทาให้พระองค์ทรงทราบว่าใครเป็นพระมหาอุปราชาทั้งๆท่ีมีทหารฝ่าย
ข้าศึกรา่ ยลอ้ มพระองค์จนรอบ แต่ด้วยความมีไหวพริบพระองค์จึงตรัสท้ารบ
เสียกอ่ นเพราะถ้าพระองคไ์ ม่ทรงตรสั ทา้ รบเสยี ก่อนพระองค์อาจทรงถูกฝ่าย
ข้าศึกรุมโจมตีก็เป็นได้ ดังน้ันเมื่อเราเห็นคุณธรรมของพระองค์ด้านน้ีแล้วก็
ควรยึดถือและนาไปปฏิบัติตามเพราะส่ิงดีๆเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลดีต่อ
ตนเอง และต่อประเทศชาตไิ ด้
๓๗
๕. ความซื่อสตั ย์
จากเนื้อเรื่องน้ีเราจะเห็นได้ว่าบรรดาขุนกรีและทหารมากมายท้ังฝ่าย
พมา่ และฝ่ายไทยมีความซ่ือสัตย์และความจงรักภักดี ต่อประเทศชาติของตน
มากเพราะจากการที่ศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเรายังไม่เห็นเลยว่าบรรดา
ทหารฝ่ายใดจะทรยศต่อชาติบ้านเมืองของตน ซึ่งก็แสดงให้เราเห็นว่าความ
ซื่อสัตย์ในเราองเล็กๆน้อยๆก็ทาให้เราสามารถซ่ือสัตย์ในเรื่องใหญ่ๆได้ซึ่ง
จากเร่ืองนี้ความซ่ือสัตย์เล็กๆน้อยๆของบรรดาทหารส่งผลให้ชาติบ้านเมือง
เกิดความเป็นปึกแผ่นมัน่ คงได้
เรากเ็ ชน่ เดยี วกัน....ถา้ เรารจู้ กั มคี วามซื่อสตั ย์ตอ่ ตนเองด่งั เชน่ บรรดาขุน
กรี ทหารก็อาจนามาซ่ึงความเจริญและความมั่นคงในชีวิตก็เป็นได้ซึ่งสิ่งน้ี
อาจส่งผลประโยชนต์ อ่ ตนเอง ต่อครอบครัวและชาติบา้ นเมอื ง
๖. การมีวาทศลิ ปใ์ นการพดู
จากเร่ืองนี้มีบุคคลถึงสองท่านด้วยกันที่แสดงให้เราเห็นถึงพระปรีชา
สามารถทางด้านการมีวาทศิลป์ในการพูด ท่านแรกคือ สมเด็จพระนเรศวร
มหาราช ในโคลงส่ีสุภาพท่วี ่า
๑๗๗( ๓๐๓ ) พระพพ่ี ระผผู้ า่ น ภพอตุ -ดมเอย
ไปช่ อบเชษฐ์ยืนหยุด รม่ ไม้
เชญิ การร่วมคชยทุ ธ์ เผยอเกยี รติ ไว้แฮ
สบื วา่ สองเราไซร้ สดุ ส้นิ ฤามี
เราจะเห็นว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วาจาท่ีไพเราะมีความสุภาพน่า
ฟังตอ่ พระมหาอุปราชาซ่ึงเป็นพ่ีเม่ือครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับอยู่
ทางฝา่ ยพม่า
๓๘
ท่านท่ีสอง คือ สมเด็ จพระวันรัต เม่ื อคร้ังที่พร ะอง ค์ทรง มาขอ
พระราชทานอภัยโทษจากพระนเรศวร ให้กับบรรดาทหารที่ตามเสด็จพระ
นเรศวรในการรบไมท่ ัน ซ่งึ อยู่ในโคลงส่สี ภุ าพทีว่ ่า
๑๗๗( ๓๕๗ ) พระตรโี ลกนาถแผว้ เผดจ็ มาร
เฉกพระราชสมภาร พ่นี อ้ ง
เสด็จไรพ้ ริ ยิ ะราญ อรนิ าศ ลงนา
เสนอพระยศยนิ ก้อง เกียรติกอ้ งทุกภาย
การมีวาทศิลป์ในการพูดของสมเด็จพระวันรัตครั้งนี้ทาให้บรรดาขุ นกรี
