z ?zÞ ¢²ªwh|¢²¤Ù¬w THE BEST DOCTOR IN THE WORLD ¡®¢¡Í 99.-
คำ�นำ� ปัจจุบันสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะการดำ เนินชีวิต ของคนปัจจุบัน เปลี่ยนจากชีวิตแบบชนบท การใช้เกษตรกรรมเป็นส่วนหนึ่งของการ ดำ รงชีวิต เปลี่ยนเป็นการใช้อุตสาหกรรมเข้ามาใช้ในชีวิตมากขึ้น เป็นผลสืบเนื่องทำ ให้ สุขภาพเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ซึ่งสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงนั้นเปลี่ยนไปทางด้านลบมากกว่า ด้านบวก เช่น การรับประทานอาหาร ในอดีต คนจะมีผลผลิตทางการเกษตร รับประทาน ผัก ผลไม้ตามฤดูกาลที่ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน รับประทานเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงเองตามธรรมชาติ แต่ปัจจุบันผู้คนส่วนมากใช้ชีวิตโดยอาศัยอุตสาหกรรม ใช้ชีวิตเร่งรีบ ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ เงินเดือน ใช้ชีวิตที่อาศัยความสะดวกสบาย โดยไม่คำ นึงถึงสุขภาพตนเอง ที่จริงแล้วสุขภาพ เราสามารถดูแลได้ไม่จำ เป็นต้องมีเวลาให้ตลอด 24 ชั่วโมง แค่ใช้เวลาชีวิตประจำวันให้เกิด ประโยชน์โดยการกินอาหารที่มีประโยชน์ ผัก ผลไม้อาหารสดใหม่ อาหารสุก ไม่กินสุกๆ ดิบๆ การกินสมุนไพรเป็นยา แทนการใช้ยาแผนปัจจุบันที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย หรือการออกกำลังกาย สำ หรับคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย การนวดแผนไทยก็เป็นวิธีง่ายๆ อย่างหนึ่งที่สามารถช่วยได้ทำ ให้เลือดลมดีผ่อนคลาย ไม่เครียด นอนหลับดีเป็นต้น เพราะสุขภาพเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เราจะตั้งหน้าหาแต่เงินเพื่อเป็นค่า ใช้จ่ายยามเจ็บป่วย ที่นับวันมีแนวโน้มแพงขึ้นหรือเราจะมาเรียนรู้ดูแลสุขภาพโดยแบ่งเวลา มาเพียงวันละ 1 ชั่วโมงเพื่อทำ ให้เรามีอายุยืน สุขภาพดีและมีความสุข ด้วยการพึ่งตนเอง ดังสุภาษิตที่ว่า อโรคยา ปรมา ลาภา “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” หนังสือหมอที่เก่งที่สุดในโลก จัดพิมพ์ขึ้นมาเพื่อเผยแพร่การดูแลสุขภาพตนเอง ด้วยตนเองซึ่งทำ ให้เกิดประโยชน์ ประหยัด และสามารถทำ ได้ง่ายโดยใช้สิ่งแวดล้อมรอบ ข้างให้เป็นประโยชน์ทั้งการรับประทานอาหาร การขับถ่าย การออกกำลังกาย รวมถึงการ นอนหลับ ตามหลักการของการมีสุขภาพดีกินได้นอนหลับ ขับถ่ายดี ดังนั้น หมอที่เก่งที่สุดในโลก คือตัวเราเอง ข้าพเจ้าขออุทิศผลงานนี้ให้กับ คุณแม่เกษแก้ว ไตรศรีศิลป์ที่จุดประกายการดูแล สุขภาพด้วยตนเอง ตลอดจนครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ พท.สมบัติไตรศรีศิลป์ 10 กรกฏาคม 2559
46 ตอบ า ไข้เลือดออก เป็นแล้วรักษาอย่างไร มีคำ 49 มะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิด 51 แพทย์แบบองค์รวมตามแนวทางการแพทย์แผนไทย 54 ข้อคิดจากผู้เดินทางล่วงหน้า 56 รู้จักสถาบันพัฒนาปัญญาไท 60 โรคที่รักษาด้วยการแพทย์แผนไทย 62 ค่ายสุขภาพดีวิถีไท 64 ประวัติผู้เขียน เรื่อง หน้า โรคเครียดใครว่าไม่สำ คัญ 1 โรคความดันโลหิตสูง 3 โรคอ้วน 5 โรคซึมเศร้า 7 โรคนอนไม่หลับ 9 โรคหัวใจจงใส่ใจอย่าได้ประมาท 10 โรคพรรดึก (ขับถ่ายยาก) 12 โรคไข้ตัวร้อน 16 โรคท้องเสีย 18 โรคน้ำ เหลืองเสีย 19 โรคบ้านหมุน (ยืนตรงไม่ได้) น้ำ ในหูไม่เท่ากัน 21 โรคระดู(ประจำ เดือน) มาไม่ปกติ 24 โรครำ มะนาด (เหงือกอักเสบ) 26 โรคภูมิแพ้และหอบหืด 27 โรคนิ้วล็อค 29 โรคไทรอยด์เป็นพิษ 31 โรคความจำ เส ื่ อม (อัลไซเมอร์) 33 โรคพาร์กินสัน 35 โรคต้อและน้ำ ตาแห้ง 36 โรคกรดไหลย้อน 37 โรคริดสีดวง 38 โรคนิ่ว 39 โรคต่อมลูกหมากโต 40 สารบัญ
ไข้เลือดออก เป็นแล้วรักษาอย่างไร มีคำ าตอบ 46 มะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิด 49 แพทย์แบบองค์รวมตามแนวทางการแพทย์แผนไทย 51 ข้อคิดจากผู้เดินทางล่วงหน้า 54 รู้จักสถาบันพัฒนาปัญญาไท 56 โรคที่รักษาด้วยการแพทย์แผนไทย 60 ค่ายสุขภาพดีวิถีไท 62 ประวัติผู้เขียน 64 ไข้เลือดออก เป็นแล้วรักษาอย่างไร มีคำ าตอบ 46 มะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิด 49 แพทย์แบบองค์รวมตามแนวทางการแพทย์แผนไทย 51 ข้อคิดจากผู้เดินทางล่วงหน้า 54 รู้จักสถาบันพัฒนาปัญญาไท 56 โรคที่รักษาด้วยการแพทย์แผนไทย 60 ค่ายสุขภาพดีวิถีไท 62 ประวัติผู้เขียน 64 โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อ 41 ไข้เลือดออก เป็นแล้วรักษาอย่างไร มีคำ ตอบ 46 มะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิด 49 แพทย์แบบองค์รวมตามแนวทางการแพทย์แผนไทย 51 ข้อคิดจากผู้เดินทางล่วงหน้า 54 เลี้ยงลูกอย่างไร...? ให้เก่ง ดีและมีความสุข 56 โรคที่รักษาด้วยการแพทย์แผนไทย 62 โรคที่ป้องกันง่าย แต่รักษายาก 63 ประวัติผู้เขียน 64
1 โรคเครียดใครว่าไม่สำาคัญ ความเครียด นับเป็นสาเหตุใหญ่และสำาคัญที่ทำาให้คนเป็นโรคต่างๆ ตามมา โดย เฉพาะโรคไม่ติดเชื้อ (ความเสื่อม) ทั้งหลาย เช่น ความดัน ไขมัน เบาหวาน โรคตับ ไต หัวใจ อัมพฤกษ์อัมพาต แม้แต่มะเร็งก็อาจมีสาเหตุมาจากความเครียด เพราะเมื่อเกิด ความเครียดก็จะมีผลทำาให้ กินอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ การขับถ่ายไม่ได้ ซึ่งเป็น จุดเริ่มต้นของการเกิดโรคต่างๆตามมา ปัจจุบันโลกมีความสับสนเกิดการแข่งขันกันสูง ยิ่งถ้าฟังข่าวสารการเมืองมากเกินไปก็ยิ่งทำาให้เครียด ส่วนใหญ่คนที่เกิดความเครียดได้ ง่ายเพราะพลังจิตไม่แกร่ง ถูกชักจูงและกระตุ้นอารมณ์ให้คล้อยตามได้ง่าย ซึ่งถ้าไม่ถูกใจ ก็จะเกิดความเครียด วิตกกังวลทำาให้ ธาตุไฟกำาเริบ การทำางานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เกิดความแปรปรวน ทำาให้เสียสมดุลของธาตุทั้ง 4 