The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ม.อ.บนเส้นทางตามรอยพระบาท

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pintumat Kaewswang, 2023-02-21 04:01:21

ม.อ.บนเส้นทางตามรอยพระบาท

ม.อ.บนเส้นทางตามรอยพระบาท

ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท พ.ศ.๒๔๖๙ พ.ศ.๒๔๗๐ เสด็จกลับประเทศไทย ในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ เนื่องในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงบรมศพพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๙ เสด็จไปศึกษาวิชาแพทย์ต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๐ ทรงเริ่มเรียนวิชาแพทย์ชั้นปีที่ ๔ วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๙ ทรงเริ่มเรียนวิชาแพทย์ชั้นปีที่ ๓ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ๔๙


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๐ พระโอรสองค์เล็ก (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช) ประสูติ ณ โรงพยาบาล เคมบริดจ์ รัฐแมสซาจูเซตต์ ปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น โรงพยาบาลเคมบริดจ์ หรือโรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์นในปัจจุบัน ทรงอุ้มพระโอรสพระองค์เล็ก ๕๐


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท พ.ศ.๒๔๗๑ ทรงส�ำเร็จการศึกษา ได้รับปริญญาแพทยศาสตร์ (Doctor of Medicine) เกียรตินิยมระดับ Cum Laude ใบรายงานผลการศึกษา ปริญญาบัตร ทรงตั้งพระทัยประทับอยู่ต่อ เพื่อทรงศึกษาโรคเด็ก แต่เป็นอันระงับไปเพราะสภาวะพระพลานามัยไม่อ�ำนวย ๕๑


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท วันที่๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๑ ครอบครัวมหิดล เสด็จถึงประเทศไทย ประทับที่พระต�ำหนักใหม่ วังสระปทุม พระต�ำหนักใหม่ วังสระปทุม ๕๒


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ บ้านพักที่ทรงเสด็จประทับระหว่างทรงงานที่เชียงใหม่ พ.ศ.๒๔๗๒ วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๒ เสด็จไปทรงงานเป็นแพทย์ประจ�ำโรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ ๕๓


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๒ เสด็จกลับกรุงเทพฯ ต่อมาทรงพระประชวร วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๒ สิ้นพระชนม์ พระชนมายุได้ ๓๗ พรรษาเศษ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง พ.ศ.๒๔๗๒ วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๒ (ภายหลังสิ้นพระชนม์แล้ว) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ เป็น สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ๕๔


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท พ.ศ.๒๔๗๗ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระ เกียรติยศสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็น สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวง สงขลานครินทร์ ๕๕


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท พ.ศ.๒๕๑๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จ พระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ๕๖


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท พระสถูปเจดีย์ วัดปทุมวนาราม สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระอัฐิบางส่วนของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ ตามความประสงค์ของพระราชโอรส ๕๗


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ตราประจ�ำพระองค์ สมเด็จพระบรมราชชนก ๕๘


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ตลอดช่วงพระชนมายุอันสั้นของสมเด็จพระบรมราชชนก ได้ทรงพิสูจน์ความจริงที่ว่าได้ทรง ยึดพระปณิธานว่า “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง” อยู่เป็นเนืองนิตย์ พระด�ำรัสและพระราโชวาทใดๆ ที่ประทานล้วนแสดงให้เห็นถึง พระอุปนิสัยอันกอปรด้วยจริยธรรมอันสูงส่ง พระหฤทัยอ่อนโยน ละเอียดรอบคอบ ทรงพระเมตตา ห่วงใยประเทศชาติและพสกนิกรของพระองค์ สมดังที่ล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงถ่ายทอดปลูกฝังไว้ในพระโอรสและพระธิดาทุกพระองค์ทุกประการ ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้ทรงน�ำความรู้และประสบการณ์ที่ทรงได้รับทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ มาทรงปรับ ใช้ในพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อท�ำนุบ�ำรุงประเทศ โดยทรงค�ำนึงถึงความเหมาะสมและความ ประหยัดทุกด้านเท่าที่จะพึงเป็นไปได้ ที่ว่าทรงเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์เพียบพร้อม สมควรที่ประชาราษฎร์และข้าราชการทั่วไป จะยึดเป็นแบบฉบับนั้น จะได้แจกแจงโดยละเอียดดังนี้ ๕๙


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ทรงเป็นลูกที่ดี ในฐานะพระราชโอรสองค์ที่ ๖๙ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวและองค์ที่ ๗ ในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพัน วัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งได้ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาอยู่ ณ ต่างประเทศ ท�ำให้พระองค์ท่านไม่ทรงมีโอกาสใกล้ชิดสมเด็จพระชนกและพระชนนี มากนัก แต่ครั้งยังทรงพระเยาว์เมื่อประทับที่สวนดุสิต ได้เข้าเฝ้าพระราช บิดาเป็นประจ�ำทุกเย็น ทรงท�ำ หน้าที่ในพิธีหลวงเป็นบาง โ อ ก า ส เ ช ่ น เ มื่ อ ร ศ . ๑ ๑ ๖ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรง โ ป ร ด ใ ห ้ ป ร ะ เ ค น จั ตุ ป ั จ จั ย ไทยธรรมแก่พระสงฆ์เมื่อตาม เสด็จไปวัดพิชัยญาติทางเรือ ใน รศ.๑๑๗ ได้เสด็จไปจุดเทียน แทนพระองค์ในพุทธสถานที่ วัดพระแก้ว เป็นต้น ในระหว่างที่ประทับอยู่กับ นิวัติพระนคร ได้ทรงเล่าถึงสมเด็จพระบรม ราชชนกเมื่อใกล้จะเสด็จทิวงคตได้ทรงปรารภ กับสมเด็จกรมพระยาด�ำรงฯ ว่าทรงนึกถึง พระมารดา (คือสมเด็จพระพันวัสสา) ที่ต้อง เศร้าโศกเพราะสูญเสียพระโอรสธิดาหลาย พระองค์ โอรสที่เหลืออยู่ก็มีแต่พระองค์ท่าน จึงคิดสนองพระคุณด้วยการท�ำประโยชน์ต่อ บ้านเมือง การจะเป็นข้าราชการหรือไม่นั้นไม่ ส�ำคัญเพราะทรงเลี้ยงตัวได้ จึงทรงสละพระ ราชทรัพย์ส่วนที่เป็นของเจ้าฟ้ามาใช้เป็นทุน ท�ำนุบ�ำรุงบ้านเมืองและไม่ทรงรับราชการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช ทรงฉายพระรูปร่วมกัน เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่สอง พ.ศ.๒๔๕๐ พระราชมารดาทรงมีโอกาสโดย เสด็จไปในที่ต่างๆ ได้ทรงพบ เห็นประชาชนผู้มาเฝ้าใกล้ชิด และได้ทรงถ่ายทอดพระอุปนิสัย โอบอ้อมอารีและไม่ถือพระองค์ของสมเด็จพระชนกและสมเด็จพระชนนี ไว้อย่างเต็มเปี่ยม เคยทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนตามเสด็จบิณฑบาต สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธขณะทรงผนวช เหมือนดังที่พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดปลอมพระองค์เป็นสามัญชนในการเสด็จประพาสต้น ฉะนั้น พระนิสัยไม่ถือพระองค์นี้ได้ทรงแสดงให้ปรากฎเป็นกิจวัตร ซึ่งจะได้ กล่าวถึงในภายหลัง ความกตัญญูของลูก ซึ่งได้ทรงแสดงออกนั้น ปรากฏในลายพระหัตถ์ ของสมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพถึงสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราช ชนนี หลังจากเมื่อครั้งได้เฝ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ที่สิงคโปร์ระหว่างเสด็จ ถ้าจะกล่าวถึงลักษณะประจ�ำพระองค์ ของสมเด็จพระบรมราชชนกแล้วมีสิ่งเด่น อยู่ ๒ ประการ ซึ่งเป็นอิทธิพลอย่างยิ่งใน พระชนม์ชีพของพระองค์ ประการแรก คือ เรื่องพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ ตอนยังทรง พระเยาว์อยู่นั้นประชวรออดๆ แอดๆ สาม วันดี สี่วันไข้ เคยประชวรฝีที่พระศอเมื่อ เสด็จเยอรมัน ทรงมีปัญหาเรื่องกระดูกสัน หลังคดต้องทรงเสื้อเกราะดัดพระวรกาย ฝึกกายกรรมและนวดอยู่เป็นปี ต่อมาทรง ประชวรบิดเรื้อรัง เคยประชวรไทฟอยด์อย่าง แรง พระวักกะอักเสบ (ซึ่งแพทย์ที่เยอรมัน ลงความเห็นว่าเป็นเพราะพระก�ำลังและ วิถีประสาทอ่อน ไม่ใช่อาการเปลี่ยนแปลง ทางพยาธิสภาพของพระวักกะแต่อย่างใด) และพระโรคตับใน พ.ศ.๒๔๖๖ แพทย์ถวาย ค�ำแนะน�ำให้ประทับในที่ไม่ร้อนเกินไปไม่ หนาวเกินไป จึงเสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ ๖๐


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท สหรัฐอเมริกา แทนเอดินเบิร์ก และแม้ตอนใกล้สอบไล่เมื่อทรงส�ำเร็จการ ศึกษาวิชาแพทย์นั้น ก็ประชวรไข้หวัดใหญ่และเบาหวานอ่อนๆ ทรงไปสอบ ทั้งที่ประชวร ต่อมาต้องผ่าตัดพระอันตะตัน แพทย์กะว่าจะทรงพระชนม์ชีพ อยู่ได้อีก ๒ ปี เมื่อทรงท�ำหน้าที่แพทย์ประจ�ำบ้านที่เชียงใหม่ประทับอยู่ได้ ๓ อาทิตย์ก็เสด็จกลับมาประชวรและในที่สุดเสด็จทิวงคต แพทย์ได้บันทึก สาเหตุแห่งการเสด็จทิวงคตว่ามีน�้ำท่วมในพระปัปผาสะและพระหทัยวาย ลักษณะประการที่ ๒ คือ พระปรีชาญาณอันเฉลียวฉลาดในหลายๆ ด้าน เป็นที่เล่ากันว่าทรงพระปรีชาสามารถในการเรียนมาแต่ทรงพระเยาว์ มาก เมื่อครั้งได้รับการถวายพระอักษร ณ โรงเรียนราชกุมารในพระบรม มหาราชวัง๑ ครั้นเมื่อแรกเสด็จศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ Mr.Wemes ผู้ ดูแลที่อังกฤษก็ได้รายงานกลับมายังประเทศไทยว่าพระองค์ทรงแสดง พรสวรรค์เป็นพิเศษในด้านศิลปะ โปรดวาดภาพและระบายสี โปรดสีน�้ำ ไม่ทรงใช้สีน�้ำมัน กัปตัน ECK นายทหารพระพี่เลี้ยงที่ประเทศเยอรมันก็ รายงานเช่นเดียวกัน และว่าบางครั้งเสด็จไปทรงวาดภาพในพิพิธภัณฑ์ ต่อมาเรือต่างๆ ได้สร้างขึ้นจริงๆ หลายล�ำ นอกจากนั้นยังทรงเชี่ยวชาญเรื่องปืนใหญ่ เมื่อทรงเป็นอาจารย์สอนนักเรียนนายเรือได้ ทรงถอดปืนใหญ่ออกมาแสดงทุกชิ้นและทรง น�ำกลับเข้าที่เดิมได้เรียบร้อย พระองค์ทรงเป็น นายทหารแผนกเรือเล็ก ทรงเชี่ยวชาญเรื่อง เรือด�ำน�้ำและเรือตอร์ปิโดรักษาฝั่ง ทรงสน พระทัยเรื่องนี้อย่างยิ่ง ที่พระต�ำหนักจึงมีแบบ จ�ำลองเรือรบแบบต่างๆ ที่ท�ำด้วยไม้ปรากฏอยู่ ต่อมาเมื่อทรงศึกษาวิชาแพทย์ปี สุดท้ายนั้น เกิดประชวรโรคพระวักกะก�ำเริบ เนื่องจากทรงเป็นไข้หวัดใหญ่และพระโรค เบาหวานอ่อนๆ แต่ทั้งที่ประชวรก็ทรงเข้า ส อ บ วิ ช า แ พ ท ย ์ ส�ำเ ร็ จ ไ ด ้ เ กี ย ร ติ นิ ย ม Cumlaude เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๑ และทรงได้รับเลือกเป็นสมาชิก Phi-BetaKappa ด้วย ตามปกติคนเรานั้นที่จะท�ำประโยชน์ ให้แก่ส่วนรวมและประเทศชาติได้เต็มที่ อาศัยความฉลาดเฉลียวอย่างเดียวยังไม่ พอ ยังต้องมีความส�ำนึกรับผิดชอบ เสีย สละอุทิศทุ่มเทและอื่นๆ อีกหลายประการ สมเด็จพระบรมราชชนกเมื่อได้ทรงเจริญ พระชนม์ก็ได้ทรงพิสูจน์ความจริงข้อนี้ ทรงเป็นนักเรียนตัวอย่าง จากผลการศึกษาในทุกด้านดังกล่าว ข้างต้น จะเห็นได้ว่าทรงเป็นนักเรียนตัวอย่าง ๑สภาอาจารย์ศิริราช “สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก” คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ภาพวาดฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระบรมราชชนก ฉลองพระองค์เครื่องแบบ เรือโทแห่งราชนาวี ระหว่างทรงศึกษาในโรงเรียนการทหารเรือ และโรงเรียนนายร้อยชั้นสูงเยอรมันนั้นทรงมีผล การเรียนอยู่ในระดับดีเยี่ยม และทรงมีผลงาน การชนะประกวดการออกแบบเรือด�ำน�้ำด้วย ครั้น ต่อมาเมื่อทรงด�ำรงต�ำแหน่งทหารเรือแห่งราชนาวี นั้น ได้ทรงออกแบบการสร้างกองทัพเรือเป็นภาษา เยอรมัน โดยเฉพาะเรื่องเรือด�ำน�้ำทรงเขียนไว้ละเอียด ๖๑