ทหารได้รับการพน้ โทษดังน้นั จากคุณธรรมข้อนีท้ าใหเ้ ราได้ข้อคดิ ที่ว่า การพูด
ดีเปน็ ศรแี กต่ ัวเมื่อเราทราบเชน่ นแ้ี ล้วเราทุกคนก่อนที่จะพูดอะไรต้องคิดและ
ไตรต่ รองใหด้ ีกอ่ นทจี่ ะพดู
๓๙
วเิ คราะห์คุณคา่ จากเรื่อง
ลลิ ติ ตะเลงพ่าย จัดเป็นวรรณคดเี ฉลิมพระเกยี รติท่ีนาเนือ้ เรื่องมาจาก
พงศาวดารซึ่งเปน็ เหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตร์ คุณค่าของวรรณคดเี ร่ืองนม้ี ี
๓ ประการ ไดแ้ ก่ คณุ คา่ ด้านวรรณศลิ ป์ คณุ คา่ ดา้ นสังคม และคุณคา่ ดา้ น
ภาษา
๑. คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ ไดแ้ ก่ การสร้างจนิ ตภาพ การสรา้ งอารมณ์
สะเทอื นใจ และการใชค้ วามเปรียบเทยี บ
๑.๑ การสร้างจินตภาพ
วรรณคดีเร่ืองนม้ี คี วามโดดเดน่ เร่ืองการใชค้ าแสดงจินตภาพนนั่ คือ
การใช้คาบรรยายได้อย่างแจม่ ชดั ทาให้ผู้อ่านเห็นภาพเหตกุ ารณ์หรอื การ
เคลอื่ นไหวของตัวละครได้อยา่ งดี เช่น
สายหยดุ หยดุ กลิ่นฟุง้ ยามสาย
สายบห่ ยุดเสน่ห์หาย หา่ งเศร้า
กีค่ ืนก่ีวันวาย วางเทวษ ราแม่
ถวิลทกุ ขวบคา่ เชา้ หยุดไดฉ้ นั ใด
บทนริ าศนแ้ี สดงความอาลยั รกั ทีพ่ ระมหาอุปราชามตี ่อนางอนั เปน็ ทร่ี กั
เมื่อพานพบสิง่ ใดกม็ ีจติ ประหวัดถึงนาง ไดแ้ ก่ เห็นดอกสายหยดุ ก็เปรยี บเทยี บ
กับความเสนห่ าถงึ นาง และความเศร้าโศกทต่ี อ้ งจากนางว่าคงจะรักและคดิ ถึง
นางทุกเวลาไมม่ ีวนั ที่จะหยุดได้ " หยุดได้ฉนั ใด "
๔๐
๑.๒ การสร้างอารมณส์ ะเทอื นใจ
วรรณคดีเรือ่ งลิลติ ตะเลงพา่ ย ทาใหผ้ ู้อ่านเกดิ อารมณ์สะเทือนใจ
กล่าวคือ ผอู้ า่ นมีอารมณ์รว่ มไปกบั ตวั ละคร ทาใหป้ ระทับใจตัวละครหรือรู้สึก
เขา้ ใจและเห็นใจตัวละคร ตวั อย่างเชน่ เม่อื พระมหาอปุ ราชาทรงประสบลาง
รา้ ย ลมเวรมั ภาพพดั หอบเอาหักฉตั ร พระมหาอปุ ราชาทรงหวาดวติ กย่งิ นกั
ความทุกข์ระทมน้ัน " ถนัดดงั ภูผาหลวง ตกตอ้ ง " พฤติกรรมที่แสดงออกถงึ
" กระหม่ากระเหมน่ ทรวง สัน่ ซดี พกั ตรน์ า " และต้องตรสั เรียกโหรมาทานาย
เหตุการณต์ อนนี้ทาใหผ้ อู้ ่านเข้าใจเหน็ ใจพระมหาอปุ ราชายงิ่ นัก
พระฝืนทกุ ข์เทวษกลา้ แกล่ครวญ
ขบั คชบทจรจวน จกั เพล้
บรรลพุ นมทวน เถ่ือนท่ี นัน้ นา
เหตุอนาถหนกั เอ้ อาจให้ชนเหน็
เกดิ เปน็ หมอกมืดห้อง เวหา หนเฮย
ลมชื่อเวรมั ภา พัดคล้มุ
หวนหอบหกั ฉตั รา คชขาด ลงแฮ
แลธุลกี ลัดกล้มุ เกลอื่ นเพ้ยี งจกั รผัน
