The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาพระพุทธศาสนา 5.doc

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kik.jirapa.2013, 2021-04-19 00:31:11

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาพระพุทธศาสนา 5.doc

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาพระพุทธศาสนา 5.doc

 พระรัตนตรัยประกอบด้วยอะไรบ้าง
(พระพุทธ หมายถึง พระพทุ ธเจ้า ผู้ตรัสรูธ้ รรมด้วยพระองคเ์ อง พระธรรม หมายถึง
พระธรรมคำสอนของพระพทุ ธเจา้ พระสงฆ์ หมายถงึ ผสู้ บื ทอดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจา้ เป็นผ้ปู ฏบิ ตั ิดีปฏิบตั ิ
ชอบ ควรค่าแก่การเคารพยกยอ่ งอย่างสงู นับเปน็ ผู้มคี ุณอย่างย่ิง)
 พระรัตนตรัยมีความสำคัญตอ่ พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนอย่างไร
(ตัวอย่างคำตอบ พระรตั นตรัยเป็นองค์ประกอบสำคัญของพระพุทธศาสนาและเปน็ สง่ิ ที่พุทธศาสนิกชน
ควรเคารพและบชู าสูงสุด)
2. นกั เรียนศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสงั ฆคณุ 9 จากหนงั สือเรียนและแหล่งการเรยี นรู้อ่นื ๆ เพิ่มเตมิ
7.2 ข้นั สอน
1. นักเรยี นอา่ นบทสวดมนตท์ ี่กำหนดให้อย่างพรอ้ มเพรยี งกันแล้วตอบคำถาม

สุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อุชปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ
ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยคุ านิ อัฏฐะ ปุริสะปคุ คะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหเุ นยโย ปาหุเนยโย ทักขเิ ณยโย อญั ชะลีกะระณีโย อนตุ ตะรัง ปุญญักเขตตงั โลกัสสาติ

 นกั เรยี นทราบหรอื ไมว่ ่าบทสวดนี้คือบทสวดอะไร
(ตัวอยา่ งคำตอบ ทราบ คือ บทสวดเกยี่ วกบั การบูชาพระสงั ฆคณุ )
 พระสังฆคณุ คืออะไร
(คือ คุณของพระสงฆ์ 9 ประการ เรียกว่า สังฆคุณ 9)
 สงั ฆคุณ 9 มอี ะไรบา้ ง และมคี วามสำคัญอยา่ งไร
โดยบนั ทกึ คำตอบของนักเรียนเป็นแผนภาพความคดิ บนกระดาน ดงั ตวั อยา่ ง

สังฆคุณ 9

เป็นผู้ปฏบิ ัติดี ประพฤติปฏบิ ตั ิตามหลักธรรมวินยั โดยยึดหลกั ทางสายกลาง
ไมต่ ึงเกินไปและไมห่ ย่อนเกนิ ไป และเปน็ ไปในทางเดยี วกับ
เปน็ ผู้ปฏิบตั ิตรง คำสอนของพระพุทธเจ้า

เป็นผ้ปู ฏิบตั ิ ปฏิบัติอยา่ งตรงไปตรงมา ไมเ่ ป็นผทู้ โ่ี กหกหลอกลวง ต่อหนา้
ถกู ทาง ปฏบิ ตั ิเช่นใดลบั หลังกป็ ฏบิ ตั ิเชน่ นั้น

เป็นผปู้ ฏบิ ัติ ปฏบิ ัติเพอ่ื ให้รธู้ รรม ซึ่งเปน็ หนทางหลุดพ้นจากทุกขไ์ ม่ปฏิบตั ิ
สมควร ผิดเพีย้ นไปจากคำสอนของพระพทุ ธเจา้

เปน็ ผู้ควรแก่ ปฏิบัติสมควรแกก่ ารเคารพนบั ถือ
ของคำนับ
เป็นผ้ทู สี่ มควรไดร้ บั เครือ่ งสกั การะท่เี ขานำมาถวายในโอกาส
เป็นผู้ควรแก่ ต่าง ๆ เนอื่ งจากเปน็ ผ้ปู ฏบิ ัติดปี ฏิบัตชิ อบ
การต้อนรบั
เปน็ ผูท้ ส่ี มควรไดร้ บั การตอ้ นรับอย่างย่งิ ไม่ว่าทา่ นจะเดินทาง
เปน็ ผคู้ วรแก่ ไปสถานที่ใด หากมีโอกาสควรให้การต้อนรบั ทา่ นด้วยความ
ทกั ษณิ า เคารพ

เป็นผคู้ วรแก่ ควรค่าแกก่ ารไดร้ บั ของทำบุญ หรือเครอื่ งไทยธรรมท่ีมี
การกราบไหว้ ผ้นู ำมาถวาย

เปน็ เนือ้ นาบุญ อยูใ่ นฐานะทส่ี มควรได้รบั การกราบไหว้จากฆราวาสในทกุ
อันยอดเยี่ยม สถานที่และทกุ โอกาส
ของโลก
เปรียบได้กับผืนนา ถ้าหากพื้นนามคี วามอุดมสมบูรณ์
เมล็ดพนั ธ์ุทหี่ ว่านลงไปย่อมให้ผลผลติ ท่ีสมบรู ณ์

2. นักเรียนวเิ คราะห์ภาพเกยี่ วกับการปฏิบัตติ นของพระสงฆ์ จากน้ันร่วมกันแสดงความคิดเหน็ เกีย่ วกบั สังฆ
คณุ 9 ดงั น้ี

 การปฏิบัติตนของพระสงฆ์ตรงกบั สังฆคุณ 9 ข้อใด
(เป็นผ้คู วรแกข่ องคำนบั เป็นผ้คู วรแกท่ ักษิณา)
 การปฏิบตั ิตนในภาพ ส่งผลต่อพระพุทธศาสนาอย่างไร
(ตวั อยา่ งคำตอบ เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาใหค้ งอยู่ตอ่ ไป
เพราะการถวายสังฆทานเป็นการอุปถมั ภ์พระสงฆ์
ผซู้ ึง่ เผยแผ่พระพทุ ธศาสนา)

 การปฏิบตั ติ นของพระสงฆต์ รงกบั สังฆคุณ 9 ขอ้ ใด
(เปน็ ผปู้ ฏิบัติถูกทาง คอื ปฏิบัตเิ พื่อใหร้ ้ธู รรม
ซง่ึ เป็นหนทางหลดุ พน้ จากทกุ ข)์
 การปฏิบัตติ นในภาพ ส่งผลต่อพระพทุ ธศาสนาอย่างไร
(ตวั อยา่ งคำตอบ การศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพทุ ธเจา้ จะ
ทำใหป้ ฏิบตั ติ นอยา่ งถูกต้อง ไมผ่ ดิ ไปจากหลกั คำสอน ส่งผลให้
พระพุทธศาสนาดำรงอยตู่ อ่ ไป)

 การปฏบิ ตั ติ นของพระสงฆต์ รงกบั สังฆคุณ 9 ข้อใด
(เป็นผปู้ ฏิบัติดี คอื ประพฤตปิ ฏิบัติตามหลกั ธรรมวนิ ยั โดยยดึ
หลกั ทางสายกลาง)
 การปฏบิ ัติตนในภาพ สง่ ผลต่อพระพุทธศาสนาอย่างไร
(ตัวอย่างคำตอบ เปน็ การสืบทอดหลักธรรมคำสอน
โดยปฏบิ ัตติ ามหลกั ธรรมวนิ ยั )

 การปฏบิ ตั ิตนของพระสงฆ์ตรงกับสังฆคุณ 9 ขอ้ ใด
(เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว)้
 การปฏิบัติตนในภาพ ส่งผลต่อพระพุทธศาสนาอย่างไร
(ตัวอย่างคำตอบ เป็นการเผยแผห่ ลักธรรมคำสอนของ
พระพทุ ธเจ้าให้แกพ่ ทุ ธศาสนิกชนได้นำไปปฏบิ ตั ใิ นการดำเนนิ ชีวิต
ทำใหพ้ ระพทุ ธศาสนาคงอยสู่ บื ตอ่ ไป)

3. นักเรียนคดิ ประเมินเพ่ือเพ่ิมคณุ คา่ แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด โดยการตอบคำถาม ดงั น้ี
 ประโยชนท์ ีน่ กั เรียนได้รับจากการศึกษาคุณของพระสงฆห์ รือสงั ฆคุณ 9 คืออะไร
(ตัวอยา่ งคำตอบ ทำให้รู้และเข้าใจคุณลกั ษณะของพระสงฆ์ อันเป็นเหตใุ ห้เกิดความศรทั ธาเลอื่ มใส เพ่อื

นำไปสู่การประพฤตปิ ฏบิ ัตติ นต่อพระสงฆอ์ ยา่ งถูกต้องและเหมาะสม)
7.3 ขนั้ ฝกึ ฝน

1. นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม ยกตวั อย่างหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนามา 1 หลักธรรม แล้ววิเคราะหค์ วามสำคญั ของ
หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาดงั กลา่ ว พร้อมเสนอแนวทางการปฏบิ ัติตนตามหลักธรรม และสรุปผลทเี่ กดิ ข้ึนลงใน
แผนภาพความคิด ดังตัวอย่าง

หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา

(พรหมวิหาร 4 ประกอบดว้ ยหลักปฏบิ ตั ิ 4
ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)

ความสำคัญของหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา
(เปน็ หลกั ธรรมประจำใจเพื่อใหด้ ำรงชีวิตได้อยา่ งประเสริฐ
และบริสทุ ธิ์เฉกเชน่ พรหม เป็นแนวทางปฏิบัติของผู้ที่
ปกครอง และการอยู่ร่วมกบั ผูอ้ ่นื )

แนวทางการปฏิบตั ติ นตามหลกั ธรรม
(ตวั อยา่ งคำตอบ อุเบกขา : ไมเ่ ขา้ ข้างใครโดยไร้เหตผุ ล รู้จกั
วเิ คราะห์เหตแุ ละผลดว้ ยปัญญา)

ผลท่เี กดิ ขนึ้
(ทำให้ชีวติ พบเจอแตค่ วามสุข และไมไ่ ดร้ ับผลกระทบจาก
การกระทำของผอู้ ่ืน)

2. นกั เรียนตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความเรยี บรอ้ ยของผลงาน หากพบข้อผิดพลาดควรปรบั ปรุงแก้ไขให้ถกู ตอ้ ง
3. นักเรยี นนำเสนอผลงานกลมุ่ และชิ้นงานเรือ่ ง การแกไ้ ขปัญหาตามหลักอรยิ สัจ 4 หนา้ ชนั้ เรียน

7.4 ข้นั สรปุ
1. นักเรียนร่วมกนั สรุปสิง่ ที่เข้าใจเปน็ ความรู้รว่ มกนั ดังน้ี

สงั ฆคุณ 9 คอื คุณของพระสงฆ์ มี 9 ประการ การศกึ ษาสงั ฆคณุ 9 ทำใหร้ แู้ ละเข้าใจคุณลกั ษณะของ

พระสงฆ์ อันเปน็ เหตใุ หเ้ กิดความศรทั ธาเลอ่ื มใส และนำไปสกู่ ารประพฤติปฏิบัตติ นต่อพระสงฆ์อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม

8. ส่ือการเรียนรู้ / แหล่งการเรยี นรู้
1. หนังสือเรียนรายวิชาพน้ื ฐาน พระพุทธศาสนา ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ของสถาบนั พฒั นาคณุ ภาพวิชาการ (พว.)

2. ภาพการปฏบิ ัติตนของพระสงฆ์

3. แหล่งการเรียนรูท้ ้งั ภายในและภายนอกโรงเรยี น

9. การวดั และประเมนิ ผล

วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล เคร่ืองมอื เกณฑ์การวัดและประเมินผล
ด้านความรู้
ประเมนิ ความรู้ เร่ือง พระ 4 = ดีมาก ถูกต้อง 80%ข้ึนไป

รตั นตรยั : สงั ฆคณุ 9 (K) ด้วย 3 = ดี ถูกต้อง 70-79%ข้นึ ไป
2 = พอใช้
แบบทดสอบ 1 = ปรับปรงุ ถกู ต้อง 60-69%ขนึ้ ไป
ถูกต้องต่ำกวา่ 60%ขึน้ ไป

ดา้ นทกั ษะ / กระบวนการ ประเมนิ กระบวนการทำงาน 4 = ดีมาก หมายถึง ปฏิบัติคุณลักษณะน้นั ๆ
กลุ่ม (P) ดว้ ยแบบประเมิน เดน่ ชดั มากท่ีสุด
3 = ดี หมายถงึ ปฏิบัติคุณลักษณะน้นั ๆ
ดา้ นเจตคติ และคุณลักษณะ ประเมนิ คณุ ลักษณะอันพงึ เดน่ ชัดที่สุด
ประสงค์ ดา้ นรักชาติ ศาสน์ 2 = พอใช้ หมายถึง ปฏิบัติคุณลกั ษณะนน้ั ๆ
กษตั รยิ ์ ใฝเ่ รียนรู้ (A) ดว้ ย ปานกลาง
แบบประเมิน 1 = ปรับปรงุ หมายถงึ ปฏบิ ตั ิคุณลกั ษณะ
นน้ั ๆน้อย

4 = ดมี าก หมายถงึ ปฏิบัติคุณลักษณะนัน้ ๆ
เด่นชดั มากที่สุด
3 = ดี หมายถึง ปฏิบตั ิคุณลกั ษณะนั้นๆ
เด่นชัดที่สุด
2 = พอใช้ หมายถงึ ปฏบิ ัติคุณลักษณะน้นั ๆ
ปานกลาง
1 = ปรบั ปรงุ หมายถึง ปฏิบัติคุณลักษณะ
นัน้ ๆน้อย

บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้

1. สรุปผลการเรียนรู้

1.1 ความรู้ (K : Knowledge)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.2 ทกั ษะ / กระบวนการ (P: Process)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.3 คุณธรรม จริยธรรม (A: Attitude)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

2. ปญั หา อุปสรรคและขอ้ คน้ พบ

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะ แนวทางแกไ้ ข และผลการแกไ้ ข

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

(ลงชื่อ)……………………………………..ผู้สอน
(นางสาวจิราภา สำฤทธิ์)

วนั ที่ …………..เดอื น……………..พ.ศ……….….

