The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-01-07 12:17:29

NATWASA

NATWASA

GRAMMAR

Grammar M.2

Sudmitted BY

Natwasa Ramsang
M.2/6 No.36

Present
Phatthana Chatikanta

Preface
This book is part of the English subjeot EN22101. The purpose of this book is for
readers to learn the basios of each tens of English. There. are 5 topios, whioh are as
follows: Present Simple Past Simple Present Continuous Past Continuous Present
Perfeot eto. This book is short and simple yoke with olear explanations. I hope those
who have passed it will find it useful and worth learning and thank you teacher
Phatthana Chotikanta

NATWASA RAMSANG

Present Simple Tense
Present Continuous Tense
Past Simple Tense
Past Continuous Tense
Present Perfect Tense
Comparision
Be going to
Should/Shouldn't
Must/Mustn't
Will
Verb to be
Verb to have
There is/There are
A/An
some/any
Personal and object pronouns
Possessive 's Possessive adjective pronouns

Present Simple Tense
ลักษณะการใช้ Present Simple Tense
Present แปลวา่ ปัจจบุ นั ดงั น้นั Present Simple Tense จงึ เป็นประโยคทม่ี โี ครงสรา้ งแบบง่าย ๆ
เพื่อใชพ้ ูดถงึ เหตุการณ์ในปัจจบุ นั นนั่ เอง โดยมีลกั ษณะตา่ ง ๆ ดงั น้ี

1.ใช้เพื่อพูดถึงความเป็ นจริงในชีวิตประจาวัน หรือความเป็ นจริงตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่า
เหตุการณ์น้นั จะเป็ นอดีตหรืออนาคตก็ตาม เช่น
When the earth moves around itself, it makes Day and Night.
(เมอื่ โลกหมนุ รอบตวั เอง มนั ทาให้เกิดกลางวนั กลางคนื )

Durian is the king of fruit.
(ทุเรี ยนเป็ นราชาผลไม)้

2.ใช้เพ่ือพดู ถึงเหตุการณ์ นิสัย หรือการกระทาท่ีเกิดขนึ้ ซ้า ๆ บ่อย ๆ เป็ นประจาทกุ วนั เช่น
I walk to school every day.
(ฉนั เดินไปโรงเรียนทกุ วนั )

Nuda always help other people so everyone loves her.
(นุดาช่วยเหลอื คนอน่ื เป็นประจา ดงั น้นั ทุกคนจึงรกั หลอ่ น)

3. ใช้เพื่อให้คาแนะนาหรือการบอกทิศทาง เช่น
Turn off the television before going to bed.
(ปิ ดโทรทศั น์ก่อนเขา้ นอน)

You go straight for 300 meters, then the destination is on your left.
(คุณเดินตรงไป 300 เมตรและจุดหมายปลายทางจะอยทู่ างซา้ ยมือของคุณ)

รูปประโยคของ Present Simple Tense
ดงั ท่ีไดก้ ล่าวขา้ งตน้ ว่า Present Simple Tense คือประโยคท่ีบอกเลา่ เรื่องราวตา่ ง ๆ เช่น ฉันว่าย
น้าทกุ ๆ วนั โดยรูปประโยคของ Present Simple Tense มีรูปแบบดงั ต่อไปน้ี

1. ประโยคบอกเล่า
โครงสร้างของประโยคบอกเล่า : Subject + Verb.1 + Object + (คาบอกเวลา)
ท้งั น้ีคากริยาช่องที่ 1 น้นั จะมกี ารเตมิ s หรือ es ถา้ หากประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He,
She, It) แต่ถา้ ประธานเป็น I, You หรือประธานพหูพจน์ (You (หลายคน), We, They) ใหค้ งรูป
คากริยาน้นั ๆ ไวเ้ ช่นเดิม เช่น
I go to university by bus every morning.
(ฉันไปมหาวทิ ยาลยั โดยรถโดยสารประจาทางทกุ เชา้ )
ประโยคน้ีประธานคอื I แมจ้ ะเป็นเอกพจน์แตเ่ ป็นขอ้ ยกเวน้ ดงั กริยา go จงึ ไมต่ อ้ งเตมิ s หรือ

esHe
plays guitar very well.
(เขาเล่นกีตาร์เกง่ มาก)
ประโยคน้ีประธานคือ He เป็นเอกพจน์ กริยาคอื play จึงตอ้ งเตมิ s

They enjoy playing the football.
(พวกเขาสนุกกบั การเล่นฟุตบอล)
ประโยคน้ีประธานคือ They เป็นพหูพจน์ กริยาคือ enjoy จึงไม่ตอ้ งเติม s หรือ e

ความรู้เพิม่ เติม : หลกั การเตมิ s,es น้นั ง่ายนิดเดียว คอื คากริยาที่ลงทา้ ยดว้ ย ch, o, s, ss,
sh, x ให้เติม es เม่อื ประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) เช่น

She washes her car.
ประธานของประโยคคอื She ซ่ึงเป็นเอกพจน์ คากริยาคอื wash ที่ลงทา้ ยดว้ ย sh จึงตอ้ งเติม es
ต่อทา้ ย
ส่วนคากริยาอื่น ๆ ท่ีไมไ่ ดล้ งทา้ ยดว้ ยพยญั ชนะท้งั 6 ตวั น้นั ให้เตมิ s หลงั คากริยาในประโยคที่มี
ประธานเป็นเอกพจน์ไดเ้ ลย เช่น

My mom cooks some food for me.
**ประธานของประโยคคอื My mom ซ่ึงเป็นเอกพจน์ เราใช้ She แทน My mom ได้
คากริยาคือ cook ท่ีไมไ่ ดล้ งทา้ ยดว้ ยพยญั ชนะตามกฎ จงึ เตมิ s ไดท้ นั ที

ถา้ หากคากริยาน้นั ลงทา้ ยดว้ ย y ให้เปล่ียน y เป็น i แลว้ เตมิ es ทา้ ยคากริยาน้นั เช่น
study - studies fly - flies, carry - carries เป็นตน้

แตม่ ขี อ้ ยกเวน้ คือ ถา้ หากหนา้ y เป็นสระ (A, E, I, O, U) ใหเ้ ตมิ s ไดท้ นั ที เช่น
play - plays, buy - buys, stay – stays

2. ประโยคคาถาม

โครงสร้างของประโยคคาถามใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคือ
แบบท่ี 1 : Verb to be + Subject + Object/ส่วนขยาย + (คาบอกเวลา) ?

