The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานนาฏศิลป์อาเซียน E-Book

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by flimntp2544, 2021-10-22 08:48:05

รายงานนาฏศิลป์อาเซียน E-Book

รายงานนาฏศิลป์อาเซียน E-Book

นาฏศลิ ปอ์ าเซียน

นัฐพงษ์ โสม่ิงมี กล่มุ 29 เลขท่ี 3
รตั นากร เสวกวงษ์ กลุ่ม 29 เลขท่ี 16

รายงานนี้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของการศกึ ษาวชิ าการคน้ คว้าและการเขยี นรายงานเชงิ วิชาการ
สาขานาฏศลิ ปไ์ ทยศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุรี
ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564









คำนำ

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อปฏิบัติการเขียนรายงานการค้นคว้า และเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา
01210017 การค้นคว้าและการเขียนรายงานเชิงวิชาการ ซึ่งจะนำไปใช้ในการทำรายงานค้นคว้าสำหรับ
รายวิชาอื่นได้อีกต่อไป การที่ผู้จัดทำเลือกทำเรื่อง “นาฏศิลป์อาเซียน” รวมถึงวัฒนธรรมหรือความแตกต่าง
ของประเทศสมชาชิกในอาเซยี น

รายงานเล่มนี้กล่าวถึงเน้ือหาเก่ียวกบั ความหมาย นาฏศลิ ปห์ รือการแสดงตา่ งๆภายในอาเซียน เหมาะ
สำหรับผ้ทู ่ีต้องการจะรับรู้ความเข้าใจเกย่ี วกับประวัตคิ วามเป็นมาของการแสดงนาฏศิลป์ในอาเซียนของแต่ละ
ประเภท เพื่อสามารถนำเกรด็ ความรูเ้ หล่าน้ีไปใชป้ ระโยขนไ์ ด้

ขอบคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พนิดา สมประจบ ที่กรุณาให้ความรู้และคำแนะนำ และทำให้ความ
สะดวกในการค้นหาข้อมลู รวมไปถึงเทคนคิ ในการหาขอ้ มูลต่างๆ หากมีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด ผู้
จัดขอน้อมรบั ไว้ ณ ที่แหง่ น้ี เพื่อนำไปปรับปรงุ และแกใ้ ขในอนาคต

นายนัฐพงษ์ โสมิง่ มี
นางสาวรตั นากร เสวกวงษ์

21 ตลุ าคม พ.ศ.2564





สารบญั

หน้า
คำนำ................................................................................................................................................. ก
สารบญั ภาพประกอบ........................................................................................................................ ซ
บทที่
บทท่ี 1 บทนำ ............................................................................................................................. ...... 1

1.1.ความหมายของอาเซียน……………………………………………………………………………………. 1
1.2.ความเป็นมาของอาเซยี น………………………………………………………………………………….. 2-3
1.3.ประเทศสมาชิกอาเซยี น……………………………………………………………………………………. 3-8
บทที่ 2 นาฏศลิ ปใ์ นอาเซียน………………………………………………………………………………………………… 9
2..1.รูปแบบการแสดงนาฏศิลป์.……………………………………………………………………………… 9-10
2..2.ความแตกต่างของนาฏศิลป์ในอาเซยี น……………………………………………………………… 10-11
2..3.องคป์ ระกอบในการแสดง........................................................................................... 12-13
บทท่ี 3 นาฏศิลป์ในอาเซยี น………………………………………………………………………………………………... 15
3.1.นาฏศิลปเ์ มียนมา…………………………………………………………………………………………….. 15-16
3.2.นาฏศลิ ป์ลาว…………………………………………………………………………………………………… 16-18
3.3.นาฏศิลป์บรไู น……………………………….………………………………………………………………… 17-18
3.4.นาฏศิลปฟ์ ิลิปปินส์…………………………………………………………..………………………………. 19-21
3.5.นาฏศิลปส์ งิ คโปร์……………………………………………………………………………………………… 21-22
3.6.นาฏศลิ ปอ์ นิ โดนเี ซยี …………………………………………………………………………………………. 22-24
3.7.นาฏศลิ ปก์ ัมพูชา…………………………………………………………………………………………….... 25
3.8.นาฏศิลปไ์ ทย……………………………………………………………………………..……………………. 25-26
3.9.นาฏศลิ ป์เวียดนาม…………………………………………………………………………….…………….. 27-28
3.10.นาฎศลิ ปม์ าเลเซีย……………………………………………………………………………….…………. 28-31





สารบัญ (ต่อ)
หน้า

บทท่ี 4 คณุ คา่ ของนาฏศลิ ป์…………………………………………………………………………………………………… 33
4.1.คณุ คา่ ดา้ นความพลดิ เพลิน………………………………………………………………………………….. 33
4.2.คุณค่าดา้ นพิธกี รรม……………………………………………………………………………………………... 33
4.3.คุณค่าดา้ นการอนุรักษ์เผยแพร่……………………………………………………………………………… 33-34
4.4.คุณค่าดา้ นความรู้เกีย่ วกับประวัติศาสตร์………………………………………………………………… 34-35

บทที่ 5 สรุป………………………………………………………………………………………………...………………………… 37
บรรณานกุ รม…………………………………………………………………………………….......................................... 39





สารบัญภาพประกอบ
ภาพที่ หน้า

1 ธงชาตบิ รไู น............................................................................................................................. 3
2 ธงชาตกิ มั พชู า……………………………………………………………………………………………………………. 4
3 ธงชาตอิ ินโดนเี ซีย………………………………………………………………………………………………………. 4
4 ธงชาตลิ าว…………………………………………………………………………………………………………………. 5
5 ธงชาตมิ าเลเซีย………………………………………………………………………………………………………….. 5
6 ธงชาตพิ มา่ ………………………………………………………………………………………………………………… 6
7 ธงชาติฟลิ ิปปินส์…………………………….……………………………………………………………………………. 6
8 ธงชาตสิ ิงคโปร์…………………………………………………………...………………………………………………. 7
9 ธงชาติเวียดนาม…………………………………………………………………………………………………………. 7
10 ธงชาตไิ ทย………………………………………………………………………………………….……………………. 8
11 การแสดงของชาวพม่า………………………………………………………………………………………………. 15
12 การแตง่ กายในการแสดงของประเทศพมา่ …………………………………………………………………… 16
13 หัวโขนสำหรับแสดงเรื่องพระลกั พระลาม………………………………………………..………………….. 17
14 หมอลำและหมอแคนขณะแสดงในประเทศฝร่ังเศส………………………………………...……………. 18
15 วงบรรเลงกลุ งิ ตงั กนั …………………………………………………………………………………………..……… 18
16 ซาปนิ ……………………………………………………………………………………………………………………….. 19
17 คาริโนซา…………………………………………………………………………………………………………………… 20
18 ตนิ ิกลิง……………………………………………………………………………………………………………………… 20
19 เทศกาลตรษุ จนี …………………………………………………………………………………………………………… 21
20 บงั สาละวัน……………………………………………………………………………………………………….....……. 22
21 รามเกียรติ์อินโดนเี ซีย…………………………………………………………………………………………………… 22





สารบญั ภาพประกอบ (ตอ่ )
ภาพท่ี หน้า

22 เลกอง…………………………………………………………………………………………………………………… 23
23 ระบำบาร็อง………………………………………………………………………………………………………….. 23
24 ระบำคะชกั หรือระบำลงิ …………………………………………………………………………………………. 24
25 ระบำหนา้ กาก………………………………………..…………………………………………………………….. 24
26 ระบำพนื้ บ้านในกัมพชู า………………………………………………………………………………………….. 25
27 ประวัติความเปน็ มาของนาฏศิลป์ไทย………………………………………………………………………. 27
28 มักยองของชาวมาเลย์……………………………………………………………………………………………… 28
29 กดู าเคปัง……………………………………………………………………………………………………………….. 29
30 ซาปนิ …………………………………………………………………………………………………………………….. 29
31 โยเก็ต…………………………………………………………………………………………………….………………. 30
32 บงั กรา…………………………………………………………………………………………………...…………….. 30
33 ระบำไม้ไผ่…………………………………………………………………………………………….……………….. 31



บทที่ 1

บทนำ

1.1 ความหมายของอาเซียน

ประชาคมอาเซียน" เป็น เป้าหมายของการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจ
ต่อรองและขีดความสามารถการแข่งขันของอาเซยี นในเวทีระหว่าง ประเทศในทุกด้าน รวมถงึ ความสามารถใน
การรับมอื กบั ปญั หาใหม่ๆ ในระดบั โลกทสี่ ง่ ผลกระทบมาถงึ ภูมิภาคอาเซยี น เช่น ภาวะโลกรอ้ น การกอ่ การร้าย
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การเป็นประชาคมอาเซียน คือการทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็น “ครอบครัว
เดียวกนั ” ที่มคี วามแข็งแกร่งและมภี ูมติ ้านทานทดี่ ี โดยสมาชิกในครอบครวั มสี ภาพความอยู่ทด่ี ี ปลอดภัย และ
สามารถทำมาค้าขายได้อยา่ งสะดวกมากยิ่งขน้ึ แรงผลกั ดันสำคัญทที่ ำใหผ้ ้นู ำประเทศสมาชิกอาเซียนตกลงกันที่
จัดตั้งประชาคมอาเซียน อันถือเป็นการปรับปรุงตัวครั้งใหญ่และวางรากฐานของการพัฒนาของอาเซียน คือ
สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เปล่ียนแปลงไปทั้งในดา้ นการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ที่ทำให้อาเซียนต้อง
เผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เช่นโรคระบาด อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยพิบัติธรรมชาติ และปัญหาสิ่งแวดล้อม
ภาวะโลกร้อน และความเสี่ยงที่อาเซียนอาจจะไม่สามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจได้กับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะ
จนี และอนิ เดยี ซ่งึ มอี ัตราการขยายตัวทางเศรษฐกจิ อย่างก้าวกระโดดประชาคม อาเซยี นถอื กำเนดิ ขน้ึ อย่างเป็น
ทางการเม่อื เดอื นตุลาคม 2546 จากการท่ผี นู้ ำอาเซียนไดร้ ว่ มลงนามในปฏญิ ญาวา่ ด้วยความรว่ มมืออาเซยี น ที่
เรียกว่า “ข้อตกลงบาหลี 2” เพื่อเห็นชอบให้จัดตั้งประชาคมอาเซียน ภายในปี 2563 แต่ต่อมาได้ตกลงร่น
ระยะเวลาจัดตั้งให้เสร็จในปี 2558 ประชาคมอาเซียน ประกอบด้วย 3 ประชาคมย่อย ซึ่งเปรียบเสมือนสาม
เสาหลกั ซง่ึ เก่ยี วขอ้ งสัมพันธก์ นั ไดแ้ ก่

1) ประชาคมการเมืองและความม่ันคงอาเซยี น มงุ่ ใหป้ ระเทศในภูมภิ าคอย่รู ่วมกันอย่างสันติ มีระบบ
แก้ไขความขัดแย้งระหว่างกันได้ด้วยดี มีเสถียรภาพอย่างรอบด้าน มีกรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัย
คุกคามความม่ันคงทง้ั รูปแบบเดมิ และ รปู แบบใหม่ๆ เพอื่ ให้ประชาชนมคี วามปลอดภยั และม่ันคง

2) ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซียน มุ่ง ให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และการอำนวยความสะดวกใน
การติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทำให้ภูมิภาคมีความเจริญมั่งคั่ง และสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ ได้
เพอ่ื ความอยดู่ ีกินดขี องประชาชนในประเทศอาเซยี น

3) ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เพื่อให้ประชาชนแต่ละประเทศอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้
แนวคิดสงั คมทเ่ี อื้ออาทร มีสวัสดิการทางสังคมทด่ี ี และมีความมนั่ คงทางสงั คม

ใน ตอนน้ี ประเทศสมาชกิ อาเซยี นกำลังอยูร่ ะหว่างการดำเนินการใหบ้ รรลุการเป็นประชาคม อาเซียน
ภายในปีเป้าหมาย 2558 โดยในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในช่วงปลายเดือน
ก.พ.2552 นี้ ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนจะรับรองแผนงานหรือแผนกิจกรรมการจัดตั้งประชาคม การเมือง
และความมน่ั คงอาเซยี น และประชาคมสังคมและวฒั นธรรมอาเซยี น