(ลงชือ่ )………………………………………… (ลงช่อื )…………………………………………
(วา่ ทร่ี อ้ ยตรีหญิงมทุ ิตา เอีย่ มทิพย์)
(นายถาวร สุขนา) รองผอู้ ำนวยกาปฏบิ ัติราชการแทน
หัวหน้ากลมุ่ บริหารงานวชิ าการ
ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นหนองรปี ระชานมิ ิต

แผนการจัดการเรยี นรู้

สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษาฯ รายวิชา พระพทุ ธศาสนา5 รหัสวชิ า ส23103 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 6 เร่ือง สงั ฆคุณกบั ขอ้ ธรรมสำคญั ในกรอบอริยสัจ 4 จำนวน 4 ชั่วโมง

แผนการเรียนรทู้ ่ี 2 เรอ่ื ง อริยสจั 4 จำนวน 1 ชว่ั โมง

1. มาตรฐานตวั ช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้
มาตรฐาน ส 1.1 รแู้ ละเขา้ ใจประวัติ ความสำคญั ศาสดา หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนา

ทีต่ นนบั ถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาทีถ่ ูกตอ้ ง ยึดม่ัน และปฏิบัตติ ามหลักธรรม

เพ่อื อยูร่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ติสุข

ตัวช้วี ัด
ส 1.1 ม.3/6 อธบิ ายสังฆคณุ และข้อธรรมสำคญั ในกรอบอรยิ สัจ 4 หรอื หลักธรรมของศาสนาท่ีตน

นับถือตามท่ีกำหนด
2. สาระสำคญั

อริยสจั 4 เป็นหลักธรรมคำสอนทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงตรสั รู้ และตรสั เทศนาสงั่ สอนพุทธศาสนิกชนให้หลดุ พน้ จาก

ความทกุ ข์ และมีความสุขในการดำเนินชวี ติ
3. จุดประสงค์การเรียนรู้

1. อธิบายหลักธรรมทเ่ี ปน็ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ หรือเรยี กว่าอริยสจั 4 (K)

2. วเิ คราะหเ์ ก่ียวกบั หลักธรรมในกรอบอรยิ สจั 4 (P)

3. เสนอแนวทางการปฏิบัติตนตามหลกั อริยสจั 4 (P)

4. เห็นความสำคญั ของการศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพทุ ธเจ้า เพอ่ื ให้หลดุ พ้นจากความทุกข์

ใหม้ คี วามสุขในการดำเนนิ ชีวิต (A)
4. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์

1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์

2. ใฝ่เรยี นรู้

5. สมรรถนะสำคญั ของนักเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร

2. ความสามารถในการคดิ

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา

4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. ชน้ิ งาน/ภาระงาน แผนผังความคิด

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ด้วยวธิ ีสอนแบบ (Questioning Method) (Committee Work Method)

7.1 ขน้ั นำ
1. นกั เรียนร่วมกนั สนทนาเกี่ยวกบั ความทุกข์ทเี่ กดิ ข้ึนในการดำเนนิ ชีวติ โดยการตอบคำถาม ดังนี้
 นกั เรียนเคยมคี วามทกุ ข์หรือไม่
(ตัวอย่างคำตอบ เคยมีความทุกข)์
 ความทกุ ข์ทีน่ ักเรยี นเคยพบคืออะไร
(ตวั อยา่ งคำตอบ สอบไดค้ ะแนนน้อย)
 ความทกุ ข์ดงั กล่าวมีผลตอ่ การดำเนนิ ชวี ติ ของนักเรียนหรอื ไม่ อย่างไร
(ตวั อย่างคำตอบ มผี ลต่อการดำเนินชีวติ เพราะทำใหไ้ มม่ สี มาธใิ นการเรยี น)
 นักเรยี นคิดวา่ ความทกุ ขท์ ่ีเกดิ ขึ้นสามารถแก้ไขไดโ้ ดยวิธใี ด
(ตวั อย่างคำตอบ กอ่ นจะสอบตอ้ งต้ังใจอา่ นหนงั สือ และตั้งใจเรียนขณะครูกำลังสอน)
 ในทางพระพทุ ธศาสนาหลกั ธรรมคำสอนใดท่ีชว่ ยใหห้ ลดุ พน้ จากความทุกข์
(อรยิ สจั 4)
 อริยสจั 4 ชว่ ยใหห้ ลุดพน้ จากความทกุ ขไ์ ดอ้ ย่างไร
(ตวั อย่างคำตอบ อริยสัจ 4 เปน็ หลกั ธรรมท่ีเปน็ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ที่แสดงให้เหน็ ถึงปัญหา

สาเหตุ แนวทางการแก้ไข หรือแนวทางการปฏบิ ัติ เพอ่ื ใหห้ ลุดพ้นจากความทุกข์ ได้แก่ ทกุ ข์ สมุทยั นิโรธ และมรรค)
2. นกั เรยี นศึกษาและรวบรวมขอ้ มลู เก่ยี วกับพุทธสาวกิ า : พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี

พระเขมาเถรี จากหนงั สือเรยี นและแหลง่ การเรยี นรู้อื่น ๆ เพ่ิมเตมิ
7.2 ขนั้ สอน

1. นกั เรียนร่วมกนั วิเคราะห์เกี่ยวกับหลักธรรมในกรอบอริยสัจ 4 โดยตอบคำถาม ดังน้ี
หลกั ธรรมในกรอบอริยสจั 4 มีอะไรบา้ ง และหลักธรรมดงั กล่าวเปน็ อยา่ งไร โดยบันทึกคำตอบ

ของนักเรยี นเป็นแผนภาพความคิดบนกระดาน ดงั ตวั อยา่ ง

ความไมส่ บายกาย ซ่ึงเกดิ จากการเกิด แก่ เจบ็ ตาย
ทุกข์ และความไมส่ บายใจ ไดแ้ ก่ ความโศกเศรา้ เสยี ใจ ผิดหวัง

หรอื คับแคน้ ใจ ซ่งึ เกดิ จาก

ขันธ์ 5 คือ องค์ประกอบทร่ี วมกนั เข้าเป็นชวี ติ
ไดแ้ ก่ รปู ขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
สงั ขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะของสิ่งท้ังหลายตาม
ความจรงิ ได้แก่ อนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตา

อริยสัจ 4 สมุทยั เหตแุ ห่งทกุ ข์ ซงึ่ เกิดจากกิเลสท่ีเรียกวา่ ตัณหา 3 ได้แก่
ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเปน็ สิ่งท่ีควรละเว้น

หลักกรรม ซ่งึ ประกอบขน้ึ เปน็ เจตนา คือ ต้งั ใจ
กระทำ มีทงั้ กรรมดีและกรรมไม่ดี มีหนทางเกดิ
3 ทาง คือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
วฏั ฏะ 3 คือ การวนเวียน การหมนุ เวียนไม่มีท่ี
ส้ินสุด ดว้ ยอำนาจของกิเลส กรรม และวิบาก
ปปัญจธรรม 3 คอื กิเลสที่ทำใหเ้ กิดความเน่นิ ช้า
เปน็ ตัวขัดไม่ให้เขา้ ถงึ ความจรงิ ไดแ้ ก่ ตณั หา
มานะ ทิฏฐิ

นโิ รธ ความดับทกุ ข์ คอื สภาพหรอื สภาวะที่ทุกขห์ มดไป ไม่มที ุกข์

อตั ถะ 3 คือ ประโยชนห์ รอื ผลมุง่ หมาย 3 ประการ คอื
ทฏิ ฐธัมมิกัตถะ สมั ปรายิกตั ถะ ปรมัตถะ

มรรค หนทางท่ีจะนำไปสู่ความดับทุกข์

มรรคมีองค์ 8 มัชฌมิ าปฏปิ ทา หรอื ท่ีเรียกวา่ ทางสายกลาง
ปัญญา 3 คือ ความรู้ ความรอบรู้ ไดแ้ ก่ ปญั ญาจากการฟัง การคดิ
การปฏบิ ตั ิ
สปั ปุริสธรรม 7 คอื ธรรมของสัตบุรษุ หรอื ธรรมที่ทำใหเ้ ป็นสัตบรุ ุษ
บญุ กริ ยิ าวัตถุ 10 คอื ทต่ี งั้ แห่งการทำบญุ ทางแหง่ การทำความดี
อบุ าสกธรรม 7 คือ ธรรมทอ่ี ุบาสกและอุบาสิกาพึงปฏบิ ัติเพ่อื ให้เกิด
ความเจรญิ
มงคล 38 คอื ส่ิงที่ทำให้มีโชคดีในทางพระพทุ ธศาสนา เปน็ ธรรมท่ีนำ
ความสุขความเจริญมาให้

2. นักเรยี นแบง่ กลุ่มยกตวั อยา่ งปญั หาทต่ี นสนใจมา 1 ปญั หา แล้วนำเสนอการนำหลกั ธรรมอริยสจั 4 มา
ชว่ ยในการแกไ้ ขปัญหาลงในกระดาษชารต์ แลว้ ตอบคำถาม ดงั ตัวอยา่ ง

ปญั หา
(เรียนไม่เขา้ ใจ ทำให้
สอบตก)

ทุกข์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค

สอบตก ไม่ตง้ั ใจเรยี นและ สนใจและต้ังใจเรียน เมื่อเกิดขอ้ สงสัยหรอื ไม่

ไมท่ บทวนบทเรียน ในสิง่ ทค่ี ุณครู เข้าใจในเนื้อหาที่เรียน

กำลงั สอน ใหย้ กมือถามคุณครู

หรือถามเพ่อื นและหมน่ั

 การแกไ้ ขปัญหาทเ่ี กดิ ขนึ้ ควรนำหลักธรรมใดมาปรับใช้ ทบทวนบทเรียนอยู่เสมอ

(ตวั อยา่ งคำตอบ อิทธบิ าท 4 คอื หนทางแหง่ ความสำเร็จ ได้แก่ ฉันทะ (ความพอใจ) วิริยะ

(ความเพียร) จิตตะ (ความคิด) วมิ ังสา (ความไตร่ตรองหรอื ทดลอง)

3. นกั เรยี นคิดประเมนิ เพอื่ เพม่ิ คุณคา่ แลว้ สรุปเปน็ ความคิดรวบยอด โดยการตอบคำถาม ดังน้ี

 การนำหลักธรรมอริยสัจ 4 มาปรบั ใช้ในการดำเนนิ ชีวติ จะส่งผลดีต่อนกั เรียนอย่างไร

(ตวั อยา่ งคำตอบ ทำให้ดำเนนิ ชวี ิตบนพนื้ ฐานของความไมป่ ระมาท และทำใหช้ ีวติ มีแต่ความสุข)

7.3 ข้ันฝกึ ฝน
1. นักเรยี นวิเคราะห์ปัญหาท่เี กิดขึน้ กับตนเองตามหลกั อริยสจั 4 แลว้ เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยใช้

หลักธรรมต่าง ๆ และผลท่เี กิดข้นึ จากการปฏิบัติลงในชิ้นงาน เรือ่ ง การแก้ไขปัญหาตามหลักอรยิ สัจ 4

2. นักเรียนตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความเรียบรอ้ ยของผลงาน หากพบข้อผดิ พลาดควรปรบั ปรงุ แก้ไขให้

ถกู ต้อง

3. นกั เรยี นนำเสนอผลงานกลุ่มและชนิ้ งานเรอื่ ง การแกไ้ ขปญั หาตามหลกั อริยสัจ 4 หน้าชัน้ เรยี น

7.4 ขัน้ สรปุ
1. นักเรยี นรว่ มกนั สรุปส่ิงทเ่ี ข้าใจเป็นความรรู้ ว่ มกัน ดังนี้

อริยสัจ 4 เปน็ หลักธรรมคำสอนท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงตรัสรู้ และตรสั เทศนาสัง่ สอนพทุ ธศาสนกิ ชนให้หลุดพน้

จากความทุกข์ และมคี วามสุขในการดำเนินชีวติ

8. ส่อื การเรยี นรู้ / แหล่งการเรียนรู้
1. หนังสือเรยี นรายวชิ าพนื้ ฐาน พระพุทธศาสนา ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ของสถาบันพฒั นาคุณภาพวิชาการ (พว.)

2. แหล่งการเรยี นรู้ทัง้ ภายในและภายนอกโรงเรียน

9. การวัดและประเมนิ ผล เครอ่ื งมือ เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล
วธิ ีการวัดและประเมินผล ประเมนิ ความรู้ เรอ่ื ง
4 = ดมี าก ถกู ตอ้ ง 80%ขึ้นไป
ด้านความรู้ อริยสจั 4 (K) ด้วย 3 = ดี ถกู ตอ้ ง 70-79%ขึน้ ไป
2 = พอใช้ ถกู ตอ้ ง 60-69%ขน้ึ ไป
แบบทดสอบ 1 = ปรับปรงุ ถูกต้องตำ่ กว่า 60%ขนึ้ ไป

ดา้ นทกั ษะ / กระบวนการ ประเมินกระบวนการทำงาน 4 = ดีมาก หมายถึง ปฏิบัติคุณลักษณะนน้ั ๆ
กลุม่ (P) ดว้ ยแบบประเมิน เด่นชดั มากที่สุด
ประเมินชน้ิ งาน เรื่อง การ 3 = ดี หมายถงึ ปฏบิ ตั ิคุณลักษณะนั้นๆ
แกไ้ ขปญั หาตามหลักอริยสัจ เดน่ ชดั ที่สุด
4 (P) ด้วยแบบประเมนิ 2 = พอใช้ หมายถึง ปฏบิ ัติคุณลักษณะน้นั ๆ
ปานกลาง
ด้านเจตคติ และคณุ ลกั ษณะ ประเมินคณุ ลกั ษณะอันพึง 1 = ปรับปรุง หมายถึง ปฏบิ ตั ิคณุ ลักษณะ
ประสงค์ ด้านรกั ชาติ ศาสน์ นั้นๆนอ้ ย
กษัตริย์ ใฝ่เรยี นรู้ (A) ดว้ ย
แบบประเมนิ 4 = ดีมาก หมายถึง ปฏบิ ัตคิ ุณลักษณะน้ันๆ
เดน่ ชดั มากท่ีสดุ
3 = ดี หมายถึง ปฏบิ ตั ิคุณลักษณะนัน้ ๆ
เด่นชัดที่สุด
2 = พอใช้ หมายถงึ ปฏบิ ัตคิ ุณลกั ษณะนัน้ ๆ
ปานกลาง
1 = ปรับปรุง หมายถึง ปฏิบัติคุณลักษณะ
นน้ั ๆน้อย

ช้ินงานเรื่อง การแก้ไขปญั หาตามหลกั อรยิ สัจ 4
นักเรียนวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นกบั ตนเองตามหลักอริยสจั 4 แลว้ เสนอแนวทางแก้ไขปญั หาโดยใช้หลักธรรมต่าง
ๆ และผลที่เกดิ ขนึ้ จากการปฏบิ ัติลงในแผนภาพความคิด (ตัวอย่างคำตอบ) ตวั อย่างตอบ) (ตวั อยา่ งคำตอบ)

 ปัญหาที่เกิดขนึ้ (รู้สกึ งว่ งนอนเวลาอา่ นหนังสอื สอบ)

 ทกุ ข์  สมทุ ัย  นิโรธ  มรรค
(ง่วงนอนเวลาอ่าน (นอนไมเ่ พียงพอ (มสี ติ รู้จกั ขม่ ใจ (ถ้ารสู้ ึกง่วงก็เปลีย่ น
หนังสือ) ไม่ต้งั ใจ รู้สกึ และรู้ตวั อยเู่ สมอ) อริ ิยาบถ ล้างหน้า
เบ่ือหน่าย) พักผ่อนให้เพียงพอ)

 หลักธรรมทน่ี ำมาใช้แก้ปัญหา  ผลทเ่ี กิดขน้ึ จากการปฏิบัติ
(ขนั ติ (อดทน) ความขยันหมั่นเพยี ร (ทำให้อ่านหนังสือไดน้ าน มีสมาธิ
(อุฏฐานสัมปทา) ความตัง้ จติ ม่นั ชอบ อ่านรู้เร่ือง จำได้มากขน้ึ และ
(สมั มาสมาธิ) และความเปน็ ผู้รู้จักเหตุ มีผลทำให้สอบผ่าน)
(ธัมมัญญตุ า))

บนั ทกึ ผลหลงั การจัดการเรียนรู้

1. สรปุ ผลการเรยี นรู้

1.1 ความรู้ (K : Knowledge)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.2 ทักษะ / กระบวนการ (P: Process)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.3 คณุ ธรรม จริยธรรม (A: Attitude)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

2. ปัญหา อุปสรรคและขอ้ ค้นพบ

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

3. ขอ้ เสนอแนะ แนวทางแกไ้ ข และผลการแกไ้ ข

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

(ลงชอื่ )……………………………………..ผู้สอน
(นางสาวจิราภา สำฤทธิ์)

วนั ท่ี …………..เดอื น……………..พ.ศ……….….