ใชเ้ มือ่ ในประโยคน้นั มี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น
She is my sister. ---> Is she your sister ?
(หลอ่ นเป็นนอ้ งสาวคณุ หรือเปลา่ ?)

เมือ่ เหน็ V. to be ในประโยคใหน้ า V. to be ข้นึ ตน้ ประโยคนาหนา้ ประธานไดเ้ ลย เพียงเท่าน้ีก็
จะกลายเป็ นประโยคคาถาม

แบบท่ี 2 : Verb to do + Subject + Verb.1 + Object + (คาบอกเวลา)?
ใชเ้ มือ่ ประโยคน้นั ไม่มี V. to be จึงตอ้ งนา V. to do ไดแ้ ก่ do กบั does เขา้ มาช่วย โดยข้นึ ตน้
ประโยคนาหนา้ ประธาน ซ่ึงมีวิธีการใชท้ ี่แตกต่างกนั คือ Do ใชน้ าหนา้ I, You และประธานท่ี
เป็นพหูพจน์ (You, We, They) ส่วน Does ใช้นาหน้าประธานท่ีเป็นเอกพจน์ (He, She, It) และ
คากริยาคงรูปช่องท่ี 1 เหมือนเดิมโดยไม่ตอ้ งเติม s, es เช่น
They play football every evening. ---> Do they play football every evening?

(พวกเขาเล่นฟตุ บอลทกุ เยน็ หรือเปล่า?)

ประโยคน้ีไม่มี V. to be อยใู่ นประโยค จงึ นา V. to do มาใชข้ ้ึนตน้ ประโยคนาหนา้ they ซ่ึงเป็น
ประธานพหูพจน์That cat eats fish. ---> Does that cat eat fish ?

(แมวตวั น้นั กินปลาหรือเปลา่ ?)
ประโยคน้ีไม่มี V. to be อยใู่ นประโยค จงึ นา V. to do นน่ั ก็คือ does มาใชข้ ้ึนตน้ ประโยค
นาหน้า that cat หรือกค็ ือ it ซ่ึงเป็นประธานเอกพจน์ โดยคากริยาคอื eat มีการตดั s ออกใน
ประโยคคาถาม

3. ประโยคปฏเิ สธ

รูปแบบประโยคปฏิเสธใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคลา้ ยกบั รูปแบบประโยคคาถาม
คือ
แบบที่ 1 : Subject + Verb to be + not + Object/ส่วนขยาย + (คาบอกเวลา)
ใชเ้ มอ่ื ในประโยคน้นั มี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น

I am your servant. ---> I am not your servant.

(ฉนั ไม่ไดเ้ ป็นคนรบั ใชข้ องคุณ)
เม่อื เห็น V. to be ในประโยคใหเ้ ติม not ไวห้ ลงั V. to be ไดท้ นั ที เพียงเทา่ น้ีกจ็ ะกลายเป็น
ประโยคปฏเิ สธ

แบบที่ 2 : Subject + Verb to do + not + Verb.1 + Object + (คาบอกเวลา)
แบบท่สี องใชเ้ ม่ือประโยคน้นั ไมม่ ี V. to be จงึ ตอ้ งนา V. to do ไดแ้ ก่ do กบั does เขา้ มาช่วยแลว้
ตามหลงั ดว้ ย not เพอ่ื บอกความปฏิเสธ ส่วนคากริยาใหค้ งรูปช่องที่ 1 เหมือนเดิมโดยไมต่ อ้ งเติม
s,es เช่น
He watches television at home. ---> He does not watch television at home.

(เขาไม่ไดด้ โู ทรทศั นอ์ ยทู่ บ่ี า้ น)
ประโยคน้ีไม่มี V. to be อยใู่ นประโยค จงึ นา V. to do นน่ั ก็คือ does มาเป็นกริยาช่วยและตาม
ดว้ ย not เพอ่ื บอกรูปปฏิเสธ ส่วนคากริยาเม่ืออยใู่ นรูปปฏิเสธแลว้ ให้ตดั s,es ทิ้งคงเหลอื คากริยา
ช่องที่ 1 รูปเดิม

คาบอกเวลาใน Present Simple Tense

ในประโยค Present Simple Tense มกั จะมีคาบอกเวลาซ่ึงเป็น Adverbs of Frequency ปรากฎอยู่
ในประโยคเพ่ือบอกความถ่ขี องเหตุการณ์หรือการกระทาน้นั ๆ ไดแ้ ก่

Adverbs of Frequency คาบอกเวลา
Always สม่าเสมอ, เป็นประจา
Frequently บ่อย ๆ
Often บ่อย ๆ
Usually โดยปกติ
Hardly แทบจะไม่เคย
Never ไม่เคย
Rarely แทบจะไม่เคย
Seldom นาน ๆ คร้งั
Sometimes บางคร้ัง

และนอกจากตวั อยา่ งคาบอกเวลาทพี่ บบอ่ ยใน Present Simple Tense แลว้ ยงั อาจพบคาวา่

every + ... เช่น every month, every morning, every Saturday เพอ่ื บอกความถ่ขี องเหตกุ ารณ์หรือ
การกระทากไ็ ด้ เช่น

My teacher always drinks coffee in the morning.
(ครูของฉันดื่มกาแฟในตอนเชา้ เป็นประจา)

Nadech usually gets up at 7 o'clock.
(โดยปกตณิ เดชตนื่ นอนตอนเจ็ดโมง)
Narong hardly reads books so he doesn't pass the exam.
(ณรงคแ์ ทบจะไมเ่ คยอ่านหนงั สือ ดงั น้นั เขาจงึ สอบตก)
It seldom rains in this part of the country.
(ฝนตกนาน ๆ คร้ังในพ้ืนท่นี ้ีของประเทศ)
I feel like she's selfish sometimes.
(ฉนั รูส้ ึกวา่ หลอ่ นเหน็ แกต่ วั ในบางคร้ัง)

แบบฝึ กหดั Present Simple Tense

1.We never __________ coffee in the morning.
drinks
drink
drinkes
2.She __________ dinner with her friends every Sunday.
has
have
haves
3.My cats always ______________ when they are hungry.
cry
cries
crys
4.We often __________ football after school.
plaies
play
plays
5.He __________ his car every week.
washs
washes
wash