พระพลนั เหน็ เหตไุ ซร้ เสียวดวง แดเฮย
ถนัดดงั่ ภผู าหลวง ตกตอ้ ง
กระหม่าหระเหม่นทรวง สัน่ ซีด พักตรน์ า
หนกั หฤทัยท่านรอ้ ง เรียกให้โหรทาย
๔๑
๑.๓ การใชค้ วามเปรยี บ
ในลิลิตตะเลงพ่ายมีการใช้ความเปรียบเพ่ือทาให้ผู้อ่านเห็นภาพ
อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะอย่างย่ิงภาพเหตุการณ์การทายุทธหัตถี ซึ่งเป็นการสู้
รบทยี่ ง่ิ ใหญ่สมพระเกยี รติพระมหากษัตรยิ ท์ ง้ั ๒ พระองค์
หสั ดนิ ปนิ่ ธเรศไท้ โททรง
คอื สมิทธมิ าตงค์ หน่งึ อา้ ง
หนง่ึ คือคิรเิ มขลม์ ง - คลอาสน์ มารเอย
เศียรสา่ ยหงายงาควา้ ง ไขวแ่ ควง้ แทงโถม
สองโจมสองจจู่ ้วง บารู
สองขตั ติยสองขอชู เชิดด้า
กระลงึ กระลอกดู ไวว่อง นักนา
ควาญขบั คชแขง่ ค้า เข่นเข้ียวในสนาม
งามสองสุริยราชลา้ เลอพิศ นาพ่อ
พา่ งพัชรนิ ทรไพจิตร ศกึ สร้าง
ฤารามเรมิ่ รณฤทธิ์ รบราพณ์ แลฤา
ทกุ เทศทกุ ทศิ อ้าง อืน่ ไทไ้ ปเ่ ทียม
การทายุทธหัตถีคร้ังนี้เปรียบได้กับการทาศึกระหว่างพระอินทร์เทพผู้
ย่งิ ใหญ่แหง่ สวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์กับท้าวไพจิตราสูรเจา้ แห่งอสรู พิภพ สมเด็จพระ
นเรศวรมหาราชกค็ ือพระอินทร์ พระมหาอุปราชาคือทา้ วไพจิตราสรู
ชา้ งทรงของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชจงึ เปรยี บเปน็ ชา้ งสมทิ ธมาตงค์ ๔๒
ซ่ึงเปน็ ช้างของพระอนิ ทร์ ช้างทรงของพระมหาอุปราชาคอื ช้างคิรเิ มขล์ ซึง่
เปน็ ชา้ งของพญาวสวตั ดมี าร ชา้ งนี้เปน็ ชา้ งทท่ี รงพละกาลังยง่ิ นัก
เช่นเดยี วกบั ช้างทรงของกษตั ริยท์ งั้ ๒ พระองค์ ซง่ึ " เศรียรส่ายหงายงากวา้ ง
ไขว่แคว้งแทงโถม " การทาสงครามยทุ ธหตั ถีครง้ั นมี้ ีความยงิ่ ใหญน่ กั เปรียบ
เหมือนการทาศกึ สงครามระหวา่ งพระรามกบั ทศกัณฐซ์ งึ่ " ฤารามเร่มิ รณฤทธ์ิ
รบราพณ์ แลฤาทกุ เทศทุกทศิ อ้าง อนื่ ไทไ้ ป่เทียม "
ลิลิตตะเลงพ่าย จงึ มีคุณคา่ นานัปการ กระบวนการทางวรรณศิลป์ท่ี
ไพเราะงดงามทาให้ข้อเทจ็ จรงิ ทางประวตั ิศาสตรจ์ ากพระราชพงศาวดาร
๒. คุณคา่ ด้านสังคม มี ๒ ประการ ไดแ้ ก่ การนาเสนอข้อเท็จจรงิ จาก
พงศาวดาร และการแสดงวรี กรรมของวรี กษตั รยิ ์
๒.๑ การนาเสนอขอ้ เท็จจริงจากพงศาวดาร
ลิลิตตะเลงพา่ ยมีเนอื้ ความตามพระราชพงศาวดาร ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ
( เจิม ) โดยกล่าวว่า ในพ.ศ. ๒๑๓๓ พระเจ้ากรุงหงสาวดนี นั ทบเุ รงทรงทราบ
