รายงานวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย โดย นายวัชรพล ภาโนมัย รหัสนักศึกษา 614144047 หมู่เรียน 61/13 กุมภาพันธ์2566
รายงานวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย โดย นายวัชรพล ภาโนมัย รหัสนักศึกษา 614144047 หมู่เรียน 61/13 กุมภาพันธ์ 2566
(1) ชื่องานวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย สาขาวิชา คอมพิวเตอร์ศึกษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ชื่อผู้วิจัย วัชรพล ภาโนมัย อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ พงษ์ดนัย จิตตวิสุทธิกุล บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการ จัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย2) หาประสิทธิภาพของบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลัง เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น และ 4) หาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/9 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัยจำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น 2) แบบทดสอบก่อนเรียน 3) แบบทดสอบหลังเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) ค่าเฉลี่ย 2) S.D. 3) ประสิทธิภาพ E1/E2 และ 4) t-test แบบ Dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยเนื้อหาจำนวน 3 หน่วยการเรียนรู้ หน่วยที่ 1 เรื่อง การพัฒนาโปรแกรม หน่วยที่ 2 เรื่อง ชนิดข้อมูลและตัวแปร หน่วยที่ 3 เรื่อง นิพจน์และตัวดำเนินการ ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นจากการประเมินว่าบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมในการนำไปใช้กับรูปแบบสร้างองค์ความรู้ เนื่องจากมีเนื้อหาที่สามารถให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้หลายรูปแบบ โดยมีผลการประเมินคุณภาพด้าน เนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก โดยมี̅̅̅= 4.73 และS.D. = 0.45 และด้านการออกแบบบทเรียนอยู่ใน ระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 และS.D. เท่ากับ 0.48 2) ประสิทธิภาพของบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับเทคนิคการสร้างองค์ความรู้โดยใช้เกณฑ์ E1/E2 มีค่าเท่ากับ 81.15/82.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 80/80 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียน ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้น สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับ มากที่สุด (̅= 4.38, S.D. = 0.74) คำสำคัญ: คอมพิวเตอร์ช่วยสอน , โปรแกรมภาษา Python, การเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ ลายมือชื่อนักศึกษา ลายมือชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา
(2) Research Title The Development of computer-assisted instruction together with Constructivism To Python programming skills for Mathayomsuksa 5 students at Samut Sakhon Wittayalai School Major Field Education Department of Computer Education. Faculty of Science and Technology. Nakhon Pathom Rajabhat University. Researcher Watcharaphon Panomai Advisor Pongdanai Jittavisuttikul ABSTRACT The objective of this research were to 1) The Development of computerassisted instruction together with Constructivism To Python programming skills for Mathayomsuksa 5 students at Samut Sakhon Wittayalai School 2) The efficiency of development computer-assisted instruction 3)compare evaluation form on the teaching pretest and posttest 4) satisfaction questionnaire of students to developedcomputer-assisted instruction. The sample were 4 3 Matthayomsueksa 5 studying at Samut Sakhon Wittayalai School. The research instruments included 1) developed computer-assisted instruction 2) pretest 3) while practice 4) posttest 5) a students' satisfaction questionnaire. The statistics used in the research were mean, standard deviation, the efficiency E1/E2 and dependent t- test. The results of the research were as follows: 1) Online lessons that developed consisting of 3 units, Unit 1 familiar with the scratch program, Unit 2 Variables in the scratch program, Unit 3 repetitive work, Experts commented that the online lessons developed are suitable for applying to the self-directed learning techniques, because there are content that can allow learners to choose to study in many forms, the quality of the content was at a very good level, (̅= 4.73 S.D. = 0.45), the lesson design was at a very good level, (̅= 4.64 S.D. = 0.48) 2) the efficiency level of online lessons together with self-directed learning techniques using E1/E2 was at 81.15/82.31, which higher than the threshold set at 80/80 3) The students' s learning achievement after their computer-assisted instruction was a statistically significant difference at 0.05 level. 4) The students' satisfaction was a high level of (̅ = 4.38, S.D. = 0.74) Keyword: Computer Assisted Instruction (CAI), Python programming, constructionism Student’s signature Advisors’ signature
(3) กิตติกรรมประกาศ การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะ การเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัยในครั้งนี้ สำเร็จได้ด้วยความช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และให้คำปรึกษาอันเป็นประโยชน์ในการทำวิจัยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ได้แก่ คุณครู สุทธิพงษ์ ศรีสวัสดิ์คุณครูปานจิต ใจเปี่ยมและคุณครูภมรเพชร ภู่ภักดีที่ได้กรุณาให้คำแนะนำปรึกษา และข้อมูล ต่าง ๆ และผู้วิจัยขอกราบ ขอบพระคุณ อาจารย์ พงษ์ดนัย จิตตวิสุทธิกุลอาจารย์ที่ปรึกษาที่ได้ให้ความรู้ คำแนะนำตรวจทาน และแก้ไข ข้อบกพร่องต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่ทุกขั้นตอนเพื่อให้การจัดทำวิจัยเล่มนี้สมบูรณ์ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่าง สูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณโรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัยอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ที่กรุณาเอื้อเฟื้อสถานที่ในการทำ วิจัย และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5/9 ที่เสียสละเวลาในการทำสื่อการเรียนออนไลน์ทำแบบทดสอบและ แบบสอบถามความพึงพอใจในการทำวิจัยในครั้งนี้ คุณค่าและคุณประโยชน์อันพึงมีจากโครงงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยขอน้อมบูชาพระคุณบิดามารดาและบูรพา อาจารย์ทุกท่านที่ได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ และความเมตตาแก่ผู้วิจัยมาตลอดเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้การ ศึกษาวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี วัชรพล ภาโนมัย
สารบัญ หน้า บทคัดย่อ..................................................................................................................... ...................... (1) ABSTRACT....................................................................................................................................... (2) กิตติกรรมประกาศ.............................................................................................................. ................(3) สารบัญ...............................................................................................................................................(4) สารบัญตาราง.................................................................................................................. ...................(6) สารบัญภาพ........................................................................................................................................(7) บทที่ 1 บทนำ......................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา.................................................................................1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย................................................................................................... .....2 สมมติฐานของการวิจัย.......................................................................................................... ..2 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย.................................................................................................. ...........3 ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................................ ...2 นิยามศัพท์เฉพาะ....................................................................................................................3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ.................................................................................................... ..4 บทที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง................................................................................................5 วิชาเขียนโปรแกรมชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5.............................................................5 ความหมายของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน.......................................................................6 การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้...................................................................................7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง...................................................................................................................8 สรุปเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง............................................................................................11 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย.......................................................................................................12 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง...................................................................................................12 แผนแบบการวิจัย................................................................................................................. .12 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................... ....13 วิธีการดำเนินงานวิจัย.......................................................................................................... .13 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................14 บทที่ 4 ผลการวิจัย.........................................................................................................................19 ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนออนไลน์ด้านเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ...................................19