2

1.2. ความเปน็ มาของอาเซยี น

กำเนิดอาเซยี นและวตั ถุประสงคก์ ารจดั ตง้ั

เมื่อ วันที่ 8สิงหาคม 2510ณ วังสราญรมย์ (ที่ตั้งของกระทรวงการต่างประเทศไทย ในขณะนั้น)
รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงการตา่ งประเทศของ 5ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย
มาเลเซยี ฟิลปิ ปนิ ส์ สิงคโปร์ และไทย ได้ลงนามใน “ปฏิญญากรงุ เทพฯ” (Bangkok Declaration) เพ่ือจัดตั้ง
สมาคมความร่วมมือในระดับภูมิภาคของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ชื่อ “สมาคม
ประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้“ หรือ “อาเซียน” (ASEAN) ซึ่งเป็นตัวย่อของ Association of
SouthEast Asian Nations ชื่อทางการ ในภาษาอังกฤษของอาเซียน ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่การลงนามในปฏิญญา
กรุงเทพฯ รัฐมนตรี-ต่างประเทศของทั้ง 5ประเทศได้หารือกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการจัดตั้งสมาคม
อาเซียนและยก ร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ที่แหลมแท่น จังหวัดชลบุรี สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ (อังกฤษ: Association of South East Asian Nations) หรือ อาเซียน (ASEAN) เป็นองค์การทางภูมิ
รัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ไทย
บรไู น พม่า ฟิลปิ ปนิ ส์ มาเลเซยี ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และอนิ โดนเี ซีย อาเซยี นมพี น้ื ทรี่ าว 4,479,210 ตาราง
กโิ ลเมตร มปี ระชากรราว 625 ล้านคน[10] ในปี พ.ศ. 2553 จดี ีพีของประเทศสมาชิกรวมกันคิดเป็นมูลค่าราว
1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[11] คิดเป็นลำดับที่ 9 ของโลกเรียงตามจีดีพี อาเซียนมีภาษาอังกฤษเป็นภาษา
ทางการ อาเซียนมีจุดเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504 โดยไทย มาเลเซีย
และฟิลิปปินส์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ได้มีการลงนามใน ปฏิญญากรุงเทพฯ อาเซียนได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีรัฐ
สมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การ
พัฒนาสังคม วัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และ
เปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสนั ติ[13] หลงั จาก พ.ศ. 2527 เป็นตน้ มา อาเซียนมี
รฐั สมาชิกเพมิ่ ขน้ึ จนมี 10 ประเทศในปจั จบุ นั กฎบตั รอาเซียนไดม้ ีการลงนามเมือ่ เดือนธนั วาคม พ.ศ. 2551 ซ่ึง
ทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้น เขตการค้าเสรีอาเซียนได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี
พ.ศ. 2553 และกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจะประกอบด้วยสามด้าน คือ ประชาคมอาเซียน
ด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี
พ.ศ. 2558 สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดเริ่มต้นนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504
โดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ได้ร่วมกันจัดตั้ง สมาคมอาสา (ASA, Association of South East
Asia) ขึ้นเพือ่ การร่วมมอื กันทาง เศรษฐกจิ สังคมและวัฒนธรรม แตด่ ำเนินการไดเ้ พียง 2 ปี กต็ ้องหยุดชะงักลง
เนื่องจากความผกผันทางการเมืองระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย จนเมื่อทั้งสองประเทศฟื้นฟูความสัมพันธ์
ระหว่างกัน จึงได้มีการแสวงหาลู่ทางจัดตั้งองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาค "สมาคม
ประชาชาตแิ ห่งเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้" และถนดั คอมันตร์ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงการตา่ งประเทศของไทย
สมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร โดยมีการลงนาม "ปฏิญญากรุงเทพ" ที่พระราชวังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8
สงิ หาคม พ.ศ. 2510ในปี พ.ศ. 2519 ปาปัวนวิ กินไี ดร้ ับสถานะผู้สังเกตการณ์[15] และตลอดชว่ งพุทธทศวรรษ
2510 กลุ่มประเทศสมาชิกได้มีการจัดตั้งโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง หลังจากผลของการ

3

ประชุมท่จี ังหวดั บาหลี ในปี พ.ศ. 2519 แต่ว่าความร่วมมือดังกล่าวไดร้ ับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักในช่วง
พุทธทศวรรษ 2520 ก่อนจะได้รับการฟื้นฟูเมื่อปี พ.ศ. 2534 เนื่องจากไทยเสนอให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรี
ขึ้น ต่อมา บรูไนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเป็นประเทศที่หก เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2527 หลังบรูไนประกาศ
เอกราชเม่ือวันท่ี 1 มกราคม เพยี งสัปดาห์เดียว ภมู ิศาสตร์ ในปัจจุบนั สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออก
เฉยี งใต้ประกอบดว้ ยประเทศสมาชิกจำนวน 10 ประเทศ คิดเปน็ พืน้ ที่ประมาณ 4.5 ลา้ นตารางกโิ ลเมตร และ
มีประชากรประมาณ 560 ล้านคน (ข้อมูลในปี พ.ศ. 2549) [13] ยอดเขาที่สูงสุดในภมู ิภาค คือ ยอดเขาคากา
โบราซีในพม่า ซึ่งมีความสูง 5,881 เมตร และมีอาณาเขตติดต่อกับจีน อินเดีย บังกลาเทศภูมิภาคเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 27-36 °C[17] พืชพรรณธรรมชาติเป็น
ปา่ ฝนเขตร้อน ซึง่ มีขนาดใหญ่เป็นอนั ดบั ท่ีสองของโลก ปา่ ดงดิบ ปา่ เบญจพรรณ ปา่ สน ป่าหาดทรายชายทะเล
ป่าไม้ปลูก มีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง สับปะรด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และ
พรกิ ไทย

1.3. ประเทศสมาชิกอาเซยี น
ประเทศสมาชกิ ในกลุ่มประชาการอาเซียนมีดังนี้

1. บรไู น ดารสุ ซาลาม (Brunei Darussalam)

ภาพท่ี 1 ธงชาติบรูไน
( ทีม่ า : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

บรูไน เป็นประเทศที่ตลาดเปิดแบบเสรี ภายใต้การดูแลของรัฐ รายได้หลักของประเทศ จะมาจาก
น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ และนับเป็นผูผ้ ลิตนำ้ มันรายใหญ่ อันดับที่ 4 ในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้และมีสนิ ค้า
นำเข้าส่วนใหญ่จากสิงคโปร์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา โดยเป็นสินค้าประเภท เครื่องจักรอุตสาหกรรม รถยนต์
เครื่องมอื เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ตา่ งๆ และสนิ คา้ เกษตร
เมืองหลวง : บันดาร์ เสรี เบกาวัน
ภาษา : ภาษามาเลย์ เปน็ ภาษาราชการ รองลงมาเป็นอังกฤษและจีน
ประชากร : ประกอบด้วย มาเลย์ 66%, จนี 11%,อ่ืนๆ 23%
นบั ถอื ศาสนา : อิสลาม 67%, พธุ 13%, คริสต์ 10%
ระบบการปกครอง : ระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์

4

2. กัมพชู า (Cambodia)

ภาพท่ี 2 ธงชาติกัมพชู า
( ท่ีมา : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

กัมพูชา เป็นประเทศที่เกิดสงครามภายในมายาวนาน และมีการยุติลงในปี 2534 จึงค่อยๆ มีการ
พัฒนาประเทศ โดยกัมพูชากำหนดนโยบายมุ่งการพัฒนาทางการเกษตร การท่องเที่ยว และมีการส่งเสริมการ
ลงทนุ จากต่างชาติ
เมืองหลวง : กรุงพนมเปญ
ภาษา : ภาษาเขมร เปน็ ภาษาราชการ รองลงมาเปน็ อังกฤษ, ฝรงั่ เศส, เวียดนามและจนี
ประชากร : ประกอบดว้ ย ชาวเขมร 94%, จีน 4%,อ่ืนๆ 2%
นับถือศาสนา : พุทธ(เถรวาท) เป็นหลัก
ระบบการปกครอง : ประชาธปิ ไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตรยิ ์เปน็ ประมขุ ภายใต้รฐั ธรรมนูญ
3. อินโดนีเซยี (Indonesia)

ภาพที่ 3 ธงชาติอินโดนเี ซีย
( ท่มี า : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

ประเทศอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ประกอบไปด้วยภาคการผลิต ที่สำคัญ 4 ส่วน ได้แก่ ภาคบริการ
ภาคหตั ถอตุ สาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และเหมอื งแรน่ อกจากน้ียงั เปน็ ประเทศท่ีมีแหล่งทรัพยากรรธรรมชาติ
ทมี่ ีค่าทางเศรษฐกจิ สมบูรณ์ เชน่ น้ำมนั กา๊ ซธรรมชาติ ถา่ นหิน ดบี กุ ทองแดง แร่เหล็ก เปน็ ต้น
เมอื งหลวง : จาการต์ า
ภาษา : ภาษาอนิ โดนีเซยี เปน็ ภาษาราชการ
ประชากร : ประกอบดว้ ย ชนพ้นื เมืองหลายกลุ่ม มภี าษามากกวา่ 583 ภาษา รอ้ ยละ 61 อาศยั อยบู่ นเกาะชวา
นบั ถือศาสนา : อสิ ลาม 87%, คริสต์ 10%

5

ระบบการปกครอง : ประชาธิปไตยที่มปี ระธานาธิปดีเปน็ ประมขุ และหวั หน้าฝา่ ยบริหาร
4. ลาว (Laos)

ภาพที่ 4 ธงชาติลาว
( ท่ีมา : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

ประเทศลาว มีแนวโนม้ การเติบโตทางเศรษฐกิจอยา่ งต่อเนอ่ื ง โดยมกี ารเติบโตจากประเทศคู่ค้าสำคัญ
อยา่ ง ลาว จีน ไทย เวียดนาม ดว้ ยภาคผลติ การเกษตร ป่าไม้
เมืองหลวง : นครหลวงเวยี งจนั ทร์
ภาษา : ภาษาลาว เป็นภาษาราชการ
ประชากร : ประกอบดว้ ย ชาวลาวลุ่ม 68%, ลาวเทิง 22%, ลาวสูง 9% รวมประมาณ 68 ชนเผา่
นับถอื ศาสนา : 75% นับถือพุทธ, นับถือผี 16%
ระบบการปกครอง : สังคมนิยมคอมมวิ นสิ ต์ (ทางการลาวใช้คำว่า ระบบประชาธปิ ไตยประชาชน)
5. มาเลเซยี (Malaysia)

ภาพท่ี 5 ธงชาติมาเลเซีย

( ทมี่ า : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

มาเลเซีย เป็นอีกประเทศที่พึ่งพาเหมืองแร่ และการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา
ไม้ซุง และดีบุก และมีรายไดห้ ลักมาจากการผลิตสินค้าและบรกิ ารโดยเฉพาะยางพารา และปาล์มน้ำมัน มีการ
พัฒนามากข้นึ ทำให้ภายในประเทศมีการจา้ งงานเพ่มิ ข้ึน

เมอื งหลวง : กรงุ กวั ลาลมั เปอร์

ภาษา : ภาษามาเลย์ เป็นภาษาราชการ รองลงมาเปน็ องั กฤษและจนี

ประชากร : ประกอบด้วย มาเลย์ 40%, จนี 33%, อนิ เดยี 10%, ชนพืน้ เมอื งเกาะบอร์เนียว 10%

6

นบั ถือศาสนา : อิสลาม 60%, พธุ 19%, คริสต์ 11%
ระบบการปกครอง : ประชาธปิ ไตยในระบบรฐั สภา
6. พมา่ (Myanmar)

ภาพที่ 6 ธงชาติพม่า

( ทีม่ า : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

อาชีพหลักของ ประชาชนในประเทศ จะเป็นการเกษตรกร เช่น การปลูกข้าวเจ้า อ้อย และพืชเมือง
ร้อน การทำเหมืองแร่ การทำป่าไม้ อุตสาหกรรม พม่าเป็นประเทศกำลังพัฒนา และมีรายได้เฉลีย่ ต่อบุคคลใน
เกณฑ์ต่ำ

