ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท รางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์จัดให้มีขึ้นเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนกในฐานะที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์ของ ประเทศชาติ และประชาชนตลอดพระชนม์ชีพ และเพื่อยกย่องผู้อุทิศตน ท�ำประโยชน์แก่ชุมชนให้อนุชนรุ่นหลัง ผู้ได้รับคัดเลือก จะมีถิ่นก�ำเนิดหรือภูมิล�ำเนาในภาคใดก็ได้ แต่ต้อง มีผลงานที่แสดงความเป็นผู้อุทิศตนเพื่อท�ำประโยชน์แก่ชุมชนภาคใต้และ ต้องเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมสูง เป็นตัวอย่างแก่อนุชนได้ เกียรติที่ผู้ได้รับรางวัลได้รับ คือ เงินรางวัล ๒๐๐,๐๐๐ บาท และ โล่เกียรติยศ รับพระราชทานในวันพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัย รวมถึงได้รับการประกาศเกียรติคุณในงานวันสงขลานครินทร์ รางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ (Prince of Songkla Memorial Award) ๙๙
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ๒๕๓๖ ๒๑ กันยายน ๒๕๓๖ นายพิศิษฐ์ ชาญเสนาะ ๒๕๓๗ ๒๙ กันยายน ๒๕๓๗ ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ดร.หรรษา จรรย์แสง ๒๕๓๘ ๒๙ กันยายน ๒๕๓๘ นายชบ ยอดแก้ว ๒๕๓๙ นายแพทย์อนันต์ สุไลมาน, นายอัมพร ด้วงปาน ๒๕๔๐ ไม่มีผู้ได้รับรางวัล ๒๕๔๑ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๑ นายก�ำจัด เสนะพันธ์ ๒๕๔๒ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๒ นายลัภย์ หนูประดิษฐ์, นางมัรยัม สาเม๊าะ ๒๕๔๓ ไม่มีผู้ได้รับรางวัล ๒๕๔๔ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๔ นายวรรณ ขุนจันทร์, นายด�ำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ ๒๕๔๕ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๕ นายบู นวลศรี ๒๕๔๖ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๖ นายประสิทธิ ชิณการณ์ ๒๕๔๗ นายสุภาพ ศรีทรัพย์ ๒๕๔๘ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๘ นายนิยม บ�ำรุงเสนา ๒๕๔๙ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๙ นางนิรมล เมธีสุวกุล ๒๕๕๐ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๐ นายจ�ำนงค์ ประวิทย์ ๒๕๕๑ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๑ นายพงศา ชูแนม ๒๕๕๒ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๒ นายสะมะแอ เจะมูดอ ๒๕๕๓ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ นายจาง ฟุ้งเฟื่อง ๒๕๕๔ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ นายดือราแม ดาราแม ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี วันที่รับ ชื่อ-นามสกุล หมายเหตุ ประวัติของบุคคลผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ น�ำมาจากค�ำกล่าวสดุดีเกียรติคุณในงานพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในปีที่บุคคลผู้นั้นได้รับรางวัล ๗ ตุลาคม ๒๕๓๙ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๗ ๑๐๐
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๓๖ นายพิศิษฐ์ ชาญเสนาะ ๑๐๑
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายพิศิษฐ์ ชาญเสนาะ ส�ำเร็จการศึกษาระดับปริญญา ตรี สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปัจจุบัน เป็นนักพัฒนาองค์กรเอกชน แ ล ะ ด�ำร ง ต�ำแหน่ง นายก สมาคมหยาดฝน ซึ่งเป็นสมาคม ที่ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ จากกรมประมงยกย่องให้เป็น ขององค์กรพัฒนาเอกชนนานาชาติหลายองค์กร เช่น สภา วัฒนธรรมแห่งเอเชีย เป็นต้น นอกจากนี้ได้ให้ความร่วม มือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในด้านการ วิจัยและการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สถานศึกษาอื่นๆ อีกหลายแห่ง ในส่วนของงานวิจัย ได้ ร่วมมือกับอาจารย์คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ จนได้รับรางวัลดีเด่นด้านสิ่งแวดล้อม คือ รางวัลมินามาตะ ประจ�ำปี ๒๕๓๕ จากประเทศญี่ปุ่น ผลงานที่ดีเด่นของนายพิศิษฐ์ ชาญเสนาะ ที่มีความ ส�ำคัญต่อภาคใต้ ได้แก่ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของภาคใต้ซึ่ง โครงการดังกล่าว ท�ำให้เกิดการสร้างรูปแบบการจัดการ ทรัพยากรชายฝั่งให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ องค์กรพัฒนาเอกชนจากประเทศอิตาลี (ซีอีเอสวีไอ) ได้ศึกษารูปแบบการท�ำงานของสมาคมหยาดฝนเพื่อน�ำไป ประยุกต์ใช้ในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกอีกด้วย สมาคมที่มีผลงานดีเด่นในการช่วยสังคมด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรประมง นายพิศิษฐ์ ชาญเสนาะ ได้เริ่มท�ำงานเป็นนักพัฒนา องค์กรเอกชนมาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๑๒ ตลอดระยะ เวลาที่ผ่านมาได้ทุ่มเทเสียสละทั้งก�ำลังกาย และก�ำลังใจ เพื่องานพัฒนาชนบทอย่างจริงจัง และผลจากการท�ำงาน ด้วยความวิริยอุตสาหะ จึงท�ำให้มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ขององค์กรต่างๆ อาทิได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการถาวร ๑๐๒
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๓๗ ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ๑๐๓
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ส�ำเร็จการ ศึกษาบัณฑิตสาขาวิชา ภาษาไทยและคณิตศาสตร์ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ และประกาศนียบัตรชั้นสูง วิชาเฉพาะ สาขาวิชาภาษา และวรรณคดีไทย เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๐๗ จาก งานเหล่านั้น เป็นที่แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ปัจจุบันเป็น ศาสตราจารย์ประจ�ำมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้ และด�ำรงต�ำแหน่งผู้อ�ำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา หลังจากส�ำเร็จการศึกษา ได้เข้ารับราชการ เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๐๔ และได้เป็นอาจารย์ประจ�ำวิทยาลัย วิชาการศึกษา สงขลา ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๖ ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เป็นนักวิชาการที่สนใจ การศึกษาค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ และได้มีผลงานทาง วิชาการเกี่ยวกับภาษาและวรรณคดีเป็นจ�ำนวนมาก ซึ่งผล ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เป็นนักวิชาการ รุ่นแรกที่มีความรัก ความสนใจงานด้านศิลปวัฒนธรรม พื้นบ้านของภาคใต้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นนักวิชาการที่บุกเบิก งานวิชาการด้านนี้อย่างแท้จริง โดยได้เริ่มศึกษามาตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๒๕๐๐ ซึ่งในแรกเริ่มได้ร่วมกับเพื่อนๆ รวบรวม มรดกทางวัฒนธรรมประเภทมุขปาฐะ เช่น ภาษาถิ่น เพลง กล่อมเด็ก นิทานพื้นบ้านของภาคใต้ แล้วจัดพิมพ์เป็น หนังสือชื่อของดีปักษ์ใต้ ต่อมาได้ชักชวนผู้สนใจภาษาถิ่น ทั้ง ๑๔ จังหวัด ร่วมกันจัดท�ำพจนานุกรมภาษาถิ่นภาคใต้ จนส�ำเร็จและได้พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ เป็นต้น ซึ่งผลจากความพยายามของท่านท�ำให้ นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปได้ให้ความสนใจวรรณกรรม ท้องถิ่นมากขึ้น มีผู้รวบรวมปริวรรตวรรณกรรมท้องถิ่น ภาคใต้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีผู้ให้ความสนใจในวัฒนธรรม ท้องถิ่นภาคใต้มากขึ้นเป็นล�ำดับ หลังจากที่ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ได้มี ๑๐๔
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ข้อมูลเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นภาคใต้เป็น จ�ำนวนมาก และในขณะเดียวกันก็มีผู้สนใจวัฒนธรรมท้อง ถิ่นเพิ่มมากขึ้น ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ จึงมี ความคิดที่จะจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาด�ำเนินงานโดยตรง เพื่อจะได้ให้บริการข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้ที่มีอยู่ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์กว้างขวางออกไป ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ จึงต้องทุ่มเททั้งก�ำลังกาย ก�ำลังใจ ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ อย่างมากมาย จนกระทั่งจัดตั้งสถาบันทักษิณคดีศึกษา ได้ส�ำเร็จเรียบร้อยเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๓ ซึ่งครั้งแรก ตั้งอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา ต่อมาการด�ำเนินงานของสถาบันทักษิณคดีศึกษา ได้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ จึงต้องหาสถานที่ใหม่ที่เป็นเอกเทศเพื่อให้บุคคลภายนอก เข้าไปศึกษาหาความรู้ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น และในที่สุด ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ก็พอใจสถานที่บริเวณ เนินเขาบนเกาะยอ อ.เมือง จ.สงขลา จึงได้ระดมทุนขอซื้อที่ จากเอกชนส่วนหนึ่ง เมื่อรวมกับการขอใช้ที่ของวัด ได้เนื้อที่ ทั้งหมด จ�ำนวน ๒๕ ไร่ และได้จัดท�ำโครงการเสนอของบ ประมาณจากรัฐบาล ซึ่งสถาบันทักษิณคดีศึกษาได้เปิดเป็น ทางการเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ ใน ปัจจุบันสถาบันทักษิณคดีศึกษาเป็นหน่วยงานที่นักวิชาการ นักปฏิบัติการ นักบริหาร ตลอดจนผู้สนใจเรื่องท้องถิ่น ศึกษา ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศยอมรับกันว่าเป็น สถานที่ที่มีผลงานด้านการศึกษา อนุรักษ์ฟื้นฟู ส่งเสริมและ พัฒนาเกี่ยวกับท้องถิ่นศึกษาที่มีคุณค่ายิ่ง มีผลงานดีเด่น ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ นอกเหนือจากงานที่สถาบัน ทักษิณคดีศึกษาแล้ว ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ยังได้รับเชิญให้ด�ำรงต�ำแหน่งต่างๆ ที่มีความส�ำคัญ เช่น เป็นประธานคณะอนุกรรมการวิจัยวัฒนธรรมภาคใต้ ของ ส�ำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นที่ปรึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธาน กรรมการช�ำระสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ตามโครงการจัด ท�ำสารานุกรมวัฒนธรรมไทย เป็นประธานโครงการวิจัยเรื่อง “การสร้างเขื่อนกั้นน�้ำเค็มในทะเลสาบสงขลาต่อผลกระทบ ทางโบราณคดีและวัฒนธรรม” เป็นอนุกรรมการวัฒนธรรม จังหวัดสงขลา เป็นกรรมการปฏิบัติการสนเทศไทยศึกษา ของสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น ๑๐๕
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๓๗ ดร.หรรษา จรรย์แสง ๑๐๖