สารบัญ (ต่อ) หน้า ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนออนไลน์ด้านเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญ.......................................................20 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน.......................................................................................... ........21 การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน...........................................................................22 ผลความพึงพอใจของสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน............................................................................22 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.................................................................................................23 ผลการวิจัย................................................................................................................ ................................23 อภิปรายผล.................................................................................................................... ..........................24 ข้อเสนอแนะ.............................................................................................................................................25 บรรณานุกรม............................................................................................................................. ............................26 ภาคผนวก............................................................................................................................. .................................27 ภาคผนวก ก..............................................................................................................................................27 ภาคผนวก ข.................................................................................................................... ..........................32 ภาคผนวก ค......................................................................................................................................... .....36 ภาคผนวก ง............................................................................................................... ...............................40 ภาคผนวก จ............................................................................................................................ ..................45 ภาคผนวก ฉ............................................................................................................................. .................47 ประวัติผู้วิจัย..........................................................................................................................................................58
1 บทที่ 1 บทนำ ในส่วนของบทนำ ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับปัญหาการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบัน เมื่อ พบปัญหาแล้วผู้วิจัยได้ทำการตั้งวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการแก้ไขปัญหา โดยใน งานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้พัฒนาสื่อการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในรายวิชาการ เขียนโปรแกรม การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย โดยบทนำจะมีหัวข้อดังต่อไปน ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์การวิจัย สมมติฐานการวิจัย ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย นิยามศัพท์เฉพาะ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ที่มาและความสำคัญของปัญหา ปัจจุบันเป็นยุคที่โลกมีความเจริญก้าวหน้าอย่าง รวดเร็ว สืบเนื่องจากกระแสการปรับเปลี่ยน ทางสังคมใน ศตวรรษที่ 21 ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นทักษะที่มีความสําคัญในการดํารงชีวิตและ ทํางานในระบบสังคมและ เศรษฐกิจ การศึกษาในศตวรรษ ที่ 21 ที่คนทุกคนต้องเรียนรู้ตั้งแต่ชั้น อนุบาลไปจนถึง มหาวิทยาลัยและตลอดชีวิตได้แก่ อ่านออก เขียนได้คิด เลขเป็น และ ทักษะด้านการ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และ ทักษะในการแก้ปัญหา ทักษะด้านการสร้างสรรค์และ นวัตกรรม ทักษะ ด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่าง กระบวนทัศน์ทักษะด้านความร่วมมือการทํางานเป็นทีม และ ภาวะผู้นํา ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่า ทันสื่อ ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสาร ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้การคิด สร้างสรรค์เป็นความสามารถ ทางสมองที่สามารถคิดได้หลายแง่หลายมุม รวมทั้งการคิดคล่อง การคิดยืดหยุ่น ความคิด ละเอียดลออ และความคิดริเริ่ม เป็นกระบวนการ แก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ เรียกกระบวนการ แก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ (Creative Problem Solving) การจัดการเรียนรู้สําหรับศตวรรษที่ 21 (Panich, 2020) การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ ความรู้(Constructivism) ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ Constructivist เป็นกระบวนการหรือการเรียนรู้ ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยตัวผู้เรียน เองโดยการสร้างองค์ความรู้ที่ผู้เรียนได้จากสิ่งที่เป็น ประสบการณ์หรือสิ่งที่ ก่อเกิดขึ้นใหม่ทางปัญญา ซึ่งส่งผล ให้ผู้เรียนเกิดการดูดซึมทางปัญญาและเชื่อมโยงความรู้เดิม
2 กับความรู้ใหม่ นโยบาย “ดิจิทัล ไทยแลนด์” หรือ “ไทย แลนด์ 4.0” ประเทศไทยมีความ ต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษา โดยได้กําหนดแผนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและ สังคม ปี 2559 หรือ ดิจิทัล ไทยแลนด์ในยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างสังคมคุณภาพที่ทั่วถึง เท่าเทียม ด้วย เทคโนโลยีดิจิทัล หัวข้อที่ สี่ “เพิ่มโอกาสการได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐาน ของนักเรียนและประชาชน แบบ ทุกวัย ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล” โดยในปัจจุบันบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือCAIนั้นถือว่าสำคัญกับครูอาจารย์เป็นอย่าง มากเพราะจะลดเวลาในการสอนของครู ในการเรียนวิชาที่มีการฝึกทักษะ ครูจะเสียเวลาในช่วงนี้มาก เพราะแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน ครูสามารถให้นักเรียนแต่ละคนได้ฝึกทักษะจาก คอมพิวเตอร์แทนทำให้ครูได้มีการพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอและมีการนำสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาใช้ ในการเรียน การสอนมากขึ้นและยังช่วยสร้างทัศนคติที่ดีให้แก่นักเรียน โดยนักเรียนต้องฝึก ความรับผิดชอบต่อตนเอง ในการเรียนและสร้างทัศนคติที่ดีในการเรียนด้วย ซึ่งผู้วิจัยนั้นสนใจ ที่จะการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรื่อง เสริมทักษะการ เขียนโปรแกรมภาษา Python ร่วมกับการพัฒนา ทักษะการคิดสร้างสรรค์โดยใช้กระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้เพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจ ความอยากรู้อยากเรียน โดยเน้นผู้เรียน เป็นสำคัญและสามารถแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลาย มีการทำกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะ การคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีความเข้าใจในเนื้อหาวิชาจนส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน สูงขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย 1.2.1 เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ ความรู้ เพื่อฝึกทักษะเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย 1.2.2 เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น 1.2.3 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น 1.2.4 เพื่อหาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้น สมมติฐานการวิจัย 1.3.1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ในการ ส่งเสริมโดยใช้กระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์80/80 1.3.2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1ที่เรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ในการ ส่งเสริมใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 มีการ พัฒนาการเรียนรู้ก่อนเรียนและ หลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3 1.3.3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 มีความพึงพอใจต่อการ เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน(CAI) ในการการส่งเสริมใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่5 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 1.4.1 ตัวแปรต้น คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรื่อง การฝึกทักษะการใช้ โปรแกรม Scratch ร่วมกับการพัฒนา ทักษะการคิดสร้างสรรค์โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 1.4.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรื่อง เสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python ร่วมกับการพัฒนา ทักษะการคิดสร้างสรรค์โดย ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ขอบเขตของการวิจัย 1.5.1 ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัยจำนวน 3 ห้อง นักเรียนทั้งหมด 120คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 1.5.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 โรงเรียนวัดสมุทรสาครวิทยาลัย จำนวน 1 ห้อง 43 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยวิธีการเลือกเจาะจง นิยามศัพท์เฉพาะ 1 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI) เป็นกระบวนการเรียน การสอน โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ CAI ย่อมาจากคำว่า COMPUTER-ASSISTED หรือ AIDEDINSTRUCTION คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) หมายถึง สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์ รูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการนำเสนอสื่อประสมอันได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิ กราฟ วิดีทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือองค์ ความรู้ในลักษณะที่ ใกล้เคียงกับการสอนจริงในห้องเรียนมากที่สุด 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกระทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อนและหลังเรียน 3 ผู้เรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัยจำนวน 1 ห้อง 43 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยวิธีการเลือกเจาะจง 4 กลุ่มทดลอง หมายถึง กลุ่มผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ที่พัฒนาขึ้น โดยใช้แบบ แผนการทดลองแบบห้องเดียวสอบก่อนหลัง 5 กลุ่มเป้าหมาย หมายถึง กลุ่มที่ใช้หาประสิทธิภาพของบทเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนที่สร้างขึ้น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 โรงเรียน สมุทรสาครวิทยาลัยจำนวน 1 ห้อง 43 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดย วิธีการเลือกเจาะจง