6.It sometimes __________ to snow in October.
start
starts
startes
7.He never __________ fruit from the market.
buy
buys
buies
8.James __________ math and English.
teaches
teachs
teach
9.She always __________ English in the morning.
studies
study
studys
10.Jo usually __________ homework after school.
do
dos
does

ลกั ษณะการใช้ Present Continuous Tense
Present Continuous Tense หรือหลายคนอาจจะรู้จกั ในชื่อ Present Progressive Tense อยา่ งทเ่ี รา
รู้ว่า present แปลวา่ ปัจจบุ นั ส่วน continuous/progressive แปลว่า ดาเนินอยา่ งตอ่ เนื่อง ดงั น้นั
Tense น้ีจงึ เป็นการบอกเล่าสิ่งทก่ี าลงั เกิดข้นึ อยใู่ นปัจจุบนั โดยมลี กั ษณะการใชด้ งั น้ี

1. ใช้เพ่ือบอกเล่าเหตกุ ารณ์หรือการกระทาในปัจจุบันท่ีกาลงั ดาเนนิ อย่แู ละยงั ไม่จบลง (จะจบลง
ในอนาคต) โดยอาจพบคาบอกเวลา (Adverbs of time) ปรากฏอย่ใู นประโยคด้วย เช่น now, at
the moment, right now เป็นตน้ ตวั อยา่ งการใชเ้ ช่น
I am studying at Chulalongkorn university.
(ฉนั กาลงั ศกึ ษาอยทู่ ่มี หาวิทยาลยั จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั )

Palm is trying to lose weight now.
(ปาลม์ กาลงั พยายามลดน้าหนกั อยตู่ อนน้ี)

2. ใชก้ บั เหตกุ ารณห์ รือการกระทาทก่ี าลงั เป็นกระแสหรือเป็นทน่ี ิยมอยใู่ นขณะน้นั เช่น
These day, most people are favoring healthy food.
(ปัจจบุ นั ผคู้ นส่วนใหญ่กาลงั นิยมอาหารเพื่อสุขภาพ)

3. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทาท่กี าลังจะเกิดขนึ้ ในอนาคต โดยมีการเตรียมและวางแผนไว้
ล่วงหน้าอย่างแน่นอนแล้ว และมักพบคาบอกเวลา (Adverbs of time) เช่น tonight, this
evening, tomorrow, next week เป็ นต้น ตัวอย่างการใช้เช่น
I am meeting my parent tonight.
(ฉันจะพบกบั พอ่ แมใ่ นคนื น้ี)

Cherprang and Pun are going on holiday next week.
(เฌอปรางและปัญจะไปพกั รอ้ นสปั ดาห์หนา้ )

4. ใชก้ บั เหตุการณห์ รือการกระทาทเ่ี กิดข้นึ บ่อยจนเกินไป ทาใหซ้ ้าซากและน่าเบื่อ ตวั อยา่ งเช่น
Suwich is constantly talking. I wish he would shut up.
(สุวิชพดู ไม่หยดุ เลย ฉันหวงั ว่าเขาจะหยดุ พดู เสียที)
**ผพู้ ดู แสดงอาการราคาญจากการพูดไม่หยดุ ของสุวชิ

I don't like gangster near my house because they are always making noisy.
(ฉันไมช่ อบกลุม่ อนั ธพาลใกลบ้ า้ นของฉัน เพราะพวกเขามกั จะทาเสียงดงั เสมอ)
**ถงึ แมว้ า่ เป็นเหตุการณท์ ่ีเกิดข้นึ ประจา แต่มนั เกินพอดีจงึ ใชใ้ นรูปประโยค Present
Continuous Tense

Present Continuous Tense

รูปประโยคของ Present Continuous Tense

ลกั ษณะเดน่ ของรูปประโยค Present Continuous Tense คือ การใช้ V. to be (Is, Am, Are) และ
ตามดว้ ยคากริยาท่มี ีการเตมิ -ing โดยรูปประโยค Present Continuous Tense มี 3 รูปแบบ ดงั น้ี

1. ประโยคบอกเล่า

โครงสร้างประโยคบอกเล่า : Subject + V. to be + Verb. เติม ing + Object + (คาบอกเวลา)
ส่ิงท่ีเราตอ้ งคานึงในรูปประโยคของ Present Continuous Tense คือการใช้ V. to be ซ่ึง
ประกอบดว้ ย is, am, are โดยจะเลอื กใช้ V. to be ตวั ใดน้นั ให้สงั เกตที่ประธานของประโยค ถา้
ประธานเป็น He, She, It ให้ใช้ is แตถ่ า้ ประธานเป็น I ให้ใช้ am และถา้ ประธานเป็น You, We,
They ใหใ้ ช้ are และเปลีย่ นรูปคากริยาโดยการเติม ing ตวั อยา่ งเช่น

My sister is playing violin.
(นอ้ งสาวของฉันกาลงั เลน่ ไวโอลิน)
** ประโยคน้ีประธานคือ My sister หรือใช้ She แทนได้ จึงตอ้ งตามดว้ ย V. to be คือ is และเตมิ
ing หลงั คาว่า play

We are reading newspaper now.
(พวกเรากาลงั อา่ นหนงั สือพิมพต์ อนน้ี)
** ประโยคน้ีประธานคอื We ซ่ึงเป็นพหูพจน์ ตอ้ งตามดว้ ย V. to be คือ are และเติม ing หลงั คา
ว่า read

I am sleeping under the tree.
(ฉนั กาลงั นอนอยใู่ ตต้ น้ ไม)้
** ประโยคน้ีประธานคอื I ซ่ึงถึงแมว้ า่ จะเป็นเอกพจน์ แต่จะตอ้ งตามดว้ ย V. to be คือ am
เท่าน้นั และเตมิ ing หลงั คาวา่ sleep

ความรู้เพมิ่ เตมิ : หลกั การเติม ing ทา้ ยคากริยาโดยทวั่ ไปสามารถเตมิ ing ไดเ้ ลย แตม่ ีขอ้ ยกเวน้
บางกรณี ดงั น้ี

