The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Thaninrat Kritchanthat Sirivisalsuwan, 2020-02-07 03:06:48

วารสารวิทยาจารย์ ปีที่ 117 ฉบับที่ 2 เดือนธันวาคม 2560

2 วิทยาจารย์ ธันวาคม 2560

วทิ ยาจารย์ 99

100 วทิ ยาจารย์



มาชว่ ยกันทำ� กรงุ เทพฯ ใหส้ ดใส

ดว้ ยการหยดุ ! ใหข้ อทาน



ออกจากรา้ นหนงั สอื ดอกหญา้ เดนิ มาทางสะพานลอย ลงบนั ไดสะพานลอยมาทรดุ นง่ั ลงบนมา้ นงั่ บนศาลา
ฝ่าผู้คนมากหน้าหลายตา เดินผ่านร้านรวงท่ีวางของ ผ้โู ดยสาร ผมหยบิ นติ ยสารทซี่ อ้ื มานง่ั เปิดอา่ น บางคอลมั น์
แบะลงตามพนื้ หลายรา้ นทอ่ี ยบู่ นสะพานลอย เดนิ ผา่ นขอทาน ที่สนใจก็อ่านอย่างละเอียด บางคอลัมน์ท่ีความน่าสนใจ
หญิงข้โี รคตามมือเท้าท่ัวท้ังร่างกายเป็นรอยด่างดวงเหมือน รองลงมาก็เก็บไปอ่านท่ีหอพกั
เกลอื่ นหนา้ ตาขะมกุ ขะมอมนง่ั ประนมมอื ขอทานอยู่เบอ้ื งหนา้ พออา่ นไดส้ กั พกั รถสายทรี่ อมานานกม็ าใกลจ้ ะถงึ แลว้
มีขันใบเก่าวางอยู่ เดินมาสักระยะ เด็กชายขอทานตัวเล็ก ผมยืนขึ้นเก็บนิตยสารเข้าในกระเป๋ารูดปิดสะพายใส่บ่า
หน้าตามอมแมมน่ังคุดคู้ก้มกราบ โดยไม่ได้เงยหน้ามอง มายืนรอรถซ่ึงตอนน้ีมองเห็นอยู่ไกลๆ ก�ำลังวิ่งมาทางท่ี
ผู้สัญจรไปมา มีขันใบเก่ากระด�ำกระด่างวางอยู่เบ้ืองหน้า ผมยนื รออยู่ พลนั มชี ายคนหนงึ่ วยั ประมาณไมเ่ กนิ หา้ สบิ สาม
เดนิ มาสกั ระยะผา่ นขอทานหญงิ วยั กลางคนนงั่ อมุ้ ลกู ตวั เลก็ ๆ สวมเส้ือสีด�ำมอมแมมไม่ได้พิกลพิการแม้แต่น้อย ไม่ได้
ทนี่ อนหลบั พรมิ้ ในออ้ มกอดของผเู้ ปน็ แมด่ ว้ ยดวงหนา้ มอมแมม มอมแมมนา่ สงสารเดนิ มาหยดุ ยนื ตรงหนา้ ผมพรอ้ มกบั รปู ถา่ ย
สว่ นแมน่ ง่ั พนมมอื ดว้ ยความนา่ สงสารเบอื้ งหนา้ มขี นั ใบเกา่ ที่แปะใส่กระดาษแข็งสีขาวแล้วผูกด้วยเชือกฟางห้อย
คร่�ำวางอยู่ เดินผ่านมาได้สักระยะผ่านขอทานชายวัยชรา อยู่บนคอ ในกระดาษแผ่นน้ันเป็นรูปของเด็กหญิงคนหนึ่ง
รูปร่างผ่ายผอมท่ีนอนแผ่ราบกับพื้นบนสะพานลอย ท่ีนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล เธอคงป่วยเป็นอะไร
เบอื้ งหนา้ มขี นั ใบเกา่ วางอยเู่ บอ้ื งหนา้ ผมลอบมองในขนั เกา่ ๆ สกั อยา่ งหนง่ึ อาการนา่ เปน็ หว่ งมสี ายยางระโยงระยางมากมาย
ใบน้ัน มีเศษเงินประมาณยี่สิบบาท เดินผ่านมาได้ ผมจอ้ งมองดว้ ยความหดหู่ ผมเพง่ พนิ จิ ดู พลางอา่ นขอ้ ความ
สักระยะ ผ่านขอทานชายวัยกลางคน นั่งหลับตาหลังพิงซ่ี ทเ่ี ขยี นตวั โต อยดู่ า้ นลา่ งภาพดว้ ยปากกาเมจกิ สนี ำ�้ เงนิ ตวั โต
ท่ีกนั้ อยู่เบอื้ งหลัง ตรงหนา้ มขี นั ใบเกา่ มเี งินไมม่ ากนัก และ “หลานสาวผมป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาลไม่มีเงินรักษา
เยอ้ื งๆไปนน้ั เปน็ แผน่ กระดาษเขยี นดว้ ยลายมอื วา่ “ผมหวิ ขา้ ว ช่วยให้ทานผมดว้ ย หลานผมจะไดร้ อดตาย”
ช่วยให้ทานผมด้วย” เดินมาได้สักระยะมีคนเดินมาเป็น ผมอ่านข้อความจบลง ด้วยความสงสาร ผมล้วง
ผชู้ ายแลว้ ยนื่ เหรยี ญพระอะไรไมร่ ใู้ หผ้ มผมรบั ไวด้ ว้ ยความฉงน หยบิ เงินในกระเป๋าสตางค์ หยิบแบงค์ยีส่ ิบออกมาว่าจะยื่น
ในหวั มนึ ๆ อยู่ แลว้ เขาบอกกบั ผมวา่ ใหเ้ อาไปบชู าราคายสี่ บิ ใหช้ ายวยั กลางคน
เก้าบาท ผมส่ายหวั บอกปฏเิ สธ เขาจึงขอคนื เลน่ เอาผมงง พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ผมอ่านนิตยสารท่ีอ่านจบ
ไปเลยทเี ดยี วเดนิ มาไดส้ กั ระยะหนง่ึ ชายชราหนา้ ตากรา้ นแดด เมอื่ ครใู่ หญ่ แลว้ นึกถึงข้อความทเ่ี ป็นค�ำขวัญเชิญชวนและ
กร้านลมนั่งเป่าแคนอยู่ มีขันใบเก่าๆ วางอยู่เบ้ืองหน้า จ�ำงา่ ยวา่
เดินมาได้สกั ระยะตรงหวั มุมสะพานลอย มีเดก็ หญิงขอทาน “มาช่วยกันท�ำกรุงเทพฯ ให้สดใส ด้วยการหยุด!
ตวั เลก็ ๆ แตง่ กายมอมแมม ดวงหนา้ เปน็ คาบกระดำ� กระดา่ ง ใหข้ อทาน”
สกปรกเหมือนไม่ได้อาบน�้ำมานานปี น่ังอยู่เบ้ืองหน้ามีขัน
ใบเก่าๆ วางอยู่ตรงหน้า ผมมองด้วยความสงสารแล้วเดิน ผมยม้ิ อยา่ งพงึ ใจ ชกั เงนิ ยดั เขา้ กระเปา๋ สตางค์
จากมา...
กลบั คนื แลว้ รบี ไปขน้ึ รถทม่ี าจอดเทยี บศาลาผโู้ ดยสาร
ผมเดินผ่านมา มีแต่ขอทานตามจุดต่างๆ ท้งิ ให้ชายคนนั้นมองตามหลงั อยา่ งงวยงง...
บนสะพานลอย จนผมอดคิดไม่ได้ว่าท�ำไมกรุงเทพฯ
ถงึ มีแต่คนขอทานมากมายถงึ เพยี งนี.้ ..