(ลงช่ือ)………………………………………… (ลงช่ือ)…………………………………………
(นายถาวร สขุ นา)
(ว่าท่รี ้อยตรหี ญงิ มุทิตา เอ่ยี มทพิ ย์)
หัวหน้ากลมุ่ บรหิ ารงานวิชาการ รองผอู้ ำนวยกาปฏิบตั ริ าชการแทน
ผูอ้ ำนวยการโรงเรียนหนองรปี ระชานมิ ิต

แผนการจดั การเรียนรู้

สาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษาฯ รายวชิ า พระพุทธศาสนา5 รหัสวชิ า ส23103 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 6 เรื่อง สงั ฆคุณกับข้อธรรมสำคัญในกรอบอรยิ สัจ 4 จำนวน 4 ช่ัวโมง

แผนการเรียนร้ทู ี่ 3 เร่ือง พทุ ธศาสนสภุ าษิต จำนวน 1 ช่วั โมง

1. มาตรฐานตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้
มาตรฐาน ส 1.1 รแู้ ละเขา้ ใจประวัติ ความสำคญั ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนา

ที่ตนนับถอื และศาสนาอน่ื มีศรัทธาท่ีถกู ต้อง ยดึ มั่น และปฏบิ ตั ติ ามหลักธรรม

เพื่ออยู่ร่วมกนั อย่างสนั ติสุข

ตัวชวี้ ัด
ส 1.1 ม.3/6 อธบิ ายสังฆคุณและข้อธรรมสำคัญในกรอบอรยิ สัจ 4 หรอื หลักธรรมของศาสนาที่ตน

นับถอื ตามทีก่ ำหนด

2. สาระสำคัญ
พุทธศาสนสุภาษติ คือ ถอ้ ยคำทีม่ ีความหมายในเชิงให้แงค่ ิด เป็นคตสิ อนใจ เป็นส่งิ ท่พี ระพุทธเจา้

สาวก หรือเทวดาทั้งหลายตรัสส่งั สอนสาวกใหม้ ีสติในการดำเนินชวี ิต มหี นทางที่เป็นสขุ ได้

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมายและความสำคญั ของพทุ ธศาสนสภุ าษติ (K)

2. นำเสนอแนวทางการปฏิบตั ติ นท่ีสอดคลอ้ งกับพุทธศาสนสุภาษิต (P)

3. เห็นความสำคัญของการศกึ ษาพทุ ธศาสนสภุ าษติ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ข้อคิด คติประจำใจในการดำเนนิ ชวี ติ (A)

4. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

2. ใฝ่เรยี นรู้

5. สมรรถนะสำคญั ของนกั เรยี น
1. ความสามารถในการสื่อสาร

2. ความสามารถในการคดิ

3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. ช้นิ งาน/ภาระงาน แผนผังความคดิ

7. กิจกรรมการเรยี นรู้ ด้วยวิธสี อนแบบ (Questioning Method) (Committee Work Method)
7.1 ขน้ั นำ

1. นกั เรียนร่วมกนั อ่านพทุ ธศาสนสุภาษิตทกี่ ำหนดแลว้ ตอบคำถาม ดังน้ี

อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ

 นกั เรียนทราบหรือไม่วา่ พทุ ธศาสนสุภาษิตดังกลา่ วแปลว่าอะไร
(ตวั อยา่ งคำตอบ ทราบ แปลว่า ตนแลเป็นที่พึง่ แหง่ ตน)
 ตนแลเป็นทพี่ ง่ึ แหง่ ตน หมายถงึ อะไร
(ตวั อยา่ งคำตอบ การกระทำใด ๆ ก็ตาม ควรคิด ควรศกึ ษา และพยายามทำดว้ ยตนเอง
อย่างสดุ ความสามารถก่อนท่จี ะไปพึง่ พาขอความช่วยเหลอื จากผ้อู ื่น)
 พทุ ธศาสนสภุ าษติ ตามความเขา้ ใจของนกั เรียนคืออะไร
(ตัวอยา่ งคำตอบ ขอ้ คิด คติสอนใจ)
 นกั เรยี นคดิ ว่าพุทธศาสนสุภาษิตมีความสำคัญอยา่ งไร
(ตวั อย่างคำตอบ เปน็ สิง่ ทใี่ หค้ อยเตอื นสติให้ต้งั อยบู่ นความไมป่ ระมาทและเป็นขอ้ คดิ ท่ีสามารถนำมาปรบั
ใช้ในการดำเนินชวี ิตได้)
จากน้นั อธบิ ายสรปุ ให้นักเรียนฟังเพม่ิ เติมเกย่ี วกับความหมายและความสำคญั ของ
พทุ ธศาสนสุภาษติ ดังน้ี
พทุ ธศาสนสุภาษติ หมายถงึ ถอ้ ยคำที่มีความหมายในเชงิ ใหแ้ งค่ ิด เปน็ คติสอนใจ เปน็ ส่ิงทีพ่ ระพทุ ธเจ้า
สาวก หรือเทวดาทง้ั หลายตรัสสง่ั สอนสาวก ซง่ึ มมี ากมายและครอบคลุมหลายเรื่องให้น้อมนำไปเป็นแนวทางการ
ปฏบิ ตั ิตน เพอื่ ให้เกิดความสขุ ในการดำเนินชีวติ
2. นักเรยี นศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู เกยี่ วกบั พทุ ธศาสนสภุ าษิต จากหนังสือเรียน
และแหล่งการเรียนรอู้ ื่น ๆ เพิ่มเติม
7.2 ขน้ั สอน
1. นักเรียนแบ่งกลมุ่ 4 กลุม่ ศกึ ษาเกี่ยวกบั พทุ ธศาสนสภุ าษติ ท่ีกำหนดให้ ดงั น้ี
 กลุ่มที่ 1 อตฺตา หเว ชิตํ เสยโฺ ย
 กลุ่มที่ 2 ธมฺมจารี สขุ ํ เสติ
 กลมุ่ ท่ี 3 ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
 กลมุ่ ที่ 4 สสุ ฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ
จากน้นั วเิ คราะหเ์ ก่ยี วกบั ความหมายและความสำคญั แนวทางการปฏิบตั ิตนท่สี อดคลอ้ งกับ
พทุ ธศาสนสุภาษติ และสรปุ ผลทเ่ี กิดขึ้นเป็นแผนภาพความคิด ดังตวั อย่าง

กลมุ่ ท่ี 1 อตตฺ า หเว ชิตํ เสยฺโย

อตตฺ า หเว ชิตํ เสยฺโย

 ความหมาย : ชนะตนนัน้ แลดกี วา่
 ความสำคญั : การชนะตน โดยการ
สามารถบังคบั ควบคุมตนเองไมใ่ หท้ ำในสงิ่ ที่
ไมค่ วรทำ สามารถเอาชนะใจตนเองจาก
อำนาจกเิ ลสหรือสง่ิ ยั่วเยา้ ทง้ั หลายไดถ้ ือเปน็
ชัยชนะที่ย่ิงใหญ่และประเสรฐิ ทส่ี ุด

แนวทางการปฏิบัติตน ผลท่เี กดิ ขนึ้

รู้จักขม่ จิตใจ และมีความอดทนอดกลน้ั ไม่เกิดความทุกข์ในจิตใจ การดำเนนิ ชวี ิต
ต่อสิ่งตา่ ง ๆ ท่ีเข้ามากระทบจิตใจ พบเจอแต่ความสุข
ใหเ้ กดิ ความรู้สกึ ไมด่ ี และไมค่ ดิ ร้าย
หรอื ผกู ใจเจ็บแกผ่ ู้ทท่ี ำใหเ้ ราเปน็ ทกุ ข์

2. นกั เรยี นคดิ ประเมนิ เพือ่ เพิ่มคณุ คา่ แล้วสรุปเปน็ ความคิดรวบยอด โดยการตอบคำถาม ดังน้ี
 นักเรยี นจะนำพุทธศาสนสภุ าษิตไปเป็นแนวทางการดำเนนิ ชีวิตของตนเองได้อย่างไรบ้าง
(ตัวอย่างคำตอบ ใช้เปน็ คตปิ ระจำใจ เพ่ือให้สามารถดำเนินชีวิตได้อยา่ งมสี ตแิ ละมีความสขุ )

7.3 ข้ันฝึกฝน
1. นักเรยี นยกตัวอย่างพุทธศาสนสภุ าษิตที่ตนสนใจมา 1 ตัวอยา่ ง แล้ววเิ คราะหเ์ กย่ี วกบั ความหมาย

ความสำคญั ของพุทธศาสนสุภาษติ พรอ้ มเสนอแนวทางการปฏิบตั ติ นที่สอดคล้องกับพุทธศาสนสุภาษติ และสรปุ ผลท่ี
เกิดขน้ึ โดยนำเสนอข้อมูลในรูปแบบแผนภาพความคิด

2. นักเรียนตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความเรยี บรอ้ ยของผลงาน หากพบข้อผิดพลาดควรปรับปรงุ แก้ไขให้
ถูกตอ้ ง

3. นกั เรยี นนำเสนอผลงานการศึกษาพุทธศาสนสุภาษติ หนา้ ชนั้ เรียน

7.4 ขนั้ สรปุ
1. นกั เรยี นร่วมกนั สรปุ สิง่ ท่เี ข้าใจเปน็ ความรรู้ ว่ มกนั ดังน้ี

พทุ ธศาสนสภุ าษติ คอื ถอ้ ยคำท่มี ีความหมายในเชิงใหแ้ งค่ ดิ เป็นคติสอนใจ เป็นสิ่งทพี่ ระพุทธเจ้าสาวก หรือ

เทวดาท้งั หลายตรสั ส่ังสอนสาวกให้มีสตใิ นการดำเนินชีวติ มหี นทางท่เี ปน็ สุขได้

8. สื่อการเรียนรู้ / แหลง่ การเรียนรู้
1. หนงั สอื เรียนรายวชิ าพน้ื ฐาน พระพทุ ธศาสนา ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ของสถาบันพัฒนาคณุ ภาพวิชาการ (พว.)

2. ข้อความพุทธศาสนสุภาษิต

3. แหล่งการเรยี นรทู้ ้งั ภายในและภายนอกโรงเรียน

9. การวัดและประเมนิ ผล เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารวัดและประเมินผล
วิธีการวดั และประเมินผล ประเมินความรู้ เร่ือง พทุ ธ
4 = ดีมาก ถกู ตอ้ ง 80%ขน้ึ ไป
ดา้ นความรู้ ศาสนสุภาษติ (K) ดว้ ย 3 = ดี ถูกต้อง 70-79%ขน้ึ ไป
2 = พอใช้ ถูกต้อง 60-69%ขน้ึ ไป
แบบทดสอบ 1 = ปรับปรงุ ถูกตอ้ งต่ำกว่า 60%ขึ้นไป

ดา้ นทักษะ / กระบวนการ ประเมินกระบวนการทำงาน 4 = ดีมาก หมายถึง ปฏบิ ัตคิ ุณลักษณะน้นั ๆ
กล่มุ (P) ด้วยแบบประเมนิ เดน่ ชัดมากที่สุด
3 = ดี หมายถึง ปฏิบัตคิ ุณลกั ษณะนนั้ ๆ
ด้านเจตคติ และคุณลกั ษณะ ประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ เด่นชดั ท่ีสุด
ประสงค์ ดา้ นรกั ชาติ ศาสน์ 2 = พอใช้ หมายถงึ ปฏิบัติคุณลักษณะนน้ั ๆ
กษัตริย์ ใฝ่เรยี นรู้ (A) ดว้ ย ปานกลาง
แบบประเมิน 1 = ปรับปรุง หมายถึง ปฏบิ ัติคุณลกั ษณะ
น้ันๆนอ้ ย

4 = ดีมาก หมายถึง ปฏิบัติคุณลักษณะนัน้ ๆ
เด่นชดั มากท่ีสดุ
3 = ดี หมายถงึ ปฏิบัตคิ ุณลักษณะนั้นๆ
เดน่ ชัดที่สุด
2 = พอใช้ หมายถึง ปฏบิ ัติคุณลกั ษณะนัน้ ๆ
ปานกลาง
1 = ปรับปรุง หมายถึง ปฏิบตั ิคุณลักษณะ
นน้ั ๆน้อย

บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้

1. สรปุ ผลการเรียนรู้

1.1 ความรู้ (K : Knowledge)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.2 ทักษะ / กระบวนการ (P: Process)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.3 คณุ ธรรม จรยิ ธรรม (A: Attitude)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

2. ปญั หา อปุ สรรคและขอ้ ค้นพบ

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะ แนวทางแกไ้ ข และผลการแก้ไข

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

(ลงชอื่ )……………………………………..ผู้สอน
(นางสาวจิราภา สำฤทธิ์)

วนั ที่ …………..เดือน……………..พ.ศ……….….

(ลงชอื่ )………………………………………… (ลงชอื่ )…………………………………………
(นายถาวร สขุ นา)
(วา่ ทรี่ ้อยตรหี ญงิ มุทิตา เอี่ยมทิพย)์
หวั หนา้ กลมุ่ บริหารงานวชิ าการ รองผ้อู ำนวยกาปฏบิ ัตริ าชการแทน
ผูอ้ ำนวยการโรงเรียนหนองรปี ระชานมิ ิต

แผนการจัดการเรยี นรู้

สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษาฯ รายวิชา พระพทุ ธศาสนา5 รหัสวิชา ส23103 ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 3

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 6 เรอื่ ง สงั ฆคณุ กับข้อธรรมสำคัญในกรอบอรยิ สจั 4 จำนวน 4 ชัว่ โมง

แผนการเรยี นรู้ท่ี 4 เรอื่ ง น่ารจู้ ากพระไตรปฎิ ก : พทุ ธปณธิ าน 4 ในมหาปรินิพพานสูตร จำนวน 1 ช่ัวโมง

1. มาตรฐานตัวช้ีวดั /ผลการเรยี นรู้
มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนา
ทีต่ นนบั ถือและศาสนาอ่ืน มีศรัทธาทถ่ี กู ต้อง ยึดม่ัน และปฏิบตั ติ ามหลักธรรม

เพ่อื อยู่รว่ มกนั อยา่ งสนั ติสุข
ตัวชี้วัด
ส 1.1 ม.3/6 อธิบายสังฆคุณและขอ้ ธรรมสำคัญในกรอบอริยสัจ 4 หรือหลกั ธรรมของศาสนาท่ีตน

นบั ถือตามทกี่ ำหนด

2. สาระสำคญั
เรือ่ งนา่ รู้จากพระไตรปฎิ ก : พทุ ธปณธิ าน 4 ในมหาปรนิ พิ พานสูตร กล่าวถึงความตง้ั พระทัยของพระพทุ ธเจ้าที่

มตี อ่ พทุ ธบรษิ ัท 4 ใหฝ้ กึ ตนและเข้าใจหลักธรรม สามารถปฏิบัติตาม ถ่ายทอด และปกป้องค้มุ ครอง
พระพุทธศาสนาได้อยา่ งม่นั คงตลอดไป

3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธบิ ายเกย่ี วกบั ความหมายของพระไตรปฎิ ก (K)
2. วิเคราะห์เกย่ี วกับข้อคดิ ท่ไี ด้จากการศึกษาเรือ่ งนา่ รจู้ ากพระไตรปฎิ ก : พทุ ธปณธิ าน 4

ในมหาปรินิพพานสตู ร (P)
3. เสนอแนวทางการนำขอ้ คิดท่ไี ด้จากการศึกษาเรอ่ื งน่ารู้จากพระไตรปิฎก : พทุ ธปณิธาน 4

ในมหาปรินิพพานสูตรไปปรับใชใ้ นชีวติ ประจำวัน (P)

4. เห็นคุณค่าและความสำคญั ของการศึกษาเรอ่ื งนา่ รจู้ ากพระไตรปิฎก เพือ่ นำข้อคดิ ทไ่ี ด้มาปรบั ใช้

ในการดำรงชีวิต (A)
4. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์

1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์

2. ใฝเ่ รียนรู้

5. สมรรถนะสำคัญของนักเรยี น
1. ความสามารถในการสือ่ สาร

2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ

5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. ชิ้นงาน/ภาระงาน ชน้ิ งานเรอ่ื ง พทุ ธปณิธาน 4 ในมหาปรินพิ พานสตู ร

7. กจิ กรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธสี อนแบบ (Questioning Method) (Committee Work Method)
7.1 ขน้ั นำ

1. นักเรยี นรว่ มกนั สนทนาเพ่อื ทบทวนความรู้เกี่ยวกับพระไตรปิฎก โดยการตอบคำถาม ดงั น้ี
 พระไตรปิฎกหมายถึงอะไร
(ตัวอยา่ งคำตอบ เปน็ ส่ิงทรี่ วบรวมคำส่งั สอนของพระพุทธเจา้ ไวเ้ ป็นหมวดหมู่ไมใ่ หก้ ระจดั กระจาย คล้าย

กระจาดหรอื ตะกร้า อนั เปน็ ภาชนะใส่ของนั่นเอง)
 พระไตรปิฎกแบ่งไดก้ ห่ี มวด อะไรบา้ ง
(พระไตรปิฎก แบ่งได้ 3 หมวด ได้แก่ พระวินยั ปฎิ ก เป็นคัมภรี ์ว่าด้วยระเบยี บวินยั

พระสุตตันตปิฎก เปน็ คัมภรี ว์ า่ ดว้ ยพระธรรมเทศนาท่วั ไป มปี ระวตั ิและทอ้ งเร่อื งประกอบ
และพระอภิธรรมปฎิ ก เปน็ คมั ภรี ์วา่ ด้วยหลักธรรมและคำอธิบายท่ีเปน็ เน้ือหาวชิ าการล้วน ๆ ไม่มปี ระวัติ
และท้องเรือ่ งประกอบ)