วิธีการแก้ไข และป้องกัน ควรฝึกทำาสมาธิเพราะร่างกายจะแข็งแรงต้องมีการ เคลื่อนไหวแต่ความเครียดเกิดจากจิต ดังนั้นจิตจะมีพลังต้องนิ่ง จิตจะนิ่งได้ก็ต้องมีการ ฝึกสติให้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่เราทำาอยู่โดยเฉพาะการทำาสมาธิก่อนนอนก็จะทำาให้นอน หลับสนิทไม่ฝันร้ายร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ มีการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำาให้พร้อมที่จะต่อสู้และทำางานในวันใหม่ต่อไป ฉะนั้นการนอนหลับให้สนิทและมี คุณภาพอาจใช้เวลานอนเพียง 6 ชั่วโมงก็เพียงพอ สำาหรับบางคนนอน 8 ชั่วโมงก็ยัง รู้สึกไม่สดชื่นหลังจากตื่นนอนเพราะเป็นการนอนที่ไม่มีคุณภาพ โดยเฉพาะท่านที่นอน ดึกตื่นสาย ไม่สอดคล้องกับวิธีธรรมชาติ (ตามแสงอาทิตย์) การสร้างพลังจิตเพื่อพิชิตโรค ควรทำาสมาธิก่อนนอนด้วยการหายใจเข้าทางจมูก ออกทางปากช้าๆ โดยกระดกลิ้นแตะเพดานปากด้านบนทำาเช่นนี้ นับเป็น 1 รอบ ของการหายใจนับให้ได้ 100 รอบของการหายใจ โดยไม่หลงก็ถือว่ามีสมาธิดีและ ควรจับเวลาดูว่าใน 100 รอบของการหายใจใช้เวลาไม่กี่นาที ถ้าฝึกสติด้วยวิธีนี้บ่อยๆ (ทุกวัน) ท่านคิดว่าเวลาที่ใช้ในการหายใจ 100 รอบ จะใช้เวลามากขึ้นหรือน้อยลง (ทุกท่าน 1 โรคเครียดใครว่าไม่สำ�คัญ ความเครียด นับเป็นสาเหตุใหญ่และสำ คัญที่ทำ ให้คนเป็นโรคต่างๆ ตาม มา โดยเฉพาะโรคไม่ติดเชื้อ (ความเสื่อม) ทั้งหลาย เช่น ความดัน ไขมัน เบาหวาน โรคตับ ไต หัวใจ อัมพฤกษ์อัมพาต แม้แต่มะเร็งก็อาจมีสาเหตุมาจากความเครียด เพราะเมื่อเกิด ความเครียดก็จะมีผลทำ ให้กินอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ การขับถ่าย ไม่ได้ซึ่งเป็น จุดเริ่มต้นของการเกิดโรคต่างๆ ตามมา ปัจจุบันโลกมีความสับสน เกิดการแข่งขันกันสูง ยิ่งถ้าฟังข่าวสารการเมืองมากเกินไปก็ยิ่งทำ ให้เครียด ส่วนใหญ่ คนที่เกิดความเครียดได้ง่ายเพราะพลังจิตไม่แกร่ง ถูกชักจูงและกระตุ้นอารมณ์ ให้คล้อยตามได้ง่าย ซึ่งถ้าไม่ถูกใจ ก็จะเกิดความเครียด วิตกกังวลทำ ให้ธาตุไฟกำ เริบ การทำ งานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เกิดความแปรปรวน ทำ ให้เสียสมดุลของธาตุ ทั้ง 4 วิธีการแก้ไข และป้องกัน ควรฝึกทำสมาธิเพราะร่างกายจะแข็งแรงต้องมีการ เคลื่อนไหวแต่ความเครียดเกิดจากจิต ดังนั้นจิตจะมีพลังต้องนิ่ง จิตจะนิ่งได้ก็ต้อง มีการฝึกสติให้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่เราทำ อยู่ โดยเฉพาะการทำ สมาธิก่อนนอนก็จะ ทำ ให้นอนหลับสนิทไม่ฝันร้ายร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ มีการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของ ร่างกาย ทำ ให้พร้อมที่จะต่อสู้และทำ งานในวันใหม่ต่อไป ฉะนั้นการนอนหลับให้สนิท และมีคุณภาพอาจใช้เวลานอนเพียง 6 ชั่วโมงก็เพียงพอ สำ หรับบางคนนอน 8 ชั่วโมง ก็ยังรู้สึกไม่สดชื่น หลังจากตื่นนอนเพราะเป็นการนอนที่ไม่มีคุณภาพ โดยเฉพาะ ท่านที่นอนดึกตื่นสาย ไม่สอดคล้องกับวิธีธรรมชาติ(ตามแสงอาทิตย์) การสร้างพลังจิตเพื่อพิชิตโรค ควรทำ สมาธิก่อนนอนด้วยการหายใจเข้า ทางจมูก ออกทางปากช้าๆ โดยกระดกลิ้นแตะเพดานปากด้านบนทำ เช่นนี้นับเป็น 1 รอบ ของการหายใจนับให้ได้100 รอบของการหายใจ โดยไม่หลง ก็ถือว่ามีสมาธิดี และควรจับเวลาดูว่าใน 100 รอบของการหายใจใช้เวลาไม่กี่นาทีถ้าฝึกสติด้วยวิธี นี้บ่อยๆ (ทุกวัน) ท่านคิดว่าเวลาที่ใช้ในการหายใจ 100 รอบ จะใช้เวลามากขึ้น
2 สามารถรู้และพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง) ถ้าทำาด้วยวิธีนี้ประมาณ 3 เดือน ท่านจะมีสุขภาพดี ขึ้นทั้งกายและจิต จิตจะมีพลัง จะคิด จะทำา จะพูด จะมีสติรู้ตัว ความเครียดจะไม่เกิด เพราะทุกอย่างต่างเป็นไปตามกรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ใครทำากรรมเช่นไรก็ต้องรับ กรรมเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็ว เพราะกรรมเป็นของๆตนสุขภาพดีก็เช่นกัน จะดีหรือไม่ก็อยู่ที่ ตัวเราเอง ตั้งแต่การกิน การนอน การขับถ่ายและความเครียด วิตกกังวลจากความทุกข์ ความทุกข์และความสุข เกิดจากความคิดและจิตใจ ความทุกข์เกิดจาก ก. สิ่งที่เราอยากได้แต่ไม่ได้ดังคิด ข. สิ่งที่ไม่ต้องการได้แต่กลับได้ เช่น มะเร็ง ความสุขเกิดจาก ก. สิ่งที่เราต้องการได้และก็ได้สมหวัง ข. สิ่งที่เราไม่ต้องการก็เป็นดังที่คิด ไม่ว่าจิตจะเป็นสุขหรือทุกข์ต่างก็มีความเครียดแฝงอยู่เพราะทุกข์และสุขทั้งหลาย นั้นไม่ยั่งยืน ฉะนั้นการกำาจัดและป้องกันไม่ให้เกิดความเครียดต้องไม่ติดทั้งสุขและ ทุกข์ จิตนิ่งและใช้ปัญญาในการดำาเนินชีวิตก็จะสำาเร็จและเป็นสุขตามอัตภาพของแต่ละ บุคคล ไม่เกิดความเครียด ทำาให้กินได้ นอนหลับ การขับถ่ายดี และมีสุขภาพดีทั้งกาย และจิตตลอดไป 2 หรือน้อยลง (ทุกท่านสามารถรู้และพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง) ถ้าทำ ด้วยวิธีนี้ประมาณ 3 เดือน ท่านจะมีสุขภาพดีขึ้นทั้งกายและจิต จิตจะมีพลัง จะคิด จะทำ จะพูด จะมีสติ รู้ตัว ความเครียดจะไม่เกิด เพราะทุกอย่างต่างเป็นไปตามกรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ใครทำ กรรมเช่นไรก็ต้องรับ กรรมเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็ว เพราะกรรมเป็นของๆ ตนสุขภาพ ดีก็เช่นกัน จะดีหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเราเอง ตั้งแต่การกิน การนอน การขับถ่ายและ ความเครียด วิตกกังวลจากความทุกข์ความทุกข์และความสุข เกิดจากความคิดและ จิตใจ ความทุกข์เกิดจาก ก. สิ่งที่เราอยากได้แต่ไม่ได้ดังคิด ข. สิ่งที่ไม่ต้องการได้แต่กลับได้เช่น มะเร็ง ความสุขเกิดจาก ก. สิ่งที่เราต้องการได้และก็ได้สมหวัง ข. สิ่งที่เราไม่ต้องการก็เป็นดังที่คิด ไม่ว่าจิตจะเป็นสุขหรือทุกข์ต่างก็มีความเครียดแฝงอยู่เพราะทุกข์และสุขทั้ง หลายนั้นไม่ยั่งยืน ฉะนั้นการกำจัดและป้องกันไม่ให้เกิดความเครียดต้องไม่ติดทั้งสุข และ ทุกข์จิตนิ่งและใช้ปัญญาในการดำ าเนินชีวิตก็จะสำ เร็จและเป็นสุขตามอัตภาพ ของแต่ละ บุคคล ไม่เกิดความเครียด ทำ ให้กินได้นอนหลับ การขับถ่ายดีและมี สุขภาพดีทั้งกาย และจิตตลอดไป