วทิ ยาจารย์ 101

ตระเวนเทีย่ ว

วีระพงษ์ ปญั ญาธนคุณ

“รอยไทยในพระตะบอง”

ดังที่เราทราบกันดีว่า เมื่อ พ.ศ. 2450 ประเทศสยามได้ยกดินแดนที่เรียกว่า “เขมรส่วนใน” หรือ
ที่ในเวลานั้นเรียกว่ามณฑลบูรพา อันประกอบด้วย 3 เมือง ได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ
ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนกับเมืองตราดซึ่งกองทัพฝรั่งเศสได้ยึดครองอยู่ ซึ่งก่อนหน้านั้น
สยามได้ยกดินแดน “เขมรสว่ นนอก” ให้แก่ฝร่ังเศสไปแลว้ ตง้ั แตใ่ นสมยั รัชกาลท่ี 4

102 วทิ ยาจารย์

อยา่ งไรกด็ ี ประเทศไทยไดส้ ทิ ธปิ์ กครองพระตะบอง จากดา่ นปอยเปตถงึ เมอื งพระตะบอง ระยะทาง 140
เสียมราฐ และศรีโสภณ อีกครั้งช่วงเวลาสั้นๆ ในระหว่าง กโิ ลเมตร ใช้เวลาเพยี ง 2 ชวั่ โมงเศษๆ ก็ถึงทห่ี มาย เม่ือผม
สงครามโลกครงั้ ที่2(พ.ศ.2484-2489)โดยผลของอนสุ ญั ญา ไปถึงโรงแรมใจกลางเมืองราวๆ 2 ทุ่มคร่ึง ผมได้พบกับ
โตเกยี วระหว่างไทยกับฝรง่ั เศส แต่ไทยก็จำ� ยอมสง่ ดนิ แดน พนักงานต้อนรับชายคนหน่ึงซึ่งสามารถพูดภาษาไทยได้
ดังกล่าวคืนให้แก่อังกฤษและฝร่ังเศสภายหลังสงครามโลก พอประมาณ จากการพดู คยุ กนั ทำ� ใหผ้ มทราบวา่ เขาชอื่ พานชิ
ส้นิ สุดลง อายุ 28 ปีเศษ เคยท�ำงานในเมืองไทยแถวๆ ส�ำโรงร่วม 3 ปี
แมด้ นิ แดนเขมรสว่ นในไมไ่ ดอ้ ยภู่ ายใตก้ ารปกครอง ก่อนที่จะย้ายกลับมาอยู่กับครอบครัวเม่ือหลายปีก่อน
ของไทยนานถงึ 110 ปแี ลว้ (นบั จากปี พ.ศ. 2450 ในรชั กาลที่ 5) ผมไดบ้ อกพานชิ วา่ ผมมจี ดุ มงุ่ หมายอยา่ งไรในการเดนิ ทาง
ทว่า ในปัจจุบัน ยังคงปรากฏร่องรอยอิทธิพลของสยาม มาเยือนพระตะบองคร้ังนี้ พานิชก็ดีเหลือหลาย อาสาว่า
ในดินแดนแถบน้ีอยู่จ�ำนวนหน่ึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ีเมือง จะขับรถมอเตอร์ไซค์พาผมตระเวนไปยังที่ท่ีผมต้องการ
พระตะบอง ซงึ่ เคยเปน็ เมอื งศนู ยก์ ลางการปกครองของสยาม โดยเรานัดหมายเวลากันตอน 8 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
ในมณฑลบรู พามากอ่ น การเดนิ ทางมาเยอื นพระตะบองครง้ั น้ี พานชิ มาพบผมกอ่ นเวลาทนี่ ดั ไวเ้ ลก็ นอ้ ย เขาพาผม
ของผม จึงมีจุดมุ่งหมายส�ำคัญเพ่ือค้นหาร่องรอยไทยที่ยัง นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปยังสถานท่ีแรก ซ่ึงอยู่ห่างจาก
หลงเหลือให้เหน็ ตราบจนถงึ ทุกวนั นี้ ตวั เมอื งไปไกลราว 10 กโิ ลเมตร นง่ั กนิ ลมชมววิ สองขา้ งทาง
การเดนิ ทางของผมมขี นึ้ ในชว่ งกลางเดอื นสงิ หาคม ไม่นานนัก รถก็เลี้ยวลอดซุ้มประตูวัดแห่งหนึ่ง พอผมเห็น
ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถตู้โดยสารประจ�ำทาง หนา้ บนั อโุ บสถของวดั ปบุ๊ กร็ ทู้ นั ทวี า่ ใชแ่ ลว้ สถานทที่ ผี่ มตามหา
มายังด่านอ�ำเภออรัญประเทศ กว่าจะท�ำเรื่องผ่านด่าน
เสร็จสรรพก็ร่วม 5 โมงเยน็ นั่งรอรถบสั เพอ่ื เดินทางต่อไปยัง
พระตะบองอีกร่วมชว่ั โมงจึงได้เวลาล้อหมนุ