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นางสาวหรรษา จรรย์แสง ส�ำเ ร็ จ ก า ร ศึ ก ษ า ร ะ ดั บ ป ริ ญ ญ า เ อ ก ส า ข า วิ ช า วิทยาศาสตร์ทางทะเล จาก ม ห า วิ ท ย า ลั ย ไ ม อ า มี ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เข้า รับราชการเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ ปัจจุบันเป็นนักวิชา เผยแพร่ความรู้ให้ชุมชน และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลได้ตระหนักถึงความส�ำคัญ ของการรักษาทรัพยากรทะเล อาทิ รณรงค์และขอความ ร่วมมือจากชาวบ้านในการรักษาชีวิตปะการังด้วยการลด ประชากรปลาดาวหนาม การเสนอความคิดให้ท�ำทุ่นผูกเรือ เพื่อลดการท�ำลายปะการังจากเรือท่องเที่ยว การจัดท�ำสื่อ รณรงค์ให้เห็นคุณค่าปะการัง และชี้แนะวิธีการอนุรักษ์ เป็นผู้ริเริ่มเสนอแผนจัดตั้งศูนย์วิจัยป่าชายเลน เป็นหัวหน้า คณะวิจัยจัดท�ำแผนที่แหล่งปะการังทั่วประเทศ ทั้งฝั่งทะเล อันดามันและอ่าวไทย เป็นที่ปรึกษาโครงการอุทยานใต้ทะเล ส�ำหรับผลงานที่ส�ำคัญประการหนึ่งคือการรณรงค์ให้มี การแก้ไขปัญหาการท�ำลายทรัพยากรดังกล่าวด้วยการ ออกกฎหมาย ซึ่งเกิดจากผลงานการวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าการ ขุดแร่บริเวณหาดป่าตองมีผลกระทบต่อชีวิตของปะการัง ต่อมารัฐบาลจึงได้ออกกฎหมาย โดยกระทรวงพาณิชย์ ห้ามการส่งปะการังออกนอกประเทศหรือกระท�ำเพื่อการค้า ส่วนผลงานด้านอื่นๆ เช่น ยังเป็นอาจารย์พิเศษให้ความรู้ แก่นิสิตนักศึกษาทั้งในระดับต�่ำกว่าอุดมศึกษา ระดับ ปริญญาตรี และอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ระดับ ปริญญาโทของมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้แก่ มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิให้แก่หน่วยงาน ราชการและองค์กรระหว่างประเทศในการวิเคราะห์ปัญหา เกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเล การจัดท�ำแผนวิจัยและการ จัดการ เป็นผู้ริเริ่มเสนอแผนจัดตั้งศูนย์วิจัยป่าชายเลน การประมงทะเล ระดับ ๘ สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมง ทะเล จังหวัดภูเก็ต นางสาวหรรษา จรรย์แสง เป็นนักวิจัยที่ได้ริเริ่ม ด�ำเนินการส�ำรวจจัดท�ำแผนที่แนวปะการังในท้องทะเล อันดามันเป็นคนแรก และได้สร้างผลงานการวิจัยด้าน นิเวศวิทยาเป็นจ�ำนวนมากเกี่ยวกับหญ้าทะเลป่าชายเลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปะการัง เช่น เป็นผู้ร่วมวิจัยการศึกษา และวิเคราะห์สภาพแนวปะการังในเขตอุทยานแห่งชาติ ทางทะเลแถบทะเลอันดามัน วิจัยเรื่อง สภาวะแวดล้อม ทางทะเลในประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งผลจากการวิจัยดังกล่าว ท�ำให้เกิดความรู้พื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดท�ำแผน การใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมน�ำไปแก้ไขปัญหาการท�ำลาย ทรัพยากรทางทะเล นอกจากนี้ นางสาวหรรษา จรรย์แสง ได้พยายาม ๑๐๗
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๓๘ นายชบ ยอดแก้ว ๑๐๘
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายชบ ยอดแก้ว ส�ำเร็จ การศึกษาครุศาสตรบัณฑิต จากสถาบันราชภัฏสงขลา อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียน วัดน�้ำขาวใน อ�ำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ปัจจุบันเป็น ข้าราชการบ�ำนาญ และด�ำรง ต�ำแหน่งเลขานุการสมาคม ฟื้นฟูหมู่บ้านชนบทสงขลา กองทุนได้ และโครงการสหกรณ์และการออมทรัพย์ซึ่งครู และนักเรียนได้ร่วมกันถือหุ้น เป็นต้น หลังจากที่การด�ำเนินงานของโครงการพัฒนา ประสิทธิภาพบุคคลในโรงเรียน ได้ประสบผลส�ำเร็จ เป็นอย่างมากแล้ว นายชบ ยอดแก้ว จึงมีความคิดริเริ่ม ที่จะน�ำโครงการนี้ออกสู่ชุมชน โดยการประสานงานกับ เจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับอ�ำนาจ ตั้งเป็นชุดรณรงค์เพื่อ การพัฒนาต�ำบลน�้ำขาว มีหน้าที่ออกไปประชุม ชี้ทางปัญหา และท�ำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา ของชุมชน โดยได้เสนอแนวคิด “ออมทรัพย์แบบพัฒนา ครบวงจรชีวิต” หมายถึง เงินร่วมกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกัน และกันให้ครบวงจรชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย รวมถึงวงการ ผลิตคือ การรวมกันซื้อรวมกันขายด้วยการออมทรัพย์ แบบนี้จึงมีลักษณะเฉพาะตัวคือ เมื่อสมาชิกตั้งสัจจะน�ำเงิน มาเก็บออมร่วมกันในแต่ละเดือนแล้ว ก็น�ำเงินทั้งหมดนั้น มาให้สมาชิกกู้ตามความจ�ำเป็น ถ้ามีเงินเหลือจากการกู้ จึงเอาไปฝากธนาคาร สมาชิกที่มากู้เงินของกลุ่มต้องจ่าย ค่าบ�ำรุงในอัตราที่กลุ่มก�ำหนด เงินค่าบ�ำรุงนี้น�ำมาจัดสรร เป็น ๓ ส่วน คือ ปันผลคืนสมาชิก เฉลี่ยคืนผู้กู้ และน�ำมา จัดตั้งเป็นกองทุนสวัสดิการ การจัดการกองทุนสวัสดิการนั้น มีทั้งการให้สวัสดิการแก่ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน และถ้า นายชบ ยอดแก้ว เป็นผู้ที่มีความตั้งใจจริงในการ ท�ำงานเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม โดยได้มีแนวคิดว่า การศึกษาคือ การพัฒนาคน และก่อนจะสอนผู้อื่นตนเอง จะต้องปฏิบัติให้ได้เสียก่อน ซึ่งในระยะแรกของการท�ำงาน พัฒนา นายชบ ยอดแก้ว ได้เริ่มต้นจากการพัฒนางาน ในโรงเรียนก่อน เช่น ได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน เพื่อให้เด็กในชนบทมีโอกาสทางการศึกษาทัดเทียมกับ เด็กในเมือง และเป็นการช่วยเหลือผู้ปกครองให้มีเวลา ท�ำงานมากยิ่งขึ้น การให้นักเรียนท�ำแปลงเกษตรและ เลี้ยงสัตว์เพื่อหารายได้ ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจะน�ำมาจัดตั้ง กองทุนสนับสนุนวิชาชีพให้กับนักเรียนที่เข้าโครงการ เมื่อออกจากโรงเรียนไปแล้วสามารถจะยืมเงินทุนจาก ๑๐๙
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท สมาชิกถึงแก่กรรม กองทุนก็จะช่วยท�ำบุญตามอัตรา ที่ก�ำหนด นอกจากนั้น ยังน�ำเงินบางส่วนไปใช้ในการพัฒนา หมู่บ้าน เช่น การซ่อมแซมถนน สร้างที่อ่านหนังสือพิมพ์ เป็นต้น ลักษณะเฉพาะตัวของกลุ่มออมทรัพย์แบบพัฒนา ครบวงจรชีวิตอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นกลุ่มที่ไม่จ�ำเป็นต้องใช้ กฎหมายมาเกี่ยวข้อง แต่จะใช้การควบคุมทางสังคมเป็น หลักจากความส�ำเร็จของกลุ่มออมทรัพย์แบบพัฒนาครบ วงจรชีวิตของต�ำบลบ้านน�้ำขาวที่ได้กลายเป็นโครงสร้าง ใหม่ทางสังคมที่ก่อให้เกิดความเสมอภาคระหว่างคนจน กับคนรวยในชุมชน การสร้างส�ำนึกในการช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน และท�ำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีภายใน ชุมชน และในปัจจุบันนี้แนวความคิดเรื่องการออมทรัพย์ แบบพัฒนาครบวงจรชีวิตได้รับการยอมรับและเผยแพร่ ไปยังท้องถิ่นอื่นๆ อย่างกว้างขวาง จากผลงานที่ดีเด่นจึงท�ำให้นายชบ ยอดแก้ว ได้รับ การยอมรับและยกย่องจากหน่วยงานต่างๆ คือ ได้รับคัดเลือก ให้เป็นผู้บริหารการศึกษาดีเด่น รับแหวนเสมาทองค�ำ พร้อม เกียรติบัตร จาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๗ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นข้าราชการตัวอย่าง มีความ ประพฤติดีของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๗ ได้รับการคัดเลือดเป็นข้าราชการดีเด่น ๔ กระทรวงหลัก ของจังหวัดสงขลา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ และในปัจจุบัน ยังอุทิศตนท�ำหน้าที่ในบทบาทต่างๆ ดังนี้ ประธานคณะ กรรมการอ�ำนวยการ “กองทุนหมุนเวียนชาวบ้านสงขลา” กรรมการที่ปรึกษาสมาคมแพทย์แผนไทยจังหวัดสงขลา กรรมการที่ปรึกษาชมรมหนังตะลุงจังหวัดสงขลา ผู้จัดการ มูลนิธิบัณฑิตสายสวาท จันทรัศมี (สนับสนุนโครงการอาหาร กลางวันเด็กนักเรียน ระดับประถมศึกษา” จังหวัดสงขลา) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ “กองทุนโครงการอาหารกลางวัน เด็กนักเรียนระดับประถมศึกษา” จังหวัดสงขลา กรรมการ ที่ปรึกษา “กองทุนหนึ่งเดียว” ของคณะอาจารย์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย (สนับสนุนโครงการอาหารกลางวันเด็กนักเรียน ระดับประถมศึกษา) วิทยากรบรรยายพิเศษเกี่ยวกับกลุ่ม ออมทรัพย์การพัฒนาครบวงจรในโอกาสและสถานที่ต่างๆ อาจารย์พิเศษของคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ เป็นกลุ่มแกนน�ำที่ร่วมด�ำเนินการให้เกิด “มหาวิทยาลัยชาวบ้าน” ๑๑๐
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๓๙ นายแพทย์อนันต์ สุไลมาน ๑๑๑
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายแพทย์อนันต์ สุไลมาน ส�ำเร็จการศึกษา แพทยศาสตรบัณฑิต จาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบัน ด�ำรงต�ำแหน่งผู้เชี่ยวชาญ พิ เ ศ ษ ด ้ า น ส า ธ า ร ณ สุ ข (นายแพทย์ ๙) ผู้อ�ำนวย การศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ เขต ๑๒ ยะลา จัดท�ำโครงการพัฒนาให้บริการตรวจสุขภาพเด็กดี จัดท�ำโครงการเผยแพร่สาธารณสุขมูลฐานในโรงเรียน สอนศาสนาอิสลามจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดยะลา จัดอบรมผู้น�ำท้องถิ่นใน ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดท�ำ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวไทยมุสลิมใน ๔ จังหวัด ชายแดนภาคใต้ จัดอบรมผู้น�ำเยาวชนสาธารณสุขใน โรงเรียน จัดประชุมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อพัฒนา คุณภาพวางแผนครอบครัว เป็นต้น นอกจากนี้ นายแพทย์ อนันต์ สุไลมาน ยังมีผลงานวิชาการและผลงานวิจัย ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการน�ำข้อมูลไปใช้ในการ ด�ำเนินงานด้านสาธารณสุข ได้แก่ อิสลามกับนโยบาย ประชากร และความรู้ความคิดเห็นและพฤติกรรมด้าน การฝากครรภ์ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในระดับต�ำบล ผดุงครรภ์โบราณและมารดาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกเหนือจากงานในหน้าที่แล้ว นายแพทย์อนันต์ สุไลมาน ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการของหน่วยงาน อื่นๆ เช่น เป็นคณะกรรมการ พอ.สว. จังหวัดยะลา เป็น คณะกรรมการที่ปรึกษาของศูนย์อ�ำนวยการบริหาร จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกรรมการที่ปรึกษาของสมาคม วางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย เป็นคณะกรรมการ ควบคุมโรคเอดส์จังหวัดยะลา เป็นคณะกรรมการควบคุม ป้องกันยาเสพติดจังหวัดยะลา เป็นคณะกรรมการพิจารณา การให้ความช่วยเหลือชาวไทยมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจย์ เป็นคณะกรรมการเผยแพร่ภาษาไทยใน ๕ ปี จังหวัดชายแดน ภาคใต้ เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการอิสลามประจ�ำ จังหวัดชายแดนใต้ เป็นที่ปรึกษาขององค์การยูนิเซฟ ในการ ใช้สื่อเพื่อเผยแพร่โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชน เป็นต้น นายแพทย์อนันต์ สุไลมาน ได้อุทิศตนท�ำงานเพื่อ พัฒนาสาธารณสุขของประชาชนชาวภาคใต้ โดยเฉพาะ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาเป็นระยะเวลากว่า ๒๕ ปี ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในฐานะแพทย์ ได้ประกอบ วิชาชีพโดยไม่มุ่งหวังผลตอบแทนต่อตนเอง เป็นที่พึ่งของ ชาวบ้านผู้ยากไร้ มีผลงานดีเด่นในด้านบริหารและพัฒนา หลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับการส่งเสริม สุขอนามัยแม่และเด็กในจังหวัดภาคใต้ ได้ปลูกฝังแนวคิด ด้านการวางแผนครอบครัวในสังคมมุสลิม เป็นผู้ริเริ่ม และน�ำแนวความคิดตามหลักการของศาสนาอิสลาม มาพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุข ท�ำให้โครงการต่างๆ ด�ำเนินการไปได้อย่างปราศจากอุปสรรคและปัญหาทาง วัฒนธรรม และได้ด�ำเนินการทุกวิถีทางที่จะท�ำให้ประชากร ในภาคใต้ตอนล่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อาทิ จัดอบรม โครงการเสริมความรู้มารดาเพื่อการเลี้ยงดูทารก จัดท�ำ โครงการอบรมหลักคุณธรรมกับกระบวนการท�ำงาน จัดท�ำ โครงการเพิ่มพูนสมรรถนะบุคลากรด้านอนามัยแม่และเด็ก ๑๑๒