เมืองหลวง : เนปดี อ (Naypyidaw)

ภาษา : ภาษาพมา่ เปน็ ภาษาราชการ

ประชากร : ประกอบด้วยเผ่าพันธุ์ 135 มี 8 เชื้อชาติหลักๆ 8 กลุ่ม คือ พม่า 68%, ไทยใหญ่ 8%, กระเหรี่ยง
7%, ยะไข่ 4% จีน 3% มอญ 2% อินเดีย 2%

นบั ถือศาสนา : นบั ถอื พุทธ 90%, คริสต์ 5% อิสลาม 3.8%

ระบบการปกครอง : เผดจ็ การทางทหาร ปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต้สภาสนั ตภิ าพและการพัฒนาแห่งรฐั

7. ฟลิ ิปปินส์ (Philippines)

ภาพที่ 7 ธงชาติฟลิ ิปปินส์

( ทม่ี า : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

ปัญหาความยากจน เป็นปัญหาที่มีมายาวนาน และมีการกระจายรายได้โดยไม่เท่าเทียมกัน และยัง
ประสบปัญหาราคาน้ำมันแพง ฟิลิปินส์ มีสินค้านำเข้า ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน เหล็ก ชิ้นส่วนประกอบ
รถยนต์

เมืองหลวง : กรงุ มะนลิ า

7

ภาษา : ภาษาฟิลิปิโน และภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการ รองลงมาเป็น สเปน, จีนฮกเกี้ยน, จีนแต้จ๋ิว
ฟิลปิ ปินส์ มีภาษาประจำชาติคอื ภาษาตากาลอ็ ก
ประชากร : ประกอบดว้ ย มาเลย์ 40%, จีน33%, อนิ เดีย 10%, ชนพื้นเมอื งเกาะบอรเ์ นยี ว 10%
นับถอื ศาสนา : ครสิ ตโ์ รมนั คาทอลกิ 83% คริสตน์ ิกายโปรเตสแตนต์, อิสลาม 5%
ระบบการปกครอง : ประชาธปิ ไตยแบบประธานาธปิ ดเี ปน็ ประมขุ และหวั หนา้ ฝ่ายบรหิ าร
8. สงิ คโปร์ (Singapore)

ภาพท่ี 8 ธงชาติสิงคโปร์
( ทมี่ า : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

สงิ คโปร์เปน็ ประเทศทป่ี ระสบความสำเรจ็ จากการเปิดเสรีทางการค้า และมรี ายได้ประชาชาติต่อหัวสูง
เท่ากบั กลุ่มประเทศในยุโรป
เมืองหลวง : สิงคโปร์
ภาษา : ภาษามาเลย์ เป็นภาษาราชการ รองลงมาคอื จนี กลาง สง่ เสรมิ ใหพ้ ูดได้ 2 ภาษาคอื จนี กลาง และให้ใช้
อังกฤษ เพือ่ ตดิ ต่องานและชีวติ ประจำวัน
ประชากร : ประกอบด้วยชาวจนี 76.5%, มาเลย์ 13.8%, อนิ เดยี 8.1%
นับถือศาสนา : พุทธ 42.5%, อิสลาม 14.9%, คริสต์ 14.5%, ฮนิ ดู 4%, ไมน่ ับถอื ศาสนา 25%
ระบบการปกครอง : สาธารณรัฐ (ประชาธปิ ไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดยี ว) โดยมปี ระธานาธปิ ดีเป็นประมุข และ
นายกรัฐมนตรเี ปน็ หัวหน้าฝ่ายบริหาร
9. เวียดนาม (Vietnam)

ภาพที่ 9 ธงชาติเวยี ดนาม
( ทีม่ า : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

8

สนิ คา้ สง่ ออกทส่ี ำคญั ของเวียดนาม จะเป็นประเภทสิง่ ทอ เสอ้ื ผา้ สำเร็จรูป และยังเป็นประเทศที่ดึงดูด
นักลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะว่า มีประชากรจำนวนมาก และค่าจ้างแรงงานต่ำ อีกทั้งชาวเวียดนาม ยังมี
อุปนสิ ยั ขยันอกี ดว้ ย
เมอื งหลวง : กรงุ ฮานอย
ภาษา : ภาษาเวยี ดนาม เปน็ ภาษาราชการ
ประชากร : ประกอบดว้ ยชาวเวยี ดนาม 80%, เขมร 10%
นบั ถือศาสนา : พุทธนิกายมหายาน 70%, ครสิ ต์ 15%
ระบบการปกครอง : ระบบสงั คมนิยม โดยพรรคคอมมวิ นิสต์เป็นพรรคการเมืองเดียว
10. ประเทศไทย (Thailand)

ภาพที่ 10 ธงชาติไทย
( ท่ีมา : http://www.nakhonnayok.go.th/ppisnayok/asean.htm )

ประเทศไทย มีสินค้าส่งออกได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนประกอบรถยนต์
แผงวรจรไฟฟ้า ยางพารา เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ และผลิตภัณฑ์เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ รวม
ไปถงึ ส่วนประกอบ นอกจากนีย้ งั นำเขา้ น้ำมันดบิ รถยนต์ เงินแทง่ และทองคำ
เมืองหลวง : กรงุ เทพมหานคร
ภาษา : ภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
ประชากร : ประกอบด้วยชาวไทยเปน็ ส่วนใหญ่
นบั ถอื ศาสนา : พทุ ธนกิ ายเถรวาท 95%, อสิ ลาม 4%
ระบบการปกครอง : ระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมพี ระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมขุ

9

บทที่2
นาฏศิลป์ในอาเซยี น

2..1. รูปแบบการแสดงนาฏศิลป์

นาฏศิลป์ เป็นศิลป์วฒั นธรรมท่แี สดงถึงความเป็นไทย ทีม่ มี าตง้ั แต่ชา้ นาน และได้รับอิทธิพลแบบแผน
ตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสาน และนำมาปรับปรุงเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย การแสดง
นาฏศิลป์ไทยเป็นการแสดงที่มีความวิจิตรงดงาม ทั้งเสื้อผ้าการแต่งกายลีลาท่ารำดนตรีประกอบและบทร้อง
นอกจากนีก้ ารแสดงนาฏศิลปไ์ ทยยงั เกิดจากการละเลน่ พ้ืนบ้าน วิถีชวี ิตของชาวไทยในแต่ละภมู ภิ าค

นาฏศิลป์ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นส่ิงที่บ่งบอกถึงความเป็นชาติไทย นักเรียนนาฏศิลป์ทุกคน
ต้องอดทน และต้องมีความพยายามในการฝึกซอ้ มเพราะตัวละครในการแสดงนาฏศิลป์ไทยประเภทโขนนั้น มี
ต่างชนิดกัน จึงต้องอาศัยทักษะ การฝึกฝนเพื่อความชำนาญไว้ใช้ในการแสดงและเพื่อที่จะได้รักษาศิลปะ
ประจำชาตไิ ทย

ปัจจุบันได้มีวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้เด็กสมัยใหม่นี้อาจจะไม่ค่อยรู้จักการแสดง
นาฏศิลป์ อย่างโขน ละครรำ เป็นต้น ดังนั้นกระทู้น้ีจงึ มุ่งให้ผูค้ นรูถ้ ึง ความรู้เบ้ืองตน้ ของนาฏศิลปไ์ ทย เพื่อให้
คนรนุ่ หลงั ได้สืบทอด ได้ตระหนักถึงคุณคา่ ความสำคัญของนาฏศลิ ป์ไทยและรักษาให้คงอยู่ต่อไป

นาฏศิลป์ หมายถึง ศิลปะการฟ้อนรำ หรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วย
ความประณีตงดงาม ให้ความบนั เทิง อนั โนม้ น้าวอารมณ์และความรู้สกึ ของผู้ชมให้คล้อยตาม ศลิ ปะประเภทน้ี
ต้องอาศัยการบรรเลงดนตรี และการขับร้องเข้าร่วมด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดคุณค่ายิ่งขึ้น หรือเรียกว่า ศิลปะ
ของการรอ้ งรำทำเพลง

การศึกษานาฏศิลป์ เป็นการศึกษาวัฒนธรรมแขนงหนึ่ง นาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะสาขาวิจิตร
ศิลป์ อันประกอบด้วย จิตรกรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดี ดนตรี และนาฏศิลป์นอกจากจะแสดงความเป็น
อารยะของประเทศแลว้ ยงั เป็นเสมอื นแหล่งรวมศลิ ปะและการแสดงหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน โดยมีมนุษย์เป็น
ศูนย์กลาง ในการที่จะสร้างสรรค์ อนุรักษ์ และถ่ายทอดสืบต่อไป โดยนาฏศิลป์ที่เกิดจากการเลียนแบบ
ธรรมชาติ แบ่งเปน็ ๓ ขนั้ คือ

ขั้นต้น เกิดแต่วิสัยสัตว์ เมื่อเวทนาเสวยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาก็ตาม ถ้า
อารมณ์แรงกล้าไม่กลั้นไว้ได้ ก็แสดงออกมาให้เห็นปรากฏ เช่น เด็กทารกเมื่อพอใจ ก็หัวเราะตบมือ กระโดด
โลดเต้น เมอ่ื ไม่พอใจก็รอ้ งไห้ ดิน้ รน

ขั้นต่อมา เมือ่ คนรคู้ วามหมายของกิริยาท่าทางมากขึน้ กใ็ ชก้ ริ ิยาเหลา่ นนั้ เป็นภาษาสื่อความหมาย ให้
ผู้อื่นรูค้ วามรู้สกึ และความประสงค์ เช่น ต้องการแสดงความเสนห่ าก็ยิ้มแยม้ กรุ้มกริ่มชม้อยชม้ายชายตา หรือ
โกรธเคืองก็ทำหน้าตาถมงึ ทึง กระทบื กระแทก

10

ต่อมาอีกขั้นหนึ่ง มีผู้ฉลาดเลือกเอากิริยาท่าทาง ซึ่งแสดงอารมณ์ต่างๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้อง
ติดต่อกนั เปน็ ขบวนฟ้อนรำให้เห็นงาม จนเปน็ ที่ต้องตาตดิ ใจคน

2..2. ความแตกต่างของนาฏศลิ ปใ์ นอาเซียน

ประเทศในแถบเอเชียต่างมีศิลปะการแสดงเป็นเครื่องบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
ศลิ ปะการแสดงทโี่ ดดเด่นในแถบนไ้ี ด้แก่ ประเทศอนิ เดีย พมา่ ไทย กมั พูชา อนิ โดนเี ซีย เวียดนาม จีน ญ่ีปนุ่

พม่า ศิลปะการแสดงของพม่าแต่เดิมได้รับอิทธิพลจากอินเดียจึงมีลีลาท่าทางคล้ายคลึงกับของ
นาฏศลิ ปอ์ ินเดีย ต่อมาเมือ่ พมา่ รบชนะไทยในสมัยอยธุ ยาได้กวาดต้อนเชลยไทยไปพมา่ อิทธิพลของนาฏศิลป์
ไทยจึงมีบทบาท ต่อการแสดงของพม่า พม่าได้นำเอาลีลานาฏศิลป์ไทยผสมผสานกับลีลาแบบอินเดียทำให้
รปู แบบการแสดงมีลลี าแบบ “ละครแซท” (ZAT) ในปจั จุบนั การแสดงทเ่ี ปน็ เอกลักษณข์ องพมา่ คือการเชิดหุ่น
สาย หนุ่ ของพม่ามีเชือกชักเชิดที่โยงสว่ นต่าง ๆ ของหุน่ แลว้ โยงขนึ้ ไปรวมกนั ด้านบนของตัวหุ่น ผู้เชิดทำหน้าท่ี
เชิด รอ้ ง พากย์ เจรจาประกอบ เชิดใหห้ ุ่นเคล่ือนไหวตามธรรมชาติ และทา่ ร่ายรำแบบนาฏศลิ ป์พมา่