วา่ สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต ทรงคาดการณว์ า่ อาจจะเกิด
เหตกุ ารณ์แย่งชงิ ราชสมบตั จิ งึ ให้โอรส คือ พระมหาอุปราชายกทัพมารุกราน
ไทย ฝ่ายไทย คอื สมเด็จพระนเรศวรมหาราชขนึ้ เปน็ กษตั รยิ ์ โดยมพี ระเอกา
ทศรถพระอนชุ าดารงตาแหนง่ พระมหาอปุ ราชากาลังเตรยี มทัพจะไปรบ
เขมรจดึ จดั ทัพเตรยี มรบั ศึกนอกพระนคร กองทพั ฝ่ายไทยและพมา่ ปะทะท่ี
ตาบลตระพงั ตรุ จังหวดั กาญจนบรุ ี ช้างทรงของกษตั รยิ ์ไทยตกมนั จึงวงิ่ เขา้ ไป
กลางกองทพั พม่า อนั มพี ระมหาอุปราชาเปน็ ฝา่ ยเพลีย่ งพล้าสนิ้ พระชนมบ์ น
คอชา้ ง เมื่อเสด็จคนื อยุธยา สมเด็จพระนรศวรมหาราชทรงปรกึ ษาโทษแมท่ พั
นายกองทต่ี ามเสดจ็ ไมท่ นั สมเด็จพระวนั รัตกราบทูลขอพระราชทานโทษแทน
นายทหารเหล่านน้ั
๔๓
การนาเสนอข้อเท็จจริงทางประวตั ศิ าสตร์ทาใหผ้ อู้ า่ นทราบว่าเหตกุ ารณ์
คร้ังน้เี กดิ ขน้ึ จรงิ ทาให้เหน็ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริยไ์ ทย
๒.๒ การแสดงวรี กรรมของวรี กษตั รยิ ์
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงเปน็ วรี กษัตริย์ ลลิ ติ ตะเลงพา่ ยมี
เนื้อหาแสดงพระเกยี รตคิ ณุ ของพระองคโ์ ดยเฉพาะอยา่ งย่งิ การทาสงคราม
ยุทธหตั ถกี ับพระมหาอุปราชา เมอ่ื สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระ
เอกาทศรถตกเข้าไปท่ามกลางศัตรู สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงแกไ้ สถาน
การณ์โดยกลา่ วเชญิ พระมหาอุปราชาทายทุ ธหตั ถีเรม่ิ ต้นดว้ ยการสรรเสรญิ
ความย่ิงใหญแ่ ละความมชี ่ือเสียงของพระมหาอุปราชาและกล่าวว่าการทา
สงครามยทุ ธหัตถีคร้งั น้ี " ไว้เป็นมหรสพซรอ้ ง สขุ ศานติ์ " และจะเปน็ ยทุ ธหตั ถี
คร้ังสุดทา้ ยตอ่ จากน้นั จึงทรงทาสงครามยทุ ธหัตถีอยา่ งเข้มแข็งองอาจ
สองโจมสองจจู่ ้วง บารู
สองขันตยิ สองขอชู เชดิ ด้า
กระลึงกระลอกดู ไววอ่ ง นักนา
ควาญขับคชแขง่ คา้ เขน่ เขย้ี วในสนาม
งามสองสรุ ิยราชลา้ เลอพิส นาพอ่
พ่างพชั รนิ ทรไพจติ ร ศกึ สร้าง
ฤารามเรมิ่ รณฤทธิ์ รบราพณ์ แลฤา
ทุกเทศทกุ ทศิ อ้าง อ่นื ไทไ้ ปเ่ ทียม
ขนุ เสียมสารรถตา้ น ขุนตะเลง
ขนุ ตอ่ ขุนไป่เยง หย่อนห้าว
ยอหัตถเ์ ทดิ ลบองเลบง องั กศุ ไกวแฮ
งามเร่งงามโททา้ ว ท่านสูศ้ กึ สาร
๔๔
ภาพการต่อสู้ของกษัตริย์ท้ังสองพระองค์ แสดงถึงความกล้าหาญ เด็ด
เดี่ยว เป็นการต่อสู้ของกษัตริย์ผู้มีฝีมือในการสู้รบ ต่างสู้กันเต็มกาลัง