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๓๙ นายอัมพร ด้วงปาน ๑๑๓
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายอัมพร ด้วงปาน ส�ำเ ร็ จ ก า ร ศึ ก ษ า ร ะ ดั บ ประถมศึกษาปีที่ ๔ จาก โรงเรียนวัดช่องเขา ต�ำบล คลองเปียะ อ�ำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา และในขณะ ที่อุปสมบทได้ศึกษาธรรมะ จนสอบได้ปริยัติธรรมชั้นโท เป็นลูกจ้างประจ�ำโรงเรียน การเก็บออมเงินของตนเองในระบบกลุ่ม สร้างกระบวนการ ในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แก้ไขปัญหาการขาดแคลน เงินทุนในการน�ำไปพัฒนาอาชีพตนเองให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แก้ปัญหาการขาดแคลนเงินในยามที่เกิดความเดือดร้อน และเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ชาวบ้านที่ต้องสูญเสียจากการ ไปกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินอื่นๆ ในระยะเริ่มแรกการ ตั้งกองทุนมีเงินสัจจะเดือนแรก ๒,๘๕๐ บาท มีสมาชิก จ�ำนวน ๕๑ คน จาก ๑๐ หมู่บ้านของต�ำบลคลองเปียะ การ ด�ำเนินงานในปีแรกไม่ประสบผลส�ำเร็จเท่าที่ควร นายอัมพร ด้วงปาน และคณะกรรมการบริหารกลุ่มออมทรัพย์ต�ำบล คลองเปียะ จึงได้ปรับปรุงการด�ำเนินงาน โดยให้สมาชิก กลุ่มออมทรัพย์กู้เงินสัจจะในแต่ละเดือนและเงินทุนสะสม ที่มีอยู่ หากมีเงินเหลือจากการกู้ยืมจึงจะน�ำไปฝากธนาคาร และจากการด�ำเนินงานดังกล่าว จึงท�ำให้ชาวบ้านต�ำบล คลองเปียะให้ความสนใจและสมัครเป็นสมาชิกมากขึ้น ท�ำให้สมาชิกกลุ่มออมทรัพย์เพิ่มขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบันนี้กลุ่มออมทรัพย์ต�ำบลคลองเปียะมีเงินทุน หมุนเวียนประมาณ ๓๐ กว่าล้านบาท นับได้ว่าโครงการ ดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของชาว ต�ำบลคลองเปียะอย่างแท้จริง และปัจจัยหนึ่งที่ท�ำให้กลุ่ม ออมทรัพย์ต�ำบลคลองเปียะประสบผลส�ำเร็จในการ ด�ำเนินงาน คือ การที่นายอัมพร ด้วงปาน ได้น�ำเอาระบบ วัดช่องเขา ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๓-ปัจจุบัน และปัจจุบัน ด�ำรงต�ำแหน่งประธานกลุ่มออมทรัพย์ต�ำบลคลองเปียะ อ�ำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา นายอัมพร ด้วงปาน เป็นบุคคลที่เสียสละและอุทิศตน ในการท�ำงานเพื่อพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้า ผลงาน และแนวคิดของนายอัมพร ด้วงปาน ที่ประสบผลส�ำเร็จ เป็นอย่างยิ่ง และได้รับการยกย่องคือการก่อตั้งกลุ่ม ออมทรัพย์ต�ำบลคลองเปียะซึ่งเกิดจากแนวคิดที่ว่าถ้า ไม่หาวิธีการให้ชาวบ้านมีทุนของตนเองแล้ว การพัฒนา จะประสบผลส�ำเร็จได้ยาก ดังนั้น การจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ ดังกล่าวจึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ปีพุทธศักราช ๒๕๒๓ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวบ้านรู้วิธี ๑๑๔
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท คุณธรรมมาก�ำกับการด�ำเนินงานของกลุ่ม ท�ำให้การบริหาร คนและบริหารงานการเงินเป็นไปอย่างราบรื่น สมาชิกทุกคน ยึดมั่นต่อสัจจะ ซื่อสัตย์ต่อตนเองและกลุ่ม และกล่าวได้ว่า ไม่มีการฉ้อโกง ไม่มีหนี้สูญในกลุ่มออมทรัพย์ต�ำบคลองเปียะ และจากผลส�ำเร็จของกลุ่มออมทรัพย์ต�ำบลคลองเปียะ จึง ท�ำให้กลุ่มนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดกลุ่มออม ทรัพย์ในเขต ๙ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๗ ท�ำให้หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าไปศึกษาดูงานกลุ่มออมทรัพย์ต�ำบล คลองเปียะเป็นจ�ำนวนมาก หลังจากก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์ และด�ำเนินงานจนมั่นคงแล้ว นายอัมพร ด้วงปาน ได้ขยาย แนวคิดการจัดการทุนของชุมชน โครงการก่อตั้งศูนย์สาธิต การตลาดต�ำบลคลองเปียะ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ ซึ่งได้ จัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จ�ำเป็นในชีวิตประจ�ำวัน และ เครื่องมือทางการเกษตรแก่สมาชิก นอกเหนือจากงานในต�ำบลคลองเปียะแล้ว นาย อัมพร ด้วงปาน ได้เข้าไปมีบทบาทเป็นผู้น�ำคนส�ำคัญที่ ผลักดันให้เกิดสมาคมฟื้นฟูหมู่บ้านชนบทสงขลา ซึ่งเป็น องค์กรชาวบ้านที่ได้พบปะและรวมตัวกันเป็นเครือข่ายที่เน้น การเรียนรู้ร่วมกัน เป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้เพื่อน�ำไปปรับใช้ ในชุมชนของตน ในสมาคมดังกล่าว นายอัมพร ด้วงปาน ได้รับ เป็นประธานกรรมการด�ำเนินงานกองทุนหมุนเวียนชาวบ้าน สงขลา กองทุนนี้มีสภาคล้ายกลุ่มออมทรัพย์หรือกองทุนกลาง ของจังหวัด เกิดจากการสะสมเงินร่วมกันขององค์กรชาวบ้าน จ�ำนวน ๒๐ กลุ่ม และสมาชิกสามารถกู้เงินจากกองทุน และใน ฐานะประธานกองทุน นายอัมพร ด้วงปาน ได้เผยแพร่ความรู้ และแนวคิดดังกล่าวลงไปสู่ระดับอ�ำเภอ จนท�ำให้เกิดกองทุน หมุนเวียนชาวบ้านระดับอ�ำเภอขึ้น ๓ แห่งในจังหวัดสงขลา คืออ�ำเภอเมือง อ�ำเภอจะนะ และอ�ำเภอนาหม่อม กิจกรรมอีกรูปแบบหนึ่งเกิดจากแนวความคิดของ นายอัมพร ด้วงปาน ได้แก่การจัดตั้งมหาวิทยาลัยชาวบ้าน สถาบันการเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเองเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๘ ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายที่มุ่งกระบวนการเรียนรู้ เป็นสถานที่ ส�ำหรับการท�ำกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่าง ชาวบ้านด้วยกัน และกับคนบางกลุ่มซึ่งการสร้างและพัฒนา เครือข่ายที่มุ่งกระบวนการเรียนรู้นี้ เป็นหลักประกันอย่างหนึ่ง ในการสืบทอดกลุ่มออมทรัพย์ต�ำบลคลองเปียะไปสู่คน รุ่นหลัง และการก่อตั้งกลุ่มเยาวชนอนุรักษ์วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมโครงการรวมกลุ่มลูกหลานในชุมชน บ้านป่ายาง ให้เรียนรู้กระบวนการกลุ่ม เรียนรู้วัฒนธรรม และคุณธรรมจากชาวบ้านในชุมชน ๑๑๕
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๑ นายก�ำจัด เสนะพันธุ์ ๑๑๖
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายก�ำจัด เสนะพันธุ์ ส�ำเร็จการศึกษาระดับมัธยม ศึกษาปีที่ ๖ จากโรงเรียนทวี ป ร ะ ช า นุ กู ล อ�ำเ ภ อ น า ท วี จังหวัดสงขลา ประกอบอาชีพ เกษตรกร เป็นอดีตก�ำนันต�ำบล สะท้อน อ�ำเภอนาทวี มีผลงาน ถนนและแนวเขตป่า ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความ ส�ำนึกและหวงแหนป่าและสัตว์ป่า โดยการประชุมราษฎร์ เพื่อชี้แจงให้เห็นถึงประโยชน์ของป่าและสัตว์ป่าทั้งทางตรง และทางอ้อม ประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุก หน่วยงาน เพื่อขอความร่วมมือให้ช่วยกันดูแลรักษาป่ากราด นี้ให้คงอยู่ตามเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ มีกรรมการหมู่บ้าน อสป. และสมาชิกคอยตรวจดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งกลางวัน และกลางคืน นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการ หมู่บ้านเพื่อท�ำหน้าที่ดูแลรักษาป่าห้ามมิให้ผู้ใดบุกรุก มีการ วางแผน ปรับปรุง และแก้ปัญหาทั่วๆ ไป เกี่ยวกับการดูแล รักษาป่าและสัตว์ป่าในเขตป่าแห่งนี้ด้วย จึงท�ำให้ป่าแห่งนี้ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด ซึ่งราษฎรต�ำบล สะท้อนและบริเวณใกล้เคียงสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ โดยตรง คือ มีไม้ใช้สอยในครัวเรือน เก็บพืชผลต่างๆ ตลอดจน สมุนไพร นอกจากนี้ป่ากราดยังอ�ำนวยประโยชน์ทางอ้อม ให้แก่ราษฎรในท้องถิ่นนั้น กล่าวคือ ท�ำให้ดินมีความ อุดมสมบูรณ์ มีความชุ่มชื้นในอากาศและสภาวะสิ่งแวดล้อม บริเวณหมู่บ้านดีขึ้น มีน�้ำใช้ตลอดปีและยังเป็นสถานที่พัก ผ่อนหย่อนใจของชุมชน จากการที่นายก�ำจัด เสนะพันธุ์ เป็นผู้น�ำในการรวม ตัวของชาวบ้านต�ำบลสะท้อน เพื่อรักษาป่ากราดให้เป็นป่า อุดมสมบูรณ์เพื่อเป็นสมบัติแก่ชนรุ่นหลัง ท�ำให้นายก�ำจัด เสนะพันธุ์ และชาวบ้านต�ำบลสะท้อน ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ในฐานะนักอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งชาวไทย จากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๓๐ และนายก�ำจัด เสนะพันธ์ุ ยังได้รับรางวัลก�ำนันดีเด่นของ ศูนย์อ�ำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๓๐ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหลายแห่ง ได้มาขอดูงานป่าประชาชนหรือป่ากราดอีกด้วย ที่ดีเด่นคือเป็นผู้น�ำชุมชนในการอนุรักษ์ป่ากราด เนื้อที่ จ�ำนวน ๒,๕๗๕ ไร่ นายก�ำจัด เสนะพันธุ์ เป็นผู้มีปณิธานแน่วแน่ที่จะ สืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นก�ำนันต�ำบลสะท้อน ติดต่อกันหลายชั่วอายุคนในการดูแลรักษาป่ากราดให้เป็น ป่าประชาชน ซึ่งเป็นผืนป่าที่ตั้งอยู่ระหว่างหมู่บ้าน เป็นที่ราบ ทั้งหมด พื้นที่เหมาะแก่การท�ำเกษตรกรรม ตั้งอยู่ใกล้ตัวเมือง และมีจุดเด่นคือ เป็นป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้ มีค่า เช่น ไม้ยาง หลุมพอ ไข่เขียว มะค่าโมง แดง กะบาก นาคบุตร เหียง ตะแบก แซะ สะตอ เนียงนก และไม้ชนิดอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีสัตว์ป่าชุมชน เช่น กระจง ซึ่งมีมากที่สุด ลิง ค่าง ชะนี กระรอก อีเห็น เก้ง หมูป่า ไก่ป่า และนกชนิดต่างๆ หลายสิบชนิด นับว่าเป็นป่าที่ยังบริสุทธิ์และอุดมสมบูรณ์ มากแห่งหนึ่ง ในสมัยที่นายก�ำจัด เสนะพันธุ์ เป็นก�ำนันต�ำบล สะท้อน การพิทักษ์รักษาผืนป่ากราดมีความยุ่งยากมากกว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากจ�ำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ท�ำให้ความต้องการที่ดินท�ำกินมีมากขึ้น และที่ดินบริเวณ ใกล้เคียงก็ถูกหักร้างถางพง ท�ำเป็นสวนยางพาราล้อมรอบป่า แห่งนี้ นายก�ำจัด เสนะพันธุ์ จึงได้ด�ำเนินการป้องกันรักษาป่า และสัตว์ป่าด้วยการขอให้กรมป่าไม้มีมาตรการป้องกันรักษา ป่าและสัตว์ป่า โดยประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าและ กรมป่าไม้ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๒๕ ท�ำ ถนนรอบเขตป่า โดยใช้เงิน กสช. เชิญชวนประชาชนพัฒนา ๑๑๗
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๒ นายลัภย์ หนูประดิษฐ์ ๑๑๘