1. คากริยาน้นั มสี ระเสียงส้ัน (อะ อิ อุ เอะ โอะ ฯลฯ) และโดยมากมกั เป็น a, e, i, o, u อยหู่ นา้
พยญั ชนะทา้ ย หรือคากริยาน้นั ๆ มตี วั สะกดเพียงตวั เดียว กอ่ นเติม ing ใหเ้ พ่ิมตวั สะกดของคา
น้นั ซ้าอกี ตวั หน่ึงแลว้ จึงเตมิ ing เช่น

sit ---> sitting
cut ---> cutting
get ---> getting
shop ---> shopping

2. คากริยาน้นั ลงทา้ ยดว้ ย e ใหต้ ดั e ท้งิ แลว้ เตมิ ing เช่น

come ---> coming
drive ---> driving
make ---> making
ride ---> riding
smoke ---> smoking

3. คากริยาทม่ี ีสระ 2 ตวั (A, E, I, O, U) ใหเ้ ติม ing ไดเ้ ลย เช่น

cook ---> cooking
keep ---> keeping
read ---> reading

4. คากริยาทล่ี งทา้ ยดว้ ย ie ให้เปลยี่ น ie เป็น y แลว้ จึงเตมิ ing เช่น

die ---> dying
lie ---> lying

5. คากริยาทมี่ ีสองพยางค์ และออกเสียงหนกั (stress) ท่พี ยางคห์ ลงั โดยพยางคน์ ้นั มสี ระและ
ตวั สะกดเพยี งตวั เดียว ให้เพ่มิ ตวั สะกดของคาน้นั ซ้าอีกตวั หน่ึงแลว้ จึงเติม ing เช่น

begin ---> beginning
refer ---> referring
swim ---> swimming

2. ประโยคคาถาม

โครงสร้างประโยคคาถาม : V. to be + Subject + Verb. เตมิ ing + object + (คาบอกเวลา)?
ประโยคคาถามใน Present Continuous Tense ไม่มกี ฎอะไรมากมายเลยคะ่ เพียงแค่สลบั ที่ V. to
be ข้นึ มาไวต้ น้ ประโยค โดยตอ้ งพจิ ารณาการเลือกใช้ V. to be ตามประธานของประโยคดว้ ย
เพียงเทา่ น้ีกจ็ ะไดป้ ระโยคคาถาม ตวั อยา่ งเช่น

Is it raining at the moment ?
(ฝนกาลงั ตกอยตู่ อนน้ีหรือเปลา่ ?)

Are you lying to me ?
(คณุ กาลงั โกหกฉนั หรือเปล่า?)

3. ประโยคปฏิเสธ
โครงสร้างประโยคปฏิเสธ : Subject + V. to be + not + Verb. เติม ing + object + (คาบอก
เวลา)
สาหรับรูปประโยคปฏิเสธคงรูปเดิมคลา้ ยกบั ประโยคบอกเลา่ แตเ่ พ่มิ not ข้นึ มาหลงั V. to be
เพียงเทา่ น้ีก็จะเป็นประโยคปฏิเสธใน Present Continuous Tense ตวั อยา่ งเช่น
The students are not studying Science.
(นกั เรียนไมไ่ ดก้ าลงั เรียนวชิ าวิทยาศาสตร์)

Sunisa is not doing homework.
(สุนิสาไมไ่ ดก้ าลงั ทาการบา้ น)

I am not swimming in the canal.
(ฉนั ไมไ่ ดก้ าลงั ว่ายน้าอยใู่ นลาคลอง)

ขอ้ ควรจา : คากริยาบางตวั ไมส่ ามารถนามาใชใ้ นรูปประโยค Present Continuous Tense ได้
ดงั น้ี

1.กริยาทีแ่ สดงถงึ ประสาทสัมผสั ท้งั หา้ เช่น see, hear, feel, taste, smell เป็นตน้
2. กริยาทแ่ี สดงความรูส้ ึก นึกคดิ เช่น believe, know, understand, forget, remember, recognize,
fear เป็นตน้
3. กริยาทแี่ สดงความชอบและไมช่ อบ เช่น love, like, hate, dislike, desire เป็นตน้
4. กริยาท่แี สดงความตอ้ งการ เช่น want, wish, prefer เป็นตน้

แบบฝึ กหดั Present Continuous Tense
1.Dogs are _____ (run) quickly.
runing
running
2.Some men _____ on the road.
am walking
is walking
are walking
3.My mom is _____ (make) a cake.
makeing
making
4.The man is _____ (drive) a taxi slowly.
driving
driveing
5.A bird _____ in the tree.
am singing
are singing
is singing
6.Jo and John _____ to the radio.
is listening
am listening
are listening

7.The white fish is _____ (swim).
swiming
swimming
8.She _____ the room.
am cleaning
are cleaning
is cleaning
9.They _____ books.
are reading
is reading
am reading
10.It ____ right now.
are raining
am raining
is raining

Past Simple Tense

หลักการใช้และโครงสร้างของ Past Simple Tense

1. ใช้กับเร่ืองทีเ่ กิดขนึ้ ในอดีตและจบสิ้นลงไปเรียบร้อยแล้ว สังเกตง่าย ๆ ว่ามักจะมีการระบุ
ช่วงเวลาไว้ด้วยว่าเกดิ ขึน้ เมื่อไหร่ และใช้กริยาช่อง 2 ลองมาดูโครงสร้างและตวั อย่างประโยคกัน
ก่อนค่ะ

ประโยคบอกเลา่ S. + V.2 I went to the theme park yesterday.

ประโยคปฎิเสธ S. + did not + V.1 She didn’t come to Thailand last year.

ประโยคคาถาม Did + S + V.1 Did you see Jane at the bank last hour?

จางา่ ย ๆ วา่ ประโยคบอกเล่าใชก้ ริยาช่อง 2 ส่วนประโยคปฏเิ สธและประโยคคาถาม ใช้ did
ร่วมกบั กริยาช่อง 1

นอกจากน้ีแลว้ Key word บอกเวลาซ่ึงจบไปแลว้ ทพ่ี บบอ่ ย ๆ ในประโยค Past Simple
Tense ไดแ้ ก่ Yesterday, Last , Ago โดยใชร้ ่วมกบั คาบอกเวลาอืน่ ๆ มาดตู วั อยา่ งกนั เลยค่ะ

Last last + เวลา/ วนั / last hour, last night, last Did they study Science last Monday.
สปั ดาห/์ เดือน/ฤด/ู ปี Monday, last week, last month,
last summer, last winter, last
year

Ago วินาที / นาท/ี ชวั่ โมง/ 5 minutes ago, 3 day ago, 2 The bus arrived thirty minutes ago.
วนั / สัปดาห/์ เดือน/ ปี + weeks ago, 1 month ago, 4 years
ago ago