 นกั เรยี นคดิ วา่ เรือ่ งน่าร้จู ากพระไตรปิฎก จดั อยใู่ นหมวดใดของพระไตรปฎิ ก
(หมวดที่ 2 พระสุตตันตปิฎก เพราะเป็นทร่ี วมของพระพทุ ธพจนท์ ่เี กย่ี วกับเทศนาธรรม
ซ่ึงประกอบดว้ ยเน้อื หาสาระ บคุ คล เหตุการณ์ สถานที่ ตลอดจนบทประพนั ธ์ ชาดก หรือเรือ่ งราวอดตี ชาติ
ของพระพทุ ธเจา้ )
2. นักเรียนศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู เกยี่ วกับเร่อื งน่ารู้จากพระไตรปิฎก : พุทธปณิธาน 4
ในมหาปรนิ ิพพานสูตร จากหนังสอื เรยี นและแหล่งการเรยี นรอู้ น่ื ๆ เพิ่มเติม
7.2 ขั้นสอน
1. นักเรียนร่วมกนั สรุปเรือ่ งนา่ รจู้ ากพระไตรปฎิ ก : พทุ ธฺปณธิ าน 4 ในมหาปรินิพพานสตู ร โดยสุ่มตัวแทนใน
การสรุป
2. นกั เรียนรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ เกีย่ วกบั เรือ่ งนา่ รจู้ ากพระไตรปฎิ ก : พทุ ธปณธิ าน 4
ในมหาปรนิ ิพพานสูตร โดยการตอบคำถาม ดงั นี้
 เพราะเหตใุ ดพระพุทธเจ้าจึงมีพทุ ธปณธิ านเป็นเช่นน้นั
(ตัวอย่างคำตอบ เพราะพระองคท์ รงต้ังพระทัยทจ่ี ะให้พุทธบริษัท 4 อนั ไดแ้ ก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกา ปฏบิ ตั ิตน ฝึกฝนตนใหม้ ีความรู้ความเข้าใจในคำสอนของพระองค์ สามารถท่ีจะปฏิบัติตาม และถา่ ยทอด
เผยแผ่ใหผ้ อู้ นื่ รู้ตาม รวมทั้งสามารถปกปอ้ งคมุ้ ครองพระพทุ ธศาสนาให้สืบตอ่ ไปไดอ้ ย่างม่ันคงตลอดไป)

 พทุ ธปณธิ านของพระพุทธเจา้ สง่ ผลต่อพระพุทธศาสนาอย่างไร
(ตัวอย่างคำตอบ ทำใหพ้ ระพุทธศาสนาคงอยมู่ าจนถงึ ปจั จุบนั )
3. นักเรยี นยกตวั อย่างเกยี่ วกับการสบื ทอดพระพุทธศาสนาในฐานะพุทธศาสนกิ ชนมาคนละ
1 ตัวอย่าง โดยเสนอแนวทางการปฏิบัติตน และสรุปผลท่ีเกิดขนึ้ ต่อพระพทุ ธศาสนา ดงั ตวั อย่าง

การสบื ทอดพระพุทธศาสนา

แนวทางการปฏิบัตติ น ผลท่ีเกดิ ขนึ้ ตอ่ พระพทุ ธศาสนา

ทำบญุ ตกั บาตรในวนั สำคัญทาง เป็นการสบื ตอ่ อายพุ ระพทุ ธศาสนา
พระพทุ ธศาสนา และนำหลักธรรม เพราะพระสงฆส์ ามเณรต้องอย่ดู ว้ ย
คำสอนเปน็ แนวทางปฏิบตั ิในการ การบิณฑบาตเลย้ี งชีพ
ดำเนินชีวิต

4. นกั เรยี นคดิ ประเมนิ เพอ่ื เพ่มิ คณุ คา่ แลว้ สรุปเป็นความคดิ รวบยอด โดยการตอบคำถาม ดงั น้ี

 การศกึ ษาเร่อื งน่ารจู้ ากพระไตรปิฎก : พทุ ธปณิธาน 4 ในมหาปรินพิ พานสูตร
นกั เรยี นได้ขอ้ คดิ ทจ่ี ะนำไปใชใ้ นการดำเนินชวี ิตของตนเองอย่างไร

(ตวั อยา่ งคำตอบ เมอื่ กระทำส่ิงใดก็ตาม ก็ต้องทำด้วยความมุ่งมนั่ และพยายามทำให้

เกดิ ผลสำเรจ็ )
7.3 ขัน้ ฝกึ ฝน
1. นกั เรียนสรุปข้อคิดท่ไี ด้จากเรอ่ื งนา่ รู้จากพระไตรปิฎก : พุทธปณิธาน 4 ในมหาปรินิพพานสูตร และการ

นำไปปฏิบัติลงในช้นิ งานเร่อื ง พุทธปณิธาน 4 ในมหาปรินิพพานสูตร

2. นักเรยี นตรวจสอบความถกู ต้องและความเรยี บรอ้ ยของช้นิ งาน หากพบขอ้ ผิดพลาดควรปรบั ปรุงแก้ไขให้
ถูกตอ้ ง

3. นักเรยี นนำเสนอช้ินงานเร่อื ง พทุ ธปณธิ าน 4 ในมหาปรินพิ พานสตู ร หน้าชน้ั เรียน
7.4 ข้นั สรปุ

1. นกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ สง่ิ ที่เข้าใจเปน็ ความรู้รว่ มกัน ดังนี้
เรื่องน่ารู้จากพระไตรปิฎก : พุทธปณิธาน 4 ในมหาปรนิ ิพพานสตู ร กลา่ วถงึ ความตง้ั พระทยั ของ

พระพทุ ธเจา้ ท่มี ีตอ่ พทุ ธบริษทั 4 ใหฝ้ กึ ตนและเขา้ ใจหลักธรรม สามารถปฏบิ ัติตาม ถ่ายทอด และปกปอ้ งคมุ้ ครอง
พระพุทธศาสนาได้อย่างมน่ั คงตลอดไป
8. สอ่ื การเรียนรู้ / แหล่งการเรยี นรู้

1. หนังสอื เรียนรายวชิ าพนื้ ฐาน พระพุทธศาสนา ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ของสถาบนั พัฒนาคุณภาพวชิ าการ (พว.)
2. แหลง่ การเรียนรู้ทง้ั ภายในและภายนอกโรงเรียน

9. การวดั และประเมนิ ผล เครื่องมอื เกณฑ์การวัดและประเมินผล
วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล ประเมนิ ความรู้ เร่ือง เรอื่ งน่า
4 = ดีมาก ถกู ต้อง 80%ข้ึนไป
ดา้ นความรู้ รู้จากพระไตรปิฎก : พุทธ 3 = ดี ถกู ตอ้ ง 70-79%ข้นึ ไป
ปณธิ าน 4 ในมหาปรนิ พิ พาน 2 = พอใช้ ถกู ตอ้ ง 60-69%ขึ้นไป
1 = ปรับปรงุ ถกู ต้องตำ่ กวา่ 60%ขน้ึ ไป
สตู ร (K) ดว้ ยแบบทดสอบ

ดา้ นทกั ษะ / กระบวนการ ประเมนิ ชิ้นงาน เรอ่ื ง พทุ ธ 4 = ดมี าก หมายถงึ ปฏิบัติคุณลกั ษณะนน้ั ๆ
ด้านเจตคติ และคุณลกั ษณะ ปณิธาน 4 ในมหาปรินพิ พาน เด่นชัดมากที่สุด
สูตร (P) ดว้ ยแบบประเมนิ 3 = ดี หมายถงึ ปฏบิ ตั คิ ุณลักษณะนั้นๆ
เดน่ ชัดที่สดุ
ประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ 2 = พอใช้ หมายถึง ปฏบิ ัติคุณลกั ษณะนัน้ ๆ
ประสงค์ ด้านรักชาติ ศาสน์ ปานกลาง
กษัตรยิ ์ ใฝ่เรียนรู้ (A) ดว้ ย 1 = ปรบั ปรุง หมายถึง ปฏิบตั ิคุณลกั ษณะ
แบบประเมนิ นั้นๆน้อย

4 = ดมี าก หมายถงึ ปฏิบัติคุณลักษณะนนั้ ๆ
เด่นชดั มากท่ีสดุ
3 = ดี หมายถงึ ปฏิบัติคุณลกั ษณะนนั้ ๆ
เดน่ ชดั ที่สุด
2 = พอใช้ หมายถึง ปฏบิ ัติคุณลักษณะนัน้ ๆ
ปานกลาง
1 = ปรับปรุง หมายถงึ ปฏิบตั ิคุณลกั ษณะ
น้นั ๆน้อย

ชิน้ งานเรอื่ ง พุทธปณธิ าน 4 ในมหาปรนิ พิ พานสตู ร

นกั เรยี นสรปุ ขอ้ คิดท่ไี ด้จากเรือ่ งน่ารู้จากพระไตรปิฎก : พุทธปณธิ าน 4 ในมหาปรนิ ิพพานสูตร
และการนำไปปฏิบตั ใิ ช้ลงในแผนภาพความคิด

(ตวั อย่างคำตอบ)
คำตอบ) (ตวั อย่างคำตอบ)

 ขอ้ คิดท่ีได้ พุทธปณธิ าน 4  การนำไปปฏิบัตใิ ช้
ในมหาปรนิ พิ พานสูตร
(เปน็ ความต้ังพระทยั ของพระพทุ ธเจ้า (เมอ่ื ไดเ้ รยี นรู้ ฟงั หลกั ธรรมคำสอนแลว้
กอ่ นเสด็จปรนิ พิ พาน มี 4 ประการ คือ ควรนำไปคิดพิจารณาเพือ่ นำไป
ตอ้ งการให้พุทธบรษิ ทั 4 ไดศ้ กึ ษา ประยกุ ต์ใชใ้ นการดำเนินชีวิต
หลักธรรมดว้ ยความเขา้ ใจ และนำสิ่งท่ีดตี ่าง ๆ ไปเผยแพรใ่ ห้ผู้อนื่
นำไปปฏบิ ตั ติ ตาม ถา่ ยทอด ไดท้ ราบ รวมถงึ การดแู ลปกป้อง
และร้จู กั ปกป้องพระพุทธศาสนา) พระพทุ ธศาสนาไม่ให้เส่อื มเสยี )

บนั ทึกผลหลงั การจัดการเรยี นรู้

1. สรุปผลการเรียนรู้

1.1 ความรู้ (K : Knowledge)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.2 ทักษะ / กระบวนการ (P: Process)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.3 คุณธรรม จรยิ ธรรม (A: Attitude)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

2. ปญั หา อุปสรรคและขอ้ คน้ พบ

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะ แนวทางแกไ้ ข และผลการแกไ้ ข

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

(ลงชือ่ )……………………………………..ผู้สอน
(นางสาวจริ าภา สำฤทธ์ิ)

วันท่ี …………..เดอื น……………..พ.ศ……….….

(ลงชือ่ )………………………………………… (ลงช่ือ)…………………………………………
(นายถาวร สุขนา)
(วา่ ทร่ี ้อยตรหี ญิงมทุ ติ า เอย่ี มทิพย์)
หัวหน้ากลมุ่ บริหารงานวชิ าการ รองผู้อำนวยกาปฏบิ ตั ริ าชการแทน
ผูอ้ ำนวยการโรงเรียนหนองรีประชานมิ ิต

แผนการจดั การเรยี นรู้

สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษาฯ รายวิชา พระพุทธศาสนา5 รหสั วชิ า ส23103 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 3

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 7 เรอ่ื ง การปฏิบัตติ นตามหลักธรรมในการพฒั นาตน

แผนการเรียนรู้ท่ี 1 เพือ่ เตรยี มพรอ้ มสำหรบั การทำงานและการมคี รอบครัว จำนวน 2 ช่ัวโมง
เรอื่ ง การปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมในการพฒั นาตนเพ่ือเตรยี มพร้อมสำหรบั การทำงาน

จำนวน 1 ช่วั โมง

1. มาตรฐานตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้
มาตรฐาน ส 1.1 รแู้ ละเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนา

ทีต่ นนับถือและศาสนาอืน่ มีศรัทธาที่ถูกตอ้ ง ยดึ มั่น และปฏิบัตติ ามหลักธรรม

เพือ่ อยู่ร่วมกนั อย่างสันตสิ ุข
ตัวชี้วัด
ส 1.1 ม.3/7 เห็นคณุ ค่าและวิเคราะห์การปฏิบัติตนตามหลักธรรมในการพัฒนาตน เพ่อื เตรียมพร้อม

สำหรบั การทำงานและการมคี รอบครวั

2. สาระสำคัญ
การทำงานทุกอย่างจะต้องเกดิ จากใจ คอื ทำจากใจที่สนุก ทำจากใจทอี่ ยากจะทำ ซ่งึ จะทำใหเ้ รามีความสุขกบั

งาน และทำให้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ในบางครัง้ ของชวี ติ การทำงาน อาจไมไ่ ด้งานที่ถกู ใจ แตเ่ มื่ออย่ใู น

ความรับผิดชอบของเรากต็ อ้ งทำใจให้สนกุ กับงานและทำให้ดที ่ีสดุ การนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาปรบั ใช้

ในชวี ิตของการทำงาน กจ็ ะชว่ ยให้การทำงานเป็นไปอย่างมคี วามสขุ และประสบความสำเร็จได้
3. จุดประสงค์การเรียนรู้

1. อธบิ ายความสำคัญของการทำงาน (K)

2. วิเคราะหห์ ลกั ธรรมในการพฒั นาตนเพ่อื เตรียมพรอ้ มสำหรบั การทำงาน (P)

3. วิเคราะหก์ ารปฏิบตั ติ นตามหลักธรรมในการพัฒนาตนเพอ่ื เตรียมพรอ้ มสำหรับการทำงาน (P)

4. เหน็ คุณค่าของการปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมในการพฒั นาตนเพื่อเตรยี มพร้อมสำหรับการทำงาน (A)
4. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์

1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์

2. ใฝเ่ รียนรู้

5. สมรรถนะสำคญั ของนกั เรียน
1. ความสามารถในการส่อื สาร

2. ความสามารถในการคิด

3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ

6. ชน้ิ งาน/ภาระงาน ชิ้นงาน เรอื่ ง คณุ ธรรมและแนวทางการแกไ้ ขปัญหาการทำงาน

7. กิจกรรมการเรยี นรู้ ดว้ ยวธิ ีสอนแบบ CIPPA MODEL

7.1 ขน้ั นำ
1. นกั เรียนร่วมกนั สนทนาเกย่ี วกับความสำคญั ของการทำงาน โดยการตอบคำถาม ดังน้ี
 นักเรียนเคยทำงานหรือไม่
(ตัวอยา่ งคำตอบ เคยทำงาน)
 งานทนี่ ักเรยี นเคยทำคืองานอะไร
(ตัวอย่างคำตอบ เปน็ พนกั งานรา้ น KFC ตอนปิดภาคเรยี น)
 นักเรยี นรสู้ กึ อยา่ งไรเม่ือได้ทำงานดังกลา่ ว
(ตัวอยา่ งคำตอบ รสู้ ึกดี เพราะเป็นการใช้เวลาวา่ งในวนั หยุดให้เกดิ ประโยชน์)
 ประโยชน์ท่นี ักเรียนไดร้ ับจากการทำงานคอื อะไร
(ตวั อยา่ งคำตอบ ไดร้ บั ประสบการณ์ในการทำงานรว่ มกับผู้อ่ืน ร้จู กั การปรบั ตวั เข้าหาผูอ้ นื่

รู้จกั ความอดทน และท่ีสำคัญไดเ้ งินมาใช้ซื้อสง่ิ ของท่ีอยากได้ โดยไมต่ อ้ งขอเงินจากผปู้ กครอง เป็นการแบ่งเบาภาระ
ของผ้ปู กครองและครอบครัว)