วทิ ยาจารย์ 103

สงิ่ ทนี่ า่ สนใจภายในวดั กดล คอื ลวดลายบนหนา้ บนั
หน้าอโุ บสถ ซงึ่ ปั้นเป็นตราราชวงศจ์ กั รี (ตรีศูรอยูใ่ นกงจกั ร)
เหนอื พระขรรคช์ ยั ศรบี นพานแวน่ ฟา้ แวดลอ้ มดว้ ยลวดลาย
พรรณพฤกษาพระแสงขรรคช์ ยั ศรเี ปน็ หนงึ่ ในเครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑ์
ของพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน)
เจ้าเมืองพระตะบองคนแรก เป็นผู้น�ำข้ึนทูลเกล้าฯ ถวาย
รัชกาลที่ 1 หน้าบันอีกด้านหนึ่งปั้นเป็นรูปตะบองบนพาน
แว่นฟา้ ซงึ่ เปน็ ตราสญั ลกั ษณข์ องเจ้าเมืองพระตะบอง
วดั กดล หรอื วดั กระโดนในภาษาไทย เปน็ สถานท่ี
ท่ีผมจะค้นหาร่องรอยไทยเป็นแห่งแรก วัดแห่งนี้มีชื่อเรียก
อีกชื่อหน่ึงว่า “วัดปราบปัจจามิตร” เป็นวัดท่ีเจ้าพระยา
บดนิ ทรเดชา (สงิ ห์ สงิ หเสน)ี สรา้ งไวใ้ นบรเิ วณทที่ า่ นเคยมา
ต้ังทัพ เมื่อคราวยกทัพมาปราบญวนในสมัยรัชกาลท่ี 3
ตอ่ มาภายหลงั วดั นไี้ ดร้ บั การบรู ณะและอปุ ถมั ภโ์ ดยเจา้ เมอื ง
พระตะบองสายสกลุ อภยั วงศ์ ซงึ่ สบื ทอดตำ� แหนง่ เปน็ ลำ� ดบั
มาต้ังแต่รัชกาลท่ี 1

104 วทิ ยาจารย์

ณดา้ นหลงั พระอโุ บสถมหี ลกั ฐาน
เชื่อมโยงกับสยามอีกอย่างหน่ึง คือ
มีพระเจดีย์ทรงปราสาทขนาดใหญ่
องคห์ นงึ่ สนั นษิ ฐานวา่ อาจเปน็ เจดยี บ์ รรจุ
อฐั ขิ องผคู้ นในตระกลู อภยั วงศ์ เนอื่ งจาก
ณ ซุ้มประตูทางเข้าด้านหนึ่ง มีรูปปั้น
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) เจ้าเมือง
พระตะบองคนสุดท้ายต้ังอยู่ทั้งซ้าย
และขวา

จากวัดกดล ผมนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปยัง วัดส�ำโรงคนง หรือ วัดส�ำโรงใน เป็นวัดที่เจ้าพระยา
วดั แหง่ ท่ี 2 โดยไมร่ อชา้ วดั แหง่ นต้ี งั้ อยไู่ มไ่ กลจาก อภยั ภเู บศร (แบน) ไดม้ าสรา้ งเอาไว้ เดมิ อโุ บสถของวดั สรา้ งดว้ ยไม้
วัดแห่งแรก เป็นวัดที่เก่าแก่มาก แถมยังเป็น แต่ได้ถูกร้ือสร้างใหม่เป็นแบบก่ออิฐถือปูนในสมัยของเจ้าพระยา
วดั ประจำ� ตระกลู อภยั วงศอ์ กี ดว้ ยเพยี งชว่ั อดึ ใจเดยี ว อภยั ภเู บศร(ชมุ่ )ปจั จบุ นั โบสถห์ ลงั นไี้ มไ่ ดใ้ ชง้ านแลว้ และอยใู่ นสภาพ
รถก็เล้ียวเข้าไปยังวัดส�ำโรงคนง โดยมุ่งหน้า คอ่ นข้างทรุดโทรม แตก่ ย็ งั เหน็ เค้าความงามของอุโบสถได้อยา่ ง
ตรงไปยงั อโุ บสถหลังเก่าของวัด ชดั เจน
ลักษณะเด่นของอุโบสถ คือ หน้าจั่วหลังคาที่สร้างเป็น
มขุ ประเจดิ รองรบั ดว้ ยเสา 2 ตน้ บนหลังคาปกี นก ซง่ึ เป็นรูปแบบ
สถาปตั ยกรรมทนี่ ยิ มสรา้ งในสมยั อยธุ ยาตอนปลายถงึ รตั นโกสนิ ทร์
ตอนต้น หน้าบันของอุโบสถท�ำด้วยไม้ แกะสลักเป็นลวดลาย
พรรณพฤกษาท่ียังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับ
ซุ้มหน้าต่างรอบอุโบสถซึ่งประดับประดาด้วยปูนปั้นลวดลาย
พรรณพฤกษาอนั อ่อนช้อยพล้ิวไหว
ในบรเิ วณดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั ของอโุ บสถภายในกำ� แพงแกว้
มสี ง่ิ ทน่ี า่ สนใจ คอื เจดยี ย์ อ่ มมุ ไมส้ บิ สอง จำ� นวน 3 องค์ ตงั้ อยดู่ า้ นหนา้
อุโบสถด้านซ้ายและขวาจ�ำนวน 2 องค์ และด้านหลังอุโบสถ
อกี 1 องค์ เจดยี ์เหล่านีส้ ร้างในลักษณะทรงเครือ่ ง คือ มีลวดลาย
เฟื่องอุบะห้อยระย้ารอบองค์ระฆัง ซ่ึงเป็นรูปแบบที่นิยมสร้าง
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ว่ากันว่าเจดีย์ด้านหน้าซ้ายมือของ
อุโบสถมโี กศบรรจอุ ัฐิของคนในตระกูลอภัยภเู บศรถงึ 12 โกศ
หลังจากศึกษาร่องรอยและเร่ืองราวความเป็นไทย
ในวัดส�ำโรงคนงกันพอสมควรแล้ว พานิชบอกผมว่าไม่ไกลจาก
ละแวกวดั มวี ิสาหกจิ ในครัวเรอื นทน่ี ่าสนใจหลายแห่ง จงึ ชวนผม
ไปเยย่ี มชม ผมเหน็ ดเี หน็ งามดว้ ย ไหนๆ เรากม็ าถงึ ทแ่ี ลว้ เขา้ ไปชม
เสยี หน่อยจะเป็นไรไป