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ในแง่ของพระปรีชาญาณเฉลียวฉลาด แต่ที่ส�ำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พระอุปนิสัยรักและฝักใฝ่ในการเรียนรู้ของพระองค์ท่าน นายแพทย์สุขุม ภัทราคม แผนกพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล ได้เล่าถึงการพบปะกับศาสตราจารย์ เจ เจ บรอน เพ็นเบรั้นเนอร์ ซึ่งเคยเป็น พระอาจารย์สอนวิชาบักเตรีวิทยา ถวายสมเด็จพระบรมราชชนก ขณะทรง ศึกษาวิชาการสาธารณสุขที่ฮาร์วาร์ด เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑ ว่า ศาสตราจารย์ ผู้นี้ยกย่องพระองค์ท่านว่า “ทรงสนพระทัยศึกษา ขยันหมั่นเพียร ท�ำงานเป็น ระเบียบเรียบร้อย ทรงมีความประณีตในการปฏิบัติงานตลอดทั้งการบันทึก รายงานผลที่ได้และรูปภาพที่เขียนประกอบ ทรงเป็นผู้ช่างสังเกตและบันทึก ตัวอย่างของการเป็นนักค้นคว้าและ นักปฏิบัติของพระองค์ท่านนั้น จะเห็นได้ หลายครั้ง เช่นตามหลักสูตรวิชาสาธารณสุข ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เรียนจะต้อง ส�ำรวจการสุขาภิบาลของเมืองใดเมืองหนึ่ง โดยละเอียด คือต้องท�ำรายงานแผนผังแสดง ฐานะความเป็นจริงของเมืองนั้นในเรื่องถนน หนทาง บ้านเรือน วิธีการกินอยู่ การระบาย ท่อน�้ำเสีย การทิ้งขยะมูลฝอย การประปา การตลาด และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอนามัยของ ประชาชน จึงทรงมีพระราชประสงค์จะทรง ส�ำรวจการสุขาภิบาลกรุงเทพฯ โดยละเอียด แต่เรื่องนี้มีอันต้องระงับไปเพราะเมื่อติดต่อ จะเสด็จที่ใด หน่วยราชการก็จัดพิธีรับรอง สมพระเกียรติและจัดเตรียมท�ำความสะอาด ล่วงหน้าไม่ได้ทรงเห็นสภาพความเป็นจริง ซึ่ง จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาจึงทรงเลิกล้ม ความตั้งพระทัย และที่ไม่แอบเสด็จเงียบๆ ก็เพราะผิดระเบียบราชการจึงไม่ต้องพระ ประสงค์ให้ผู้ใดเดือดร้อน เพราะไม่ทรงโปรด การล่วงอ�ำนาจและสิทธิของผู้อื่น อย่างไรก็ ดีเมื่อทรงค้นคว้าเรื่องตัวพยาธิในเลือดของ คนไทย ได้เสด็จเจาะเลือดนักโทษในเรือน จ�ำเอง ทรงตรวจดูพยาธิปากขอในห้องส้วม ของเรือนจ�ำด้วย และเมื่อทรงเห็นสภาพ ความเป็นอยู่ที่แท้จริงของนักโทษ ซึ่งแออัด อับลม และสกปรก ได้ทรงโปรดให้ปรับปรุง และขยับขยายเพิ่มช่องระบายลมในที่คุมขัง ๑“บทบรรณาธิการ” สารศิริราช ๙ (กันยายน ๒๕๐๐). หน้า ๕๖๐-๕๖๒ สิ่งที่ทรงพบเห็น จากการทดลอง ไว้อย่างละเอียด” ตลอดเวลา ๔๐ ปี ( จ น ถึ ง พ . ศ . ๒๔๙๕) ที่ท่าน สอนมามีลูกศิษย์ ลู ก ห า ม า ก ม า ย แต่ท่านภูมิใจมาก ที่เคยใกล้ชิดกับ คนไทยที่มีความสุภาพอ่อนโยน ตั้งใจศึกษาจริงจังดังเช่น Prince of Songkhla แม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่า ๓๐ ปี ท่านก็ยังคงระลึกถึงและจดจ�ำ พระอัธยาศัยได้เป็นอย่างดี และได้มอบสมุดบันทึกอันล�้ำค่าเล่มนี้กลับมา ยังประเทศไทยใน พ.ศ.๒๔๙๕๑ คติพจน์ที่สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงบันทึกไว้ในแผ่นแรกหน้าสอง ของสมุดบันทึกก็คือ “True success is not in the learning ; but in its application for the benefit of mankind” ซึ่งแสดงว่าพระองค์จะไม่ทรงเป็นอัจฉริยะเฉพาะในภาคทฤษฎี เท่านั้น แต่จะทรงมุ่งที่ภาคปฏิบัติ คือการน�ำความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อ ประโยชน์แก่มวลมนุษย์ สมุดบันทึกค�ำบรรยาย เมื่อครั้งทรงศึกษาที่ฮาร์วาร์ด ๖๒


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท แม้ว่าสมเด็จพระบรมราชชนกจะทรงเป็นอัจฉริยะในหลายๆ ด้าน ก็ทรงมีความถ่อมพระองค์เป็นที่ยิ่ง ทรงถือว่าจะต้องรู้ให้จริง และทรงถือ การขวนขวายหาความรู้ตลอดชีวิตเป็นเรื่องส�ำคัญ ในการประชุมเกี่ยวกับ ปัญหาโรงเรียนแพทย์ซึ่งทรงเป็นกรรมการอยู่บางครั้งทรงอึดอัดพระทัย เพราะระยะนั้นทรงส�ำเร็จการศึกษาด้านสาธารณสุขมายังไม่ทรงจบ หลักสูตรแพทย์ จึงรู้สึกพระองค์ว่าถ้าจะทรงท�ำหน้าที่เกี่ยวข้องกับ โรงเรียนแพทย์ต่อไปควรอย่างยิ่งที่จะทรงศึกษาให้จบหลักสูตร แม้ว่า พระพลานามัยจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม เพราะปัญหาบางอย่างทรงปรารภว่า ถ้าไม่มีความรู้ทางการแพทย์ก็ไม่อาจจะโต้เถียงอะไรได้ ในที่สุดจึงทรง ตัดสินพระทัยเสด็จไปทรงศึกษาแพทย์ต่อที่ฮาร์วาร์ด ในปีสุดท้ายของการศึกษาแพทย์ พ.ศ.๒๔๗๑ ทรงเขียนรายงาน เพื่อประกอบการศึกษาในวิชาพิเศษเกี่ยวกับการตรวจและรักษาโรคเด็ก และทรงเขียนเรื่องตัวตืดในเด็กที่เกิดจากการกินปลา นับเป็นรายงาน เรื่องเช่นนี้ฉบับแรกที่มีในมลรัฐแมสซาจูเซตต์ ส่วนหนึ่งทรงเขียนร่วมกับ Dr.E.G.McGavern ซึ่งต่อมาได้ลงพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของแพทย สมาคมอเมริกันฉบับวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๑ ชื่อเรื่องว่า Diphyllobothrium Latum in Massachusetts ส�ำหรับเรื่องกุมาร สงเคราะห์นี้ทรงสนพระทัยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเกี่ยวกับมารดาทารก สงเคราะห์ จากลายพระหัตถ์ถึง ดร.เอลลิส “เวลานี้ฉันก�ำลังยุ่งอยู่กับการเรียนปีที่ ๓ ที่โรงเรียนแพทย์ของมหา วิทยาลัยฮาร์วาร์ด ด้วยมีความหวังว่าจะเรียนให้จบหลักสูตรได้ในเดือน มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๑ ในขณะเดียวกันนี้ฉันยังสามารถท�ำงานในแผนก วิชาแบคทีเรียและการตรวจโรคบางอย่างที่โรงพยาบาลส�ำหรับเด็กเกี่ยวกับ โรคท้องร่วงของเด็ก ซึ่งฉันคิดว่าอาจเป็นประโยชน์แก่กรุงสยาม เมื่อเรียน จบหลักสูตรแล้วฉันตั้งใจจะเรียนพิเศษในเรื่องโรคของเด็กเป็นเวลาอย่าง น้อยสิบสองเดือนหรือหนึ่งปี” แต่การทั้งนี้มิได้เป็นไปตามพระราชประสงค์ โรคพระวักกะก�ำเริบจึงต้องเสด็จกลับประเทศไทยในปลายปี พ.ศ.๒๔๗๑ แม้กระนั้นความเป็นนักศึกษาของพระองค์ท่านก็ยังไม่เสร็จสิ้น เมื่อเสด็จกลับพระนครทรงตั้งพระทัยจะทรงท�ำหน้าที่แพทย์ประจ�ำบ้าน ที่ศิริราชหรือจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย แต่ขัดราชประเพณีด้วยทรง ด�ำรงพระอิสสริยยศสูงส่งอยู่ในตอนนั้น จึงตัดสินพระทัยไปทรงเป็นแพทย์ประจ�ำบ้าน ที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ของคณะสอน ศาสนาเพรสไบทีเรียนที่จังหวัดเชียงใหม่ พระองค์ประทับอยู่ ๓ อาทิตย์เศษ และเสด็จ กลับพระนครและประชวรอยู่ ๔ เดือนก่อน เสด็จทิวงคต ประตูทางเข้าโรงพยาบาลแมคคอร์มิค เวลานั้น ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับประตูทางเข้าบ้านที่ประทับ ทรงกอรปด้วยความจงรักภักดีต่อพระ มหากษัตริย์และแผ่นดิน อ นึ่ ง ใ น ฐ า น ะ พ ร ะ ร า ช โ อ ร ส ข อ ง สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนั้น สมเด็จพระบรม ราชชนกทรงยึดความจงรักภักดีต่อพระเจ้า แผ่นดินและประเทศชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง เช่นทรงเปลี่ยนแนวการศึกษาจากวิชาการ ทหารบกไปเป็นวิชาการทหารเรือตามพระ ราชประสงค์ของรัชกาลที่ ๖ เมื่อต้องพระ ประสงค์จะทรงเปลี่ยนไปศึกษาด้านศิลปะ เพราะทรงโปรด และเต็มไปด้วยพระปรีชา สามารถทางด้านการวาดรูปนั้น ครั้นรัชกาลที่ ๖ ไม่ทรงเห็นด้วยก็เสด็จกลับไปทรงศึกษา วิชาทหารต่อตามเดิม ครั้นเมื่อส�ำเร็จการ ศึกษาแล้วได้ทรงฝึกราชการในกองทัพเรือ ๖๓


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท เยอรมันเป็นเวลา ๓ ปี ในระหว่างนั้นได้ทรงมีโอกาสเข้า เฝ้าพระเจ้าแผ่นดินเยอรมันและพระมเหสีอย่างใกล้ชิด นับเป็นการแทนพระองค์พระเจ้าอยู่หัวของไทยและทรง ช่วยกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศ เยอรมัน แต่ครั้นพอเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็เสด็จกลับ มารับราชการในราชนาวีไทย เพราะทรงถือความจงรักภักดี ต่อประเทศเป็นส�ำคัญ อย่างไรก็ตามต่อมาทรงเห็นว่าการ เป็นทหารเรือไม่ได้ทรงท�ำสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ ได้เสด็จ ต่างประเทศอีกครั้ง รับสั่งกับพลตรีพระศักดาพลรักษ์๑ ว่า “ฉันจะไปเรียนหมอละ เพราะว่าเป็นวิชาที่สนุกดี เรามี โอกาสรักษาคนไข้ทั้งคนจนและคนมั่งมี และเจ้านายต่างๆ ได้เต็มที่ หมอท�ำการกุศลในการรักษาพยาบาลได้ดี เมืองไทย เราถ้าเจ้านายทรงท�ำหน้าที่อย่างสามัญชนบ้าง เขาว่าเสีย พระเกียรติ ฉันรู้สึกว่ามัวแต่จะรักษาพระเกียรติอยู่ก็ไม่ต้อง ท�ำอะไรกัน” อีกครั้งหนึ่งที่ได้ทรงแสดงพระปณิธานมุ่งมั่นจะรับใช้ ประเทศชาตินั้นก็เมื่อพระราชทานสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ สิงคโปร์ในวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๑ ครั้งที่ทรงส�ำเร็จการ ศึกษาแพทย์ เสด็จกลับมายังประเทศไทย เมื่อหลายคนสงสัย ว่าจะไม่ประทับในเมืองไทย ได้รับสั่งว่าทรงตั้งพระทัยจะ ประทับอยู่ในเมืองไทยตลอดไป แต่การที่จะทรงรับต�ำแหน่ง ใดๆ นั้น ยังมิได้ก�ำหนด การงานที่จะท�ำทั้งสิ้นก่อนสิ่งไรนั้น ต้องแล้วแต่พระเจ้าอยู่หัว ในขณะเดียวกันทรงหวังว่าจะ สามารถท�ำประโยชน์ในกิจการแพทย์และสาธารณสุขได้ โดย การแนะน�ำของผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่น ทรงหวังพระราชหฤทัย ว่าจะทรงมีความช�ำนาญในทางปฏิบัติและอาจใช้ความรู้ บางอย่างที่ทรงรวบรวมมาขณะทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศ ให้เป็นประโยชน์ได้ตรงสภาพความเป็นจริงของบ้านเมือง เกี่ยวกับงานของรัฐบาล ทรงหวังว่าทางการคงมอบ ให้เฉพาะงานสาธารณสุขที่ทรงได้รับการฝึกฝนมาและที่ เหมาะกับพระนิสัย และต้องเป็นงานที่มีงบประมาณสนับสนุน พร้อมทั้งได้รับความร่วมมือทั่วไปเพื่อให้งานนั้นบังเกิดผล ในฐานะที่ทรงถือการซื่อตรงจงรักต่อพระมหากษัตริย์ เป็นส�ำคัญจึงไม่ทรงยอมรับต�ำแหน่งใดๆ ในคณะรัฐบาล เพื่อเป็นการประดับพระอิสสริยยศและรับพระราชทาน เงินเดือนจากต�ำแหน่งนั้นๆ ถ้าการเป็นเช่นนั้น (คือถ้าทรง ได้รับแต่งตั้งให้ด�ำรงต�ำแหน่งใดๆ ในราชการ) ก็จะทรงสละ ต�ำแหน่งเพื่อให้ข้าราชการที่เหมาะสมซึ่งมีความต้องการ ในหน้าที่นั้นมากกว่าท�ำแทน ๑เป็นผู้หนึ่งที่ทางกองทัพบกคัดเลือกเข้าสมทบ ๔ เจ้าฟ้า เพื่อฝึกหัดเป็นทหารหมู่มือเปล่าเมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงเป็นนักเรียน นายร้อยพิเศษ และต่อมาได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงกลาโหมให้ไปศึกษาวิชาทหารต่อที่ประเทศเยอรมัน ท�ำให้มีโอกาสสนิทสนมกับ สมเด็จพระบรมราชชนกมาก ทรงเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ เมื่อครั้งทรงรับราชการในราชนาวีไทย ทรงแสดง ความไม่ถือประองค์โดยขอร้องมิให้มีการตั้งแถวกอง เกียรติยศรับเสด็จพระองค์ในฐานะพระราชวงศ์ตามระเบียบ ของกองทัพเรือในสมัยนั้น และไม่ทรงยอมให้นายทหาร ยศสูงกว่าท�ำความเคารพพระองค์ก่อนในฐานะที่ทรงเป็น เจ้าฟ้า แม้แต่การฝึกภาคทั่วไปก็ไม่ทรงยอมรับสิ่งใดเป็น พิเศษที่ต่างจากคนอื่น ปรกติทรงวางพระองค์สนิทสนมกับ ข้าราชบริพารคล้ายกับว่าเป็นคนชั้นเดียวกัน ทั้งๆ ที่ทรง ฐานันดรศักดิ์สูง เมื่อเสด็จท�ำการทดลองเรื่องบิดอมีบาและ เชื้อไข้มาลาเรีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิชาสาธารณสุข ที่ทรงศึกษาอยู่ที่ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ของคณะแพทย์ฯ ได้รับสั่งถึงผู้เกี่ยวข้องว่า “เวลาฉันมาท�ำงานอยู่ในห้อง ทดลองวิทยาศาสตร์ควรจะให้ฉันเหมือนกับฉันเป็นนักเรียน ผู้หนึ่งไม่ใช่เจ้านาย เขาควรท�ำงานของเขาไปและช่วยฉัน โดยตอบค�ำถามของฉัน” ทรงโปรดที่จะเสด็จไปไหนมาไหน ๖๔