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายลัภย์ หนูประดิษฐ์ ส�ำเร็จการศึกษาระดับประถม ศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัด โคกสมานคุณ อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ประกอบอาชีพ ท�ำสวน มีผลงานที่ดีเด่นคือเป็น ผู้น�ำชุมชนด้านสหกรณ์ออม ทรัพย์ มีเงินสะสมเป็นของตัวเอง มีเงินทุนหมุนเวียนส�ำหรับให้กู้ อัตราดอกเบี้ยต�่ำมากขึ้น มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน อีกทั้งเป็นสหกรณ์ตัวอย่างที่สหกรณ์หรือกลุ่มต่างๆ ทั่ว ประเทศมาศึกษาดูงานเป็นประจ�ำ และในปี ๒๕๓๑ ยังเป็น ประธานชุมนุมในการจัดตั้งชุมนุมสหกรณ์การเกษตรจังหวัด สงขลา (ชสก.) โดยได้ด�ำรงต�ำแหน่งประธานชุมนุม ตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ จนถึงปัจจุบัน มีสหกรณ์การเกษตรในจังหวัดสงขลา ๒๐ สหกรณ์ เป็นสมาชิก ซึ่งในขณะที่ด�ำรงต�ำแหน่งประธาน กรรมการชุมนุมได้แนะน�ำพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ สหกรณ์สมาชิกที่มีปัญหาต่างๆ พร้อมทั้งให้ความรู้ และค�ำแนะน�ำแก่ชุมนุมสหกรณ์จังหวัดต่างๆ ที่มาดูงาน จากทั่วประเทศ ส่งผลให้สหกรณ์การเกษตรภายในจังหวัด สงขลา รวมกลุ่มพึ่งพาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และหากมี กิจกรรมที่ต้องช่วยกันท�ำในภาพรวมของจังหวัดก็สามารถ รวมกลุ่มกันได้เป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น ต่อมาในปี ๒๕๓๖ ได้ร่วมจัดตั้งสมาคมฟื้นฟูหมู่บ้านชนบทสงขลา และด�ำรง ต�ำแหน่งนายกสมาคม มีกิจกรรมหลักที่มุ่งส่งเสริม ๗ กิจกรรม คือ การออมทรัพย์ การอุปโภคบริโภคร่วมกัน การท�ำสวน ยางพารา การปศุสัตว์ การเกษตรผสมผสาน การอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม และการศึกษา จากผลงานที่เป็นคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชน นายลัภย์ หนูประดิษฐ์ ได้รับรางวัลและการยกย่อง เชิดชู จากหน่วยงานต่างๆ เช่น ได้รับรางวัลสมาชิกสหกรณ์ดีเด่น ระดับจังหวัด ปี ๒๕๓๓ จากสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย และได้รับรางวัลนักสหกรณ์ดีเด่น (ภาคเกษตร)เขต ๙ จาก สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย เมื่อปี ๒๕๓๕ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะท�ำงานประสาน การปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ในระดับอ�ำเภอ ได้รับเชิญจากหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ วิธีการท�ำงานทั้งระดับอ�ำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ นายลัภย์ หนูประดิษฐ์ เป็นผู้ที่มีบทบาทส�ำคัญใน การพัฒนาชุมชน เป็นผู้น�ำในการท�ำงานเพื่อสังคมส่วนรวม ผลงานที่ดีเด่น ได้แก่ เป็นประธานกลุ่มในการจัดตั้งกลุ่ม ปรับปรุงคุณภาพยางแผ่นต�ำบลคอหงส์ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๖ จนถึงปี ๒๕๒๗ ซึ่งผลจากการรวมกลุ่มท�ำให้สมาชิก ผลิตยางแผ่นได้คุณภาพตามที่ตลาดต้องการ สามารถขายได้ ในราคาที่สูงกว่าในท้องตลาด สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้น และ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๐ เป็นประธาน กลุ่มการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านคลองหวะ มีสมาชิกเริ่มก่อตั้ง ๔๗ คน เงินทุนเริ่มแรก ๒,๕๐๐ บาท ซึ่งเป็นกลุ่มออมทรัพย์กลุ่มแรกของภาคใต้ จนถึงปัจจุบัน มีสมาชิกประมาณ ๔๐๐ คน เงินทุนหมุนเวียนกว่า ๗ ล้านบาท ประโยชน์ที่เกิดจากการตั้งกลุ่มออมทรัพย์ท�ำให้สมาชิก มีเงินออมจากการขายยางแผ่นที่มีคุณภาพ ทุกวันที่ ๕ ของเดือน เป็นการสร้างจิตส�ำนึกร่วมกันและเป็นกลุ่ม ตัวอย่างที่หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศมาศึกษา ดูงานเพื่อน�ำแนวทางการท�ำงานไปขยายผลมากมาย ในปี พุทธศักราช ๒๕๓๑ เป็นประธานกลุ่มในการจัดตั้งกลุ่มออม ทรัพย์ในหมู่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรหาดใหญ่ ซึ่งในขณะ นั้นสหกรณ์การเกษตรหาดใหญ่ จ�ำกัด ประสบภาวะขาดทุน เกินกึ่งหนึ่งของทุนเรือนหุ้นและมีดอกเบี้ยค้างช�ำระเป็น จ�ำนวนมาก นายลัภย์ หนูประดิษฐ์ ได้เป็นผู้น�ำในการปรับปรุง ระบบการท�ำงานใหม่ จนท�ำให้สหกรณ์การเกษตรหาดใหญ่ จ�ำกัด มีก�ำไรและปลอดดอกเบี้ยค้างช�ำระ ท�ำให้สมาชิก ๑๑๙
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๒ นางมัรยัม สาเม๊าะ ๑๒๐
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นางมัรยัม สาเม๊าะ ส�ำเ ร็ จ ก า ร ศึ ก ษ า ร ะ ดั บ ป ริ ญ ญ า ต รี ส า ข า วิ ช า ศาสนา จากมหาวิทยาลัย ลัมภูรี รัฐกลันตัน ประเทศ มาเลเซีย ปัจจุบันเป็น ประธานศูนย์เด็กก�ำพร้า และยากจนที่ต�ำบลบานา อ�ำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี โอกาสด้วยกัน และเพื่อให้เยาวชนผู้ด้อยโอกาสได้พัฒนา จิตใจและร่างกายเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป ในปัจจุบันมีเยาวชนมุสลิมจากจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และกรุงเทพฯ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ศูนย์เด็กก�ำพร้าและยากจน จ�ำนวน ๑๐๐ กว่าคน ซึ่งเยาวชน เหล่านี้ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนทั้งด้านวิชาการและด้าน วิชาชีพ เช่น การตัดเย็บเสื้อผ้า การฝึกหัดท�ำผ้าบาติก วิชาเกี่ยวกับการเกษตรแบบพอเพียง เป็นต้น จากผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมของ นางมัรยัม สาเม๊าะ ท�ำให้หน่วยงานต่างๆ หลายหน่วยงาน ทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชนเห็นความส�ำคัญ และได้เข้ามาร่วม สนับสนุนกิจกรรมของศูนย์เด็กก�ำพร้า อาทิ องค์การยูนิเซฟ ศูนย์อ�ำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรมส่งเสริม อาชีพและพัฒนาฝีมือแรงงาน สมาคมยุวมุสลิมแห่ง ประเทศไทย มูลนิธิสันติชนและกองทุนชุมชนเพื่อฝึกอาชีพ เป็นต้น นอกจากนี้ศูนย์เด็กก�ำพร้าและยากจน ยังได้รับ ความช่วยเหลือจากบุคคลและชุมชนอย่างดียิ่ง นางมัรยัม สาเม๊าะ เป็นผู้มีอุดมการณ์อันแน่วแน่ ที่จะช่วยเหลือสังคม ผลงานที่ส�ำคัญคือการดูแลศูนย์เด็ก ก�ำพร้าและยากจน ซึ่งเป็นสถานสงเคราะห์ที่รับเลี้ยงเด็ก ก�ำพร้าและเด็กยากจนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ศูนย์ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่ออบรมเยาวชนผู้ด้อยโอกาสได้ศึกษา วิชาศาสนาขั้นพื้นฐานที่วายิบส�ำหรับมุสลิมทุกคน เพื่อให้ เยาวชนน�ำหลักการศาสนามาใช้ในชีวิตประจ�ำวัน เพื่อฝึก วิชาชีพแก่เด็กก�ำพร้ายากจนให้มีทักษะและประสบการณ์ ในการประกอบอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนเพื่อเพิ่มรายได้ให้ ครอบครัว เพื่อสร้างความสามัคคี เอื้ออาทร ในกลุ่มผู้ด้อย ๑๒๑
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๔ นายวรรณ ขุนจันทร์ ๑๒๒
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายวรรณ ขุนจันทร์ ส�ำเร็จการศึกษาระดับ นั ก ธ ร ร ม ชั้ น เ อ ก แ ล ะ สั ม ฤ ท ธิ บั ต ร ส า ข า นิติศาสตร์ชุดวิชากฎหมาย จากมหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมาธิราช ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๗ ได้จัดตั้งกลุ่มเกษตรกรท�ำนา ตะโหมด ซึ่งมีโครงสร้าง ประกอบด้วย บ้าน วัด ส่วนราชการ เพื่อระดมความคิดในการแก้ปัญหาและพัฒนาอาชีพ ของเกษตรกร โดยขอจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีสมาชิก ครั้งแรก ๖๗ คน ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ ๘๐๐ กว่าคน ผลการด�ำเนินงานของกลุ่มเกษตรกรท�ำนาตะโหมดได้รับการ คัดเลือกให้เป็นกลุ่มเกษตรกรดีเด่น ทั้งในระดับภาคและ ระดับประเทศ ๓ ครั้ง ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ ๒๕๒๙ และ ๒๕๓๕ ท�ำให้ได้รับพระราชทานโล่รางวัลจากพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว จากความสามารถและประสบการณ์ในการ ท�ำงาน ท�ำให้นายวรรณ ขุนจันทร์ ได้รับเชิญเป็นวิทยากร บรรยายให้ความรู้แก่หน่วยงานต่างๆ อยู่เสมอ เช่น เป็น วิทยากรบรรยายพิเศษของคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นวิทยากรของกรมส่งเสริม การเกษตรในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ และกรรมการสมาชิก สถาบันเกษตรกร เป็นวิทยากรรับเชิญจากธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ส�ำนักงานใหญ่ ในการ ฝึกอบรมเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราภาคตะวันออก ตาม โครงการช่วยเหลือของประชาคมยุโรป เป็นวิทยากรฝึกอบรม เจ้าหน้าที่และราษฎรในโครงการป่าชุมชน จัดโดยป่าไม้เขต และป่าไม้จังหวัด เป็นต้น และจากผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อ ชุมชนท�ำให้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติคุณจากหน่วยงาน ต่างๆ เช่น ได้รับการคัดเลือกจากมูลนิธิธารน�้ำใจ ยกย่อง ให้เป็นคนไทยตัวอย่าง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ และ ได้รับโล่รางวัลจากสมาคมวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่ง ประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะผู้บ�ำเพ็ญ ประโยชน์แก่วงการเกษตร เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๖ นายวรรณ ขุนจันทร์ เป็นผู้มีความคิดริเริ่มในการ รวมกลุ่มเกษตรกร มีผลงานดีเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน เป็นอย่างมาก คือ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ ได้จัดตั้งกลุ่ม ปรับปรุงคุณภาพยางแผ่นให้เป็นที่ต้องการของตลาด ส่วน การขายให้มีการประมูลราคา และได้ขยายเครือข่ายไปยัง อ�ำเภอต่างๆ ในจังหวัดพัทลุงและจังหวัดใกล้เคียงในภาคใต้ ซึ่งการรวบรวมผลผลิตยางพาราของสมาชิกและเกษตรกร ออกขาย ท�ำให้ได้ราคาสูงกว่าท้องตลาดทั่วไป เพราะมีอ�ำนาจ ต่อรองราคามากขึ้น เป็นการลดพ่อค้าคนกลางให้น้อยลง นอกจากนี้ยังเปิดร้านค้าของกลุ่มจ�ำหน่ายสินค้าให้แก่สมาชิก และเปิดรับเงินฝากจากสมาชิก เพื่อส่งเสริมการประหยัด ในครอบครัว ให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงท�ำให้การเงินสะพัดและ สอดคล้องกับธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่ม ปัจจุบันมียอดผู้ฝาก ประมาณ ๒,๕๐๐ ราย จ�ำนวนเงินประมาณ ๑๘ ล้านบาท และมีการให้บริการสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต�่ำ เพื่อให้สมาชิก น�ำไปประกอบอาชีพทางการเกษตรตามโครงการแผนงาน กลุ่มปรับปรุงคุณภาพยางแผ่นและขายยาง บ้านตะโหมด จังหวัดพัทลุง ได้รับรางวัลดีเด่นระดับภาคและระดับประเทศ ๓ ครั้ง ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๓ ๒๕๓๐และ ๒๕๓๑ ๑๒๓
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๔ นายด�ำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ ๑๒๔