วทิ ยาจารย์ 105

นั่งชมวิธีการผลิตได้สักประเดี๋ยว
ชาวบา้ นกน็ ำ� กลว้ ยตากแผน่ มาใหช้ มิ ผมไมร่ รี อ
เพราะไมอ่ ยากใหช้ าวบา้ นเสยี นำ�้ ใจ พอไดช้ มิ
คำ� แรกกต็ อ้ งบอกวา่ ตดิ ใจในรสชาติ ทห่ี วาน
หอม เหนยี วหนบึ ๆ กำ� ลงั ดี จงึ ซอ้ื ตดิ ไมต้ ดิ มอื
กลับบ้านเสียหลายห่อ หลังจากพูดคุย
กับชาวบ้านพอปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลา
ลากลับ ผมก็ขอให้พานิชขับรถพาผมไปยัง
วดั แห่งที่ 3 และ 4 ซึ่งตั้งอย่ใู นเขตตวั เมอื ง
เพยี งชั่วอึดใจเดยี วกถ็ งึ ท่หี มาย
พานิชว่ิงรถพาผมไปยังบ้านท่ีผลิตแผ่นแป้งปอเปี๊ยะญวนเป็น
แหง่ แรก จากนนั้ กพ็ าผมไปแวะทบ่ี า้ นซง่ึ ผลติ กลว้ ยตากแผน่ พอไปถงึ ผมเหน็
ชาวบา้ นกำ� ลงั ฝานกลว้ ยนำ�้ วา้ สกุ เปน็ แผน่ บางๆ วางเรยี งตอ่ กนั เปน็ ผนื บนแพ
ซกี ไมไ้ ผ่ สอบถามชาวบา้ นซงึ่ พดู ไทยได้ ไดค้ วามวา่ หลงั จากไดก้ ลว้ ยฝานบางๆ
วางเรียงต่อกันเป็นแพแล้ว ก็จะน�ำกล้วยที่ได้ไปตากแดดจนแห้ง แล้วจึงน�ำ
ไปปง้ิ บนไฟออ่ นๆ จนเหลอื งหอม กอ่ นทจ่ี ะบรรจถุ งุ รอนำ� ไปจำ� หนา่ ยเปน็ ขนั้ ตอน
สุดท้าย

106 วทิ ยาจารย์

วดั ดำ� เรยซอ หรอื วดั ชา้ งเผอื ก สรา้ งขนึ้ ในสมยั เจา้ พระยาอภยั ภเู บศร (ชมุ่ ) จดั เปน็
วดั หลวงประจำ� เมอื งพระตะบองเลยกว็ า่ ได้ อโุ บสถของวดั นมี้ ชี อื่ เสยี งในแงค่ วามวจิ ติ รพสิ ดาร
ของงานปนู ป้นั เขียนสที แ่ี สดงเรื่องราวรามเกยี รต์ทิ ้ังบนผนงั และกรอบประตูหน้าต่าง แตส่ ง่ิ
ทน่ี บั วา่ พเิ ศษทส่ี ดุ เหน็ จะไมม่ สี ง่ิ ใดเกนิ ตราพระราชลญั จกรประจำ� แผน่ ดนิ สยามหรอื เรยี กสน้ั ๆวา่
“ตราอาร์มแผน่ ดนิ ” บนหนา้ บันและซุ้มกรอบหนา้ ต่างทง้ั ด้านหนา้ และดา้ นหลังอุโบสถ
ตราอาร์มแผ่นดิน มีลักษณะคือ ส่วนบนสุดตรงกลางท�ำเป็นรูปพระมหาพิชัย
มงกุฎเปล่งรัศมี ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎแสดงตราราชวงศ์จักรี ใต้ลงมาเป็นรูปโล่
แบง่ ออกเปน็ 3 หอ้ ง โดยหอ้ งดา้ นบนเปน็ รปู ชา้ ง 3 เศยี ร หมายถงึ สยามเหนอื กลาง และใต้
สว่ นหอ้ งลา่ งดา้ นซา้ ยมอื เปน็ รปู ชา้ งเผอื ก หมายถงึ หวั เมอื งลาวลา้ นชา้ ง และหอ้ งลา่ งดา้ นขวามอื
เปน็ รปู กรชิ ไขวก้ นั หมายถงึ หวั เมอื งมลายู นอกจากนน้ั เบอ้ื งซา้ ยและขวาของรปู โลย่ งั ขนาบ
ดว้ ยฉัตร 7 ชั้น ซงึ่ ประคองด้วยคชสหี ์และราชสหี ์ ตามล�ำดบั
ตราอารม์ แผน่ ดนิ แบบนน้ี ำ� มาใชค้ รงั้ แรกในรชั กาลที่ 5 แตใ่ ชไ้ ดไ้ มน่ านกย็ กเลกิ ไป
เม่ือน�ำตราครุฑมาเป็นตราประจ�ำแผ่นดินแทน อย่างไรก็ตาม ตราอาร์มแผ่นดินยังคงมี
บางหนว่ ยงานน�ำไปใชอ้ ย่จู นถงึ ปจั จบุ นั เชน่ ทปี่ ระดบั อยู่ตรงหนา้ หมวกของต�ำรวจ