3 โรคความดันโลหิตสูง คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคความดัน โลหิตสูง เพราะไม่เคยไปตรวจร่างกาย บางครั้งถึงขั้น เส้นเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตก็มีอยู่มาก เพื่อความไม่ประมาทควรมีการตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น ด้วยตนเองแบบง่ายๆ เช่น การก้มลงเอาฝ่ามือแตะพื้น หรือม้วนแขนสลับซ้ายขวา ถ้าทำาได้แสดงว่าความยืดหยุ่น ดีไม่มีการติดขัดของการไหลเวียนโลหิต ความดันโลหิต สูงก็จะไม่เป็น แต่ถ้าทำาไม่ได้มีแนวโน้มที่จะเป็นความดันโลหิตสูง เพราะเมื่อหัวใจบีบ ตัวเลือดไหลเวียนไม่สะดวกติดขัดตามข้อ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและพังผืดที่ยึดติดกันก็จะ เกิดความดันโลหิตสูงตามมา ทำาไม?.... คนจึงเป็นโรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นจากเลือดของ เรามีสารพิษเจือปนมากและมีลักษณะข้นหนืดทำาให้ไหลเวียนไม่สะดวก ประกอบกับ เส้นเลือดที่มีอายุการใช้งานมานานจากการมีเลือดที่เป็นพิษ เช่น น้ำาตาลหรือไขมันใน เลือดสูงก็จะทำาให้เส้นเลือดขาดความยืดหยุ่น กรอบ แห้งกระด้างเหมือนมะม่วงแช่อิ่ม และมีไขมันอุดตันทำาให้หลอดเลือดมีขนาดเล็กลง การไหลเวียนของโลหิตเป็นไปได้ ยากจึงทำาให้เกิดความดันโลหิตสูง ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนมีสาเหตุสำาคัญที่สุดมาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป และร่างกายไม่สามารถปรับให้เกิดความสมดุลได้ประกอบกับมีลมคั่งค้างในเส้นเลือด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและข้อต่อ จึงขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำาให้มีสารพิษคั่งค้าง ตามมา จึงเกิดการอักเสบทำาให้รู้สึกเจ็บ ปวด เมื่อย จากนั้นก็จะมีแคลเซียมมาเกาะทำาให้ ความยืดหยุ่นสูญเสียไป จึงเป็นสาเหตุของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง 3 โรคความดันโลหิตสูง คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคความดัน โลหิตสูง เพราะไม่เคยไปตรวจร่างกาย บางครั้งถึงขั้น เส้นเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตก็มี อยู่มาก เพื่อความไม่ประมาทควรมีการตรวจเช็ค สุขภาพเบื้องต้นด้วยตนเองแบบง่ายๆ เช่น การก้มลง เอาฝ่ามือแตะพื้นหรือม้วนแขนสลับซ้ายขวา ถ้าทำ ได้แสดงว่าความยืดหยุ่นดีไม่มีการ ติดขัดของการไหลเวียนโลหิต ความดันโลหิตสูงก็จะไม่เป็น แต่ถ้าทำ ไม่ได้มีแนวโน้มที่ จะเป็นความดันโลหิตสูง เพราะเมื่อหัวใจบีบตัวเลือดไหลเวียนไม่สะดวกติดขัดตามข้อ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและพังผืดที่ยึดติดกันก็จะเกิดความดันโลหิตสูงตามมา ทำ�ไม?.... คนจึงเป็นโรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นจาก เลือดของเรามีสารพิษเจือปนมากและมีลักษณะข้นหนืด ทำ ให้ไหลเวียนไม่สะดวก ประกอบกับเส้นเลือดที่มีอายุการใช้งานมานานจากการมีเลือดที่เป็นพิษ เช่น น้ำ ตาล หรือไขมันในเลือดสูงก็จะทำ ให้เส้นเลือดขาดความยืดหยุ่น กรอบ แห้ง กระด้าง เหมือนมะม่วงแช่อิ่มและมีไขมันอุดตันทำ ให้หลอดเลือดมีขนาดเล็กลง การไหลเวียน ของโลหิตเป็นไปได้ยาก จึงทำ ให้เกิดความดันโลหิตสูง ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนมี สาเหตุสำ คัญที่สุดมาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป และร่างกายไม่สามารถปรับ ให้เกิดความสมดุลได้ประกอบกับมีลมคั่งค้างในเส้นเลือดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและข้อต่อ จึงขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำ ให้มีสารพิษคั่งค้างตามมา จึงเกิดการอักเสบ ทำ ให้รู้สึกเจ็บ ปวด เมื่อย จากนั้นก็จะมีแคลเซียมมาเกาะทำ ให้ความยืดหยุ่นสูญเสียไป จึงเป็นสาเหตุของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
4 เมื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วจะดูแลรักษาอย่างไร? ถ้าเป็นการรักษาตามการ แพทย์แผนปัจจุบัน จะต้องกินยาตลอดชีวิตและอาจมีผลข้างเคียงต่อตับและไต แต่สำาหรับ แพทย์แผนไทย เราจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น เลือดข้นมีสารพิษก็ทานอาหารสมุนไพร ที่รสเปรี้ยว จืด ฝาด เช่น ผลไม้ 3 อย่าง (ตรีผลา) ได้แก่ สมอไทย สมอพิเภก และ มะขามป้อม เป็นต้น สำาหรับความยืดหยุ่นก็ต้องขับของเสียด้วยการออกกำาลังกาย ทาน น้ำาให้มาก ช่วยด้วยการนวด การอบ และการประคบสมุนไพร อาจต้องใช้ยาถ่ายกษัย ช่วยด้วยก็จะทำาให้หายเร็วขึ้นและไม่กลับมาเป็นอีก ถ้ามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการ กินอยู่ หลับนอน และขับถ่ายให้ถูกสุขลักษณะสอดคล้องกับวิธีธรรมชาติ * หรือยืนตรงบนแท่นไม้ B&B นาน 5 นาที 4 เมื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วจะดูแลรักษาอย่างไร? ถ้าเป็นการรักษา ตามการแพทย์แผนปัจจุบัน จะต้องกินยาตลอดชีวิตและอาจมีผลข้างเคียงต่อตับและ ไต แต่สำ หรับแพทย์แผนไทย เราจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น เลือดข้นมีสารพิษก็ทาน อาหารสมุนไพรที่รสเปรี้ยว จืด ฝาด เช่น ผลไม้3 อย่าง (ตรีผลา) ได้แก่ สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม เป็นต้น สำ หรับความยืดหยุ่นก็ต้องขับของเสียด้วยการ ออกกำ ลังกาย ทานน้ำ ให้มาก ช่วยด้วยการนวด การอบ และการประคบสมุนไพร อาจต้องใช้ยาถ่ายกษัยช่วยด้วยก็จะทำ ให้หายเร็วขึ้นและไม่กลับมาเป็นอีก ถ้ามีการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอยู่ หลับนอน และขับถ่ายให้ถูกสุขลักษณะสอดคล้องกับ วิธีธรรมชาติ * หรือยืนตรงบนแท่นไม้ B&B นาน 5 นาที