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ตามล�ำพังไม่ต้องมีบริพารห้อมล้อม เมื่อครั้ง ทรงเป็นอาจารย์แพทย์เวลาเสด็จไปสอน นักเรียนแพทย์ที่หอวัง (คือสนามกีฬาแห่งชาติ ปัจจุบัน) ทรงขับรถยนต์คันเล็กๆ ด้วยพระองค์ เอง หากพบนักเรียนแพทย์ในระหว่างทางก็ ทรงหยุดรถรับให้ขึ้นนั่งเคียงข้างพระองค์และ ทรงสนทนาไต่ถามทุกข์สุขไปด้วย เวลาเสด็จ มาที่โรงพยาบาลศิริราชก็ไม่โปรดประทับ เรือยนต์หลวงแต่โปรดเสด็จด้วยรถมาจอด ที่ท่าพระจันทร์ แล้วประทับเรือจ้างข้ามฟาก เวลาเสด็จลงและขึ้นจากเรือโปรดประทาน พระหัตถ์พยุงคนแก่หรือคนไข้หรือไม่ก็ทรงยึด เรือไว้ให้คนอื่นๆ ลงหรือขึ้น พระองค์มิได้เพียง แต่ทรงแสดงพระองค์เหมือนอย่างสามัญชน เท่านั้นยังทรงปฏิบัติพระองค์เป็นพลเมือง ดีอย่างแท้จริงอีกด้วย ครั้งสุดท้ายที่เสด็จ ศิริราช มีแพทย์ใหม่ได้พบพระองค์เสด็จลง เรือจากเรือจ้าง พระหัตถ์ถือขวด specimen ใส่ล�ำไส้ของคนป่วยเป็นโรคบิดอยู่ภายใน สมัยเมื่อมีการประชุมสภาการแพทย์ เรื่องปัญหาแพทย์ ซึ่งพระองค์ทรงเป็น กรรมการอยู่ในฐานะอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย นั้น ทรงพินิจพิจารณาและวิจารณ์ปัญหา อย่างรอบคอบเพื่อกันความขัดแย้งในสภา ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ท�ำการเพื่อหวังผลในการ บ�ำรุงการแพทย์ให้ดีขึ้น ทรงหาทางป้องกันไม่ ให้เกิดการแตกแยกกันในระหว่างผู้ร่วมงาน ด้วยกัน แต่ก็มิได้ทรงสละหลักการท�ำงาน หรือความเห็นที่ดีเพื่อประโยชน์แต่เพียงที่ จะให้การเจรจาเป็นไปโดยราบรื่น (maintenance) คือลักษณะรอมชอม เท่านั้น แต่เป็นเพื่อการปรึกษาหารือกันเพื่อหาเหตุผลอื่นประกอบและเพื่อ ที่จะค้นคว้าให้ได้เรื่องที่เป็นจริง (productivity) ถ้ามีผู้ใดออกความเห็นขัด แย้ง เมื่อทรงรู้สึกว่าเป็นความเห็นที่สุจริตแล้วก็ทรงพระราชวินิจฉัยแก่ความ เห็นนั้นเป็นอย่างดี แต่ถ้าทรงรู้สึกว่าการที่ออกความเห็นแย้งนั้นมีเจตนาอื่น แอบแฝงหรือท�ำเพื่อแสวงหาอ�ำนาจแล้ว จะไม่ทรงยอมผ่อนผันลดละให้ นับว่าเจ้าฟ้าพระองค์นี้ ทรงอุบัติขึ้นในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่าง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และระบอบประชาธิปไตยก็จริงอยู่ แต่ทรง เป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยในเนื้อแท้โดยมิต้องทรงเป็นนักการเมืองเลย ทรงเป็นเพื่อนและญาติที่ดี โดยเหตุที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงเป็นประชาธิปไตย ตรงไป ตรงมาไม่ทรงโปรดอภิสิทธิ์และการเล่นพวก๑ และทรงเอาจริงเอาจัง ในเรื่องการงาน บุคคลผู้ใกล้ชิดพระองค์ท่านส่วนใหญ่จึงมักเป็นพระญาติ หรือพระสหายผู้เกี่ยวข้องกันในวงการศึกษาหรือวงงานมักไม่ทรงเอาเรื่อง ส่วนพระองค์เข้าไปก้าวก่ายในการงาน ยกเว้นในกรณีที่เหมาะสม (เช่นการ ที่พระองค์ทรงสนพระทัยแผนกเอกซเรย์ซึ่งเริ่มตั้งขึ้นใหม่ของศิริราช ได้ทรง พาพระชายาและพระโอรสธิดามาทอดพระเนตรเครื่องเอกซเรย์ของแผนก และทรงนัดจะพาสมเด็จพระพันวัสสามาทอดพระเนตรด้วย แต่ประชวรเสีย ก่อน ระยะต่อมาแผนกเอกซเรย์เล็กๆ นั้นก็ได้เป็นที่ตรวจพระวรกายของ เครื่องเอกซเรย์ ที่ทรงพระราชทานให้โรงพยาบาล แมคคอร์มิค เป็นเครื่องเอกซเรย์เครื่องแรกที่มีใช้ในภูมิภาค ๑เรื่องนี้ได้มีบ่งไว้ในลายพระหัตถ์ถึงหม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรี ผู้อ�ำนวยการโรงเรียนแพทย์ ในครั้งนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ เมื่อครั้งที่ พระองค์ประทับอยู่ต่างประเทศว่าทรงห่วงปัญหาการเล่นพวกและอภิสิทธิ์ในการพิจารณาผู้รับทุนและการรับเหมาก่อสร้างตึกในโรงพยาบาลศิริราช เจ้านายหลายพระองค์รวม ทั้งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ด้วย พระองค์เองเมื่อประทับ ที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ ก็ได้พระราชทานเงิน ๓,๐๐๐ เหรียญอเมริกัน เพื่อ ซื้อเครื่องเอกซเรย์เป็นการ บ�ำรุงโรงพยาบาล) ในทาง ตรงกันข้าม มักทรงเอาการงาน ๖๕


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนพระองค์ เช่นการที่ทรงศึกษา แพทย์ก็ทรงหวังว่าจะมีโอกาสรักษาผู้คนทุกระดับตั้งแต่ เจ้านายจนถึงประชาชนธรรมดา เมื่อทรงเกรงว่าผู้ป่วยที่ ศิริราชจะไม่ได้รับการดูแลที่ดีนั้น ได้ทรงขอร้องแพทย์ผู้ใหญ่ ให้ผลัดกันมาอยู่เวร ได้ทูลชวนให้พระราชมารดา (คือสมเด็จ พระพันวัสสา) ประทานเงินสร้างท่อประปาวางข้ามแม่น�้ำ น�ำน�้ำสะอาดมาให้แพทย์และผู้ป่วยของศิริราชได้ใช้สอย และทรงชักชวนผู้จัดการผลประโยชน์ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรม หลวงนครราชสีมา ให้สร้างตึกอัษฎางค์ขึ้น เหล่านี้เป็นต้น พระเชษฐาธิราชพระองค์หนึ่ง ซึ่งพระองค์ท่านทรงมี ความผูกพันมากนั้น คือ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนารถ กรม หลวงพิษณุโลกประชานาถ ซึ่งทรงวิจารณ์ไว้ในหนังสือเกิดวัง ปารุสก์๑ ว่า “ทรงมีความรู้อย่างยิ่ง ตรัสด้วยแล้วเหมือนเข้าไป นั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด ตรัสเรื่องอะไรๆ ก็ทรงทราบทั้งนั้น” เมื่อพระเชษฐาพระองค์นี้เสด็จทิวงคต ได้ทรงอุทิศหนังสือ เรื่อง “ทูเบอร์คุโลสิส” ที่ทรงแต่งขึ้นเพื่อการสาธารณสุข ให้พิมพ์แจกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพในครั้งนั้น เมื่อพระเชษฐภคินี สมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรม หลวงเพชรบุรีราชสิรินทร ประชวรพระวักกะ ขณะพระองค์ ประทับอยู่ต่างประเทศ พระราชมารดาทรงปรารภให้หา แพทย์จากต่างประเทศกลับไปถวายการรักษา ก็ทรงตัดสิน พระทัยให้พระเชษฐภคินีเสด็จไปรับการรักษา ณ ต่าง ประเทศแทน และเมื่อแพทย์ได้ตัดพระวักกะไปข้างหนึ่งนั้น ก็ได้ทรงดูแลพระเชษฐภคินีจนพระองค์เองประชวรไป จาก หนังสือ “เกิดวังปารุสก์(๒)” ของพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ก็ได้มีข้อความบ่งถึงพระองค์ท่านไว้ว่า “ส่วนกับหลานๆ นั้น ท่านทรงพระกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ทรงพาเที่ยวดูหนังดูละคร อย่างรื่นเริง แต่ข้อส�ำคัญที่สุดก็คือ ท่านทรงช่างคุยเสียจริงๆ ข้าพเจ้าได้รับทั้งความรู้และความสนุกเพลิดเพลินจากการ คุยกับทูลหม่อมอาแดง (หมายถึงสมเด็จพระบรมราชชนก) ทั้งยังได้ฟังเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพ่อ (หมายถึงสมเด็จเจ้าฟ้า จักรพงศ์ภูวนารถ) เป็นอันมาก” สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงมีน�้ำพระทัยต่อบุคคลโดยมิได้เลือกชั้นวรรณะ หรือเชื้อ ชาติศาสนา เมื่อครั้งทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศนั้นทรงทราบ ว่า Mr.Francisco Vella พระสหายชาวเม็กซิกัน ซึ่งตั้งใจว่า จะกลับไปท�ำประโยชน์แก่เพื่อนร่วมชาติของเขา ขาดเงินเพื่อ ใช้จ่ายในการศึกษาของตน ก็ทรงพระกรุณาพระราชทานเงิน ให้เขาเดือนละ ๑๐๐ เหรียญ จนส�ำเร็จการศึกษา ๑สุด แสงวิเชียร “พระบิดาแห่งการแพทย์ไทยแผนปัจจุบัน” วารสารสุขภาพ ๒ (กันยายน ๒๕๒๗) ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมูลนิธิร็อคกี้ เฟลเลอร์ ส่งมาประจ�ำที่โรง พยาบาลศิริราช ซึ่งได้มา ด�ำรงต�ำแหน่งคณบดีคณะ แพทยศาสตร์และผู้อ�ำนวย ก า ร โ ร ง พ ย า บ า ล ศิ ริ ร า ช ดร.อี.ซี.คอร์ท ผู้อ�ำนวยการ โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ ที่ทรงไปประทับ อยู่ด้วย ม.จ.พูนศรีเกษม ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เอ.จี.เอลลิส เกษมศรี ผู้อ�ำนวยการโรงเรียนแพทย์และอดีตคณบดี คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พลตรีพระ ศักดาพลรักษ์ และนักเรียนแพทย์ผู้รับทุนของพระองค์ ท่านอีกมากมายหลายคน ตลอดทั้งผู้ที่มีโอกาสได้ท�ำงาน ใกล้ชิดพระองค์ด้วย ผู้ที่เป็นทั้งพระญาติและพระสหาย ส�ำคัญยิ่งตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ซึ่งจะงดเว้นไม่กล่าวถึง เสียมิได้ก็คือ สมเด็จกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งสมเด็จ พระพันวัสสา ได้ทรงรับไว้ในพระอุปถัมภ์แต่แรกประสูติ เพราะเจ้าจอมมารดาถึงแก่อนิจกรรม ในกาลต่อมาเสด็จ พระสหายผู้ใกล้ชิดอื่นๆ ก็มีอาทิเช่น Dr.A.G.Ellis ๖๖