ใกลๆ้ วดั ดำ� เรยซอ ยงั มอี กี วดั หนงึ่ ซง่ึ ปรากฏรอ่ งรอยไทยใหเ้ หน็ อยู่ นนั่ คอื วดั ซองแก หรอื วดั สะแก
ณ เบือ้ งหลังอุโบสถ จะเห็นเจดียท์ รงยอ่ มมุ ไม้สิบสองสขี าวขนาดกลางๆ ต้ังอยซู่ ้ายขวา เจดียท์ ง้ั สองเปน็ ท่ี
บรรจุอัฐิบิดาและมารดาของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) คือเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย) เจ้าเมือง
พระตะบองคนท่ี 7 กับท่านผู้หญิงทับทมิ ซ่ึงแตล่ ะองคม์ ปี ้ายภาษาไทยกำ� กับไว้

วิทยาจารย์ 107

ผมเดนิ ชมวดั ซองแกไดส้ กั พกั ฟา้ เรม่ิ มดื ครมึ้ คลา้ ย
ฝนจะตก ผมจงึ ไมร่ อชา้ ทจี่ ะขอใหพ้ านชิ พาผมไปยงั สถานที่
แหง่ สดุ ท้าย ซ่ึงกค็ อื ศาลากลางเมืองพระตะบองหลังเก่า

ศาลากลางเมอื งพระตะบองหลงั น้ี นบั เปน็ สญั ลกั ษณ์ ผมทรุดตัวลงนั่งบนสนามหญ้าหน้าตึกเพื่อช่ืนชม
ท่ีเด่นชัดที่สุด ซ่ึงแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางการเมืองของ ความงามที่ปรากฏอยู่เบ้ืองหน้าให้ถนัดตา โดยมีพานิช
สยามทเี่ คยมเี หนอื เมอื งพระตะบอง ตวั อาคารทาดว้ ยสเี หลอื ง นง่ั อยขู่ า้ งๆ เหน็ ธงชาตกิ มั พชู าสะบดั อยไู่ หวๆ บนยอดเสาสงู
ตัดกับบานหน้าต่างสีเทา สร้างในสไตล์ยุโรปอย่างใหญ่โต พาให้นึกถงึ เหตุการณใ์ นวนั ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 ที่
ตั้งอยู่ข้างๆ ศาลากลางเมืองหลังปัจจุบัน เป็นอาคารท่ี นายควง อภัยวงศ์ บตุ รชายของเจ้าพระยาอภยั ภูเบศร (ชมุ่ )
เจา้ พระยาอภยั ภเู บศร (ชมุ่ ) ไดส้ ง่ั ใหส้ รา้ งขน้ึ ในปี พ.ศ. 2448 นำ� ธงไตรรงคไ์ ปเชญิ ขน้ึ สยู่ อดเสา ณ เมอื งพระตะบอง ระหวา่ ง
โดยมสี ถาปนิกชาวอิตาลีเปน็ ผอู้ อกแบบ เพ่ือใชเ้ ป็นท่พี �ำนกั รับหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลไทยในพิธีรับมอบดินแดน
และวา่ ราชการ นา่ เสยี ดายทท่ี า่ นยงั ไมเ่ คยไดใ้ ชอ้ าคารแหง่ น้ี มณฑลบรู พาเดมิ คนื จากฝรง่ั เศส ผมลองนกึ ดเู ลน่ ๆ วา่ ถา้ เกดิ
ตามที่ต้ังใจไว้ เพราะสยามได้ยกพระตะบองให้แก่ฝรั่งเศส ตอนนั้นไทยเราไม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
เสียก่อนท่ีอาคารจะสร้างแล้วเสร็จ ท่านจึงตัดสินใจอพยพ จนต้องถูกบงั คบั ให้ส่งคืนดินแดนทงั้ หมดทไ่ี ดม้ าในระหว่าง
ครอบครวั และไพรพ่ ลกลบั มาต้ังรกรากทจ่ี ังหวดั ปราจีนบรุ ี สงครามใหแ้ กฝ่ รงั่ เศสและองั กฤษ ในทกุ วนั นธ้ี งทโี่ บกสะบดั
ภายหลงั เจา้ พระยาอภยั ภเู บศร (ชุ่ม) ได้ถอดแบบ อยู่เบ้ืองหน้าอาคารหลังนี้ อาจจะเป็นธงไตรรงค์ของไทย
อาคารหลังนี้มาสร้างอาคารหลังหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรี กเ็ ป็นได้
เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ทปี่ ระทบั รบั รองรชั กาลท่ี5ปจั จบุ นั คอื ตกึ เจา้ พระยา
อภัยภูเบศร ต้ังอยูใ่ นโรงพยาบาลเจา้ พระยาอภยั ภูเบศร

108 วทิ ยาจารย์ อยา่ งไรกต็ าม สายนำ�้ ยอ่ มไมไ่ หลยอ้ นกลบั ผมเพยี ง
แต่หวังว่านับจากน้ีต่อไปศาลากลางหลังนี้จะเป็นอนุสรณ์
แสดงความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างราชอาณาจักรไทย
กบั กมั พชู า รวมทง้ั เปน็ สอื่ เชอื่ มสมั พนั ธไมตรรี ะหวา่ งประชาชน
ทง้ั สองประเทศให้ยั่งยนื ตราบชั่วกลั ปาวสาน

สำหรบั เจา หนา ท่ี
ตอ อายสุ มาชิก เลขท่ี .............................................
สมัครสมาชิกใหม เลขท่ี .........................................
ใบเสร็จรับเงนิ เลขท่ี ..............................................