4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1 ได้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การฝึกทักษะการใช้โปรแกรม Scratch 2 ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น 3 ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5 บทที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน สมุทรสาครวิทยาลัยในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียด ของประเด็นเอกสารที่ได้ศึกษามาพอสรุปได้ดังนี้ 2.1 วิชาการเขียนโปรแกรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2.2 การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.3 การจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.5 สรุปเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 วิชาเขียนโปรแกรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 วิชา การเขียนโปรแกรม 1 รหัสวิชา ว30273 จำนวน 0.5 หน่วยกิต เวลาเรียน 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. ศึกษาความรู้เกี่ยวกับ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ ขั้นตอนการ พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โครงสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ ชนิดข้อมูล คำสั่งรับและแสดงผล โครงสร้างแบบมีทางเลือก โครงสร้างแบบทำซ้ำ และการสร้างฟังก์ชันเบื้องต้น เพื่อควบคุม การทำงานของโปรแกรม อาศัยกระบวนการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Base Learning) การ จัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน (Problem-Base Learning) เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ฝึกทักษะการคิด เผชิญสถานการณ์การแก้ปัญหาวางแผนการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดทักษะ ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการคิดวิเคราะห์ปัญหา จนสามารถนำ กระบวนการการเขียนโปรแกรม ไปใช้ในการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตและเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งหมด 6 ผลการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ 2. อธิบายความหมายของชนิดข้อมูล ตัวแปรและตัวดำเนินการได้ 3. สามารถใช้คำสั่งรับและแสดงผลข้อมูลได้ 4. สามารถเขียนโปรแกรมควบคุมทิศทางแบบทางเลือกในการแก้ปัญหาได้
6 5. สามารถเขียนโปรแกรมควบคุมทิศทางแบบวนซ้ำในการแก้ปัญหาได้ 6. อธิบายและเขียนฟังก์ชันเบื้องต้นได้ 2. มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ เพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยี อย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม 2.2 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ศิริวรรณ แก้วจรัญ (2561)1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง บทเรียนรายบุคคลจาก คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมช่วยสร้าง Presentation เป็นตัวกลางในการนำเสนอ เนื้อหา ซึ่งประกอบไปด้วยการนำเสนอ ตัวอย่างแบบฝึกหัด และแบบทดสอบก่อนเรียนและหลัง จบ บทเรียนที่แสดงข้อความ ภาพ ภาพเคลื่อนไหวและเสียงเพลงประกอบ มีคำถาม คำตอบให้6 ผู้เรียน ได้เรียนรู้ด้วยตนเองแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับคอมพิวเตอร์โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ช่วยใหผู้ เรียนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาของบทเรียน 2. แบบทดสอบ หมายถึง ข้อสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 10ข้อ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดย ผ่านกาวิเคราะห์หาระดับความยากง่ายอำนาจจำแนกและค่าความเชื่อมั่นใช้เป็นข้อสอบ ชุด เดียวกนัแต่สลับข้อคำ ถามและข้อคำตอบ เพื่อวัดความรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน 3. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง คะแนนจากการทา กิจกรรม ระหว่างเรียนและผลลัพธ์สุดท้ายของการเรียนโดยใช้เกณฑ์ประสิทธิภาพ E1 / E2 เท่ากับ 85/85 E1 หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ 4. ความพึงพอใจ หมายถึงความคิดเห็นทางบวกของนกัเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่5 ต่อ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การเขียนโปรแกรมPython นิกร สุกขชาติ(2563:8,9)CAI (Computer Assisted Instruction) หรือคอมพิวเตอร์ช่วย สอน หมายถึง สื่อการเรียน การสอนทางคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ที่นิยมบันทึกลงบนแผ่น CD-ROM ซึ่งสามารถนำเสนอสื่อ ประสมได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิที่ใกล้เคียงกับการสอนจริงมาก ที่สุด โดยการน าเสนอ เนื้อหาทีละจอภาพ ซึ่งรูปแบบจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับธรรมชาติ และ โครงสร้างของเนื้อหาโดยมีเป้าหมายสำคัญคือ สามารถดึงดูดความสนใจ และกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด ความต้องการที่จะเรียนรู้CAI จึงเป็นสื่อการศึกษายุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาก และยังมีข้อได้เปรียบ เหนือสื่ออื่นๆ ด้วยกัน หลายประการ และสามารถตอบสนองความแตกต่างระหว่างผู้เรียน ซึ่งผู้เรียน จะมีปฏิสัมพันธ์ หรือ การตอบโต้พร้อมทั้งได้รับผลย้อนกลับ (feedback) อย่างต่อเนื่องกับเนื้อหา และกิจกรรมต่างๆ จึง ง่ายต่อการประเมิน และตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันผู้เรียนสามารถ น า CAI ไปใช้เรียนด้วยตนเองโดยปราศจากข้อจ ากัดด้านเวลาและ สถานที่ในการด าเนินการศึกษา ค้นคว้า CAI จึงเป็นสื่อสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ในลักษณะที่ เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
7 2.2.1คุณลักษณะที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.2.1.1 สารสนเทศ (Information) หมายถึงเนื้อหาสาระที่ได้รับการเรียบเรียงทำให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้หรือได้รับทักษะอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ผู้สร้างได้ก าหนดวัตถุประสงค์ไว้การนำเสนอ อาจเป็นไปในลักษณะทางตรง หรือทางอ้อมก็ได้ ทางตรงได้แก่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทติวเตอร์ เช่นการอ่าน จำ ทำความเข้าใจ ฝึกฝน ตัวอย่างการนำเสนอในทางอ้อมได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ประเภทเกมและการจำลอง 2.2.1.2 ความแตกต่างระหว่างบุคคล(Individualization) การตอบสนองความแตกต่าง ระหว่างบุคคลคือลักษณะสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบุคคลแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ทางการเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นสื่อประเภทหนึ่งจึงต้องได้รับการออกแบบให้มีลักษณะที่ ตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบุคคลให้มากที่สุด 2.2.1.3 การโต้ตอบ (Interaction) คือการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนการเรียนการสอนรูปแบบที่ดีที่สุดก็คือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนได้มาก ที่สุด 2.2.1.4 การให้ผลป้อนกลับโดยทันที (Immediate Feedback) ผลป้อนกลับหรือการให้ คำตอบนี้ ถือเป็นการเสริมแรงอย่างหนึ่งการให้ผลป้อนกลับแก่ผู้เรียนในทันทีหมายรวมไปถึงการที่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สมบูรณ์จะต้องมีการทดสอบหรือประเมินความเข้าใจของผู้เรียนในเนื้อหาหรือ ทักษะต่างๆตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว 2.3 การจัดการเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้สร้างองค์ความรู้ พัณณิตา พรมตื้อ(2563:6)ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ประสบการณ์ใหม่ / ความรู้ใหม่ + ประสบการณ์เดิม / ความรู้เดิม = องค์ความรู้ใหม่ ซีมัวร์ พาร์เพิร์ท (Seymour Papert) ได้ให้ความเห็นว่า ทฤษฎี การศึกษาการเรียนรู้ที่มีพื้นฐานอยู่บนกระบวนการการสร้าง 2 กระบวนการด้วยกัน สิ่งแรก คือ ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยการสร้างความรู้ใหม่ขึ้นด้วยตนเอง ไม่ใช่รับแต่ข้อมูลที่หลั่งไหล เข้ามาในสมองของ ผู้เรียนเท่านั้น โดยความรู้จะเกิดขึ้นจากการแปลความหมายของประสบการณ์ที่ ได้รับ สังเกตว่าใน ขณะที่เรา สนใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่อย่าง ตั้งใจเราจะไม่ลดละความพยายาม เราจะ คิดหาวิธีการแก้ไข ปัญหานั้นจนได้สิ่งที่สอง คือ กระบวนการการเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากกระบวนการนั้น มีความหมายกับผู้เรียนคนนั้น จากที่กล่าวมาสามารถสรุปให้เป็นหลักการต่างๆที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกัน และกัน ได้ดังนี้1.หลักการที่ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หลักการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism คือ การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยให้ผู้เรียนลงมือประกอบกิจกรรมการ เรียนรู้ด้วยตนเองหรือได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่มีความหมาย ซึ่งจะรวมถึงปฏิกิริยา ระหว่างความรู้ในตัวของผู้เรียนเอง ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมภายนอก การเรียนรู้จะได้ผลดีถ้าหา กว่าผู้เรียนเข้าใจในตนเอง มองเห็นความสำคัญในสิ่งที่เรียนรู้และสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่าง ความรู้ใหม่กับความรู้เก่า)รู้ว่าตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้าง และสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมา 2.หลักการที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ โดยครูควรพยายามจัดบรรยากาศการเรียน การสอน ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนด้วยตนเองโดยมีทางเลือกในการเรียนรู้ที่