กัมพูชา กัมพูชาได้รับอิทธิพลจากอินเดียเช่นเดียวกับพม่า ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์จึงได้รับอิทธิพล
นาฏศิลป์ไทยไป แต่เดิมมีลีลาตามแบบไทยทุกอย่างแม้กระทั่งการแต่งกายและเครื่องประดับ ต่อมาในสมัย
พระราชินีโกสุม จึงมีการปรับท่าทางให้ต่างออกไป ทำให้มีลีลาอย่างในปัจจุบัน กัมพูชามีการแสดงโขน หนัง
ใหญ่ ซึ่งมรี ปู แบบการแสดงท่คี ลา้ ยคลงึ กับไทย

อินโดนีเซีย ศิลปะการแสดงของอินโดนีเซียมีลีลาแบบอินเดียอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะนาฏศิลป์
บาหลี นอกจากลีลาการแสดงที่คล้ายคลึงกับอินเดีย อินโดนีเซียนิยมแสดงการเชิดหุ่นซึ่งเรียกว่า “วายัง”
โดยเฉพาะวายังกุลิตที่เชื่อว่าหนังตะลุงทางภาคใต้ของไทยได้รับอิทธิพลมา นาฏศิลป์บาหลีของอินโดนีเซียมี
ลีลาตลอดจนการแต่งกายที่เร้าใจตามท่วงทำนองและเสียงเครื่องดนตรีซึ่งเรียกว่า “วงกาเมลัน” ทำให้
กลายเป็นเอกลกั ษณ์ทโ่ี ดดเด่นของอนิ โดนเี ซยี

เวียดนาม ศิลปะการแสดงของเวียดนามโดยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากจนี การแสดงทีเ่ ด่นคือการเชิด
หุ่นน้ำที่มีกำเนิดในประเทศจีนเวียดนามรับมาและนิยมนำมาเล่นเป็นเวลายาวนานทำให้ปัจจุบันการแสดงหุน่
น้ำกลายเปน็ ศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเวียดนาม การเชิดหุ่นนำ้ ใช้ผวิ น้ำเป็นพื้นเวที หุ่นเคล่ือนไหว
ตามทำนองดนตรี จังหวะของกลอง ฉาบ และมีการขบั รอ้ งเล่าเรื่อง มีการพากย์-เจรจาประกอบการแสดง นยิ ม
แสดงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวเวียดนาม จึงให้ชื่อชุดการแสดงว่า “วิญญาณแห่งท้องทุ่ง” การ
แสดงสะท้อนความเชื่อ ค่านิยม ขนบประเพณี วัฒนธรรม พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับผืนน้ำ การประกอบอาชี พ
เกษตรกรรม การแสดงหุ่นนำ้ จึงเป็นการนำเอาศลิ ปะการแสดงบอกเล่าวิถชี วี ิตของชาวเวียดนามได้ชัดเจน

บรไู น คอื อาลุส ญูวา ดินดงั (Alus Jua Dendang) คอื การแสดงฟ้อนรำของชาวบรูไน เป็นประเพณีท่ี
สบื ตอ่ กนั มาจากสมยั โบราณ มกั มแี สดงในงานแต่งาน มนี ักเต้นทงั้ ผู้ชายและผ้หู ญิง ทำการฟอ้ นรำและร้องเพลง
ประกอบ

11

มาเลเซีย เช่น เก็ต (Joget) เป็นระบำมาเลย์แบบดั้งเดิมซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่มะละกา ได้รับอิทธิพลมา
จากระบำโปรตุเกสที่แพร่เข้ามายังมะละกาในยุคของการค้าขายเครื่องเทศ เป็นหนึ่งในระบำพื้นเมืองที่ได้รับ
ความนิยมมากที่สุดของประเทศมาเลเซีย โดยปกติแล้วแสดงโดยคู่นักเต้นระบำชาย-หญิงในชว่ งเทศกาลต่างๆ
ตามประเพณี งานแต่งงาน และงานพิธีต่างๆ ทางสังคม จังหวะของดนตรีโยเก็ตจะค่อนข้างเร็วในระหว่างที่คู่
เต้นหยอกล้อเล่นกัน ดนตรีเน้นจังหวะหนักแบบกลุ่ม 2 จังหวะ และแบบกลุ่ม 3 จังหวะ ขับร้องด้วยสำเนียง
มาเลเซียตะวนั ออกเฉียงเหนือ

สิงคโปร์ เช่น บังสาวัน (ฺBangsawan) เป็นการแสดงละครร้องเหมือนกับการแสดงโอเปร่าของทาง
ยุโรปเป็นการแสดงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสิงคโปร์โดยมีการแสดงประกอบกับการร้องบทละคร
ออกมาเป็นเพลงด้วยตัวของนักแสดงเอง พร้อมกับการเต้นประกอบดนตรี ในท่าทางและอารมณ์ต่างๆตาม
บทบาทที่ได้รับ สร้างความสนุกสนานให้ผู้ชมเป็นอบ่าฃมาก โดยการแต่งกายจะมีการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสัน
สดใสทไ่ี ดร้ ับอทิ ธมิ ากจากประเทศเพ่ือนบา้ นอยา่ งมาเลเซีย

ลาว เช่น ลำลาว(Lam Lao)หรือหมอลำ(Mor Lam) หมอลำเป็นการแสดงดนตรีพื้นบ้านของลาว มี
นักร้องหรือผู้เล่าเรื่องและแคนเป็นองค์ประกอบ เป็นการโต้ตอบกันผ่านโคลงกลอน หรือการร้องที่มีสัมผัส
คล้องจองระหว่างนักร้องชายและหญิง การแสดงดำเนินไปด้วยท่ารำที่หลากหลายมุกตลกต่างๆ อันเกิดจาก
ปฏิภาณไหวพริบของผู้ร้อง และการหยอกเย้ากันระหว่างผู้แสดงและผู้ชม การแสดงแบบเดียวกันนี้ในภาค
ตะวันออกเฉยี งเหนือของไทยเรยี กหมอลำ แตใ่ นลาว คำวา่ หมอลำจะเนน้ ท่ีตวั ผูข้ ับร้อง

ฟลิ ปิ ปนิ ส์ คือ ตนิ คิ ลิง่ (Tinikling) เปน็ หนง่ึ ในการเต้นรำด้ังเดมิ ของฟิลิปปนิ สท์ ี่เป็นที่นยิ มและรู้จักมาก
ท่ีสดุ ใชล้ ำไมไ้ ผใ่ นการแสดง การเต้นประกอบดว้ ยจงั หวะการเต้นแบบก้าวกระโดด 5 จังหวะ ในชว่ ง 4 จังหวะ
แรกคู่เต้นรำจะยืนตรงข้ามกนั ในช่วงจังหวะสุดท้ายท้ังคูจ่ ะเริม่ เต้นรำอยู่ข้างเดียวกันระหวา่ งลำไม้ไผ่ 2 ลำ ซ่ึง
ลำไม้ไผ่นี้ใชเ้ ป็นเคร่ืองเคาะจงั หวะดว้ ย โดยผจู้ บั ไมเ้ คาะลำไม้กระทบกับพ้ืน และเคาะลำไม้กระทบกนั ในอัตรา
จังหวะทเี่ รว็ ขนึ้

ไทย คอื โขน โขนเปน็ นาฏศลิ ป์ชั้นสงู ทเี่ ก่าแก่ของไทย มีมาตั้งแต่ สมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา ตามหลักฐานจาก
จดหมายเหตขุ อง ลาลูแบร์ ราชทตู ฝรัง่ เศสสมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช ได้กลา่ วถงึ การเลน่ โขนว่า เปน็ การ
เต้นออกท่าทางเขา้ กบั เสียงซอและเครื่องดนตรอี ่นื ๆ ผเู้ ต้นสวมหน้ากากและ ถืออาวุธ

โขนพัฒนามาจากศิลปะการแสดงหลายแขนงดว้ ยกัน คอื นำวิธเี ล่นและวธิ แี ต่งตัวบางอย่างมาจากการ
เล่นชักนาค ดึกดำบรรพ์ นำท่าต่อสู้โลดโผน ท่ารำท่าเต้นมาจาก กระบี่กระบอง และนำศิลปะการพากย์ การ
เจรจา เพลงและ เครื่องดนตรที ี่ใชป้ ระกอบกิริยาอาการของผูแ้ สดงที่เรียกวา่ เพลงหน้าพาทยม์ าจากการแสดง
หนงั ใหญ่ ลกั ษณะสำคญั ของโขนอยู่ทผ่ี ้แู สดงต้องสวมหัวโขนหมดทุกตวั ยกเว้น ตวั พระ ตัวนาง และตัวเทวดา
มตี น้ เสยี งและลูกคู่รอ้ งบท ให้ มีคนพากยแ์ ละเจรจา แสดงเรือ่ งรามเกยี รติ์แตเ่ พยี ง เรื่องเดียว

การแสดงประเทศอินเดีย ศิลปะการแสดงในแถบเอเชีย เน้นกระบวนการเคลื่อนไหวที่เป็นการร่ายรำ
ตามทว่ งทำนองเพลงและการขับร้อง จงึ ตอ้ งมีดนตรี การขบั ร้องประกอบจึงมคี วามสมบูรณ์ แต่ละประเทศต่าง
เคล่อื นไหวตามการสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ทำให้ศลิ ปะการแสดงบง่ บอกความเป็นตวั ตนของแต่
ละชาติ

12

2.3. องค์ประกอบในการแสดงนาฏศลิ ป์

องค์ประกอบของนาฏศิลป์

นาฏศลิ ป์จะหมายรวมไปถึงการรอ้ งรำทำเพลงดงั นน้ั องคป์ ระกอบของนาฏศิลปจ์ ะประกอบไปด้วยการ
ร้องการบรรเลง ดนตรีและการฟ้อนรำ ทั้งนี้เพราะการแสดงออกทางนาฏศิลป์ไทยจะตอ้ งอาศัยบทร้องทำนอง
เพลงประกอบการแสดง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมาเป็นนาฏศิลป์ไทยได้จะต้องประกอบไปด้วยองค์ประก อบ
สำคญั ๆดังต่อไปนี้

1) การฟอ้ นรำหรอื ลลี าทา่ รำ

การฟ้อนรำหรือลีลาท่ารำ เป็นท่าทางของการเยื้องกรายฟ้อนรำที่สวยงาม โดยมีมนุษย์เป็นผู้
ประดษิ ฐท์ า่ รำเหล่านั้นได้ถูกต้องตามแบบแผนรวมทง้ั บทบาทและลักษณะของตวั ละคร ประเภทของการแสดง
และการสอ่ื ความหมายทีช่ ัดเจน

2) จังหวะ

จังหวะ เป็นส่วนย่อยของบทเพลงที่ดำเนินไปเป็นระยะและสม่ำเสมอ การฝึกหัดนาฏศิลป์ไทย
จำเป็นต้องใช้จังหวะเป็นพื้นฐานในการฝึกหัด เพราะ จังหวะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติและมีอยู่ในตัว
มนุษย์ทุกคนหากผู้เรียนมีทักษะทางการฟังจังหวะแล้ว ก็สามารถรำได้สวยงามแต่ถ้าผู้เรียนไม่เข้าใจจังหวะ ก็
จะทำใหร้ ำไม่ถกู จงั หวะหรอื เรยี กวา่ “บอดจังหวะ” ทำใหก้ ารรำก็จะไมส่ วยงามและถกู ต้อง

3) เนื้อรอ้ งและทำนองเพลง

เนื้อร้องและทำนองเพลง การแสดงลีลาท่ารำแต่ละครั้งจะต้องสอดคล้องตามเนื้อร้อง และ
ทำนองเพลง ทั้งนี้เพื่อบอกความหมายของท่ารำ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกในการแสดงได้ตามเนื้อเรื่อง
ตลอดจนสามารถสื่อความหมายให้กับผู้ชมเข้าใจตรงกันได้ เช่น การแสดงอารมณ์รัก ผู้รำจะประสานมือทาบ
ไวท้ ่หี น้าอก ใบหนา้ ย้มิ ละไม สายตามองไปยังตัวละครทรี่ ำคู่กนั เป็นตน้