เมอ่ื กริยาช่อง 2 เป็นองคป์ ระกอบสาคญั เราจึงตอ้ งทอ่ งคากริยาท่ีอยใู่ นช่อง 2 ให้ดีวา่ เตมิ –ed
หรือ -d หรือไม่ อยา่ งไร ดูตวั อยา่ งกริยาช่อง 2 กนั คะ่

ช่องท่ี 1 ช่องท่ี 2 ช่องท่ี 3 ความหมาย

be was, were been เป็น,อย,ู่ คือ

become became become กลายเป็ น

break broke broken แตก, หกั

bring brought brought นามา

build built built สร้าง

buy bought bought ซ้ือ

come came come มา

do did done ทา

drive drove driven ขบั รถ

eat ate eaten กิน

feel felt felt รู้สึก

get got gotten ได้

give gave given ให้

leave left left ออกจาก

run ran run วง่ิ

sell sold sold ขาย

Ex. They came here yesterday.
(พวกเขามาที่น่ีเม่ือวานน้ี)

Ex. He left home ten minutes ago.
(เขาออกจากบา้ นเมื่อ 50 นาทีทแ่ี ลว้ )

Ex. I bought a new phone two days ago.
(ฉนั ซ้ือโทรศพั ทใ์ หม่มาเม่ือ 2 วนั ก่อน)

2. ใช้พูดถึงนสิ ัยหรือกจิ วตั รทเ่ี คยทาในอดีต หรือการบอกว่าใครเคยทาอะไร เคยไปไหนในอดตี
มาแล้ว และเหตกุ ารณ์น้นั จบลงแล้ว
Ex. We cooked every day last year.
(พวกเราทาอาหารกนั ทกุ วนั เมอื่ ปี ท่แี ลว้ )

Ex. He always went to office late last month.
(เขาไปสานกั งานสายเสมอเม่ือเดือนที่แลว้ )

Ex. I was in London in 2017.
(ฉนั อยทู่ ี่ลอนดอนในปี 2017)

แบบฝึกหดั Past Simple Tense
1.I _____ Jo at the party last night.
saw
seen
2.He _____ his homework last night.
done
did
3.I _____ at home yesterday.
was
were
4.Sam ____ his car to work last Monday.
drove
driven
5.She _____ this song 2 hours ago.
sang
sung
6.What did you _____ this morning?
ate
eat
7.Many birds _____ over my house last night.
flown
flew

8.Did she _____ to the market with you?
go
goes
9.Our teacher _____ math yesterday.
taught
tought
10.We _____ papaya salad last week.
eaten
ate

Past continuous tense He was playing football yesterday at 10 am.
โครงสร้างประโยค Past continuous tense He was not playing football yesterday at 10 am.
ประโยคบอกเล่า S + was/were + V.ing Was he playing football yesterday at 10 am?
ประโยคปฏิเสธ S + was/were + not + V.ing
ประโยคคาถาม Was/Were+ S + V.ing

ก่อนจะไปกนั ต่อ ขอจอดแวะทบทวนเพ่ิมเติม หลกั การใช้ Was / Were

Subject ประธานประโยค Verb to be ที่ใช้ (กริยาช่อง 2 ของ is และ are)
I, He, She, It, A cat (ประธานเอกพจน์) was
You, We, They, Cats (ประธานพหูพจน์) were

Past continuous tenseใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในอดตี ซ่ึงมีด้วยกนั 3 แบบ คือ

1. เหตกุ ารณ์ทกี่ าลังเกดิ ในอดตี เช่น
It was raining yesterday at noon.
(ฝนตกลงมาเม่อื วานตอนเที่ยง)

2. เหตกุ ารณ์ท่ีกาลังเกดิ ต่อเน่ืองอย่ใู นอดีต ซึ่งเกดิ ขึน้ อย่กู ่อน แล้วก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเข้ามา
แทรก เช่น

I was having a beautiful dream when the alarm clock rang.
(ฉันกาลงั ฝันดีอยเู่ ชียว นาฬิกาปลกุ ก็ดนั ดงั ข้นึ )

3. เหตุการณ์กาลังเกิดไปพร้อม ๆ กันในอดตี ไม่มีอนั ไหนเกดิ ก่อนเกดิ หลัง เช่น

While my mom was cooking, my dad was washing his car.
(ขณะทแ่ี มก่ าลงั ทาอาหาร พอ่ ก็กาลงั ลา้ งรถ)

การใช้ While, When, As
While, When, as ถือวา่ เป็น Key word สาคญั ท่ีบ่งบอกวา่ ประโยคน้ีเป็นประโยค Past
continuous tense เลยกว็ ่าได้ เช่น

When the police arrived, we were sleeping.
(ตอนทีต่ ารวจมาถงึ พวกเรากาลงั นอนหลบั กนั อย)ู่

While she was drawing a picture, I came in the room.
(ขณะท่ีเธอกาลงั วาดภาพ ผมก็เขา้ มาในห้อง )

เทคนคิ การจา
- ประโยคทีอ่ ย่หู ลงั while และ as ใช้ past continuous (Subject + was/were +V.ing) เพราะเป็น
เหตุการณ์ทีย่ งั จะเกิดตอ่ เน่ืองไปอกี ระยะหน่ึง เช่น We were sleeping, The car was running, She
was drawing a picture

- ประโยคทอี่ ย่หู ลัง when ใช้ past simple (Subject + V.2) เพราะเป็นเหตกุ ารณ์ทแี่ ทรกเขา้ มาส้นั
ๆ และจบไปแลว้ พูดงา่ ย ๆ ว่าเกิดข้ึนแป๊ บเดียว เช่น the police arrived, the phone rang, I came
in the room, it started to rain

แบบฝึ กหดั Past Continuous Tense
1.As we _____ football, we _______ a boy crying.
were playing/ heard
played/ were hearing
2.While the dog ______, a car ran over it .
walked
was walking
3.When you called me, I _____ a bath.
took
was taking
4.They ______ books when the telephone _____.
read/ was ringing
were reading/ rang
5.Jo and John were singing, but we _____ .
danced
were dancing
6.He _______ his homework when it _____ to rain.
was doing/ started
did/ was starting
7.We _______ dinner when dad _______ home.
ate/ was getting
were eating/ got

8.Mom was cooking while dad _______ in the garden.
worked
was working
9.You ______ when we _____ home .
slept/ were arriving
were sleeping/ arrived
10.She _____ an elephant while she was walking to the bank.
is seeing
saw