8 หลากหลาย (Many Choice) และเรียนรู้อย่างมีความสุขสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่ กับความรู้เก่าได้ส่วนครูเป็นผู้ช่วยเหลือและคอยอำนวยความสะดวก 3.หลักการเรียนรู้จากประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม หลักการนี้เน้นให้เห็นความสำคัญของ การเรียนรู้ ร่วมกัน (Social value) ทำให้ผู้เรียนเห็นว่าคนเป็นแหล่งความรู้อีกแหล่งหนึ่งที่สำคัญ การ สอนตาม ทฤษฎี Constructionism เป็นการจัดประสบการณ์เพื่อเตรียมคนออกไปเผชิญโลก ถ้าผู้เรียนเห็นว่า คนเป็นแหล่งความรู้สำคัญและสามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันได้เมื่อเขาจบออกไปก็จะปรับตัวได้ง่าย และทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ 4.หลักการที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือการรู้จักแสวงหาคำตอบจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ด้วย ตนเอง เป็นผลให้เกิดพฤติกรรมที่ฝังแน่นเมื่อผู้เรียน “เรียนรู้ว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไร (Learn how to Learn) 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 พรเทพ เมืองแมน (2544 : 7) “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ซีเอ ไอ มาจากภ าษาอังกฤษว่า Computer -Assisted Instruction หรือ Computer – Aided Instruction ซึ่งราชบัณฑิตยสถานบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยว่า “การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” แต่คำศัพท์ ดังกล่าวไม่เป็นที่นิยม แต่มักจะใช้คำว่า “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” กันมากกว่าอย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่า หากเติมคำว่า “บทเรียน” เข้าไปข้างหน้า โดยใช้เป็น “บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน” จะทำให้เกิด ความเข้าใจได้ง่ายและชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น ในหนังสือเล่มนี้จึงขอให้คำว่า “บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วย สอน” ในความหมายเดียวกับคำในภาษาอังกฤษว่า Computer-Assisted Instruction หรือที่เรียก ย่อ ๆ ว่า CAI 2.2 ในปัจจุบันภาษาที่ใช้ในการพัฒนา Web Application มีมากมายหลายภาษา อาทิเช่น ภาษา Perl, PHP, JAVA, ASP, Tcl, Python เป็นต้น สำหรับภาษา Python นับว่ายังใหม่ใน วงการพัฒนาโปรแกรมบนเว็บ แต่ด้วยข้อดีหลายประการของภาษา Python ทำให้มีผู้นิยมใช้มากขึ้น เรื่อยๆซึ่งพอสรุปข้อดีของภาษา Python ได้ดังนี้ 2.2.1 ง่ายต่อการเรียนรู้โดยภาษา Python มีโครงสร้างของภาษาไม่ซับซ้อนเข้าใจง่าย ซึ่ง โครงสร้างภาษา Python จะคล้ายกับภาษา C มาก เพราะภาษา Python สร้างขึ้นมาโดยใช้ภาษา C ทำให้ผู้ที่คุ้นเคยภาษา C อยู่แล้วใช้งานภาษา Python ได้ไม่ยาก นอกจากนี้โดยตัวภาษาเองมีความ ยืดหยุ่นสูงทำให้การจัดการกับงานด้านข้อความ และ Text File ได้เป็นอย่างดี 2.2.2 ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตัวแปรภาษา Python อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ GNU 2.2.3 ใช้ได้หลายแพลตฟอร์ม ในช่วงแรกภาษา Python ถูกออกแบบใช้งานกับระบบ Unix อยู่ก็จริง แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาตัวแปลภาษา Python ให้สามารถใช้กับระบบปฏิบัติการอื่นๆ อาทิเช่น Linux, Windows 95/98/ME, Windows NT, Windows 2000, OS/2 2.2.4 ภาษา Python ถูกสร้างขึ้นโดยได้รวบรวมเอาส่วนดีของภาษาต่างๆ เข้ามาไว้ ด้วยกัน อาทิเช่น ภาษา C, C++, Java, Perl 2.2.5 ภาษา Python เป็นภาษาประเภท Server side Script คือการทำงานของภาษา Python จะทำงานด้านฝั่ง Server แล้วส่งผลลัพธ์กลับมายัง Client ทำให้มีความปลอดภัยสูง 2.3 ลักขณา สริวัฒน์ (2557 : 185-188) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการสร้างความรู้ ( Constructivism) ไว้ดังนี้ ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ( Constructivism) แนวคิดการสร้าง
9 ความรู้ด้วยตนเองมีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของความรู้ของมนุษย์ ซึ่งมีความหมายทั้งในเชิง จิตวิทยาและเชิงสังคมวิทยา ทฤษฎีด้านจิตวิทยาเริ่มต้นด้วยเพียเจต์ (Piaget) ที่เสนอไว้ว่า การเรียนรู้ ของเด็กเป็นกระบวนการส่วนบุคคลมีความเป็นเอกนัย และวีกอทสกี (Vygotsky. 1978) ได้ขยาย ขอบเขตการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลว่าเกิดจากการสื่อสารทางภาษากับบุคคลอื่น ซึ่งผลงานเขาเป็นที่ ยอมรับกันในประเทศรัสเซียและเริ่มเผยแพร่สู่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆในยุโรป สำหรับทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) จัดเป็นทฤษฎีการ เรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (Cognitive Psychology) มีรากฐานมาจากผลงานของออซูเบล (Ausubel) และเพียเจต์ (Piaget) ผู้เขียนได้รวบรวมองค์ความรู้ด้วยตนเอง ลำดับขั้นของการเรียนรู้ตามแนว ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และการประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ พรวิภา นาบำรุง(2563:บทคัดย่อ)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพด้วย สื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความจริงเสมือน เรื่อง การสร้างนิทาน โดยโปรแกรม Scratch ร่วมกับการ พัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของสื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความจริงเสมือน เรื่อง การสร้าง นิทาน โดยโปรแกรม Scratch ร่วมกับการพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยสื่อการเรียนรู้ เทคโนโลยีความจริงเสมือน เรื่อง การสร้างนิทาน โดยโปรแกรม Scratch ร่วมกับการพัฒนาทักษะ การคิดสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ โดยจำแนกตามเพศ ประสบการณ์ในการเรียนรู้และความรู้ความเข้าใจในใช้โปรแกรม Scratch กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ วิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนโคกก่อพิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม องค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 45 คนเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย แบบสอบถามความต้องการของผู้เรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบสอบถามความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้แบบวัดทักษะการคิดสร้างสรรค์ ได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและการ ทดสอบเครื่องมือโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แอลฟ่า (Alpha Coefficient) ตามวิธีการ ของครอนบาค (Cronbach) ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 ผลการวิจัยพบว่า 1) สถานภาพ ของผู้ตอบแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 45 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศ หญิง จำ นวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 73.33ประสบการณ์ในการเรียนเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม Scratch ระหว่าง 1-2 ปี จำนวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ57.78 มากที่สุด ส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจ ในใช้โปรแกรม Scratch 2) ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสมือน เรื่อง การ สร้างนิทาน โดยโปรแกรมScratch ร่วมกับการพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ที่สุด ( x ) = 4.55 ,S.D. = 0.49 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านนักเรียนเห็นด้วยมากที่สุดเรียงตามลำดับ ดังต่อไปนี้ นักเรียนส่วนใหญ่เห็นด้วยมากที่สุดในด้านประโยชน์ที่ได้จากการเรียนรู้เป็นลำดับที่หนึ่ง ( x ) = 4.61 , S.D. = 0.47 รองลงมาคือด้านบรรยายการเรียนรู้ ( x ) = 4.58, S.D. = 0.50 และด้าน กิจกรรมการเรียนรู้ ( x ) = 4.45, S.D. = 0.51) 3) ผลศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยสื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีความริงเสมือน เรื่อง การสร้างนิทาน โดยโปรแกรม Scratch ร่วมกับการพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้
10 กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ โดยภาพรวมพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจโดย รวมอยู่ในระดับมาก ( x ) = 71.94, S.D. = 0.79) ยุทธกรณ์ ก่อศิลป์,นิลมณี พิทักษ์(2556:บทคัดย่อ)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนา ความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ตาม แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ โดยใช้เทคนิค แผนผังทางปัญญา รายวิชา ส32103 สังคมศึกษา ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยนักเรียนร้อย ละ 80 ของนักเรียนทั้งหมด ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็มขึ้นไป 2) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ โดยใช้เทคนิค แผนผังทางปัญญา รายวิชา ส32103 สังคมศึกษา โดยนักเรียนร้อยละ 80 ของนักเรียนทั้งหมด มีผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียนตั้งแต่ร้อยละ 80 ขึ้นไป กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/16 โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย สำ นักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 ที่กำ ลังศึกษาในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 จำ นวน 33 คน โดย การเลือกแบบเจาะจง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัย เชิงปฏิบัติการ (Action Research) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) เครื่องมือ ที่ใช้ในการปฏิบัติการ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัค ติวิสต์ โดยใช้เทคนิค แผนผังทางปัญญา รายวิชา ส32103 สังคมศึกษา จำ นวน 10 แผน เวลา 11 ชั่วโมง 2) เครื่องมือที่ใช้ ในการสะท้อนผลการปฏิบัติการ ได้แก่ แบบสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบทดสอบย่อยท้ายวงจร แบบประเมินความสามารถ ในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์ โดยใช้เทคนิคแผนผังทางปัญญา 3) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการ สอน ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา ส32103 สังคมศึกษา ชุฏิภัคศ์ เขมวิมุตติวงศ์(2560:บทคัดย่อ)การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานักศึกษา โดยการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองในการผลิตสื่อแอนิเมชันในการเรียนรู้เป็นการวิจัยเชิงกรณีศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาเอกคอมพิวเตอร์ศึกษาจำนวน 3 คน คัดเลือกจากนักศึกษาที่ ผู้วิจัยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการศึกษาอิสระด้านคอมพิวเตอร์ศึกษา ในหัวข้อการจัดทำสื่อ แอนิเมชันเพื่อการเรียนรู้เครื่องมือการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูลคือการสังเกตพฤติกรรม การ ประเมินผลสัมฤทธิ์และการสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเชิง คุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ นำเสนอผลการวิเคราะห์และสรุป ผลการวิจัยโดยวิธีการพรรณนารายละเอียดผลการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพพบว่า ด้านพฤติกรรม กลุ่มตัวอย่างได้ผลิตสื่อแอนิเมชันเพื่อการเรียนรู้โดยการปฏิบัติด้วยตนเองในทุกขั้นตอนของการผลิต ด้านการประเมินผลสัมฤทธิ์กลุ่มตัวอย่างมีผลสัมฤทธิ์ในการผลิตสื่อแอนิเมชันเพื่อการเรียนรู้อยู่ใน ระดับคะแนน A มีระดับความพึงพอใจของผู้ชมสื่ออยู่ในระดับ ดีมาก และด้านการสัมภาษณ์ตาม ขั้นตอนการผลิตสื่อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้โดยการปฏิบัติตาม ข้อชี้แนะของอาจารย์ที่ปรึกษาและคณะกรรมการประเมินผล มีการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากสื่อ ต่าง ๆ ทางอินเทอร์เน็ต และมีความรู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานสื่อแอนิเมชันเพื่อการเรียนรู้ที่ได้ตนเอง ได้ผลิตขึ้น สรุปผลการวิจัย ได้ว่า กลุ่มตัวอย่างได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถในการผลิตสื่อ แอนิเมชันเพื่อการเรียนรู้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้าง