 นกั เรยี นคิดว่าการทำงานมีความสำคญั หรอื ไม่ อย่างไร
(ตวั อย่างมคี วามสำคญั มาก เพราะการทำงานจะสอนใหร้ จู้ กั การปรบั ตัวทจ่ี ะอยรู่ ว่ มกับผ้อู ืน่
รจู้ กั ความอดทนอดกลน้ั เมอ่ื เจอกบั ปัญหาหรอื เหตุการณ์ตา่ ง ๆ ถือเป็นการสอนในเรอ่ื งของประสบการณ์เปน็ การปู
พ้ืนฐานว่าในอนาคตเมอื่ เจอปัญหาดงั กล่าว จะแก้ไขปญั หาอยา่ งไร)
จากน้ันอธิบายสรปุ เกย่ี วกบั การทำงานใหน้ ักเรยี นฟงั เพ่มิ เติมวา่ คนทกุ คนเม่ือจบการศกึ ษาหรอื
มีความจำเป็นทีจ่ ะต้องกา้ วเข้าส่สู ังคมของการทำงาน จะต้องรู้จักปรับตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มตน้ ทำงาน ไม่ว่า
การทำงานใด ๆ กต็ ามทุกคนย่อมหวงั ให้ตนประสบความสำเร็จในหน้าทกี่ ารงาน เพือ่ ใหไ้ ด้รบั คำยกยอ่ ง
ชนื่ ชมจากคนรอบขา้ ง รวมทงั้ การไดร้ ับการยอมรบั จากสงั คมว่าเปน็ บคุ คลท่มี ีความสามารถแตก่ ารทจ่ี ะทำงาน
ใด ๆ นั้นทกุ องคก์ รและทุกหนว่ ยงานยอ่ มมกี ารแข่งขนั กนั สูง ดังนนั้ การจะเลือกทำงานใด ๆ ก็ตามจึงต้องคิดพจิ ารณาให้
รอบคอบ ใช้สติในการตดั สินใจเลือกงานทท่ี ำ และรูว้ ่าจะตอ้ งทำงานอยา่ งไรจงึ จะทำใหง้ านน้นั
ประสบความสำเร็จ
2. นักเรียนศึกษาและรวบรวมข้อมลู เก่ยี วกับการปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมในการพัฒนาตนเพ่ือเตรียมพรอ้ ม
สำหรบั การทำงาน จากหนงั สอื เรยี นและแหล่งการเรียนรอู้ ื่น ๆ เพิ่มเติม
7.2 ข้ันสอน
1. นักเรยี นร่วมกนแสดงความคิดเหน็ เกยี่ วกับหลกั ธรรมในการพัฒนาตนเพอ่ื เตรียมความพรอ้ มสำหรับการ
ทำงาน โดยการตอบคำถาม ดังน้ี
• หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาใดท่ีจะทำให้คนทำงานอยรู่ ว่ มกนั อย่างสนั ตสิ ขุ และประสบความสำเร็จ
ได้
โดยบันทึกคำตอบของนกั เรยี นเปน็ แผนภาพความคดิ บนกระดาน ดังตัวอย่าง

ฉันทะ ความพอใจ : พอใจท่ีจะทำ มีใจรกั ทีจ่ ะทำงาน

วริ ยิ ะ ความเพียร : มีความพยายาม ตั้งใจทำ
ไม่ย่อท้อตอ่ อปุ สรรค
อิทธิบาท 4

จติ ตะ ความเอาใจใส่ : ทำงานอย่างต้ังใจจดจ่อกบั
งานท่ที ำจนสำเร็จ

หลกั ธรรมทีจ่ ะทำให้ วิมงั สา ความใคร่ครวญไตรต่ รอง : ใช้สตปิ ญั ญาคดิ
คนทำงานอยู่ร่วมกัน ทบทวนไตรต่ รองงานท่ีทำ
อย่างสันติสขุ

เมตตา ความปราถนาดีให้ผู้อน่ื มคี วามสุข

พรหมวิหาร 4 กรุณา ความสงสาร คดิ ช่วยใหพ้ ้นทุกข์
มทุ ติ า ความยินดี เมือ่ ผู้อ่นื มีสุข

อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง

2. นักเรยี นรว่ มกนั ยกตัวอย่างการประยกุ ตใ์ ช้หลักธรรมอิทธบิ าท 4 และพรหมวิหาร 4 ในการทำงานโดย
นำเสนอแนวทางการปฏิบัติตน และผลที่เกิดขน้ึ จากการปฏิบัตติ น โดยสรปุ คำตอบของนกั เรยี นเป็นแผนภาพความคิด
บนกระดาน ดงั ตัวอยา่ ง

อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4

แนวทางการปฏบิ ตั ิตน แนวทางการปฏบิ ัตติ น
ต้งั ใจทำงานทุกอยา่ งทไ่ี ด้รับ
มอบหมายให้สำเรจ็ ตามเป้าหมาย แสดงความยินดแี ละดีใจกับ
ทไี่ ดก้ ำหนดไว้ เพ่อื นร่วมงานทุกคร้งั เม่ือเพอ่ื นมี
โอกาสเลอ่ื นขัน้ หรือเล่ือนตำ่ แหน่ง
ผลทเ่ี กดิ ขนึ้
ผลทีเ่ กิดข้นึ
ได้รับคำชี่นชมจากเจ้านายหรอื เป็นท่รี กั ของเพื่อน ๆ
หัวหนา้ งาน และคนรอบขา้ งและมีความสุข

3. นกั เรียนคิดประเมนิ เพ่อื เพมิ่ คุณค่า แล้วสรุปเปน็ ความคิดรวบยอด โดยการตอบคำถาม ดงั นี้
 การนำหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาไปปรบั ใชใ้ นการทำงานก่อให้เกิดประโยชน์อยา่ งไร
(ตัวอยา่ งคำตอบ ชว่ ยใหง้ านทท่ี ำประสบผลสำเรจ็ และเปน็ ทร่ี ักของเพื่อนร่วมงาน บรรยากาศ

ในการทำงานเปน็ ไปอย่างมีความสขุ )
7.3 ข้นั ฝึกฝน

1. นกั เรียนวเิ คราะห์ปัญหาเกี่ยวกับการทำงานที่กำหนด แลว้ เขยี นสาเหตุ ผลที่เกิดขนึ้ คุณธรรม
และแนวทางทีใ่ ชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาลงในแผนภาพความคิดในชนิ้ งาน เรื่อง คุณธรรมและแนวทางการแกไ้ ขปัญหาการ
ทำงาน

2. นกั เรียนตรวจสอบความถกู ต้องและความเรยี บร้อยของช้นิ งาน หากพบขอ้ ผิดพลาดควรปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้
ถูกตอ้ ง

3. นกั เรยี นนำเสนอผลงานกลมุ่ และชิ้นงานเร่อื ง การแก้ไขปญั หาตามหลักอรยิ สัจ 4 หน้าชนั้ เรยี น
7.4 ขั้นสรปุ

1. นกั เรียนร่วมกนั สรุปสิง่ ที่เข้าใจเป็นความรรู้ ่วมกนั ดงั นี้
การทำงานทกุ อยา่ งจะต้องเกดิ จากใจ คือทำจากใจท่สี นกุ ทำจากใจทอ่ี ยากจะทำ ซง่ึ จะทำใหเ้ รามีความสุขกับ
งาน และทำให้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ในบางครง้ั ของชวี ติ การทำงาน อาจไมไ่ ด้งานทถี่ ูกใจ แตเ่ มอ่ื อยู่ในความ
รับผดิ ชอบของเรากต็ ้องทำใจให้สนกุ กบั งานและทำใหด้ ีที่สุด การนำหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในชวี ติ
ของการทำงาน กจ็ ะชว่ ยใหก้ ารทำงานเปน็ ไปอย่างมีความสขุ และประสบความสำเรจ็ ได้
8. ส่ือการเรยี นรู้ / แหลง่ การเรียนรู้
1. หนังสอื เรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน พระพุทธศาสนา ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ของสถาบนั พัฒนาคณุ ภาพวิชาการ (พว.)
2. แหล่งการเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน

9. การวดั และประเมนิ ผล เคร่อื งมอื เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล
วิธกี ารวดั และประเมินผล ประเมนิ ความรู้ เรื่อง การ 4 = ดีมาก ถูกตอ้ ง 80%ขนึ้ ไป
ปฏบิ ัตติ นตามหลักธรรมใน 3 = ดี ถกู ตอ้ ง 70-79%ขึ้นไป
ดา้ นความรู้ การพฒั นาตนเพ่อื 2 = พอใช้ ถูกต้อง 60-69%ข้นึ ไป
เตรยี มพรอ้ มสำหรบั การ 1 = ปรบั ปรุง ถูกต้องต่ำกว่า 60%ขน้ึ ไป
ดา้ นทักษะ / กระบวนการ ทำงาน (K) ด้วยแบบทดสอบ
ประเมินช้นิ งาน เร่อื ง 4 = ดีมาก หมายถงึ ปฏิบัติคุณลกั ษณะนน้ั ๆ
ด้านเจตคติ และคณุ ลักษณะ คุณธรรมและแนวทางการ เดน่ ชัดมากท่ีสุด
แกไ้ ขปญั หาการทำงาน (P) 3 = ดี หมายถงึ ปฏบิ ัตคิ ุณลักษณะนนั้ ๆ
ดว้ ยแบบประเมิน เดน่ ชัดที่สดุ
2 = พอใช้ หมายถึง ปฏบิ ัตคิ ุณลกั ษณะนน้ั ๆ
ประเมินคุณลกั ษณะอนั พึง ปานกลาง
ประสงค์ ด้านรกั ชาติ ศาสน์ 1 = ปรบั ปรุง หมายถงึ ปฏบิ ัติคุณลกั ษณะ
กษตั รยิ ์ ใฝเ่ รียนรู้ (A) ด้วย นั้นๆน้อย
แบบประเมิน 4 = ดมี าก หมายถึง ปฏิบัติคุณลักษณะน้ันๆ
เด่นชดั มากท่ีสดุ
3 = ดี หมายถึง ปฏบิ ัตคิ ุณลักษณะน้นั ๆ
เด่นชัดท่ีสุด
2 = พอใช้ หมายถงึ ปฏบิ ัตคิ ุณลักษณะนั้นๆ
ปานกลาง
1 = ปรับปรุง หมายถงึ ปฏบิ ตั ิคุณลกั ษณะ
นัน้ ๆนอ้ ย

ช้นิ งานเรอ่ื ง คุณธรรมและแนวทางการแกไ้ ขปญั หาการทำงาน
นกั เรยี นวเิ คราะห์ปัญหาเกยี่ วกบั การทำงานท่ีกำหนด แล้วเขยี นสาเหตุ ผลท่เี กิดขนึ้ คณุ ธรรมและแนวทางทใี่ ช้ใน
การแก้ไขปญั หาลงในแผนภาพความคดิ

(ทำงานไมร่ อบคอบ) ปัญหา ผลทเ่ี กดิ ข้ึน
สาเหตุ
มงี านดว่ นที่ต้องทำให้เสรจ็ (งานผิดพลาด
ทนั เวลาจึงไม่ได้ทบทวน เกิดความเสยี หาย)

(ไม่วางแผน (ไมม่ ีสติ เร่งรีบ
ในการทำงาน) ในการทำงาน)

 คุณธรรมและแนวทางแก้ไขปญั หา
คณุ ธรรม คอื (วมิ ังสา)
แนวทางแก้ไขปญั หา คอื (พยายามทบทวน ไตร่ตรองงานกอ่ นสง่ ทุกคร้ัง ควรหาคนชว่ ยทำงาน
มสี ติในการทำงาน เพื่อปอ้ งกันความผิดพลาด

บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้

1. สรุปผลการเรียนรู้

1.1 ความรู้ (K : Knowledge)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.2 ทักษะ / กระบวนการ (P: Process)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.3 คณุ ธรรม จริยธรรม (A: Attitude)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

2. ปัญหา อปุ สรรคและขอ้ ค้นพบ

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะ แนวทางแกไ้ ข และผลการแกไ้ ข

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

(ลงชื่อ)……………………………………..ผู้สอน
(นางสาวจริ าภา สำฤทธิ์)

วนั ท่ี …………..เดอื น……………..พ.ศ……….….

(ลงช่อื )………………………………………… (ลงชอ่ื )…………………………………………
(นายถาวร สุขนา) (ว่าทรี่ อ้ ยตรีหญิงมุทิตา เอ่ียมทิพย์)

หัวหนา้ กลมุ่ บริหารงานวิชาการ รองผู้อำนวยกาปฏิบัติราชการแทน
ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นหนองรีประชานมิ ติ

แผนการจดั การเรยี นรู้

สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษาฯ รายวชิ า พระพทุ ธศาสนา5 รหัสวชิ า ส23103 ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 7 เรือ่ ง การปฏบิ ัตติ นตามหลักธรรมในการพฒั นาตน จำนวน 2 ชวั่ โมง
แผนการเรียนรทู้ ่ี 2 จำนวน 1 ชัว่ โมง
เพ่อื เตรียมพรอ้ มสำหรบั การทำงานและการมีครอบครัว
เร่ือง การปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมในการพัฒนาตน

เพือ่ เตรียมพร้อมสำหรับการมีครอบครัว

1. มาตรฐานตวั ชี้วดั /ผลการเรียนรู้
มาตรฐาน ส 1.1 รแู้ ละเข้าใจประวตั ิ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนา

ที่ตนนบั ถือและศาสนาอ่นื มีศรทั ธาท่ถี ูกต้อง ยดึ ม่ัน และปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรม

เพ่อื อยู่ร่วมกนั อยา่ งสนั ติสุข
ตัวช้ีวัด
ส 1.1 ม.3/7 เห็นคณุ ค่าและวิเคราะห์การปฏบิ ัตติ นตามหลักธรรมในการพฒั นาตน เพื่อเตรียมพร้อม

สำหรับการทำงานและการมคี รอบครัว

2. สาระสำคัญ
การมีครอบครวั คือ การท่ีชายหญงิ มาใช้ชวี ติ อยรู่ ่วมกันภายในบา้ นหลังเดียวกันเม่อื ถงึ วยั อันควร

การทีช่ ายหญิงตกลงใจจะใช้ชวี ิตร่วมกันจะตอ้ งมกี ารเตรยี มพร้อมสำหรับการใช้ชีวติ ควู่ ่าจะทำอยา่ งไร

ให้ชีวติ คู่ของตนม่ันคงยนื ยงและเกิดปัญหานอ้ ยที่สดุ เพราะตา่ งคนต่างมาจากคนละครอบครวั ความคิดเหน็ ของทั้ง

สองคนอาจมไี มเ่ หมอื นกัน จึงจำเป็นตอ้ งรูจ้ ักปรับตวั เข้าหาและทำความเขา้ ใจซง่ึ กนั และกนั

และควรนำหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนามาปรบั ใช้ในการดำเนนิ ชีวิต เพือ่ ให้ครอบครัวอยรู่ ว่ มกนั

อย่างมคี วามสุขตลอดไป

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมายและความสำคัญของการมคี รอบครวั (K)

2. วเิ คราะหห์ ลักธรรมในการพัฒนาตนเพื่อเตรยี มพรอ้ มสำหรบั การมคี รอบครวั (P)

3. วเิ คราะห์การปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมในการพฒั นาตนเพ่อื เตรยี มพรอ้ มสำหรบั การมคี รอบครัว (P)

4. เห็นคณุ ค่าของการปฏิบตั ติ นตามหลักธรรมในการพัฒนาตนเพื่อเตรยี มพร้อมสำหรบั การมคี รอบครวั (A)
4. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์

1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์

2. ใฝ่เรยี นรู้
5. สมรรถนะสำคญั ของนกั เรียน

1. ความสามารถในการสือ่ สาร

2. ความสามารถในการคดิ

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา

4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ

5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. ช้นิ งาน/ภาระงาน เรียงความ
7. กจิ กรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธีสอนแบบ (Questioning Method) (Committee Work Method)
7.1 ขน้ั นำ

