โหราศาสตรค์ อื อะไร
โหราศาสตรเ์ ป็นวชิ าพยากรณ์ ทเี่ น่อื งมาจากอำนาจของดวงดาวนพเคราะห์ต่างๆ
ทโ่ี คจรอยรู่ อบจกั รราศี เปน็ วชิ าท่ีมีหลกั ฐานและเหตผุ ล เป็นวิทยาการทนี่ บั ว่าทนั สมยั อยู่
ตลอดไป และเปน็ วิชาท่คี งทนถาวรตลอดกาลคไู่ ปกับโลก เพราะเป็นเร่อื งราวของวิชาท่ี
เกยี่ วกบั ดวงดาวและโลกมนษุ ย์ กลา่ วถึงอำนาจของดาวท่ีมตี อ่ สรรพสิ่งทัง้ หลายในโลก
เป็นวิชาการทางนามและรูปแสดงกาลเวลาความส่องสว่าง ความรุง่ โรจน์ ความรอ้ น
ความดึงดูด และพลงั งานทีม่ ตี ่อพฤติกรรมของคนเราด้วย
วิชาโหราศาสตร์ จึงเปน็ วชิ าท่ีเกี่ยวกับศาสตร์อันลกึ ซง่ึ เป็นศาสตรแ์ ขนงหนึง่ และ
อาจนับเน่ืองอยู่ในไสยศาสตร์ เปน็ วิชาทล่ี ึกลับอยู่คู่กับดาราศาสตรซ์ ึง่ เป็นวิชาคำนวณ
วถิ ีโคจรและขนาดน้ำหนัก ระยะ ฯลฯ ของดวงดาวในนภากาศ วิชาน้ีมีมาแต่โบราณสมัย
มูลฐานโหราศาสตร์มคี วามเป็นมาอย่างไร
เน่อื งจากมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ ก่อนมีพงศาวดารและกอ่ นพทุ ธกาล มนุษยเ์ พิง่ รูจ้ กั
สร้างบา้ นเรือนอาศยั รวบรวมขนึ้ เปน็ หมวดหม่เู ปน็ ประเทศชาติโดยลำดบั เกดิ การเช่อื ถือ
เกี่ยวกบั พวกเทวดาต่างๆ โดยไร้เหตผุ ล และมนุษยส์ มยั นัน้ คงมเี วลาว่างมาก เกดิ การ
ซอกแซกซกุ ซน จึงเกดิ การพิจารณาท้องฟ้าข้นึ อยา่ งละเอยี ดและเฝา้ ดูอย่างเพลดิ เพลินกเ็ หน็
เป็นรูปดาวต่างๆ ท่ีมองเหน็ เช่น ดาวไถ ดาวจระเข้ ดาวลกู ไก่ ฯลฯ ย่ิงดนู านเขา้ ดาวรูปตา่ งๆ
เหลา่ นี้ก็เคลอ่ื นท่ไี ป บางทมี องไม่เหน็ บนท้องฟา้ หลายๆ เดอื น การสังเกตการณ์ทำใหเ้ กดิ ผล
เป็น ๒ ประการ คือ
๑. ทำใหม้ นุษย์รูจ้ กั กับดาวเปน็ ๒ ประเภท คือ รจู้ กั ดาวอย่กู บั ทแ่ี ละรจู้ ักดาวเคลือ่ นที่
๒. ทำให้มนษุ ย์ร้จู ักกับดาวต่างๆ รวมทง้ั อาทิตยแ์ ละจันทรห์ มนุ รอบโลก
โดยอาศัยความสังเกตจากดวงดาวร้วู ิถขี องดวงดาวต่างๆ ก็รู้จักกบั ดาวเคลอื่ นทีแ่ ละ
ดาวอยู่กบั ทดี่ ขี นึ้ มาก แลว้ เทียบให้เปน็ นยิ ายโบราณคดเี ก่ยี วกบั กำเนิดดาวบา้ ง นยิ ายสมมติ
ให้เป็นสตั วต์ ่างๆ บ้าง เป็นยักษ์บา้ ง เปน็ เทวดาบ้าง คร้ันแล้วจึงแบ่งแผนผงั ดาวอย่กู บั ทแ่ี ละ
ดาวเคลื่อนทีร่ อบดลกออกเปน็ ๑๒ สว่ น มีช่อื เรียกแผนผงั ไวท้ ุกราศีเพื่อกนั ลืม เมือ่ อาทิตย์
เดนิ มาถงึ ที่เดมิ ก็นบั เปน็ หนึ่งปี การนบั วัน เดอื น ปี และการแบ่งฤดูกาลคงเกดิ ข้ึนตอนน้เี อง
สมยั ดกึ ดำบรรพต์ อ่ มาที่มีพงศาวดารแลว้ แตย่ ังไมม่ เี คร่อื งมอื พสิ ูจน์ดาวยังไมม่ ีกล้องดู
ดาว แต่ทำให้มนุษยร์ ู้จักโลกดีขน้ึ สืบเนอ่ื งมาจากจันทรปุ ราคากด็ ี สุรยิ ุปราคาก็ดี ลว้ นเปน็
สาเหตทุ มี่ นุษย์รวู้ า่ มันเกดิ ขึน้ เพราะเหตใุ ด เงาของโลกในดวงจนั ทรม์ ีลักษณะกลม มนษุ ยจ์ ึง
เขา้ ใจวา่ โลกกลมและเป็นดาวดวงหน่งึ และได้รจู้ ักรปู ร่างของจักรวาลแจม่ สวา่ งยิง่ ขนึ้
หลายรอ้ ยปีผ่านมา กพ็ บการติดปฏทิ ินหรือปูมข้ึนมาซ่งึ เปน็ เอกสารแสดงการโคจรของ
ดาวภายในระยะปี สมัยน้ันมปี ฏทิ ินเกดิ ขึน้ จากชายไอยคปุ ตต์ ้งั ๓๖๘๙ ปีกอ่ นพุทธกาล มีรปู
เคร่ืองหมายแสดงดาวเคราะห์และอาศัยแสงของดาวเหนอื ในการเดนิ ทาง
ในประเทศจีนกม็ ีการทำปฏิทินข้นึ เม่อื รัชสมยั อึง้ ตี่ฮอ่ งเต้กอ่ นพุทธกาล และรู้วธิ ี
คำนวณสุริยคราส จนั ทรคราส มากกวา่ ๓,๐๐๐ ปี
สมัยต่อมาโหราศาสตร์ได้เจริญขนึ้ โดยลำดับมาคกู่ บั ดาราศาสตร์ เม่ือมนุษย์คดิ
เครอ่ื งหมายใชแ้ ทนคำพูดขึ้นได้ ก็จารึกเหตกุ ารณ์และจดจำไวร้ วบรวมร้อยกรองขน้ึ เปน็
ตำรา ในชั้นเดมิ ก็รวมอยดู่ ว้ ยกนั กบั ดาราศาสตร์ เม่อื การคำนวณเรม่ิ เจรญิ ขน้ึ ประกอบกับ
ผใู้ หญส่ มยั โบราณเล่ือมใสทั้งสิน้ ปฏทิ ินจึงเจริญข้ึนรวดเร็ว การนดั หมายทำพิธที างศาสนาก็
อาศยั ปฏทิ ินเหล่าน้ี
เมื่อมเี คร่ืองมือพเิ ศษดูดาวไดช้ ัดเจนย่ิงกว่าแตก่ อ่ น วชิ าดาราศาสตร์กเ็ จริญข้นึ มาได้พบ
เหน็ ดาวเพมิ่ เตมิ ข้ึนกวา่ เก่า สะดวกแก่การคำนวณขนาดของดวงดาว น้ำหนกั แร่ธาตแุ ละแสง
สี ระยะของดวงดาวตา่ งๆ นบั ว่าเจรญิ ยิง่ ขึน้ ทวคี ณู เม่ือดาราศาสตร์เจริญขึน้ วชิ า
โหราศาสตรก์ ม็ ีคนเอาใจใสม่ ากขึ้นตลอดเวลา พรอ้ มกับสงิ่ แปลกประหลาดหลายประการได้
จารกึ เป็นตำราทวีขึน้ จนตราบเท่าทกุ วนั
มลู ฐานหลกั การพยากรณเ์ กดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร
เนือ่ งจากการสังเกตการณเ์ กีย่ วกับดินฟา้ อากาศ ฝนตก ฟ้าแลบ ฟ้ารอ้ ง ฟา้ ผา่ น้ำท่วม
ลมพายพุ ดั ฯลฯ สมัยน้นั ยงั ถอื เปน็ เพราะเทวดาตา่ งๆ บันดาล กเ็ กิดการสนใจกบั ลกั ษณะ
โคจรต่างๆ ท่ถี อื เปน็ เทวดาข้ึน คอยคน้ หากนั วา่ เม่อื ไรเทวดาจะทำโทษอีก ก็เกดิ หลัก
พยากรณใ์ นขน้ั น้เี กีย่ วกบั ส่วนใหญ่ รวมทั้งสรุ ยิ ุปราคาน้นั เอง จงึ เกดิ การคำนวณราหูข้ึน เพ่อื
หาหลักเกณฑ์ต่อไปว่า เมอ่ื ไรราหูจึงจะอมจันทร์อกี
การพยากรณด์ าวซ่ึงถือเปน็ เทวดานั่นเอง กม็ กี ารสนใจถงึ การสังคมของกลมุ่ ชน ความ
อดอยาก ความขาดแคลน บางส่ิง ไฟไหม้ โรคระบาด ขา้ วยากหมากแพง การสงคราม การ
ปล้นสะดม ฯลฯ แต่ละเมอื งมีความเจรญิ ผิดกัน การสงั เกตเกิดเปน็ พยากรณโ์ ดยพิจารณาวา่
ในขณะทโ่ี รคหา่ เกดิ ขน้ึ น้ัน ดาวอะไรอยทู่ ่ีไหน จะได้จำไวห้ ากดาวนัน้ มาอยู่ที่เกา่ อกี จะได้
ระวังโรคห่าอีก เกดิ การอพยพไปตั้งเมืองกันใหมเ่ ปน็ ตน้ หลักการพยากรณ์ในขน้ั นีก้ ค็ งมวี า่
เมื่อดาวเคราะห์เคล่อื นทไี่ ปอยรู่ าศีใด เกดิ เรอ่ื งอะไร คนเกิดในขณะท่ีดาวนั้นอยู่ราศีน้ันมี
รปู รา่ งเป็นอยา่ งไร มนี ิสัยใจคอเปน็ อยา่ งน้นั
ฉะน้ัน จักรราศซี ่ึงแบง่ ไวเ้ ปน็ ๑๒ สว่ น จงึ เริ่มซอยออกเปน็ ตรยี างค์ นวางค์ รวมความ
วา่ ราศหี นึง่ ๆ ซอยออกเปน็ ๓ ส่วนใหญๆ่ และสว่ นท้งั ๓ ส่วนนนั้ ซอยออกเป็น ๙ สว่ นเล็ก
ตกลงว่า ๑๒ ราศี มีสว่ นเล็กเทา่ กนั เปน็ ๑๒ x ๙ = ๑๐๘ สว่ น คนท่ีเกิดส่วนใดก็มีรูปรา่ งผิด
แปลกไป ทา่ นคงจะได้ยินคำวา่ “บา้ มี ๑๐๘ จำพวก” “ทำพระดว้ ยเกสรดอกไม้ ๑๐๘” “นะ
๑๐๘” ฯลฯ น่นั แหละชใ้ี ห้เหน็ วา่ มาจากการแบ่งราศนี ่เี อง หลักสังเกตการณ์เกดิ นโี้ ดยมากคง
จะถือเอาดวงอาทิตยเ์ ป็นหลัก เวลาเด็กเกิดมาอาทติ ยอ์ ยู่ทใี่ ดในจกั รราศีใด
ต่อมาเมือ่ มนุษย์เรม่ิ มนี าฬิกาตา่ งๆ ใช้กันแพร่หลาย กพ็ ากันแปลกใจว่าบางทีกลางวนั
มาก บางทีกลางวันน้อย ไมเ่ หมอื นกนั บางทีพระอาทิตย์อ้อมไปทางเหนอื บา้ ง บางทีก็อ้อมไป
ทางใตบ้ า้ ง คนสมัยนัน้ คงไมร่ ู้วา่ โลกเอยี งแกนเข้าหาดวงอาทิตย์จึงเปน็ เช่นนนั้ ดว้ ยจากการ
มองจากโลกไปยงั ดาวฤกษ์ท่อี ยูก่ บั ท่ี และเห็นว่ามันเดินน่เี อง ก็เกดิ การจดเวลาของวนั อนั
แท้จริงข้ึน โดยถือเอาดาวฤกษห์ มหู่ นงึ่ เช่น ดาวไถหมุนไปตกและข้นึ มาอย่ทู ี่เดิมรอบหนึ่ง
เป็น ๑ วนั สว่ นเวลาทีแ่ ตกต่างไป สำหรับกลางวนั และกลางคืนน้ัน ก็เฉล่ียใหแ้ กร่ าศีตา่ งๆ
ตามความเป็นจรงิ ท่ีมองเหน็ จึงเกดิ อันโตนาที อนั โตนาที คือ จุดเวลาที่ผา่ นตามราศหี นึ่งๆ
ตามความเขา้ ใจของคนสมัยกอ่ นจะเข้าใจอยา่ งไรนน้ั เราจะเห็นแจ้งชดั หากทำรปู และดวง
อาทติ ยจ์ ำลองขนึ้ หมุนดู
อนั โตนาทีที่เกิดขนึ้ เพราะความเอยี งของแกนโลกประกอบกบั แนวโคจรของโลกรอบ
ดวงอาทิตย์นนั้ เอง และเพราะอาศัยอนั โตนาทีนีเ่ องเปน็ ทางบอกแกค่ นโบราณว่า พอดวงดาว
น้ันตรงศีรษะในเวลากลางคืนและจะเป็นเวลากที่ ่มุ กยี่ าม