11 2.5 สรุปเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากผลการวิจัยการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับเทคนิคการสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง รายวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดตึกมหาชยา ราม ครั้งนี้สรุปได้ว่า ผลการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับเทคนิคเทคนิคการสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง รายวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดตึกมหา ชยาราม จากการพัฒนาพบว่า ผลการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาและคุณภาพด้านการออกแบบ บทเรียนอยู่ในระดับดีมากสอดคล้องกับ(นิรันดร์ ชัยวิเศษ และสมทรง สิทธิ, 2564) การพัฒนา ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคอมพิวเตอร์โดยใช้บทเรียน CAI ด้วยโปรแกรม Coding ตามแนวคิดกาเย่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบว่านักเรียนให้ความ สนใจมากที่สุดและนักเรียนเห็นว่าสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับครูผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้จากอย่าง สมบูรณ์ทำให้นักเรียนได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้แบบร่วมมือกันและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ประสิทธิภาพของบทเรียนที่ได้พัฒนาขึ้นพบว่ามีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.15/82.31 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เนื่องจากมีการทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้นหลายครั้งและแก้ไขให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นก่อนนำไปใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย สอดคล้องกับ (ภานุวัฒน์ ศรีไชยเลิศ และ อัครเดช พรหมชนะ, 2563) ซึ่งได้ทำการพัฒนางานวิจัย เรื่อง การพัฒนาการเรียนรู้แบบคอนสตรัคติวิสต์บนโมบายแอพพลิเคชัน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในรายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน พนมทวนชนูปถัมภ์ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 22.70 S.D. เท่ากับ 2.97 สูงกว่า ก่อนเรียนโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.78 S.D. เท่ากับ 2.91 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้นพบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเหมาะสม สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับ (จักรพงษ์ ตรียุทธ์ และ นพพร แหยมแสง, 2562) ซึ่งได้ทำการพัฒนางานวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีการ สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เรื่อง เส้นขนาน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ผลการวิจัยพบว่าผลประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกระบวนการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น โดยรวมอยู่ในระดับมาก
12 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย ในการวิจัยโดยการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัยผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2 แผนแบบการวิจัย 3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4 วิธีการดำเนินงานวิจัย 5 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย 1.ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัยจำนวน 3 ห้อง นักเรียนทั้งหมด 120คน ที่ กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 2.กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 โรงเรียนวัดสมุทรสาครวิทยาลัยจำนวน 1 ห้อง 43 คน ที่กำลังศึกษา อยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยวิธีการเลือกเจาะจง แผนแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงทดลอง (Pre-experimental Research) แบบ One Group Pretest Posttest Design (มนต์ชัย เทียนทอง, 2545:314) เริ่มต้นด้วยการคัดเลือกกลุ่มผู้เรียนมา หนึ่งกลุ่ม หลังจากนั้นให้ทำการทดสอบก่อนเรียนเพื่อหาคะแนนเฉลี่ยที่ได้ โดยดำเนินการทดลองใช้ บทเรียน แล้วจึงทำการทดสอบหลังเรียนเพื่อหาคะแนนเฉลี่ยที่ได้หลังจากนั้นจึงนำค่าเฉลี่ยทั้งสอง มาเปรียบเทียบหาค่าความแตกต่างตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยใช้สถิติ t-test เพื่อทดสอบดูว่าคะแนน การทดสอบหลังเรียนแตกต่างจากแบบทดสอบก่อนบทเรียนหรือไม่ ถ้าหากมีความแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ ก็แสดงว่าเป็นผลจากบทเรียนที่ได้ทดลองใช้ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง เพื่อเตรียมสำหรับการทดลองการการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้รายวิชา การเขียนโปรแกรม Python 2 หลังการเรียนทุกบทเรียนในทุก ๆ หน่วยการเรียนของบทเรียน ผู้เรียนเริ่มเรียนเนื้อหาของ บทเรียนจนครบ 3 เมื่อเรียนครบทุกหน่วยการเรียนในตัวบทเรียนแล้ว ผู้เรียนต้องทำแบบทดสอบประเมินผล รวม โดยเนื้อหาของแบบทดสอบประเมินผลจะครอบคลุมวัตถุประสงค์ทั้งหมดที่มีอยู่ของบทเรียน จึงจะถือว่าผู้เรียนสามารถเรียนจบการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการ เรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้รายวิชา การเขียนโปรแกรม Python
13 ตารางที่ 3-1**แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียว สอบก่อน-สอบหลัง (วัญญา วิศาลาภรณ์, 2540: 177) กลุ่มตัวอย่าง การทดสอบก่อนเรียน การทดลอง การทดสอบหลังเรียน ER O1 X O2 เมื่อ ER คือ กลุ่มตัวอย่าง X คือ การทดลองด้วยบทเรียนกิจกรรมการเรียนรู้แบบสาธิตที่พัฒนาขึ้น O1คือ การทดสอบก่อนเรียน O2คือ การทดสอบหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1 แผนการสอน รายวิชา การเขียนโปรแกรม Python สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้รายวิชา เทคโนโลยี(การเขียนโปรแกรม Python) 3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 4 แบบประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาและด้านเทคนิค 5 แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ราย การเขียนโปรแกรม Python สำหรับระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 วิธีการดำเนินงานวิจัย ในการสร้างและหาคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้รายวิชา การเขียนโปรแกรม Python สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็น บทเรียนสำหรับ การสอน ในกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินงานตามทฤษฎีของ ADDIE Model ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นการวิเคราะห์ (Analysis) ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาบทเรียน เรื่อง เพื่อฝึกทักษะ การใช้โปรแกรม Scratch สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดตึกมหาชยารามจำนวน 3 หน่วยการเรียนรู้ คือ 1)รู้จักกับโปรแกรม Scratch, 2) ตัวแปรของโปรแกรม Scratch และ 3) การ ทำงานแบบวนซ้ำ แล้วกำหนดการออกข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัยชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก ทั้งหมด 30 ข้อ แล้วนำไปประเมินความสอดคล้อง (IOC) ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และนำไป หาคุณภาพของแบบทดสอบโดยการวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบรายข้อ และจึงได้แบบทดสอบที่มี คุณภาพเหมาะสมจำนวน 30 ข้อ จากนั้นวิเคราะห์สภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องเรียน ลักษณะผู้เรียน และเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
14 2. การออกแบบ (Design) นำผลการวิเคราะห์ไปออกแบบบทเรียน ได้แก่ หน้านำเสนอ เนื้อหา, ใบงาน และกำหนดรูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1) ชี้แจงรูปแบบ กิจกรรมและการใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้น, 2) ทำแบบทดสอบก่อนเรียน, 3) ศึกษาเนื้อหาบทเรียน, 4) ทำกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมาย 5) ทำแบบทดสอบหลังเรียน และ 6) ประเมินความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3. การพัฒนา (Development) พัฒนาบทเรียนตามที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การเตรียมการ เป็นการเตรียมส่วนต่าง ๆ ที่จะใช้พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน เช่น ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และวิดิโอสาธิต 2) สร้างเอกสารประกอบบทเรียน ได้แก่ ใบงาน, ใบความรู้ และ 3) พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผ่าน Wix Site 4. การนำไปใช้ (Implementation) ทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้น ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ทดลองใช้โดยผู้วิจัย เพื่อตรวจสอบหาข้อผิดพลาดเบื้องต้นและ ปรับปรุงแก้ไข, 2) ทดลอง ใช้กับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและด้านเทคนิควิธีการ เพื่อปรับปรุงแก้ไขตาม ข้อเสนอแนะ ซึ่งมีผลการประเมินด้านเนื้อหาอยู่ใน ระดับมากที่สุด (̅ = 4.73, S.D. = 0.45) และด้าน เทคนิควิธีการอยู่ในระดับมากที่สุด (x ̅= 4.64, S.D. = 0.48) และ 3) ทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย โดย ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวสอบก่อน-สอบหลัง ตามรูปแบบกิจกรรมที่ได้ออกแบบไว้ 5. การประเมินผล (Evaluation) ประเมินผลข้อมูลที่ได้จากการทดลองใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้นกับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้รูปแบบเทคนิคการเรียนสร้างองค์ความรู้ ด้วยการวิเคราะห์หาค่าทางสถิติต่าง ๆ ได้แก่ x ̅, S.D. , ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และค่า t-test เพื่อ ทดสอบสมมติฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคแบบสาธิต รายวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) สำหรับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 5 มี สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าทดสอบสถิติที (t-test) โดยนำผล ที่ได้เทียบกับเกณฑ์การประเมิน (พิสุทธา อารีราษฎร์, 2550) ดังนี้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50 – 5.00 หมายความว่า ระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.50 – 4.49 หมายความว่า ระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.50 – 3.49 หมายความว่า ระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.50 – 2.49 หมายความว่า ระดับน้อย ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 – 1.49 หมายความว่า ระดับน้อยที่สุด