5 โรคอ้วน ในปัจจุบัน โรคอ้วนเป็นสาเหตุที่ทำาให้เกิด โรคอื่นๆ ตามมา เช่น ไขมันในเส้นเลือด เบาหวาน ความดัน โรคตับแข็ง หัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต และอื่น ๆ อีกมากมาย ประกอบกับโรคอ้วนยังทำา ให้บุคลิกภาพ และความ สวยงามสูญเสียไปและอาจ จะมีผลต่อข้อเข่าและข้อเท้าที่ต้องทนแบกรับน้ ำาหนัก ดังนั้นเรามาทำาความเข้าใจกับ สาเหตุที่ทำาให้เกิดโรคอ้วนสรุปได้ ดังนี้ 1. การรับประทานอาหาร ไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่สมดุล และ ไม่เป็นธรรมชาติ และที่สำาคัญ คือ รับประทานมากจนเกินความจำาเป็น เพราะปกติควรทาน 1 มื้อ ต่อวัน ก็มีชีวิตรอดอยู่ได้ สำาหรับมื้อที่ 2 เพื่อการทำางาน แต่มื้อที่ 3 เป็นเพื่อกามราคะ ซึ่งเกิน ความจำาเป็น ฉะนั้น ท่านสามารถจะกำาหนดการรับประทานอาหารแล้วทำาให้ไม่อ้วน ซึ่งควรเป็นประเภท พืช ผัก ผลไม้สด ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล และเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย เช่น ปลา และไข่ สำาหรับโปรตีนเนื้อสัตว์ใหญ่และไขมันจะเป็นอาหารที่ย่อยยาก ซึ่งมี ผลทำาให้การย่อยลำาบากและหมักเป็นแก๊ส ส่งผลให้มีการขับถ่ายยาก สำาหรับคนที่มี อายุ 32 ปีขึ้นไป สำาคัญ ควรรับประทาน ผักสด ผลไม้ตามฤดูกาล ก่อนอาหารทุกมื้อ 2. การขับถ่ายที่ดี จะไม่ทำาให้เกิดโรคอ้วน ท่านต้องถ่ายทั้งธาตุดิน (อุจระ) ธาตุน้ ำา (ปัสสาวะ) ธาตุลม (การผายลม) และธาตุไฟ (ความร้อนในร่างกาย) เพื่อให้เกิดความ สมดุลและไม่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคอ้วน คนส่วนใหญ่ที่อ้วน เพราะมีแก๊ส หรือลมเกิดขึ้นในตัวมาก และ ขับถ่ายลมไม่ดีจึงทำาให้เกิดไขมันเหลวในเลือด เช่น คอเลสเตอรอล,ไตรกลีเซอร์ไรด์ เป็นต้น และหากยังมีลมสะสมมากเพิ่มขึ้นก็จะมีการ เปลี่ยนจากไขมันเหลวไปเป็นไขมันแข็งแทรกตามกล้ามเนื้อ, เนื้อเยื่อ, พังผืดทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องท้องจะมีพังผืดเป็นจำานวนมากจึงเกิดเป็นไขมันแข็งสะสมใน ร่างกายทำาให้อ้วนลงพุง ฉะนั้นถ้าเรากินอาหาร 3 มื้อต่อวัน ก็ควรจะมีการขับถ่ายอุจระ 5 โรคอ้วน ในปัจจุบัน โรคอ้วนเป็นสาเหตุที่ทำ ให้เกิด โรคอื่นๆ ตามมา เช่น ไขมันในเส้นเลือด เบาหวาน ความดัน โรคตับแข็ง หัวใจ อัมพฤกษ์อัมพาตและ อื่นๆ อีกมากมาย ประกอบกับโรคอ้วนยังทำ ให้ บุคลิกภาพ และความ สวยงามสูญเสียไปและอาจ จะมีผลต่อข้อเข่าและข้อเท้าที่ต้องทนแบกรับน้ำ หนัก ดังนั้นเรามาทำ ความเข้าใจกับ สาเหตุที่ทำ ให้เกิดโรคอ้วนสรุปได้ดังนี้ 1. การรับประทานอาหาร ไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่สมดุล และ ไม่เป็นธรรมชาติ และที่สำ คัญ คือ รับประทานมากจนเกินความจำ เป็น เพราะปกติควรทาน 1 มื้อ ต่อวัน ก็มีชีวิตรอดอยู่ได้สำ หรับมื้อที่2 เพื่อการทำ งาน แต่มื้อที่3 เป็นเพื่อกามราคะ ซึ่งเกิน ความจำ เป็น ฉะนั้น ท่านสามารถจะกำ หนดการรับประทานอาหารแล้วทำ ให้ไม่อ้วน ซึ่งควรเป็นประเภท พืช ผัก ผลไม้สด ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล และเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย เช่น ปลา และไข่ สำ หรับโปรตีนเนื้อสัตว์ใหญ่และไขมันจะเป็นอาหารที่ย่อยยาก ซึ่งมีผลทำ ให้การย่อยลำ บากและหมักเป็นแก๊ส ส่งผลให้มีการขับถ่ายยาก สำ หรับคนที่ มีอายุ32 ปีขึ้นไป สำ คัญ ควรรับประทาน ผักสด ผลไม้ตามฤดูกาล ก่อนอาหารทุกมื้อ 2. การขับถ่ายที่ดีจะไม่ทำ ให้เกิดโรคอ้วน ท่านต้องถ่ายทั้งธาตุดิน (อุจจาระ) ธาตุน้ำ (ปัสสาวะ) ธาตุลม (การผายลม) และธาตุไฟ (ความร้อนในร่างกาย) เพื่อให้ เกิดความสมดุลและไม่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคอ้วน คนส่วนใหญ่ที่อ้วน เพราะมีแก๊สหรือลมเกิดขึ้นในตัวมาก และ ขับถ่ายลมไม่ดีจึงทำ�ให้เกิดไขมันเหลว ในเลือด เช่น คอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอร์ไรด์ เป็นต้น และหากยังมีลมสะสมเพิ่ม มากขึ้นก็จะมีการเปลี่ยนจากไขมันเหลวไปเป็นไขมันแข็งแทรกตามกล้ามเนื้อ, เนื้อเยื่อ, พังผืดทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องท้องจะมีพังผืดเป็นจำ นวนมาก จึงเกิดเป็น ไขมันแข็งสะสมในร่างกายทำ ให้อ้วนลงพุง ฉะนั้นถ้าเรากินอาหาร 3 มื้อต่อวัน ก็ควร
6 3 ครั้งต่อวันเช่นกัน ถ้าทาน 2 มื้อ ก็ถ่ายอุจระ 2 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลและไม่ เกิดแก๊สจากอุจระที่คั่งค้างในลำาไส้ใหญ่ ซึ่งจะมีผลทำาให้เลือดข้นและมีสารพิษเจือปน หมายเหตุ แก๊สหุงต้มที่อยู่ในถังห้องครัวท่าน เป็นของเหลวหรือแก็ส 3. ส่วนใหญ่คนอ้วนหรือมีแนวโน้มที่จะอ้วน มักจะมีการเผาผลาญสารอาหารใน ร่างกายไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการเผาผลาญเกิดจากการ “สันดาบ” ของออกซิเจนและ สารอาหารต่าง ๆ ในร่างกายเพื่อทำาให้เกิดพลังงานเป็นตัวทำาให้เกิดพลังชีวิตจะสามารถ ทดสอบได้ โดยการหายใจเต็มปอด แล้วกลั้นลมหายใจ ถ้าสามารถกลั้นได้ถึง 1 นาที จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วน ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคอ้วน จะสามารถกลั้นลม หายใจได้ไม่เกิน 30 วินาที แต่ทั้งนี้เราสามารถจะฝึกการหายใจเพื่อเดินลมปราณให้ปอด ทำางานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์แผนไทย 4. ถ้าไม่ต้องการอ้วน หรือ เป็นโรคอ้วน แล้วจะรักษาและป้องกันไม่ให้อ้วนกลับ มาอีก