ใบสมัครสมาชกิ วารสารวิทยาจารย เขียนท่ี ..........................................................
วันท่ี ........ เดือน ..................... พ.ศ. ...............

ช่ือหนว ยงาน .............................................................................................................................................................................................................................
เพื่อเชื่อมโยงกับฐานขอมูล
เลขท่บี ัตรประชาชน ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพ

ตำแหนง ผบู ริหารการศึกษา ศึกษานิเทศก
นิสิต/นกั ศึกษา อ่นื ๆ .................................
ครู ผบู ริหารสถานศึกษา
คณาจารยในสถาบนั อดุ มศึกษา

สงั กดั

สพฐ. สพป. สพม. สอศ. สช. กศน. สกอ.

พละ พัฒนศิลป สพศ. อปท. กทม. อน่ื ๆ ..............................

ทอี่ ยทู ่สี ามารถติดตอ ได

เลขท่ี ...................หมูท ่ี ..................... ซอย ........................... ถนน .....................................ตำบล/แขวง .........................
อำเภอ/เขต .................................................... จังหวัด ...................................... รหัสไปรษณยี 
โทรศพั ท/ โทรศพั ทเคลอื่ นท่ี .................................................................................

การสมคั รเปน สมาชกิ วารสารวิทยาจารย

ดังนี้ ตอ อายสุ มาชิกเลขท่ี ...................................... สมัครสมาชกิ ใหม
ราย 1 ป (ราคา 500 บาท) โดยรับฉบบั เดอื น ........................ถึง ..............................
ราย 2 ป (ราคา 1,000 บาท)

ชื่อผูแ นะนำ (ถา ม)ี ..........................................................

การชำระคา สมาชกิ

เงินสด ........................................................... บาท

ธนาณตั ิ สง่ั จา ย ปณ.ศกึ ษาธกิ าร ในนาม ผอู ำนวยการสำนกั อำนวยการ สำนกั งานเลขาธกิ ารครุ สุ ภา (ใชธ นาณตั ติ วั จรงิ เทา นน้ั )

สถานท่ีจดั สง วารสารและใบเสร็จรับเงนิ

ตามที่อยูสมัครขา งตน
อืน่ ๆ (โปรดระบุ)

เลขท่ี ...................หมทู ี่ ..................... ซอย ........................... ถนน .....................................ตำบล/แขวง .........................
อำเภอ/เขต .................................................... จงั หวดั ...................................... รหสั ไปรษณยี 
โทรศพั ท/ โทรศัพทเ คลอ่ื นท่ี .................................................................................

กองบรรณาธิการวารสารวิทยาจารย ขอขอบพระคณุ ทกุ ทานทใี่ หการสนับสนุนวารสารวิทยาจารย
วารสารเพือ่ การพัฒนาวชิ าชีพทางการศกึ ษาใหค งอยูค ูกบั วิชาชีพทางการศกึ ษาสืบไป

สถานท่ตี ิดตอ สำนักงานเลขาธกิ ารครุ สุ ภา 128/1 ถนนนครราชสีมา แขวงดุสิต เขตดสุ ติ กทม. 10300 โทร. 0 2282 1308
e-mail : [email protected]

ย�ำสามกรอบ

“ฅรุ ุชน” บญุ ชว่ ย ทองศรี
ธนั ว์ ’60 เขียนที่ ยอดตกึ ใบหยก

โลกต้องเปลี่ยนผ่าน

แต.่ .. ตำ�นาน - จติ วญิ ญาณ ยงั คงอยู่

เดือนสุดท้ายของปีมาถึงแล้วครับ เส้นทาง เพยี งรถชะลอตวั ผมกห็ ยอ่ นกายลงทจี่ ดุ จอดยมราช
สญั จรของ “ฅรุ ชุ น” นน้ั เจง่ิ นองไปดว้ ยนำ้� ปา่ ลดั เลาะขา้ มทางรถไฟเขา้ ถนนหลานหลวงซง่ึ ออกไปเชอ่ื มกบั
ไหลหลาก นำ�้ มาจากเหนอื หลงเหลอื มาทว่ มขงั ถนนราชดำ� เนนิ เพอื่ มงุ่ ไปพระมหาเมรมุ าศทท่ี อ้ งสนามหลวง
ยงั แผน่ ดนิ ลมุ่ ภาคกลาง และออ้ ยอง่ิ อยแู่ รมเดอื น อันคราครำ่� ดว้ ยผคู้ นหลากหลาย
ยงั ไมเ่ หอื ด!
ผมไม่ไดเ้ ข้าไปภายใน ซึ่งจะตอ้ งผ่านจดุ ตรวจ แต่
ชาวบ้าน ณ ราบลมุ่ ภาคกลาง ที่อยู่กบั น�้ำรว่ ม เลี่ยงอ้อมไปทางด้านเหนือ ใกล้วัดชนะสงครามและ
แรมเดอื น คงปวดเศยี รเวยี นเกลา้ เหมอื นทพั พมา่ ทต่ี อ้ ง ตรอกข้าวสารอนั เลอ่ื งชอื่
หนญี ะญา่ ย พ่ายจะแจต่อกระแสน�ำ้ เม่อื ทว่ มเหนอื ใตต้ น้ ไมร้ ่มครึม้ ยามบา่ ยกบั ลมหนาวต้นฤดู ท�ำให้
ทุ่งรอบอยุธยา..... ผมนงั่ สงบมองพระเมรมุ าศกลางทงุ่ พระเมรไุ ดช้ ดั ในมมุ กวา้ ง
เป้-ปอน-ปอนทค่ี อนไหล่กบั รองเทา้ ผา้ ใบเกา่ ครำ่� แดดบ่ายน้ันไม่เจิดจ้านักด้วยมีเมฆพราง... แต่ดูเหมือน
น�ำผมข้ึนรถไฟฟรจี ากอยธุ ยาเข้ามหานครฯ ยง่ิ ขบั ใหอ้ าคารทรงบษุ บก 9 ยอด เปลง่ รศั มปี ลง่ั วาว ระเรอ่ื ยไป
ถึงยอดพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร
110 วทิ ยาจารย์ เป็นปกติเมื่อผมอยู่คนเดียว มักก�ำหนดลมหายใจ
เขา้ - ออกเงยี บๆ เมอ่ื ภวงั คเ์ รม่ิ เกดิ สมาธิ จติ คอ่ ยนง่ิ เสยี งรถ
อันจอแจ ฝูงชนอันพลุกพล่านที่มองเห็นด้วยตาเนื้อค่อยๆ
เลอื นไป
หนงั ตาหลบุ ตำ่� ปกคลมุ เลนส์ กลไกการเหน็ อนั เปน็
“ผัสสะ” เบอื้ งต้นในการรับภาพ
บรรยากาศรอบกาย สลวั สงดั ลงโดยอตั โนมตั ิ ทวา่
เบอ้ื งหนา้ โพน้ กลบั เรอื งรองดว้ ยพระเมรมุ าศเกา้ ยอดอรา่ ม...
เหนือยอดบุษบกประธานซ่ึงเป็นพระจิตกาธานน้ัน...
สงู เดน่ ขาวสกาวด้วยพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร

ในจิตท่ีสัมผัสได้นั้น กระจ่างในรายละเอียดแห่ง “โสต”...เริ่มสดับเสียงจากภายนอก ผมถอนสมาธิ
กนกอนั ชดชอ้ ยงอนงามพรวิ้ และชัดเจนในองค์ประกอบ ออกมาสสู่ ภาพปกตทิ ลี ะขนั้ ตรวจสอบประสาทสมั ผสั ทลี ะสว่ น
ทงั้ เสาครฑุ ท้าวจตโุ ลกบาล เทพยดา ราชสหี ์ กระทั่งขยับ แขน,ขา และคอ....เพ่ือรับรู้การเคล่ือนไหว...
คชสีห์ นาคราวบันได ฐานชาลาล่างต่างมีสัตว์มงคล ก่อนลืมตา! และสัมผัสไดถ้ งึ ปติ ทิ เ่ี ออ่ ท้นทัว่ สรรพางค์กาย
ประจ�ำทศิ โดยรอบ นี่คงเป็นปรากฏการณ์สุดท้ายท่ีผมรับได้
อีกสระอโนดาตท่ีพร่ังพร้อมด้วยสัตว์หิมพานต์ จากรอ่ งรอยการสง่ เสดจ็ สสู่ วรรคาลยั ในพระบาทสมเดจ็
อนั หลากหลาย พระเจา้ อยู่หัว รัชกาลที่ 9....
คราวนี้ ส่ิงส�ำคัญอันอัศจรรย์คือ ในจิตสัมผัสนั้น ตอ่ จากนไี้ ป กจ็ ะมเี พียง “พระราชดำ� ริ” ทจ่ี ะเปน็
ผมเห็นการณ์เคล่ือนไหวแปรเปล่ียน เร่ิมจาก น้�ำในสระ แนวทางแห่ง “ฅุรุชน” ตลอดไป.....
อโนดาตน้ัน เขียวเข้มด่ังมรกต ไหวกระฉอกซ่านเซ็น บ่ายสามวันน้ัน...ผมก็ขึ้นนั่งเอกเขนกบนขบวนรถ
ด้วยสัตว์ศักดิ์สิทธ์ิรอบพระเมรุมาศ ออกอากัปกิริยา “ทักษิณารัถย์” ขาล่องสายใต้จากหัวล�ำโพงไปหาดใหญ่
เคลอ่ื นกาย แตย่ งั คงประจำ� ณ อาณาบรเิ วณ ไมเ่ ปลยี่ นทศิ เพอ่ื ไปรบั นำ�้ ภาคใต้ชว่ งเดอื นอา้ ยเดือนยท่ี ีม่ ีมรสุม คลืน่ ลม
เปล่งปลั่งรัศมีพระเมรุมาศอันเจิดจ้าน้ัน กระจ่าง เกรยี้ วกราดตอ่ ไป.....
งามนัก มรสุมทางใต้ ฝน ลม คล่ืน และน�้ำหลากเออ่ ทน้ ....
ทะมึนมืดท่ีครอบคลุมภายนอกน้ัน หุ้มบริเวณ เราไมเ่ คยรู้สึกเดอื ดร้อน เพราะนบั วา่ เปน็ ภาวะฤดูกาลปกติ
ทัง้ หมด กระทั่งถงึ ปลายยอดเศวตฉัตร..... ทุกบ้าน ทุกครัว จะเตรียมรับน�้ำ - ลม ตั้งแต่
กระยางขาว 9 ตัว ยังโบกปีกโบยบนิ รอบบษุ บก ก่อนออกพรรษา โดยการเตรียมเรือ ซ่อมอุดข้ีชันกันรั่วไว้
ประธานอยา่ งสง่าอาลัย.!.?... เรยี บรอ้ ย
เม่ือทักษิณาวรรตของกระยางขาวผ่านไป เก็บของใต้ถุนข้ึนเรือนเสาสูง เปิดพ้ืนท่ีรับน้�ำ
ทกุ สรรพสงิ่ ในผสั สะแหง่ สมาธคิ อ่ ยเลอื นจางไป เหลอื เพยี ง เตรยี มหาที่โคกกั้นคอกไวส้ ำ� หรบั สัตวเ์ ลยี้ ง
ความมดื ทึบ แล้วคอ่ ยมภี าวะโปร่งแสง ผ่านผนังตา แลว้ เอาแห อวน ลอบ ไซ เบด็ ซงึ่ เปน็ เครอ่ื งมอื หากนิ
ไวร้ ับมือกับปลาท่ีหลงระเริงน�ำ้ ใหม่
แค่น้ชี วี ติ กพ็ รอ้ มทจี่ ะรบั มอื กับฤดนู �ำ้ หลากไดแ้ ลว้
อย่างมีความสุขกับธรรมชาติ ประดุจญาติสนิทผู้มาเยือน
ปีละคร้ัง ได้อย่างคร้ืนเครง