15 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป มีดังนี้ 1 วิเคราะห์การประเมินคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยผู้เชี่ยวชาญด้วยวิธี การทางสถิต ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2543 : 99 - 104) 1.1 หาค่าเฉลี่ย (mean) 1.2 หาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 1.3 หาดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ โดยหาค่าเฉลี่ย การ ประเมินของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด โดยใช้สูตร IOC ของ (สมนึก ภัททิยธนี, 2544 : 221) 1.4 หาค่าความยากง่าย (P) 1.5 หาค่าอำนาจจำแนก (r) 1.6 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ โดยใช้สูตรคูเดอร์ ริชาร์ดสัน(KR-20) 2 สูตรสถิติที่ใช้ในการทดลอง 2.1 หาค่าเฉลี่ย (mean) ค่าเฉลี่ย ( X ) คำนวณจากสูตร (ล้วนและอังคณา สายยศ, 2538) N X X = เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ย X แทน ผลรวมของคะแนนในกลุ่ม N แทน จำนวนผู้เรียนในกลุ่มตัวอย่าง 2.2 หาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) คำนวณจากสูตร (ล้วนและอังคณา สายยศ, 2538) ( ) ( 1) . . 2 2 − − = N N N X X S D เมื่อ S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน ผลรวมของคะแนนในกลุ่ม X 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง N แทน จำนวนผู้เรียนในกลุ่มตัวอย่าง
16 2.3 การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาแบบทดสอบแต่ละข้อ โดยใช้สูตร IOC หา ค่าเฉลี่ยดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ใช้สูตร IOC = ∑ เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา หรือระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ ∑R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 2.4 หาค่าความเชื่อมั่น ค่าความยากง่ายและค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งมีสูตรคำนวณ ดังนี้ คำนวณหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบโดยวิธีของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน สูตร KR-20 (เยาวดี วิบูลย์ศรี, 2545) − − = 2 t 2 t tt σ σ pq k 1 k r เมื่อ tt r คือ ค่าสัมประสิทธิ์แห่งความเที่ยงของแบบทดสอบ k คือ จำนวนข้อสอบ p คือ สัดส่วนของผู้ตอบถูกในแต่ละข้อคำถาม q คือ สัดส่วนของผู้ตอบผิดในแต่ละข้อคำถาม (q =1− p) 2 σt คือ ความแปรปรวนของคะแนนสอบทั้งหมด 2.5 หาค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ การวิเคราะห์ ความยาก ง่ายเป็นการวิเคราะห์รายข้อ ใช้สูตร (เยาวดี วิบูลย์ศรี, 2545) N R p = เมื่อ p คือ ค่าความยากของข้อคำถามแต่ละข้อ R คือ จำนวนผู้ที่ตอบข้อคำถามนั้นถูก N คือ จำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด คำนวณหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การหาอำนาจจำแนก เป็นการดูความเหมาะสมของรายข้อว่า ข้อคำถามสามารถจำแนกกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อนได้จริง หรือ จำแนกผู้ที่มีคุณลักษณะสูงจากผู้มีคุณลักษณะต่ำได้ใช้สูตร (เยาวดี วิบูลย์ศรี, 2545) N R R r U − L = เมื่อ r คือ ค่าอำนาจจำแนก R U คือ จำนวนนักเรียนในกลุ่มสูงที่ตอบถูก RL คือ จำนวนนักเรียนในกลุ่มต่ำที่ตอบถูก
17 N คือ จำนวนนักเรียนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ 2.6 การหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการทดสอบค่า t-test แบบจับคู่ (Matchedpaired t-test) สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (วัญญา วิศาลาภรณ์, 2540) สูตรที่คำนวณหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้แก่ ( ) 1 2 2 − − = N N D D D t เมื่อ df = N −1 D = ความแตกต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ N = จำนวนคู่ 2.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของหนังสืออ่านประกอบตามเกณฑ์ 80/80 ใช้สูตร E1 / E2 (วุฒิชัย ประสารสอย, 2547) 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนทุกคนจากการทำกิจกรรม หรือ แบบทดสอบระหว่างเรียน โดยนำคะแนนมารวมกันและคิดเฉลี่ยเป็นร้อยละ 80 x 100 A N X E1 = E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ X แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบระหว่างเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบระหว่างเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน
18 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทุกคนเพื่อ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คิดเฉลี่ยเป็นร้อยละ 80 x 100 B N F E2 = E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ F แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์หลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน
บทที่ 4 ผลการวิจัย จากการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้การพัฒนาการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการ จัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อฝึกทักษะการเขียนโปรแกรม Python สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิจัยดังนี้ 4.1 จากสื่อการเรียนออนไลน์ที่ได้พัฒนาขึ้น ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่านได้ประเมินคุณภาพ สื่อการเรียนออนไลน์ ในรายวิชาวิทยาการคำนวณ ดังแสดงในตารางที่ 4-1 และตารางที่ 4-2 ตารางที่ 4-1 : ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนออนไลน์ด้านเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ ข้อ รายการประเมิน ระดับความคิดเห็น x̅ SD. ความ เหมาะสม 1. การแจ้งจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้ผู้เรียนทราบ 5.00 0.00 มากที่สุด 2. เนื้อหามีความสอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 5.00 0.00 มากที่สุด 3. ความถูกต้องชัดเจนของเนื้อหา 5.00 0.00 มากที่สด 4. เนื้อหาเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน 4.33 0.58 มาก 5. ความเหมาะสมในการจัดลำดับการนำเสนอเนื้อหา 4.67 0.58 มากที่สุด 6. การจัดลำดับตามความยากง่ายมีความเหมาะสม 4.67 0.58 มากที่สุด 7. ความเหมาสมระหว่างรูปภาพกับเนื้อหา 4.33 1.15 มาก 8. ความถูกต้องของภาษาที่ใช้ 4.33 0.58 มาก 9. แบบทดสอบครอบคลุมเนื้อหาตามวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม 5.00 0.00 มากที่สุด 10. ความสอดคล้องแบบฝึกหัดก่อน/หลังเรียนกับเนื้อหา 5.00 0.00 มากที่สุด เฉลี่ยรวม 4.73 0.45 มากที่สุด จากตารางที่ 4-1 พบว่า ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อความเหมาะสมของบทเรียนออนไลน์ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคแบบสาธิต รายวิชาเทคโนโลยี(การเขียนโปรแกรม Python) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( x̅ = 4.73, S.D. = 0.45 )
20 ตารางที่ 4-2 : ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้านเทคนิคการพัฒนาสื่อการ เรียนออนไลน์โดยผู้เชี่ยวชาญ ข้อ รายการประเมิน ระดับความคิดเห็น x̅ S.D. ความ เหมาะสม 1. ด้านตัวอักษร (TEXT) 1.1 ความเหมาะสมของขนาดของตัวอักษร 5.00 0.00 มากที่สุด 1.2 รูปแบบตัวอักษรมีความชัดเจนและอ่านได้ง่าย 5.00 0.00 มากที่สุด 1.3 ความเหมาะสมของสีตัวอักษร และสีพื้นหลังตัวอักษร 4.67 0.58 มากที่สุด 1.4 ความเหมาะสมของการจัดวางตัวอักษร/ข้อความในแต่ละ Frame 4.67 0.58 มากที่สุด 1.5 ความถูกต้องของข้อความตามหลักการใช้ภาษา 4.67 0.58 มากที่สุด เฉลี่ยรวม 4.80 0.20 มากที่สุด 2. ด้านภาพนิ่ง (IMAGE) 2.1 ขนาดของภาพเหมาะสมกับหน้าจอ 5.00 0.00 มากที่สุด 2.2 สีและความชัดเจนของภาพ 4.67 0.58 มากที่สุด 2.3 ความเหมาะสมของภาพที่ใช้ในการสื่อความหมาย 4.67 0.58 มากที่สุด 2.4 ความสมดุลของการจัดวางภาพในแต่ละกรอบ 4.33 0.58 มากที่สุด เฉลี่ยรวม 4.67 0.38 มากที่สุด 3. ด้านปฏิสัมพันธ์ (INTERACTIVE) 3.1 การควบคุมการเรียนออนไลน์มีความเข้าใจง่าย สะดวกต่อ การใช้งาน 5.00 0.00 มากที่สุด 3.2 ความเหมาะสมของการเชื่อมโยงเนื้อหาภายในหน่วยการ เรียน 5.00 0.00 มากที่สุด เฉลี่ยรวม 5.00 0.00 มากที่สุด จากตารางที่ 4-2 พบว่า ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อความเหมาะสมของบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้รายวิชา วิทยาการคำนวณ โดยรวมด้านปฏิสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ยรวมสูงที่สุดเท่ากับ ( x̅ = 5.00, S.D. = 0.00 ) รองลงมาคือด้าน ตัวอักษรมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ ( x̅ = 4.80, S.D. = 0.20 ) และด้านภาพนิ่งมีค่าเฉลี่ยรวมน้อยที่สุด เท่ากับ .( x̅ = 4.67, S.D. = 0.38 )
21 4.2 จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน สมุทรสาครวิทยาลัย ก่อนเรียนและหลังเรียน ได้ผลดังตารางที่ 4-3 ตารางที่ 4-3 : ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้รายวิชา การเขียนโปรแกรม รายการ n ̅ S.D. df t คำนวน t ตาราง 1. แบบทดสอบก่อนเรียน 30 11.73 2.99 29 9.76 1.69 2. แบบทดสอบหลังเรียน 30 21.40 4.35 * มีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 จากตารางที่ 4-3 พบว่า ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและ หลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้น โดยใช้เทคนิคการสร้างองค์ความรู้ พบว่า หลังเรียนมี ̅ = 21.40 และคะแนนก่อนเรียนมี ̅ =11.73 และค่า t คำนวนมีค่าเท่ากับ 9.76 ซึ่งสูง กว่า t ตาราง หมายความว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.3 จากการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ แบบ สร้างองค์ความรู้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดตึกมหาชยารามก่อนเรียนและ หลังเรียน ได้ผลดังตาราง ที่ 4-4 ตารางที่ 4-4 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ รายการ ̅ S.D. ประสิทธิภาพ 1. คะแนนระหว่างเรียน (E1) 21.10 1.45 81.15 2. แบบทดสอบหลังเรียน (E2) 21.40 4.35 82.31 จากตารางที่ 4-4 พบว่า ผลการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่ พัฒนาขึ้น พบว่ามีประสิทธิภาพเท่ากับ81.15/82.31 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้ จึงสรุปได้ว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเหมาะสมสามารถนำไปใช้ในการ จัดการเรียนการสอนได้