เมื่อความรู้อนั โตนาทีเจริญขึ้น นกั สงั เกตการณ์กเ็ ขา้ ใจถงึ จุดทผ่ี ่านไปตามราศตี ่างๆ
ลกึ ซึง้ ยิง่ ขึน้ การวางดวงกำเนดิ จึงอบุ ตั ิขึน้ ณ จดุ เวลาที่เด็กหายใจ ถือเอาว่าเทวดา (ดาว
เคราะห์) ที่ชุมุนมกัน ณ จดุ เวลานั้นแหละ คือตวั เด็กทเ่ี กิด ณ จุดน้ัน จะดหี รอื ร้ายกด็ ูตำแหนง่
ของเทวดา (ดาวเคราะห)์ หมนู่ ัน้ ก็เชอ่ื เหมาเอาทำนองน้ีเอง แม้จะพลาดจากความเป็นจริง
ไปบา้ ง แต่ก็นบั ว่าขึ้นอยกู่ ับทฤษฎที ีถ่ กู ต้องไม่น้อย
การสังเกตการณต์ ่อมา กเ็ ป็นไปตามของบคุ คลหลายชัว่ คนชั่วอายนุ นั่ เอง กไ็ ด้เกดิ การ
พยากรณ์เก่ยี วกบั ลคั นากำเนิดข้นึ อย่างมากมาย การสังเกตเชน่ คนหนึ่งถกู ฆา่ ตาย โหรกเ็ อา
มาพจิ ารณาดูว่า ขณะนนั้ ดาวเคราะห์อะไรอยู่ท่ีไหน ให้โทษอย่างไร กบ็ ันทกึ ไว้ทำอย่างนี้
หลายๆ ครั้งกเ็ กิดกฎเกณฑข์ น้ึ การค้นควา้ นี้เชื่อว่าในปจั จบุ ันก็มผี ้กู ระทำอย่มู ากมาย
กฎเกณฑ์นบั วันจะรัดกมุ ย่ิงขึน้
สมยั ก่อนมกี ารเหลอื่ มล้ำ ถือความสงู สุดและต่ำสดุ แห่งอำนาจวาสนาของบุคคลนเี่ อง
ข้าทาสหรอื ไร่ นา วัว ควาย เป็นหลัก (สมัยต่อมาเรยี กศักดนิ า) สังเกตว่าคนทม่ี มี ากๆ นน้ั มี
ดาวอะไรอยู่ที่ไหน พจิ ารณากนั นานๆ กไ็ ดห้ ลักและจดไว้ คอื ดาวดวงเกษตร เป็นต้น ซ่งึ ใครมี
ดาวดวงอยา่ งนี้ ก็หมายถงึ วาสนา มที รพั ย์สมบัติ ที่ดิน ข้าทาสบรวิ ารมากกว่าคนอืน่ ๆ (ทีม่ า
แห่งดาวเกษตร) อันแปลวา่ ดวงเขตของดาวเคราะห์ต่างๆ ซึง่ ตรงกับลำดับดวงดาวจากดวง
อาทิตย์ คอื ๑ ๔ ๖ ๓ ๕ ๗ อาทติ ย์ พธุ ศกุ ร์ อังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ แล้วแบ่งเป็นกลางวนั
กลางคืนนับ จึงเห็นว่าทฤษฎนี ้ีอธิบายดวงมาตรฐานอนื่ ๆ เชน่ มหาอจุ มหาจกั ร ราชาโชค
ฯลฯ และดวงมาตรฐานอนื่ ๆ เชน่ กนั ได้พจิ ารณาระหว่างความดี กบั ความชวั่ เปน็ ส่วนรวม
ไมจ่ ำกดั ลัคนากำเนดิ จะอยทู่ ี่ไหน ดวงมาตรฐานจงึ บ่งถึงอทิ ธพิ ลของดาวเคราะห์ทบ่ี นั ดาลใน
ด้าน ด-ี ชัว่ ตามตำแหน่งในราศีตา่ งๆ ไว้เพ่อื เปรียบเทียบ
โหราศาสตรเ์ จริญข้ึนตามลำดับเต็มไปดว้ ยกฎเกณฑ์และเหตผุ ลทดี่ ีเลิศ เปน็ ศิลปะ
ศาสตรท์ ี่มีผลมากจนผู้รู้ในครง้ั ก่อนหวงแหนวิชานีก้ นั ย่งิ นัก เพราะกลัวผอู้ ืน่ จะสามารถหยั่งรู้
เหมือนตน หลกั การทีง่ ่ายๆ กบั พูดวกวนเวยี นเสียให้เปน็ การยากมากข้ึน ตำราท่เี ขยี นกันไว้
จนเต็มไปด้วยขอ้ ความห้วนๆ ใครจะซักถามนอกล่นู อกทางไม่ได้
การสรา้ งปฏิทนิ โดยอาศัยคัมภีรส์ ุรยิ ยาตรน้ัน ความจริงหลกั การมาจากการสังเกตโลก
หมุนรอบดวงอาทติ ย์ แล้วก็ทำต่อกันมานับเปน็ จำนวนพนั ๆ ชีวิต ได้กฎเกณฑใ์ นการโคจรขึ้น
โหรกไ็ ดร้ อ้ ยกรองตอ่ ๆ กนั มาจนเปน็ ตำราที่ดเี ลศิ ที่สุด ละเอยี ดทส่ี ุด อันเปน็ งานชิน้ โบว์แดง
แห่งโหราศาสตร์ทีเดยี ว
การสงั เกตโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ใชจ้ ำนวนเลข ๘๐๐ เป็นหลักการคำนวณและเลข
๘๐๐ น้ี ความจริงมไิ ด้หมายความวา่ สังเกตกนั ถงึ ๘๐๐ ปี เป็นเพียงกลา่ วกนั ว่าในระยะ ๘๐๐
ปี ดาวเคราะห์ยอ่ มจะโคจรไปอย่ใู นท่ีเดียวกนั หรอื ถ้าหากผูกดวงชาตาในวันเดือนเดยี วกัน
ระยะห่างกัน ๘๐๐ ปี จะได้ดวงชาตาเหมอื นกัน แต่ถ้าจะเอา ๒๙๒๒๐๗ ตงั้ แล้วเอา ๘๐๐
หาร จะรู้กำลังในปีเดยี วกจ็ ะได้ลพั ธ์ ๓๖๕ เท่ากบั วนั ในปหี น่งึ โดยตรง กับยงั มเี ศษอีก
๒๕๘๗๕ ใน สว่ น ๑๐๐๐๐๐ ของวนั
ฉะนน้ั จงึ ใชเ้ กณฑ์ ๒๙๒๒๐๗ ถือวา่ เป็นกำลงั วันในรอบ ๘๐๐ ปี ยังมีเศษอกี ๓๗๓ เป็น
หลกั เกณฑแ์ หง่ การคำนวณ
โหราศาสตร์เกดิ ข้ึน ณ ที่ใด และใครคิดวิชานี้ขน้ึ ได้
ศาสตราจารยค์ นแรกทค่ี ิดวชิ าน้ขี ้นึ ไดน้ ัน้ ไม่มีใครรู้จกั เพราะนานเกนิ ควรแกก่ าร
คาดคะเน แตเ่ ชอ่ื ว่าเกดิ ขน้ึ ในทวปี อาเซยี แหง่ หนง่ึ ใดก่อนเป็นเวลา ๕๐๐๐ ปมี าแล้ว และ
แพร่หลายไปตามประเทศนอ้ ยใหญ่ เช่น ไอยคุปต์ กัลเดยี เปอร์เซยี ธิเบธ จนี ญี่ปุน่ พม่า
มอญ เขมร ไทย ฯลฯ
โหราศาสตร์เจริญรุ่งเรืองมากในแถบบโิ ลเนีย สมัยกัลเดยี ครอบครอง ทป่ี รากฏว่าเปน็ ผู้
แบ่งจักรวาลออกเปน็ ๑๒ ราศีนนั้ สมยั นั้นก็ยังกลา่ ววา่ อาจารย์เดิมเป็นเทวดากอ่ นท่อนบน
เปน็ มนษุ ย์ทอ่ นล่างเปน็ ปลานำคัมภีรด์ าวมาให้ (นา่ จะเปน็ พวกเสมไมต์หรือกสุ ไสทผ์ รู้ วู้ ิชา
ดาวมาทางเรอื กล่าวกันว่าขนึ้ ทีอ่ ่าวเปอรเ์ ซียเป็นครูคนแรกทีส่ อนวชิ าดาวให้กับพวกกัลเดยี )
ชาวกรีกโบราณเป็นผนู้ ำโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ จากทวปี อาเซยี ไปแพร่หลายใน
ทวีปยุโรปอีกตอ่ หนึ่ง
โหราศาสตรเ์ กิดแตบ่ รู พาจารยค์ นเดียว
มูลกำเนดิ ของโหราศาสตร์ เกดิ แตบ่ ูรพาจารยค์ นเดยี วกันคือทุกชาตทิ ุกภาษาไดแ้ บง่
จกั รวาลขอบฟ้าเป็น ๑๒ ราศี มีเครือ่ งหมายประจำราศเี หมือนกนั หมดทุกราศี เช่น ราศเี มษ
สมมตุ ใิ หเ้ ปน็ แพะ ราศพี ฤษภ เป็นแพะ กรกฎเป็นปู และมีนเปน็ ปลา เช่นนี้เปน็ ตน้ พสิ ูจน์ให้
เห็นว่าโหราศาสตร์มาจากแหล่งทเ่ี ดยี วกัน ชาติใหญ่ๆ ที่มอี ารยธรรม และมีอำนาจมาแต่
โบราณกาลลว้ นแล้วแตช่ ำนาญทางโหราศาสตร์มาแล้วท้ังนัน้ ศาสตราจารยพ์ ยากรณใ์ นสมยั
โบราณทำประโยชน์ใหแ้ กช่ าติบ้านเมืองและศาสนามากในคราวบ้านเมืองใดเกิดคบั ขนั หรอื
จะมศี าสนาใดเกดิ ขึน้ อาจารย์ยอ่ มรู้ล่วงหนา้ ก่อนพระศาสนาใดจะกำเนิด เช่น พระพทุ ธเจ้า
พระเยซู โมหมดั ก็ดี กอ่ นท่ีจะประสูติและกำเนดิ โหราจารยไ์ ด้คิดเหน็ พยากรณ์ลว่ งหนา้ ไว้
ก่อนแลว้
ในประเทศอนิ เดยี ไดเ้ ปรียบทางโหราศาสตรม์ าก
ในประเทศอนิ เดียได้เปรียบทางโหราศาสตร์มาก เขาใชก้ นั มาก่อน ๓๕๐๐ ปี ตำราของ
เขาอยูจ่ นครบเท่าทกุ วัน ทัง้ เปน็ ทเ่ี กดิ ของโหราศาสตร์ดว้ ย ไดแ้ พรห่ ลายในสกลุ พราหมณ์
ผ้เู รยี นพระเวทย์มาก แมส้ มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประสูตกิ ็มีโหราจารยก์ ันถงึ ๗
ทา่ น คำพยากรณน์ ั้นเปน็ ทถ่ี ูกต้องดี ต่อมาตอนหลงั พระสาวกของพระพทุ ธองค์ถกู พวกโจร
ฆ่าตาย พระสาวกท่เี หลอื ตายพากนั ไปเฝา้ ทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
สมณะทั้งหลายควรรฤู้ กษ์ยามไว้ ไม่เช่นนั้นกอ็ าจเป็นอันตรายแก่ตนเอง ตอ่ มาพระสาวก
ต่างๆ ตอ้ งศึกษาฤกษย์ ามขอให้เข้าใจว่าเราจะรู้ฤกษ์ยามไดด้ นี น้ั ถา้ ไม่ผา่ นการศึกษาวชิ า
โหราศาสตร์มากอ่ นแลว้ จะไปรูฤ้ กษย์ ามอนั ถูกตอ้ งอย่างไรได้ เราจะเช่อื บุญเชอื่ กรรมอย่าง
เดยี วก็ได้ แตอ่ ยา่ ลืมว่าเราอยใู่ นโลกยังต้องเวยี นวา่ ยตายเกิดอยู่อกี แมแ้ ตพ่ ระพุทธองค์ท้ังๆ
ที่จะไม่กลับมาอกี แล้วกย็ ังยกยอ่ งฤกษ์ยามนาที
โหราศาสตร์เขา้ สู่ประเทศไทย
ตอ่ มาเมอ่ื พระเจา้ อโศกราชมีแสนยานุภาพปราบปรามอินเดยี ภาคใต้ พ.ศ. ๒๐๐ ปเี ศษ
นั้น กระทำใหช้ าวอินเดยี ภาคใตแ้ ละพราหมณพ์ าพระเวทยห์ นีมาพงึ่ อาณาจักรเขมรแลว้
และต่อมาไทยไดอ้ พยพมาจากประเทศจีนมาตัง้ ภมู ลิ ำเนาอยใู่ นประเทศสยาม ก็ไดร้ ับ
การศกึ ษาวชิ าโหรพรอ้ มกบั ลทั ธทิ างศาสนาและพิธีพราหมณ์ด้วย อันมีพระโสณะเถระและ
พระอตุ ระเถระมาเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนานน้ั เองคร้ังสมัยกรงุ สโุ ขทยั และกรงุ ศรีอยุธยา ก็ยก
ย่องพราหมณาจารย์ข้นึ เป็นมหาราชครู ฉะน้ันจึงมพี ราหมณ์ขา้ ราชครูกระทำพธิ กี ารมงคล
ตา่ งๆ
แต่เม่อื สมยั กรุงศรีอยธุ ยาถูกไฟเผาผลาญจนสิ้น ตอ่ มาสมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ พระ