ควรเน้นเรื่องอาหารที่รับประทานแล้วไม่ทำาให้เกิดลมและถ้าเมื่อเกิดลมหรือแก๊ส จะต้องกำาจัดออกเพราะลมเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ฉะนั้นการปรับสมดุลของธาตุลม พอสรุปได้ดังนี้ 1. การนวดรักษาเดินตามเส้นประธานสิบ 2. การกินยาถ่ายธาตุลม 3. การอบความร้อนและสมุนไพร 4. การกินยาหอมปราบลม 5. การฝึกเดินลมปราณให้ไหลเวียนสะดวก 6. การออกกำาลังกายในท่าที่เหมาะสม 6 จะมีการขับถ่ายอุจจาระ 3 ครั้งต่อวันเช่นกัน ถ้าทาน 2 มื้อ ก็ถ่ายอุจจาระ 2 ครั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสมดุลและไม่เกิดแก๊สจากอุจจาระที่คั่งค้างในลำ ไส้ใหญ่ ซึ่งจะมีผล ทำ�ให้เลือดข้นและมีสารพิษเจือปน หมายเหตุแก๊สหุงต้มที่อยู่ในถังห้องครัวท่าน เป็นของเหลวหรือแก็ส 3. ส่วนใหญ่คนอ้วนหรือมีแนวโน้มที่จะอ้วน มักจะมีการเผาผลาญสารอาหาร ในร่างกายไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการเผาผลาญเกิดจากการ “สันดาบ” ของออกซิเจน และสารอาหารต่างๆ ในร่างกายเพื่อทำ ให้เกิดพลังงาน เป็นตัวทำ ให้เกิดพลังชีวิต จะสามารถทดสอบได้โดยการหายใจเต็มปอดแล้วกลั้นลมหายใจ ถ้าสามารถกลั้นได้ ถึง 1 นาทีจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วน ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคอ้วน จะสามารถ กลั้นลมหายใจได้ไม่เกิน 30 วินาทีแต่ทั้งนี้เราสามารถจะฝึกการหายใจเพื่อเดิน ลมปราณให้ปอดทำ งานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้าน การแพทย์แผนไทย 4. ถ้าไม่ต้องการอ้วน หรือ เป็นโรคอ้วน แล้วจะรักษาและป้องกันไม่ให้ อ้วนกลับมาอีก ควรเน้นเรื่องอาหารที่รับประทานแล้วไม่ทำ ให้เกิดลมและถ้าเมื่อเกิด ลมหรือแก๊สจะต้องกำจัดออกเพราะลมเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ฉะนั้นการปรับสมดุล ของธาตุลมพอสรุปได้ดังนี้ 1. การนวดรักษาเดินตามเส้นประธานสิบ 2. การกินยาถ่ายธาตุลม 3. การอบความร้อนและสมุนไพร 4. การกินยาหอมปราบลม 5. การฝึกเดินลมปราณให้ไหลเวียนสะดวก 6. การออกกำลังกายในท่าที่เหมาะสม
7 โรคซึมเศร้า ทำ ไม? คนถึงเป็นโรคซึมเศร้า ในภาวะเศรษฐกิจสังคมปัจจุบัน ส่งผลทำ ให้ เกิดโรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้น เพราะมีการแข่งขันในการใช้ชีวิตและการทำ งาน เนื่องจาก อารมณ์ความคิดที่ทำ ให้เกิดความวิตกกังวล ส่งผลต่อการนอนหลับ การรับประทาน อาหาร ทำ ให้เกิดผลเสียโดยตรงต่อสุขภาพ อีกทั้งการขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดปัญหาก็ขาดที่ปรึกษาที่เข้าใจ แม้หลายๆ คนจะประสบความสำ เร็จในหน้าที่ การงานตำ แหน่งก้าวหน้า มีคนยอมรับมากมายแต่เมื่อเกิดปัญหาหาทางออกไม่ได้ เพราะไม่กล้าปรึกษาใคร เนื่องจากกลัวเสียเครดิตจึงเก็บสะสมปัญหาไว้คนเดียว เมื่อนานวันเข้าก็จะเป็นโรคซึมเศร้า ผลที่ตามมาของคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะทำ ให้ ไม่สามารถรวบรวมสติในการแก้ไขปัญหา ส่งผลด้านบุคลิกภาพทำ ให้ขาดความเชื่อมั่น มองโรคในแง่ร้ายและไม่สามารถคลายความเครียดได้จึงทำ ให้เกิดความทุกข์ในการ ใช้ชีวิตและยังส่งผลให้คนในครอบครัวต้องพลอยได้รับความทุกข์นั้นไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้คนส่วนใหญ่จึงหาทางออกด้วยการนำ สัตว์มาเลี้ยงเพื่อลด ความเครียดและผ่อนคลายความวิตกกังวลโดยเฉพาะสุนัขที่นิยมนำ มาเลี้ยงเป็นเพื่อน เพื่อแก้เหงาและคลายความเครียด แต่รู้หรือไม่ว่าการเลี้ยงสุนัขอาจจะทำ ให้เกิดโรคใหม่ ตามมา เช่น โรคหืดหอบ ภูมิแพ้ที่มาจากขนของสุนัขและที่สำ คัญคือน้ำลายของสุนัข เพราะเมื่อใดที่ภูมิต้านทานร่างกายอ่อนแออาจจะมีเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำลายและขนสุนัข แพร่กระจายในละอองอากาศเข้าไปเพาะเชื้อในร่างกายของคนได้การป้องกันไม่ให้เกิด โรคซึมเศร้าควรต้องวางแผนการใช้ชีวิตให้เกิดความสมดุลทั้งทางด้านการเงิน การงาน ครอบครัว สังคม สิ่งแวดล้อมตลอดจนร่างกายและจิตใจไม่ให้เกิดปัญหาสะสมและเมื่อ เกิดปัญหาควรมีคนที่ไว้วางใจที่พร้อมจะช่วยให้คลายความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในครอบครัวจะมีส่วนช่วยที่สำ คัญมาก ฉะนั้นควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีสร้างความ เข้าใจซึ่งกันและกัน ถ้าหากครอบครัวไม่อบอุ่นไม่คอยให้คำ ปรึกษาและให้กำลังใจก็จะ ทำ ให้ปัญหาสะสมส่งผลทำ ให้พลังจิตอ่อนแอ ไม่สามารถแก้ปัญหาและทนต่อสภาวะ
8 สามารถแก้ปัญหาและทนต่อสภาวะแรงกดดันของปัญหาไม่ได้ ฉะนั้นต้องมีการเพิ่ม พลังจิตให้เข้มแข็งทุกวันด้วยการทำาสมาธิ ซึ่งการทำาสมาธิก็มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับจริต ของแต่ละคนแต่ที่อยากแนะนำาให้ลองศึกษาการทำาสมาธิเพื่อเพิ่มพลังจิต ทำาให้เกิดพลัง ชีวิตมีสติปัญญาสามารถอยู่กับปัญหาได้อย่างมีความสุขและหาทางออกของปัญหา อย่างชาญฉลาดด้วยการเรียนรู้และปฏิบัติตามหลักสูตรครูสมาธิของสถาบันพัฒนาจิต ตานุภาพโดยพระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร) ซึ่งมีสอนอยู่เกือบทั่ว ประเทศ เมื่อผ่านหลักสูตรนี้ 6 เดือน ชีวิตท่านก็จะมีความสุขและห่างไกลจากโรคซึม เศร้าด้วยตัวท่านเอง *** กายแข็งแรงต้องเคลื่อนไหว แต่ใจ (จิต) จะเข้มแข็งต้องนิ่ง *** 8 แรงกดดันของปัญหาไม่ได้ ฉะนั้นต้องมีการเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็งทุกวันด้วยการ ทำ สมาธิซึ่งการทำ สมาธิก็มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละคนแต่ที่อยากแนะนำ ให้ลองศึกษาการทำ สมาธิเพื่อเพิ่มพลังจิต ทำ ให้เกิดพลังชีวิตมีสติปัญญาสามารถ อยู่กับปัญหาได้อย่างมีความสุขและหาทางออกของปัญหาอย่างชาญฉลาด ด้วยการเรียนรู้และปฏิบัติตามหลักสูตรครูสมาธิของสถาบันพัฒนาจิตตานุภาพโดย พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์สิรินธโร) ซึ่งมีสอนอยู่เกือบทั่วประเทศ เมื่อผ่านหลักสูตรนี้6 เดือน ชีวิตท่านก็จะมีความสุขและห่างไกลจากโรคซึมเศร้า ด้วยตัวท่านเอง *** กายแข็งแรงต้องเคลื่อนไหว แต่ใจ (จิต) จะเข้มแข็งต้องนิ่ง ***