ความสามารถยิ่ง และสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงชนะ
๓. คณุ ค่าดา้ นภาษา ได้แก่ การประดิษฐ์ถ้อยคาอย่างไพเราะ สมเด็จพระ
มหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงเป็นกวีที่ความสามารถย่ิง เป็นผู้มี
ความรู้ทางอักษรศาสตร์อย่างแตกฉานดังจะเห็นได้จากการใช้ศัพท์ท่ีประณีต
และงดงาม มีการใช้คาแผลง คาสมาส และคาสมาสท่ีมเี สยี งสนธิสนธิและการใช้
คาโบราณ เชน่
คาแผลง คาท่ีแผลงแล้ว มีความหมายเชน่ เดียวกับคาเดิม
แผลงสระ โอ – เอา เช่น โอรส – เอารส มโหฬาร – มเหาฬาร
อิ – เอ เชน่ อรินทร์ – อเรนทร์ นรนิ ทร์ – นเรนทร์
อึ – เออ เช่น ศึก – เศกิ
อุ – โอะ เชน่ ท่งุ – ท่งุ คงุ – คุง
อิ – เอ เช่น ทิ้ง – เทง้
อิ – อึ เชน่ สิง – สึง
แผลงพยญั ชนะ เชน่ ภิญโญ – ภิยโย สรรเสริญ – สรเสริญ
กระพุม่ – กรรพ่มุ ประชด – ผะชด ไซร้ – ไสร้
ใส่ ร หรือ ระ เข้ากลางคา เช่น สะเทิน – สระเทิน สะทก – สระทก
ชอุ่ม – ชรอมุ่ ทะนง – ทระนง
ตลอด – ตรลอด กลบั – กระลบั
๔๕
แผลงวรรณยุกต์ แผลงคาท่ีไม่มรี ปู วรรณยุกต์หรือคาท่ีใชร้ ปู วรรณยกุ ต์
รูปหนึ่งเปน็ คาทใ่ี ชว้ รรณยุกต์อีกรปู หนงึ่ เช่น เพยี ง – เพย้ี ง ว่าง – ว้าง
คาสมาสและคาที่มีเสียงสนธิ เป็นการใช้ตามหลักท่ีนักเรียนได้เรียน
มาแล้วในระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น
คาสมาส เช่น ขัตติยมานะ มงคลอาสน์ คชยาน พลขันธ์ ราชวาที
โภคสมบตั ิ อรริ าช คชยทุ ธ์ เศวตฉตั ร ราชสถาน
คาสมาสที่มเี สยี งสนธิ เช่น นรินทร์ ( นร + อินทร์ ) ศสั ตราวธุ
( ศัสตร + อาวุธ ) อรนิ ทร์ ( อริ + อินทร์ ) เพโทบาย ( เพท + อุบาย )
สุภาภรณ์ ( สุภ + อาภรณ์ ) ปุริโสดม ( ปุริส + อุดม ) กมลาสน์ ( กมล +
อาสน์ ) ไชยานุภาพ ( ไชย + อานุภาพ ) พทิ ยาจารย์ ( พิทย + อาจารย์ )
อดลุ ยานภุ าพ ( อดลุ ย + อานภุ าพ ) พนานต์ ( พน + อันต์ )
นอกจากน้ียังมีการใช้คา ศ เข้าลิลิต หรือมี อิศ ต่อท้าย เช่น สวามี –
สวามิศราวี – ราวิศ – บารมี – บารเมศ บุร – บเุ รศ นฤป – นฤเบศ
รมยา – รมเยศ อยธุ ยา – อยธุ เยศ ชย – ชเยศ ขนั ตยิ – ขันตเิ ยศ ทวาร –
ทวาเรศ
คาโบราณในความหมายทีต่ ่างจากปจั จบุ ัน เชน่ คาต่อไปน้ี
เพื่อ = เพราะ เยียว = บางที หงึ = ช้า หอ่ น = ไม่ สา่ = หมู่
สบ = ทกุ ทาย = ถอื ทา่ = คอย เยีย = ทา ฉาน = แตก เตา้ = ไป
แผ้ว = ทาใหส้ ว่าง