โหราจารยไ์ ดร้ วบรวมกันข้นึ แต่คงจะอยใู่ นราชสำนกั เทา่ นั้น ประชาชนบคุ คลภายนอกคงไม่มี
ตำราครบบรบิ รู ณ์ นอกจากพวกท่านกรมโหรเทา่ น้ัน หรือพระผใู้ หญใ่ นยุคนั้นๆ และพระ
ผใู้ หญย่ ุคนนั้ ตอ้ งเป็นผมู้ ปี รีชาเฉลยี วฉลาดจริงๆ ด้วยและพวกกรมโหรต้องไปมาหาสู่เสมอ
การทำพธิ ตี ่างๆ ตามลัทธพิ ราหมณ์ และกรมโหรไดเ้ ลิกเสียเม่ือเรว็ ๆ นี้
สว่ นวชิ าโหราศาสตรก์ ย็ ิง่ ยงั มีผู้สนใจอยู่ ยงั หาได้เลิกเสยี เหมอื นพิธตี ่างๆ เหลา่ น้ันไม่ ใน
ประเทศไทยยงั มผี ้สู นใจในวิชาน้อี ยู่มากและอาจจะมีทวยี งิ่ ขึ้นกว่าแตก่ ่อนอีกหลายสิบเท่า
ทวีคูณ แตย่ งั มีผทู้ ีย่ งั เห็นการดูทางชาตาเป็นการเชื่ออยา่ งงมงายพ้นสมัย แต่ไม่ช้าหรอกคนท่ี
คดิ เช่นนน้ั กต็ ้อง หนั มาหาอาจารย์ดูดวงชาตาราศีของตนเองจนได้
โหราศาสตร์เปน็ ประโยชนท์ ่สี ดุ ในโลก
โหราศาสตรเ์ ปน็ วิชาที่มีประโยชน์ทส่ี ดุ ในโลกวิชาหนึ่ง และจะไมม่ เี วลาเสอื่ มสญู เลย
เพราะเปน็ ตำราทำนายโชคชาตาว่าโชคจะดหี รือร้ายประการใด มีหลักเกณฑท์ ี่ใช้คำนวณ
ตามความดึงดดู ของกระแสแหง่ ดวงดาวนพเคราะห์ ซ่งึ ผิดกับตำราหมอดูชนดิ อ่ืนๆ และอาจ
พิสูจนไ์ ดจ้ ริง ดังเช่น อาจทายจากตำราว่าจะมี สรุ ิยุปราคา และจันทรปุ ราคาได้ในวันเดอื นปี
นน้ั ๆ และเวลานนั้ ไวก้ อ่ นและได้เป็นจรงิ ตามที่คาดไวไ้ ม่ผดิ เช่นนีเ้ ปน็ ตน้ และอาจบอกได้ว่าปี
นัน้ ปีน้ีฝนน้อย ฝนมาก แผ่นดนิ ไหวเหล่าน้ี ยิ่งเกีย่ วกบั ฤกษแ์ ละยามในการกระทำพธิ ีกอ่ ร่าง
ต่างๆ ซง่ึ ผลทัว่ ไปอยูใ่ นเกณฑ์ลงความเหน็ วา่ ใช้ได้ดีทเี ดียว เรือ่ งนี้คือบทกลับของ
โหราศาสตร์น่ันเอง เมื่อรู้วา่ ดวงดาวต่างๆ จะใหค้ ุณ ให้โทษ ณ จุดใดเราก็หลีกเลีย่ งทกี่ ารกอ่
รา่ งสรา้ งสรรค์แตใ่ นจดุ ท่ใี หค้ ณุ เทา่ น้ัน มนุษยเ์ ราเลือกเวลาเกิดไม่ได้ จะดีชั่ว จงึ มคี ำกลา่ ววา่
แลว้ แตก่ รรมปางก่อน จงึ นับวา่ มนษุ ยเ์ รมิ่ รู้จกั นำโหราศาสตรไ์ ปใชใ้ หเ้ ป็นประโยชนบ์ า้ งแลว้
ในอนาคต และโหราศาสตรย์ ังอาจให้ผลประโยชนต์ อ่ ไปอีก เช่น
- ทำให้เหน็ พ้ืนความสามารถ นิสยั สติปัญญา ของเจา้ ชาตาท้ังคราวดีและคราวรา้ ยใน
ชีวติ
- ใช้ประกอบกับการสอบสวนคดตี ่างๆ
- ใช้ประกอบในการวนิ ิจฉยั โรคและสขุ ภาพ
- ใชป้ ระกอบในการสมาคมระหว่างบคุ คลทัง้ สองเพศ
- ใช้ในการพจิ ารณานสิ ยั ใจคอของคนภายในใต้บังคบั บญั ชา เหมาะสำหรับการ
ปกครองและแกไ้ ข
- ใชพ้ ยากรณ์ดินฟ้าอากาศ โดยอาศัยโหราศาสตร์กบั อตุ นุ ิยมศาสตร์
- ทำให้ร้ขู ้างหนา้ วา่ จะมีหรอื จน จะเรียนอะไรดี จะทำงานอะไรดี คู่ครองเป็นคน
อย่างไร อยู่ที่ไหน ฯ
ฯลฯ
ดังกล่าวมานี้โหราศาสตรไ์ ดช้ ว่ ยร่วมมอื ย่อมให้เกดิ ประโยชน์มากที่สดุ ปญั หาอย่ทู ่ีการ
ปรบั ปรงุ โหราศาสตรใ์ หท้ ันสมยั ขึ้นเทา่ น้ัน
ฉะนนั้ โหราศาสตร์จึงมีคณุ ประโยชน์มาก เปน็ สว่ นหน่ึงแห่งอนาคตเพอ่ื เตรยี มพรอ้ มให้
ทนั ท่วงทที ี่จะรบั เหตุการณ์ภายหนา้ ได้เปรียบกว่าท่ีจะคดิ แกไ้ ขในปัจจุบนั การรกู้ ารภาย
หน้าจากโหราศาสตร์จึงมีคา่ อันใหญย่ ิง่
โหราศาสตร์ตกมาถงึ มือประชาชนเม่ือใด
โหราศาสตร์เปน็ วิชาละเอียดสบั สน จะตอ้ งใช้การสงั เกตพิจารณากันจริงๆ มิใชเ่ หน็
ตำราแล้วก็เข้าใจทันที เพราะภาษาของตำราโหราศาสตร์นนั้ ยากมาก และกฎเกณฑ์ก็มมี าก
สบั สน ไม่มีโรงเรยี นเรียนกนั คำสอนกเ็ ป็นคำเฉพาะบา้ ง คำอรรถบา้ ง คำโคลงบา้ งๆ ซง่ึ หาก
ข้อความอา่ นงา่ ยๆ อา่ นแล้วเข้าใจเลยทเี ดยี วไม่มี
วชิ าโหราศาสตร์ เดิมมีอยแู่ ต่เฉพาะพราหมณ์ ซึ่งเปน็ โหรประจำพระองค์พระเจ้า
แผน่ ดิน หรือผูค้ รองนครเทา่ น้ัน หาใช่มอี ย่สู ำหรบั บุคคลท่ัวไปดงั ปรากฏอยู่ ณ บัดนไ้ี ม่ และ
พยากรณข์ องโหรสมยั โบราณก็พยากรณ์แกผ่ ทู้ ี่ทราบเวลาเกดิ แน่นอนเทา่ นนั้
วิชาโหราศาสตร์พง่ึ ตกมาถึงมือประชาชนทั่วๆ ไป เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อยู่หวั รัชกาลท่ี ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปิดหอพระสมุดแหง่ ชาติขน้ึ และผู้ทมี่ ี
คัมภรี ์หรือตำราต่างๆ ก็นำมามอบให้แกห่ อพระสมุด หอพระสมุดก็เปดิ โอกาสให้แก่
ประชาชนเขา้ ยมื อ่านและคดั ลอกตำรบั ตำราต่างๆ ได้ ด้วยเหตุน้ี วิชาโหราศาสตร์จึงออกไปสู่
ประชาชนทั่วๆ ไป แต่กล็ ่มุ ๆ ดอนๆ เนือ่ งจากวชิ าโหราศาสตรเ์ ป็นวิชาละเอยี ดอ่อน สบั สนมี
คำยากมาก มผี ู้เรียบเรียงรวบรวมตำราข้ึนมากม็ ากเล่ม และราคาแพง
สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ มผี ูค้ รองตำแหนง่ โหราธิบดี ๖ ทา่ นมรี ายงานดังน้ี
๑. พระยาโหราธิบดี (ช่อื อม่ิ )
๒. พระยาโหราธิบดี (ชอื่ คำ)
๓. พระยาโหราธิบดี (ชื่อ บัว)
๔. พระยาโหราธบิ ดี (ชื่อ เถือ่ น)
๕. พระยาโหราธบิ ดี (ชอื่ ชุ่ม)
๖. พระยาโหราธิบดี (ชอ่ื แหยม)
ผู้ครองตำแหน่งโหราธิบดีท้งั ๖ ทา่ น หามีผสู้ บื ตระกูลตดิ ต่อกันไม่ ตวั อยา่ งหา
ผ้สู ืบตระกลู ตดิ ต่อกันไม่ได้ คอื ในสมัยสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ศรปี ราชญเ์ ปน็ บตุ รพระ
ยาโหราธิบดี ตามประวตั ศิ รีปราชญ์นีม้ ีปฏภิ าณดเี ลศิ กวา่ คนในสมยั นน้ั แต่ศรปี ราชญก์ ไ็ ม่ได้
ครอบตำแหนง่ โหราธิบดี ด้วยอำนาจโชคชาตาของมนุษย์ย่อมอยเู่ หนอื ส่ิงอื่นใด ดแู ต่ศรี
ปราชญ์เถดิ แม้ทั้งทไ่ี ด้รบั พระราชทานพรของสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชแลว้ ก็ยงั คมุ้ ไม่ได้
ดงั ทพ่ี ระยาโหราธบิ ดีพยากรณไ์ ว้แต่เยาว์ว่าจะถูกประหารดว้ ยคมหอกคมดาบ
โหรกับหมอดูต่างกนั หรือไม่ อย่างไร
๑. โหร คือ ผูเ้ รียนวิชาโหราศาสตร์ ทกี่ ล่าวถงึ อำนาจของดาวทีม่ ีอิทธิพลตอ่ โลกมนุษย์
โหรเปน็ ผรู้ ้กู าลเวลาทจี่ ะเกดิ เหตกุ ารณด์ รี ้ายแก่สรรพสิง่ ทงั้ หลายในจักรวาลฟ้าครอบ รวมท้ัง
ชวี ิตมนุษยด์ ว้ ย
๒. หมอดู คอื ผู้ทีจ่ ะบอกโชคดีหรือเคราะหร์ ้ายแก่ทา่ น วิชาหมอดูทใ่ี ช้อยูท่ ่ัวไป คือ เลข
๗ ตวั , เลข ๑๒ ตัว กรา๊ ฟแบบนโปเลียน, ไพ่ป๊อก, เสีย่ งทาย, พรหมชาติ, ลายมือ
เหตุผลข้อเปรียบเทยี บ
(๑) ถา้ หมอดใู ชต้ ำราท้ัง ๖ อย่างท่กี ล่าวมานี้ ดูบตุ รฝาแฝด จะถกู ต้องสกั ก่เี ปอร์เซน็ ต์
บุตรฝาแฝดซึ่งเกิดมาจากบิดา-มารดาเดยี วกัน รูปร่างคล้ายคลงึ กนั หากเวลาเกดิ ตา่ งกัน นิสัย
ใจคอย่อมไมเ่ หมอื นกนั และไดป้ ระสบเหตกุ ารณ์ในชีวติ กต็ ่างกนั
(๒) สำหรับโหรใช้เวลาเกิดเป็นหลกั พยากรณเ์ พยี ง ๔ นาที อาจให้ลคั นาสถิตผิดราศีก็
ได้ หรือไม่กผ็ ดิ นวางค์-ตรียางค์ แมล้ ัคนาอยู่ในราศเี ดยี วกนั แต่หากต่างนวางค-์ ตรียางค์หรือ
ฤกษแ์ ล้ว ยอ่ มทำใหน้ สิ ัยใจคอผดิ กนั และเหตุการณท์ ่ีเกิดขนึ้ กบั เจา้ ชาตาก็ตา่ งกัน
ปจั จุบนั มกั เรียกโหรวา่ หมอ จะเนื่องจากให้หมอดดู กู นั เสยี บอ่ ยๆ จนชนิ ปาก หรือจะ
เน่อื งด้วยโหรผทู้ ีร่ วู้ ิชาโหราศาสตร์ยังมีน้อยไม่มใี ครคอ่ ยรู้จักมากนัก และวิชาโหราศาสตร์ก็
ยังไม่แพรห่ ลายเข้าถงึ ประชาชนทั่วไป
เรยี นโหราศาสตร์ให้รจู้ รงิ ได้อย่างไร
การศกึ ษาวชิ าโหราศาสตรเ์ ป็นของลกึ ซ้ึงเป็นอนั มาก ต้องพยายามศึกษาจริงๆ
เนื่องจากวชิ าน้ียากและไม่สู้มผี สู้ นใจเรียน เพราะไม่มโี รงเรยี นอย่างหน่ึง และไมม่ ีการสอบ
อีกอยา่ งหน่งึ ต้องอาศัยฝกึ ฝนดว้ ยตนเอง และสบื เสาะหาตำราอยา่ งตัง้ ใจจริงจงึ พระพออา่ น