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายด�ำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ ส�ำเร็จการศึกษาระดับมัธยม ศึกษาปีที่ ๓ จากโรงเรียน สวนศรีวิทยา จังหวัดชุมพร ประกอบอาชีพท�ำสวนผลไม้ ที่ต�ำบลตะโก อ�ำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร จนได้มังคุดคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาด นายด�ำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ ได้น�ำเทคนิคต่างๆ ที่ประสบ ความส�ำเร็จไปแนะน�ำให้ความรู้แก่เกษตรกรโดยไม่ปิดบัง เป็นวิทยากรบรรยายจัดนิทรรศการ ตลอดจนใช้สวนเป็น ที่พบปะรวมกลุ่มของเกษตรกร เพื่อพัฒนาทางการเกษตร เป็นต้นแบบของการเกษตรแผนใหม่ ที่เรียกว่า “ธุรกิจเกษตร” ซึ่งนายด�ำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ เห็นว่าการท�ำอาชีพเกษตรอย่าง ที่เคยเป็นมาในอดีตเกษตรกรไม่สามารถอยู่ได้ เพราะฉะนั้น การจะท�ำให้เกษตรกรอยู่ได้ต้องท�ำในรูปของ “ธุรกิจเกษตร” คือ เกษตรกรไม่ได้มีหน้าที่เป็นผู้ผลิตเพียงอย่างเดียว แต่ เกษตรกรจะต้องเป็นนักการขาย และนักการตลาดด้วย ซึ่งสวนนายด�ำเป็นแบบอย่างของการเกษตรในรูปของ “ธุรกิจ เกษตร” ที่ประสบความส�ำเร็จ สวนดังกล่าวจึงเป็นสถานที่ ที่หน่วยงานต่างๆ เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา ตลอดจน ผู้ที่สนใจทั่วประเทศไปศึกษาดูงาน ใช้เป็นที่ฝึกอบรมฝึกงาน ของนักศึกษาจากหลายสถาบัน และจัดนิทรรศการอยู่เสมอ นายด�ำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ ยังมีผลงานในการประดิษฐ์ คิดค้นและพัฒนาเครื่องจักรกลทางการเกษตร เช่น เครื่อง เก็บเงาะ เครื่องคัดส้ม และได้พยายามแปรรูปผลิตผลทาง การเกษตร เช่น แปรรูปมังคุด กล้วย และส้ม ให้อยู่ในรูปของ ผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า จากผลงานดีเด่นดังกล่าว ท�ำให้นายด�ำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ ได้รับรางวัลและการประกาศ เกียรติคุณจากหลายองค์กร ทั้งระดับจังหวัดและระดับ ประเทศ เช่น รางวัลคนดีศรีชุมพร สาขาเกษตรกรรม เมื่อ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานโล่เกษตรกรดีเด่น แห่งชาติ สาขาอาชีพท�ำสวน ประจ�ำปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ นายด�ำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ ได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มาเป็นเวลามากกว่า ๓๐ ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าของ “สวนนายด�ำ” ซึ่งเป็นสวนผลไม้ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ของภาคใต้ ได้แก่ เงาะ มังคุด ทุเรียน และส้มโชกุน นายด�ำ ฉิ่งสุวรรณโรจน์ เป็นผู้รู้จักศึกษา คิดค้น ทดลองด้วยตนเอง จากหลักธรรมชาติ ท�ำให้ค้นพบวิธีการพัฒนาคุณภาพของ ไม้ผล โดยผลิตทุเรียนนอกฤดู (ทะวาย) ที่มีคุณภาพและ มีระยะเวลาในการออกผลสู่ท้องตลาดนานถึง ๖ เดือน ในรอบ ๑ ปี การผลิตส้มโชกุนได้เป็นเวลานานกว่า ๑๐ เดือน ใน ๑ ปี และเป็นส้มโชกุนปลอดสารพิษ ซึ่งรับรองโดย กรมวิชาการเกษตร และนับเป็นเกษตรกรรายแรกของไทย ที่สามารถผลิตน�้ำส้มโชกุนคั้น ๑๐๐% โดยผ่านการรับรอง จากคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข การค้นพบวิธีการท�ำให้เงาะติดผลบนหลังกิ่งได้ ซึ่งเป็น เงาะที่มีสีสวยงามกว่าเงาะที่ติดผลที่ปลายยอด และเก็บ เกี่ยวผลผลิตได้ง่าย ค้นพบการท�ำให้ผลเงาะคงความสดไว้ ได้นานหลังเก็บเกี่ยว การพัฒนาคุณภาพของมังคุดให้เป็นที่ ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยการรวมกลุ่ม เกษตรกรในการผลิตมังคุดผิวมัน ศึกษาวิธีการเก็บเกี่ยว ๑๒๕
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๕ นายบู นวลศรี ๑๒๖
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายบู นวลศรี อายุ ๖๗ ปี อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ ๖ หมู่ ๕ บ้านแหลมมะขาม ต�ำบลเขาไม้แก้ว อ�ำเภอ สิเกา จังหวัดตรัง ในด้าน การศึกษาได้ศึกษาอ่าน เขียนด้วยตนเอง อวนลาก อย่างได้ผลโดยมิต้องใช้ความรุนแรงและใช้ งบประมาณ เป็นผู้ริเริ่มงานหลายอย่างที่เกิดประโยชน์ ต่อชุมชนโดยเฉพาะคนยากจน ได้แก่ การริเริ่มเลี้ยงปลาเก๋า ในกระชัง โดยวิธีการพึ่งพาตนเอง เป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ ให้ชุมชนและสังคมอย่างกล้าหาญ อย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพล เป็นผลให้ชุมชนมีก�ำลังใจ เป็นผู้น�ำในการต่อสู้กับโรงงาน ที่ปล่อยน�้ำเสีย ท�ำให้ปลาในแม่น�้ำ รวมทั้งปลาที่เลี้ยง ในกระชังตายเป็นจ�ำนวนมาก ซึ่งนายบู นวลศรี สามารถ ประสานกับหลายฝ่ายผลักดันให้โรงงานรับผิดชอบ และต้อง เสียค่า “ทดแทน” ให้กับผู้เสียหายและชุมชน เป็นกรณีแรกของ จังหวัดตรัง และเป็นแบบอย่างที่หลายฝ่ายน�ำไปใช้จนบัดนี้ นอกเหนือจากงานด้านการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง แล้ว นายบู นวลศรี ยังเป็นผู้ด�ำเนินการปกป้องชุมชนให้พ้น จากยาเสพติด ในฐานะที่นายบู นวลศรี เคยเป็นโต๊ะอิหม่าม ได้ใช้ศาสนาเข้ามาช่วยชุมชนด้าน “ชุมชนบ�ำบัด” และรณรงค์ ป้องกันการใช้ยาเสพติด รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มผู้หญิง เพื่อการจัดการทรัพยากรและแปรรูปสัตว์น�้ำ ท�ำจักสาน ในหมู่บ้านด้วย ซึ่งท�ำให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ในด้านการศึกษา นายบู นวลศรี เป็นผู้ที่มีจิตใจ ส่งเสริมการศึกษา เรียนรู้ โดยให้ความอนุเคราะห์แก่นัก พัฒนา นักวิชาการ ผู้น�ำชุมชนจากที่อื่น นักศึกษาที่ท�ำ วิทยานิพนธ์ ข้าราชการกรมประมง กรมป่าไม้ รวมทั้งผู้สนใจ อื่นๆ ให้ได้มีโอกาสเรียนรู้ ศึกษาข้อมูลในด้านการจัดการ ทรัพยากชายฝั่ง เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ที่ดีแก่ผู้มาเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะระหว่างผู้น�ำ ชาวบ้านจากต่างถิ่น รวมทั้ง ชาวต่างประเทศ นับได้ว่า นายบู นวลศรี เป็นผู้เชื่อมโยง ความเข้าใจระหว่างท้องถิ่นกับภายนอก นายบู นวลศรี เป็นผู้น�ำชุมชน และเครือข่ายเพื่อ การจัดการทรัพยากรชายฝั่งและลุ่มน�้ำจังหวัดตรัง เป็น ผู้น�ำที่โดดเด่นในการคิดปลูกป่าชายเลนชุมชนแห่งแรกของ ประเทศไทย (ที่บ้านทุ่งทอง-บ้านแหลมไทร-บ้านแหลม มะขาม) เป็นผู้กระตุ้นเชื่อมโยงชุมชนให้ปฏิบัติงานอย่าง ต่อเนื่องและเป็นผู้ประสานงานกับทุกฝ่ายได้อย่างมี ประสิทธิภาพบนฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งผลจากการท�ำงาน ของนายบู นวลศรี ท�ำให้กระบวนการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง โดยประชาชนในจังหวัดตรังมีการตื่นตัวตลอดเวลา ท�ำให้ งานอนุรักษ์ได้ผลอย่างเด่นชัดกับทุกชุมชน รวมทั้งก่อให้ เกิดการยอมรับบทบาทสถานภาพของชุมชนต่อภาครัฐและ องค์กรภายนอกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นายบู นวลศรี ได้ท�ำงานร่วมกับสมาคมหยาดฝน ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ ในการปฏิบัติงานได้พัฒนา ความคิด และได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังในงานจัดการ ทรัพยากรชายฝั่ง จนท�ำให้เกิดรูปแบบที่เด่นชัด กล่าวได้ว่า นายบู นวลศรี เป็นผู้มีส่วนท�ำให้ชุมชนบ้านแหลมมะขาม ได้รับรางวัล “พระสิทธิธาดาทองค�ำ” นายบู นวลศรี เป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่อให้เลิกใช้อวนรุน ๑๒๗
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๖ นายประสิทธิ ชิณการณ์ ๑๒๘
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายประสิทธิ ชิณการณ์ อายุ ๗๙ ปี ส�ำเร็จการศึกษา ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า จ า ก โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย อาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๗๘ ถนนดีบุก ต�ำบลตลาดเหนือ อ�ำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้นายประสิทธิ ชิณการณ์ ยังเป็นนักประพันธ์เรื่อง สั้นที่มีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ในสวนอักษรประมวลสาส์น และได้เรียบเรียงเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานวัฒนธรรมให้ หน่วยงานต่างๆ ลงพิมพ์ในหนังสือปักษ์ใต้และหนังสืออื่นๆ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ เป็นต้นมา อาทิ ชีวิตไทยถิ่นภูเก็จ บทละครอิงประวัติศาสตร์ในโทรทัศน์เรื่องยอดนารีศรีถลาง ถลางแตก ประเพณีกินผัก ประเพณีพ้อต่อ อาถรรพณ์ พ่อท่านแช่ม เซี้ยมสันนิษฐาน เรื่องยี่เกร�ำมะนา ภูเก็ต ในทัศนะของชาวเกาหลี เป็นต้น นายประสิทธิ ชิณการณ์ นับเป็นทรัพยากรบุคคล ด้านวัฒนธรรมและเป็นนักวิชาการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ของชาวภูเก็ต จากผลงานที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับว่ามี ประโยชน์ต่อวงวิชาการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ท�ำให้นักเรียน นักศึกษา ระดับต่างๆ ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท รวมถึงนักวิชาการในท้องถิ่นและส่วนกลางมาสัมภาษณ์ และขอค�ำแนะน�ำอยู่เสมอ ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลดีเด่น ทางด้านวัฒนธรรมภาคใต้ ประจ�ำปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ สาขามนุษยศาสตร์ (จังหวัดภูเก็ต) จากส�ำนักงานคณะ กรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ นายประสิทธิ ชิณการณ์ เป็นผู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้อยู่ เนืองนิตย์ ได้ทุ่มเทชีวิตในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดภูเก็ตในทุกๆ ด้าน ท�ำให้มี ผลงานทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองเป็นจ�ำนวนมาก ซึ่งผลงาน ที่เกิดจากการประพันธ์ของนายประสิทธิ ชิณการณ์ เป็น ประโยชน์อย่างยิ่งต่องานด้านวัฒนธรรมและด้านการศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นผู้แปลจดหมายเหตุถลางของท่านผู้หญิงจัน ที่เขียนถึง พระยาราชกปิตัน (ฟรานซิส ไลท์) ให้เป็นภาษาปัจจุบัน ซึ่งผลงานชิ้นนี้นับเป็นหลักฐานชิ้นส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ ของจังหวัดภูเก็ตและของประเทศไทย ที่ใช้ในการสืบค้น ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจ ๑๒๙
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๗ นายสุภาพ ศรีทรัพย์ ๑๓๐
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายสุภาพ ศรีทรัพย์ อายุ ๔๕ ปี ส�ำเร็จการศึกษาครุศาสตร บัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา จากวิทยาลัยครูสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันด�ำรงต�ำแหน่งอาจารย์ ๒ ระดับ ๗ โรงเรียนปะทิววิทยา อ�ำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ให้กลับสู่สภาพที่ดีขึ้น และได้พยายามประสานงานกับองค์กร เอกชนผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณในการด�ำเนินการ จัดการด้านสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น จนได้รับงบประมาณ สนับสนุนบางส่วนมาจัดการอย่างเต็มก�ำลังที่มี นายสุภาพ ศรีทรัพย์ ได้ท�ำงานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาจนถึง ปัจจุบันเป็นเวลา ๘ ปีเต็ม จนเป็นที่เชื่อถือของชุมชนท้องถิ่น จังหวัด จนถึงระดับประเทศด้วยศักยภาพของนักอนุรักษ์ และผู้มีจิตส�ำนึกและความตระหนักในทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่จะให้อยู่คู่กับแผ่นดิน กิจกรรมหลักที่นายสุภาพ ศรีทรัพย์ ได้ด�ำเนินการ ในโรงเรียนและชุมชน คือ การให้ความรู้โดยการเป็นวิทยากร บรรยายให้กับชุมชนและนักเรียน เยาวชนในท้องถิ่น การจัด อบรมในโอกาสต่างๆ ที่จ�ำเป็นจนมีเครือข่ายและภาคีร่วม ท�ำงานเป็นทีมหลายเครือข่ายด้วยกัน จากชุมนุมเล็กๆ ก็ได้ขยายตัวขึ้นเป็นชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม อ�ำเภอปะทิว มีชุมชนทั้งในท้องถิ่นและต่าง ท้องถิ่นร่วมเป็นสมาชิก ผลงานที่ดีเด่นของนายสุภาพ ศรีทรัพย์ในด้านสิ่งแวดล้อมคือการเป็นผู้น�ำการก่อตั้ง “ชมรมและเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นจังหวัด ชุมพร” จนสามารถขยายผลต่อเนื่องครบทุกอ�ำเภอใน จังหวัดชุมพร สร้างกลุ่มเยาวชนในจังหวัดชุมพรให้เป็น นายสุภาพ ศรีทรัพย์ มีภูมิล�ำเนาเดิมอยู่ที่อ�ำเภอ ปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นผู้มีความรักในถิ่นบ้านเกิดของ ตัวเองซึ่งเป็นชนบท หลังจากเข้ารับราชการครู และได้ย้าย มาประจ�ำที่บ้านเกิดของตนเองได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ วาตภัยพายุไต้ฝุ่นเกย์ ท�ำให้สิ่งแวดล้อมได้รับความเสียหาย จนไม่เหลือร่องรอยเดิมเอาไว้เลย จึงได้มีแนวคิดว่าควรจะ ช่วยกันฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ให้กลับคืนมา แม้จะ ไม่เหมือนเดิมก็ตาม โดยในระยะแรกได้จัดตั้งชุมนุมอนุรักษ์ ทรัพยากรปะการังและสิ่งแวดล้อมขึ้นในโรงเรียนปะทิววิทยา มีสมาชิกชุมนุมครั้งแรก ๖ คน มีตารางลงส�ำรวจปะการัง ในทะเลบริเวณเกาะไข่ หมู่ที่ ๖ ต�ำบลชุมโค อ�ำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ซึ่งได้พบว่าทรัพยากรในท้องทะเลได้รับความ เสียหายอย่างหนัก หลังจากนั้นก็ได้ประสานงานกับชุมชน หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง องค์กรเอกชนเพื่อจัดการฟื้นฟู ๑๓๑