4) การแตง่ กาย

การแต่งกาย ในการแสดงนาฏศิลป์ สามารถบ่งบอกถึงยศ ฐานะและบรรดาศักดิ์ ของผู้แสดง
ละครนั้นๆ โดยเฉพาะการแสดงโขน การแต่งกายจะเปรียบเสมือนแทนสีกายของตัวละคร เช่น เมื่อแสดงเป็น
หนมุ านจะตอ้ งแต่งกายดว้ ยชุดสีขาว มีลายปักเปน็ ลายทักษิณาวตั ร สวมหวั ขนลิงสีขาวปากอ้าเปน็ ตน้

5) การแตง่ หน้า

การแต่งหน้า เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ผู้แสดงสวยงาม และอำพรางข้อบกพร่อง ของ
ใบหนา้ ของผแู้ สดงได้ นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้วธิ ีการแต่งหน้าเพ่ือบอกวยั บอกลกั ษณะเฉพาะของตัวละครได้
เช่น แต่งหน้าคนหนุ่มให้เป็นคนแก่ แต่งหนา้ ให้ผแู้ สดงเป็นตวั ตลก เปน็ ต้น

13

6) เครอื่ งดนตรีทีบ่ รรเลงประกอบการแสดง

การแสดงนาฏศิลป์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการแสดง ดังนั้นผู้
แสดงจะต้องรำให้สอดคล้องตามเนื้อร้อง และทำนองเพลงในขณะเดียวกัน ดนตรีก็เป็นองค์ประกอบหลักท่ี
สำคัญในการช่วยเสริมให้การแสดงสมบูรณ์ และสามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วย
เสริมสรา้ งบรรยากาศในการแสดงให้สมจรงิ ย่งิ ขน้ึ ดว้ ย

7) อปุ กรณ์การแสดงละคร

การแสดงนาฏศิลป์ไทยบางชุด ต้องมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงละครด้วยเช่น ระบำพัด ระบำ
นกเขา ฟ้อนเทียน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนร่ม เป็นต้น อุปกรณ์แต่ละชนิดที่ใช้ประกอบการแสดงจะต้องสมบูรณ์
สวยงาม และสวมใส่ได้พอดี หากเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ประกอบการแสดง เช่น ร่ม ผู้แสดงจะต้องมีทักษะใน
การใชอ้ ปุ กรณไ์ ด้อยา่ งคลอ่ งแคล่ว วางอยู่ในระดบั ทถ่ี กู ต้องสวยงาม

14

15

บทที่3
นาฏศิลป์ในอาเซยี น
3.1.นาฏศลิ ปเ์ มียนมา(พมา่ )
การแสดงของชาวพม่า จะแสดงในงานพิธีการต่างๆ เกี่ยวกับศาสนา และประเพณี นาฎศิลป์ที่เก่าแก่
พมา่ ได้แก่ ระบำบวงสวรงเทพเจา้ และสงิ่ ศกั ดิ์สิทธ์ิ สว่ นการแสดงประเภทโขน ละคร ปรากฏในสมัยพระเจ้ามัง
ระ เมื่อไทยเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า นาฏศิลป์ไทยได้ถูกกวาดต้อนไปด้วย พระเจ้ามังระโปรดให้สอนโขน
และละครไทยในพม่า เล่นเรื่องรามเกียรติ์และอิเหนา พม่าเรียกว่า อินทรวงศ์ เป็นละครในราชสำนัก
นอกจากนี้ยังมีการเล่นละครนอกเรื่องสังข์ทองและสังข์ศิลป์ชัย พระเจ้ามังระโปรดมากทรงให้รวมพวกละคร
และปพี่ าทยไ์ วใ้ นราชสำนักและพระราชทานบ้านเรือนให้เรียกวา่ “ตำบลโยธาราช” และพวกละครไทยท่ีแสดง
เรยี กว่า “โยธยาสตั คย”ี

ภาพที่ 11 การแสดงของชาวพม่า
( ที่มา :

https://image.makewebeasy.net/makeweb/0/5nWs4txpI/attachfile/product_other_20130617_1530153.jpg )

16

ภาพที่ 12 การแต่งกายในการแสดงของประเทศพม่า
( ที่มา : https://encrypted-

tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTRRwuZ08hP0jdw3Csl2xnkaIsG710LzS3NSZOVvdfcVUdC0T3Z6jkT8p
kj5O1PmkRUPSY&usqp=CAU )

การแต่งกาย ชายใส่เส้ือแขนยาว นุ่งโสรง่ หรือกางเกงคลมุ เข่า ประดบั ด้วยเลื่อม ดนิ้ คล้ายของไทย
สว่ นหญงิ ใส่เสอ้ื รดั อก สวมเส้อื แขนยาวไม่มีกระดุม เปิดให้เหน็ เส้อื ตวั ใน ชายเสือ้ โค้งงอน นุง่ ผา้ ถุงกรอมเท้า
เกลา้ มวยสงู ปลอ่ ยชายผมยาวมาด้านขวา ถา้ เปน็ ตัวเอกจะสวมเครื่องประดับศีรษะ

3.2.นาฏศลิ ป์ลาว
นาฏศิลป์ในประเทศลาว (ลาว: ນາດຕະກັ ມລາວ; "นาฏกรรมลาว") เป็นนาฏศิลป์ที่เป็น

เอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวซึ่งพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยด้วย และการแส ดงพื้นบ้านของ
กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ มีทั้งนาฏศิลป์ในราชสำนัก และนาฏศิลป์พื้นบ้าน เช่น หมอลำ หนังตะลุง หลวงพระบาง
และเวียงจันทน์เป็นแหล่งของนาฏศิลป์แบบดั้งเดิมในราชสำนัก และนาฏศิลป์ที่ได้รับอิทธิพลจากราชสำนัก
สยาม

17

ภาพที่ 13 หัวโขนสำหรับแสดงเรอ่ื งพระลักพระลาม
( ทีม่ า :

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/f1/Lao_New_Year%2C_dancers.jpg/1920px-
Lao_New_Year%2C_dancers.jpg )

นาฏศลิ ปด์ ้ังเดมิ ในลาว
เป็นนาฏศิลป์ที่พัฒนาขึ้นในราชสำนักล้านช้างซึ่งคล้ายกับที่พบในราชสำนักสยาม ส่วนใหญ่

แสดงเรื่องพระลักษมณ์พระราม (รามเกียรติ์หรือรามายณะฉบับลาว) หรือจากนิทานชาดก รวมทั้ง
วรรณคดีท้องถิน่ เชน่ สินไซ (สงั ขศ์ ลิ ปช์ ัย) การแสดงแบบนีม้ สี องประเภทคือโขนและละคร โขนเปน็ การ
แสดงเรือ่ งพระลักษมณ์พระราม ใช้ตวั แสดงชายหญงิ [2] ละครเป็นการแสดงทส่ี ว่ นใหญ่ใช้ผู้หญิง ส่วน
หนงั ตะลงุ เป็นการแสดงทค่ี ลา้ ยวายงั ของชาวมลายู และเล่นเรอื่ งราวทหี่ ลากหลายกว่าโขนและละคร
ลำลาว

ลำลาวหรอื หมอลำเป็นการแสดงดนตรีพ้นื บา้ นของลาว โดยนกั รอ้ งเปน็ ผ้เู ล่าเรอื่ ง ใชแ้ คนเป็น
เครื่องดนตรีหลัก แต่ก็ใช้เครื่องดนตรีอื่นประกอบได้ การแสดงแบบเดียวกันนี้ในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเรยี กหมอลำ แต่ในลาว คำวา่ หมอลำจะเน้นที่ตัวผู้ขบั ร้อง

18

ภาพท่ี 14 หมอลำและหมอแคนขณะแสดงในประเทศฝรงั่ เศส
( ที่มา : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/b3/Lao_morlam_musiciens.jpg )

ฟ้อนรำพ้นื เมอื ง
ฟ้อนรำพื้นเมืองเป็นการฟ้อนรำท่ีมีความหลากหลาย โดยที่มีช่ือเสียงท่ีสุดคือลำตังหวายและ

ลำสาละวันทางภาคใตข้ องลาว[3] ฟอ้ นรำพ้ืนเมืองท่เี ปน็ ทนี่ ยิ มคอื รำวง ซึ่งเปน็ การแสดงประจำชาติของลาวท่ีมี
ลักษณะรว่ มกับรำวงในไทยและกมั พูชา นิยมเล่นในงานฉลองรื่นเริงตา่ งๆ
3.3.นาฏศลิ ป์บรไู น

การแสดงของบรูไนมีมากมาย ทั้งในสว่ นท่ีเป็นของชาวมลายู ซึ่งคล้ายคลึงกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง
มาเลเซีย อนิ โดนีเซยี และการที่เป็นของชนพื้นเมือง

ภาพที่ 15 วงบรรเลงกุลงิ ตังกัน
( ทีม่ า : http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570704-aec1.jpg )

19

วงบรรเลงกลุ งิ ตังกนั
เป็นวงบรรเลงดนตรีที่ใช้เครื่องสายบรรเลงร่วมกับกุติงตังกัน (Kulintankan) ใช้บรรเลงตาม

เทศกาลพิเศษต่างๆ เช่น งานสมรส พิธีทางศาสนา รวมทั้งการบรรเลงต้อนรับคนสำคัญ กุลิงตังกัน
ประกอบด้วยฆอ้ งเล็ก 8-9 ลกู ตีด้ยไม้หุ้มผ้า เปน็ เครื่องดนตรีโบราณของชาวดูซนู และแพร่หลายในหลายพืน้ ท่ี

อะได- อะได (Adai –Adai)
ในอดีตเปน็ เพลงที่ชาวประมงรอ้ งกันยามหาปลา ปัจจุบนั เป็นการแสดงฟ้อนรำประกอบดนตรี

เนือ้ หาเก่ียวกบั ชวี ิตชาวประมง

ภาพท่ี 16 ซาปนิ
( ท่มี า : http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570704-aec2.jpg )

ซาปนิ (Zapin)
ระบำพ้ืนบ้านของชาวมาลายู ประกอยด้วยดนตรหี ลากหลายเลอื กใชต้ ามแต่วาระ โดยมาก

มกั เล่นดว้ ยเรบานา (Rebana) ดอ็ มบาค (Dombak) กัมบลุ (gambud) และไวโอลนิ
อะดุ๊ก-อะดุ๊ก (Aduk-Aduk)

นยิ มมากในกลมุ่ ชนพ้ืนเมืองเกตานยนั ในประเทศบรูไน จุดเด่นของการแสดงชนุ น้ีอยู่ทีก่ ารใช้
กะลามะพรา้ วและกลองให้จงั หวะ

3.4.นาฏศิลปฟ์ ลิ ิปปนิ ส์
ฟิลิปปินสเ์ ป็นประเทศที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมทแี่ ตกตา่ งของชาติตะวนั ออกและตะวันตกได้อย่าง

ลงตัว เนื่องจากมีความผูกพันกับวัฒนธรรมตะวันตกได้รับถ่ายทอดมาจากสเปนและสหรัฐอเมริกา
ศิลปะการแสดง การละเล่น และเทศกาลงานประเพณีของฟิลิปปินส์จึงมีทั้งแบบพื้นบ้านพื้นถิ่นของชาว

20

มลายู ผสมผสานกบั วัฒนธรรมตะวนั ตกท่ีเกย่ี วข้องกบั พธิ ีกรรมและความเช่ือทางครสิ ต์ศาสนา ฟิลิปปินส์การ
แสดงพนื้ บ้านท่นี ่าสนใจ อาทเิ ช่น

ภาพที่ 17 คาริโนซา
( ท่มี า : http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570721-aec2.jpg )

คารโิ นซา (Carinosa)
เป็นระบำพื้นเมืองที่ได้อิทธิพลมาจากสเปน คาริโนซา แปลว่า ครู่ กั หรอื ทรี่ กั เวลาเต้นจะจับคู่

หญิง – ชาย ผหู้ ญิงจะใสช่ ุด Maria Clara และถอื พดั หรอื ผา้ เชด็ หน้า รา่ ยรำแสดงทา่ ทางเขินอาย บทเพลง
มรเนอื้ หาชมความงามของหญิงสาว

ภาพท่ี 18 ตนิ กิ ลิง
( ท่ีมา : http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570721-aec3.jpg )

ตนิ กิ ลิง (Tinikling)