9 โรคนอนไม่หลับ การนอนไม่หลับ อาจไม่นับเป็นโรคแต่ถ้ามีอาการเป็นเวลา นาน 3 - 6 เดือน ก็จะทำาให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมาและที่สำาคัญ อาจเป็นโรคจิตในที่สุดการนอนไม่หลับนั้นย่อมมีสาเหตุให้ ท่านสังเกตดูว่าเกิดจากอะไร? เพราะทุกอย่างเกิดแต่เหตุถ้า เราไม่ทราบสาเหตุการแก้ไขก็เป็นไปได้ยาก สาเหตุอาจเกิดจากกินอาหารก่อนนอนมาก เกินไปนอนดึกเกินไป (ผิดจากเวลาปกติ) ล่วงเลยเวลานอน กินกาแฟ หรือสารกระตุ้น ประสาทมากเกินไป มีความวิตกกังวล และเครียดเกินเหตุเกี่ยวกับการเงิน การงาน ครอบครัว สังคม และความเจ็บป่วยของตนเอง ถ้าท่านทราบสาเหตุค่อยๆ กำาจัดเหตุเหล่านั้นหรือไม่ทำาเหตุเช่นนั้น การนอนหลับ ก็จะกลับมาเป็นปกติแต่อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับด้วยการออกกำาลังกาย ตามความถนัดและเหมาะสมกับวัย ประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ให้เหงื่อออก เลือด ลมไหลเวียนดีแล้วหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงข้างต้นก็จะช่วยให้หลับสบาย สำาหรับท่านที่ไม่ เคยออกกำาลังกายหรือขี้เกียจ ก็หาวิธีง่ายๆด้วยการนวดไทยสัก 2 ชั่วโมงแล้วอบสมุนไพร ร่วมด้วย 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ระหว่างอบสมุนไพรให้ดื่มน้ำาสะอาดมากๆ ทุก 15-20 นาที ขณะที่ออกมาพัก จากนั้นกลับบ้านรับประทานอาหารเย็นก่อน 6 โมงเย็นและ เข้านอนไม่เกิน 3 - 4 ทุ่ม เท่านี้เองท่านก็จะหลับสบายแล้ว เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความ สดชื่นและปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมเท่านั้นเอง การหลับนอนอย่างมีความสุขก็จะเป็น สมบัติของท่านตลอดไป ถ้าจะช่วยให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ควรทำาสมาธิก่อนนอนสัก 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง 9 โรคนอนไม่หลับ การนอนไม่หลับ อาจไม่นับเป็นโรคแต่ถ้ามี อาการเป็นเวลานาน 3 - 6 เดือน ก็จะทำ ให้เป็นโรคอื่นๆ ตามมาและที่สำ คัญอาจเป็นโรคจิตในที่สุด การนอน ไม่หลับนั้นย่อมมีสาเหตุให้ท่านสังเกตดูว่าเกิดจากอะไร? เพราะทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ถ้าเราไม่ทราบสาเหตุการแก้ไขก็เป็นไปได้ยาก สาเหตุอาจเกิดจากกินอาหารก่อนนอน มากเกินไปนอนดึกเกินไป (ผิดจากเวลาปกติ) ล่วงเลยเวลานอน กินกาแฟ หรือสาร กระตุ้นประสาทมากเกินไป มีความวิตกกังวล และเครียดเกินเหตุเกี่ยวกับการเงิน การงานครอบครัว สังคม และความเจ็บป่วยของตนเองถ้าท่านทราบสาเหตุก็ค่อยๆ กำ จัดเหตุเหล่านั้นหรือไม่ทำ เหตุเช่นนั้น การนอนหลับก็จะกลับมาเป็นปกติแต่ อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับ ด้วยการออกกำ ลังกายตามความถนัดและ เหมาะสมกับวัย ประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ให้เหงื่อออก เลือดลมไหลเวียนดีแล้ว หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงข้างต้นก็จะช่วยให้หลับสบาย สำ หรับท่านที่ไม่เคยออกกำลังกาย หรือขี้เกียจ ก็หาวิธีง่ายๆ ด้วยการนวดไทยสัก 2 ชั่วโมงแล้วอบสมุนไพรร่วมด้วย 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ระหว่างอบสมุนไพรให้ดื่มน้ำสะอาดมากๆ ทุก 15-20 นาที ขณะที่ออกมาพัก จากนั้นกลับบ้านรับประทานอาหารเย็นก่อน 6 โมงเย็นและเข้านอน ไม่เกิน 3 - 4 ทุ่ม เท่านี้เองท่านก็จะหลับสบายแล้ว เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความสดชื่นและ ปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมเท่านั้นเอง การหลับนอนอย่างมีความสุขก็จะเป็นสมบัติของ ท่านตลอดไป ถ้าจะช่วยให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็ควรทำ สมาธิก่อนนอน สัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง
10 โรคหัวใจจงใส่ใจอย่าได้ประมาท โรคหัวใจ เป็นสาเหตุการตาย อันดับ 2 ของคนไทยรองจากโรคมะเร็ง แบ่งเป็น 2 ประเภท ก.โรคหัวใจเฉียบพลัน (Acute Hard Attracted) เกิดจาก หัวใจเต้นผิดปกติ มีสาเหตุมาจากมีลมอุดกลั้นเส้นเลือดที่ไปเลี้ยง หัวใจ ทำาให้เจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก กรณีนี้อย่านั่งฟุบอยู่กับ หัวเข่าหรือโต๊ะเป็นอันขาด จะทำาให้เกิดการหายใจยิ่งลำาบากและอาจ สลบ ทำาให้เสียชีวิตได้ทันที วิธีแก้ ให้นอนหงายราบกับพื้นแล้วตั้งสติให้มั่นคง หายใจ เข้าลึกๆทางจมูกและหายใจออกทางปากช้าๆ พร้อมกับกระดกปลาย ลิ้นให้ติดเพดานปากด้านบน ทำาวิธีนี้สัก 5 ครั้ง ก็จะทำาให้อาการดีขึ้นและค่อยๆฟื้นตัว เป็นปกติ ทำาเช่นเดียวกันจนรู้สึกหายเป็นปกติแล้วจึงค่อยลุกขึ้นช้าๆ ข.