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ในกรมพระองค์นี้ในฐานะอธิบดีกรมสาธารณสุขในกระทรวง มหาดไทยได้ทรงเป็นผู้ชักจูงให้พระองค์ท่านหันมาสน พระทัยกิจการแพทย์และการสาธารณสุขของไทย เป็นผล ให้เกิดการพัฒนาขึ้นอย่างมาก ซึ่งในครั้งนั้นได้ทรงวิจารณ์ พระบุคลิกของสมเด็จพระบรมราชชนกไว้ในบทความเรื่อง “ความเป็นมาของโรงเรียนแพทย์” ที่ได้ทรงพระนิพนธ์ว่า “เจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงมีพระปัญญาแหลม มีความ เพียรแก่กล้าจะทรงท�ำอะไรท�ำจริงไม่ย่อท้อ ทรงเป็นผู้มี รายได้สูงมาก แต่ไม่ทรงใช้จ่ายในการบ�ำรุงความสุขส�ำราญ ของพระองค์อย่างฟุ่มเฟือย โปรดบ�ำเพ็ญกุศลสาธารณะ นึกถึงแต่สาธารณประโยชน์ไม่ทรงแจกเงินแก่บุคคลเป็น ส่วนตัวอย่างพร�่ำเพรื่อ โปรดอุดหนุนแต่ผู้ที่ทรงเชื่อว่า จะเล่าเรียนมาท�ำประโยชน์แก่บ้านเมืองได้ดี และโปรด จ่ายเงินให้ท�ำอะไรเป็นปึกแผ่นยั่งยืนส�ำหรับชาติบ้านเมือง ต่อไป” ค�ำกล่าวนี้นับเป็นกระจกฉายภาพพจน์อันชัดเจนของ สมเด็จพระบรมราชชนกโดยแท้ ในวงการที่เหมาะสมเพราะใกล้ชิดพระองค์ด้วย และกุลสตรี ผู้ได้ถือก�ำเนิดมาเป็นคู่พระบารมีโดยแท้นี้คือ นางสาว สังวาลย์ ตะละภัฏ (ชูกระมล) ผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นพระราชชนนี ของพระมหากษัตราธิราชของชาวไทยเราสองพระองค์ ด้วยกัน สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงเล่าไว้ ในหนังสือ “แม่เล่าให้ฟัง” พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าพี่นาง เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาถึงการที่ได้เฝ้าสมเด็จพระบรม ราชชนก ครั้งแรก ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และความใกล้ ชิดกันก่อนการอภิเษกสมรสว่า “เมื่อเสด็จกลับประเทศไทย สมเด็จพระบรมราชชนกไม่ได้ทรงหยุดงานเลย” จึงไม่ได้เฝ้า บ่อยนัก จนเมื่อหลังการอภิเษกสมรสจึงได้ตามเสด็จไปใน ที่ต่างๆ และตามเสด็จต่างประเทศด้วย และเมื่อพระองค์ ทรงศึกษาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ที่ฮาร์วาร์ด ได้ทรงจัดให้ พระชายา (ซึ่งขณะนั้นเป็นหม่อมสังวาลย์ มหิดล สงขลา) เข้าวิทยาลัยซิมบอนส์ เมืองบอสตันในฐานะนักเรียนพิเศษ ในหลักสูตรเตรียมพยาบาล มีวิชาเคมีโภชนาการ และต่อ มาทรงให้ศึกษาการสาธารณสุขเกี่ยวกับโรงเรียน (School Health) ที่ Massachusetts Institute of Technology ทุกแห่งที่เสด็จในต่างประเทศจะทรงผนวกงาน การท่องเที่ยว และการเสด็จเยี่ยมเยือนนักเรียนทุนของพระองค์ท่านไป ด้วยกันเสมอ เช่นเมื่อทรงค้นคว้าด้านสาธารณสุข เสด็จ ส�ำรวจน�้ำขังในที่ต่างๆ บางครั้งก็ทรงพาพระชายาไปด้วย เมื่อ ทรงแวะทอดพระเนตรโรงพยาบาลต่างๆ ที่อังกฤษก็ทรงโปรด ให้พระชายาดูงานที่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ควีนแมรีเป็นต้น การที่ทรงปฏิบัติเช่นนี้นับเป็นคุณอันใหญ่หลวง ๑ที่ทรงเห็นความส�ำคัญยิ่งของการแพทย์และการสาธารณสุขก็เพราะประเทศไทยระยะนั้นมีความด้อยและขาดแคลนในเรื่องนี้อย่างมากประการหนึ่ง และ พระองค์เองทรงมีพลานามัยไม่สมบูรณ์มาเกือบตลอด จึงทรงเข้าพระทัยดีถึงความทุกข์ยากของผู้ป่วยอีกประการหนึ่ง เพราะแม้เมื่อเสด็จทิวงคตแล้ว สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ซึ่งต้องทรงรับภาระดูแลพระธิดาและพระโอ รสเล็กๆ สามพระองค์ที่จะทรงเติบใหญ่ขึ้นมามีความส�ำคัญ ยิ่งต่อประเทศ แต่เพียงล�ำพังนี้ก็ได้ท�ำหน้าที่อย่างดีเลิศที่สุด ทรงเป็นหัวหน้าครอบครัวตัวอย่าง คงจะเป็นด้วยสมเด็จพระบรมราชชนกทรงเป็น นักวิชาการผู้ทรงสนพระทัยฝักใฝ่ยิ่งในการศึกษาและทรง ผูกพันกับการแพทย์และการสาธารณสุขอย่างลึกล�้ำแม้ว่า จะทรงเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องในสาขานี้ได้ไม่นาน๑ กอปร กับพระอุปนิสัยมีความรับผิดชอบสูงต่อนักเรียนทุนใน ต่างประเทศที่อยู่ภายใต้ความดูแลของพระองค์ จึงได้ทรง เลือกคู่พระทัยเป็นนักเรียนพยาบาล ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือก ให้รับทุนสมเด็จพระพันวัสสาฯ พระราชมารดามาศึกษาต่อ ณ สหรัฐอเมริกา ในสมัยนั้น สุภาพสตรีผู้ได้รับการศึกษา สูงมีไม่มากนัก โดยเฉพาะในด้านแพทย์และพยาบาลที่จะ มีความสามารถไปศึกษาต่อต่างประเทศได้ ซึ่งย่อมจะอยู่ ๖๗


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท อย่างที่สมเด็จพระเจ้าพี่นาง เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ได้ทรงเล่าไว้ว่า “เพราะ แม่เรียนเรื่องอนามัยและ โภชนาการมา แม่จึงเลี้ยงลูก อย่างสะอาด ถูกอนามัยและ ระวังเรื่องอาหารมาก เรามี ชีวิตอย่างสนุกสบายแต่ก็มี ระเบียบวินัยระเบียบวินัย หม่อมได้อยู่และศึกษาในเมืองต่างประเทศ นั้น ไม่ได้เป็นเหตุละลดในการที่จะท�ำการ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนร่วมชาติเลย” บางครั้งสมเด็จพระบรมราชชนก ทรงขับรถยนต์รับนักศึกษาแพทย์ไปที่พระ ต�ำหนักด้วยพระองค์เอง เช่นในฤดูหนาว พ.ศ. ๒๔๗๐ ทรงขับรถยนต์ฝ่าหิมะไปรับแพทย์ ไทย ๑ คน พยาบาล ๑ คน และหม่อมเจ้าอีก ๑ องค์ในตอนเช้าของวันที่ ๖ ธันวาคม เพื่อ ไปเยี่ยมพระชายาและพระโอรสองค์เล็กเมื่อ แรกประสูติที่โรงพยาบาลเมาท์ออร์เบิร์น เมืองเคมบริดจ์ ในมลรัฐแมสซาจูเซ็ตต์ด้วย พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ได้ทรงเล่า ไว้ในหนังสือเรื่องเกิดวังปารุสก์ว่า สมเด็จ พระบรมราชชนกจะทรงพกพระรูปพระ โอรสธิดาเล็กๆ นี้ติดพระองค์ไว้เสมอ ทรง พระราชทานความรักความอบอุ่นเอาพระทัย ใส่แก่สมาชิกในครอบครัวทุกพระองค์ และ พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงถ่ายทอดพระนิสัยเปี่ยม ด้วยพระเมตตาเป็นกันเองไม่ถือพระองค์ โปรดความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ประหยัด ขยัน ขันแข็ง ละเอียดรอบคอบและมีระเบียบวินัย ไว้อย่างพร้อมมูล ๑“แม่เล่าให้ฟัง” พระราชประวัติ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ๒ใน “พระกรณียกิจปฏิบัติของสมเด็จพระราชบิดาเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ที่ทรงอุปการะการแพทย์ไทยในกรุงสยาม” ดร.อี จี เอลลิส สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ พร้อมด้วยพระชายาและพระโอรสธิดา ๓ พระองค์ อย่างมีหลักไม่ใช่ระเบียบโบราณ”๑ อนึ่ง ดร.เอลลิส๒ ก็เล่าว่า “ในระหว่างที่ทรงศึกษาวิชาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั้นผู้ที่ไปเฝ้าเยี่ยมที่ต�ำหนักของพระองค์ท่านและ หม่อมที่เมืองบรุกไลน์จะได้พบครอบครัวที่มีความสุขส�ำราญและครอบครัว ที่ขยันขันแข็งต่อการงานอย่างที่สุด ทรงรับรองนักเรียนไทยในสหปาลีรัฐ อเมริกาที่ไปเฝ้าเป็นอย่างดีเสมอทุกเวลา ส�ำหรับนักเรียนไทยเหล่านั้น แล้วต�ำหนักเปิดรับเขาอยู่เสมอ สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงพักผ่อนพระ อิริยาบถจากการเรียนด้วยการทรงช่วยเลี้ยงระวังและฝึกฝนพระโอรสพระ ธิดา พระองค์ท่านและหม่อมได้ทรงใช้จ่ายและซื้อฉลองพระองค์และเสื้อผ้า แต่อย่างชนิดราคาย่อมเยา เพื่อเป็นการประหยัดทรัพย์ส�ำหรับจะได้มีเงิน ไว้ใช้ในการตั้งทุนเล่าเรียนให้แก่กุลบุตรชาวสยามมากขึ้น พระองค์ท่าน และหม่อมทรงรู้สึกว่าไม่มีสิทธิที่จะใช้เงินซื้อของส�ำหรับดูเล่นเท่านั้น คน ไทยบางคนในอเมริกาเห็นว่าที่ทรงท�ำไปนั้นไม่สมแก่พระเกียรติยศ ใน มหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ดก็ทรงเป็นแต่เพียงนักเรียนแพทย์ผู้หนึ่งไม่ใช่เจ้า นาย ในพระนามบัตรก็มีว่า “มิสเตอร์มหิดล สงขลา” ในเวลาที่ประทับอยู่ ในประเทศที่ไม่มีเจ้านาย พระองค์ท่านก็ไม่ใช่เจ้านาย เราถือว่าการที่วาง พระองค์เช่นนี้เป็นการให้เกียรติยศกันแท้จริงแก่ประเทศของเรา และสมกับ พระลักษณะของการเป็นเจ้านายที่แท้ หม่อมของพระองค์นั้นไม่เพียงแต่เป็น ผู้คล้อยตามหรือผู้ที่ช่วยเหลืออย่างดีที่สุดในเรื่องพระด�ำริ เรื่องการศึกษา และการบริจาคทรัพย์เท่านั้นแต่ได้เป็นผู้ต้นคิดด้วย การที่พระองค์และ ทรงเป็นนักบริหารและข้าราชการ ตัวอย่าง ในช่วงพระชนม์ชีพที่เกี่ยวข้องกับ การท�ำงานของสมเด็จพระบรมราชชนกมีอยู่ ๖๘


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท หลายครั้งที่แสดงให้เห็นพระวิจารณญาณมองการณ์ไกล และพระนิสัยละเอียดรอบคอบและประหยัดไม่เฉพาะแต่ พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ยังทรงเผื่อแผ่ไปถึงทรัพย์ของ แผ่นดินด้วย ตัวอย่างเช่น สมัยเมื่อทรงรับราชการในราชนาวีไทยนั้น กองทัพ ไทยเรายังมีเรือรบน้อยจนเกือบจะไม่เป็นกองทัพ ทรงเห็น ความส�ำคัญของเรือเล็กๆ เช่นเรือด�ำน�้ำหรือเรือตอร์ปิโด ซึ่ง เหมาะแก่ไทยเราในฐานะประเทศเล็กๆ ที่ยังขัดสนและ ประโยชน์ใช้สอยก็สูงกว่าเพราะอาจแล่นในแม่น�้ำหรือไป ตามที่ใดๆ ได้สะดวกเป็นการประหยัดเงินกว่าที่จะสร้าง เรือรบล�ำใหญ่ๆ ที่ไม่อาจมีได้หลายล�ำและไม่สะดวกในเรื่อง อู่ต่อเรือและซ่อมเรือ(เพราะเรือเล็กที่ลาดตระเวนตามชายฝั่ง อยู่เป็นจ�ำนวนมากจะสามารถป้องกันปัญหาการลักลอบ เข้าหรือออกนอกประเทศ การขนยาเสพติดหรือสินค้าที่ ผิดกฎหมาย ตลอดไปจนถึงการลักลอบระเบิดปะการัง และท�ำลายสัตว์น�้ำซึ่งเป็นความสูญเสียอย่างยิ่งในด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ และล้วนเป็นปัญหาที่ยังคงสืบมาจน ปัจจุบัน) อย่างไรก็ตามพระด�ำริในเรื่องนี้ไม่เป็นผลสัมฤทธิ์ จึงท�ำให้ทรงท้อพระทัยในที่สุดได้ทรงลาออกจากกองทัพเรือ ครั้นเมื่อทรงมาช่วยรับผิดชอบในวงการแพทย์ ใน การท�ำแผนผังการก่อสร้างตึกใหม่ในโรงพยาบาลศิริราช ก็เช่นกัน พระองค์ทรงตรวจตราแก้ไขอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนกว่าจะได้แบบแผนที่พอพระทัยจึงจะทรงรับและไม่ ทรงยอมให้มีการประดับประดาอะไรทั้งสิ้นที่ไม่จ�ำเป็น ซึ่งนายช่างออกแบบมักจะไม่เห็นด้วย แต่พระองค์ต้อง พระประสงค์ให้ประหยัดให้ได้ราคาต�่ำสุด แต่ใช้ของมี คุณภาพ คือทรงค�ำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความ งามฉาบหน้า รับสั่งว่าโรงเรียนและโรงพยาบาลของหลวง ไม่จ�ำเป็นต้องสวยงาม ควรค�ำนึงถึงความประหยัด กล่าว กันว่าทรงประหยัดยิ่งกว่าเงินของพระองค์เองเสียอีก ฉะนั้น ตึกที่สร้างในสมัยของพระองค์ท่านจึงมีความคงทนแข็ง แรงอย่างที่สุด เป็นต้นว่าตึกกายวิภาค และสรีรวิทยา ลูก ระเบิดตกในที่ใกล้เคียงหลายครั้งโครงตึกก็หาบุบสลายไม่ ตลอดเวลา ๓๐ ปี ไม่ปรากฏว่าผนังมีรอยร้าวในที่ใดเลย สมเด็จพระบรมราชชนกเคยทรงมีพระด�ำรัสเป็น ข้อคิดในการประชุมเกี่ยวกับการเลือกตั้งบางต�ำแหน่งใน โรงพยาบาลศิริราชว่า “เรื่องต�ำแหน่งการงานนั้นก็เหมือน หมวก จะหาหมวกให้เหมาะกับหัวคนนั้นคงไม่ยากแต่ เรื่องที่จะหาหัวคนมาให้เหมาะกับหมวกนี่ซิยากนักหนา” ทั้งนี้หมายความว่า ถ้าเรามีต�ำแหน่งการงานอยู่แล้วและ พยายามปั้นคนขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมกับต�ำแหน่งนั้น เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเรามีคนที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวอยู่ และพิจารณาต�ำแหน่งที่เหมาะสมให้เขานั้นจะเป็นเรื่อง ง่ายกว่า พระวิจารณญาณอันสุขุมรอบคอบในเรื่องนี้ก็คือ เมื่อพระองค์ทรงตกลงพระทัยเลือกหม่อมเจ้าหญิงจันทร นิภา เทวกุล มาทรงท�ำหน้าที่อาจารย์ผู้ปกครองโรงเรียน ผดุงครรภ์และพยาบาลในการพัฒนาปรับปรุงการพยาบาล ในระยะนั้น เพราะทรงมีพระประสงค์อย่างแรงกล้าให้มี การดูแลเอาใจใส่การกินการอยู่ของพยาบาล โดยทรงเห็น ว่าการสอนกิจกรรมและสอนเรื่องการกินอยู่ทั่วๆ ไปให้ ถูกวิธีนั้นมีคุณค่าเทียบเท่าหรืออาจมากกว่าการสอนตาม หลักสูตรด้วยซ�้ำ เห็นได้ชัดว่าเมื่อทรงพิจารณาปรับปรุงใน ด้านการสอนตามหลักสูตรซึ่งเป็นทฤษฎีนั้นจ�ำเป็นต้องให้ มีการปฏิบัติให้ถูกหลักควบคู่กันไปด้วยจึงจะถือเป็นการ พัฒนาที่สมบูรณ์ วิชาพยาบาลในช่วงนั้นจึงเริ่มก้าวหน้าขึ้น ในฐานะอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย ทรงมีพระราชด�ำริ ว่ามหาวิทยาลัยของไทยนั้นไม่จ�ำเป็นต้องเป็นแบบเดียว กับตะวันตก ควรสร้างตามความจ�ำเป็นหรือความต้องการ ของประเทศ คือควรมีกสิกรรม พาณิชยกรรม และการฝึก หัดครู นับว่าทรงเป็นนักวางแผนที่ค�ำนึงถึงการปฏิบัติ (practicality) อย่างแท้จริง ๖๙