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท แกนน�ำการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในท้องถิ่น จนสามารถมีการรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายเยาวชน อนุรักษ์ทรัพยากรปะการังและสิ่งแวดล้อมอ�ำเภอปะทิว ที่สามารถสร้างผลงานการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจนเป็น ที่รู้จักในระดับประเทศ นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุน กลุ่มเยาวชน พร้อมกับสร้างเยาวชนเพื่อเป็นแกนน�ำและ เป็นคนดีในสังคม โดยน�ำเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับชุมชนในท้องถิ่น ภาคราชการ ภาคเอกชน เพื่อท�ำ ประโยชน์ให้กับสังคมโดยส่วนรวม เช่น จัดกิจกรรมการ อนุรักษ์ทรัพยากรปะการัง และเก็บขยะที่เกาะไข่ กิจกรรม อนุรักษ์ค่างแว่นถิ่นใต้เขาพลู อ�ำเภอปะทิว โดยร่วมกับ ชุมชนปลูกพืช ผลไม้ อันเป็นอาหารของสัตว์ต่างๆ บริเวณ เขาพลูเพื่อให้ค่างแว่นและสัตว์อื่นๆ ได้กินเป็นอาหารโดย ที่ไม่ต้องออกมากินอาหารจากนักท่องเที่ยว จัดกิจกรรมการ ปลูกป่าชายเลน เพื่อเพิ่มปริมาณพันธุ์ไม้ป่าชายเลนตามพื้นที่ ป่าชายเลนในจังหวัดชุมพรเนื่องในโอกาสต่างๆ กิจกรรมการ ปล่อยพันธุ์สัตว์น�้ำร่วมกับเจ้าหน้าที่ต�ำรวจทั้งภายในอ�ำเภอ ปะทิว และต�ำรวจทางหลวงจังหวัดชุมพรในการสกัดจับผู้ ลักลอบขนซากปะการังและปะการังที่ยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ ปีพุทธศักราช ๒๕๔๒ - ๒๕๔๗ ซึ่งทุกครั้งที่มีการจับกุมคนร้าย จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการตั้งข้อหา และก�ำหนดโทษให้กับ ผู้ลักลอบด้วยทุกครั้ง และส่วนของปะการังที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ได้ส่งไปอนุบาลยังสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น�้ำจนสามารถ ที่จะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไป นอกจากนี้ นายสุภาพ ศรีทรัพย์ เป็นที่ปรึกษาให้กับ นักเรียนในการส่งโครงการเข้าประกวดกับมูลนิธิช่วยชีวิต สัตว์ป่าในโครงการสัตว์รักษ์ภูเขา เรารักษ์สัตว์ จนชนะการ ประกวดเสนอกิจกรรมเข้าร่วมโครงการโรงเรียนสร้างสรรค์ สิ่งแวดล้อมดีเด่นเฉลิมพระเกียรติกับสมาคมสร้างสรรค์ ไทยผ่านเข้ารอบพร้อมกับได้รับทุนมาด�ำเนินกิจกรรมใน โครงการโรงเรียนชุมชน ร่วมเสริมค่าป่าพรุกระจูด น�ำเสนอ ผลงานวิจัยและเข้าร่วมประชุมทางวิชาการนานาชาติเกี่ยว กับภาคใต้ ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และเป็นตัวแทนของจังหวัดชุมพรเข้าประชุมอาสาสมัคร พิทักษ์สิ่งแวดล้อมประจ�ำปี เพื่อน�ำเสนอสถานการณ์ สิ่งแวดล้อมของจังหวัดชุมพร เป็นต้น ๑๓๒
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๘ นายนิยม บ�ำรุงเสนา ๑๓๓
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายนิยม บ�ำรุงเสนา ส�ำเ ร็ จ ก า ร ศึ ก ษ า ร ะ ดั บ ป ริ ญ ญ า ต รี จ า ก ม ห า วิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ปัจจุบันด�ำรง ต�ำแหน่งอาจารย์ ๒ ระดับ ๗ โรงเรียนศรียาภัย จังหวัด ชุมพร (โรงเรียน) กับองค์กรชุมชน ได้แก่ สมาพันธ์ศิลปินพื้นบ้าน จังหวัดชุมพร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีแนวทางการด�ำเนินงานคือ การเชิญนักปราชญ์ท้องถิ่น (โนรา-หนังตะลุง) ของจังหวัด ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และพัทลุง ร่วมกันถ่ายทอดวิชา โนรา-หนังตะลุง ให้กับเยาวชนและประชาชนผู้สนใจ โดยไม่ คิดค่าตอบแทน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ แบ่งการเรียนรู้ การสอนออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ การสอนนักเรียนในระบบ โดยจัดท�ำเป็นหลักสูตรท้องถิ่นตั้งแต่ ป.๕ - ม.๖ สอนใน ชั่วโมงเรียนและนอกเวลาเรียนตามอัธยาศัย การสอนให้ ประชาชนทั่วไปที่สนใจ วันธรรมดาตั้งแต่ ๑๖.๓๐ - ๒๒.๐๐ น. และวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น. และ จากการที่นายนิยม บ�ำรุงเสนา ได้น�ำวิชาโนรามาจัดการเรียน การสอนให้กับนักเรียนและบุคคลที่สนใจจัดท�ำโครงการ อนุรักษ์และฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่น ท�ำให้ได้รับการยกย่อง จากภาครัฐและภาคเอกชน กล่าวคือ ศูนย์การเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น โรงเรียนศรียาภัย จังหวัดชุมพร เป็นศูนย์ การเรียนรู้ต้นแบบของสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยส�ำนักงาน สภาการศึกษาได้น�ำหลักเกณฑ์ และผลการด�ำเนินการ ของศูนย์การเรียนรู้ไปเป็นแนวทางให้กับสถานศึกษาต่างๆ ท�ำให้ “โนราศรียาภัย” เป็นการแสดงพื้นเมืองของประตูภาคใต้ เป็นที่ยอมรับและรู้จักอย่างกว้างขวาง ได้ท�ำหน้าที่ต้อนรับ ผู้มาเยือน และยังได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนใน รายการต่างๆ จากการด�ำเนินโครงการดังกล่าวมาเป็นเวลา ไม่น้อยกว่า ๑๒ ปี ปรากฏว่าเด็กและเยาวชนที่เข้ามาฝึก เรียนโนราจะไม่มีปัญหายาเสพติด ปัญหาทะเลาะวิวาท ปัญหาชู้สาว ปัญหาเที่ยวเตร่ ปัญหาการเล่นเกม และปัญหา หนีเรียน นายนิยม บ�ำรุงเสนา มีภูมิล�ำเนาเดิมที่อ�ำเภอ เขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นแหล่งก�ำเนิด ของศิลปะพื้นบ้าน และศิลปินพื้นบ้านด้านโนรา-หนังตะลุง ในวัยเด็กเติบโตในครอบครัวที่มีเชื้อสายของโนราและหนัง ตะลุง โดยระยะแรก นายนิยม บ�ำรุงเสนา ได้ฝึกฝนการเล่น หนังตะลุงเป็นส่วนใหญ่และได้ผ่านพิธีครอบครูเพื่อสืบ เชื้อสายตามประเพณี และมีความช�ำนาญในการเล่นหนัง ตะลุง นายนิยม บ�ำรุงเสนา เป็นครูสอนศีลธรรมที่มีใจรัก และมีความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้ โดยเฉพาะโนรา-หนังตะลุง และมีความมุ่งมั่นในการฟื้นฟู โนรา-หนังตะลุงให้กลับคืนสู่ท้องถิ่นสู่เยาวชนรุ่นหลัง ซึ่งจะ เป็นก�ำลังส�ำคัญในการสืบทอดศิลปวัฒนธรรมของภาคใต้ ให้คงอยู่ต่อไป ผลงานที่ดีเด่นของนายนิยม บ�ำรุงเสนา ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น (โนรา-หนังตะลุง) เป็นแห่งแรกของภาคใต้ตอนบน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๗ จนถึง ปัจจุบัน สถานที่ตั้งอยู่ในโรงเรียนศรียาภัย จังหวัดชุมพร ศูนย์ดังกล่าวเป็นการบริหารจัดการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ๑๓๔
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๔๙ นางนิรมล เมธีสุวกุล ๑๓๕
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นางนิรมล เมธีสุวกุล ส�ำเร็จการศึกษานิเทศศาสตร บั ณ ฑิ ต ส า ข า ห นั ง สื อ พิ ม พ ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเป็นกรรมการและพิธีกร บริษัท ป่าใหญ่ครีเอชั่น จ�ำกัด ที่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต เรื่อง “บางใบไม้” เป็นชุมชนริมน�้ำที่สงบ เลี้ยงชีวิตด้วยสวนมะพร้าว สู่การแปรรูปจากกะลาสู่งาน หัตถกรรมฝีมือดีของชุมชน ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เรื่อง “ป่า มหาสมบัติ” เป็นป่าชุมชนที่ชาวบ้านช่วยกันดูแล ช่วงลูก เหรียงออกฝักออกผล จึงเป็นเทศกาลแห่งการเก็บเกี่ยว ที่เปรียบเหมือนได้รับของขวัญจากธรรมชาติ ถ่ายท�ำที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เรื่อง “เลลันตา” น�ำเสนอวิถีชีวิต ชาวเลที่เรียบง่าย ด้วยการหาอยู่หากินที่เป็นมิตรและพอเพียง ที่เกาะลันตา จ.กระบี่ เรื่อง “ขุมทรัพย์ใต้ทราย” เป็นเรื่อง ของการช่วยกันดูแล อนุรักษ์อย่างจริงจังของชาวบ้าน เพื่อ ความสมบูรณ์ของป่าชายเลน และเป็นที่มาของหอยกัน จ�ำนวนมหาศาล ที่ อ.กันตัง จ.ตรัง เรื่อง “ป่าข้างโรงเรียน” ซึ่งเป็นป่าชุมชนของโรงเรียน ชุมชนประชานิคม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร กลายเป็นห้องเรียนแห่งความรู้ของเด็กๆ เรื่อง “แลลึกเกาะยอ” น�ำเสนอเรื่องราวของชุมชนชาวเกาะยอ กับสวนโบราณ ที่ จ.สงขลา เรื่อง “ลูกทุ่งหลังควน” เป็นเรื่อง ของตัวแทนของเด็กๆ จากจังหวัดต่างๆ ในภาคใต้ มาเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาเขาขุนพนม นางนิรมล เมธีสุวกุล เป็นสื่อมวลชนที่มีผลงาน เกี่ยวกับภาคใต้ ทั้งด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และเยาวชนในภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานการผลิต รายการทุ่งแสงตะวัน ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของภาคใต้ มาตั้งแต่ ปี ๒๕๓๕-๒๕๔๙ ประมาณ ๑๐๐ เรื่อง อาทิ เรื่อง “พะยูน เพื่อนรัก” น�ำเสนอการช่วยกันอนุรักษ์และดูแลทะเลหน้าบ้าน ของคนหาดเจ้าไหม ท�ำให้พะยูนน้อยเข้ามาปรากฏตัว ซึ่งเป็น การยืนยันความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเล ที่ อ.กันตัง จ.ตรัง เรื่อง “ลูกชาวเล” สะท้อนวิถีของชาวเลที่ด�ำรงชีวิต อย่างพอเพียง ท่ามกลางการรุกคืบของนายทุนเพื่อไล่ที่ ๑๓๖