ใจความในดวงชาตาออกซ้ำท่านผู้รู้บางทา่ นจะปิดๆ เคล็ดไมส่ จู้ ะบอกกลา่ วกนั โดยตรง จึง
เป็นเหตใุ ห้ผู้เรียนท้อถอย เมอ่ื คดิ แตเ่ ผินๆ วา่ ไม่สจู้ ะมีประโยชนเ์ พราะไม่ใช่การค้าขายท่ไี ด้
เงนิ ได้ทองก็ไปอกี อยา่ งหน่ึง แตถ่ า้ หากคิดใหล้ ะเอยี ดแลว้ ขอใหค้ ิดไปว่าคนเราเกิดมาในโลก
กต็ ้องหาเลยี้ งชพี ทกุ ผ้ทู กุ นาม พอลืมตาขึ้นก็เหน็ แสงสวา่ งของดวงอาทิตยเ์ รยี กวา่ แลเห็นโลก
จะเดินไปไหนก็มหี นทางทเี่ ขาทำไว้ใหเ้ ดนิ ตามพ้นื ดนิ แต่มดื ต่อทางเดินแหง่ ชวี ติ คือยังไม่
ทราบว่าชีวติ ตอ่ ไปน้ีจะทำอะไรจงึ จะดีตอ่ ไปในชวี ิตข้างหน้า
เมื่อทราบวา่ วชิ าโหราศาสตร์ เป็นแว่นตาส่องทางเดินของชีวิตได้จรงิ ก็ควรขวนขวายพอ
ให้รู้หนทางน้ีบ้าง ถ้าผใู้ ดรวู้ ิชาน้ีไวบ้ ้างกเ็ ทา่ กับมไี ฟฉายสอ่ งทางเดนิ ในเวลากลางคนื มดื
ฉะนั้นถ้าจะศกึ ษาวชิ าโหราศาสตร์ไมต่ ้องไปศึกษาหมอดู เพราะหมอดูเขาใช้สำหรับคนชัน้ ตำ่
ชนั้ กลาง สว่ นโหราศาสตร์เขาใช้สำหรบั คนชั้นสูง วชิ าที่หมอดใู ชอ้ ยทู่ ่ัวไปคือเลข ๗ ตัว, เลข
๑๒ ตัว กร๊าฟแบบนโปเลียน, ไพ่ปอ๊ ก, เส่ยี งทาย, พรหมชาติ, ลายมอื ส่งิ เหลา่ น้ีอยา่ นำไปใช้
ปนกับโหราศาสตร์ เพราะไม่ใช่วิชาโหราศาสตร์ เร่อื งนีค้ วรระมัดระวงั ใหม้ าก
การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ของเราส่วนมากไม่ไดเ้ รยี นกันอย่างจริงๆ จงั ๆ กัน เม่ือเรา
ศึกษาไม่ทว่ั ถึงจะไปว่าตำราผิดอย่างไรกัน นอกจากนั้นพระพุทธเจา้ ยังได้ตรสั ไวว้ ่า บคุ คลใด
สร้างกรรมไวม้ ากกรรมย่อมสนองผลก็ได้ แบบเดียวกบั ทา่ นไปอาศยั อย่กู บั พวกหมอู่ ันธพาล
ถงึ ดวงดาวดี แตใ่ นสถานที่นนั้ ล้วนแต่ผู้มกี รรมชั่ว ดวงดาวดยี ่อมส่งผลให้ได้ยากเหมอื นกนั
เพราะดวงดาวท่ขี ณะนนั้ ถกู ความมืดมนปดิ บงั เชน่ เดยี วกบั เมฆหมอกปกคลมุ ดวงจนั ทรแ์ ละ
ดวงอาทิตย์
การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ให้รู้แจ้งเหน็ จรงิ นั้นสามารถเรียนไดเ้ ทา่ เทียมกนั ทกุ คน ไม่
สำคญั ท่พี รสวรรคห์ รอื บคุ ลิกลักษณะแตป่ ระการใด ส่งิ ที่จำเปน็ คอื
๑. ผทู้ ่จี ะศึกษาตอ้ งทราบความเป็นมาของโหราศาสตร์เปน็ ข้นั ๆ และดำเนนิ การฝกึ ฝน
ตนเองไปตามลำดับจากเบื้องตน้ ไปสปู่ ลาย
๒. อย่าลอกคำพยากรณเ์ ปน็ ดุน้ ๆ จะไมเ่ หมาะแกก่ าลสมยั
๓. พูดง่ายๆ และอ่านรหสั ดวงดาวโดยใชป้ ทานกุ รมแปลอย่ตู ลอดเวลา
๔. ทำความเข้าใจทุกแงท่ กุ มมุ
๕. ให้สงั เกตและพยากรณ์ดินฟ้าอากาศโดยอาศัยโหราศาสตรก์ ับภูมศิ าสตรซ์ ึง่ เปน็ การ
พยากรณส์ ว่ นใหญ่
๖. ให้สงั เกตและพยากรณเ์ หตุการณอ์ ันเกิดแต่กลมุ่ ชนทว่ั ไป
๗. ใหส้ ังเกตการณพ์ ยากรณเ์ ป็นรายบคุ คล
๘. ใหส้ งั เกตการณจ์ ดจำจากการพยากรณท์ ถ่ี อื ว่าถกู ตอ้ งท่ีแล้วๆ มา
๙. ให้สงั เกตและบันทึกเปน็ หลักฐานเพอ่ื ความคิดเห็นไว้ดว้ ย
เหตุผลในการใชด้ วงชาตากำเนดิ พยากรณ์วถิ ีชวี ิตบุคคล
โหราศาสตรถ์ ือเวลาเกดิ เป็นส่ิงสำคัญย่งิ นกั ณ จดุ เวลาเกดิ เปน็ เครอื่ งมอื พจิ ารณาช้ีชีวิต
ของบคุ คล จดุ เวลาเกดิ อันถือเอาตอนเดก็ เร่มิ ร้องและหายใจ ปอดเริ่มทำงาน บรรยากาศ
ภายนอกประกอบดว้ ยพิกดั ของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในเวลานนั้ เหมือนพมิ พป์ ระทบั เกดิ
การปรุงแตง่ ในตวั เดก็ เรยี กจุดเวลาเกิดน้นั ว่า ลัคนา
ลัคนา คอื จุดเวลาเกิดประกอบกบั ตำแหน่งดวงดาวเปน็ สง่ิ พยากรณ์ชาตาความเป็นไป
ของบุคคล
ในขณะท่เี ดก็ อยู่ในมดลกู ของสตรีนน้ั เด็กยงั ไม่มกี ารหายใจ ภายในมดลกู ทเี่ ดก็ อยกู่ ็มี
เยอื่ หอ่ หมุ้ เรียกว่า รก อาหารท่ีเดก็ ได้รับจากกระแสโลหติ ของมารดาภายในเยอื่ รถท่ีหุ้มเด็ก
อยูย่ ่อมมคี วามกดดนั ไม่เหมอื นกบั บรรยากาศภายนอก ตัวเราน้มี ีบรรยากาศรอบๆ และ
เปล่ียนความกดดนั อยู่ทกุ วินาที หรอื สว่ นของวินาที ทา่ นมองดผู วิ นำ้ ท่ีมเี กิดขึ้นจากสว่ นหน่งึ
และกำลังงานอันมาจากดวงดาวตา่ งๆ ในจกั รวาล ดังจะเห็นว่ามุมของทิศทางแรงตา่ งๆ ของ
ดวงดาวโคจรอยู่ตลอดเวลา ย่อมเคลอื่ นอยู่ตลอดเวลาบรรยากาศบนโลก เราก็รบั แรงนนั้
เปลย่ี นแปลงตามไปด้วยอยูท่ ุกขณะ
เมื่อรกเดก็ ออกมาส่บู รรยากาศนอกมดลกู และถา้ ตัวเด็กเปดิ เผยต่อบรรยากาศของโลก
ทกุ อวยั วะของเดก็ ทีเ่ คยอยูใ่ นความกดดันของมดลกู ก็จะพองออกเพ่อื ให้เสมอกบั
บรรยากาศภายนอก การพองตวั และขยายตัวน้ี ทุกอวยั วะจะขยายตัวออกถงึ จดุ หนึ่ง ซง่ึ เปน็
ความกดดนั ของบรรยากาศของโลก ณ จุดนน้ั ปอดเม่ือขยายตวั ถงึ ความกดดนั ของ
บรรยากาศภายนอกแลว้ แล้วกห็ ดลงเปน็ ขนาดเดิมด้วยกำลังยืดหยุ่นของปอด อากาศกว็ ง่ิ
เข้าและออกสูป่ อด เดก็ จึงมกี ารหายใจขน้ึ ณ จุดเวลานีเ้ อง บรรยากาศ ณ จดุ เวลานั้นพมิ พ์
ประทับความกดดนั แก่ทกุ ๆ สิง่ ในตัวเดก็ ไมว่ า่ สมองหรือไมว่ ่าการหายใจและความเติบโต
เปลง่ ปลัง่ ทงั้ ปวงท่ถี กู ความกดดันในรกบงั คบั อยู่ บรรยากาศภายนอก ณ จดุ นน้ั จึงทำเสมอื น
พมิ พ์กดลงบนตวั เดก็ ขอให้ทา่ นดูการทำลกู บลิ เลยี ด หากแม่พมิ พก์ ลมดกิ ไม่เบย้ี วลกู บลิ เลียด
จะกลง้ิ ไปโดยสม่ำเสมอ หากแมพ่ มิ พ์เบ้ียว ลกู บิลเลยี ดก็จะโขยกเขยกไปตามเร่ือง แม่พิมพ์
ของบุคคลกเ็ ชน่ กนั เรากพ็ ิจารณาดวู ่า ณ จุดเกิดของเด็กนัน้ ดาวตา่ งๆ อยู่ ณ พิกดั ใด ให้คณุ
ให้โทษอยา่ งไร ถา้ ใหค้ ุณตามเกณฑท์ ี่เคยสงั เกตไว้ ชีวิตของเดก็ ท่ีจะผา่ นบรรยากาศของโลก
ในโอกาสตอ่ ไปก็ราบรนื่ หากมคี วามบกพร่องตอ่ ไป ก็มักลำบากยากเขญ็ แบบลูกบลิ เลยี ด
เบี้ยวกล้งิ ไปนนั่ เอง
การพยากรณช์ วี ติ ของบคุ คลจึงแบง่ ออกเปน็ ตอนสำคัญไว้ ๒ ตอนคือ
๑. พ้นื ดวงกำเนิด เปรยี บเหมือนบา้ น ทา่ นตอ้ งคน้ ดวู า่ เขาผู้น้นั มอี ะไรบกพร่อง หาก
บา้ นนั้นร่วั อ่อนแอเราก็รู้ดที ีเดียวว่า
๒. ดาวจร ดาวจรน้นั เวลาพายพุ ดั มาตรงจ่ัวจะหักลงกอ่ นทอ่ี น่ื เชน่ นี้เป็นตน้
ดว้ ยเหตผุ ลดงั กลา่ วน้ี เป็นเหตุผลอันเด่นชดั มนษุ ย์เราอนั ประกอบด้วย ธาตุ กับจิตใจ
เมือ่ ธาตุถูกสรา้ งมาดี จติ ใจย่อมดไี ปตามธาตุเชน่ กัน กระแสของดวงดาวในอนาคตต่อมายอ่ ม
เกดิ ผลโดยตรงกบั ธาตแุ ละจิตใจของคน โดยลำดบั กันทางโหราศาสตรจ์ งึ ถือเอาดวงชาตาอัน
แสดงพิกดั ของดวงดาว ณ จุดเวลาเด็กเกดิ เปรยี บเทยี บกับพกิ ดั ของดวงดาวต่างๆ ในปัจจุบนั
ซง่ึ ทราบได้จากการคำนวณทำปฏทิ ินโหราศาสตร์เป็นเครอ่ื งมอื พยากรณ์ชวี ิตของบคุ คล ซึ่ง
ทกุ วนั นีเ้ ราถอื ว่าแมน่ ยำอย่างสูงสุดพอใช้การได้
เหตผุ ลของโหราศาสตร์และศาสนา
ข้าพเจ้าเคยได้ยนิ ท่านผู้ใหญ่พูดว่า “สำหรับพุทธศาสนิกแทด้ ไู ม่นา่ มีความจำเปน็ อะไร
ท่จี ะขอ้ งแวะกบั โหราศาสตร”์ เพราะพทุ ธศาสนาสอนไวส้ มเหตุผลดีท่ีสดุ แล้วว่า “ทำดีไดด้ ี
ทำชวั่ ไดช้ วั่ ” และก็เคยได้ยนิ พระโหราจารยแ์ สดงอธบิ ายว่าโหราศาสตรเ์ ป็นอุปกรณ์ชว่ ยให้
บคุ คลทำดี และได้รบั ผลดีตามคำสอนนัน้
ขอยกว่า ทุกคนย่อมอยากได้ดีดว้ ยกันทัง้ น้นั และพยายามประกอบเหตุอันดี คร้ันแลว้ ก็
หาประสบผลทส่ี มใจคาดทุกคนไม่ เพราะผลดีนั้นๆ มตี ้งั ร้อยอย่างพนั อยา่ ง และเหตุประกอบ
อันจะนำไปหาผลดนี ้นั เลา่ ก็มตี ง้ั พนั ประการ เมอ่ื ไม่ทนั ทราบรายละเอียดกอ่ นว่า ประการ
ไหนจะตรงไปให้ผลดอี ยา่ งไรแกต่ นแน่ก็ตอ้ งเดาสุ่มไปตามเพลง ถ้าผลดีอย่ทู างหน่ึงเหตทุ ่ี
ประกอบนนั้ เลย่ี งไปเสยี ทางหนงึ่ ถึงจะเป็นผลทด่ี กี ็ย่อมคลาดแคลว้ ไปจากผลท่หี วังไว้ แม้