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท อนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงให้เห็นบ่อยครั้งว่าไม่ทรง นิยมเสด็จงานพิธีรีตองซึ่งจัดขึ้นให้สมพระเกียรติเพราะทรง ห่วงเรื่องความหมดเปลือง เช่นการที่ทรงระงับการเสด็จ ส�ำรวจด้านสุขาภิบาลของกรุงเทพฯ เมื่อครั้งทรงท�ำรายงาน ประกอบหลักสูตรวิชาสาธารณสุขที่ฮาร์วาร์ดดังได้กล่าว แล้วในตอนต้น และอีกครั้งหนึ่งเมื่อคณะสอนศาสนานิกาย เพรสไบทีเรียนทูลเชิญให้เสด็จไปทรงเปิดโรงพยาบาล แมคคอร์มิคที่เชียงใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่ทรงเต็ม พระทัยที่จะเสด็จนัก แต่ในที่สุดได้เสด็จเพราะทรงกลัวว่า จะท�ำให้ผู้คนผิดหวังและได้ทรงเปิดศูนย์อนามัยของสภา กาชาดที่เชียงใหม่ในครั้งนั้นด้วย เนื่องในการฉลองวาระพระชนมายุครบ ๒๘ พรรษา พระองค์ได้ทรงบริจาคเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แก่มหาวิทยาลัย เป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมชนกนาถ (ล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕) และสมเด็จ พระอัยยิกา ทั้งนี้เพื่อให้มหาวิทยาลัยได้เก็บดอกผลจาก เงินทุนเป็นทุนส่งนักเรียนและเจ้าหน้าที่ออกไปศึกษา วิชาแพทย์ เคมี ฟิสิกส์หรือชีววิทยาต่อ ณ ต่างประเทศ ครั้นเมื่อทางมหาวิทยาลัยต้องการท�ำพิธีรับมอบทุน ที่พระราชทานอย่างถูกต้องเป็นทางการ ได้เตรียมจัดงาน และทูลเชิญเสด็จก็ทรงปฏิเสธ เพราะนอกจากจะไม่ทรงโปรด ความหมดเปลืองในเรื่องพิธีรีตองแล้ว ยังถ่อมพระองค์ไม่มี พระประสงค์จะให้คนยกย่องสรรเสริญอีกด้วย กรณีเช่นนี้มีอีกหลายครั้ง เช่นเมื่อทรงบริจาคเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ในการก่อสร้างตึกศัลยกรรมชาย ณ โรง พยาบาลศิริราช ก็ไม่ทรงยอมให้เอาพระนามไปตั้งชื่อตึก จนเมื่อเสด็จทิวงคตแล้ว ตึกนั้นจึงได้ชื่อว่า “มหิดลบ�ำเพ็ญ” ใ น เ ดื อ น ธั น ว า ค ม พ . ศ . ๒ ๔ ๖ ๗ ใ น ก า ร อ บ ร ม สาธารณสุขมณฑลที่กรุงเทพฯ สมเด็จพระบรมราชชนก ได้ ทรงบรรยายเรื่อง “ธาตุปัจจัยในการสาธารณสุข” ทรงสอน วิธีปฏิบัติงานสาธารณสุข (Practical Sanitation) ให้แก่ แพทย์ที่มารับการอบรมและทรงพาแพทย์เหล่านั้นไปดูงาน สุขาภิบาล ทรงปรารภถึงตึกแถวถนนเจริญกรุงที่สร้าง เหลื่อมล�้ำกันออกมา (ปัญหาเรื่องเทศบัญญัติ) ทรงพาไปดู ตลาดและส้วมตามวัดต่างๆ เมื่อได้พบส้วมที่ผิดสุขลักษณะ และทางวัดไม่มีเงินจะสร้าง ก็ทรงเรี่ยไรจากผู้ที่เข้าร่วม อบรมคนละเล็กคนละน้อยส่วนใหญ่ที่ขาดก็ได้พระราชทาน จนครบ ครั้นเมื่อเสร็จการอบรมบรรดาแพทย์ได้จัดของ ที่ระลึกถวายในครั้งนั้นก็ทรงมีลายพระหัตถ์ตอบมายังสมเด็จ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่า “หม่อมฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าการสาธารณสุขนั้นเป็น ของส�ำคัญยิ่งเป็นเครื่องบ�ำรุงก�ำลังของชาติไทยและเป็น สาธารณประโยชน์แก่มนุษยชาติทั่วไปด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสอันใดที่หม่อมฉันพอจะช่วยออกก�ำลังกาย ปัญญาหรือทรัพย์อันเป็นผลที่จะทะนุบ�ำรุงให้การนั้นเจริญ ขึ้นแล้ว หม่อมฉันยินดีปฏิบัติเสมอ อนึ่งหม่อมฉันรู้สึกว่ากิจการที่หม่อมฉันได้ท�ำมานั้น เป็นการเล็กน้อยเท่านั้น” ทรงเป็นนักพัฒนาตัวอย่าง เมื่อแรกที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงก้าวเข้ามา ในวงการแพทย์นั้น กิจการด้านการศึกษาแพทย์และการ สาธารณสุขของไทยไม่มั่นคงและไม่สามารถด�ำเนินการ ให้ทัดเทียมต่างประเทศได้ ทั้งนี้เพราะนักศึกษาที่เข้ามา เรียนวิชาแพทย์มีความรู้ต�่ำ ไม่เคยเรียนวิชาพื้นฐานของ วิชาแพทย์มาก่อน ความรู้ทางภาษาอังกฤษก็อ่อนมากไม่ สามารถอ่านต�ำราภาษาต่างประเทศได้ อาจารย์ที่สอนก็ เป็นผู้ที่เรียนมาทางประกอบโรคศิลป์ (ข้อบกพร่องต่างๆ เหล่านี้ต่อมาได้มีการแก้ไขทีละขั้น เช่น ยกฐานะความรู้ ขั้นต�่ำตามล�ำดับขั้นเป็นมัธยมศึกษาปีที่ ๘ ก�ำหนดเวลา เรียนและเพิ่มหลักสูตรในขั้นเตรียมแพทย์ ฯลฯ เป็นต้น) ๗๐


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ส�ำหรับพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านในด้าน การพัฒนาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับคณะแพทยศาสตร์และ ศิริราชพยาบาลอาจกล่าวโดยสรุปได้คือ ๑. ทรงส่งบุคคลไปศึกษาวิชาการแพทย์และ พยาบาล ณ ต่างประเทศโดยทุนส่วนพระองค์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๐ จนเสด็จทิวงคต เพราะทรงค�ำนึงถึงคุณภาพของ บุคลากรซึ่งจะต้องปรับปรุงให้ได้มาตรฐานและรักษาระดับ มาตรฐานนั้นไว้มิให้ตกต�่ำ ๒. พระราชทานทุนแก่มหาวิทยาลัยให้เก็บดอกผล เพื่อส่งคนไปศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศเป็นจ�ำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เรียกว่า “ทุนวิทยาศาสตร์แห่งแพทย์” ๓. พระราชทานเงินไว้เป็นทุนเพื่อการค้นคว้าและ สอนในโรงพยาบาลศิริราช ๔. ทรงช่วยเหลือวิ่งเต้นจัดซื้อหาที่ดินและสร้าง อาคารให้แก่โรงพยาบาลศิริราช อีกทั้งโรงเรียนแพทย์ และโรงเรียนพยาบาลด้วย ๕. ทรงท�ำความตกลงกับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ให้ช่วยปรับปรุงโรงเรียนแพทย์ น�ำมาซึ่งผลแห่งความ ร่วมมือกันเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่วิชาแพทย์ของ ประเทศเป็นระยะเวลานาน ส�ำหรับเรื่องมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ตกลงให้ความ ช่วยเหลือการแพทย์ไทยนั้น ในฐานะที่ทรงเป็นผู้แทนฝ่าย ไทยได้ทรงท�ำให้ประธานมูลนิธิมีความประทับใจในความ ใฝ่พระทัยของพระองค์ท่านในเรื่องการศึกษาวิชาแพทย์ ทรงสามารถแถลงความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับ สถานการณ์การแพทย์ไทยในขณะนั้นได้อย่างละเอียด เป็นผลให้แพทย์ไทยได้รับการส่งเสริมหลายด้านจนเจริญ รุดหน้าไปเป็นอย่างยิ่ง กล่าวกันว่า ๑๒ ปีของพระองค์ในวงการแพทย์นั้น เป็นระยะแห่งความเฟื่องฟูโดยแท้ พระองค์ท่านในฐานะนักพัฒนาบุคลากร สมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงเริ่ม “ทุนสอนและ ค้นคว้าของโรงพยาบาลศิริราช” ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ผู้รับทุน ฝึกฝนในทางปฏิบัติ (คือค้นคว้าและช่วยสอน) ในสาขาใด สาขาหนึ่งเพื่อเตรียมตัวออกไปค้นคว้าด้วยตัวเองได้ และจะ ท�ำให้ได้รับการฝึกฝนให้เกิดความเชื่อถือตนเองในแนวทาง ที่ถูกต้องเพื่อออกไปปฏิบัติอาชีพได้สมบูรณ์ โดยก�ำหนด ให้ผู้รับทุนในฐานะผู้ช่วยสอนเป็นเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งในบรรดา อาจารย์ผู้สอนของคณะนอกเหนือไปจากงานค้นคว้าที่จะ ท�ำและให้เสนอวิทยานิพนธ์ซึ่งถือเป็นส่วนส�ำคัญส่วนหนึ่ง ของงาน จะต้องเป็น “งานริเริ่มและมีบรรณานุกรมครบถ้วน” ซึ่งทั้งนี้เป็นผลสนับสนุนให้เกิดงานค้นคว้าวิจัยริเริ่มใหม่ๆ หลายชิ้น เมื่อทรงพระราชทานทุนการศึกษาส่วนพระองค์นั้น ทรงพระราชด�ำรัสว่า “เงินที่ฉันได้ใช้ออกมาเรียนหรือให้พวกเธอออกมา เรียนนี้ไม่ใช่เงินของฉันแต่เป็นเงินของราษฎรเขาจ้างให้ฉัน ออกมาเรียน ฉะนั้นเธอต้องตั้งใจเรียนให้ดีให้ส�ำเร็จเพื่อจะ ได้กลับไปท�ำประโยชน์แก่ประเทศชาติและขอให้ประหยัดใช้ เงินเพื่อฉันจะได้มีเงินเหลือไว้ส�ำหรับช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป” ข้อความนี้เหมาะส�ำหรับนักเรียนทุนทุกคนจะยึดเป็น หลักในการศึกษาเล่าเรียนยิ่งนัก พระวิจารณญาณในการคัดเลือกนักเรียนทุนแสดง ถึงพระนิสัยละเอียดรอบคอบของพระองค์เมื่อทรงก�ำหนด คุณสมบัติของผู้รับทุนไว้ดังนี้ “ผู้สมัครไม่จ�ำเป็นต้องเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งหรือ มีประวัติการเรียนยอดเยี่ยมซึ่งจะเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งที่ใช้ พิจารณาในการขอทุน แต่ที่ส�ำคัญต้องมีความสนใจ เป็นพิเศษ มีลักษณะเหมาะส�ำหรับวิชาพิเศษที่เลือกไป เรียนและเตรียมตัวไว้พร้อม ลักษณะส�ำคัญอีกอย่างคือ ๗๑