1. นักเรียนร่วมกนั สนทนาเกีย่ วกับสมาชกิ ในครอบครวั ของตนเอง โดยการตอบคำถาม ดงั นี้
 ครอบครวั ของนักเรยี นมีสมาชกิ ก่ีคน
(ตวั อยา่ งคำตอบ 6 คน)
 สมาชิกในครอบครวั ของนกั เรยี นมใี ครบา้ ง
(ตวั อย่างคำตอบ พอ่ แม่ นอ้ ง ปู่ ย่า ตวั เอง)
 สมาชิกในครอบครัวเคยมีปญั หากันหรือไม่ เพราะเหตุใด
(ตัวอยา่ งคำตอบ ไม่เคย เพราะครอบครวั เราใช้เหตผุ ลในการพดู คุยกนั ทำใหไ้ มเ่ กดิ ปญั หา)
 ครอบครัวของนกั เรียนมีการนำหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้เพ่ือการอยรู่ ว่ มกันหรอื ไม่
อย่างไร
(ตัวอยา่ งคำตอบ มี โดยมกี ารนำหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนามาปรบั ใช้อยา่ งหลากหลาย
เพอ่ื ให้ครอบครัวสามารถอยู่ร่วมกันอยา่ งมคี วามสุข เช่น หลกั ธรรมสังคหวตั ถุ 4 ฆราวาสธรรม 4)
2. นกั เรียนร่วมกนั สนทนาเกย่ี วกบั ความหมายและความสำคญั ของการมคี รอบครวั
โดยการตอบคำถาม ดงั นี้
 ครอบครวั ตามความเขา้ ใจของนกั เรยี นคืออะไร
(ตัวอยา่ งคำตอบ การท่คี นตง้ั แต่ 2 คนข้ึนไปมาอาศัยหรือใช้ชีวิตอยู่ภายในบา้ นหลงั เดียวกัน
ร่วมทุกร่วมสุขกนั อาจจะแบง่ ออกเปน็ ครอบครวั เล็ก ครอบครวั ใหญ่ หรือครอบครวั ขนาดกลางก็ขึน้ อยกู่ บั สมาชิกใน
แต่ละครอบครวั )
 นักเรยี นคิดว่าการมคี รอบครวั ควรจะเร่มิ ท่อี ายปุ ระมาณเท่าใดจึงจะเหมาะสม เพราะเหตุใด
(ตวั อยา่ งคำตอบ อายุประมาณ 25 ปี เพราะว่ามีวุฒภิ าวะ มีความรับผิดชอบ และมคี วามพรอ้ ม
ทจ่ี ะสร้างครอบครัวให้ม่นั คงอยู่ได)้
 การมีครอบครวั ช่วงอายุเท่าใดที่นักเรยี นคิดวา่ ไมเ่ หมาะสม เพราะเหตใุ ด
(ตัวอย่างคำตอบ ช่วงวยั เรียน เพราะไม่มวี ฒุ ิภาวะมากพอ ขาดความรู้ ประสบการณ์
ความรบั ผดิ ชอบ สง่ ผลใหเ้ กดิ ปญั หาสงั คมตามมาได)้
จากนน้ั อธบิ ายสรปุ ให้นักเรยี นฟงั เพมิ่ เติมเก่ียวกบั ความหมายและความสำคัญของการมีครอบครัวให้
นกั เรียนฟงั เพมิ่ เติมว่า การมีครอบครัว คือ การท่ีชายหญงิ มาใช้ชวี ิตอยรู่ ว่ มกนั ภายในบา้ นหลงั เดยี วกัน
เมอ่ื ถึงวัยอนั ควร คือ พรอ้ มทัง้ วฒุ ิภาวะ มีความรบั ผดิ ชอบ มคี วามพรอ้ มท่ีจะสรา้ งครอบครวั ให้มั่นคงอย่ไู ด้ ครอบครัว
จะเป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของการใชช้ ีวติ คู่ คนทั้งสองจะต้องเตรยี มพร้อมสำหรับการใชช้ ีวติ คู่ว่าจะทำอย่างไรให้ชีวติ คู่ของตน
ม่นั คงยืนยาวและเกิดปญั หานอ้ ยทีส่ ุด โดยจะตอ้ งมกี ารปรับตวั ทำความเข้าใจ และใช้เหตุผลในการอยรู่ ว่ มกันให้มาก
ทสี่ ดุ รวมไปถงึ ควรใช้หลกั ธรรมสำหรบั การครองเรือนนำมายึดถือปฏิบัติ เพ่อื ให้ครอบครวั มแี ต่ความสขุ ใหม้ ากที่สุด
2. นักเรยี นศึกษาและรวบรวมขอ้ มลู เก่ียวกับการปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมในการพฒั นาตนเพื่อเตรียมพร้อม
สำหรับการมคี รอบครัว จากหนงั สือเรียนและแหล่งการเรียนรู้อนื่ ๆ เพิม่ เติม

7.2 ขน้ั สอน
1. นักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเก่ยี วกับหลกั ธรรมในการพัฒนาตนเพ่อื เตรียมพร้อมสำหรับการมี

ครอบครวั โดยการตอบคำถาม ดังนี้
 หลักธรรมใดท่คี วรนำมายดึ ถอื ปฏิบตั ิในการมีครอบครวั และหลกั ธรรมดงั กล่าวมีความสำคัญตอ่ การมี

ครอบครัวอย่างไร
โดยบันทึกคำตอบของนกั เรียนเปน็ แผนภาพความคิดบนกระดาน ดังตัวอยา่ ง

ฆราวาสธรรม 4 หลักธรรม ทิศเบือ้ งหลังในทิศ 6
เพื่อเตรยี ม
1. สจั จะ (ความจรงิ ใจ) ความพรอ้ ม คือ หนา้ ที่ของสามแี ละภรรยาท่พี ึง
2. ทมะ (การข่มใจตน) สำหรับการ ปฏบิ ตั ิตอ่ กัน เช่น การให้เกยี รติกัน
3. ขันติ (ความอดทน) มคี รอบครวั มคี วามรัก ความจริงใจ ซื่อสตั ยต์ ่อ
4. จาคะ (การเสยี สละ) กัน

2. นกั เรียนแบ่งกลมุ่ ยกตัวอยา่ งการประยกุ ตใ์ ช้หลกั ธรรมฆราวาสธรรม 4 และทิศเบ้อื งหลังในทศิ 6 มาอยา่ ง
ละ 1 ตัวอย่าง โดยเสนอแนวทางการปฏบิ ตั ิตน และสรุปผลที่เกดิ ขน้ึ โดยสรปุ คำตอบเป็นแผนภาพความคดิ ดัง
ตวั อยา่ ง

หลักธรรมเพือ่ เตรียมพรอ้ มสำหรับการมีครอบครวั หลกั ธรรมเพ่อื เตรียมพร้อมสำหรับการมีครอบครัว

ฆราวาสธรรม 4 ทิศเบอ้ื งหลงั ในทิศ 6

แนวทางการปฏิบัติตน แนวทางการปฏิบตั ิตน
ตอ้ งมีความซอ่ื สัตยแ์ ละซ่ือตรงตอ่ กนั รูจ้ กั ปฏบิ ตั ิตอ่ กันด้วยความเคารพไมด่ ูหมน่ิ
ปรบั ตวั เข้าหากัน มคี วามอดทนอดกล้นั คุยกนั เหยียดหยาม นินทา หรือใหร้ ้ายในคู่ครองของตน
ดว้ ยเหตุผล และรจู้ กั เสยี สละใหแ้ กก่ นั และกนั

ผลทีเ่ กิดข้นึ ผลที่เกิดขน้ึ
เกดิ ความเข้าใจ ความรัก และเห็นอกเห็นใจกนั
ทำให้ชวี ติ ครอบครัวมีแต่ความสขุ และ ทำให้ครอบครวั มีความมัน่ คงรักกันยืนยาว
ความเจรญิ

3. นกั เรียนคดิ ประเมนิ เพ่ือเพิ่มคุณค่า แล้วสรปุ เปน็ ความคดิ รวบยอด โดยการตอบคำถาม ดงั นี้
 นกั เรยี นจะมีแนวทางการปฏบิ ัตเิ พ่ือให้ครอบครวั ของตนเองอย่รู ว่ มกนั อยา่ งมีความสขุ ได้อย่างไร
(ตัวอย่างคำตอบ นำหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนามาปรับใชใ้ นครอบครวั เพอื่ ให้เกดิ ความ

เหน็ อกเหน็ ใจซ่ึงกนั และกนั อยบู่ นพนื้ ฐานของเหตุและผล)
7.3 ขัน้ ฝกึ ฝน

1. นักเรียนเขียนเรียงความเกย่ี วกับ “ครอบครัวของฉันในอนาคต” ลงในกระดาษ A4 แล้วออกมานำเสนอ
2. นักเรยี นตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความเรียบร้อยของผลงาน หากพบขอ้ ผิดพลาดควรปรับปรงุ แกไ้ ขให้
ถูกตอ้ ง
3. นักเรยี นนำเสนอผลงานการเขยี นเรยี งความ “ครอบครัวของฉนั ในอนาคต” หน้าช้นั เรยี น
7.4 ขน้ั สรุป
1. นกั เรยี นร่วมกนั สรุปสิ่งท่ีเข้าใจเป็นความร้รู ว่ มกนั ดงั นี้

การมคี รอบครวั คอื การทชี่ ายหญิงมาใชช้ วี ิตอยูร่ ่วมกันภายในบา้ นหลงั เดียวกนั เมื่อถงึ วยั อนั ควร การท่ี
ชายหญงิ ตกลงใจจะใช้ชีวติ อยรู่ ่วมกันจะตอ้ งมีการเตรยี มพร้อมสำหรับการใช้ชวี ติ คูว่ า่ จะทำอย่างไร
ให้ชีวิตคู่ของตนม่ันคงยนื ยงและเกดิ ปญั หาน้อยที่สุด เพราะต่างคนต่างมาจากคนละครอบครัว ความคดิ เห็นของทั้ง
สองคนอาจมีไมเ่ หมอื นกนั จงึ จำเปน็ ตอ้ งร้จู กั ปรบั ตวั เข้าหาและทำความเขา้ ใจซงึ่ กันและกัน
และควรนำหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนามาปรบั ใชใ้ นการดำเนนิ ชีวิต เพอื่ ใหค้ รอบครัวอยรู่ ่วมกัน
อยา่ งมีความสุขตลอดไป
8. สอื่ การเรยี นรู้ / แหล่งการเรียนรู้
1. หนังสอื เรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน พระพทุ ธศาสนา ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ของสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)
2. แหล่งการเรยี นรู้ท้งั ภายในและภายนอกโรงเรยี น

9. การวัดและประเมนิ ผล เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล
วิธีการวัดและประเมินผล ประเมนิ ความรู้ เรื่อง การ
ปฏิบัติตนตามหลักธรรมใน 4 = ดีมาก ถกู ต้อง 80%ข้นึ ไป
ดา้ นความรู้ การพฒั นาตนเพอื่ 3 = ดี ถกู ต้อง 70-79%ขน้ึ ไป
เตรยี มพร้อมสำหรับ 2 = พอใช้ ถูกต้อง 60-69%ขึน้ ไป
การมคี รอบครัว (K) ด้วย 1 = ปรบั ปรุง ถกู ต้องต่ำกวา่ 60%ขนึ้ ไป
แบบทดสอบ

ดา้ นทักษะ / กระบวนการ ประเมนิ กระบวนการทำงาน 4 = ดมี าก หมายถงึ ปฏิบัติคุณลักษณะนน้ั ๆ
กลุม่ (P) ดว้ ยแบบประเมิน เด่นชัดมากท่ีสุด
3 = ดี หมายถงึ ปฏบิ ัติคุณลกั ษณะน้นั ๆ
ด้านเจตคติ และคุณลกั ษณะ ประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึง เด่นชัดท่ีสดุ
ประสงค์ ด้านรกั ชาติ ศาสน์ 2 = พอใช้ หมายถงึ ปฏบิ ัติคุณลกั ษณะนัน้ ๆ
กษัตรยิ ์ ใฝ่เรียนรู้ (A) ด้วย ปานกลาง
แบบประเมนิ 1 = ปรบั ปรุง หมายถงึ ปฏบิ ัติคุณลักษณะ
นัน้ ๆน้อย

4 = ดีมาก หมายถงึ ปฏบิ ัติคุณลักษณะนัน้ ๆ
เด่นชดั มากที่สุด
3 = ดี หมายถึง ปฏบิ ตั ิคุณลกั ษณะนนั้ ๆ
เดน่ ชดั ท่ีสดุ
2 = พอใช้ หมายถึง ปฏิบัติคุณลักษณะน้นั ๆ
ปานกลาง
1 = ปรบั ปรงุ หมายถึง ปฏิบตั ิคณุ ลกั ษณะ
นน้ั ๆนอ้ ย

บนั ทึกผลหลงั การจัดการเรยี นรู้

1. สรุปผลการเรียนรู้

1.1 ความรู้ (K : Knowledge)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.2 ทักษะ / กระบวนการ (P: Process)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.3 คุณธรรม จรยิ ธรรม (A: Attitude)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

2. ปัญหา อุปสรรคและขอ้ คน้ พบ

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะ แนวทางแกไ้ ข และผลการแกไ้ ข

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

(ลงชือ่ )……………………………………..ผู้สอน
(นางสาวจริ าภา สำฤทธ์ิ)

วันท่ี …………..เดอื น……………..พ.ศ……….….

(ลงชือ่ )………………………………………… (ลงช่ือ)…………………………………………
(นายถาวร สุขนา)
(วา่ ทร่ี ้อยตรหี ญิงมทุ ติ า เอย่ี มทิพย์)
หัวหน้ากลุม่ บริหารงานวชิ าการ รองผู้อำนวยกาปฏบิ ตั ริ าชการแทน
ผู้อำนวยการโรงเรียนหนองรีประชานมิ ิต

แผนการจดั การเรยี นรู้

สาระการเรียนร้สู ังคมศกึ ษาฯ รายวิชา พระพทุ ธศาสนา5 รหสั วชิ า ส23103 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 8 เรือ่ ง การพัฒนาจิตเพื่อการเรยี นรแู้ ละดำเนนิ ชีวิตด้วยวิธีคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร

จำนวน 2 ชัว่ โมง

แผนการเรียนร้ทู ่ี 1 เรื่อง วิธีคดิ แบบอรยิ สัจ จำนวน 1 ชวั่ โมง

1. มาตรฐานตวั ชี้วัด/ผลการเรยี นรู้
มาตรฐาน ส 1.1 ร้แู ละเขา้ ใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนา

ทต่ี นนบั ถือและศาสนาอื่น มศี รัทธาท่ถี ูกตอ้ ง ยึดมั่น และปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรม

เพือ่ อยรู่ ่วมกันอย่างสันติสุข
ตัวช้วี ัด
ส 1.1 ม.3/8 เหน็ คุณค่าของการพัฒนาจิตเพื่อการเรียนรู้และดำเนินชวี ิตดว้ ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร

คือ วิธีคิดแบบอรยิ สัจ และวิธคี ิดแบบสบื สาวเหตุปัจจัย หรือการพัฒนาจิตตามแนวทาง

ของศาสนาท่ตี นนับถอื
2. สาระสำคญั

วธิ ีคดิ แบบอรยิ สัจ เป็นวธิ คี ดิ แบบแก้ปญั หา มกี ารคดิ หลัก 2 แนวทาง คอื คิดตามเหตุและผลและการคดิ

แกป้ ญั หาตรงประเด็น การฝกึ คดิ แบบอรยิ สจั จะทำให้ผู้ปฏบิ ัตริ ู้จกั คดิ อยา่ งเป็นขน้ั ตอนเชือ่ มโยงสิง่ ตา่ ง ๆ ทเ่ี ป็นเหตุ

เปน็ ผลกนั ทำให้มองเห็นส่ิงตา่ ง ๆ วา่ มีท่มี าหรือเหตุอย่างไร หากฝกึ บอ่ ย ๆ จะเป็นการฝึกความคิดและสมองให้

พัฒนาขึ้นไปดว้ ย

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมายและความสำคญั ของวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสิการ : วธิ ีคิดแบบอริยสัจ (K)

2. วิเคราะห์เกีย่ วกบั วิธีคิดแบบอริยสัจในการพัฒนาจติ เพ่ือการเรยี นรูแ้ ละการดำเนินชีวิต (P)

3. เสนอแนวทางการปฏบิ ัติตนตามวิธคี ิดแบบอรยิ สัจในการพฒั นาจติ เพอ่ื การเรียนรู้และการดำเนินชีวิต (P)

4. เหน็ คุณค่าและความสำคัญของการดำเนนิ ชวี ติ ด้วยวธิ คี ดิ แบบโยนิโสมนสกิ าร เพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชน์

ในการดำเนนิ ชวี ติ (A)
4. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์

1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์

2. ใฝเ่ รยี นรู้

5. สมรรถนะสำคญั ของนักเรยี น
1. ความสามารถในการส่ือสาร

2. ความสามารถในการคิด

3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ

6. ช้ินงาน/ภาระงาน แผนผังความคิด

7. กิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยวิธสี อนแบบอรยิ สัจ

7.1 ขัน้ นำ
1. นักเรียนรว่ มกนั สนทนาเกี่ยวกบั ความหมายและความสำคญั ของวธิ คี ดิ แบบโยนิโสมนสิการ