22 4.4 ผลความพึงพอใจของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ ความรู้ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัยโดยมีรายละเอียดดังนี้ ตารางที่ 4-5 ผลความพึงพอใจของบทเรียนออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รายการ ̅ S.D. ระดับความ คิดเห็น 1. มีรูปแบบหน้าจอแต่ละบทเรียนเป็นมาตรฐานเดียวกันทำ ให้เข้าใจง่าย 3.35 0.89 พอใจปานกลาง 2. มีรูปแบบเทคนิคการเรียนการสอนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ของสื่อได้อย่างเหมาะสม 4.27 0.78 พอใจมาก 3. สามารถเรียนซ้ำได้ หากเกิดไม่เข้าใจ 4.15 0.83 พอใจมาก 4. นักเรียนสามารถเข้าเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา 4.50 0.81 พอใจมากที่สุด 5. มีแบบทดสอบทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน สามารถ เปรียบเทียบผลคะแนนได้ 4.54 0.51 พอใจมากที่สุด 6. เนื้อหาวิชาสอดคล้องครอบคลุมตรงตามวัตถุประสงค์ 4.12 0.71 พอใจมาก 7. การอธิบายเนื้อหามีความชัดเจน เข้าใจง่าย 4.62 0.50 พอใจมากที่สุด 8. เนื้อหาของบทเรียนจัดลำดับอย่างเป็นระบบ เป็น มาตรฐานเดียวกัน เข้าใจง่าย 4.23 0.86 พอใจมาก 9. ภาษาที่ใช้เหมาะสมชัดเจนถูกต้อง นักเรียนเข้าใจได้ง่าย 4.65 0.49 พอใจมากที่สุด 10. ความเหมาะสมของคำถาม/คำตอบของแบบทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน 4.38 0.75 พอใจมาก รวม 4.38 0.74 พอใจมากที่สุด จากตารางที่ 4-5 ผลการหาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้น โดยร่วมกับเทคนิคการสร้างองค์ความรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด (̅ = 4.38, S.D. = 0.74) โดยพิจารณาเป็นรายด้านพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้าง องค์ความรู้ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย ผู้วิจัยสามารถสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะโดยมีลำดับดังต่อไปนี้ 1. ผลการวิจัย 2. อภิปรายผล 3. ข้อเสนอแนะ ผลการวิจัย จากการดำเนินการศึกษาวิจัยตามขั้นตอนดังกล่าว สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับ การจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ รายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 จำนวน 43 คน พบว่าผู้เรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ ความรู้ พบว่าหลังเรียนมี ̅ = 21.40 และคะแนนก่อนเรียนมี ̅ =11.73 และค่า t คำนวนมีค่าเท่ากับ 9.76 ซึ่งสูงกว่า t ตาราง หมายความว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ แบบ สร้างองค์ความรู้ รายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/9 พบว่า ผู้เรียนมี คะแนนค่าเฉลี่ยระหว่างเรียนเท่ากับ 21.14 คิดเป็นร้อยละ 81.15 และคะแนน หลังเรียนเท่ากับ 21.40 คิดเป็นร้อยละ 82.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดคือ 80/80 3. ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน โดยการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ รายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/9 ที่พบว่า ผู้เรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาราย ด้านพบว่า ระดับที่ผู้เรียนมีความพึงพอใจมากที่สุดคือ ด้านประโยชน์ที่ได้รับ จากบทเรียนมีค่าเฉลี่ย โดยรวมเท่ากับ ( x̅ = 4.38, S.D. = 0.74 ) รองลงมาคือ ด้านเทคนิคการนำเสนอมีค่าเฉลี่ยโดยรวม เท่ากับ ( x̅ = 4.65, S.D. = 0.49 ) และด้านเนื้อหาวิชามีค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ ( x̅ = 4.12, S.D. = 0.71 )
24 อภิปรายผล จากการศึกษาทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้าง องค์ความรู้ รายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นสามารถ อภิปราย ได้ดังนี้ 1) จากสมมุติฐานข้อที่ 1 ผลการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับเทคนิคเทคนิค การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง รายวิชาเขียนโปรแกรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน สมุทรสาครวิทยาลัย จากการพัฒนาพบว่า ผลการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาและคุณภาพด้านการ ออกแบบบทเรียนอยู่ในระดับดีมากสอดคล้องกับ (นิรันดร์ ชัยวิเศษ และสมทรง สิทธิ, 2564) การ พัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคอมพิวเตอร์โดยใช้บทเรียน CAI ด้วยโปรแกรม Coding ตามแนวคิดกาเย่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบว่านักเรียนให้ ความสนใจมากที่สุดและนักเรียนเห็นว่าสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับครูผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้ จากอย่างสมบูรณ์ทำให้นักเรียนได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้แบบร่วมมือกันและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง 2) จากสมมุติฐานข้อที่ 2 ประสิทธิภาพของบทเรียนที่ได้พัฒนาขึ้นพบว่ามีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.15/82.31 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เนื่องจากมีการทดลอง ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้นหลายครั้งและแก้ไขให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นก่อนนำไปใช้ จริงกับกลุ่มเป้าหมาย สอดคล้องกับ (ภานุวัฒน์ ศรีไชยเลิศ และ อัครเดช พรหมชนะ, 2563) ซึ่งได้ทำ การพัฒนางานวิจัยเรื่อง การพัฒนาการเรียนรู้แบบคอนสตรัคติวิสต์บนโมบายแอพพลิเคชัน เพื่อ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 22.70 S.D. เท่ากับ 2.97 สูงกว่า ก่อนเรียนโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.78 S.D. เท่ากับ 2.91 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) จากสมมุติฐานข้อที่ 3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้นพบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพเหมาะสมสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับ (จักรพงษ์ ตรียุทธ์ และ นพพร แหยมแสง, 2562) ซึ่งได้ทำการพัฒนางานวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เรื่อง เส้นขนาน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ผลการวิจัยพบว่าผลประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกระบวนการ เรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น โดยรวมอยู่ในระดับมาก 4) จากสมมุติฐานข้อที่ 4 ผลการหาความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่ พัฒนาขึ้นพบว่า ผู้เรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (̅ = 4.65, S.D. = 0.62) อาจ เนื่องมากจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีความน่าสนใจ ดึงดูดความสนใจผู้เรียน สอดคล้องกับ (สลิล โทไวยะ, 2562) ซึ่งได้ทำการพัฒนางานวิจัยเรื่อง การพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการสร้าง รูปทรงเรขาคณิต สำหรับรายวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิกพื้นฐาน ผลการวิจัยพบว่าผลประเมินความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อกระบวนการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
25 ข้อเสนอแนะ 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ รายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สามารถนำไปใช้เป็นสื่อสำหรับจัดการเรียนใน สำหรับนักเรียนทุกระดับชั้นที่ได้เรียนวิชานี้ หรือรายวิชาอื่นที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน 2. ควรพัฒนาสื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนระดับความยากง่ายของเนื้อหาให้เหมาะสม กับระดับความรู้ของผู้เรียนว่าผู้เรียนมีผลการเรียนในระดับอ่อน ปานกลาง หรือเก่ง
26 บรรณานุกรม ภาษาไทย สมฤดี โตงาม. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ของ นักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3/7 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีกรุงเทพฯ ปีการศึกษา 2563 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ , 2563. จักรพงษ์ตรียุทธ์ และ นพพร แหยมแสง. การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีการสร้าง องค์ความรู้ด้วยตนเอง เรื่อง เส้นขนาน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทพศิรินทร์, 2562. สลิล โทไวยะ. การพัฒนาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนการสร้างรูปทรงเรขาคณิต สำหรับรายวิชา คอมพิวเตอร์กราฟิกพื้นฐาน ใน วารสารวิชาการคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555 , 2562. ภานุวัฒน์ ศรีไชยเลิศ และ อัครเดช พรหมชนะ. การพัฒนาการเรียนรู้แบบคอนสตรัคติวิสต์บน โมบายแอพพลิเคชัน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการ คำนวณ) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์, 2563. นิรันดร์ ชัยวิเศษ และสมทรง สิทธิ. การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วิชาคอมพิวเตอร์โดยใช้บทเรียน CAI ด้วยโปรแกรม Coding ตามแนวคิด กาเย่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6, 2564. พิจิตรา ธงพานิช. วิชาการจัดการเรียนรู้และการจัดการในชั้นเรียน:รูปแบบการสอน ADDIE (ADDIE Model) [เว็บบล็อก].จาก http://adi2learn.blogspot.com/2018/ 01/addie-model.html, 2562. ศิริวรรณ แก้วจรัญ. การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คำควบกล้ำ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ที่ 4. (วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยบูรพา, ชลบุรี, 2561. นิกร สุกขชาติ. การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาสถิติวิศวกรรม สำหรับนักศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณ ภูมิ ศูนย์นนทบุรี, 2563. พรเทพ เมืองแมน. การออกแบบและพัฒนา CAI Multimedia ด้วย Authorware. กรุงเทพฯ: บริษัท เอช.เอ็น.กรุ๊ป จำกัด, 2544.
ภาคผนวก ก. แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์(Index of Item Objective Congruence: IOC) แบบทดสอบรายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
28 แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์(Index of Item Objective Congruence: IOC) แบบทดสอบรายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 คำชี้แจง 1. แบบตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของ วัตถุประสงค์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) แบบทดสอบรายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นการตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบที่ใช้ร่วมกับบทเรียนออนไลน์ 2. แบบตรวจสอบคุณภาพฉบับนี้ ได้กำหนดระดับคุณภาพการประเมินเป็น 3 ระดับโดย แต่ละระดับ ความคิดเห็นเป็นดังนี้ ระดับ +1 หมายถึง เหมาะสม ระดับ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ ระดับ -1 หมายถึง ไม่เหมาะสม ขอบพระคุณท่านที่ได้กรุณาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ในการตรวจสอบคุณภาพข้อสอบที่ใช้ร่วมกับบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน รายวิชา วิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วัชรพล ภาโนมัย ผู้วิจัย