เผอญิ ได้ผลดมี าใหมก่ ไ็ มใ่ ชท่ ี่ประสงค์เสมอื นเดนิ ทางผิด หากจะถึงที่อืน่ กม็ ใิ ช่ทีม่ ุ่งหมาย
โหราศาสตร์เปน็ เครอ่ื งสอ่ งทางเดินตรงไปยงั สายทีต่ อ้ งการผลโดยไม่ใหเ้ สยี เวลาเหลวเปล่า
โดยมากมักเข้าใจวา่ ผลดี ผลร้าย แหง่ การกระทำของบุคคลคอื กรรม หรอื จะเรียกวา่
กศุ ล และอกศุ ล ประกอบดว้ ยกไ็ มผ่ ิด และก็ไมส่ นใจคำวา่ โชคนน้ั มาก ถา้ มีกุศลกว็ า่ มีโชค ถา้
มอี กศุ ลก็วา่ มโี ชครา้ ย
ในเร่ือง กรรม น้ีมีความเหน็ แตกตา่ งกนั ความดเี ดน่ ชดั นั้น คนจำนวนมากยอมรบั วา่
กรรม คือการกระทำทมี่ ผี ลถงึ ขนาด ไม่ใชแ่ ตเ่ ฉพาะทำดไี ด้ดี ทำช่ัวได้ชว่ั กรรม คือการ
กระทำทใ่ี ห้เกิดเป็นผลข้นึ เช่นปลกู ตน้ ไม้ไว้กอ็ าจไดผ้ ลของตน้ ไม้ หรอื เราไปฆา่ เขาตายเขาก็
ตามจบั เราไปฆ่าเชน่ เดยี วกัน
คนสว่ นมากมกั ไมเ่ ขา้ ใจวา่ กรรม คือการกระทำแตช่ าติก่อนท่ีเชอ่ื กนั วา่ มนษุ ย์จะต้อง
เวียนเกิดเวยี นตาย เป็นสง่ิ ที่เคยบันดาลความเป็นไปของคนเราให้ผิดไปกวา่ ทีเ่ ราคาดคะเนไว้
มากบ้างนอ้ ยบา้ ง ส่วนอิทธิพลของกรรม บางคนถอื วา่ จะหลีกเลีย่ งเสยี มไิ ดเ้ พราะพ่นี ้องท้อง
เดยี วกนั ยังมีนสิ ัยและเหตผุ ลต่างกัน
ทางโหราศาสตรเ์ หน็ ว่า กรรมคอื ส่งิ ที่เราทำไว้แตป่ างกอ่ นแต่ลืมเสยี ไม่นึกถงึ จนกระท่งั
พบผลของกรรมนนั้ เพราะฉะนนั้ ถา้ ผู้ใดรู้เสียกอ่ นว่ากรรมคอื สงิ่ ทต่ี นทำไว้แลว้ ในอดตี จกั ให้
ผลดีและผลรา้ ยในเวลาน้ันกอ็ าจแก้พษิ รา้ ยใหน้ ้อยลง และเพ่ิมกำลังแห่งกรรมดใี ห้บงั เกดิ
ผลดีย่ิงๆ ขึน้ จนเรียกวา่ เปน็ โชค
ฉะนน้ั จงึ เห็นวา่ ทุกคนควรเรยี นรู้วิชาโหรไว้เพ่อื ทราบหนทางแห่งกรรมดี คือเหตดุ แี ละ
เหตุชว่ั คือกรรมชัว่ นัน้ ไวด้ ้วย
ความสมั พันธ์ระหวา่ งโหราศาสตร์กบั พุทธศาสนา
โหราศาสตรก์ บั พทุ ธศาสนามคี วามสัมพนั ธ์เกี่ยวเน่อื งกันอยู่ เพราะวา่ พระพุทธเจ้า
ขณะทย่ี ังทรงเปน็ มกุฎราชกมุ าร ซ่งึ เป็นโอรสของกษตั รยิ ์ พระราชบดิ าหวังจะให้ปกครอง
แผน่ ดนิ ตอ่ ไป จงึ ไดโ้ ปรดให้พระราชโอรสศึกษาวิชาการต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนนั้ ตามประวตั ิ
บง่ วา่ “ศิลปะศาสตร์” ศกึ ษาจบถึง ๑๘ สาขา ถ้าเทียบกบั สมยั ปจั จุบัน หมายถงึ พระพทุ ธเจา้
ได้สำเรจ็ ปริญญาโลกหลายสาขา ยงิ่ กว่าด็อกเตอรห์ รือดุษฎีมหาบณั ฑติ คนใดๆ ในยุคนี้ และ
หากจะพิมพ์นามบตั รมดี ีกรพี ว่ งท้ายไปดว้ ย ตอ้ งใช้การ์ดแผน่ ใหญม่ าก
“ศิลปะศาสตร”์ ทั้ง ๑๘ สาขานัน้ มหี ลกั ฐานยืนยนั แนน่ อนวา่ พระองค์ทรงศึกษาเจน
จบท้ัง ๑๘ สาขา และมวี ชิ าโหราศาสตร์รวมอยดู่ ว้ ยสาขาหนึง่ ดว้ ยเหตุนเ้ี ม่อื พระองคอ์ อก
บวชและสำเรจ็ “สพฺพญฺญุตญาณ” ทางศาสนาเพมิ่ อกี สาขาหนงึ่ พระองค์จงึ ทรงบญั ญัตหิ ลัก
วชิ าการตา่ งๆ ลงใน “พุทธศาสนา”
ฉะนน้ั หลักพทุ ธศาสนาในปัจจุบันน้ี บางข้อบางประการจึงคลา้ ยคลึงกับหลกั ทาง
โหราศาสตร์ ซึง่ แสดงใหเ้ หน็ ว่าพระองคไ์ ด้ยดึ เอาหลักวชิ าการทางโหราศาสตรม์ าเป็นแนว
พืน้ ฐาน ในการบญั ญตั วิ ิชาการทางพทุ ธศาสนาของพระองค์ดว้ ย ตวั อยา่ งข้อนค้ี อื หลกั
“กาลญฺญุตา” คือจะทำอะไรให้รู้จักกาลเวลาทีเ่ หมาะกนั ตรงกบั หลักการคือ “ฤกษ์” ในทาง
โหราศาสตรน์ น่ั เอง เพราะวา่ การดูฤกษน์ น้ั คือการดเู วลาอันเป็นศภุ มงคลท่ีเหมาะสมในการ
ประกอบกจิ การงานต่างๆ เพอื่ ความสขุ ความวัฒนาถาวร ความสำเร็จผล และเพ่อื ประสิทธ์ิ
ฯ ความเจริญใหไ้ ด้ตอ้ งตามความตอ้ งการนนั่ เอง น่ีแหละคอื ความสมั พันธ์ระหว่าง
โหราศาสตร์กบั พทุ ธศาสนา
ขอ้ แนะนำในการศกึ ษาวิชาโหราศาสตร์
เนอ่ื งจากวชิ าโหราศาสตรเ์ ปน็ วชิ าทล่ี ึกลบั ซับซ้อน การศกึ ษาจงึ มีแตก่ ารสบั สน
สลบั ซับซอ้ นทวั่ ๆ ไป หลักสำคัญมีอยู่ว่า
๑. ทา่ นตอ้ งเรียนไปอย่างชา้ ๆ อยา่ ดว่ นรีบเรยี นจนเร็วเกนิ ไป อาจทำให้ทา่ นสับสน
ยุ่งยากใจข้ึนภายหลงั
๒. ต้องศึกษากฎเกณฑ์หลกั มูลฐานขั้นตน้ โดยทัว่ ๆ ไปเปน็ ขน้ั ๆ โดยใช้เวลาพอสมควร
๓. เรยี นอย่างมีระเบยี บด้วยวธิ ีทถ่ี กู ตอ้ งเป็นข้นั ๆ อยา่ ข้ามไปข้ามมา มฉิ ะนน้ั จะจับ
หลักไขวเ้ ขวและปนไปกนั หมด กอ่ ให้เกิดความเสียหายแก่ผลวินิจฉยั ทีต่ ้องอาศัยหลกั
เปรียบเทียบความสมั พนั ธ์
๔. การวเิ คราะห์หาความชำนาญ ใชว้ ธิ อี นมุ าณเปรยี บเทยี บวา่ สอดคลอ้ งหรือขัดแย้ง
เสริมกำลังหรือลดกำลังลงไปแค่ไหน การประมาณหนกั เบาตลอดถึงผลมากน้อย
๕. เมอื่ ศกึ ษามาพอสมควรแล้ว ฝกึ หดั ปญั หาคำถามต่างๆ แลว้ ค้นหาวิธตี อบ ท่านควร
ลองใช้ความพยายามด้วยความรู้ความเขา้ ใจของทา่ นเองเสียช้ันหนึง่ กอ่ น ครูของท่านคอื ตัว
ของทา่ นเอง และท่านควรจะซ่อื สัตย์ตอ่ ตัวเองดว้ ย
ถา้ ทา่ นมโี อกาสกค็ วรหดั พยากรณ์คนในบา้ นของท่านทุกคน เพ่ือนๆ ของทา่ นเพ่ือหา
ความเจนจัดจากประสบการณ์จริงๆ เรื่อยไป
การศึกษาวิชาโหราศาสตร์เป็นของกว้างขวางและพิสดารมาก ถา้ หากจะเอาตำรามา
รวมกันท้ังเกา่ และใหมก่ น็ ับเป็นจำนวนพันๆ เล่ม และรวมทั้งภารตะ สากล ไทย จีน กน็ ับกัน
ไม่ไหว ฉะนนั้ การศึกษาวิชาโหราศาสตร์จึงไมร่ ูจ้ ักจบสิ้นลงไดเ้ หมือนกับวิชาการแพทยซ์ ึง่ มี
โรคเพม่ิ ขึน้ ฉนั นัน้ แต่เทา่ ที่ทราบโหรทงั้ หลายเอาแต่ส่วนที่เข้ากนั ไดเ้ ฉพาะโหรไทยแลว้ นิยม
ทำนายกันทางราศี ท่ีเรยี กวา่ “ดวงจกั รราศ”ี การศึกษาวิชาโหราศาสตรเ์ พอ่ื เขา้ ใจแต่ละ
อย่างใหแ้ จม่ แจ้งชดั เจนไมใ่ ช่อยู่ทกี่ ารท่องจำอย่างนกแกว้ นกขุนทอง ตอ้ งอยู่ที่การเขา้ ใจทุก
สิง่ ทกุ อย่างทกุ แงท่ กมุม เชน่ กบั การผสมสเี ป็นต้น เรารู้จักการเอาสมี าผสมกัน สีแดงกับสขี าว
จะออกเปน็ สีอะไร ถา้ เราอา่ นสีผสมนน้ั ออกกเ็ รยี นโหราศาสตร์เขา้ ใจไดแ้ จ่มแจ้ง สแี ดงผสม
สขี าวต้องออกสีผสมเปน็ สชี มพู เม่ือผสมสเี ป็นเราก็สามารถเรียนวชิ าโหราศาสตร์กันไดเ้ ท่า
เทยี มกนั ทุกคน ไม่เป็นการสำคญั ที่ต้องมพี รสวรรคห์ รือบุคลิกลกั ษณะแต่ประการใด สว่ น
การพยากรณ์พิสดารเป็นเรื่องทนี่ กั พยากรณจ์ ะสอนตัวเองด้วยการคน้ สอบหาความชำนาญ
ต่อไป
ดงั คำโคลงของลน้ เกลา้ ฯ รชั กาลที่ ๕ ดังนี้
ฝูงคนกำเนิดคล้าย คลงึ กนั
ใหญ่ยอ่ มเพศผวิ พรรณ แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด
ยกแต่ชั่วดกี ระด้าง อ่อนแกฤ้ ไหว ฯ
การศกึ ษาวิชาโหราศาสตรข์ นั้ แรก
การศกึ ษาวชิ าโหราศาสตรใ์ นขัน้ แรก ควรทำความเขา้ ใจคำวา่ จักรวาลเสียก่อนแลว้ จงึ
รู้จกั กบั คำวา่ สุรยิ จักรวาล และจกั รราศีในขัน้ ต่อไปเปน็ ลำดับ สง่ิ เหล่าน้ีจะเปน็ พน้ื ฐาน
การศกึ ษาวิชาโหราศาสตร์ต่อไป
จักรวาล
จักรวาล หมายถึง ปริมณฑลท้องฟ้าอันไดแ้ ก่ วงรอบหรือวงกลมของทอ้ งฟา้ พูดอย่าง
งา่ ยๆ จกั รวาล หมายถงึ เน้ือท่แี ผน่ ฟ้าครอบคลุมตัวเรา ฉะน้ันเม่ือเราอยู่ ณ ที่ใดๆ ก็ตาม มอง
ตรงไปในทีโ่ ลง่ แจง้ รอบๆ ตัวจะเหน็ เป็นท้องฟา้ แหงนหนา้ ขนึ้ เรากพ็ บแต่ทอ้ งฟ้า เนอื้ ทข่ี อง
ท้องฟา้ ทง้ั หมดนนั้ แหละคอื จกั รวาล
สุรยิ จักรวาล
สรุ ิยจกั รวาล คือ จักรวาลท่ีมดี วงอาทติ ย์เปน็ ศูนย์กลาง หรือเปน็ หลกั เป็นประธาน มอี กี
ชื่อหนึ่งเรียกวา่ ระบบสุรยิ คดี อันหมายถึงระเบยี บแบบแผนทร่ี วมส่วนตา่ งๆ อนั เกี่ยวกบั ดวง
อาทติ ย์เข้าดว้ ยกนั ตามลำดับ และสรุ ิยจกั รวาลน้ันประกอบไปดว้ ย ดวงอาทติ ย์เปน็ ประธาน