21

ระบำประจำชาติของฟิลิปปินส์ เป็นระบำของชนเผ่าพื้นเมืองที่ใช้ไม่ไผ่สองลำตี – แตะกระทบ
กัน ผู้เต้นจะก้าวขาเต้นเป็นจังหวะระหว่างไม่ไผ่สองลำนั้น ตินิกลิงเป็นระบำที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและ
การฝึกฝน ผู้เตน้ ต้องมีความรวดเร็วและความคล่องตัว เป็นการแสดงพื้นบ้านของเมืองเลย์เต (Leyte) และ
เมอื งอน่ื ๆ ในหม่เู กาะวซี ายสั
3.5.นาฏศลิ ป์สงิ คโปร์

ชาวสิงคโปร์มวี ฒั นธรรมหลากหลายแตกต่างกนั ไปตามเช้ือชาติ เทศกาลสำคญั ของสิงคโปร์ ส่วนมากมี
ความเกี่ยวข้องกับความเชื่อทาง ศาสนา แต่ถึงจะแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติและศาสนา แต่วัฒนธรรมความ
เป็นอยู่ก็ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนโดยเทศกาลสำคัญส่วนมากมักเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึง
ความเชอื่ เร่อื งเทพเจา้

จากโครงสร้างประชากร จะเห็นได้ว่าคนสิงคโปร์มีหลายเชื้อชาติ อีกทั้ง ส่วนใหญ่ยังยึดถือธรรมเนียม
ปฏิบัติดั้งเดิม ทำให้สิงคโปร์มีวัฒนธรรมหลากหลาย ทั้งทางด้านอาหาร การแต่งกาย ตลอดจนการเซ่นไหว้
วิญญาณบรรพบุรุษ และ ความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าที่แตกต่างกันไป ชาวจีนส่วนมากบูชา เจ้าแม่กวนอิม-ธิดา
แห่งความสุข กวนอู-เทพเจ้าแห่งความยุติธรรม รวมถึงเทพเจ้าจีนองค์อื่นๆ ขณะที่ ชาวฮินดูบูชาเทพเจ้าแห่ง
ดวงอาทติ ย์ เปน็ ตน้

ภาพท่ี 19 เทศกาลตรุษจีน

( ท่ีมา :
https://cultureofaec.files.wordpress.com/2016/02/singapore_culture.jpg?w=399&h=260 )
เทศกาลตรุษจนี (Chinese New Year)

ในเดอื นกมุ ภาพันธ์ชาวสงิ คโปรเ์ ชือ้ สายจนี จะจัดงานเซน่ ไหว้เทพเจา้ และงานรน่ื เริงสนุกสนาน
อ่ืนๆ โดยรัฐบาล หา้ งรา้ น และบริษัทตา่ งๆ จะหยดุ ทำการเปน็ เวลา 2 วัน แต่บางแหง่ อาจหยดุ นานถงึ 15 วัน

22

ภาพท่ี 20 บังสาละวัน
( ทีม่ า : https://cultureofaec.files.wordpress.com/2016/02/s2.jpg?w=406&h=263 )

บงั สาละวนั
เปน็ การแสดงละครร้องเหมือนกับการแสดงโอเปร่าของทางยุโรป เปน็ การแสดงท่ีได้รับความ

นยิ มเปน็ อยา่ งมากในประเทศสิงคโปร์ โดยมีจะการแสดงประกอบกับการร้องบทละครออกมาเป็นเพลงด้วยตัว
ของนักแสดงเอง พร้อมกับการการเต้นประกอบเสียงดนตรี ในท่าทางและอารมณ์ต่าง ๆตามบทบาทที่ได้รับ
สรา้ งความสนกุ สนานใหก้ ับผชู้ มเปน็ อยา่ งมาก โดยการแตง่ กายจะมกี ารแต่งกายด้วยเส้ือผา้ สวยงามสีสดใส การ
แสดงละครรอ้ ง ท่ีถกู เรยี กว่า บงั สา วันนก้ี เ็ ป็นการแสดงที่ไดร้ ับอิทธิพลต้นแบบมาจากเพื่อนบ้านอย่างประเทศ
มาเลเซีย
3.6.นาฏศลิ ปอ์ ินโดนีเซยี

ภาพที่ 21 รามเกยี รติ์อินโดนีเซยี
( ที่มา : http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570712-aec6.jpg )

มหรสพของอนิ โดนเี ซยี

23

ได้แก่ ละครและภาพยนตร์ เค้าโครงเรื่องที่แสดงนิยมนำมาก รามเกียรติ์ เทพนิยายใน
ศาสนาฮินดู ตัวละครจะแต่งกายด้วยผ้าบาติก ไม่สวมเสื้อชั้นนอก ใช้สีทาตัวเป็นสีต่างๆ และประดับด้วย
สังวาล

ภาพที่ 22 เลกอง
( ทมี่ า : http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570712-aec7.jpg )

เลกอง (Legong)
เป็นการแสดงของชาวบาหลีมีลักษณะการร่ายรำงดงาม เชื่องช้าเนิบนาบ โดยใช้เด็กหญิง

หน้าตาสวยงามทีผ่ า่ นกานฝกึ ฝนมาเปน็ อย่างดี 3 คนเป็นตัวแสดง ในสมัยทยี่ ังไมม่ ีประจำเดือนเทา่ นี้

ภาพท่ี 23 ระบำบารอ็ ง
( ทีม่ า : http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570712-aec8.jpg )

ระบำบาร็อง (Barong Dance)
เป็นการแสดงที่รู้จักกันในหมู่นักท่องเที่ยว เรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะกบั

อธรรม บารอ็ งคอื ตวั แทนฝ่ายดี เปน็ คนครึ่งสัตว์ สว่ นรังดาเปน็ พอ่ มดหมอผฝี า่ ยอธรรม ซ่งึ จะตอ่ สู้กนั จนฝ่าย
ธรรมะไดร้ บั ชัยชนะใน

24

ภาพที่ 24 ระบำคะชกั หรือระบำลงิ
( ทีม่ า : http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570712-aec9.jpg )

ระบำคะชักหรอื ระบำลิง (Kecak)
เป็นการแสดงของชาวบาหลี ตัดตอนมาจากรามเกียรต์ิ เล่าเรื่องราวของพระรามกับเหล่า

พลวานนรที่ตามไปช่วยนางสีดาจากทศกัณฐ์ ผู้ที่แสดงเป็นลิงจะนุ่งผ้าตาหมากรุก เปลือยท่อนบน ทัดดอก
ชบาแดงข้างหู นั่งลอ้ มวงกัน 4 – 5 ชั้น โบกมือขน้ึ ลงพรอ้ มทั้งโยกตัวไปมาและร้องวา่ “คะชกั คะชัก” เป็น
เสยี งสงู ต่ำคล้ายทำนองดนตรี โดยตัวเอกตา่ งๆ จะเดินรา่ ยรำไปมาตรงกลางวง

ภาพท่ี 25 ระบำหน้ากาก
( ท่ีมา : http://www.dmc.tv/images/00-iimage/570712-aec10.jpg )

ระบำหนา้ กาก (Topeng Dance)
ชาวบาหลีถอื วา่ หน้ากากคือสิ่งศักดิส์ ิทธิ์ ผู้ทีส่ วมหนา้ กากนั้นๆ ไมม่ ีบทพดู แต่แสดงออกด้วย

ท่าทาง มักเป็นเรือ่ งราวเกีย่ วกับเทพนยิ ายหรอื ตัวตอนใดตอนหนง่ึ จากประวตั ศิ าสตร์

25

3.7.นาฏศลิ ป์กัมพชู า
นาฏศิลป์ในประเทศกัมพูชา หรือ โรบัม ({{lang-km|របំា} }) แบ่งได้เป็นสามประเภท คือ นาฏศิลป์

ชนั้ สูงของราชสำนัก ระบำพืน้ บ้าน และระบำในงานสังคมต่าง ๆ
นาฏศลิ ปช์ ้นั สูง
เป็นการแสดงที่เกิดขึ้นในราชสำนัก ใช้วงพิณพาทย์บรรเลงประกอบ ภายหลังได้แพร่หลายและ

กลายเปน็ เอกลกั ษณ์ของกมั พชู า เช่น ระบำเทพอปั สร ระบำเปรียะห์เรียชโทรป

ภาพที่ 26 ระบำพน้ื บา้ นในกมั พชู า
( ท่มี า : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/6c/Khmer_folk_dance.JPG/200px-

Khmer_folk_dance.JPG )

ระบำพ้ืนบ้าน
เปน็ นาฏศลิ ปท์ ใ่ี ชแ้ สดงในกลมุ่ ประชาชนทว่ั ไป และชนเผ่าต่างๆของกัมพชู า เชน่ ชาวจาม

เขมรบน และการแสดงของชาวนาและกรรมกร ส่วนใหญ่ใชว้ งมโหรบี รรเลงประกอบ บางส่วนเกยี่ วข้องกบั
ความรักและนิทานพืน้ บา้ น เชน่

-ระบำเกนยี กไพลนิ เปน็ การแสดงของชาวกุลาในเมืองไพลิน
-เสนยี กโตเซยี เปน็ ระบำทเ่ี กยี่ วข้องกบั สตั ว์ชนิดต่างๆ มตี ้นกำเนดิ มาจากชาวเปียร์ในจังหวดั โพธิสตั ว์
-ระบำก็อมบาเรยี น คล้ายกับรำลาวกระทบไม้ของไทย เปน็ การแสดงระบำที่มีไม้ไผก่ ระทบกนั เป็น
จังหวะ บ้างว่ามาจากการแสดงของชาวกยุ บา้ งว่าได้รับอิทธิพลจากประเทศฟิลปิ ปนิ ส์
-ระบำโทรต เป็นระบำทก่ี ล่าวถงึ พรานกับกวาง
-ชยัม เปน็ การแสดงแบบเขมรแท้ มีการแสดงตลกและใชเ้ ด็กหญงิ ที่สวยงาม นิยมแสดงในวันหยดุ

26

3.8.นาฏศลิ ปไ์ ทย

นาฏศิลป์ไทย เป็นศิลปะแห่งการฟ้อนรำ ที่มีสมมติฐานมาจากธรรมชาติ แต่ได้รับการตกแต่งและ
ปรบั ปรุงใหง้ ดงามย่ิงขนึ้ จนก่อใหเ้ กิดอารมณ์สะเทือนใจแกผ่ ดู้ ูผูช้ ม โดยแทจ้ ริงแล้วการฟ้อนรำก็คือ ศิลปะของ
การเคลอื่ นไหวอวัยวะตา่ ง ๆ ของมนุษย์ เชน่ แขน ขา เอว ไหล่ หนา้ ตา ฯลฯ ด้วยเหตนุ ธี้ รรมชาตทิ ่เี ปน็ พ้นื ฐาน
เบื้องต้นของการฟ้อนรำจึงมาจากอิริยาบทต่าง ๆ ของมนุษย์ ได้แก่ ยืน เดิน นั่ง นอน ฯลฯ ตามปกติการเดิ น
ของคนเราจะก้าวเท้าพรอ้ มท้งั แกว่งแขนสลับกนั ไปเชน่ เม่ือก้าวเทา้ ซ้ายก็จะแกว่งแขนขวาออก และเมอื่ ก้าวเท้า
ขวาก็จะแกว่งแขนซ้ายออกสลับกันเพื่อเป็นหลักในการทรงตัว ครั้นเมื่อนำมาตกแต่งเป็นท่ารำขึน้ ก็กลายเป็น
ท่าเดินที่มีลีลาการก้าวเท้าและแกว่งแขน ให้ได้สัดส่วนงดงามถูกต้องตามแบบแผนที่กำหนด ตลอดจน
ท่วงทำนองและจงั หวะเพลง

นาฏศิลปไ์ ทย เกิดมาจากอากปั กิริยาของสามัญชนเป็นพน้ื ฐาน ซึง่ โดยท่วั ไปมนษุ ย์ทกุ คนยอ่ มมีอารมณ์
ต่าง ๆ ได้แก่ รัก โกรธ โศกเศร้า เสียใจ ดีใจ ร้องไห้ ฯลฯ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อมนุษย์มีอารมณ์อย่างหนึ่ง
อย่างใดเกิดขึ้น นอกจากจะมีความรู้สึกเกดิ ขึน้ ในจิตใจแล้วยงั แสดงปฏกิ ิริยาตอบโต้ออกมาทางกายในลักษณะ
ต่าง ๆ กนั เชน่