โดยการตอบคำถาม ดงั นี้
• นักเรียนเคยไดย้ ินหรือร้จู กั คำวา่ วธิ ีคิดแบบโยนโิ สมนสกิ ารหรอื ไม่
(เคย/ไมเ่ คย)
• นกั เรยี นคดิ วา่ การคดิ แบบโยนิโสมนสิการเป็นการคดิ แบบใด
(ตัวอย่างคำตอบ คือการคิดแบบพจิ ารณาจากปญั หาและหาวิธคี ิดแกไ้ ข)
• นกั เรียนคดิ วา่ การคดิ แบบโยนโิ สมนสิการมีความสำคัญอยา่ งไร
(ตวั อย่างคำตอบ การคิดแบบโยนโิ สมนสิการจะฝึกให้เปน็ คนคิดเป็น คิดดี คิดถูกวิธี

คดิ อยา่ งมรี ะเบียบ หรือคิดโดยแยบคาย ทำให้สามารถเขา้ ใจปญั หาและสามารถหาวิธกี ารแกไ้ ขปญั หาได)้
จากนั้นอธิบายสรุปใหน้ กั เรียนฟงั เพิ่มเตมิ เก่ยี วกบั วิธคี ิดแบบโยนโิ สมนสิการว่า

วธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสิการจะทำใหเ้ กดิ กระบวนการคดิ อย่างเป็นระบบ คดิ อยา่ งถกู วธิ ี โดยจะพจิ ารณา
จากปัญหา มีการหาสาเหตุ และคดิ แก้ไขปญั หาดว้ ยวธิ กี ารต่าง ๆ อย่างเป็นเหตเุ ปน็ ผล เพอื่ ให้เกดิ ประโยชน์
ตอ่ การดำเนินชวี ติ ซึ่งจะมี 2 วิธที นี่ ่าสนใจและนา่ เรียนรู้ไว้ คือ วิธคี ดิ แบบอริยสจั และวธิ คี ดิ แบบสบื สาว
เหตปุ ัจจยั

2. นักเรยี นศึกษาและรวบรวมขอ้ มลู เกีย่ วกับวิธคี ิดแบบอรยิ สจั จากหนงั สือเรยี นและแหลง่ การเรยี นรูอ้ น่ื ๆ
เพ่ิมเตมิ
7.2 ข้ันสอน

1. นกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกับวิธีคดิ แบบอริยสัจ โดยการตอบคำถาม ดงั นี้
• วิธคี ิดแบบอริยสัจเป็นการคดิ แบบใด (เป็นการคดิ แบบแกป้ ัญหา)
• การคิดแบบแก้ปัญหาของวิธีคดิ แบบอรยิ สัจมีหลกั การคดิ อย่างไร
โดยบนั ทกึ คำตอบของนกั เรยี นเป็นแผนภาพความคดิ บนกระดาน ดังตวั อยา่ ง

วิธคี ิดแบบอริยสจั

คดิ ตามเหตแุ ละผล การคดิ แกป้ ญั หาตรงจุดมุ่งตรง
ต่อตวั ปัญหา
พิจารณาปัญหาท่ีเกิด (ทุกข)์
การคดิ แก้ปญั หาอย่างตรงประเดน็
หาสาเหตทุ ี่ทำให้เกดิ ปัญหา คดิ ตามความเปน็ จรงิ
ดังกล่าว (สมุทัย)
ใชส้ ตแิ ละปัญญาพิจารณาให้เห็น
พจิ ารณาการแก้ปญั หา ตามความเป็นจรงิ มีสตติ ลอดเวลา
โดยพิจารณาจากต้นเหตเุ ป็นหลัก
ขณะกำลงั แก้ไขปัญหา
(นิโรธ)
แกป้ ญั หาไดต้ รงจดุ อยา่ งแทจ้ ริง
คดิ หาหนทางหรอื วธิ ีการ และไมผ่ ดิ พลาด
ทจ่ี ะดับเหตขุ องปญั หานไ้ี ปได้

(มรรค)

2. นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม ยกตวั อยา่ งสถานการณท์ ี่เคยพบเจอในชวี ติ ประจำวนั มา 1 สถานการณ์
แลว้ นำเสนอวิธกี ารแกป้ ญั หาดว้ ยวิธคี ิดแบบอริยสัจ ดงั ตวั อย่าง

ทกุ เดอื นมะเหมีย่ วไม่มีเงนิ เหลือเก็บ เพราะมักจะใชจ้ า่ ยฟุ่มเฟือย
ไปกับของแบรนด์เนม และการเลย้ี งสังสรรคก์ ับเพ่ือน

• คดิ ตามเหตุผล

ทุกข์ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค

เงนิ ไม่เหลอื เก็บ ใชจ้ า่ ยฟุ่มเฟือยไปกับ ใช้เงินประหยัด ใช้จ่ายเท่าท่ีจำเป็น

ของแบรนด์เนม และมคี วามพอประมาณ ลดการซอื้ ของแบรนด์เนม

และการเลยี้ งสังสรรค์ และการเลย้ี งสงั สรรค์
. 3 นักเรยี นคดิ ปรกะับเมเนิพเ่ือพนือ่ เพ่ิมคุณคา่ แล้วสรุปเป็นความคดิ รวบยอด โดยการตอบคำถาม ดังนี้

• การนำวธิ ีคิดแบบอรยิ สจั ไปปรับใช้ในการดำเนนิ ชวี ติ จะส่งผลดีต่อนักเรียนอยา่ งไร
(ตวั อยา่ งคำตอบ ทำใหเ้ ป็นผูร้ ู้จักเหตรุ ู้จกั ผล มีความคิดท่ีเปน็ ระบบ และมองเห็นสง่ิ ต่าง ๆ
อย่างเข้าใจ)
7.3 ขัน้ ฝกึ ฝน
1. นักเรยี นยกตวั อย่างปัญหาทเี่ กดิ ขน้ึ กับตนเองมา 1 ปัญหา แล้วนำเสนอวิธีการแกป้ ัญหา
ด้วยวธิ คี ิดแบบอริยสัจ ท้ังแบบคิดตามเหตุและผลและคดิ แกป้ ัญหาตรงจดุ มงุ่ ตรงต่อตวั ปญั หา

พรอ้ มสรุปผลท่ีเกิดขึน้ ลงในแผนภาพความคิด ดงั ตวั อยา่ ง

ทุกข์ สมทุ ัย
(งว่ งนอนเวลาน่งั เรยี นหนังสอื )
(นอนไม่เพียงพอ ดูโทรทัศน์ดึก
ไม่ต้งั ใจ รู้สึกเบอื่ หนา่ ย)

(ปัญหา คอื รู้สึกง่วงนอน การคิดตามเหตแุ ละผล
เวลาน่ังเรยี นหนังสอื )

คิดแก้ปัญหาตรงจดุ มรรค นิโรธ
ตรงตอ่ ตัวปัญหา
(ถา้ รสู้ กึ วา่ งกเ็ ปล่ยี นอิริยาบถ (มสี ติ รูจ้ กั ข่มใจ
(พกั ผอ่ นใหเ้ พยี งพอและไม่นอนดึก ลา้ งหนา้ พกั ผ่อนใหเ้ พยี งพอ และรู้ตัวอยูเ่ สมอ)
ร้จู กั แบง่ เวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ดโู ทรทศั น์ดึก
ใหเ้ หมาะสม)

ผลท่ีเกดิ ขึ้น

(ไมง่ ว่ งนอนเวลาน่ังเรยี นหนังสอื
รู้สึกสดช่ืนตลอดเวลาและเข้าใจ
ในสิ่งทก่ี ำลังเรียน)

2. นักเรียนตรวจสอบความถูกตอ้ งและความเรียบร้อยของผลงาน หากพบข้อผิดพลาดควรปรบั ปรุงแก้ไขให้ถกู ตอ้ ง
3. นกั เรียนนำเสนอผลงานการศึกษาปัญหาและเสนอวิธีการแก้ปัญหาดว้ ยวิธีคิดแบบอรยิ สจั หน้าชั้นเรยี น

7.4 ข้ันสรุป
1. นักเรยี นร่วมกนั สรุปส่งิ ทีเ่ ข้าใจเป็นความรู้ร่วมกนั ดงั นี้

วิธคี ดิ แบบอริยสัจ เป็นวธิ ีคิดแบบแก้ปญั หา มีการคดิ หลัก 2 แนวทาง คอื คิดตามเหตุและผลและการคดิ

แกป้ ญั หาตรงประเดน็ การฝกึ คิดแบบอริยสจั จะทำให้ผ้ปู ฏิบัติรู้จกั คิดอยา่ งเปน็ ขน้ั ตอนเช่ือมโยงสงิ่ ต่าง ๆ ทเี่ ปน็ เหตุ

เปน็ ผลกนั ทำให้มองเห็นสิง่ ตา่ ง ๆ วา่ มีท่ีมาหรือเหตอุ ยา่ งไรหากฝกึ บ่อย ๆ จะเปน็ การฝึกความคดิ และสมองให้

พฒั นาข้ึนไปด้วย

8. สื่อการเรียนรู้ / แหล่งการเรยี นรู้
1. หนงั สือเรยี นรายวิชาพื้นฐาน พระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของสถาบันพัฒนาคุณภาพวชิ าการ (พว.)

2. แหลง่ การเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน

9. การวดั และประเมินผล เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารวัดและประเมินผล
วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล ประเมินความรู้ เรือ่ ง วธิ คี ิด
4 = ดีมาก ถกู ต้อง 80%ขนึ้ ไป
ดา้ นความรู้ แบบอริยสัจ (K) ดว้ ย 3 = ดี ถกู ต้อง 70-79%ข้นึ ไป
2 = พอใช้ ถกู ตอ้ ง 60-69%ข้นึ ไป
แบบทดสอบ 1 = ปรับปรงุ ถกู ตอ้ งต่ำกว่า 60%ขน้ึ ไป

ด้านทักษะ / กระบวนการ ประเมินกระบวนการทำงาน 4 = ดมี าก หมายถึง ปฏิบัติคุณลักษณะน้ันๆ
กล่มุ (P) ด้วยแบบประเมนิ เดน่ ชดั มากที่สดุ
3 = ดี หมายถึง ปฏบิ ตั ิคุณลกั ษณะนั้นๆ
ด้านเจตคติ และคุณลักษณะ ประเมินคณุ ลกั ษณะอันพึง เด่นชดั ท่ีสุด
ประสงค์ ด้านรักชาติ ศาสน์ 2 = พอใช้ หมายถงึ ปฏิบัตคิ ุณลักษณะนนั้ ๆ
กษตั รยิ ์ ใฝเ่ รยี นรู้ (A) ด้วย ปานกลาง
แบบประเมนิ 1 = ปรบั ปรุง หมายถึง ปฏบิ ตั ิคณุ ลักษณะ
น้ันๆน้อย

4 = ดมี าก หมายถงึ ปฏิบัติคุณลกั ษณะนน้ั ๆ
เด่นชัดมากท่ีสดุ
3 = ดี หมายถงึ ปฏบิ ัตคิ ุณลักษณะนนั้ ๆ
เด่นชดั ที่สดุ
2 = พอใช้ หมายถึง ปฏบิ ัตคิ ุณลกั ษณะนั้นๆ
ปานกลาง
1 = ปรับปรุง หมายถงึ ปฏบิ ัติคณุ ลกั ษณะ
นนั้ ๆนอ้ ย

บนั ทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้

1. สรปุ ผลการเรียนรู้

1.1 ความรู้ (K : Knowledge)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.2 ทักษะ / กระบวนการ (P: Process)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.3 คณุ ธรรม จริยธรรม (A: Attitude)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

2. ปญั หา อปุ สรรคและข้อคน้ พบ

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะ แนวทางแก้ไข และผลการแก้ไข

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

(ลงชื่อ)……………………………………..ผู้สอน
(นางสาวจิราภา สำฤทธ์ิ)

วนั ท่ี …………..เดอื น……………..พ.ศ……….….

(ลงชอื่ )………………………………………… (ลงช่ือ)…………………………………………
(นายถาวร สขุ นา)
(ว่าทรี่ อ้ ยตรหี ญงิ มทุ ติ า เอ่ยี มทิพย)์
หัวหนา้ กล่มุ บริหารงานวชิ าการ รองผ้อู ำนวยกาปฏบิ ตั ิราชการแทน
ผูอ้ ำนวยการโรงเรียนหนองรีประชานิมิต

แผนการจดั การเรยี นรู้

สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษาฯ รายวิชา พระพุทธศาสนา5 รหัสวชิ า ส23103 ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 8 เรอื่ ง การพฒั นาจติ เพ่ือการเรียนรู้และดำเนนิ ชีวติ ด้วยวิธคี ิดแบบโยนิโสมนสกิ าร

จำนวน 2 ชว่ั โมง

แผนการเรยี นรูท้ ่ี 2 เร่ือง วธิ คี ดิ แบบสืบสาวเหตุปัจจยั จำนวน 1 ชั่วโมง

1. มาตรฐานตวั ช้ีวดั /ผลการเรยี นรู้
มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวตั ิ ความสำคญั ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนา

ท่ตี นนบั ถือและศาสนาอ่ืน มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบตั ติ ามหลกั ธรรม

เพ่ืออย่รู ว่ มกันอย่างสนั ตสิ ุข

ตัวชีว้ ัด
ส 1.1 ม.3/8 เหน็ คณุ ค่าของการพฒั นาจติ เพื่อการเรียนรูแ้ ละดำเนินชวี ิตดว้ ยวธิ คี ดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร

คือ วธิ คี ดิ แบบอรยิ สจั และวิธคี ดิ แบบสบื สาวเหตุปัจจยั หรอื การพฒั นาจิตตามแนวทาง

ของศาสนาที่ตนนับถอื

2. สาระสำคญั
วิธคี ิดแบบสืบสาวเหตปุ ัจจัย เป็นวิธคี ิดโดยสืบค้นสาเหตุของปัญหาหรอื องคป์ ระกอบทีท่ ำให้เกดิ ปญั หา การฝึกคิด

แบบสืบสาวหาเหตปุ ัจจัยจะทำให้ผู้ปฏบิ ัตริ ้จู กั คิดอย่างเปน็ ข้ันตอน เชอ่ื มโยงสิ่งต่าง ๆ ท่ีเป็นเหตุเป็นผลกนั ทำให้

มองเหน็ สิง่ ตา่ ง ๆ ว่ามีทีม่ าหรือเหตุอย่างไร หากฝกึ คดิ บอ่ ย ๆ

จะชว่ ยฝกึ ความคิดและพัฒนาสมอง

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมายและความสำคญั ของวธิ คี ิดแบบสบื สาวเหตปุ ัจจยั (K)

2. วิเคราะหเ์ กีย่ วกบั วิธคี ดิ แบบสบื สาวเหตุปัจจยั ในการพฒั นาจติ เพอื่ การเรียนรแู้ ละการดำเนนิ ชีวิต (P)

3. เสนอแนวทางปฏิบตั ติ นตามวิธคี ิดแบบสบื สาวเหตุปจั จยั ในการพฒั นาจิตเพ่อื การเรยี นรู้

และการดำเนินชวี ิต (P)

4. เห็นคณุ ค่าและความสำคญั ของการดำเนินชีวติ ด้วยวธิ คี ดิ แบบโยนิโสมนสิการ เพื่อให้เกิดประโยชน์

ในการดำเนินชวี ิต (A)
4. คุณลักษณะอันพึงประสงค์

1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์

2. ใฝ่เรยี นรู้

5. สมรรถนะสำคญั ของนกั เรียน
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร

2. ความสามารถในการคิด

3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ

6. ช้ินงาน/ภาระงาน เรียงความ
7. กจิ กรรมการเรียนรู้ ด้วยวธิ ีสอนแบบ แบบสบื สาวเหตุปจั จยั
7.1 ขั้นนำ

1. นกั เรียนรว่ มกนั อ่านสถานการณ์ปัญหาทก่ี ำหนดให้ แล้วตอบคำถาม ดงั นี้

แม่คา้ ขายอาหารขาดทุน เพราะแม่ค้าขายไมด่ ี คนไมช่ อบรับประทาน
อาหารไม่อรอ่ ย ไม่สะอาด แมค่ ้าใชว้ ัตถุดิบไมด่ ี และไมม่ ฝี ีมอื ในการปรุง