วิทยาจารย์ 111

ผมตัดสนิ ใจ กนิ มอ้ื ค่�ำบ้านหนง่ึ และ
ไปหาที่นอนอีกบา้ นหน่ึง
แน่นอนครับว่า.....การสังสรรค์ชีวิต
ของพวกเราท้ังหมดคืนน้ัน สถิตเหนือผืนน�้ำ
ทะเลสาบสงขลา
ผมนอนฟังเสียงปลาสะบัดตัว
เหนอื ผิวน้ำ� ใต้ถนุ เรอื น เหมือนจะทา้ ทายว่า...
“ลงมา...เลน่ เกมชวี ติ กนั หนอ่ ยไหม.?...ฮา่ าาาา....”

ผมใชช้ วี ติ การเปน็ ครเู รม่ิ ตน้ ณ รมิ ทะเลสาบมานาน หากเปน็ สมยั กอ่ น เมอื่ สามสส่ี บิ ปที แี่ ลว้ ... ฮม่ึ มมม.!!
อาศัยนอน ขึ้นกิน ลงกิน บ้านต่างๆ ไปทั่ว แทบจะรอบ ขา้ ไมป่ ลอ่ ย ใหเ้ อง็ มาดดี ตวั ทำ� เสยี งโผงๆ ทา้ ทาย อยใู่ ตจ้ มกู
รมิ ทะเลสาบเขา้ ใจวถิ ีและมคี วามสขุ กบั เดก็ กบั ครูกบั ชาวบา้ น แบบนห้ี รอกวะ่ .!!!.....
ซ่ึงเปน็ ความสขุ ที่ซ่ือใสแบบธรรมชาติ กอ่ นหลบั คืนนัน้ …..
ผมมีความสุขอยู่หลายปี ได้รับการหล่อหลอม ผมนึกถึง ซานตาคลอส Santa Claus เทพชรา
ขัดเกลาภาพของคนเมืองให้ลอกล่อน เติมความแข็งแกร่ง ในตำ� นาน ผใู้ จดตี อ่ เดก็ แตจ่ ะทง้ั โลก รเึ ปลา่ ผมไมร่ .ู้ ..เดอื นนี้
และทกั ษะการดำ� รงชพี แบบพอเพยี งธรรมดาให้ โดยเดก็ และ เป็นเดือนของเขาท่ีจะตระเวนมอบความหวัง ความฝัน
ชาวบ้าน แก่เดก็ ๆ ดว้ ยเลือ่ นเทยี มด้วยกวางเรนเดียร์
เสมือนจะเตรียมความเป็น “ฅุรุชน” ไว้ล่วงหน้า แต่วันน้ี “Santa” คง
กระนั้น! เหนอ่ื ยเกนิ กว่าจะมอบของขวญั
น�้ำท่วม! เอ่อท้น! ปลายปี 2560 น้ัน ดูค่อนจะ ตามคำ� ภาวนาใหใ้ ครไดอ้ กี แลว้ ...
หนักหนานกั เพราะมาก มาเร็ว และอย่นู าน..... เหมือนผม “ฅุรุชรา” ท่ีค่อยๆ
ผมจึง...ตระเวนล่อง ณ รอบลุ่มทะเลสาบ เพ่ือ หลับไปดว้ ยความออ่ นล้า.......
เยยี่ มเยอื น ถามไถ่ แตส่ งิ่ ทผี่ มไดร้ บั คอื เสยี งตะโกนทกั ทายกนั และ..... ไมร่ ู้ “วนั พรงุ่ ”...
เหนอื พน้ื นำ้� - รมิ ถนน ดว้ ยความดใี จ และแทนทผี่ มจะถาม “Tomorrow” จะยงั มอี กี หรอื ไม.่ ....
“คร.ู ..สบายดไี หม?”..... “MERRYCHRISTMAS”
“มาๆๆ.... มากนิ ขา้ วกนั กอ่ น เดยี๋ วไปหาปลามาแกง
กนิ กนั ... มเี หลา้ ปา่ รมิ ทะเลสาบ เพงิ่ หงุ ใหมๆ่ หอม อนุ่ อรอ่ ย
นะครับ ฮา่ าาาา..... เด๋ยี วผมไปเอามาให”้ .....
ผมไม่เคยปฏิเสธน�้ำใจอันบริสุทธ์ิของท้ังพี่น้อง
ชาวบา้ นและลกู ศษิ ย์ทวี่ นั นี้วยั ลว่ งหา้ หกสบิ กนั ไปหมดแลว้ .....
วนั นี้ เขาและเธอเหลา่ นน้ั ตา่ งเปน็ ผนู้ ำ� ชมุ ชนอาวโุ ส
อย่างเต็มภาคภูมิ.....

HOTLINE – สายตรง โลกวันน้ี และ Social Media เคลอื่ นและววิ ฒั น์ไปไวมาก กระทั่งเรา
ปรับตวั แทบไมท่ นั
112 วิทยาจารย์ แต่ผู้ทีเ่ ดือดร้อน และวติ กที่สดุ น่าจะเปน็ “เทพชรา” ผเู้ ปน็ ต�ำนาน
แห่ง “CHRISTMAS”.....!.?
ศรัทธาและความเชื่อม่ัน ท�ำให้ Santa Claus มีพลังแห่งความรัก
และความหวงั เปน็ ของขวญั ใหก้ ับเดก็ ทั่วโลก
แต…่ วนั น้ี วกิ ฤตเิ ดก็ ทวั่ โลก ดเู หมอื น Santa จะรบั มอื ไมไ่ หว... กระมงั ?

“ฅรุ ุชน”




Click to View FlipBook Version