รกั - หน้าตากิรยิ าที่แสดงออก อ่อนโยน รจู้ กั เลา้ โลม เจา้ ชู้

โกรธ - หน้าตาบึง้ ตึง กระทบื เท้า ชี้หนา้ ด่าวา่ ตา่ ง ๆ

โศกเศร้า,เสียใจ - หน้าตากริ ยิ าละห้อยละเหยี่ ตัดพ้อตอ่ วา่ ร้องไห้

สรุปได้ว่า นาฏศิลป์ไทย เกิดมาจากกิริยาท่าทางซึ่งแสดงออกในทางอารมณ์ของมนุษย์ปุถุชน
อากปั กริ ยิ าตา่ งๆเหล่านเี้ ปน็ มลู เหตุใหป้ รมาจารยท์ างศิลปะนำมาปรบั ปรงุ บญั ญัตสิ ัดส่วนและกำหนดวิธีการข้ึน
จนกลายเป็นท่าฟ้อนรำ โดยวางแบบแผนลีลาท่ารำของมือ เท้า ให้งดงาม รู้จักวิธีเยื้อง ยัก และกล่อมตัว ให้
สอดคล้องสัมพันธ์กันจนเกิดเป็นท่ารำขึ้น และมีวิวัฒนาการปรับปรุงมาตามลำดับ จนดูประณีตงดงาม อ่อน
ช้อยวจิ ติ รพิสดาร จนถึงข้นั เป็นศลิ ปะได้

นอกจากน้ี นาฏศลิ ป์ไทย ยงั ได้รบั อิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น
วัฒนธรรมอนิ เดยี เกี่ยวกับวัฒนธรรมที่เปน็ เร่ืองของเทพเจ้า และตำนานการฟอ้ นรำ โดยผ่านเข้าสู่ประเทศไทย
ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ ผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์
ของไทย เช่น ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราช ที่สร้างเป็นท่าการร่ายรำของ พระอิศวร ซึ่งมีทั้งหมด 108
ท่า หรอื 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครั้งแรกในโลก ณ ตำบลจิทรมั พรัม เมอื งมทั ราส อนิ เดยี ใต้

ปัจจุบันอยู่ในรัฐทมิฬนาดู นับเป็นคัมภีร์สำหรับการฟ้อนรำ แต่งโดยพระภรตมุนี เรียกว่า คัมภีร์ภรต
นาฏยศาสตร์ ถือเป็นอิทธิพลสำคญั ต่อแบบแผนการสืบสาน และการถ่ายทอดนาฏศิลป์ของไทยจนเกิดข้ึนเปน็
เอกลักษณข์ องตนเองทมี่ ีรปู แบบ แบบแผนการเรยี น การฝกึ หัด จารตี ขนบธรรมเนียม มาจนถึงปจั จบุ นั

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญทีศ่ ึกษาทางด้านนาฏศิลปไ์ ทยได้สันนิษฐานวา่ อารยธรรมทางศิลปะ
ด้านนาฎศลิ ปข์ องอนิ เดียนี้ไดเ้ ผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรงุ ศรีอยุธยาตามประวตั ิการสร้างเทวาลัย
ศิวะนาฎราชที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็นระยะที่ไทยเริ่มก่อตั้งกรุงสุโขทัย ดังนั้นท่ารำไทยที่ดัดแปลงมา

27

จากอินเดียในครั้งแรกจึงเป็นความคิดของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และมีการแก้ไข ปรับปรุงหรือ
ประดิษฐข์ นึ้ ใหมใ่ นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จนนำมาสู่การประดิษฐข์ ึ้นใหม่ในสมยั กรงุ รัตนโกสินทรจ์ นนำมาสู่การ
ประดิษฐ์ทา่ ทางการรา่ ยรำและละครไทยมาจนถงึ ปจั จุบนั

ภาพที่ 27 ประวัติความเป็นมาของนาฏศลิ ปไ์ ทย
( ทม่ี า : http://www.bloggang.com/data/banrakthai/picture/1221838581.gif )

3.9.นาฏศลิ ปเ์ วียดนาม
เมื่อกล่าวถึงนาฏศิลป์ ย่อมเข้าใจตรงกันว่า เป็นศิลปะการฟ้อนรำประจำชาติใดชาติหนึ่ง ฉะนั้น

นาฏศลิ ป์เวียดนามก็ยอ่ มหมายถึง ศลิ ปะการฟ้อนรำประจำชาตเิ วยี ดนาม เมื่อผู้เขยี นไดไ้ ปเยือนถ่นิ เวียดนามได้
สัมผัสทั้ง ดิน ฟ้า อากาศ อาหาร วัฒนธรรม การเป็นอยู่ ช่างคล้ายคลึงกับประเทศจีนที่ได้เคยไปสัมผัส
เช่นกัน ประเทศเวียดนาม นั้นเคยตกเป็นเมืองขึ้นของ ฝรั่งเศสเป็นเวลาหลายปีผูเ้ ขียนมีความคิดเห็นว่า เม่ือ
บ้านเมืองไม่มีความคิดอิสระในด้านความคิด ความเป็นอยู่ ฉะนั้น ความคิดสร้างสรรค์ ความสุนทรี ต่างๆ
ย่อมเปน็ เหตุให้ศลิ ปการแสดงนาฏศิลป์ไม่เป็นทีร่ จู้ ัก ของชาวต่างชาติ และ เมอ่ื ภายหลงั ได้อิสรภาพไม่ตกเป็น
เมอื งข้ึนของชาติใดจึงทำให้ มอี สิ ระในด้านความคิด การสร้างสรรค์งานศลิ ปะข้นึ จงึ เป็นเหตุได้เกิดการแสดงท่ี
เรียกว่า หุ่นกระบอกน้ำ เป็นที่รู้จัก ของชาวต่างชาติ ศิลปการแสดงแขนงนี้ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของ
กลไกการตลาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในความหมายนี้ หุ่นน้ำของเวียดนามก็ไม่น่าจะมีความแตกต่างกับสินค้า
หรือทรัพยากรการท่องเที่ยวทั่วไปในตลาดทุนนิยมเพราะความเป็นจริงก็คือ เวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับ
ความบอบช้ำจากสงครามมาช้านาน และต้องฟื้นฟูประเทศในทุกๆด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ความอยู่ดีกิน
ดี และคุณภาพชีวิตของพลเมือง และนอกจากนี้คนเชิดหุ่นหรือสมาชิกในคณะหุน่ น้ำได้สะท้อนให้เห็นถึงการ
ต่อสู้ดิ้นรงของชาวบ้านร้านตลาดที่ได้ทำมาหากินในท่ามกลางบริบททางเศรษฐกิจสังคม และการเมืองช่วง

28

เปลี่ยนผ่านของเวียดนามอีกทางหนึ่ง ชีวิตของคนเชิดหุ่นต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเองและ
ครอบครัวมีความลักลั่นกันอยู่ไม่น้อย ระหว่างความใฝ่ฝันทยานอยากไปตามกระแสบรโิ ภคนิยมกับขอ้ จำกดั ที่
ทำงานนาฏศิลป์ มีลักษณะลีลาท่าทางการรำ อันเป็นศิลปะที่อ่อนช้อย เทียบได้กับศลิ ปะพื้นเมืองของไทยใน
บางอย่าง ได้แก่ ระบำ เดเวียน เด ซึ่งเป็นการร่ายรำที่แสดงถึงชีวิตความสุข และความรักของคนธรรมดา
สามัญ ชนบท ระบำซานห์ เทียบ โก เดียว เป็นการเตือนให้ระลึกถึงสมัยที่รุ่งเรืองของดนตรีบริสุทธิ์ของ
เวียดนาม นาฏศลิ ปบ์ างอย่างของเวยี ดนาม ก็ได้รับอทิ ธิพลจากจนี

นาฏศิลป์หรือการเต้นของเวียดนามVietnamese dance is a graceful, elegant, smoothly
flowing dance form.เป็นการเต้นรำDancers act out their roles using graceful movements and
facial expressions to communicate a wide variety of activities and emotions.ที่ใช้บทบาทการ
เคลื่อนไหวที่สง่างามและการ แสดงออกด้วยใบหน้าในการสื่อสารที่สอดแทรกอารมณ์ ความคิด จินตนาการ
ของนักแสดงถ่ายทอดไปยังผู้ชม ส่วนของ การ เคลื่อนไหว พรรณนาถึง ลักษณะต่างๆ เช่น แม่น้ำ ความ
อ ่ อ น โ ย น Other movements convey daily activities, such as collecting the harvest, rowing a
boat or washing silks. การ เคลื่อนไหว อื่นๆ ในกิจกรรมประจำวนั เช่น การ เก็บเกี่ยวข้าว , วิถีชีวิต
ความเป็นอยู่ ของคนเวียดนาม ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์เวียดนาม ไม่ได้เน้นที่การฟ้อน ส่วนใหญ่ที่พบเห็น
เป็นลักษณะการร้องเพลงประกอบดนตรพี น้ื เมอื งและทำท่าประกอบเล็กน้อย

3.10.นาฎศลิ ป์มาเลเซยี

ภาพท่ี 28 มกั ยองของชาวมาเลย์
( ทม่ี า : https://static.displate.com/227x162/displate/2019-05-
03/da28c6d2cb9cbfc74be8a07f84f156c6_7968a6aeead1532e54665176f1bdf70c.jpg )

29

มกั ยองของชาวมาเลย์
กำเนิดในจังหวัดปัตตานี ในอดีตเคยเป็นการแสดงที่สร้างความบันเทิงให้แก่พระราชินี ธิดา

ของกษตั ริย์ และสตรี ในพระราชวัง เม่ือผูช้ ายออกไปสู้รบการแสดงจะผสมผสานเร่ืองราวความรกั การรำ การ
ขบั รอ้ ง และเร่ืองเล่าในยุคที่มาเลเซยี ร่งุ เรืองเข้าดว้ ยกนั จนกลายเป็นนาฏศิลป์ทีม่ เี สน่หน์ ่าชม

ภาพที่ 29 กดู าเคปัง
( ทีม่ า : https://ytimg.googleusercontent.com/vi/afkrpGRVrSs/mqdefault.jpg )

กูดาเคปงั
ศลิ ปะการรา่ ยรำที่ชาวชวานำเขา้ มาเผยแพร่ในรฐั ยะโฮร์ การแสดงจะบอกเล่าเรื่องราวชยั ชนะใน
สงครามศักดิส์ ิทธ์ขิ องอิสลาม ผู้แสดงจะนง่ั คร่อมบนมา้ ปลอมและร่ายรำไปตามจังหวะของเครื่องดนตรีประเภท
เคาะ ประกอบด้วยกลอง ฆอ้ ง และองั กะลุง

ภาพที่ 30 ซาปนิ
( ทม่ี า : https://lh3.googleusercontent.com/NqQmGQBx0YQYPPxH2lVJZVmraKHXub4-

N1qQy9NRtmUzYSUgbCgQ4eVCL4CpjY9HxBBcLg=s170 )

ซาปิน
รับความนิยมในรัฐยะโฮร์ กล่าวได้ว่าเป็นการร่ายรำดั้งเดิมของมาเลเซียที่สะท้อนให้เห็น

อิทธิพลของศาสนาอิสลามได้เด่นชัดที่สุด เข้ามาในประเทศมาเลเซียเมื่อมิสชันนารีมุสลิมจากตะวันออกกลาง
เข้ามาเผยแผ่ศาสนา จุดประสงค์คือการสวดมนต์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอารธรรม
อสิ ลาม

30

ภาพที่ 31 โยเกต็

( ที่มา : https://lh3.googleusercontent.com/hVlFNLeLRYUyh6Q5O4_5DrVz-
zsiVl_fsDZ8DCDXuimNfxS3FhnqLITot89Zfm_4nY7X=s147 )