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ต้องรู้ภาษาดีพอ มีความประพฤติดี อนามัยดี ตั้งใจจะอุทิศ ร่างกายและจิตใจเพื่ออาชีพนั้น” ทรงพระราชด�ำรัสด้วยว่าความมุ่งหมายในการ พระราชทานทุนนั้น คือ ๑. ถือการเลือกนักเรียนที่เหมาะสมเป็นส�ำคัญ ๒. ให้นักเรียนมีโอกาสเรียนวิชาที่เหมาะสมกับเขา ที่สุด ๓. หวังให้นักเรียนส�ำเร็จไปประกอบอาชีพให้เป็น ประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ได้ และรับสั่งว่าที่ต่างจากทุนรัฐบาลคือ ๑. อนุญาตให้เรียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ ๒. ต้องการให้เรียนให้ดีมีผล ๓. เมื่อจบกลับกรุงเทพฯ แล้วไม่มีงานให้ท�ำ (แต่ทั้งนี้ ปรากฏว่านักเรียนทุนส่วนพระองค์เป็นส่วนใหญ่นั้นได้กลับ ไปรับใช้ประเทศและท�ำประโยชน์ให้แก่ราชการอย่างมาก) ในฐานะผู้ทรงรับผิดชอบในเรื่องนักเรียนทุนนี้ ได้ พระราชทานความเอาพระทัยใส่นักเรียนของพระองค์ อย่างดียิ่ง ทรงแนะน�ำวิธีการด�ำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณีของต่างประเทศ เสด็จเยี่ยมเยือนเมื่อเจ็บไข้ได้ ป่วย เมื่อประทับที่สหรัฐอเมริกา บางครั้งทรงท�ำอาหารไทย และไอศกรีมเลี้ยงนักเรียนทุน ทรงอบรมผู้ใกล้ชิดให้มีความ รู้รอบตัว เช่นทรงก�ำหนดให้นักเรียนไปดูพิพิธภัณฑ์แล้ว กลับมารายงานถวาย ทรงอธิบายเพิ่มเติมและทรงอบรมให้ รู้จักกระเหม็ดกระแหม่ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย โดยทรงมอบเงิน ทั้งปีไว้ให้จ่ายเองเป็นการฝึกหัดการใช้สอยเงินให้เพียงพอ ตลอดปี ทรงดูแลนักเรียนทั้งของพระองค์และที่ผู้ปกครอง ฝากไว้อย่างทั่วถึง ผู้ที่อยู่ห่างไกลก็ทรงให้นักเรียนรุ่นโตกว่า ดูแลแทน ทรงวางแผนการศึกษาและติดตามผลการศึกษา ของแต่ละคนอย่างละเอียด เช่นในลายพระหัตถ์ที่ทรงมี ไปถึงนายสวัสดิ์ แดงสว่าง นักเรียนทุนส่วนพระองค์คน หนึ่งนั้นได้ทรงก�ำหนดจ�ำนวนเงินที่พระราชทานเป็นทุนใน ด้านต่างๆ สิทธิและข้อผูกมัดทุกด้านโดยถี่ถ้วนและทรง รวบรวมแม้แต่รายการเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จ�ำเป็นใน การไปอยู่ต่างประเทศทรงพระราชทานอย่างละเอียดด้วย นับว่าทรงเป็นตัวอย่างของอาจารย์ที่ปรึกษาที่ดียิ่ง ทรงเป็นปรมาจารย์ นายแพทย์ประพันธ์ เสรีรัตน์ และศาสตราจารย์ นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว ผู้ซึ่งโชคดีมีโอกาสได้เป็นลูกศิษย์ ของพระองค์ท่านในฐานะนักเรียนแพทย์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๗ ได้บรรยายประสบการณ์ไว้ว่า “พวกเราได้เรียนกับทูล กระหม่อมในปีแรกที่เข้ามหาวิทยาลัย คือเตรียมแพทย์ปีที่ หนึ่งหรือในสมัยนั้นเรียกคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เป็นปี พ.ศ.๒๔๖๗ ขณะนั้นห้องเรียนอยู่ที่หอวัง ทูลกระหม่อม ทรงสอนวิชาประวัติศาสตร์เป็นปีแรกแก่นักเรียนชั้นสอง และชั้นหนึ่ง หลักเกณฑ์ของการเรียนคือ นักเรียนทุกคน ต้องเรียนภาษาลาตินหรือฝรั่งเศสอย่างใดอย่างหนึ่งโดย จับฉลากกัน ถ้าใครเรียนลาตินต้องเรียนประวัติศาสตร์ ด้วย แต่ทรงจัดเวลาวิชาประวัติศาสตร์ไม่ให้ตรงกันกับ ภาษาฝรั่งเศส เพื่อให้นักเรียนภาษาฝรั่งเศสมีโอกาสฟัง ประวัติศาสตร์ด้วย ทุกๆ วันเสาร์พวกเราจะได้ฟังการสอน ประวัติศาสตร์อย่างสนุกสนานจากทูลกระหม่อม พระองค์ ไม่ทรงสอนแต่เพียงประเทศๆ ไป แต่เมื่อกล่าวถึงประเทศใด แล้วก็โยงเหตุการณ์สมัยนั้นๆ ของประเทศอื่นโดยเฉพาะที่ ใกล้เคียงมากล่าวด้วย ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเหตุใดและท�ำไมถึง เกิดขึ้นเป็นต้น ทุกคราวที่เรียนประวัติศาสตร์ในวันเสาร์ทูล กระหม่อมจะทรงหอบหนังสือภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มาเป็นจ�ำนวนมากๆ เสมอ เพื่อประกอบเป็นหนังสือที่อ้าง ถึง และขณะเดียวกันก็ทรงให้ยืมไปคนละหนึ่งเล่มโดยให้ จับสลากเพื่ออ่านในเวลาที่ก�ำหนดให้ เมื่อครบก�ำหนดแล้ว ก็ให้มาเล่าในที่ประชุมฟังว่าหนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงอะไรมี ความส�ำคัญประการใด ทรงเกณฑ์ให้ยืนแสดงปาฐกถาต่อ หน้าที่ประชุม บางเสาร์มีแต่เพียงนักเรียนซึ่งนับว่าเสาร์นั้น ๗๒


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท โชคดีอย่างยิ่ง แต่บางเสาร์โชคร้ายต้องยืนแสดงต่อพระ พักตร์เจ้านายและต่อหน้าข้าราชการผู้ใหญ่ บางคราวก็มี ชาวต่างประเทศด้วย ท่านเหล่านี้มาโดยทูกกระหม่อมเชิญ มาเพื่อให้พวกเราได้ฝึกหัดให้มีความกล้าหาญในที่ประชุม” นอกจากทรงสอนเองและให้พวกเราผลัดกันแสดง แล้วยังได้ทรงเชิญเจ้านายและผู้ช�ำนาญการต่างๆ มาทรง แสดงและแสดงปาฐกถาให้พวกเราฟังอีกตลอดปี เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ทั้งของไทยและต่างประเทศ มีสมเด็จกรม พระยาด�ำรงราชานุภาพเป็นอาทิ ซึ่งทรงแสดงเทศนาพระราช พงศาวดาร โดยติดต่อกันหลายกัณฑ์ อันเป็นฉบับที่ได้รับการ ยกย่องเป็นแม่บทของพระราชพงศาวดารไทยมาจนบัดนี้ คน อื่นๆ ที่กรุณาไปแสดงตามทรงเชิญไปที่จ�ำได้ มีเจ้าพระยา ธรรมศักดิ์มนตรี พระยากัลยาณไมตรี พระยาวิสูตร์สาครดิษฐ์ พระยาปรีชานุศาสน์ มร.มิแชล เบรอาล เป็นต้น แต่ละท่าน ได้เล่าถึงแต่ละประเทศที่ได้ผ่านมาและรู้จักดี ทุกคราวก่อน ปาฐกถาทูลกระหม่อมทรงกล่าวค�ำน�ำที่น่าฟังและข�ำ จูงใจ อยู่เสมอ เช่นครั้งหนึ่งทรงกล่าวขึ้นมาลอยๆ ใจความว่า “ชาว อเมริกันชอบกินไข่ แต่ไข่ในอเมริกานั้นไม่พอ ต้องไปซื้อไข่ ยุโรปที่มีมากคือที่ฮอลแลนด์ ซึ่งถึงจะเป็นประเทศเล็กแต่ก็ เลี้ยงไก่และมีไข่แยะ ฮอลแลนด์เป็นเมืองสวยงาม พื้นดินต�่ำ กว่าระดับน�้ำทะเล เลี้ยงโคและไก่ไม่เป็นที่สองรองใคร วัน นี้เราจะได้ฟังเรื่องของฮอลแลนด์จากเจ้าคุณปรีชานุศาสน์” ควบกับการเรียนและฟังในห้องปาฐกถา ซึ่งมี บางคราวได้ไปยืมสถานที่ของตึกรัฐประศาสนศาสตร์ (ตึก อักษรศาสตร์เดี๋ยวนี้) ทูลกระหม่อมได้ทรงพาพวกเราไปชม สถานที่ต่างๆ ในพระนครหลายแห่ง เมื่อไปที่ใดพวกเราก็ได้ เข้าใจประวัติศาสตร์ของชาติเราประกอบไปในตัวด้วย ได้เปิด หูเปิดตาเข้าใจและเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น โดยทรงอธิบายด้วย พระองค์เองอย่างละเอียดลึกซึ้งถึงรากเดิม เช่น ที่พระที่นั่ง อนันตสมาคมก็ได้ทรงอธิบายให้ทราบว่าสร้างเมื่อใด เพราะ เหตุใดท�ำไมจึงสร้างที่ตรงนั้น ใครเป็นนายช่างและใครเป็น คนคุมงาน หินอ่อนเหล่านั้นท�ำมาจากประเทศใดและการ เข้าชมครั้งหนึ่งรัฐบาลต้องจ่ายค่าแรงงานไฟฟ้าที่เปิดให้เรา ชมเพื่อศึกษาเป็นเงินกี่มากน้อย เป็นต้น พวกเราเข้าใจความ หมายถึงภาพต่างๆ ที่โดมทุกด้านซึ่งยังจ�ำได้จนบัดนี้ เช่น ภาพด้านตะวันตกเป็นภาพแสดงความส�ำคัญของรัชกาลที่ ๕ เป็นพระบรมรูปสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงประทับ มีภาพ ตึกรามก�ำลังสร้างและภาพเรือไฟ รถไฟ ซึ่งแสดงถึงความ ก้าวหน้าของบ้านเมืองด้านการคมนาคมและติดต่อกับต่าง ประเทศ ตรงพระพักตร์มีภาพทาส แสดงการเลิกทาสและเลิก ได้อย่างน่าสรรเสริญยิ่งในพระปรีชาสามารถของพระพุทธเจ้า หลวงเพราะไม่มีการนองเลือด ไม่เหมือนอเมริกาซึ่งมีศึก กลางเมืองและไม่เหมือนรัสเซีย ซึ่งมีการปฏิวัติ ทางด้านทิศ เหนือ คือภาพเหตุการณ์รัชกาลที่ ๔ มีสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ประทับท่ามกลางนักบวชทุกศาสนา ซึ่งทูลกระหม่อมทรง อธิบายประกอบว่า สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงพระราชทาน เสรีภาพต่อการถือศาสนาทุกประเภท นักบวชต่างชาตินั้น เมื่อ เข้ามาก็น�ำความรู้มาด้วย ซึ่งพลอยน�ำประเทศไทยให้เจริญ ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระจอมเกล้าฯ แน่พระทัยว่าถึงจะ มีกี่ศาสนาแต่พระพุทธศาสนาก็จะยังเป็นเด่นอยู่ในความ ยกย่องและบูชาตลอดกาล ซึ่งก็เป็นความจริงดังนี้เป็นต้น รถเฟียตสีแดง ซึ่งเป็นรถยนต์พระที่นั่ง ของสมเด็จพระบรมราชชนก ถือพระองค์เลย ทรง ก ร ะ ท�ำ ป ร ะ ห นึ่ ง บิดาต่อบุตร จะเห็น ได้เช่นทรงน�ำรถพระ ที่นั่งสีเลือดหมูตอน เดียวมารับพวกเรา ไปด้วยเสมอ ในเวลา นั้ น พ ว ก เ ร า มิ ไ ด ้ สนใจว่าเป็นรถยี่ห้ออะไร รู้แต่อย่างเดียวคือพยายามแย่งกัน ขึ้นนั่งร่วมรถพระที่นั่ง เพื่อฟังรับสั่งที่ไพเราะและดูพระพักตร์ ทุกคราวที่ทรงพาพวกเราไป ทูลกระหม่อมมิได้ทรง ๗๓


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ที่อิ่มเอิบแจ่มใส และรู้สึกเอาว่าพระองค์ก็ทรงมีความสุข ที่ได้ทรงแสดงออกซึ่งความเมตตากรุณาอันนั้นต่อศิษย์ บางคราวพวกเรานั่งเบียดไปในเบาะอันเดียวกับพระองค์ ท่านและเปิดที่นั่งข้างหลังไปนั่งอีก ๒-๓ คน นอกจากรถ พระที่นั่งยังมีรถสองแถวส่วนพระองค์ตามติดมาคอยรับ ศิษย์ที่ยังเหลือต้วมเตี้ยมอยู่ตามไปอีก ความไม่ถือพระองค์ นี้ยังมีบางคราวที่พวกเราบางคนได้พลั้งเผลอเลินเล่อเดิน ออกประตูชนท่านโดยบังเอิญ หรือพูดล่วงเกินหยาบคาย เลยเถิดไป โดยนึกว่าเพื่อนเอามือมาเกาะหัวไหล่ซึ่งที่แท้ เป็นพระหัตถ์ของทูลกระหม่อมทรงวางเมื่อพวกเราก�ำลัง ง่วนดูสัตว์ประหลาดในกล้องจุลทัศน์อยู่ พระองค์ท่านกลับ ทรงพระสรวลเห็นเป็นของขันตรงข้ามกับพวกเราพอหัน ไปเห็นก็ตกใจกันจนหน้าซีดเหงื่อแตก ภาพนั้นลืมได้ยาก ยังมีพระกรุณาพิเศษอีกสิ่งหนึ่ง คือทรงพาไปดูละคร คลาสสิคในบางโอกาส เช่น ดูโขนและละครร�ำในงานวันเกิด ของคุณพระอาจวิทยาคมเป็นต้น ทุกครั้งที่กลับจากดูงาน ในวันรุ่งขึ้นที่ห้องเรียน ทูลกระหม่อมจะทรงซักถามความ รู้ที่ได้รับมาเสมอ เช่นในคราวดูละครร�ำ ก็ทรงซักว่าใน การร�ำละครนั้นมีดนตรีอะไรเป็นของส�ำคัญ พวกเราตอบ กันผิดๆ ถูกๆ ก็ทรงสอนว่าต้องมีโทนร�ำมะนาให้จังหวะ เป็นต้น และทรงซักถึงท่าโขนว่ายักษ์ร�ำอย่างไร ลิงร�ำ อย่างไร แล้วก็ทรงอธิบายต่อถึงท่าทางประณีตอันเป็น เครื่องแสดงออกของอารมณ์และบุคลิกภาพของตัวละคร ต่างๆ ซึ่งเป็นศิลปะสูงอย่างหนึ่ง ท�ำให้เรารักและสนใจใน ศิลปะมากขึ้น ในเรื่องวิทยาทานนี้ ประทานอย่างฟุ่มเฟือย ทรงให้ทั้งปาฐกถา ซักซ้อม และหนังสือ ทรงฝักใฝ่ที่จะน�ำ ความรู้มาแจกจ่ายให้จริงๆ หนังสือนั้นนอกจากจะทรงให้ ยืมแล้ว ยังทรงซื้อหนังสือเรียนที่นักเรียนได้เรียนแล้วด้วย ราคาทุน เพื่อพวกเราได้มีโอกาสใช้ทรัพย์ที่ขายหนังสือนั้น เป็นประโยชน์ต่อไปอีก โดยเฉพาะภายหลังเมื่อสอบไล่ ปิดเทอมเสร็จ และแล้วพระองค์ท่านก็น�ำหนังสือนั้นมา ขายให้แก่นักเรียนใหม่ปีต่อไปอีกด้วยราคากึ่งหนึ่งของทุน ทูลกระหม่อมทรงสั่งสอนให้พวกเรารู้จักจังหวะของ การเล่นและการท�ำงานด้วยพระปรีชา นักเรียนในระยะนั้นมี การเล่นละครเป็นงานประจ�ำปีประจ�ำคณะ ในการเล่นละคร ครั้งหนึ่งๆ ก็ต้องใช้เวลาเป็นอันมากในการซ้อม ท�ำและแต่ง โรงละคร ซึ่งทุกอย่างต้องเสร็จจากน�้ำมือของพวกเราทั้งสิ้น นับตั้งแต่งานกุลีจนรับแขก จึงพวกเราเมื่อจวนถึงก�ำหนด งาน การเข้าห้องเรียนก็ชักร่อยหรอ เช่นหนีไปท�ำฉากหรือ แต่งโรงละครกัน พระองค์ท่านมิได้เคยดุหรือท�ำโทษพวก เราเลย แต่ทรงกล่าวแก่พวกเราที่ยังเหลืออยู่ในห้องเรียน ว่า “พวกเธอทั้งหลาย การเล่นนั้นเป็นของดี การเรียนนั้นก็ เป็นของดีและส�ำคัญ แต่การที่จะให้ดีกว่านั้น คือคนที่เรียน ก็ดีและเล่นก็ดีด้วย” ในวันต่อมาพวกเราไปเรียนกันเต็มห้อง ปี ๒๔๖๗ ในขณะที่ทรงสอนประวัติศาสตร์ทั้งสองชั้น ทูลกระหม่อมทรงสอนชีววิทยานักเรียนปีที่สองด้วย และ ในต้นปี ๒๔๖๘ ทรงสอนพวกเราในวิชาชีววิทยาอีก เรา ยังจ�ำภาพของความกรุณาและความไม่ถือพระองค์ไม่ หาย โดยที่ได้ทรงหิ้วชะลอมใส่กบมาเพื่อให้เราช�ำแหละ ศึกษาด้วยพระองค์เอง เรื่องทรงหิ้วชะลอมนี้พวกเราได้พบ บ่อยๆ ครั้งหนึ่งเสด็จสถานีบางกอกน้อย พอข้ามฟากที่ท่า หูกวาง๑ ทรงพบหญิงชราคนหนึ่งหิ้วชะลอมของพะรุงพะรัง เพื่อเดินทางรถไฟ ได้ทรงตรงไปขอแกมแย่งชะลอมนั้นมา ทรงถือให้ พวกเราเลยต้องรีบไปขอรับจากพระองค์ท่านมา ถือให้อีกทอดหนึ่ง การทรงเอื้อเฟื้อคนชราและคนพิการทรง ปฏิบัติเป็นประจ�ำและทรงสอนพวกเราด้วยการกระท�ำมิได้ เว้น ดังวันหนึ่งเมื่อร่วมข้ามฟากจากท่าพระจันทร์ไปศิริราช ในเรือจ้าง ในเรือนั้นมีคนไข้หน้าตาอิดโรยอยู่ด้วย พอเรือ ๑เคยอยู่ตรงใกล้มุมด้านเหนือของหอนักศึกษาแพทย์ชายเดี๋ยวนี้ ๗๔