Present Perfect Tense
Present Perfect Tense เป็ น Tense เป็นเหตกุ ารณ์ในอดีตท่ีมผี ลต่อเน่ืองถงึ ปัจจบุ นั
โครงสรา้ งของ Present Perfect Tense คอื

Subject + has / have + V3
has / have ผนั ตามประธาน ดงั น้ี
- ประธานเป็นเอกพจน์ (He, She, It, John, Jane) ใช้ Has
- ประธานเป็นพหูพจน์ (I, You, We, They, The dogs, Students) ใช้ Have

หลกั การใช้ Present Perfect Tense คือ
1. ใชก้ บั เหตุการณ์ทเ่ี พง่ิ จบไป หรือเพ่ิงจบลงใหม่ ๆ มกั จะมีคาว่า just, already หรือ yet ใน
ประโยค เช่น

Has the train arrived yet?
(รถไฟมาถงึ หรือยงั )

Daniel has just informed us where to meet tomorrow.
(แดเนียลเพง่ิ แจง้ เราวา่ พรุ่งน้ีจะให้ไปเจอกนั ที่ไหน)

2. ใช้กับเหตกุ ารณ์ท่เี กดิ ขนึ้ ต้งั แต่อดีตและมีผลหรือยงั คงสภาพจนถงึ ปัจจุบนั แต่เหตุการณ์น้ัน
ได้จบลงไปแล้ว โดยส่วนใหญ่จะมีคาว่า since, for, ever since, so far อย่ใู นประโยค เช่น
I’ve known her for years.
(ฉันรูจ้ กั เธอมาหลายปี แลว้ )

Wendy has lived here ever since.
(เวนด้ีอยทู่ ่ีนี่มาต้งั แตบ่ ดั น้นั )

3. ใช้ในการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะมคี าว่า never, ever, once, twice รวมอย่ดู ้วย
เช่น
Have you ever been to Japan?
(คณุ เคยไปประเทศญีป่ ่ ุนไหม)

She has been to Japan twice.
(เธอเคยไปญ่ีป่ นุ สองคร้งั )

4. ใช้ในโครงสร้าง If-clause แบบท่ี 1 ในส่วนของเงื่อนไขท่ีแสดงว่าถ้าทาเหตกุ ารณ์หน่ึงเสร็จ
แล้วอกี เหตุการณ์จะเกิดขึน้ เช่น
The children can go out, if they have finished their homework.
(เด็ก ๆ สามารถออกไปเลน่ ขา้ งนอกได้ ถา้ พวกเขาทาการบา้ นเสร็จ)

แบบฝึกหัด Present Perfect Tense
1.She's been watching TV _____ 5 hours.
since
for
2.I've lived here _____ 1999.
since
for
3.My brother has taught math _____ ten years.
for
since
4.Where is Sam? Have you _____ (see) him?
seen
sew
seed
5.You've just _____ (take) shower.
taked
taken
took
6.I've just ____ (meet) John. He's nice.
met
meeted
meted

7.She hasn't _____ (clean) my room.
cleant
clone
cleaned
8.We haven't _____ (buy) a car.
Bought
buyed
baught
9.They've been playing football _____ 2 o'clock.
since
for
10.It's never ____ (snow) sine 2010.
snown
snowed
snew

Comparison

1. Positive degree (การเปรียบเทียบข้นั เท่ากนั )
มีรูปแบบคือ as + adj/adv + as เช่น
Mary is as pretty as Tina.
(แมรี่สวยพอๆ กบั ทนี ่า)

Tom runs as quickly as his brother.
(ทอมวงิ่ เร็วพอๆ กนั กบั พ่อของเขา)

2. Comparative degree (การเปรียบเทยี บข้นั กว่า)
มีรูปแบบคือ adj/adv (เติม -er) + than หรือ more + adj/adv + than เช่น
A dog is bigger than a cat.
(สุนขั ตวั ใหญ่กว่า แมว)

This house is more expensive than that house.
(บา้ นหลงั น้ีราคาแพงกวา่ หลงั น้นั )

3. Superlative degree (การเปรียบเทียบข้นั สุด)

เป็ นการเปรียบเทียบสามสิ่งขึน้ ไป มีรูปแบบคือ the + adj. (เตมิ -est ) + noun หรือ the most +
adj. + noun เช่น
A dog is the biggest animal in this room.
(สุนขั เป็นสัตวท์ ใี่ หญท่ ี่สุดในห้องน้ี)

This is the most expensive house in Thailand.
(น่ีคือบา้ น ที่แพงที่สุดในประเทศไทย)

นอกจากนี้ยังมคี าศัพท์บางคาท่ีจะต้องเปลย่ี นรูปเม่ืออย่ใู นรูปข้นั กว่าและข้นั สุด ดังต่อไปนค้ี รับ

Positive degree Comparative degree Superlative degree

Good / Well (ดี) Better (ดีกว่า) Best (ดีทสี่ ุด)

Bad / Badly (ไกล) Worse (ไกลกวา่ ) Worst (แยท่ ีส่ ุด)

Far (ไกล) Farther / Further (ไกลกวา่ ) Farthest / Furthest (ไกลทส่ี ุด)

Much / Many (มาก) More (มากกว่า) Most (มากทสี่ ุด)

Little (นอ้ ย) Less (นอ้ ยกว่า) Least (นอ้ ยทส่ี ุด)

แบบฝึ กหัดComparison

1.Your mobile phone is _____ than my phone.
badder
worse
2.She is _____ than me.
most beautiful
more beautiful
3.He is _____ than Sam.
stronger
strongest
4.Math is _____ than art.
more boring
much boring
5.The ruler is _____ than the pen.
longer
longger
6.The city is _____ than the country.
noisyer
noisier

7.This cat is _____ than that cat.
fatter
fater
8.Lucy is _____ than Jane.
thinner
thinnest
9.Diamond is _____than gold.
more expensive
expensiver
10.Today's weather is _____ than yesterday.
gooder
better

Be Going To

หลกั การใช้ be going to จะใชใ้ นกรณีท่ีเป็นเร่ืองทีไ่ ดต้ ดั สินใจมาแลว้ ก่อนท่จี ะมาบอกกล่าวกนั
ณ ตอนน้ี และใชใ้ นการคาดเดาสิ่งทจี่ ะเกิดข้นึ โดยมสี ถานการณแ์ วดลอ้ มประกอบ