โยเก็ต

ศิลปะการร่ายรำแบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของมาเลเซีย มีจังหวะที่สนุกสนาน
นักแสดงหลายคู่ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สวยงาม เน้นอารมณ์ขัน ต้นกำเนิดมาจากการเต้นรำของชาว
โปรตเุ กส แพรห่ ลายในมะละกา ยุคทม่ี กี ารคา้ เครอ่ื งเทศ

ภาพที่ 32 บงั กรา

( ทม่ี า : https://lh3.googleusercontent.com/0cmQ-
Fu0aK4gVMVGNyf0xFWFmJ_dte851jqvlr5ooJQidMDhERrhtOup6wSMctmdTuhEUg=s140 )

บังกรา

การเต้นรำและการแสดงดนตรีพน้ื เมืองท่ีสนุกสนานของชาวซิกข์ ตน้ กำเนดิ มาจากการเต้นรำ
ในฤดเู กบ็ เก่ียว ปัจจบุ นั แสดงในงานเฉลิมฉลองตา่ งๆ เช่น งานแตง่ งาน หรืองานวันขึ้นปใี หม่ เป็นต้น ร่ายรำ

31

ภาพท่ี 33 ระบำไมไ้ ผ่
( ทีม่ า : https://lh3.googleusercontent.com/DNH5ksbh_JKFdsrkFe-o61CgukrvsjvD7j-uD2gCIL-

vFbE0ES_Jj1wGWmOUQEZgxYlkJYY=s127 )

ระบำไมไ้ ผ่
การร่ายรำแบบดั้งเดิม ในการแสดงจะใช้ท่อนไม้ไผ่ยาวสองท่อนวางขนานกันกับพื้นในระดบั

ข้อเท้า ไม้ไผ่จะกระทบกันตามจังหวะกลองเร็วๆ ดังนั้น ในการกระโดดเหนือหรือระหว่างไม้ไผ่โดยไม่ให้ไม้ไผ่
กระทบข้อเทา้ ผูแ้ สดงจะต้องมีความชำนาญสงู

32

33

บทท่ี4
คุณค่าของนาฏศลิ ป์

4.1.คณุ ค่าดา้ นความพลิดเพลนิ

นาฏศิลป์และละครไทยมีคุณค่าต่อสังคมในด้านความเพลิดเพลิน คือ นาฏศิลป์และละครไทยเป็น
ศิลปะทมี่ ีความอ่อนช้อย มกี ารนำวรรณคดไี ทยตา่ งๆ มาถ่ายทอดเรื่องราวทำให้ผชู้ มเกดิ ความสนุกสนาน

4.2.คุณค่าดา้ นพธิ ีกรรม

นาฏศิลป์ใช้เป็นเครื่องดนตรีที่พลังพิเศษ หรือเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติในตัวเอง ของผู้ทำหน้าที่
เป็นพ่อมดหรือหมอผี หรืออีก นัยหนึ่งคนเหล่านี้ใช้นาฏศิลปส์ ื่อสารกับพลังเหนือธรรมชาติให้เข้ามาสิงสถิต
ในตนเองหรือผ่านตนไปยังสิ่งที่ต้องการรับอิทธิพลเหล่านั้นการฟ้อนรำในลักษณะนี้มัก เป็นการแสดงเดี่ยว
แต่ในบางครั้งบางแห่งก็มีการแสดงเป็นกลุ่ม การฟ้อนรำในพิธีผีฟ้าในภาคเหนือ เพื่อรักษาโรคหรือสะเดาะ
เคราะห์ จะเรม่ิ ด้วยพธิ ีกรหญงิ ฟ้อนนำ ในลักษณะเข้าทรง แลว้ ผ้ทู ี่เคยรักษาหายมาก่อนซง่ึ มักมาร่วมงานเพ่ือ
ร่วมให้พลังใจก็จะลุกขึ้นรำตาม ฟ้อนผีมดผีเม็งในภาคเหนือจะมีบรรดาสมาชิกหญิงมาเข้าทรง เป็นหมู่และ
ฟ้อนรำร่วมกัน เพื่อสะเดาะเคราะห์หรือรักษาโรค และพิธีกรรมอีกลักษณะหนึ่ง คือ การฟ้อนรำเพื่อบูชา
หรือ บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยมิได้เข้าทรง แต่เป็นการแสดงที่เน้นความงดงาม เช่น การรำแก้บนที่ศาลพระ
พรหมแยกราชราชประสงค์ การแสดงเหล่านเี้ ป็นการแสดงแกบ้ นซ่งึ อาจเปน็ รูปของการแสดงแกบ้ น ลิเกแกบ้ น
และการฟ้อนรำ อีกลักษณะหนึ่งเป็นการฟ้อนรำบูชาแตไ่ ม่ได้แก้บนใดๆ แต่เป็นการฟ้อนบูชาครู หรือเป็นพทุ ธ
บูชา เช่นการรำถวายมือในพธิ ีไหวค้ รู นาฏศิลปไ์ ทย หรือการรำไหวค้ รูมวยก่อนการชกเปน็ ต้น

4.3.คุณค่าด้านการอนรุ กั ษเ์ ผยแพร่

การอนุรักษ์นาฏศิลป์กับภูมิปัญญาห้องถิ่น การอนุรักษ์นาฎศิลป์กับภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ การรักษา
สืบทอด และเผยแพร่นาฎศิลป์ที่เกิด จากการสร้างสรรค์ สั่งสม และสืบทอดศิลปะการแสดงของท้องถิ่นต่างๆ
อนั เปน็ ศิลปะพื้นบา้ นทป่ี ระดษิ ฐ์ข้นึ โดยคนในทอ้ งถิ่นน้ันๆ ถือวา่ การอนรุ กั ษ์ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่นมีความสำคัญต่อ
การส่งเสริมให้ศิลป์วัฒนธรรมของ ชาติดำรงสืบไป เพราะการแสดงนาฏศิลป์ไทยล้วนมีความสัมพันธ์กับภูมิ
ปัญญาทอ้ งถิน่ ในหลายลกั ษณะ ไดแ้ ก่

1.ศาสนาและความเชื่อ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย คนไทยมีความเคารพศรัทธาและเช่ือ
ในพระพุทธศาสนาจึง นำเอาแนวคิดและหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ใช้ในการดำเนินชีวิตมา
สร้างสรรคเ์ ป็นชดุ การแสดง นาฎศลิ ป์ เช่น การแสดงชดุ ระบำไตรรัตน์ ทมี่ ีบทรอ้ งประกอบการแสดงที่เก่ียวกับ
ความเคารพนับถือพระ รตั นตรัย คอื พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ และผลทเ่ี กดิ จากการเคารพหลักธรรม
ของ พระพทุ ธศาสนา เปน็ ต้น

34

2.ประเพณีและวัฒนธรรม ประเพณีและวัฒนธรรมที่สำคัญในแต่ละท้องถิ่นของไทย เช่น วันลอย
กระทง วันสงกรานต์ เป็นต้น มีคุณค่าและแฝงไปด้วยคติความเชื่อ ธรรมเนียมปฏิบัติ และความรื่นเริง
สนุกสนานอันนำมาซึ่ง ความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยนำมาสร้างสรรค์ประดิษฐ์เป็นชุด
การแสดงขึน้ เชน่ ระบำประทีปทอง ระบำสโุ ขทัย ใชแ้ สดงในวันลอยกระทง ระบำนางสงกรานตใ์ ช้แสดงในวัน
สงกรานต์

3.ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม การแสดงบางชุดได้สร้างสรรค์ท่ารำมาจากภาพจำหลักของ
โบราณสถานต่างๆ เช่น ระบำสุโขทัย ที่ ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์ ได้ประดิษฐ์ท่ารำมาจากภาพนางอัปสรใน
เครื่องทรงที่สวยงามท่ีอยู่รอบๆเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑว์ ดั มหาธาตใุ นอุทยานประวัติศาสตรส์ ุโขทยั ระบำลพบุรี
ประดิษฐ์ทา่ รำโดย ยมะคปุ ต์ และคณุ ครเู ฉลย ศขุ วณชิ นำท่ารำมาจากภาพจำหลักทบั หลงั ประตูปราสาทหินพิ
มาย ศิลปะ แบบขอม เปน็ ตน้

4.วิถีชีวิตและการประกอบอาชีพของคนในท้องถิ่น การแสดงนาฎศิลป์ไทยบางชุดนำวิถีชีวิตการ
ประกอบอาชพี ของคนในท้องถ่นิ ตา่ งๆมาประดษิ ฐ์ สรา้ งสรรค์เป็นชุดการแสดง ได้แก่

1) ภาคเหนือ เชน่ ระบำเก็บใบชา ฟอ้ นสาวไหม เปน็ ตน้

2) ภาคกลาง เช่น เต้นกำรำเคียว ระบำชาวนา ระบำพระแม่โพสพ เป็นต้น

3) ภาคอีสาน เชน่ เซ้ิงสวงิ เซง้ิ กระหยัง เซ้งิ แพรวากาฬสนิ ธุ์ เปน็ ตน้

4) ภาคใต้ เช่น ระบำปาเตะ๊ ระบำกรีดยาง ระบำรอ่ นแร่ เปน็ ตน้

จะเห็นได้ว่าการอนุรักษ์นาฎศิลป์ไทยกับภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้นมีส่วนช่วยในการเผยแพร่ศิลป์วัฒนธรรม ของ
ชาตใิ ห้เปน็ ที่ร้จู กั โดยถา่ ยทอดออกมาในรูปแบบของความบนั เทิง ความสนุกสนานรนื่ เริง อีกท้ังยังมี คุณคำต่อ
สงั คมไทยซ่ึงควรคา่ แก่การอนรุ ักษใ์ ห้คงอยสู่ ืบไป

4.4.คณุ ค่าดา้ นความรูเ้ กี่ยวกับประวตั ศิ าสตร์

นาฏศิลปไ์ ทย ยงั ไดร้ ับอทิ ธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากตา่ งชาตเิ ข้ามาผสมผสานด้วย เช่น วัฒนธรรม
อนิ เดียเกย่ี วกับวฒั นธรรมทเ่ี ปน็ เรื่องของเทพเจา้ และตำนานการฟอ้ นรำ โดยผ่านเข้าส่ปู ระเทศไทย ทั้งทางตรง
และทางออ้ ม คอื ผ่านชนชาตชิ วาและเขมร กอ่ นที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณข์ องไทย เช่น
ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราช ที่สร้างเป็นท่าการร่ายรำของ พระอิศวร ซึ่งมีทั้งหมด 108 ท่า
หรอื 108 กรณะ โดยทรงฟอ้ นรำครง้ั แรกในโลก ณ ตำบลจทิ รัมพรมั เมอื งมทั ราส อนิ เดยี ใต้

ปัจจุบันอยใู่ นรัฐทมฬิ นาดู นบั เปน็ คัมภรี ์สำหรบั การฟอ้ นรำ แตง่ โดยพระภรตมุนี เรียกว่า คมั ภรี ์ภรตนาฏย
ศาสตร์ ถือเป็นอิทธิพลสำคัญต่อแบบแผนการสืบสาน และการถ่ายทอดนาฏศิลป์ของไทยจนเกิดขึ้นเป็น
เอกลักษณ์ของตนเองที่มีรูปแบบ แบบแผนการเรียน การฝึกหัด จารีต ขนบธรรมเนียม มาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐานว่า อารยธรรมทางศิลปะด้าน
นาฎศลิ ปข์ องอินเดียนี้ได้เผยแพรเ่ ขา้ มาสู่ประเทศไทยต้งั แต่สมัยกรุงศรีอยธุ ยาตามประวตั ิการสร้างเทวาลัยศิวะ

35

นาฎราชที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1800 ซึ่งเป็นระยะที่ไทยเริ่มก่อตั้งกรุงสุโขทัย ดังนั้นท่ารำไทยที่ดัดแปลงมาจาก
อินเดียในครั้งแรกจึงเป็นความคิดของนักปราชญ์ในสมัยกรุงศรอี ยุธยา และมีการแก้ไข ปรับปรุงหรือประดิษฐ์
ขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรตั นโกสนิ ทร์ จนนำมาสูก่ ารประดษิ ฐข์ ้ึนใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จนนำมาสู่การประดิษฐ์
ทา่ ทางการรา่ ยรำและละครไทยมาจนถึงปจั จุบัน

36


Click to View FlipBook Version