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท จ.นครศรีธรรมราช เรื่อง “เหนียวหลามรายอ” เป็นเรื่องของ อาหารกับวัฒนธรรมของคนมุสลิม ที่ จ.ยะลา เรื่อง “น�้ำกับนา” เป็นการบรรยายให้เห็นวิธีการจัดการน�้ำของชาวนา จ.พัทลุง เรื่อง “เพื่อนของผม” เป็นความสัมพันธ์ของเด็กกับควาย สัตว์เลี้ยงที่ก�ำลังหายไปในสังคมชาวนา ที่ อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล เป็นต้น จากผลงานดังกล่าว นับได้ว่า นางนิรมล เมธีสุวกุล เป็นผู้ที่มีบทบาทส�ำคัญในการช่วยผลักดันให้ชุมชนเห็น ความส�ำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งช่วย ผลักดันให้เป็นประเด็นส�ำคัญระดับชาติ เช่น ประเด็น การอนุรักษ์หญ้าทะเลและพะยูน การอนุรักษ์แหล่งหอย ของชุมชน การอนุรักษ์เต่าทะเล การอนุรักษ์ป่าสาคู ป่า สันทราย และป่าพรุ เป็นต้น นอกจากนี้ ผลงานของนางนิรมล เมธีสุวกุล ได้เกิดประโยชน์อย่างชัดเจนต่อสังคม ทั้งในด้าน กระบวนการสร้างตัวตนของชุมชน สร้างคนทุกวัยให้ เติบโตทางความคิด ทั้งโรงเรียน นักเรียนประถมและมัธยม ชาวบ้าน ครู ภูมิปัญญาท้องถิ่น และองค์กรชุมชนต่างๆ เช่นในพื้นที่ชุ่มน�้ำจืด อ.นาโยง จ.ตรัง ได้ใช้ระบบนิเวศป่าสาคู เป็นธงน�ำในการสร้างความรู้ความเข้าใจกับชุมชนให้รักษา พื้นที่ชุ่มน�้ำจืดโดยการอนุรักษ์ฟื้นฟูจัดการและใช้ประโยชน์ ระบบนิเวศป่าสาคูอย่างยั่งยืน สร้างสันติภาพในใจคนทั่ว ถิ่นไทย ผสานความรักความผูกพันระหว่างพี่น้องไทย มุสลิมกับคนไทยทั่วประเทศ ให้เกิดความเข้าใจวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่แตกต่าง รู้เขารู้เราและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เอื้อเฟื้อ แบ่งปันความรักความผูกพันซึ่งกันและกัน ตลอดจน ช่วยผลักดันแผนงานชุมชนสู่นโยบายสาธารณะ ซึ่งเป็นการ ลดความขัดแย้งของนโยบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดมาและ เป็นนโยบายที่ชาวบ้านร่วมสร้างขึ้นเอง ตลอดระยะเวลา ๑๐ กว่าปี ในฐานะพิธีกรและผู้ดูแล รายการทุ่งแสงตะวัน นางนิรมล เมธีสุวกุล มุ่งมั่น ตั้งใจ และ พิถีพิถันในการน�ำเสนอเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ ทั้งส�ำหรับ ผู้ชม และเป็นความภาคภูมิใจส�ำหรับเด็กและองค์กร ชาวบ้านที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดกิจกรรมพิเศษชวนครอบครัว คนเมืองลงพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีและวัฒนธรรม อย่างใกล้ชิด ก่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจระหว่างกัน ๑๓๗
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๕๐ นายจ�ำนงค์ ประวิทย์ ๑๓๘
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายจ�ำนงค์ ประวิทย์ ส�ำเร็จการศึกษาชั้นประถม ศึกษาปีที่ ๔ ปัจจุบันอาศัย อยู่บ้านเลขที่ ๒๓ หมู่ที่ ๒ ต . บ ้ า น ย า ง อ . คี รี รั ฐ นิ ค ม จ.สุราษฎร์ธานี ยังคงยึดอุดมการณ์ที่เริ่มต้นมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ ซึ่ง เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๖ คณะรัฐมนตรี ได้ประกาศให้ลุ่มน�้ำคลองยัน เป็น ๑ ใน ๓ ของลุ่มน�้ำตัวอย่าง ที่สมบูรณ์ด้านระบบนิเวศของประเทศไทย ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ ได้จัดตั้งกลุ่มเกษตร เพื่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนบ้านปากหาร หมู่ที่ ๒ ต.บ้านยาง อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี แทนชุมชนอาสาพัฒนาชนบท เพื่อแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของชุมชน สร้างรายได้พร้อมกับ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีควบคู่กันไปตลอดจนครอบคลุมทุกบริบทของ วิถีชีวิต ส�ำหรับกิจกรรมที่ด�ำเนินการอยู่ในปัจจุบันภายใต้ การบริหารงานของกลุ่มเกษตรเพื่อชุมชน ได้แก่ กิจกรรม ส่งเสริมการท�ำการเกษตรแบบฝั่งพื้นเพื่อความมั่นคง ทางด้านอาหารไม่ใช้สารเคมี กิจกรรมกองทุนธนาคาร หมู่บ้านเกษตรเพื่อสิ่งแวดล้อม ลดการพึ่งพาแหล่งทุนจาก ภายนอก การจัดตั้งร้านค้าชุมชนปากหาร เพื่อสาธิตและ ส่งเสริมให้สมาชิกได้เรียนรู้ระบบบัญชีและการจัดการ นายจ�ำนงค์ ประวิทย์ เป็นผู้มีผลงานด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ โดยได้จัดตั้งชุมชนอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติ ลุ่มน�้ำคลองยัน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ เพื่อคัดค้านการสร้างเขื่อนแก่งกรุง เนื่องจากการ สร้างเขื่อนแก่งกรุงจะท�ำลายป่าต้นน�้ำและท�ำให้คุณภาพน�้ำ ในลุ่มน�้ำคลองยันเสื่อมโทรมลง โดยน�ำกรณีตัวอย่างการ สร้างเขื่อนรัชชประภามาเป็นประสบการณ์ ได้รณรงค์ ปลูกจิตส�ำนึกเรื่องอนุรักษ์โดยยึดหลักว่าการจะท�ำการใด ต้องปั้นหัวใจด้วยสัมมาทิฐิ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๕๓๖ ได้จัดตั้งชุมชนอาสาพัฒนาชุมชนแทนชุมชนอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ โดย ๑๓๙
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ตลาดร่วมกันลงทุน ให้ซื้อสินค้าในราคาที่เป็นธรรม ก�ำไร แบ่งปันตามกฎระเบียบข้อบังคับ การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ โดยจัดสรรเปอร์เซ็นต์ที่มีรายได้จากกิจกรรมอื่น และมี กิจกรรมที่ส�ำคัญในการดูแลและรักษาลุ่มน�้ำคลองดิน คือ การจัดตั้งเขตอภัยทานสัตว์น�้ำวังกระท้อนในล�ำน�้ำคลองยัน เพื่อฟื้นฟูพันธุ์สัตว์น�้ำที่ใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว ให้กลับคืนมาเพื่อ การศึกษาและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านอาหารสัตว์น�้ำในอนาคต และชาวบ้านที่อยู่นอกเขตอภัยทานสามารถเข้าจับปลาได้ เพิ่มมากขึ้น จึงท�ำให้ชุมชนในเขตพื้นที่ลุ่มน�้ำคลองยันได้รับ การยอมรับ มีการขยายพื้นที่และจ�ำนวนวังปลาเพิ่มขึ้นใน จ�ำนวน ๕ ต�ำบล ๒๐ หมู่บ้าน ที่ติดกับคลองยันของอ�ำเภอ คีรีรัฐนิคม และกิ่งอ�ำเภอวิภาวดี จ�ำนวน ๑๒ วัง ประกอบด้วย วังเชี่ยวกรุง วังตะเพียนทอง วังบางไต วังอรัญญาราม วังพัง กาญจน์ วังครก วังสะพานหวายหนิม วังเมร วังกระท้อน วัง นาแก้ว วังสะพาน วังปากยัน นอกจากนี้ชุมชนอื่นๆ ทั้งใน จังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาศึกษาเรียนรู้ นายจ�ำนงค์ ประวิทย์ ได้เห็นคุณค่าของเยาวชน ซึ่งจะ เป็นผู้ที่สืบทอดและประสานภารกิจต่างๆ ดังกล่าวให้ต่อเนื่อง และยั่งยืนต่อไป จึงมีการจัดตั้งสภาพัฒนาเด็กและเยาวชน ขึ้น เพื่อให้เยาวชนเป็นกลุ่มบุคคลที่ส�ำคัญในการวางรากฐาน และสร้างจิตส�ำนึกในการรักษ์คลองยันและเป็นกลไกในการ วางรากฐานและสร้างจิตส�ำนึกในการรักษ์คลอง และเป็น กลไกขับเคลื่อนในระยะยาว โดยมีกลุ่มเยาวชนในเขตพื้นที่ ลุ่มน�้ำคลองยันจากหลายๆ โรงเรียนและกลุ่มเยาวชนนอก โรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรม จากความส�ำเร็จในการจัดตั้งสภา พัฒนาเด็กและเยาวชน ท�ำให้เด็กและเยาวชนจากโรงเรียน ต่างๆ ในเขตพื้นที่ลุ่มน�้ำคลองยันเข้าเป็นเครือข่ายและ แนวร่วมในการด�ำเนินกิจกรรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ลุ่มน�้ำคลองยัน และมีกิจกรรมส�ำคัญ อาทิ จัดปล่อยพันธุ์ สัตว์น�้ำในคลองยัน จัดปลูกต้นไม้ชายฝั่งลุ่มน�้ำคลองยัน ส�ำรวจคุณภาพน�้ำ บวชป่า ท�ำบุญสืบชะตาแม่น�้ำ จัดกิจกรรม ท่องเที่ยวเพื่อการศึกษาและอนุรักษ์ และจัดกิจกรรมการ ฝึกอบรม ศึกษาดูงาน เกี่ยวกับการด�ำเนินชีวิตแบบวิถี เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชด�ำริ เป็นต้น ๑๔๐
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๕๑ นายพงศา ชูแนม ๑๔๑
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายพงศา ชูแนม เป็น ช า ว จั ง ห วั ด สุ ร า ษ ฎ ร ์ ธ า นี ส�ำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน ป่าไม้ จังหวัดแพร่ รุ่นที่ ๒๗ จบปริญญาตรีที่สถาบันราชภัฏ สุราษฎร์ธานี สาขาพัฒนาชุมชน ปัจจุบันรับราชการต�ำแหน่ง เจ้าพนักงานป่าไม้ ๕ เป็นหัวหน้า ของหมู่บ้านด้วยความเต็มใจ และเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น กับชีวิตของพวกเขาเอง โครงการน�ำไปสู่การจัดการทรัพยากร และเศรษฐกิจชุมชน เกิดกิจกรรมแยกย่อยออกมาอีก มากมาย เช่น โครงการประปาภูเขา กลุ่มออมทรัพย์ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ นายพงศา ชูแนม ใช้เวลาต่อเนื่อง ๑๘ ปี ในการจัดการ สิ่งแวดล้อมตามความเชื่อความศรัทธาต่อแนวพระราชด�ำริ ให้คนอยู่กับป่า เริ่มลงมือพิสูจน์แนวคิด เรื่องการป้องกัน รักษาป่า ด้วยแนวทางการประชาสัมพันธ์ และให้ประชาชน มีส่วนร่วมอย่างจริงจัง จึงเกิดโครงการใหม่ตามมาคือ โครงการสร้างส�ำนักงานหน่วยย่อยในป่า โดยที่ไม่ต้องใช้งบ ประมาณรัฐ สามารถสร้างส�ำนักงานหน่วยย่อยในป่าได้ถึง ๓ แห่ง คือ ที่คลองเรือ เหวโหลม และคลองแย โดยได้ร่วมกับ ชุมชนและแกนน�ำชุมชนส�ำรวจพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะต่อ การท่องเที่ยว และล่อแหลมต่อการบุกรุกเพื่อสร้างหน่วย ย่อย ครอบคลุมทั่วทั้งอ�ำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร เพื่อให้ เป็นที่พักของเจ้าหน้าที่ เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นการ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับชุมชน และริเริ่ม โครงการท่องเที่ยวโดยการส�ำรวจ และส่งเสริมสาธิต การล่องแพเพื่อการท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก (ต่อมากลาย เป็นประเพณีของอ�ำเภอพะโต๊ะ) จังหวัดชุมพร นอกจากนี้ นายพงศา ชูแนม ได้จัดท�ำโครงการ ธนาคารต้นไม้ เป็นจุดแสดงเกี่ยวกับองค์กรธนาคารต้นไม้ คือองค์กรภาคประชาชนที่สนับสนุนให้ประชาชนปลูก ต้นไม้ในที่ดินของตนเองแล้วแปรต้นไม้ให้มีมูลค่าเป็น ทรัพย์เพื่อน�ำทรัพย์ดังกล่าวไปใช้กับรัฐ เช่น การปลดเปลื้อง หนี้สิน ใช้ประกันตัวผู้ต้องหา ใช้เป็นหลักทรัพย์กับรัฐ ฯลฯ ในขณะเดียวกันได้ผลักดันให้ธนาคารต้นไม้เป็นวาระ แห่งชาติ โดยจัดเวทีปลูกต้นไม้ในใจคนได้เครือข่าย ๑๒ เครือข่าย และขยายไป ๓๓ จังหวัด ซึ่งจะท�ำให้คนไม่บุกรุกป่า ๑๔๒ หน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน�้ำพะโต๊ะ ส่วนจัดการทรัพยากร ต้นน�้ำ ส�ำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน�้ำ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปาและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม นายพงศา ชูแนม มีแนวคิดในการท�ำงานว่า “ป่าไม่ สามารถอยู่รอดได้ ด้วยการรักษาป่า ท�ำลายคน แต่ป่าจะ อยู่รอด ด้วยการสร้างคนให้มีความเข้าใจ และเกิดจิตส�ำนึก รักป่าเท่านั้น” เมื่อได้รับต�ำแหน่งหัวหน้าหน่วยจัดการต้นน�้ำ พะโต๊ะ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ นายพงศา ชูแนม จึงได้ พิสูจน์สิ่งที่ตัวเองเชื่อ ด้วยการลงไปท�ำงานกับชาวบ้าน ซึ่ง ขณะนั้นมีปัญหาเรื่องการบุกรุกพื้นที่ป่าท�ำสวนกาแฟ และ ผลไม้ ได้สร้างความเข้าใจไปพร้อมๆ กับการสร้างอาชีพให้ ชาวบ้าน และพบว่า สาเหตุของการบุกรุกท�ำลายป่าของ ชาวบ้าน เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ ภาระหนี้สินที่เกิดกับ นายทุนในพื้นที่ ดังนั้นการแก้ปัญหาการจัดการทรัพยากร และการแย่งชิงทรัพยากรไม่อาจสัมฤทธิผลหากไม่ได้แก้ที่ ปัญหาเศรษฐกิจของชาวบ้านซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา นายพงศา ชูแนม ได้ท�ำงานร่วมกับชุมชน และได้ จัดตั้งองค์กรชาวบ้านขึ้นในรูปของคณะกรรมการโครงการ “คนอยู่ ป่ายัง” ใช้กิจกรรมเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ ระหว่าง คนอยู่ป่ากับรัฐ โครงการ “คนอยู่ ป่ายัง” จึงเป็นโครงการที่ ชาวบ้านร่วมกันก�ำหนดกฎกติกาชุมชน เป็นเหมือนธรรมนูญ ่
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๕๒ นายสะมะแอ เจะมูดอ ๑๔๓