• สถานการณป์ ญั หาดังกล่าวคืออะไร (แมค่ ้าขายอาหารขาดทุน)
• สาเหตุทีท่ ำให้แม่คา้ ขายอาหารขาดทนุ คอื อะไร
(ขายไม่ดี คนไม่ชอบรับประทาน อาหารไมอ่ ร่อย ไม่สะอาด ใช้วตั ถุดิบไมด่ ี และไม่มีฝีมอื ในการปรุง)
• นักเรียนคดิ ว่าแมค่ า้ ควรแกป้ ัญหาดังกลา่ วโดยการปฏบิ ัตติ นอยา่ งไร
(ตวั อยา่ งคำตอบ ต้องทำอาหารที่คนอยากรบั ประทาน คนจะชอบรับประทานก็เพราะอาหารอร่อยและ
สะอาด การที่จะทำให้อาหารอร่อยและสะอาด แม่ค้ากต็ อ้ งใช้วัตถุดบิ ที่ดี และพฒั นาวธิ ีการปรงุ อาหาร
ให้ดีขน้ึ )
• การแก้ปัญหาดังกลา่ วเป็นการแกป้ ญั หาแบบใด
(ตัวอยา่ งคำตอบ เป็นการแกป้ ญั หาทีต่ ้นเหต)ุ
• ผลท่ีเกดิ ขึ้นจากการแกป้ ญั หาดว้ ยวธิ ีดงั กลา่ วเป็นอยา่ งไร
(ตวั อยา่ งคำตอบ ทำให้แม่ค้าขายอาหารได้มากขน้ึ มีลกู คา้ มากข้ึน และทำให้ไมข่ าดทนุ )
2. นักเรยี นรว่ มกนั สนทนาเก่ยี วกับความหมายและความสำคญั ของวธิ ีคดิ แบบสบื สาวเหตุปัจจยั
โดยการตอบคำถาม ดงั น้ี
• นกั เรยี นรู้จกั หรอื เคยได้ยินคำวา่ การคดิ แบบสบื สาวเหตุปจั จยั หรือไม่
(เคย/ไม่เคย)
• นกั เรียนคดิ ว่าวิธคี ิดแบบสืบสาวเหตปุ จั จยั เปน็ การคดิ แบบใด
(ตัวอย่างคำตอบ เป็นวิธีคิดโดยสบื คน้ หาสาเหตขุ องปญั หา หรอื องคป์ ระกอบท่ที ำใหเ้ กดิ ปัญหาหรือสิ่งน้นั
ๆ)
• วิธคี ดิ แบบสืบสาวเหตุปัจจัยมีความสำคัญอยา่ งไร
(ตวั อย่างคำตอบ ทำใหผ้ ปู้ ฏิบัตริ ้จู กั คิดอยา่ งเป็นระบบ เป็นขน้ั ตอน เช่อื มโยงสิง่ ตา่ ง ๆ
ที่เปน็ เหตุเป็นผลกัน)
จากนน้ั อธิบายสรุปความหมายและความสำคัญของวธิ ีคดิ แบบสืบสาวเหตุปัจจัยให้นกั เรียนฟงั
เพมิ่ เตมิ ว่า วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจยั เป็นวธิ ีคดิ โดยสบื ค้นสาเหตุของปญั หาหรอื องคป์ ระกอบทท่ี ำให้เกดิ ปัญหา หรือ
สิ่งน้ัน ๆ ซง่ึ จะทำให้ผู้ปฏบิ ตั ิรู้จกั คิดอยา่ งเป็นข้นั เปน็ ตอน เชอื่ มโยงสิง่ ต่าง ๆ ที่เปน็ เหตเุ ปน็ ผลกัน ทำใหม้ องเหน็ ส่งิ ตา่ ง
ๆ วา่ มีท่ีมาหรอื เหตอุ ย่างไร และหากฝึกคดิ บ่อย ๆ จะเป็นการฝกึ ความคิดและสมอง
ใหพ้ ัฒนาข้ึนไปดว้ ย
3. นกั เรียนศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลเกยี่ วกับวิธีคดิ แบบสบื สาวเหตุปจั จัย จากหนังสอื เรยี น

และแหล่งการเรียนรู้อ่นื ๆ เพมิ่ เติม
7.2 ข้นั สอน

1. นกั เรียนรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั วิธคี ดิ แบบสืบสาวเหตุปจั จัย โดยการตอบคำถาม ดงั นี้
• การคิดแบบสบื สาวเหตุปัจจยั มีวธิ ีคิดอยา่ งไรบ้าง
โดยบันทกึ คำตอบของนักเรียนเป็นแผนภาพความคดิ บนกระดาน ดังตัวอยา่ ง

วธิ ีคิดแบบสืบสาวเหตุปจั จยั

การคดิ แบบปัจจยั สัมพนั ธ์ การคิดแบบสอบสวนสบื สวน

คดิ พจิ ารณาความสมั พนั ธ์หรอื ความเก่ียวขอ้ ง เปน็ การตั้งคำถามว่า สิง่ น้เี กดิ ขนึ้ เพราะอะไร
ตอ่ เนื่องของเหตปุ ัจจยั ดังทพ่ี ระพทุ ธองค์ อะไรเป็นสาเหตุ
ตรัสวา่ “เมื่อส่ิงน้ีมี ส่งิ นจี้ ึงมี เพราะสิ่งน้เี กดิ
ส่ิงนี้จึงเกิด เมื่อสง่ิ น้ไี ม่มี สิง่ น้จี ึงไม่มี
เพราะส่งิ นี้ดบั สงิ่ น้จี ึงดบั ”

2. นักเรียนแบ่งกลมุ่ ยกตวั อย่างปัญหาทเี่ คยพบเจอในชีวติ ประจำวันของตนเองมา 2 ปัญหา
แล้วนำการคิดแบบสบื สาวเหตปุ ัจจัย : การคิดแบบปจั จัยสมั พันธ์ การคดิ แบบสอบสวนสบื สวน
วิเคราะห์สาเหตแุ ละการแก้ปญั หา แลว้ สรปุ ผลที่เกิดขน้ึ ดังตัวอย่าง

ปัญหา ปัญหา
เรียนหนงั สอื ไม่เข้าใจ
สอบไมผ่ ่าน

การคดิ แบบปจั จัยสมั พันธ์ การคิดแบบสอบสวนสบื สวน

ไม่สนใจครสู อนจึงทำให้เรียนหนังสือ ไม่อา่ นหนงั สือ ไม่ทบทวนบทเรยี น
ไม่เขา้ ใจ และขณะทคี่ รูสอนไม่ต้งั ใจเรยี น

การแกป้ ัญหา การแก้ปัญหา
ต้ังใจฟังครสู อนและยกมือถาม หมนั่ ทบทวนบทเรียนอยู่เสมอและอ่าน
เมื่อมขี อ้ สงสยั เกยี่ วกับเน้ือหาที่ครูกำลงั สอน หนังสอื กอ่ นสอบ 1-2 สปั ดาห์
และต้งั ใจเรยี นขณะทค่ี รกู ำลังสอน
ผลทีเ่ กดิ ข้ึน
ทำให้เข้าใจเนื้อหาที่ครูกำลังสอน ผลทีเ่ กดิ ขน้ึ
เมือ่ ถึงเวลาสอบก็สามารถทำได้ ทำให้สามารถสอบผ่านทกุ วิชา
ส่งผลให้ผลการเรยี นสงู ข้นึ สง่ ผลให้ผลการเรียนสงู ขึ้น

3. นักเรยี นคดิ ประเมนิ เพื่อเพมิ่ คุณค่า แลว้ สรุปเปน็ ความคดิ รวบยอด โดยการตอบคำถาม ดังนี้
• นักเรียนได้ประโยชน์จากการศกึ ษาการคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัยอยา่ งไร

และนกั เรยี นจะนำวิธีคิดดังกลา่ วไปปรบั ใช้ในชีวิตประจำวันอยา่ งไรบา้ ง
(ตัวอย่างคำตอบ ไดร้ จู้ ักการคิดท่ีเป็นขน้ั เปน็ ตอนและเปน็ เหตุเป็นผลกนั ช่วยให้สามารถแกป้ ัญหา

ไดอ้ ย่างตรงจดุ และจะนำวธิ คี ดิ ดงั กลา่ วไปปรับใช้ในการเรยี น และการทำกิจกรรมตา่ ง ๆ เพือ่ ให้สามารถแก้ไข
ปัญหาไดอ้ ย่างถูกต้อง และเหมาะสม)

7.3 ข้นั ฝึกฝน
1. นักเรียนยกตัวอย่างปญั หาจากประสบการณ์ทเี่ กดิ ขน้ึ ในชีวติ ประจำวนั มา 1 ปัญหาแล้วเปรยี บเทียบแนว

ทางการแกไ้ ขปัญหานั้นโดยใชว้ ิธีคิดแบบอรยิ สัจและวิธคี ิดแบบสืบสาวเหตปุ ัจจยั ลงในชน้ิ งานเร่ือง เปรยี บเทยี บแนวทาง
แกไ้ ขปญั หาโดยใช้วิธคี ิดแบบอรยิ สัจและวิธคี ิดแบบสบื สาวเหตปุ ัจจัย

2. นกั เรยี นตรวจสอบความถูกต้องและความเรยี บรอ้ ยของช้นิ งาน หากพบข้อผดิ พลาดควรปรบั ปรุงแกไ้ ขให้
ถกู ต้อง
7.4 ข้นั สรุป

1. นกั เรียนรว่ มกนั สรุปสิ่งท่เี ขา้ ใจเป็นความรู้ร่วมกนั ดงั น้ี
วิธคี ิดแบบสืบสาวเหตุปัจจยั เป็นวิธคี ิดโดยสืบคน้ สาเหตุของปญั หาหรือองคป์ ระกอบท่ที ำให้เกิด

ปญั หา การฝึกคดิ แบบสืบสาวหาเหตปุ ัจจยั จะทำใหผ้ ูป้ ฏิบตั ิรู้จกั คดิ อย่างเป็นขั้นตอน เชอื่ มโยงสง่ิ ต่าง ๆ ทีเ่ ป็นเหตุเปน็
ผลกนั ทำใหม้ องเห็นสงิ่ ต่าง ๆ ว่ามีทีม่ าหรือเหตอุ ย่างไร หากฝึกคดิ บอ่ ย ๆ จะชว่ ยฝกึ ความคิดและพฒั นาสมอง
8. ส่ือการเรยี นรู้ / แหล่งการเรยี นรู้

1. หนังสือเรียนรายวชิ าพนื้ ฐาน พระพุทธศาสนา ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ของสถาบนั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)
2. สถานการณ์ปัญหา
3. แหลง่ การเรียนรูท้ ั้งภายในและภายนอกโรงเรยี น

9. การวัดและประเมนิ ผล เคร่อื งมอื เกณฑ์การวัดและประเมินผล
วธิ กี ารวัดและประเมินผล
ประเมินความรู้ เรอื่ ง วธิ คี ิด 4 = ดมี าก ถูกตอ้ ง 80%ขึ้นไป
ดา้ นความรู้ แบบสืบสาวเหตุปัจจยั (K)
ดว้ ยแบบทดสอบ 3 = ดี ถกู ต้อง 70-79%ขน้ึ ไป
ดา้ นทักษะ / กระบวนการ 2 = พอใช้ ถกู ตอ้ ง 60-69%ข้นึ ไป
1 = ปรบั ปรงุ ถกู ต้องต่ำกว่า 60%ข้นึ ไป

ประเมนิ กระบวนการทำงาน 4 = ดมี าก หมายถึง ปฏบิ ัติคุณลกั ษณะนั้นๆ

กลุม่ (P) ด้วยแบบประเมนิ เด่นชดั มากที่สดุ
3 = ดี หมายถึง ปฏบิ ตั คิ ุณลักษณะนั้นๆ
ประเมนิ ชนิ้ งาน เรือ่ ง เดน่ ชดั ท่ีสุด
เปรียบเทียบแนวทางแกไ้ ข 2 = พอใช้ หมายถึง ปฏบิ ัติคุณลักษณะน้นั ๆ
ปญั หาโดยใชว้ ธิ คี ิดแบบอรยิ สัจ ปานกลาง

และวิธีคิดแบบสบื สาว 1 = ปรับปรุง หมายถึง ปฏิบัติคณุ ลักษณะ

เหตุปัจจยั (P) ด้วยแบบ นั้นๆนอ้ ย

ประเมนิ

ดา้ นเจตคติ และคุณลักษณะ ประเมินคณุ ลกั ษณะอันพึง 4 = ดมี าก หมายถงึ ปฏิบัติคุณลักษณะนนั้ ๆ
ประสงค์ ด้านรักชาติ ศาสน์ เด่นชัดมากที่สุด
กษตั รยิ ์ ใฝ่เรียนรู้ (A) ด้วย 3 = ดี หมายถึง ปฏบิ ัติคุณลกั ษณะนัน้ ๆ
แบบประเมนิ
เด่นชัดที่สดุ
2 = พอใช้ หมายถึง ปฏิบัติคุณลกั ษณะนั้นๆ

ปานกลาง
1 = ปรบั ปรุง หมายถงึ ปฏิบัติคุณลกั ษณะ
นัน้ ๆนอ้ ย

ช้ินงานเรื่อง เปรยี บเทียบแนวทางการแก้ไขปญั หาโดยใช้วธิ คี ิดแบบอริยสัจ และวธิ ีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจยั
นกั เรียนยกตวั อย่างปัญหาจากประสบการณท์ ีเ่ กดิ ขึ้นในชวี ิตประจำวนั มา 1 ปัญหา และเปรยี บเทยี บแนว

ทางแก้ไขปญั หานนั้ โดยใช้วธิ คี ดิ แบบอริยสจั และวธิ ีคดิ แบบสืบสาวเหตุปัจจัยลงในแผนภาพความคิด
(ตัวอยา่ งคำตอบ)นักเรยี นยกตวั อยา่ งปัญหาจากประสบการณ์ทีเ่ กดิ ข้ึนในชีวิตประจำวันมา 1 ปัญหา และเปรยี บเทียบ
แนวทางแกไ้ ขปญั หานัน้ โดยใช้วิธคี ิดแบบอรยิ สจั และวธิ คี ดิ แบบสืบสาวเหตปุ ัจจยั ลงในแผนภาพความคดิ
(ตัวอยา่ งคำตอบ)

ปญั หาทเ่ี กิดข้นึ : (ลมื นำการบ้านมาส่งคุณครู)

แกป้ ญั หาโดยวธิ คี ดิ แบบอรยิ สัจ ส่ิงทเ่ี หมือนกัน วธิ คี ดิ แบบสบื สาวเหตุปัจจยั

ทุกข์ (กลวั คุณครูทำโทษ) เหตุ
(ไมไ่ ด้เตรียมการบ้านใสก่ ระเป๋าไว้)
สมทุ ยั (ลืมนำการบ้านมาส่ง) การแกไ้ ขที่เหตุ (เมือ่ ทำการบา้ นเสร็จ
ต้องเตรยี มใส่กระเปา๋ ไว้
นิโรธ (มีสติ ไมห่ ลงลมื จดบันทกึ กนั ลมื )
0

มรรค (ต้องเตรยี มการบ้านใส่กระเป๋าไว)้

บนั ทึกผลหลงั การจัดการเรียนรู้

1. สรุปผลการเรยี นรู้

1.1 ความรู้ (K : Knowledge)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.2 ทักษะ / กระบวนการ (P: Process)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

1.3 คณุ ธรรม จรยิ ธรรม (A: Attitude)
………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

2. ปญั หา อุปสรรคและข้อคน้ พบ

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………….………………………………………………………………………

3. ขอ้ เสนอแนะ แนวทางแก้ไข และผลการแกไ้ ข

………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………….

(ลงชื่อ)……………………………………..ผู้สอน
(นางสาวจิราภา สำฤทธ์ิ)

วันท่ี …………..เดือน……………..พ.ศ……….….

(ลงช่ือ)………………………………………… (ลงชอ่ื )…………………………………………
(นายถาวร สขุ นา)
(วา่ ที่ร้อยตรีหญิงมทุ ติ า เอี่ยมทิพย์)
หัวหน้ากลุม่ บรหิ ารงานวิชาการ รองผู้อำนวยกาปฏบิ ัตริ าชการแทน
ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นหนองรปี ระชานมิ ิต


Click to View FlipBook Version