29 แบบประเมินดัชนีความสอดคล้องของเครื่องมือวิจัย (IOC) สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาประเมิน และให้ คำแนะนำ แบบสอบถามเรื่อง แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องของคำถาม เพื่อใช้ ในการสอบถามความเหมาะสมด้านการจัดทำแผนการสอน สำหรับงานวิจัยในหัวข้อ “การ พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อ เสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน สมุทรสาครวิทยาลัย” การวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย ผู้วิจัย นายวัชรพล ภาโนมัย คำชี้แจง เชิญท่านพิจารณาข้อคำถาม/ข้อสอบ สำหรับการวิจัยแต่ละข้อว่า มีความเหมาะสม ไม่ขัด จริยธรรม และสอดคล้องกับ นิยามเชิงปฏิบัติการ วัตถุประสงค์ของตัวแปรที่ศึกษาหรือไม่ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่า สอดคล้องให้เขียน ที่ช่อง +1 , ไม่แน่ใจ ที่ช่อง 0 , ไม่ สอดคล้อง ที่ช่อง -1 และกรุณาให้คำแนะนำ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อสอบ คะแนน การพิจารณา +1 0 -1 เรื่อง ชนิดข้อมูลและตัวแปร บอกความหมายของชนิดข้อมูล และตัวแปรต่างๆได้(K) 1.ในภาษาไพทอน ฟังก์ชันใดใช้ในการแสดง ข้อความออกทางจอภาพ 1. echo 2. Output 3. print 4. printf อธิบายองค์ประกอบของชนิด ข้อมูลและตัวแปรได้(K) 2.ข้อใดคือชนิดของข้อมูล เป็นตัวอักษร ใน python 1.Number 2.String 3.List 4.Tuple 3.ตัวแปร คืออะไร 1.คือโครงสร้างของข้อมูล 2.คือชื่อที่ใช้ในการเก็บค่าหรือกำหนดค่า 3.คือเครื่องหมายที่ใช้ในการดำเนินการ 4.ไม่มีข้อถูก
30 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อสอบ คะแนน การพิจารณา +1 0 -1 4. ถ้าต้องการให้ “a” เป็นจำนวนเต็ม ต้อง ประกาศตัวแปรแบบใด 1.castToInt(a) 2.int(a) 3.integer(a) 4.castToInteger(a) 5.การกำหนดชื่อตัวแปรใน Python ข้อใดผิด 1.ใช้ตัวอักษร A-Z ตัวเล็กหรือใหญ่ก็ได้ 2.ตัวแปลขึ้นต้นด้วยตัวเลขได้ 3.ตัวแปรห้ามมีช่องว่าง 4.การตั้งตัวแปรห้ามซ้ำคำสงวน สามารถนำข้อมูลและตัวแปรมา ใช้ได้(P) 6. หากต้องการกำหนดตัวแปร n ให้เป็นชนิด integer ที่มีค่าเท่ากับ 5 จะต้องประกาศตัว แปรอย่างไร 1.var n = 5 2.int n = 5 3.n = 5 4.variable n = 5 7. %d คืออะไร 1. แสดงผลค่าของตัวแปรชนิดจำนวนเต็ม 2.แสดงผลออกมาในรูปแบบของเลขฐานแปด 3.แสดงผลข้อความ 4.แสดงผลค่าของตัวแปรชนิดจำนวนทศนิยม 8.หากต้องการคอมเมนต์บรรทัดเดียว จะต้อง ใช้เครื่องหมายใด 1. * 2. \ 3. // 4. #
31 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ข้อสอบ คะแนน การพิจารณา +1 0 -1 9. %f คืออะไร 1. แสดงผลค่าของตัวแปรชนิดจำนวนเต็ม 2. แสดงผลออกมาในรูปแบบของเลขฐาน แปด 3. แสดงผลข้อความ 4. แสดงผลค่าของตัวแปรชนิดจำนวนทศนิยม 10.แสดงผลข้อความเราจะต้องใช้%ใด 1.%a 2.%f 3.%s 4.%e ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมและข้อเสนอแนะอื่น ๆ
ภาคผนวก ข. แบบประเมินคุณภาพเนื้อหาของสื่อการเรียนออนไลน์ รายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 5 (ด้านเทคนิคการผลิตสื่อ)
33 แบบประเมินคุณภาพเนื้อหาของสื่อการเรียนออนไลน์ รายวิชา วิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา (ด้านเทคนิคการผลิตสื่อ) คำชี้แจง 1. แบบประเมินคุณภาพเนื้อหาของสื่อการเรียนออนไลน์ รายวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพด้านเทคนิคการผลิตสื่อการเรียนออนไลน์ 2. แบบประเมินฉบับนี้ ได้กำหนดระดับคุณภาพการประเมินเป็น 5 ระดับโดยแต่ละระดับความคิดเห็น เป็นดังนี้ ระดับ 5 หมายถึง ดีมาก ระดับ 4 หมายถึง ดี ระดับ 3 หมายถึง ปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง น้อย ระดับ 1 หมายถึง น้อยที่สุด ขอบพระคุณท่านที่ได้กรุณาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ในการประเมินคุณภาพด้านเทคนิคการผลิตสื่อการเรียน ออนไลน์ รายวิชา วิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา วัชรพล ภาโนมัย ผู้วิจัย
34 1. แบบประเมินนี้เป็นแบบสอบถามสำหรับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับคุณภาพด้านเทคนิคการพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้ เพื่อเสริมทักษะการเขียนโปรแกรมภาษา Python สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. กรุณาทำเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องที่ตรงกับความคิดเห็นของท่าน โดยมีเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้ 5 หมายถึง มีคุณภาพระดับดีมาก 4 หมายถึง มีคุณภาพระดับมาก 3 หมายถึง มีคุณภาพระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีคุณภาพระดับน้อย 1 หมายถึง มีคุณภาพระดับน้อยที่สุด รายการประเมิน ระดับความคิดเห็น 5 4 3 2 1 1. ด้านความสามารถของ CAI 1.1ความสามารถในการนำเสนอเนื้อหาตามรูปแบบการเรียนรู้ ด้วยตนเอง 1.2 ความสามารถในการนำเสนอเนื้อหา 1.3 ความสามารถในการนำเสนอเนื้อหาบทเรียนได้ตรงตาม วัตถุประสงค์การเรียนรู้ 1.4 ความสามารถในการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและ โทรศัพท์แบบพกพาที่หลากหลาย 1.5 ความสามารถในการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมไปยังแอปพลิเคชันอื่น ๆ 1.6 ความสามารถในการเก็บข้อมูลของนักศึกษาในการเข้าเรียน 1.7 ความสามารถในการนำเสนอแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 1.8 ความสามารถในการตรวจสอบผลการเรียน 1.9 ความสามารถในการทดลองฝึกปฏิบัติ 1.10 ความสามารถในการเข้าตรวจสอบคะแนนของผู้สอน 2. ด้านความสามารถในการใช้งาน 2.1 ความง่ายและความสะดวกในการใช้งาน 2.2 ความเหมาะสมของตำแหน่งการจัดวางส่วนต่าง ๆ บนหน้าจอ 2.3ความชัดเจนของข้อความที่แสดงผลบนหน้าจอ 2.4ความเหมาะสมของตัวอักษร ขนาด สี ง่ายต่อการอ่าน 2.5ความเหมาะสมของปริมาณข้อมูลที่นำเสนอแต่ละหน้าจอ 3. ด้านหน้าที่การทำงาน 3.1 ความถูกต้องในการทำงานของของ CAI บนอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์แบบพกพา 3.2 ความถูกต้องในการนำเสนอเนื้อหาบทเรียนตามขั้นตอน การเรียนรู้ด้วยตนเอง
35 รายการประเมิน ระดับความคิดเห็น 5 4 3 2 1 3.3 ความถูกต้องในการส่งเนื้อหาบทเรียน CAIไปยังผู้เรียน 3.4 ความถูกต้องในการแนะนำเส้นทางให้ผู้เรียนในการใช้งาน 3.5 ความถูกต้องในการจัดเก็บและแสดงข้อมูล 4. ด้านประสิทธิภาพการทำงาน 4.1 ความเร็วในการเข้าถึงบทเรียน 4.2 ความเร็วในการแสดงผลข้อมูลและส่งข้อมูล 4.3 ความเร็วในการเพิ่ม ลบ และแก้ไขข้อมูล 4.4 ความเร็วในการติดต่อกับฐานข้อมูล 4.5 ความรวดเร็วในการตอบสนองของระบบในภาพรวม ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ภาคผนวก ค. แบบประเมินคุณภาพเนื้อหาของสื่อการเรียนออนไลน์ รายวิชา เขียนโปรแกรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (ด้านเนื้อหา)
37 แบบประเมินคุณภาพเนื้อหาของสื่อการเรียนออนไลน์ รายวิชาเขียนปรแกรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (ด้านเนื้อหา) คำชี้แจง 1. แบบประเมินคุณภาพเนื้อหาของสื่อการเรียนออนไลน์ รายวิชา วิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาของ สื่อการเรียนออนไลน์ 2. แบบประเมินฉบับนี้ ได้กำหนดระดับคุณภาพการประเมินเป็น 5 ระดับโดยแต่ละระดับความคิดเห็น เป็นดังนี้ ระดับ 5 หมายถึง ดีมาก ระดับ 4 หมายถึง ดี ระดับ 3 หมายถึง ปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง น้อย ระดับ 1 หมายถึง น้อยที่สุด ขอบพระคุณท่านที่ได้กรุณาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ในการประเมินคุณภาพด้านเทคนิคการผลิตสื่อการเรียน ออนไลน์ รายวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
38 แบบประเมินคุณภาพของแผนจัดการเรียนรู้ 1. แบบประเมินนี้เป็นแบบสอบถามสำหรับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับคุณภาพด้านเทคนิคการการพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ สร้างองค์ความรู้เพื่อฝึกทักษะการเขียน โปรแกรม Python สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย 2. กรุณาทำเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องที่ตรงกับความคิดเห็นของท่าน โดยมีเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้ 5 หมายถึง มีคุณภาพระดับดีมาก 4 หมายถึง มีคุณภาพระดับมาก 3 หมายถึง มีคุณภาพระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีคุณภาพระดับน้อย 1 หมายถึง มีคุณภาพระดับน้อยที่สุด รายการประเมิน ระดับความคิดเห็น 5 4 3 2 1 1. แผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องสัมพันธ์กับหน่วยการเรียนรู้ 2. แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วน เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน 3. หน่วยการเรียนรู้ครบถ้วน สมบูรณ์ และเหมาะสม 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ ชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหา 5. กิจกรรมการเรียนรู้มีลำดับขั้นตอนเหมาะสมและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6. กิจกรรมการเรียนรู้มีความหลากหลายและสามารถปฏิบัติได้จริง และ สรุปองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง 7. กิจกรรมการเรียนรู้สามารถพัฒนาผู้เรียนครอบคลุมด้าน (K P A) 8. กิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริม พัฒนา ทักษะกระบวนการคิดของผู้เรียน 9. กิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง 10. สื่อและแหล่งเรียนรู้มีความหลากหลาย สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ ด้วยตนเอง 11. ความสอดคล้องของสาระสำคัญกับผลการเรียนรู้ 12. สาระการเรียนรู้เหมาะสมกับเวลาและผลการเรียนรู้ 13. การกำหนดเนื้อหาเหมาะสมกับจำนวนชั่วโมงเรียน 14. ผลการเรียนรู้ครอบคลุมสาระการเรียนรู้พัฒนาผู้เรียนให้เกิด (K P A) 15. กิจกรรมการเรียนรู้สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ 16. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเอง 17. ผู้เรียนได้ใช้ความคิด ความรู้ สร้างชิ้นงานมากกว่าที่ผู้สอนกำหนด 18. ชิ้นงานที่มอบหมายเหมาะสมและส่งเสริมผู้เรียนให้ได้ใช้กระบวนการคิด 19. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวัดและประเมินผล 20. การวัดและประเมินผลสอดคล้องกับผลการเรียนรู้
39 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อผู้ประเมิน . ( ) วันที่ เดือน พ.ศ.
40 ภาคผนวก ง. ตัวอย่างสื่อการเรียนการสอน รายวิชาเทคโนโลยี (เขียนโปรแกรม)
41 ภาพที่ ง-1 แสดงหน้าแรกของบทเรียน ภาพที่ ง-2 แสดงหน้าจุดประสงค์ของบทเรียน
42 ภาพที่ ง-3 แสดงหน้าแบบทดสอบก่อน และหลังเรียน ภาพที่ ง-4 แสดงหน้าเลือกบทเรียน ทั้ง 3 บท
43 ภาพที่ ง-5 แสดงหน้า บทเรียนที่ 1 ภาพที่ ง-6 แสดงหน้า บทเรียนที่ 2