โครงสร้างประโยค

I am going to…
He, She, It, A cat is going to…
You, We, They, Cats are going to…

หลกั การใช้ Be going to มีดังนี้

1. ใช้บอกกล่าวเร่ืองราวต่างๆท่ีได้ตดั สินใจมาแล้ว ก่อนที่จะมาพูดคยุ กัน ณ ตอนนี้

ความหมายกต็ รงตามนนี้ ะครับ อะไรกต็ ามแต่ท่เี ราๆท่านๆได้คิดไว้ล่วงหน้าแล้ว เวลาทีเ่ ราพดู คุย
กนั เรากใ็ ช้ be going to นแี่ หละบอกกล่าว เช่น

พรุ่งน้ีวนั เสาร์ เรากค็ ิดไวแ้ ลว้ วา่ จะไปดหู นงั ถา้ มใี ครมาถามวา่ พรุ่งน้ีคุณจะทาอะไร เรากต็ อบว่า
จะไปดูหนงั โดยใชโ้ ครงสร้างแบบน้ีแหละในการสนทนา ดูตวั อยา่ ง

I’m going to watch movies tomorrow.
ฉันจะดูหนงั พรุ่งน้ี

She’s going to clean the house next week.
หล่อนจะทาความสะอาดบา้ นอาทิตยห์ นา้

He is going to have a party next month.
เขาจะจดั งานเล้ยี งเดือนหนา้

Sam is going to buy a new bike.
แซมจะซ้ือจกั รยานคนั ใหม่

We are going to visit grandma soon.
เราจะไปเยยี่ มยา่ เร็วๆน้ี

They are going to fly to London next month.
พวกเขาจะบินไปลอนดอนเดือนหนา้

My dad is going to paint the house next week.
พ่อของฉนั จะทาสีบา้ นสัปดาหห์ นา้

2. ใช้คาดเดาว่าเหตุการณ์น้ันจะเกิดขึน้ ในอนาคตแน่นอน โดยมีสภาพแวดล้อมประกอบการคาด
เดา ไม่ใช่ทึกทกั เอาเอง
การใช้ be going to ในการคาดเดาจะตอ้ งมเี คา้ มลี างใหเ้ ราคาดเดาวา่ จะเกิดข้ึนแน่ๆ เช่น มกี อ้ น
เมฆดาทะมนึ ลมพายแุ รงข้ึน เราก็คาดเดาไดว้ ่าฝนกาลงั จะตกแน่นอน

Look at the dark clouds. It’s going to rain. Let’s go.
มองไปทก่ี อ้ นเมฆดาๆซิ ฝนกาลงั จะตกแลว้ ไปกนั เถอะ (ดจู ากกอ้ นเมฆ)

Look! The car is going to hit the cat.
ดซู ิ! รถยนตก์ าลงั จะชนแมวแลว้ (มองเหน็ รถพงุ่ ตรงไปยงั แมว)

Oh my gosh! The cat is going to die.
โอพ้ ระช่วย แมวกาลงั จะตายแลว้ (แมวชกั ดิ้นชกั งอ)

Hurry up! We are going to miss the train.

เร็วหน่อย พวกเรากาลงั จะตกรถไฟ (ดเู วลาจากนาฬกิ าขอ้ มอื แลว้ น่าจะไมท่ นั )

แบบฝึ กหดั be going to

1 Sutee____________ (marry) a very rich woman.
2 They____________ (have) two boys.
3 I____________ (travel) all over the world.
4 We____________ (not/work) in an office.
5 They____________ (win) the game.
6 I____________ (play) the guitar every night in a cafe.
7 Pranee____________ (not/cook) or clean.
8 They____________ (eat) in restaurants every day.

1 ‘s going to marry
2 ‘re going to have
3 ‘m going to travel
4 ‘re not going to work
5 ‘re going to win
6 ‘m going to play
7 isn’t going/’s not going to cook
8 ‘re going to eat

Should/Shouldn’t
การใช้ Should และ Shouldn’t
Should อา่ นว่า ชูด แปลว่า ควรจะ น่าจะ
Shouldn’t อ่านวา่ ชู๊ดเดินทึ แปลวา่ ไม่น่าจะ ไม่ควรจะ

ใช้เพ่อื แนะนา
ใชใ้ นการแนะนาแปลว่า ควรจะ, ไมค่ วรจะ

• It’s dark now. We should stay here tonight.
มนั มืดแลว้ ตอนน้ี พวกเราควรพกั ทีน่ ีคนื น้ี

• You look pale. You should see a doctor.
คณุ ดซู ีดเซียว คุณควรพบหมอนะ

• We’re leaving early tomorrow. We shouldn’t go to bed late.
พวกเราออกเดินทางแตเ่ ชา้ พรุ่งน้ี พวกเราไม่ควรจะเขา้ นอนดึกนะ

• It’s going to rain. We should go home now.
ฝนกาลงั จะตก พวกเราควรจะกลบั บา้ นตอนน้ีเลย

• You should eat more vegetables and do some exercises.
เธอควรกินผกั ใหม้ ากข้นึ และออกกาลงั กาย

ใช้ในการคาดคะเน
ใชใ้ นการคาดเดาแปลว่า น่าจะ, ไมน่ ่าจะ

• The traffic is jammed. Sam shouldn’t arrive home soon.
การจราจรติดขดั มาก แซมไม่น่าจะถงึ บา้ นเร็วๆน้ี

• She should finish her homework in ten minutes.
หล่อนน่าจะทาการบา้ นของหลอ่ นเสร็จภายใน 10 นาที

• Sam is smaller than anyone. He should win this game.
แซมตวั เล็กกว่าใครๆ เขาไมน่ ่าจะชนะเกมน้ีนะ

• Jane works as a manager. She should earn lots of money.
เจนทางานเป็นผจู้ ดั การ หลอ่ นน่าจะมีรายไดเ้ ยอะแน่เลย

แบบฝึ กหดั Should/Shouldn’t

1. It's cold. You ………. a cardigan. (wear)
2. She's always tired. She………. to bed late every night. (go)

3. …………now? (we / leave)

4. You………. some fruit or vegetables every day. (eat)
5. The students………. their mobile phones in the exam. (use)
6. You………. the teacher to help you if you don't understand the lesson. (ask)
7. People………. fast in the town centre. (drive)
8. the dress or the skirt? (I / buy)