และมีดาวเคราะห์ พธุ ศุกร์ โลก อังคาร พฤหัสบดี เสาร์ และดวงจันทรเ์ ปน็ บริวาร
จกั รราศี
จักรราศี คือ เขตท่กี ำหนดเปน็ เส้นทางรวมกัน โอบอยู่โดยรอบเปน็ รปู วงกลมในทอ้ งฟ้า
มรี ะยะจากสรุ ิยวถิ ขี า้ งละ ๙๐ องศา เรียกว่า ภาจักร หรือ รศั มีมณฑล เป็นวงกลมทไ่ี มม่ ีต้น
และปลาย เพ่อื สะดวกแกก่ ารกำหนดระยะ จงึ ตั้งจุดเร่ิมต้นเปน็ จุดหมายตายตัวขนึ้ เรยี กวา่
จดุ ต้นของราศี เรมิ่ ราศีเมษ จักรราศีหมุนอยู่รอบแกนวันละรอบ จากตะวันออกไปตะวันตก
สรุ ยิ วถิ ี คอื ทางโคจรของอาทิตย์ เรียกวา่ อปมณฑล หรอื รวมิ รคา เป็นทางตรงผ่าน
ตลอดศูนย์กลางของเส้นทางรอบจักรราศี
ราศี คือ ส่วนหน่งึ ของจักรราศใี นห้วงเวหาของสุรยิ วิถี แบง่ ออกเป็น ๑๒ ภาค เรียกแต่
ละภาคว่า ราศี ราศหี นง่ึ มีระยะเขต ๓๐ องศา และเฉพาะราศีหนึ่งๆ มีคุณภาพพเิ ศษตา่ งๆ
กัน และราศีหนึง่ แบง่ ออกเปน็ ส่วนใหญ่อกี ๓ ส่วน เรียกวา่ ตรียางค์ และตรยี างคห์ น่ึงๆ
แบง่ เปน็ ซอยลงไป ๓ ซอย เรียกวา่ นวางค์ รวมการแบ่งจกั รราศีมดี ังนีค้ อื ภายในจักรราศี
แบง่ เปน็ ๑๖ ราศี
๑ ราศี มี ๓๐ องศา เทา่ กบั ๓ ตรยี างค์
๑ ตรยี างค์ เทา่ กบั ๓ นวางค์
๑ นวางค์ เทา่ กบั ๒๐๐ ลิปดา
๑ องศา มี ๖๐ ลิปดา ๑ ลิปดา มี ๖๐ ฟิลปิ ดา
ดังนั้นทั้งหมดโคจรรอบของจกั รราศีได้ ๓๖๐ องศา หรือ ๓๖๐ x ๖๐ ได้ ๒๑๖๐๐ ลปิ ดา
หรือ ๒๑๖๐๐ x ๖๐ ได้ ๑๒๙๖๐๐๐ ฟลิ ิปดา รวม ๑๒ ราศี มี ๓๖๐ องศา มี ๓๖ ตรียางค์
มี ๑๐๘ นวางค์ ราศีหนึง่ มี ๓ ตรียางค์ ๙ นวางค์
นกั ษตั ร คอื ดาวฤกษอ์ ันเป็นแขกของสรุ ยิ วิถหี มดู่ าว ๒๗ หมู่ หมู่ดาวหรอื นักษตั รเหล่าน้ี
เรียกกนั วา่ เปน็ ท่อี าศัยของดวงจันทร์ เพราะดวงจันทรต์ อ้ งอาศัยจรผา่ นเขา้ ในหม่นู กั ษตั ร
เหลา่ นีค้ รบทั้ง ๒๗ นกั ษตั ร จึงได้ ๑ รอบวงจร ดงั นน้ั ดวงจันทร์จึงสมั พันธอ์ ย่างใกลช้ ดิ กบั
นักษัตรทั้ง ๒๗ นี้ เม่ือจันทร์ผ่านหมู่นักษัตรในสรุ ยิ วิถคี รบ ๒๗ นกั ษตั ร หรือครบรอบหนง่ึ ก็
เป็นทห่ี มายได้วา่ ๑ เดอื นจันทรคติ นักษตั รหนึง่ แบง่ ออกเป็น ๔ สว่ น เรยี กส่วนนนั้ ๆ วา่ บาท
หรอื จตั ุภาค และบาทหนึ่งเทา่ กับ ๓ ๑/๓ องศา (๓ องศา ๒๐ ลปิ ดา) รวมรอบจักรราศีหรือ
เสน้ โคง้ ของจกั รวาลหรือว่ารวมทง้ั จักรราศปี ระกอบดว้ ย ๑๐๘ บาท เท่ากบั ๑๐๘ นวางค์
น่นั เอง ดังน้ันนกั ษัตรหนงึ่ แบง่ ออกได้ ๑๓ องศา ๒๐ ลปิ ดา ราศีและนักษตั รท้งั ๒ อยา่ ง
ถอื เอาจุดเริ่มตน้ ณ ทจ่ี ุดเดียวกันของราศีเมษ และเปน็ จุดเร่มิ ต้นของนักษัตรอัศวนิ ดี ้วย
หมายความวา่ ทัง้ ราศแี ละนกั ษตั รร่วมจดุ เริม่ ต้นจดุ เดยี วกัน
ระบบดาวเคราะห์
ระบบดาวเคราะห์ คอื ระบบสรุ ิยะ โดยมีดาวเคราะหม์ ีรัศมแี รงกล้า คือดวงอาทติ ยเ์ ปน็
ประธาน ประกอบด้วยดาวเคราะห์ ๗ ดวง (รวมทง้ั อาทิตย์เองด้วย) ดาวเคราะห์ทุกดวงรักษา
ศนู ยก์ ลางของการหมนุ เวียน และศูนยก์ ลางท่ไี ด้รบั แสงโชตชิ ่วงไวไ้ ด้ด้วยการดงึ ดูดจากกำลงั
ของอาทติ ย์และเคลอื่ นตวั เป็นวงอยู่รอบดวงอาทติ ย์ ระยะทด่ี าวเคราะหเ์ คล่ือนไปจากจุด
หน่งึ ถงึ อกี จดุ หน่ึงไม่เท่ากนั เปลย่ี นไปตามเหตุเฉพาะของแต่ละดาวเคราะห์ในระบบดาว
เคราะห์น้นั มีราหแู ละเกตรุ ว่ มอยู่ด้วยโดยถือเปน็ อปรภาศะเคราะห์ (ดาวเคราะห์ไมม่ ีแสง)
ความสำคัญของดาวเคราะห์ทง้ั ๒ นี้ เม่ือเข้าไปสถิตราศใี ดก็คล้อยตามสัญลักษณ์ของราศี
นั้นๆ
ดาวเสาร์อยู่ห่างไกลจากพ้ืนปฐพมี ากท่สี ดุ ต่อมาพฤหสั บดี องั คาร อาทิตย์ ศุกร์ พธุ
และจันทรใ์ กลเ้ ข้ามาตามลำดับ
การหมนุ เวียนและอาการหมุน ทา่ นโบราณจารยไ์ ด้สงั เกตเห็นว่าอาการเคลื่อนไหว
ของแตล่ ะดาวเคราะหไ์ ดก้ ่อให้เกิดอิทธพิ ลเหนอื ปรากฎการณ์ของพ้นื ปฐพี เพราะดาว
เคราะห์ทุกดวงรับกำลงั ดึงดดู และแสงโชติช่วงจากดวงอาทติ ย์ ดาวเคราะห์ดำเนินการ
เคลอ่ื นไหวพร้อมกัน ๒ อยา่ ง คอื
๑. เคลื่อนไหวไปรอบดวงอาทิตย์ เพอ่ื รกั ษาศนู ย์กลางของกำลงั ดงึ ดูด และศนู ยก์ ลาง
ของแสงโชติช่วง ในขณะดาวเคราะหก์ ำลังเคล่ือนไหวเกิดคลนื่ ในอากาศหรืออากาศเกิดเปน็
คล่นื
๒. ดาวเคราะห์เคล่ือนไหวหมนุ รอบตัวเอง เพ่ือรกั ษาการทรงตัวทางดิง่ ในขณะท่หี มนุ
ก็เกิดแรงเหว่ียงกระจายกระแสวัตถุส่วนประสมในตัว แปลเปน็ กระแสอทิ ธพิ ลเข้าประสม
สว่ นกับคลนื่ อากาศ และคลืน่ นี้พร้อมดว้ ยส่งกระแสอทิ ธิพลสง่ ตวั เองทยอยกนั มากระทบกบั
พน้ื ปฐพใี ห้เกดิ ปรากฎการณต์ ่างๆ สุดแท้แตก่ ระแสวตั ถปุ ระสมหรอื รวมความว่าคุณภาพของ
ดาวเคราะห์นัน้ สว่ นอทิ ธิพลออกจากตัวดาวเคราะห์
เม่ืออาการเคลือ่ นไหวของดาวเคราะหท์ ง้ั ๒ ประการ และรวมทัง้ โลกเข้าดว้ ย จึง
เรยี กว่าโคจรเป็นความหมาย
กำลังโคจรของดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แต่ละดวงมีกำลังเร็วในการโคจรของตวั เอง
โดยยดึ หลักระยะใกล้ไกลจากโลก เช่น ดาวเคราะหจ์ ันทร์เปน็ ตัวอย่าง ดาวเคราะหจ์ ันทรอ์ ยู่
ใกล้กับเรามากทส่ี ุด ดงั นัน้ จงึ โคจรไปอยา่ งรวดเร็ว ดาวเคราะหจ์ ันทรโ์ คจรไปรอบจกั รราศี ๑
รอบ ประมาณ ๓๐ วนั จนั ทรคติ ดาวเสาร์อยู่ไกลมากท่สี ุดจากโลก มีอาการเชื่องช้า ดงั น้นั
ดาวเสาร์จึงโคจรรอบจักรราศี ๑ รอบประมาณ ๓๐ ปี ดาวเคราะห์ไม่อาจรกั ษากำลังโคจรให้
เสมอคงที่ได้เพราะเหตุหลายประการ (จะเอาไวก้ ลา่ วละเอยี ดในบทตอ่ ไป)
ราศี และความหมาย
ทศั นของโหราศาสตร์ ถอื โลกเป็นศนู ยก์ ลางมีดาวเคราะห์เปน็ บรวิ ารโคจรอยู่รอบโลก
ไดแ้ บง่ ที่วา่ งในท้องฟา้ หรือจักรวาลออกเป็น ๑๒ สว่ น เพื่อไว้เป็นที่หมายการโคจรของ
ดวงดาวกำหนดสว่ นน้ันๆ เรยี กว่าราศี รวมเป็น ๑๒ ราศี หรอื ๑๒ ส่วนเข้าด้วยกนั เรียกวา่
จักรราศี จกั รราศเี ปน็ วงกลมใหญ่ในท้องฟ้า เรมิ่ ต้นท่ีดาวฤกษ์อัศวนิ แี ลว้ มาบรรจบทดี่ าว
ฤกษอ์ ศั วนิ อี ีก
ทง้ั ๑๒ ราศีภายในจักรราศี สมมุติช่ือและกำหนดให้มนี กั ษตั รประจำราศไี ว้เฉพาะแต่ละ
ราศี เรม่ิ ต้นท่ีจดุ ดาวฤกษอ์ ศั วินี
ราศีตน้ หรือราศที ่ี ๑ เรียกว่าราศเี มษ แพะเปน็ นักษตั รประจำราศใี ช้ ๐ เปน็ เครือ่ งหมาย
ทุกๆ ราศมี ีคณุ ลักษณะพเิ ศษให้ความหมายต่างๆ กนั นบั เวียนจากขวาไปซา้ ย (ทวนเขม็
นาฬกิ า) เริ่มต้นทีร่ าศเี มษ บรรจบครบ ๑๒ ราศมี ีน ราศีหน่งึ ๆ มีชอื่ เรียกและเครอ่ื งหมาย
ต่างๆ กนั ดังน้ี
ราศเี มษ ใช้เลข ๐ เป็นเครือ่ งหมาย มรี ูปแพะประจำราศี หมายความว่า ความอดุ ม
สมบรู ณ์ เจ้าชาตา คือเปน็ คนม่งั มี มีการเลี้ยงแพะไว้บรโิ ภคนม
และเน้ือ หรอื ขายก็ไดเ้ ป็นธรรมดาสามัญชนสมยั ก่อนเข้าเล้ยี ง
ราศีพฤศภ ใช้เลข ๑ เปน็ เครอื่ งหมาย มรี ูปโคหรือกระบอื ประจำราศี ความหมาย
ของภาพอันนี้ แสดงวา่ อดุ มสมบรู ณ์เหมือนกัน แตเ่ หน็ จะต่ำกวา่
ราศเี มษ เพราะเราอาศัยใชแ้ รงงาน เช่นการทำไร่ไถนา
ราศีมถิ ุน ใชเ้ ลข ๒ เป็นเคร่ืองหมาย มีรปู คนสองคนกอดกนั อยผู่ ้หู ญงิ และผชู้ าย แต่
ตำราไม่บอกวา่ ทำอะไรกันต่อไปอีก ก็หมายความเอาเองว่า มี
ความสุขความสมบรู ณ์ในเร่ืองเพศตรงขา้ ม
ราศีกรกฎ ใช้เลข ๓ เปน็ เครอ่ื งหมาย มีรูปปปู ระจำราศี คอื เปน็ สัตว์มากเทา้ และ
ย่อมอยู่หางไกลจากบ้าน แตก่ ย็ งั มีท่อี ยู่ได้เช่นน้ีตอ้ งอาศัยรู
หมายความวา่ ผนู้ ั้นเป็นคนดีเด่น จึงมีสตั ว์ชนดิ นี้บริโภค
ราศสี ิงห์ ใชเ้ ลข ๔ เปน็ เคร่ืองหมาย มีรูปราชสหี เ์ ปน็ สัตว์ประจำราศี ความหมาย
ของราศีนี้แสดงใหเ้ ห็นว่า ทา่ ทางสงา่ ผ่าเผย เปน็ ที่เกรงขามของ