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ถึงท่าพวกเราเด็กๆ หลายคนก็รีบตรูจะขึ้นบก ได้ทรงฉุด ชายเสื้อไว้และรับสั่งโดยปราณีเบาๆ ว่า ให้รอคนไข้ขึ้นเสีย ก่อน เมื่อพวกเราชุดแรกได้ข้ามฟากไปหอพัก “โรงม้า”๑ ที่ ศิริราชแล้ว ยังได้ทรงติดตามไปเยี่ยมที่ที่พักและทรงถาม ทุกข์สุขอยู่เสมอว่า พวกเราอยู่กินและขับถ่ายกันอย่างไร ทูลกระหม่อมทรงรักวิชาแพทย์และนักเรียนแพทย์ เป็นพิเศษ เมื่อตอนเราเข้าเรียนใหม่ๆ รับสั่งเสมอว่าอาชีพ แพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีจะไม่ร�่ำรวย แต่ไม่อดตาย ถ้า ใครอยากร�่ำรวยก็ควรเป็นอย่างอื่นไม่ใช่แพทย์ ได้ทรงส่ง เสริมการศึกษาและจัดหาอุปกรณ์ดีๆ แพงๆ ด้วยพระองค์เอง ทรงอธิบายว่าเพื่อจะจัดโรงเรียนแพทย์ให้เข้ามาตรฐาน และ รับสั่งต่อไปว่าการที่รัฐบาลส่งนักเรียนไปเรียนแพทย์เมือง นอกคนหนึ่งๆ นั้นเฉลี่ยแล้วจ่ายเงินน้อยกว่าค่าใช้จ่ายแก่ นักเรียนแพทย์ในเมืองไทยเสียอีก แต่รัฐบาลต้องท�ำ เพราะ ต้องการแพทย์ไทยที่ส�ำเร็จในเมืองไทยและรู้จักโรคของเมือง ไทย รักษาคนไทย ทรงสั่งสอนให้พวกเรารู้จักสิทธิเสรีภาพ ของบุคคลโดยชี้ว่าบ้านเมืองเจริญนั้นเพราะเงินของราษฎร ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้เป็น ประโยชน์แก่ราษฎร วันหนึ่งขณะที่ก�ำลังเรียนชีววิทยาในห้อง ปฏิบัติได้ทรงสั่งสอนและขอร้องว่าเมืองเรายังไม่มีอะไรเลย พวกเราต้องรู้ไว้เมื่อเราเรียนส�ำเร็จแล้วควรพยายามคิดค้น ทางวิชาการให้กว้างขวางขึ้น จะได้เทียบเคียงกับต่างประเทศ เขาได้บ้าง ถ้ายังไม่รู้จะท�ำอะไรใหม่ ก็ให้ศึกษาหาสิ่งธรรมดา ให้รู้ว่าคนไทยเรานั้นมีอะไรเป็นธรรมดาซึ่งเป็นมาตรฐาน พระโอวาทจับใจเมื่อ ๒๖ ปีมาแล้วจนบัดนี้เราก็ยังท�ำไม่ได้ สมบูรณ์ ประเทศเรายังไม่รู้แน่ชัดด้วยซ�้ำว่ามาตรฐานน�้ำหนัก ตัวเด็กแรกเกิดนั้นเป็นเท่าใดแน่ นอกจากส่งเสริมการแพทย์ ยังได้ส่งเสริมการศึกษาวิทยาศาสตร์ด้านอื่นอยู่เสมอ เช่นมี ทุนบริจาคส่วนพระองค์ช่วยเด็กไทยศึกษา ณ ต่างประเทศ เป็นประจ�ำ แต่ทรงพิจารณาทุนนั้นด้วยความรอบคอบ ด้วย เหตุผลและไม่ใช่ด้วยอารมณ์ มีเรื่องหนึ่งซึ่งพวกเราจ�ำกัน ได้ดี ครั้งหนึ่งพวกเรา ๗-๘ คน พากันไปเฝ้าที่วังสระปทุม ขณะนั้นทรงมีแขกอยู่ แต่พอรู้ว่านักเรียนแพทย์ไป ก็รับสั่ง ให้เข้าไปเลย ที่ห้องรับแขกนั้นเราพบหญิงกลางคนคนหนึ่ง ร้องไห้อยู่ ทูลกระหม่อมรับสั่งด้วยสองสามค�ำ แล้วหญิงผู้นั้น ก็กราบทูลลาไปจึงทรงหันมารับสั่งกับพวกเราว่า “คุณหญิง นั้นแกขอเงินทุนส่งลูกแกไปเรียนนอก แกบอกว่าแกจน แต่ ฉันไม่ให้ เพราะไม่เชื่อว่าแกจนจริง จะว่าแกจนอย่างไรใน เมื่อที่นิ้วเกือบสิบนิ้ว ใส่แหวนเพชรพราวไปหมดแกมีเงิน แต่แกไม่ใช้เงินของแกให้เป็นประโยชน์ถูกทางต่างหาก”๒ จากบทความดังกล่าวชี้ชัดว่าแม้แต่สมเด็จพระบรม ราชชนกจะมิได้ทรงเรียนวิชาการสอนมา แต่โดยเหตุที่ ทรงเปี่ยมไปด้วยวิญญาณครูประการหนึ่งกับทรงเป็น นักเรียนตัวอย่างขนานแท้อีกประการหนึ่ง พระองค์ท่าน จึงได้ทรงท�ำหน้าที่อาจารย์ตัวอย่างได้อย่างเหมาะสมยิ่ง แม้ว่าเวลาจะล่วงไปถึง ๖๐ ปีแล้วก็ตามวิธีการสอนของ พระองค์ท่านเมื่อเทียบกับปัจจุบันนี้แล้วเรียกได้ว่าไม่มี ความล้าสมัยอยู่เลย ซึ่งทั้งนี้อาจสรุปหลักการได้ย่อๆ ว่า ๑. ทรงเน้นที่ผู้เรียน (Student-oriented) ๒. ทรงสอนแบบประชุมกลุ่มย่อย (Group discussion) ไม่ทรงใช้วิธีบรรยายแต่เพียงอย่างเดียว ๓. ทรงฝึกให้นักเรียนมีความมั่นใจในการแสดงออก ๔. ทรงมีความรู้รอบและฝึกให้นักเรียนมีความ รู้รอบ(อ่านและศึกษาหาความรู้ทุกๆ ด้าน) ทั้งยังหัดโยง ความเกี่ยวข้องของสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน ๕. ทรงเปลี่ยนบรรยากาศการเรียนการสอนโดย ก. ใช้วิทยากร (resource persons) ข. ให้มีการศึกษานอกสถานที่ ๑โรงแถวยาวหลังคามุงจาก อยู่แถวตึกมหิดลวรานุสรณ์ในปัจจุบัน ๒ทูลกระหม่อม-ปรมาจารย์” นายแพทย์ประพนธ์ เสรีรัตน์ ศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว บทความพิเศษ สารศิริราช ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๙ กันยายน ๒๔๙๔ หน้า ๕๓๖-๕๔๒ ๗๕


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ค. ฝึกให้นักเรียนเป็นผู้สอนเอง ๖. ทรงมีวิธีการน�ำเข้าสู่บทเรียน ๗. ทรงมีอารมณ์ขัน ๘. ทรงมีความเป็นกันเองอย่างมาก ๙. ทรงเอาพระทัยใส่นักเรียนไม่เฉพาะแต่ใน ห้องเรียน ๑๐. ในการเรียนวิทยาศาสตร์ทรงเน้นที่ภาคปฏิบัติ ให้ฝึกกับของจริงไม่เน้นทฤษฎีแต่เพียงอย่างเดียว ๑๑.ทรงยึดหลักการประหยัดเป็นเกณฑ์ แต่เมื่อสิ่งใด จ�ำเป็นก็ทรงทุ่มเทไม่เสียดาย ๑๒. ในการพระราชทานทุนทรงยึด “หลักเกณฑ์ เหนือบุคคล” นอกจากนั้นแล้วในเรื่องของเวลา ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ยังเล่าไว้ว่า “ทูลกระหม่อม” ทรงมีพระนิสัยตรงเวลาอย่างที่สุด ทั้งนี้รวมทั้งเวลาที่เป็น ส่วนพระองค์และเวลาของผู้อื่นด้วยไม่ปรากฎว่าพระองค์ ท่านมาสายเลยจนครั้งเดียวขณะที่ทรงท�ำการสอนวิชา กายวิภาคเปรียบเทียบให้กับนักศึกษาแพทย์ปีที่ ๒ ณ หอวังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระหว่างที่ทรงสอน อยู่นั้นก็มีนาฬิกาเรือนเล็กวางไว้หน้าพระพักตร์เสมอ ทรง กะเวลาให้เหมาะเพื่อไม่ให้ก้าวก่ายเข้าไปในเวลาของวิชา สาขาอื่นๆ ในการสอนประวัติศาสตร์แก่นักศึกษาเตรียม แพทย์โดยการพาไปดูสถานที่ส�ำคัญต่างๆ นั้น พระองค์ เสด็จมาทรงรอนักศึกษาตรงตามเวลาที่นัดหมายเสมอ๑ นับว่าเป็นอีกพระอุปนิสัยหนึ่งที่ส�ำคัญในการเป็นครู ทรงเป็นแพทย์ตัวอย่าง สมเด็จพระบรมราชชนกทรงมีพระราชปรารภว่า “การเรียนจบตามหลักสูตรแพทย์ที่ก�ำหนดนั้น ไม่ได้ หมายความว่านักเรียนได้ความรู้จนหมดในทางการแพทย์ การรับปริญญาบัตรเป็นแต่เพียงก้าวหนึ่งเท่านั้น คือ แสดง ว่านักเรียนได้จบการฝึกทางทฤษฎีและอยู่ในฐานะเหมาะ สมที่จะออกไปรับผิดชอบทางการปฏิบัติโดยล�ำพังเกี่ยวกับ ปัญหาการป่วยไข้ซึ่งจะเป็นการศึกษาที่ต่อเนื่องกันแต่เป็น คนละแบบ การที่จะเป็นแพทย์ที่ก้าวหน้าต่อไปได้แพทย์ที่ ส�ำเร็จจะต้องยึดอยู่เสมอว่าจะต้องเป็นนักศึกษาอยู่ตลอด ชีวิตของอาชีพ” จึงทรงเชื่อว่าแพทย์ที่ส�ำเร็จควรจะได้รับ โอกาสจะตั้งต้นอาชีพภายใต้การดูแลแนะน�ำของแพทย์ที่ ช�ำนาญกว่า โดยการท�ำหน้าที่เป็นแพทย์ประจ�ำบ้านหรือ ปฏิบัติการอยู่ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์อย่างน้อย ๑ ปี จน เกิดความรู้สึกเชื่อมั่นตนเองและพร้อมที่จะรับผิดชอบได้ตาม ล�ำพัง ด้วยเหตุนี้นอกจากจะทรงริเริ่มทุน “สอนและค้นคว้า ของโรงพยาบาลศิริราช” แล้วยังทรงท�ำหน้าที่แพทย์ประจ�ำ บ้านที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคเชียงใหม่เป็นตัวอย่างด้วย พระองค์ทรงมีโอกาสพิสูจน์พระองค์เองในฐานะ แพทย์ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงเดือน แต่จากพระจริยาวัตร จะได้กล่าวถึงต่อไปนี้จะเห็นได้ว่าทรงท�ำหน้าที่สมบูรณ์ที่สุด ก่อนอื่นเลย ทรงห้ามการรับรองเป็นทางการอย่าง หรูหราเพราะตั้งพระทัยมาทรงปฏิบัติหน้าที่แพทย์แต่ เพียงอย่างเดียว มีเพียงกรมวัง ๑ คน และคนขับรถยนต์ ๑จาก “พระบิดาของการแพทย์ไทยแผนปัจจุบัน” ศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร บทบรรณาธิการพิเศษสารศิริราช ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๙-๑๐ กันยายนตุลาคม ๒๕๐๒ หน้า ๓๔๑-๓๔๕ อีก ๑ คนตามเสด็จมาประทับอย่าง ส่วนพระองค์ที่บ้านนายแพทย์ อี ซี คอร์ท เสวยกับหมอคอร์ททุกมื้อ แม้ จะทรงเป็นแพทย์ประจ�ำบ้านก็ได้ ทรงรับหน้าที่เหมือนเป็นแพทย์ประจ�ำ จ ริ ง ๆ คื อ มี ตึ ก ค น ไ ข ้ ข อ ง พ ร ะ อ ง ค ์ ท่าน มีคนไข้ที่ทรงรับการดูแล ทรงตรวจ วินิจฉัยและรักษาโรคโดยตลอด ยกเว้น นายแพทย์ อี ซี คอร์ท ผู้อ�ำนวยการโรงพยาบาล แมคคอร์มิค เชียงใหม่ ๗๖