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายสะมะแอ เจะมูดอ เป็นชาวอ�ำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานีโดยก�ำเนิด ครอบครัวประกอบอาชีพ ประมง โดยประกอบอาชีพ ขับรถรับจ้างควบคู่ไปกับ การท�ำประมงพื้นบ้านและ เป็นกรรมการสุขาภิบาล กลุ่มของประชาชนเพื่อรักษาสิทธิของตนเอง จึงมีแนวคิด ร่วมกันว่า ควรจัดตั้งชมรมประมงพื้นบ้านในระดับจังหวัด ของจังหวัดปัตตานี เพราะขณะนั้นมีชมรมประมงพื้นบ้าน ในจังหวัดตรัง กระบี่ สุราษฎร์ธานี สตูล ได้จัดตั้งขึ้นแล้ว จึงควรมีการรวมตัวจัดตั้งเป็นสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้าน ภาคใต้ ท�ำงานในเชิงนโยบาย เพื่อพิทักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง ปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ ชาวประมงพื้นบ้านและ นาย สะมะแอ เจะมูดอ ได้เดินทางไปร่วมเรียกร้องร่วมกับสมัชชา คนจนที่หน้าท�ำเนียบรัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลได้จัดสรรงบ ประมาณให้กรมประมงมาจัดท�ำโครงการน�ำร่องในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี เปลี่ยนเครื่องมืออวนรุนที่ไม่กระทบต่อ สิ่งแวดล้อม และให้มีเรือตรวจการชายฝั่ง ๓ ล�ำ โดยให้ ประชาชนเป็นผู้ดูแลจัดการ จากผลการด�ำเนินโครงการ นายสะมะแอ เจะมูดอ พบว่าในพื้นที่อ่าวปัตตานี มีการ แก้ไขปัญหาได้ผล แต่ชาวบ้านบางคนที่มีเรืออวนรุนก็ไป ท�ำประมงที่จังหวัดอื่น เช่น จังหวัดสงขลาและนราธิวาส ท�ำให้กระทบกับพี่น้องชาวประมงในจังหวัดอื่นๆ จึงเกิด แนวคิดให้ต้องขยายพื้นที่ ตั้งแต่นั้นมา นายสะมะแอ เจะมูดอ ได้ท�ำงานผลักดันในเชิงนโยบาย เข้ามาร่วมเป็น คณะกรรมการหลายหน่วยงาน อาทิ คณะกรรมการพัฒนา กฎหมายของกรมประมง ที่ปรึกษากรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง อนุกรรมาธิการประมงและปศุสัตว์ เป็นต้น ผล การเรียกร้องผลักดันในปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ ท�ำให้เกิด กฎหมายขยายเขตชายฝั่งจาก ๓,๐๐๐ เมตร เป็น ๓ ไมล์ ทะเลเพื่อให้เขตชายฝั่งเป็นเขตเพาะฟักอนุบาลสัตว์น�้ำ นายสะมะแอ เจะมูดอ ได้มีแนวคิดในการท�ำงานว่า ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน ถ้าคิดจะท�ำงานแล้วก็ต้อง ท�ำเต็มความสามารถ ไม่มีใครเห็นไม่เป็นไร แต่องค์อัลเลาะห์ (พระผู้เป็นเจ้า) ท่านทรงเห็นเราตลอดเวลา อ�ำเภอปะนาเระ ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ ปัจจุบันเป็น เลขาธิการสมาพันธ์ประมงพื้นบ้านภาคใต้ นายสะมะแอ เจะมูดอ เริ่มต้นการท�ำงานเพื่อชุมชน เนื่องจากปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ เกิดปัญหาการท�ำประมงของ ชาวบ้านได้รับผลกระทบจากเรือคราดหอยลาย ที่ท�ำให้คนใน ชุมชนที่มีอาชีพประมงพื้นบ้านประสบปัญหาในการประกอบ อาชีพ เพราะแต่เดิมทรัพยากรทางทะเลในพื้นที่ปะนาเระ ยังอุดมสมบูรณ์ ประกอบกับการประมงแบบพื้นบ้านไม่ก่อ ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม จึงท�ำให้ความอุดมสมบูรณ์ ของท้องทะเลยังคงอยู่ กระทั่งได้มีเรือคราดหอยลายเข้ามา ในพื้นที่อ่าวปัตตานี ท�ำให้ชาวบ้านพบว่าหาปลาได้ยากขึ้น และเห็นผลกระทบที่ตามมาหลายประการ เช่น อุปกรณ์ ประมงของชาวบ้านเสียหาย มีสัตว์น�้ำตายเป็นจ�ำนวนมาก ปะการังถูกท�ำลาย ส่งผลให้ความอุดมสมบูรณ์ของทะเลลด ลง และชาวประมงต้องออกไปหาปลาไกลมากขึ้นกว่าเดิม นายสะมะแอ เจะมูดอ ในฐานะที่เป็นกรรมการ สุขาภิบาลของอ�ำเภอและเป็นชาวประมงด้วย จึงถูกเรียก ร้องจากเพื่อนบ้านให้เป็นตัวแทนเพื่อไปประสานงานกับทาง ราชการ แต่ก็พบว่ามีปัญหาบางอย่างภายในหน่วยงาน ซึ่ง เกี่ยวข้องผลประโยชน์กับหลายฝ่าย หลังจากเหตุการณ์ใน ครั้งนั้นท�ำให้ นายสะมะแอ เจะมูดอ เห็นถึงพลังของการรวม ๑๔๔
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๕๓ นายจาง ฟุ้งเฟื่อง ๑๔๕
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายจาง ฟุ้งเฟื่อง ส�ำเร็จการ ศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ ๔ ประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง ปัจจุบันเป็นประธานกลุ่มฟื้นฟู ทรัพยากรปูม้า (ธนาคารปู) บ้าน เกาะเตียบ ต�ำบลปากคลอง อ�ำเภอ ปะทิว จังหวัดชุมพร แต่มันเกิดขึ้นจริง จึงให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์พันธุ์ปูม้า มากขึ้น และได้ก�ำหนดกฎกติกาของการหาประโยชน์ร่วมกัน จากทรัพยากรธรรมชาติที่อ่าวทุ่งมหา คือ ลอบที่ใช้จับปูต้อง มีช่องที่ขนาดกว้างกว่า ๒ นิ้วขึ้นไป เรือแต่ละล�ำจะต้องน�ำ ลอบไปจับปูไม่เกิน ๓๐๐ อัน ในแต่ละวัน และทุกคนต้อง น�ำแม่ปูไข่ที่จับได้มาฝากธนาคารปูทุกวัน ปัจจุบันนี้การ ด�ำเนินงานของธนาคารปูเป็นระบบมากขึ้น ปูในธนาคารที่ น�ำไปขายได้เงินมาก็เข้ากองทุนของธนาคาร มาแปรเป็น ดอกเบี้ยปันผลกลับไปยังสมาชิกทุกคน ขึ้นอยู่กับจ�ำนวน แม่ปูไข่ที่น�ำมาฝาก นอกจากนั้นยังตั้งเป็นกองทุนเพื่อการ กู้ยืมตามความจ�ำเป็นของสมาชิกอีกด้วย และเมื่อผลที่ ปรากฏออกมามีความชัดเจนมาก ดังนั้นธนาคารปูจึงเริ่มมี สมาชิกมากขึ้น ชาวประมงของอ่าวทุ่งมหามีการออมเพื่อ อนาคตกันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ส�ำคัญ ที่สุดของธนาคารปู คือเพื่อการอนุรักษ์ปูม้าไว้ให้อนุชน รุ่นลูกรุ่นหลานจับขายเป็นอาชีพอย่างยืนยาวและยั่งยืน ในวันนี้ชุมชนบ้านเกาะเตียบไม่ได้เป็นเพียงชุมชน เล็กๆ ริมทะเลอ่าวไทยอีกต่อไป เพราะจากแนวคิดการท�ำ ธนาคารปูม้านี้ได้แพร่กระจายไปสู่หลายพื้นที่ ทั้งฝั่งอ่าว ไทยและทะเลอันดามัน ท�ำให้ชุมชนบ้านเกาะเตียบกลาย เป็นชุมชนต้นแบบการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ทางทะเล และชายฝั่ง มีผู้เข้ามาศึกษาดูงานเป็นจ�ำนวนมาก จนสามารถขยายผลไปได้ทุกพื้นที่ และให้การยอมรับแนวคิด ธนาคารปูม้าและน�ำไปประยุกต์ใช้กับพื้นที่ตนเองจนประสบ ความส�ำเร็จ นอกจากการจัดตั้งธนาคารปูแล้ว ยังมีการ ส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์น�้ำอื่นๆ ด้วย เพื่อคืนความสมดุล ให้กับท้องทะเลและคืนความสุขให้กับชาวประมงในการ ด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน ปัจจุบันแนวคิดนี้ได้รับการเผยแพร่ ไปไกลถึงต่างประเทศ นายจาง ฟุ้งเฟื่องยังได้รับเชิญไป แลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์ในการท�ำธนาคาร ปูม้า ณ ประเทศญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย สมกับค�ำกล่าวที่ว่า “ถ้าอยากรู้เรื่องปู ต้องมาดูลุงจาง” นายจาง ฟุ้งเฟื่อง ได้ริเริ่มก่อตั้ง “ธนาคารปู” ขึ้นเมื่อ ปีพุทธศักราช ๒๕๔๕ ณ หมู่ที่ ๗ บ้านเกาะเตียบ ต�ำบล ปากคลอง อ�ำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร โดย นายจาง ฟุ้งเฟื่อง เป็นประธานกลุ่มฟื้นฟูทรัพยากรปูม้าชุมชนเกาะเตียบ เป็นผู้น�ำในการชักชวนให้ชาวชุมชนเกาะเตียบท�ำธนาคาร ปูเพื่อความต้องการให้ชุมชนและกลุ่มประมงชายฝั่งเห็น ความส�ำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งและป่าชายเลน อ่าวทุ่งมหาเพื่อให้เป็นแหล่งท�ำมาหากิน ซึ่งในช่วงแรก ความคิดของนายจาง ฟุ้งเฟื่อง ไม่ได้รับความสนใจจาก ชาวประมงในชุมชน บางกลุ่มยังมองว่าโครงการที่ท�ำนั้น ไม่น่าจะได้ผล แต่นายจาง ฟุ้งเฟื่อง ไม่ย่อท้อที่จะท�ำตาม ความคิดของตน ซึ่งในระยะแรกเริ่มโครงการมีสมาชิกเพียง ๔ รายเท่านั้นที่ให้ความร่วมมือ โครงการธนาคารปูที่บ้านเกาะเตียบ มีวิธีการ ด�ำเนินงานเริ่มจาก นายจาง ฟุ้งเฟื่อง จะรับซื้อแม่ปูที่มีไข่ ในราคาตัวละ ๔ บาท แล้วน�ำไปปล่อยไว้ที่ธนาคารปู ซึ่งอยู่ กลางทะเลห่างไกลจากฝั่ง ๓ กิโลเมตร เป็นประจ�ำทุกๆ วัน เพื่อให้แม่พันธ์ุนั้นวางไข่ จากนั้นน�ำแม่ปูที่วางไข่แล้วไป ขายต่อ เงินที่ได้จากการขายแม่ปูมาเก็บไว้ในบัญชีของกลุ่ม เพื่อเก็บไว้เป็นทุนในการช่วยเหลือสมาชิกของกลุ่ม โครงการ ของนายจาง ฟุ้งเฟื่อง เริ่มเห็นผลท�ำให้ชาวประมงสามารถ จับปูได้มากขึ้น โดยเฉพาะได้พบลูกของปูที่เคยปล่อยแม่ พันธุ์ไปก่อนหน้านี้ ติดเครื่องมือจับปูขึ้นมา ชาวประมงจึง เห็นว่าโครงการของนายจาง ฟุ้งเฟื่อง ไม่ได้เป็นแค่ความฝัน ๑๔๖
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท ผู้ได้รับรางวัลอนุสรณ์สงขลานครินทร์ ประจ�ำปี ๒๕๕๔ นายดือราแม ดาราแม ๑๔๗
ม.อ.บนเส้นทาง ตามรอยพระบาท นายดือราแม ดาราแม อายุ ๖๙ ปี เป็นผู้ท�ำเกษตร กรรมธรรมชาติ ได้จัดตั้งศูนย์ เรียนรู้สวนดูซง ตั้งอยู่ที่ ๑๗ หมู่ ๕ หมู่บ้านปะลุกาสาเมาะ อ�ำเ ภ อ บ า เ จ า ะ จั ง ห วั ด นราธิวาส “สวนดูซง” บนเนื้อที่ เพียง ๓ ไร่ ใกล้เทือกเขาบูโด หลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ที่เชื่อมั่นถึงการอยู่ร่วม กับอย่างสันติสุขของสรรพสิ่ง โดยกระบวนการการจัดการ กันเองของธรรมชาติ ได้ลองผิดลองถูกปลูกพืชต่างๆ เสริม ในสวนยางพาราจนกลายเป็นเกษตรกรรมผสมผสาน หรือ สวนสมรม จากข้อสังเกตที่ว่าต้นยางเองก็ต้องการธาตุอาหาร อื่นๆ เหมือนกันจึงจะเจริญเติบโตได้ดี และให้น�้ำยางใน ปริมาณมาก และได้พบว่าต้นไม้แต่ละชนิดมีความต้องการ แสงแดด น�้ำ อาหาร และอาศัยอยู่ในสภาพพื้นที่ต่างกัน การ เลือกพืชที่จะมาปลูกร่วมกับต้นยางพารา จึงต้องเลือกพืชที่มี ลักษณะคล้ายคลึงกับพืชธรรมชาติที่เติบโตได้ในบริเวณนั้น การเรียนรู้ธรรมชาติจึงต้องเป็นเรื่องของการเข้าใจ ปฏิบัติ และเอาใจใส่ดูแล ให้เป็นระบบนิเวศที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน และประโยชน์สูงสุดจะได้กับเกษตรกร นอกจากนี้ นายดือราแม ดาราแม ยังได้รับการแต่งตั้ง เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและ ที่ดินท�ำกินจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นหนึ่งในคณะผู้แต่งตั้ง เครือข่ายการแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยเทือกเขาบูโด เป็นตัวเชื่อม ลดความขัดแย้ง สร้างความสมานฉันท์ระหว่าง ภาครัฐกับชาวบ้าน ท�ำให้ภาครัฐท�ำงานได้ง่ายขึ้น ถ่ายทอด ความรู้ สร้างความเข้าใจให้ชาวบ้านเคารพกฎหมายในการหา ทางออกเรื่องที่ดินท�ำกินตามกระบวนการยุติธรรม มีการน�ำ ระบบ GIS มาใช้ในการท�ำแผนที่ที่ดินท�ำกินของชาวบ้าน เปรียบเทียบกับข้อมูลของภาครัฐเป็นแห่งแรก ท�ำให้ข้อมูล เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งท�ำให้วิธีการหาทางออกเรื่องที่ดิน ท�ำกินเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ ที่เรียก ร้องความยุติธรรมโดยการใช้ความรุนแรงและประชาชนเกิด กระบวนการเรียนรู้และเกิดเครือข่ายภาคประชาชนในการ หวงแหนในสิทธิของตนเองและชุมชนรอบพื้นที่เทือกเขาบูโด -สุไหงปาดี นอกจากจะเป็นพื้นที่ส�ำหรับปลูกยางพาราพันธุ์ดี ซึ่งเป็นอาชีพหลักหล่อเลี้ยงครอบครัวแล้ว แทบทุกตาราง นิ้วของสวนแห่งนี้ยังอุดมไปด้วยพืชผักป่าธรรมชาติ และไม้ ผลนานาชนิด สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตเหล่านั้นไว้บริโภค และจ�ำหน่ายได้ตลอดทั้งปี และสร้างความสมดุลในระบบ นิเวศและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงความอุดมสมบูรณ์ ผลจากการปฏิบัติตามแนวคิดดังกล่าวช่วยลดค่าใช้จ่าย ของครัวเรือน จากเดิมที่ต้องซื้อปุ๋ยเคมี นอกจากประหยัด แล้ว สมาชิกในครอบครัวยังได้ประโยชน์จากการบริโภค ผักผลไม้ที่ปลอดจากสารเคมี ซึ่งถือเป็นการดูแลรักษา สุขภาพให้สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติได้อย่างลงตัว อีกทั้ง ยังมีการจัดฝึกอบรมให้กับชาวบ้านในหลักสูตร “เศรษฐกิจ พอเพียงศูนย์เรียนรู้สวนดูซง” มีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง การจัดการทรัพยากรในชุมชน แนวทาง การท�ำสวนดูซง การดูแลสุขภาพโดยหลักภูมิปัญญาชาวบ้าน แนวคิดกับระบบสหกรณ์ การท�ำบัญชีครัวเรือน การบริโภคที่ ถูกหลักอนามัย จริยธรรมอิสลามกับระบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งท�ำให้ชาวบ้านได้เรียนรู้แนวคิดและแนวปฏิบัติการธ�ำรง อยู่ของระบบนิเวศและการดูแลสุขภาพ นายดือราแม ดาราแม มีความเชื่อและปฏิบัติตาม ๑๔๘