สตั วท์ ้งั ปวง มีอทิ ธพิ ลมาก
ราศกี ันย์ ใชเ้ ลข ๕ เปน็ เคร่อื งหมาย มีรูปผู้หญิงสาวสวยและพรหมจารปี ระจำราศี
ซ่ึงยนื อยใู่ นเรือริมฝ่งั มือถือรวงข้าว แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่สวย
เปล่าๆ แถมทรพั ย์สมบตั ยิ ังตดิ ตัวมาดว้ ย
ราศตี ลุ ย์ ใชเ้ ลข ๖ เปน็ เคร่ืองหมาย มรี ูปตาช่งั ซึ่งวางไวใ้ นตลาดประจำราศสี ำหรบั
ใหค้ วามยุติธรรมกับคนท่วั ไป ไม่ตอ้ งการจะให้คนเอารดั เอา
เปรยี บกนั
ราศพี จิ ิก ใชเ้ ลข ๗ เปน็ เครื่องหมาย มรี ูปแมลงป่องหรือก้งุ ประจำราศี ชอบชหู าง
วางทา่ แต่ตวั ของมันเองไม่ชอบไปไกลจากทอ่ี ยู่ทอ่ี าศยั ของมัน
ตามในสถานทชี่ ้นื ๆ ซึ่งคนวางไว้หรอื เป็นดว้ ยธรรมชาติ
ราศธี นู ใชเ้ ลข ๘ เปน็ เครอ่ื งหมาย มีรูปคนถอื ธนกู ำลังจะยิงสัตว์หรอื ยงิ อะไรก็ได้
แต่ตวั เป็นมา้ หัวเป็นคนกายเปน็ สตั ว์ หมายความว่าราศีน้ี เปน็
ราศีนกั ต่อสู้โดยธรรมชาติ
ราศมี ังกร ใชเ้ ลข ๙ เปน็ เคร่อื งหมาย มีรปู มงั กรประจำราศี มงั กรนี้เป็นสตั วท์ ่มี อี ายุ
ยืนนาน และเป็นเจา้ ของสัตว์ในทะเล นอกจากน้นั มีเท้าอีกด้วย
ถึงแม้บนบกกย็ ังเดนิ ได้
ราศกี ุมภ์ ใชเ้ ลข ๑๐เป็นเครื่องหมาย อนั มีรูปคนถอื หม้อนำ้ กำลงั เทลงเพือ่ ชว่ ยระงับ
ความเดอื ดรอ้ นของผูอ้ ื่นในการทข่ี าดแคลนน้ำบรโิ ภค หรือ
ดบั เพลงิ ที่เกดิ ขน้ึ
ราศมี นี ใช้เลข ๑๑เป็นเคร่อื งหมาย มีรูปปลาตะเพยี นคแู่ หวกวา่ ยคลอเคลียกันอยู่
อยา่ งมีความสุขความสบาย หมายความว่า ไม่มคี วามทุกขร์ ้อน
อะไรเลย
เรือ่ งราศแี ละความหมายของราศีนี้เราต้องจำให้ขนึ้ ใจ เพอ่ื นำไปใชใ้ นการผูกดวงชาตา
และพยากรณ์ควบค่กู ันไป หากเราจำราศแี ละความหมายของราศไี ม่ได้แลว้ ก็จะเป็นมลู เหตุ
ทำใหผ้ กู ดวงชาตาไม่ได้และพยากรณ์ไม่ได้ด้วย หรือผูกดวงชาตาคลาดเคล่อื น การพยากรณ์
เลอะเลอื น
การพยากรณ์ทางโหราศาสตรน์ ัน้ เราต้องพนิ ิจพจิ ารณามาก เพราะทุกอยา่ งที่มีอยใู่ น
ตำราทา่ นใหเ้ อามาประสมเป็นคำพยากรณท์ ั้งสน้ิ
ธาตขุ องราศี
เมือ่ เราจำราศแี ละความหมายของราศไี ด้ดีแลว้ เราตอ้ งรู้จกั ธาตุของราศีอีกต่อไป
ธาตใุ นราศีเมษ คือ ธาตุไฟ ไฟรอ้ นแรงที่สดุ เปน็ ไฟอันประกอบดว้ ยลม เชน่ ไฟ
ถลุงเหลก็ ทำให้เหลก็ อ่อนหรอื ละลายเป็นนำ้ ไปเลยก็
ได้
ธาตใุ นราศีพฤศภ คอื ธาตดุ ิน คือดนิ ในท่ีสูง คอื ดนิ แขง็ ไม่มนี ้ำเจือปน
ธาตใุ นราศีมิถนุ คือ ธาตลุ ม ลมที่รา้ ยอันจะนำมาซ่ึงสง่ิ ทีเ่ ราไม่พึงปรารถนา เชน่
ลมปาก ลมนำโรครา้ ยมา นำกลิ่นเหมน็ มา
ธาตใุ นราศีกรกฎ คือ ธาตุนำ้ คือนำ้ ทเ่ี ขาจัดสรรไว้ เช่นน้ำในขวดในโอง่ ในถัง
ธาตใุ นราศีสิงห์ คอื ธาตไุ ฟ ไฟอันเกิดขน้ึ โดยฉับพลันทนั ใด เช่น ฟ้าผา่ หรือไฟฟ้า
ชอ็ ต หรอื จะเรียกวา่ ไฟปรมาณูก็ได้
ธาตุในราศีกนั ย์ คือ ธาตดุ นิ ดนิ ท่อี ยู่ริมน้ำชนดิ ดนิ เปียกไมแ่ ขง็ ไมเ่ หลว
ธาตุในราศีตุลย์ คอื ธาตุลม คอื ลมธรรมดา ซง่ึ พัดไปมาตามปกตนิ ้เี อง
ธาตุในราศีพิจกิ คือ ธาตุน้ำ คอื นำ้ ทข่ี ังอยโู่ ดยธรรมชาติ เชน่ น้ำในสระในหนองใน
บงึ
ธาตุในราศีธนู คือ ธาตไุ ฟ ไฟประกอบกบั นำ้ คอื ประสมกบั ของเหลวนน่ั เอง เชน่
ไฟตะเกยี ง ไฟอันทำให้น้ำเดือดร้อนแรง
ธาตุในราศีมงั กร คือ ธาตดุ ิน คอื ดนิ ทอี่ ยใู่ ตน้ ้ำ ไมแ่ ขง็ ไม่เปยี ก เหลวไปเลย
ธาตใุ นราศีกมุ ภ์ คือ ธาตลุ ม คอื ลมทีร่ า้ ยแรง เช่น ลมพายุ อนั เป็นความรุนแรง
เกนิ กว่าธรรมชาตมิ าก เช่น ปะทะเรอื ๆ กล็ ม่ ปะทะ
บา้ นๆ กพ็ ัง ปะทะตน้ ไมๆ้ ก็พงั ล้ม
ธาตุในราศีมนี คือ ธาตุน้ำ คอื นำ้ ชนดิ ไหลขึน้ ไหลลง ไมไ่ ด้อยู่ตามปกติ ไดแ้ ก่นำ้
ในแมน่ ้ำลำคลอง
ลกั ษณะและกำลงั ของราศี
ลกั ษณะหรือประเภทและกำลงั ของราศี ทา่ นได้จดั ไว้ ๓ หมวด คือ
๑. ราศที ่มี ีกำลังแรงหรือเคล่ือนไหวเรว็ เรียกวา่ จรราศี ไดแ้ ก่ ราศี เมษ กรกฎ ตุลย์
มังกร หรอื เรียกวา่ ราศเี คล่อื นไหว เปน็ ราศที ่บี อกลักษณะและกำลังแสดงใหเ้ ห็น
ความสามารถในการบรหิ าร ผทู้ เ่ี กิดในราศีนีจ้ ะมกี ำลังใจในการเป็นผนู้ ำความทะเยอทะยาน
ใฝส่ ูง ความสามารถในการทำงานรดุ หนา้ เพอ่ื ต้านทานความยากลำบากตา่ งๆ
๒. ราศีทม่ี ลี ักษณะและกำลงั เชอ่ื งช้าหรอื ตงั้ ม่นั อยู่กับที่ เรยี กวา่ สถิรราศี ได้แก่
ราศีพฤศภ สิงห์ พิจกิ กมุ ภ์ หรอื เรียกว่าราศีคงท่ี เปน็ ราศีท่ีบอกลกั ษณะและกำลังความเปน็
หลกั ฐานมั่นคง ความอดทน ความมานะ การทตู ผู้ท่เี กดิ ในราศนี ้ีจะมีความม่ันคงใน
ความหมายของความตั้งใจอนั แนว่ แน่
๓. ราศที ม่ี ลี ักษณะและกำลังไมแ่ น่นอน เรว็ กไ็ ด้ ชา้ ก็ได้ หรือเรียกว่าทวภิ าวราศี ไดแ้ ก่
ราศี มถิ ุน กนั ย์ ธนู มนี หรือเรียกว่าราศสี ามัญ เปน็ ราศีทบ่ี อกลักษณะและกำลงั ชี้ใหเ้ ห็น
ความสามารถหลายอย่าง ความโอนอ่อนผ่อนตาม มักประสบความขาดแคลนแตเ่ ดิมมา ผู้ที่
เกิดในราศนี จ้ี ะมคี วามรหู้ ลายอย่าง อย่างละเลก็ ละนอ้ ย แต่ความเป็นอยมู่ กั ประสบความ
ขาดแคลนบ่อยๆ
เครือ่ งหมายแทนดาวและกำลงั โคจรของดาว
ดาวเคราะห์ที่ปรากฏอยู่ในโหราศาสตรไ์ ทยมีอยู่ ๑๐ ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ทุกดวง
โคจรเป็นวงรอบโลกในเขตรศั มีของสรุ ิยวิถี มเี คร่ืองหมายแทนชื่อและมีอัตรากำลงั โคจร
ต่างๆ กนั คือ
อาทิตย์ เลข ๑ อักษร อ เปน็ เครอ่ื งหมายแทน มีกำลังโคจรปกตริ าศีละ ๓๐ วัน
จนั ทร์ เลข ๒ อักษร จ เป็นเครื่องหมายแทน มีกำลงั โคจรปกตริ าศีละ ๒ วนั ครึง่
อังคาร เลข ๓ อกั ษร ภ เปน็ เครอ่ื งหมายแทน มกี ำลงั โคจรปกตริ าศลี ะ ๔๕ วนั
พธุ เลข ๔ อกั ษร ว เปน็ เครอ่ื งหมายแทน มกี ำลังโคจรปกตริ าศลี ะ ๓๐ วนั
พฤหสั บดี เลข ๕ อกั ษร ช เปน็ เคร่ืองหมายแทน มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๑ ปี
ศุกร์ เลข ๖ อกั ษร ศ เปน็ เครอ่ื งหมายแทน มกี ำลงั โคจรปกติราศีละ ๓๐ วนั
เสาร์ เลข ๗ อักษร ส เปน็ เคร่อื งหมายแทน มีกำลงั โคจรปกติราศีละ ๒ ปคี รึง่
ราหู เลข ๘ อักษร ร เปน็ เครอ่ื งหมายแทน มกี ำลงั โคจรปกติราศลี ะ ๑ ปคี รึ่ง
เกตุ เลข ๙ อักษร ก เปน็ เคร่อื งหมายแทน มกี ำลังโคจรปกตริ าศลี ะ ๒ เดอื น
มฤตยู เลข ๐ อกั ษร ม เป็นเครื่องหมายแทน มกี ำลงั โคจรปกติราศีละ ๗ ปี
การโคจร หรือการเคลื่อนทไี่ ปของดาวทกุ ดวง เวน้ อาทิตย์และจันทร์ เฉพาะดาวบาง
ดวงกม็ ีอาการเคลอ่ื นที่ไปอยา่ งผิดปกติ ถา้ โคจรเร็ว เรยี กว่าเสริดถ้าชา้ กวา้ ปกตหิ รือถอยหลงั
เรียกว่าพกั ร ถ้าอยูใ่ นราศหี นงึ่ นานกว่าปกตเิ รยี กว่ามนท์
ดาวท้ังหมด เว้นแต่ราหู เกตุและมฤตยู ต่างเปน็ เจา้ ครองประจำราศที ้งั ๑๒ ราศี
เรยี กวา่ เกษตร หรอื เรียกวา่ เจ้าที่หรอื เจา้ เรือน
สำหรบั ดาวเคราะห์ใดท่คี รอง ๒ ราศี คอื องั คาร พฤหัสบดี พุธ ศุกร์ และเสาร์ เรยี กว่า
เอกาธปิ ไตย
อธบิ ายเร่อื งดาว พกั ร-เสรดิ -มนท์
พักร เมื่อดาวเคราะห์ใดท้งิ ระยะห่างจากดวงอาทิตย์มากข้ึน กำลังเคลอื่ นของดาวน้นั จะ
ช้าลงหรอื ถอยหลัง เรยี กวา่ ดาวดวงน้นั พักร คือเม่ือดาวเคราะห์ออกอยนู่ อกทางทอี่ ยใู่ นระยะ
ใกล้ชิดกบั ดวงอาทติ ย์ซ่ึงเปน็ ทางโคจรธรรมชาติของดาวเคราะห์นั้นเอง เพราะเมือ่ ถอยห่าง
จากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์นน้ั กเ็ สยี กำลงั ดงึ ดูดที่ไดจ้ ากดวงอาทติ ยไ์ ปทลี ะเล็กละน้อย
เพื่อใหไ้ ดก้ ำลงั นั้นคนื มา ดาวเคราะหจ์ งึ มอี าการพกั ร