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท บางครั้งจะทรงปรึกษาหารือกับนายแพทย์ผู้อื่นบ้าง ปรกติ ทรงออกตรวจคนไข้นอกพร้อมหมอคอร์ท ทรงพอพระทัย ผู้ป่วยเด็กมาก ถ้าไม่มีเด็กก็ทรงช่วยหมอคอร์ทตรวจคนไข้ ประเภทอื่น บางครั้งไม่ทรงยอมเลิกจนหลังเที่ยงท�ำให้คน อื่นไม่กล้าเลิกไปด้วย บางวันเสวยกลางวันตอนบ่ายโมง ก็มี โปรดการตรวจทางระบบประสาทอย่างละเอียด การ ทดสอบทางรีเฟล็กซ์ต่างๆ ทรงท�ำ blood film, blood grouping ตรวจอุจจาระ ปัสสาวะด้วยพระองค์เอง ทรงมีพระ อารมณ์ขันเคยตรัสกับหมอหม่องประจ�ำห้องทดลองว่า “ถ้า พบแบคทีเรียใหม่จะตั้งชื่อว่า “หม่องแบซิลัส” และเคยตรัส กับพยาบาลว่า barley diet ของพระองค์คือข้าวต้มกับไข่ เค็ม ทรงโปรดเวลาที่ประทับในห้องตรวจโรคและสนทนากับ คนไข้ตามล�ำพัง บางครั้งทรงพระสรวลขบขันเพราะไม่เข้า พระทัยข้อความที่คนไข้ทูลเป็นภาษาพื้นเมืองเชียงใหม่ต้อง มีล่ามมาแปลถวาย กลางคืนก่อนเข้าบรรทมจะเสด็จเยี่ยม ถามอาการคนไข้ทุกคืนด้วยพระเมตตาเอาพระทัยใส่ เวลา คนไข้ตามตอนดึกๆ ถ้าหมอคอร์ทไม่อยู่ก็เสด็จไปดูอาการ เอง กับพยาบาลก็ทรงมีพระอัธยาศัยละมุนละม่อม กับพระ ราชวงศ์เชียงใหม่ก็ทรงวางพระองค์เหมาะสม เสด็จเยี่ยม เยือนเมื่อมีโอกาส เคยทรงปรารภว่าอยากท�ำสถานที่พักฟื้น ผู้ป่วยเป็นวัณโรคบนดอยสุเทพด้วย แม้จะเป็นเพียงระยะ สั้นๆ ไม่นานชาวเชียงใหม่ก็ได้มีโอกาสรับทราบถึงพระกรุณา ปราณีและขนานพระนามพระองค์ท่านว่า “หมอเจ้าฟ้า” รายละเอียดต่างๆ ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้แม้เมื่อ เสด็จทิวงคตไปนานแสนนานก็ยังคงจารึกอยู่ในใจของผู้ที่มี โอกาสได้เฝ้าได้พบพานและรับรู้อยู่มิลืมเลือน ศาสตราจารย์ ดร.เอลลิส ผู้ได้ร่วมงานใกล้ชิดพระองค์ท่านได้กล่าวไว้ว่า “การที่พระองค์ทรงถือพระก�ำเนิดมาในโลกนี้นั้น ได้ท�ำให้ โลกนี้ดีขึ้นเป็นแน่แท้” จึงสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราทุกคน จะยึดพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อว่า โลกนี้จะได้ดียิ่งขึ้นไปอีก บรรณานุกรม ๑. คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล,ชุมนุมพระ นิพนธ์และบทความเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชบิดา กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยเกษม ๒๕๐๘. ๒. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์,ที่ระลึกเนื่องในพระบรม ราชวโรกาสเสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงเปิดพระบรม ราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๑ ๓. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา, แม่เล่า ให้ฟัง กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๒๕ ๔. สภาอาจารย์ศิริราช, สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลย เดชวิกรม พระบรมราชชนก กรุงเทพฯ: ไพศาลศิลป การพิมพ์, ๒๕๒๖ ๕. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ที่ระลึกเนื่องในพระบรม ราชวโรกาสเสด็จพระราชด�ำเนินมาทรงเปิดพระราชา นุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่, ๒๕๒๘ ๖. คณะกรรมการฝ่ายจัดพิมพ์หนังสือ, ๑๐๐ ปี สมเด็จ มหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๓๔ ๗. ส�ำนักเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ, สมเด็จพระศรี นครินทราบรมราชชนนี : สมเด็จย่าของแผ่นดิน, ๒๕๓๙ ๘. มูลนิธิสมเด็จมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรม ราชชนก, มหิตลปูชา : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๕ ๙. มหาวิทยาลัยมหิดล, เทิดพระนามมหิดล : อมรินทร์ การพิมพ์, ๒๕๕๒ ๗๗


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท พระสาทิสลักษณ์สีน�้ำมัน ฝีพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ๗๘


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท พระราชด�ำรัส พระราโชวาท ที่เป็นคติธรรม (QUOTE) สมเด็จพระบรมราชชนก “True success is not in the learning, but in its application to the benefit of mankind” (ความส�ำเร็จที่แท้จริงมิได้ขึ้นอยู่กับการเรียนเพียงเพื่อรู้ แต่อยู่กับการน�ำความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่มนุษยชาติ) “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัว เปนที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษ เปนกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพย์ ไว้ให้บริสุทธิ” ๑ ๒ ลายพระหัตถ์ สมเด็จพระบรมราชชนก ปรากฏอยู่ในสมุดบันทึกวิชาบักเตรีวิทยา ลายพระหัตถ์ ถึง นายสวัสดิ์ แดงสว่าง ลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๑ ๗๙


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ๘๐


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท “เวลาเป็นของมีค่า เมื่อมันล่วงไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก ถ้าเรามีโอกาสจะใช้มันให้เป็นประโยชน์แล้วเราไม่ใช้มัน ก็เป็นที่น่าเสียดาย” “พวกเธอทั้งหลาย การเล่นนั้นเป็นของดี การเรียนนั้นก็เป็นของดีและส�ำคัญ แต่การที่จะให้ดีกว่านั้นคือคนที่เรียนก็ดีเล่นก็ดีด้วย” “เงินที่ฉันได้ใช้ออกมาเรียนหรือให้พวกเธอออกมาเรียนนี้ ไม่ใช่เงินของฉัน แต่เป็นเงินของราษฎร เขาจ้างให้ฉันออกมาเรียน ฉะนั้นเธอต้องตั้งใจเรียนให้ดี ให้ส�ำเร็จ เพื่อจะได้กลับไปท�ำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ และขอให้ประหยัดใช้เงิน เพื่อฉันจะได้มีเงินช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป” ๓ ๔ ๕ ๘๑


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ๘๒


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท “ท่านควรยกย่องคณะที่ให้การศึกษาแก่ท่าน ท่านควรมีความภูมิใจในคณะของท่าน และท่านไม่ควรเรียนวิชาขึ้นใจและใช้เป็นเครื่องมือหากินเท่านั้น ควรเก็บค�ำสอนใส่ใจและประพฤติตาม” “การศึกษาเป็นงานที่มี ‘คน’ เป็นหัวใจหรือปัจจัยส�ำคัญ การจัดการศึกษาจึงต้องเน้นคุณค่าของความเป็นคน ให้เป็นคนก่อนที่จะเข้าสู่อาชีพ” “การศึกษาสิ่งใดๆ ก็ตาม จะต้องศึกษาให้รู้จริงถึงแก่นแท้ ด้วยการฝึกหัดและปฏิบัติ จึงจะถือว่าเป็นการศึกษาที่แท้จริง” “การศึกษานั้น เป็นสิ่งควรซื้อด้วยทุนทรัพย์อันมีค่า เหมือนอาหารหรือเครื่องแต่งกาย” ๖ ๗ ๘ ๙ ลายพระหัตถ์ ถึง นายซุ่นใช้ แม้นมาษ ลงวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๒ ๘๓


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ๘๔


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท “การเสาะหาวิชชา หรือเปิดโอกาสให้กุลบุตรได้เรียน ท�ำการเสาะหาวิชชา เลี้ยงดูท�ำนุบ�ำรุงนักปราชญ์ ผู้สามารถเสาะหาวิชชา และใช้ผลอันนั้นมาสอนกุลบุตรได้ เป็นกิจส�ำคัญที่สุดของมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเป็นสมองต้นความคิดของชาติ เป็นสถานเลี้ยง ‘คนดี’ ของชาติ” “เมื่อฉันเพิ่งออกไปเรียนหนังสือที่ยุโรป ฉันไม่เคยรู้แน่เลยว่าชาติของฉัน บ้านของฉันนั้นส�ำคัญแก่ฉันเพียงไร จนกระทั่งฉันได้มีโอกาสติดต่อกับคนไทย จึงได้รู้ตัวว่ารักคนไทยเพียงใด และได้รู้จักคุณสมบัติของคนไทยอันน่ารักมีคุณค่า บัดนี้ฉันไม่ได้คิดถึงบ้านจนไม่สบายใจ แต่เมื่อได้มาศึกษาที่นี่ (อเมริกา) แล้ว จึงได้รู้สึกตัวว่าถิ่นฐานของฉันในโลกนี้ ก็คือจะต้องอยู่ในท่ามกลางคนไทยด้วยกัน” ๑๐ ๑๑ รายงานความเห็น เรื่อง โครงการมหาวิทยาลัย ลายพระหัตถ์ ถึง หม่อมคัทริน จักรพงษ์ ณ อยุธยา ลงวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๑ ๘๕


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ๘๖


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท “ฉันจะไปเรียนหมอละ เพราะว่าเป็นวิชาที่สนุกดี เรามีโอกาสรักษาคนได้ ทั้งคนจน คนมั่งมี และเจ้านายต่างๆ ได้เต็มที่ หมอท�ำการกุศลในการรักษาพยาบาลได้ดี” “เรื่องต�ำแหน่งการงานนี้ก็เหมือนหมวก จะหาหมวกให้เหมาะกับหัวคนนั้นไม่ยาก แต่เรื่องที่จะหาหัวคนมาให้เหมาะสมกับหมวก นี่ซิยากนักหนา” “เราไม่ควรขอยืมความคิดของเขามาคิด เราควรมีสิ่งที่เกิดจากสมองของเราเองมาแสดงในภาษาของเรา” ๑๒ ๑๓ ๑๔ ลายพระหัตถ์ ถึง พระยาเมธาธิบดี ลงวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๐ ๘๗


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ๘๘


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท “ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอมีความรู้แต่ทางแพทย์อย่างเดียว ฉันต้องการให้พวกเธอเป็นคนด้วย” (I do not want you to be only a doctor, but I also want you to be a man) “อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีจะไม่ร�่ำรวย แต่ก็ไม่อดตาย ถ้าใครอยากร�่ำรวย ก็ควรเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่แพทย์ อาชีพแพทย์นั้น จ�ำต้องยึดมั่น ในอุดมคติ เมตตาคุณ” “ความลับของการรักษาคนไข้ นั้นคือความรักคนไข้” ๑๕ ๑๖ ๑๗ ลายพระหัตถ์ ส่งถึงสภานายก และ สมาชิกสโมสรแพทย์ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๑ ๘๙


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ๙๐


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท “การที่จะได้ความไว้วางใจของคนไข้ ขอท่านถือสุภาษิตว่า ‘ใจเขาใจเรา’ ท่านคงจะคิดได้ว่า ท่านอยากได้ความสบายแก่ตัวท่านอย่างไร ก็ควรพยายามให้ความสบายแก่คนไข้อย่างนั้น” “การสาธารณสุขนั้นเป็นการส�ำคัญอย่างยิ่ง ทั้งเป็นเครื่องบ�ำรุงก�ำลังของชาติไทย และเป็นสาธารณประโยชน์แก่มนุษยชาติทั่วไปด้วย” ๑๘ ๑๙ ลายพระหัตถ์ ส่งถึงสภานายก และ สมาชิกสโมสรแพทย์ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๑ ลายพระหัตถ์กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร อธิบดีกรมสาธารณสุข ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๘ ๙๑


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท พิธีบ�ำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน ครบรอบ ๑๒๐ ปี แห่งวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมราชชนก ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๙๒


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จัดพิธีบ�ำเพ็ญ กุศลทักษิณานุปทาน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบรมราชชนก ในวโรกาสครบรอบ ๑๒๐ ปี แห่งวันพระราชสมภพ ในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ บริเวณโถงส�ำนักงานอธิการบดี วิทยาเขตหาดใหญ่ โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัด โคกสมานคุณ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จ�ำนวน ๑๐ รูป น�ำโดย พระธรรมวงศาจารย์ เจ้าคณะภาค ๑๘ และเจ้าอาวาสวัดโคกสมานคุณ (พระอารามหลวง) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สวดพุทธมนต์ธรรมนิยามสูตร โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.บุญสม ศิริบ�ำรุงสุข อธิการบดี คณะผู้บริหาร และบุคลากร ร่วมพิธี บ�ำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน ๙๓


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ๙๔


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ๙๕


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท คุณความดีที่ท่านสืบสานสร้าง ตามแบบอย่างชนกนาถราชสยาม ช่วยเกื้อก่อช่อพวงสีม่วงคราม เสริมพระนามสูงเด่นเป็นนิรันดร์ รศ. วันเนาว์ ยูเด็น ๙๖


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ประกาศจัดตั้งกองทุนพิเศษ ๑๐๐ ปี สมเด็จ พระบรมราชชนก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี แห่งวันคล้าย วันพระราชสมภพ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและด�ำเนินการบ�ำเพ็ญประโยชน์ตามแนว พระราชด�ำริของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก วัตถุประสงค์ เพื่อให้รางวัลแก่ผู้มีผลงานปรากฏชัดเจนว่าได้อุทิศและท�ำประโยชน์แก่ชุมชน ในภาคใต้และสนับสนุนด้านการเงินแก่นักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่น และได้รับคัดเลือก จากกองทุน เพื่อเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในภาคใต้ จนส�ำเร็จการ ศึกษาระดับปริญญาตรีรวมถึงสนับสนุนกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม กองทุนพิเศษ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระบรมราชชนก ๙๗


ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ส�ำหรับกิจกรรมที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี แห่งวันคล้ายวัน พระราชสมภพของสมเด็จพระบรมราชชนก โดยใช้ทุนทรัพย์จากกองทุนพิเศษ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระบรมราชชนก มีอาทิ รางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ และ ทุนสงขลานครินทร์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ได้พระราชทานเงินจาก “ทุน สงขลานครินทร์” เป็นจ�ำนวนเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) เพื่อให้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เริ่มต้นจัดตั้งกองทุนพิเศษ ๑๐๐ ปี สมเด็จพระบรม ราชชนก พร้อมพระราชทานหนังสือ “ไปรษณียบัตรเจ้าฟ้า” จ�ำนวน ๒๐๐ เล่ม มูลค่ารวม ๑๒๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นบาทถ้วน) โดยน�ำเงินที่จ�ำหน่ายได้ สมทบกองทุนพิเศษดังกล่าว ๙๘


Click to View FlipBook Version