1.should wear
2.shouldn't go
3.should we leave
4.should eat
5.shouldn't use
6.should ask
7.shouldn't drive
8.should I buy

must และ mustn’t
การใช้ must และ mustn’t
จดจาคาแปลตอ่ ไปน้ีให้แมน่ เลยนะครบั โดยเฉพาะคาวา่ musn’t

• must อา่ นว่า มสั ทึ แปลว่า ตอ้ ง

• mustn’t อ่านว่า มสั เซินทึ แปลว่า ตอ้ งไม่
mustn’t แปลวา่ ต้องไม่ ถา้ แปลว่า ไมต่ อ้ ง มนั จะไปคนละเรืองเลย
การใช้ must
ใช้แสดงถงึ ความจาเป็ น หรือสาคัญ ในมมุ มองของคนพดู

• It’s dark now. We must stay here tonight.
มนั มืดแลว้ ตอนน้ี พวกเราตอ้ งพกั ท่ีนีคืนน้ี
(ฉนั คดิ ว่ามนั อนั ตราย ถา้ เดินทาง ดงั น้ันจงึ จาเป็นตอ้ งพกั กอ่ น

• You look pale. You must see a doctor.
คณุ ดซู ีดเซียว คณุ ตอ้ งพบหมอนะ
(ฉันดแู ลว้ คุณคงไมไ่ หว จาเป็นตอ้ งพบหมอ ไม่ง้นั คงไม่ดีข้ึนแน่นอน)

• It’s going to rain. I must go home now.
ฝนกาลงั จะตก ฉันตอ้ งกลบั บา้ นตอนน้ีเลย
(ฉันว่าถา้ ไมก่ ลบั ตอนน้ี ฝนคงจะไลท่ นั )

• You must eat more vegetables and do some exercises.
เธอตอ้ งกินผกั ใหม้ ากข้ึนและออกกาลงั กาย
(ร่างกายของคุณดแู ย่ ถา้ คณุ ไม่เช่ือผม สุขภาพคุณจะแยข่ ้นึ เร่ือยๆ เชื่อหมอ)

• I must finish my homework first and then I will watch TV.
ฉันตอ้ งทาการบา้ นให้เสร็จกอ่ น แลว้ ฉนั จะไปดทู วี ี
(ฉนั คิดวา่ ถา้ ไมท่ าใหเ้ สร็จกอ่ น เดี๋ยวดูเพลนิ การบา้ นจะไม่ไดท้ า

• Fast and Furious 9 were partly filmed in Thailand. I must watch it.
หนงั เร็วแรงทะลนุ รก 9 บางส่วนถ่ายทาในไทย ฉันตอ้ งดูใหไ้ ดเ้ ลย
(เป้นหนงั ที่ดีมาก สนุกตนื่ เตน้ ฉันไม่เคยพลาดสักภาค ยง่ิ ถา่ ยในไทยดว้ ยแลว้ เน่ีย..)

การใช้ must ข้ึนอยกู่ บั มุมมองของคนพดู นะครบั สถานการณ์เดียวกนั แต่อาจจะไม่สาคญั
สาหรบั บางคนก็ได้ เช่น

• A: It’s going to rain. I must go home now.
ฝนกาลงั จะตก ฉันตอ้ งกลบั บา้ นตอนน้ีเลย
(ฉนั ไม่มีร่ม เส้ือก็ใหมๆ่ นาฬกิ ากนั ไมก่ นั น้า ถา้ โดยฝนแยแ่ น่ๆ สรุปวา่ โดนฝนไมไ่ ด้
เดด็ ขาด)

• B: It’s going to rain. I should go home now.
ฝนกาลงั จะตก ฉันควรจะกลบั บา้ นตอนน้ีเลย
(ร่มกม็ ี เส้ือกนั ฝนกเ็ อามา นาฬกิ ากก็ นั น้าได้ สรุปวา่ จะโดนฝนหรือไม่โดนไม่ใช่
ปัญหา)

ใช้บังคบั ในรูปแบบที่เป็ นทางการ
บงั คบั อยา่ งเป็นทางการ เช่นป้าย หรือการประกาศต่างๆ

• No smoking and you must wear your seat belt
หา้ มสูบบหุ รี่ และคณุ ตอ้ งคาดเข็มขดั นิรภยั

• Riders under 18 must wear helmets when riding
ผขู้ บั ข่อี ายตุ ่ากว่า 18 ปี ตอ้ งสวมใส่หมวกกนั น็อคขณะขบั ข่ี

การใช้ mustn’t
ใชใ้ นการห้ามในรูปแบบท่เี ป็นทางการ หรือห้ามในเร่ืองทีส่ าคญั ๆ

• We’re leaving early tomorrow. We must not go to bed late.
พวกเราออกเดินทางแต่เชา้ พรุ่งน้ี พวกเราตอ้ งไม่เขา้ นอนดึกนะ
(ตน่ื สายไปไมท่ นั เครื่อง ทริปน้ีพงั หมดพอดี)

• All passengers must not cross the line.
ผูโ้ ดยสารตอ้ งไมล่ ้าเส้นเขา้ ไป
(ล้าเขา้ ไปมีสิทธ์ิโดนรถไฟเฉี่ยวเอาได้

• Children must not play on this site.
เดก็ ๆตอ้ งไม่ (ห้าม) เลน่ บริเวณน้ี

ในภาษาพดู ปกตจิ ะใชค้ าง่ายๆแทนนะครบั เช่น

• All passengers must not cross the line. (ป้ายห้าม)
• Don’t cross the line. (ภาษาพดู )

อยา่ ล้าเส้นนะ

• Children must not play on this site. (ป้ายหา้ ม)
• You can’t play here. (ภาษาพดู )

พวกเธอเล่นแถวน้ีไมไ่ ดน้ ะ

1) Tanggwa has to stay at home. ______________________

2) They have to go now. ______________________________

3) Sumalee has to phone her mother. ____________________

4) Pranee must speak to my parents. ___________________

5) The children must play in the park. _______________

6) We have to drive slowly here. _____________________

7) Surachai has to get up early. _____________________
1) Tanggwa doesn’t have to stay at home.
2) They don’t have to go now.
3) Sumalee doesn’t have to phone her mother.
4) Pranee mustn’t speak to my parents.
5) The children mustn’t play in the park.
6) We don’t have to drive slowly here.
7) Surachai doesn’t have to get up early.


Click to View FlipBook Version