เสริด เมอ่ื ดาวเคราะห์ใดเคลอ่ื นจากระยะไกลอาทติ ย์ เข้าระยะใกลก้ ับอาทิตยย์ อ่ มใกล้
เขา้ ไปกไ็ ดก้ ำลังดงึ ดดู จากอาทติ ยม์ ากขนึ้ ดังน้ันจึงเพิ่มกำลังความเร็วขึน้ เรียกวา่ เสริด คือ
ความเรง่ รีบ
มนท์ คือดาวเคราะหโ์ คจรอยใู่ นลกั ษณะเร่ิมชา้ ลง พิกดั แต่ละวันเรมิ่ ลดลงๆ เป็นอยา่ ง
นั้นอยู่ช่วั ระยะหนึง่ แลว้ ก็กลับโคจรย้อนวิถี
รปู แสดงวิถจี ักรดาวเคราะห์โคจรรอบโลก
ดาวเคราะห์แต่ละดวง ตา่ งกม็ วี ิถโี คจรของตนเองเปน็ อิสระ และโคจรรอบโลกแบบทวน
เข็มนาฬกิ า ยกเว้นเฉพาะราหูและเหตซุ ง่ึ โคจรนอกแบบ คือโคจรตามแบบเข็มนาฬิกา ดาว
ดวงไหนอยใู่ กลโ้ ลกช่องราศีจะแคบ การโคจรเพอ่ื ใหผ้ า่ นพน้ สดุ ราศกี ็ใช้เวลาเรว็ สว่ นดาวดวง
ไหนท่ีอยูห่ ่างไกลออกไป ยง่ิ ห่างออกไปมากช่องราศีกย็ ิง่ กวา้ ง การโคจรเพ่ือให้ผา่ นพน้ ราศี
หนง่ึ ๆ ก็ต้องกินเวลานานกวา่ ตำแหนง่ ของดาวที่อยู่ใกลโ้ ลก
ท่านลองรำลูกศรชีต้ ามเสน้ ทางโคจรของดาวแตล่ ะดวงดู แลว้ ขดี เสน้ แบง่ ช่องราศใี ห้
เทา่ กนั เป็น ๑๒ ชอ่ งราศี เขียนช่อื ราศีประจำไว้ให้ครบแตร่ าศี เมษ-มีน จะเหน็ วธิ โี คจรของ
ดาวได้ชดั เจนและเข้าใจดยี ง่ิ ขึน้
ดาวที่มีอิทธิพลเกี่ยวข้องแกโ่ ลกและมนษุ ย์
ดาวมีอิทธพิ ลเกี่ยวข้องแก่โลกมนษุ ย์มีอยู่ ๒ ชนิด
๑. เปน็ ดาวประจำราศีท่ีในท้องฟ้ารวมกนั เป็นหมู่ๆ มอี ยู่ ๒๗ หมูเ่ รียกวา่ ดาวฤกษ์ แต่
ละหมู่อยู่หา่ งกันเปน็ ระยะตลอด ๑๒ ราศี
๒. เปน็ ดาวเคลอ่ื นท่ี มอี ทิ ธิพลอำนาจดีร้ายใหแ้ กโ่ ลกและมนุษย์ เรียกว่าดาวเคราะห์
ส่งิ มชี วี ติ ได้กระทบหรือรบั ธาตคุ รบทัง้ ๔ ธาตุ คอื เมอ่ื รา่ งกายได้กระทบอากาศและเรมิ่
หายใจในครงั้ แรก ขณะนั้นกร็ บั เอาอทิ ธพิ ลของดาวเคราะห์ต่างๆ เข้าไว้ในร่างกาย เปน็
อิทธิพลประจำกำเนดิ ใหผ้ ลแกจ่ ติ ใจและรา่ งกายใหเ้ ปน็ ไปต่างๆ ตลอดชวี ิต สดุ แท้แตป่ ริมาณ
ของอิทธิพลคณุ ภาพและลกั ษณะของดาวเคราะห์ เจ้าของอิทธิพลนั้นๆ เปน็ อิทธพิ ลประจำ
กำเนิดจะคงอยใู่ นร่างกายตลอดชวี ติ
ในระหว่างชีวิตทเี่ ปน็ อยทู่ กุ วัน กร็ บั กระแสอทิ ธขิ องดาวเคราะหต์ ่างๆ ทีโ่ คจรหมนุ เวียน
อยู่ กระแสอทิ ธพิ ลของดาวเคราะห์จรหรืออิทธพิ ลจรทร่ี บั น้ี เมอื่ เขา้ กระทบกบั กระแสกำเนิด
ถา้ เปน็ กระแสท่ไี มข่ ัดกันเขา้ ร่วมกันได้สว่ นและอยใู่ นท่ีเหมาะสมก็ให้คุณแก่ชีวติ และรา่ งกาย
ถ้าเป็นกระแสท่ขี ดั กนั เขา้ กันไม่ได้กใ็ ห้โทษ
ดาวฤกษ์
ดาวฤกษ์เปน็ ดาวท่ีตรงึ อยู่กบั ทใี่ นท้องฟ้าไม่เปลี่ยนแปลง รวมกันเป็นหม่ๆู มี ๒๗ หมู่
การแบง่ ดาวฤกษเ์ ป็นหมู่ๆ นี้ เพื่อการดดู าวของคนโบราณในเวลากลางคืนและเพ่อื สำหรบั ดู
จันทร์โคจรด้วย จงึ แบ่งดาวออกเป็น ๒๗ สว่ น หรอื ๒๗ หมู่ หรือ ๒๗ กล่มุ มีช่ือเรยี กดงั น้ี
กลมุ่ ดาวฤกษท์ ง้ั ๒๗ ฤกษน์ ี้ คนโบราณใช้ดดู ้วยตาเปลา่ ไม่มกี ลอ้ งส่องดูเหมอื นสมยั นี้
ตอ้ งอาศยั ดูดาวบนทอ้ งฟ้าเป็นประจำเพอื่ การนับเวลา และดูดาวฤกษใ์ นการเดนิ เรือหรือ
อยา่ งอ่นื และมกี ารพยากรณค์ นเกดิ ขณะเมอื่ จนั ทรโ์ คจรอยู่กลุม่ ดาวฤกษอ์ ะไร สำหรบั คำ
พยากรณค์ นเกิดขณะจนั ทร์อยูฤ่ กษ์อะไรน้นั จะกล่าวในตอนหลงั
สมยั น้ีการดูดาวฤกษ์มีผสู้ นใจน้อย หรอื เกือบจะไม่รู้จักกับดาวฤกษ์เอาเสยี เลย
เน่อื งจากใชน้ าฬกิ า หรือเขม็ ทศิ และอืน่ ๆ แทนเสียโดยมาก
อธิบาย
๑. หมู่ดาวฤกษแ์ ต่ละหมู่นน้ั ทอี่ าทติ ยโ์ คจรผ่าน เรยี กว่า ราศี สว่ นท่ีจนั ทร์โคจรผา่ น
เรยี กว่าฤกษ์ และจนั ทรผ์ ่านไป ๒๗ หมู่ เปน็ เวลาบรรจบเดอื นหน่งึ
๒. ในทน่ี ้ี นบั ขนึ้ ท่อี ศั วินีฤกษเ์ ปน็ ท่ี ๑ เวลาท่ีอาทิตย์โคจรมาถงึ ฤกษ์นีก้ ลางวันและ
กลางคนื เทา่ กัน เรยี กว่ามธั ยมกาล บรเิ วณทอี่ าทติ ย์โคจรในมธั ยมกาลน้ี เรยี กวา่ มชั ฌิม
มณฑล และเมือ่ ดาวเคราะห์ดวงใดโคจรมาบรรจบรอบท่ีอัศวินฤี กษก์ เ็ ป็นเวลาปหี นึง่ ของดาว
เคราะหน์ ัน้ ดงั นั้นดาวเคราะห์ทุกดวง จึงได้เรียกวา่ โลกกาล คือเปน็ ทก่ี ำหนดเวลาในโลก
๓. แต่ละฤกษ์มีกลมุ่ ดาวมากบา้ ง นอ้ ยบา้ ง เช่นฤกษอ์ ศั วินมี ี ๗ ดวง จงึ ทำให้มนษุ ย์เกดิ
มามีผวิ พรรณสัณฐานผิดแผกกนั ถา้ ผ้ใู ดเกดิ ในขณะท่ีดาวรศั มีสวา่ งรงุ่ โรจนก์ ำลงั ขึน้ เปน็ กลุ่ม
หรอื อย่ตู รงศรี ษะ ผู้นนั้ จะมีผวิ พรรณสะอาดผ่องใสสดช่นื มปี ัญญาไวฉลาดเฉยี บแหลม เปน็
ตน้
๔. ดาวฤกษ์ท่อี ยบู่ นท้องฟ้าเป็นกลุ่มๆ นนั้ ยงั เรยี กตา่ งกนั ออกไปอกี ถา้ ลากเส้นจาก
ดวงนไี้ ปดวงนนั้ ในกล่มุ หนึง่ ๆ มีลักษณะเหมอื นกบั ส่ิงใด ก็เรียกชอื่ อยา่ งน้นั เมอ่ื ตา่ งคนตา่ ง
ลากเส้นกย็ อ่ มนึกเห็นเปน็ รปู ไปตามที่คาดคะเน ดังนั้นดาวฤกษ์หม่หู นึ่งๆ จงึ เห็นเปน็ รูป
ต่างๆ กนั แลว้ กม็ ชี ื่อเรยี กต่างๆ กัน ดังกล่าวข้างต้น เช่น ฤกษ์ท่ี ๗ ปุยฝ้าย หรือพวงดอกไม้
ดอกบัวหลวง สมอสำเภา หรือรปู หีบ
๕. ดาวฤกษ์ทกุ ๆ กล่มุ มีดาวเคราะหเ์ ปน็ เจ้าเข้าครอบฤกษ์ทั้งหมด (จะอธิบาย
รายละเอียดเร่อื งดาวเคราะห์เปน็ เจา้ ครองฤกษ์ทง้ั หมดไว้ในเรือ่ งฤกษโ์ ดยเฉพาะ)
๖. ในดาวฤกษ์ท้ัง ๒๗ ฤกษ์ หรือ ๒๗ กลุ่ม หรอื ๒๗ หม่นู ้นั หมทู่ ี่จนั ทรเ์ สวย คือโคจร
ผ่านเม่อื วนั เพญ็ มีดาวฤกษ์ ๑๒ หมู่ คือ
ฤกษท์ ่ี ๑๔ จิตรา เรยี กตามเดือนจนั ทรคติวา่ เดอื นห้า จติ รมาส
เปน็ ต้นปี
ฤกษ์ท่ี ๑๖ วศิ าขา เรยี กตามเดือนจนั ทรคตวิ า่ เดือนหก วิศาขมาส
ฤกษ์ที่ ๑๘ เชษฐา เรียกตามเดือนจันทรคติวา่ เดือนเจด็ เชษฐมาส
ฤกษ์ที่ ๒๐ บุรพษาฒ เรยี กตามเดือนจันทรคติว่า เดือนแปด อาษาฒมาส
ฤกษท์ ่ี ๒๒ ศรวณะ เรยี กตามเดือนจนั ทรคติว่า เดือนเก้า สาวนมาส
ฤกษท์ ี่ ๒๔ บรุ พภทั รบท เรียกตามเดือนจนั ทรคตวิ า่ เดอื น
สบิ โปฐบทมาส
ฤกษ์ที่ ๑ อศั วนิ ี เรียกตามเดือนจนั ทรคตวิ า่ เดอื นสบิ เอด็ อัศวยุ
ชมาส
ฤกษท์ ่ี ๓ กฤติกา เรยี กตามเดือนจันทรคติวา่ เดือนสบิ สอง
กัตตกิ มาส
ฤกษท์ ี่ ๕ มฤคศิร เรียกตามเดือนจันทรคติว่า เดือนอา้ ย มฤคีรมาส
ฤกษท์ ี่ ๘ บษุ ย เรยี กตามเดือนจนั ทรคตวิ ่า เดือนยี่ บุษยมาส
ฤกษ์ที่ ๑๐ มฆา เรียกตามเดือนจนั ทรคติวา่ เดอื นสาม มาฆมาส
ฤกษท์ ่ี ๑๒ อุตรผลคนุ ี เรยี กตามเดือนจนั ทรคตวิ า่ เดอื นส่ี ผคั คุณมาส
ด้วยเหตนุ ี้ วนั มาฆะ จึงหมายความวา่ วนั ทจี่ นั ทร์เพ็ญเสวย ฤกษท์ ี่ ๑๐ คอื มาฆนักษัตร
ฤกษ์ หรือ วนั วิสาขะ จันทร์เพ็ญเสวยฤกษท์ ี่ ๑๖ คือ วสิ าขนกั ษัตรฤกษ์
หมายเหตุ
ในวรรณคดีไทย กม็ ีกล่าวถงึ กลุม่ ดาวตา่ งๆ ไว้มาก เช่น ในเรือ่ งพระอภัยมณขี องสนุ ทร
ภู่ ไดพ้ รรณนาเรื่องดาวไวว้ ่า
“ดูโนน่ แนแ่ ม่อรณุ รัศมี ตรงมือชดี้ าวเต่าน่ันดาวไถ
โนน่ ดาวธงตรงหน้าอาชาไชย ดาวลกู ไกเ่ หน็ อยู่เปน็ หมกู่ นั
นางอรณุ ทูลถามพระเจา้ ป้า ที่ตรงหน้าดาวไถช่ือไรน่ัน
นางบอกวา่ ดาวธงอยู่ตรงนน้ั ท่เี ห็นกนั เปน็ ระนาวช่อื ดาวโลง
แม้ดาวกามาใกล้ในมนุษย์ จะม้วยมตุ มรณาเป็นหา่ โหง
ดาวดวงสำเภามเี สากระโดง สายระโยงรยางค์หางเสือยาว
นัน่ แนแ่ มด่ ดู าวจระเข้ ศรี ษะเร่หกหางขึ้นกลาง
หาว
ดาวนดิ ทศิ พายัพดวู บั วาว เขาเรียกดาวยอดมหาจฬุ ามณี
โน่นดาวคนั ชง่ั ช่วงดวงสว่าง ที่พรา่ งพร่างพรายงามดาวหามผี”
วธิ ดี ดู าวฤกษป์ ระจำสบิ สองราศี วธิ ที ีง่ ่าย คอื แหงนหน้ามองหันศีรษะไปทางทิศเหนอื
ขวามือของเราเป็นทิศตะวันตกและทางซา้ ยมือเปน็ ทิศตะวนั ออก และให้ออกไปดทู อ้ งฟา้