โรคหัวใจเรื้อรัง อาจเกิดจาก เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ แข็งตัวมีแคลเซียมเกาะอยู่และ เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน เพราะมีไขมันเป็นตะกรันพอกอยู่ หรือเกิดจาก ลิ้นหัวใจ รั่ว สืบเนื่องจากมีลมแทรกอยู่ในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ หรือมีฟองอากาศแทรกอยู่ ตามช่องว่างใกล้ลิ้นหัวใจทำาให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้ จึงเกิดความเสื่อมของกล้าม เนื้อหัวใจหรือลิ้นหัวใจเป็นไปทีละเล็กละน้อยสะสมนานเข้าก็เกิดเป็นลิ้นหัวใจรั่ว หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย เพราะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดการตีบตันจนบางครั้งต้องไปทำา บัลลูนหรือบายพาสเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ ทำาไม ? จึงเกิดลมเข้าหัวใจ ปกติหัวใจจะเป็นตัวบีบเลือดแดงไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายและรับเลือดดำา จากร่างกายส่งไปให้ปอดเพื่อฟอกให้สะอาดด้วยออกซิเจน จากนั้นก็รับเลือดที่ฟอกแล้วจากปอดเข้าสู่หัวใจเพื่อส่งต่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ฉะนั้นเมื่อมีฟองอากาศแทรกอยู่ในเลือดก็จะสะสมเป็นฟองอากาศที่ใหญ่ขึ้น สามารถขวางกั้นการไหลเวียนของเลือดแล้วทำาให้เกิดความเสื่อมของกล้ามเนื้อและลิ้น 10 โรคหัวใจจงใส่ใจอย่าได้ประมาท โรคหัวใจ เป็นสาเหตุการตาย อันดับ 2 ของคนไทยรองจากโรคมะเร็ง แบ่งเป็น 2 ประเภท ก. โรคหัวใจเฉียบพลัน (Acute Hard Attracted) เกิดจากหัวใจเต้นผิดปกติมีสาเหตุมาจากมีลมอุดกลั้นเส้นเลือด ที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำ ให้เจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก กรณีนี้ อย่านั่งฟุบอยู่กับหัวเข่าหรือโต๊ะเป็นอันขาด จะทำ ให้เกิดการหายใจ ยิ่งลำ บากและอาจสลบ ทำ ให้เสียชีวิตได้ทันที วิธีแก้ให้นอนหงายราบกับพื้นแล้วตั้งสติให้มั่นคง หายใจ เข้าลึกๆ ทางจมูกและหายใจออกทางปากช้าๆ พร้อมกับกระดกปลายลิ้นให้ติดเพดาน ปากด้านบน ทำ วิธีนี้สัก 5 ครั้ง ก็จะทำ ให้อาการดีขึ้นและค่อยๆ ฟื้นตัวเป็นปกติ ทำ เช่นเดียวกันจนรู้สึกหายเป็นปกติแล้วจึงค่อยลุกขึ้นช้าๆ ข.โรคหัวใจเรื้อรัง อาจเกิดจาก เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ แข็งตัวมีแคลเซียม เกาะอยู่และเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน เพราะมีไขมันเป็นตะกรันพอกอยู่ หรือเกิดจาก ลิ้นหัวใจรั่ว สืบเนื่องจากมีลมแทรกอยู่ในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ หรือมีฟองอากาศ แทรกอยู่ตามช่องว่างใกล้ลิ้นหัวใจทำ ให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้จึงเกิดความเสื่อม ของกล้ามเนื้อหัวใจหรือลิ้นหัวใจเป็นไปทีละเล็กละน้อย สะสมนานเข้าก็เกิดเป็น ลิ้นหัวใจรั่ว หรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย เพราะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจเกิดการตีบตัน จนบางครั้งต้องไปทำ บัลลูนหรือบายพาสเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ ทำ ไม? จึงเกิดลมเข้าหัวใจ ปกติหัวใจจะเป็นตัวบีบเลือดแดงไปเลี้ยง ส่วนต่างๆ ของร่างกายและรับเลือดดำ จากร่างกายส่งไปให้ปอดเพื่อฟอกให้สะอาด ด้วยออกซิเจนจากนั้นก็รับเลือดที่ฟอกแล้วจากปอดเข้าสู่หัวใจเพื่อส่งต่อไปเลี้ยง ส่วนต่างๆ ของร่างกายฉะนั้นเมื่อมีฟองอากาศแทรกอยู่ในเลือดก็จะสะสมเป็น ฟองอากาศที่ใหญ่ขึ้นสามารถขวางกั้นการไหลเวียนของเลือดแล้วทำ ให้เกิดความ
11 เสื่อมของกล้ามเนื้อและลิ้นของหัวใจตามมาสาเหตุที่ทำ ให้เกิดฟองอากาศในเลือด หรือลมนั้นมีหลายสาเหตุ เช่น กินอาหารแสลง กินอาหารบูดเน่า สุกๆ ดิบๆ การ กระทบร้อนกระทบเย็นอย่างรวดเร็ว การกินอาหารหรือน้ำ เร็วเกินไปหลังจากหิวจัดหรือ กระหายมาก มักจะเกิดลมแน่นในท้องแล้ววิ่งขึ้นไปยังทรวงอก บางครั้งเข้าหัวใจและ หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจทำ ให้เป็นโรคหัวใจตามมา ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลมมาก หรือเมื่อเกิดขึ้นก็ควรกำจัดลมให้หมดไป ด้วยการกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ เมื่อกินอาหารอิ่มใหม่ๆ ไม่ควรดื่มน้ำ เย็นหรือ ดื่มน้ำ มากเกินไป เพราะจะทำ ให้น้ำย่อยเจือจาง อาหารย่อยยากจึงเกิดการหมักเป็น แก๊สแน่นท้องและจุกเสียดแน่นหน้าอก เราสามารถกำจัดลมได้ด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสมแม้แต่การเดินจงกรม ประมาณ 30 นาทีก็สามารถกำ จัดลมได้ อาจช่วยด้วยการใช้ยาหอมปราณลม (เทพจิต) การนวด การอบสมุนไพร แม้แต่การฝึกลมปราณ ก็สามารถกำ จัดลมได้ ท่านที่มีอายุ32 ปีขึ้นไปจะมีลมเกิดขึ้นมากตามวัย *ฉะนั้นจงอย่าประมาท เดินทาง ไปไหนหรืออยู่บ้านควรมียาหอมเทพจิตติดไว้เพื่อแก้ขัดได้ชะงัดดี *โรคอ้วนเป็นสาเหตุที่ทำ�ให้เกิดโรคหัวใจ
12 โรคพรรดึก(ขับถ่ายยาก) ถ้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ขับถ่ายไม่ดีจะเป็นสัญญาณ เตือนภัยว่าสุขภาพท่านกำาลังเสียสมดุล และเป็นจุดเริ่มต้น ของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา เพราะโรคต่าง ๆ ที่ไม่มี การติดเชื้อเช่น อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ขับถ่ายไม่ดี ซึ่งเป็น สาเหตุของโรคความดัน ไขมัน เบาหวาน โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาตหรือแม้แต่โรคมะเร็ง เป็นต้น จะต้องใช้เวลาในการพัฒนาการเป็นโรค 5 - 10 ปี สำาหรับมะเร็งอาจใช้เวลามากกว่า 10 ปี แต่ถ้าเราปรับให้เกิดความสมดุลของธาตุทั้ง 4 มี ดิน น้ำา ลม ไฟ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน หรือแม้แต่คนเดียวกันก็ยังแตกต่างกันไป ตามอายุ ฤดูกาล แม้กระทั่งในแต่ละวัน เช้า สาย บ่าย เย็น ก็ยังมีความสมดุลของธาตุ ทั้ง 4 แปรเปลี่ยนไป แต่ไม่ยากที่จะทำาความเข้าใจ เพราะคนสุขภาพดี กินข้าวเปล่ายัง รู้สึกว่าอร่อย นอนหลับดี ไม่ฝันร้าย ไม่ตื่นนอนกลางดึก และที่สำาคัญมีการขับถ่ายอย่าง สมบูรณ์ทั้งธาตุดิน ธาตุน้ำา ธาตุลม และธาตุไฟ แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจเรื่องการขับถ่าย เฉพาะ อุจจาระ (ธาตุดิน) เท่านั้น การขับถ่าย... เป็นตัวชี้สำาคัญ ที่จะบ่งบอกถึงความมีสุขภาพดีหรือไม่ โดย เฉพาะอย่างยิ่งการขับถ่ายของเสียในมนุษย์จะมีทั้ง 4 ธาตุ ดังนี้ ธาตุดิน ขับโดย อุจจาระเป็นส่วนใหญ่ ยังมีผิวหนัง ขน ผม และเล็บ ธาตุน้ำา ขับโดย ปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ ยังมีระดู (สำาหรับสตรี) เหงื่อ น้ำามูก น้ำาลาย เสลด ฯลฯ ธาตุลม ขับโดย การผายลม การเรอ และออกตามรูขุมขน โดยเฉพาะปลาย มือ ปลายเท้า และทวารทั้ง 9 ในผู้ชาย 10 ทวารในผู้หญิง ธาตุไฟ ขับโดย ทางผิวหนังผ่านทางเหงื่อ ลมหายใจ อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น 12 โรคพรรดึก (ขับถ่ายยาก) ถ้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ขับถ่ายไม่ดีจะเป็น สัญญาณเตือนภัยว่าสุขภาพท่านกำ ลังเสียสมดุล และเป็น จุดเริ่มต้นของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา เพราะโรคต่างๆ ที่ไม่มีการติดเชื้อ เช่น อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ขับถ่าย ไม่ดีซึ่งเป็นสาเหตุของโรคความดัน ไขมัน เบาหวาน โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือแม้แต่โรคมะเร็ง เป็นต้น จะต้องใช้เวลาในการพัฒนาการเป็นโรค 5-10 ปีสำ หรับ มะเร็งอาจใช้เวลามากกว่า 10 ปีแต่ถ้าเราปรับให้เกิดความสมดุลของธาตุทั้ง 4 มี ดิน น้ำ� ลม ไฟ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคน หรือแม้แต่คนเดียวกันก็ยังแตกต่างกัน ไปตามอายุ ฤดูกาล แม้กระทั่งในแต่ละวัน เช้า สาย บ่าย เย็น ก็ยังมีความสมดุลของ ธาตุทั้ง 4 แปรเปลี่ยนไป แต่ไม่ยากที่จะทำ ความเข้าใจ เพราะคนสุขภาพดีกินข้าวเปล่า ยังรู้สึกว่าอร่อย นอนหลับดีไม่ฝันร้าย ไม่ตื่นนอนกลางดึก และที่สำ คัญมีการขับถ่าย อย่างสมบูรณ์ทั้งธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจเรื่องการ ขับถ่ายเฉพาะ อุจจาระ (ธาตุดิน) เท่านั้น การขับถ่าย... เป็นตัวชี้สคัญ ที่จะบ่งบอกถึงความมีสุขภาพดีหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับถ่ายของเสียในมนุษย์จะมีทั้ง 4 ธาตุดังนี้ ธาตุดิน ขับโดย อุจจาระเป็นส่วนใหญ่ยังมีผิวหนัง ขน ผม และเล็บ ธาตุน้ำ� ขับโดย ปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ ยังมีระดู(สำ หรับสตรี) เหงื่อ น้ำ มูก น้ำลาย เสลด ฯลฯ ธาตุลม ขับโดย การผายลม การเรอ และออกตามรูขุมขน โดยเฉพาะปลายมือ ปลายเท้า และทวารทั้ง 9 ในผู้ชาย 10 ทวารในผู้หญิง ธาตุไฟ ขับโดย ทางผิวหนังผ่านทางเหงื่อ ลมหายใจ อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น
13 แต่คนส่วนใหญ่พูดถึงการขับของเสียออกจากร่างกายมักคิดถึงเรื่องอุจจาระ เป็นหลัก เพราะเป็นเหตุสำ คัญที่จะดูว่าบุคคลนั้นมีสุขภาพดีหรือไม่ ทางการแพทย์ แผนไทยแบ่งอุจจาระเป็น 3 ประเภท คือ ก. ธาตุหนัก หมายถึง ผู้มีอุจจาระแข็งเป็นก้อนเหมือนขี้แพะ ภาษาโบราณ เรียกว่าเป็นพรรดึก เวลาถ่ายในโถส้วมจะจมดิ่งลงในน้ำ แล้วไม่ลอยขึ้นมาเลย ข. ธาตุเบา ลักษณะอุจจาระจะเป็นก้อนหลวมๆ หรือเหลว เวลาถ่ายจะลอย เป็นแพบนผิวน้ำ ในโถส้วม ค. ธาตุปานกลาง จะมีลักษณะกึ่งกลางระหว่างธาตุหนักและธาตุเบาเป็นก้อน ไม่แน่นมาก เวลาถ่ายตอนแรกจะจมดิ่ง จากนั้นจะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ในโถส้วม ที่กล่าวมาเหมือนเป็นเรื่องสกปรกไม่น่าพูด แต่มีความสำ คัญต่อสุขภาพมาก คนที่เป็นพรรดึกมักจะถ่ายวันเว้นวัน หรือถ่ายวันเว้น 2 วัน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก อาหารที่กินเป็นเนื้อสัตว์มาก หรือกินยาบางชนิดที่ทำ ให้ท้องผูกได้เช่นกัน ไม่ชอบทาน ผักสด ผลไม้และดื่มน้ำ น้อย นอกจากนี้ความเครียดก็ทำ ให้การขับถ่ายทุกระบบไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านอนไม่สอดคล้องกับธรรมชาติวิธีของดวงอาทิตย์วิถีชีวิตในการ ขับถ่ายก็จะมีปัญหาเช่นกันทำ ให้โอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับลำ ไส้ใหญ่ได้ง่าย เริ่มตั้งแต่ ลำ ไส้อักเสบ เป็นแผลจน กระทั่งเป็นมะเร็ง ถ้ามีอาการท้องผูก 3-5 ปี จะเริ่มมี อาการเป็นริดสีดวงทวารหรือถ่ายเป็นเลือด และไม่เกิน 10 ปี จะมีสัญญาณ มะเร็งลำ�ไส้เกิดขึ้นฉะนั้นควรปรับปรุงเรื่องอาหารและพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อท้องผูก เช่น ความเครียด เป็นต้นสมุนไพรที่แนะนำ ให้กินเมื่อเวลาท้องผูก เช่น มะขาม มะเฟือง กระทกรก ตระกูลที่มีรสเปรี้ยวทั้งหลาย โดยเฉพาะมะขามป้อมและสมอไทย ถ้ารับประทานอย่างละ 5 ผลพร้อมกับเกลือจะช่วยในการขับถ่ายได้ดีมาก เพราะ ผลไม้ทั้ง 2 ชนิด มักจะออกในช่วงปลายฝนต้นหนาว ถ้ากินเป็นประจำ ทุกปีจะช่วย ปรับระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดีไม่มีโอกาสเป็นมะเร็งลำ ไส้ ปัจจุบันคนมักถ่ายอุจจาระวันละครั้ง ซึ่งยังไม่เพียงพอ เพราะไม่สมดุลกัน ถ้ากิน 1 มื้อ ควรถ่าย 1 ครั้ง ถ้ากิน 2 มื้อ ควรถ่าย 2 ครั้ง ถ้ากิน 3 มื้อ ก็ควรถ่าย 3 ครั้ง ทุกวันนี้คนกินมากเกินไปและไม่กินอาหารตามธรรมชาติอาหารส่วนใหญ่มัก
14 ปรุงแต่งให้มีรสชาติอร่อย อาหารอร่อยมักไม่ค่อยมีประโยชน์ อาหารที่มีประโยชน์ มักจะไม่อร่อย ดังสุภาษิตที่ว่า “กินน้อยตายยาก กินมากตายเร็ว” พระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า การกินอาหาร 1 มื้อ ก็สามารถยังชีพได้มื้อที่2 ก็เพื่อการงาน สำ หรับมื้อ ที่ 3 เพื่อกามราคะฉะนั้นคนทานมื้อเดียวก็จะประหยัดทั้งเวลาและเงินทองเป็นผลดี ต่อสุขภาพและที่สำ คัญจะได้มีเวลาทำ งานได้มาก แต่สำ หรับผู้สูงวัยที่ระบบการ ย่อยอาหารอ่อนกำ ลังลง โดยเฉพาะธาตุไฟที่ย่อยอาหารควรงดดื่มน้ำ เย็นและ ไม่ควรดื่มน้ำ มากหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ ควรพักสักครึ่งถึง1 ชั่วโมงจึงดื่มน้ำ มากๆ ได้ ไม่ควรกินอาหารเนื้อสัตว์มาก ผู้สูงอายุควรกินเฉพาะปลาจะดีมาก กินพืชผักผลไม้ของท้องถิ่นตามฤดูกาลที่ปลอดสารเคมีทำ ให้มีสุขภาพดีและอย่าลืม กินอาหารที่มีรสเผ็ดร้อนเพื่อเพิ่มธาตุไฟ เช่น ขิง ดีปลีพริกไทย และใบกระเพรา เป็นต้น สำ หรับผู้สูงวัยควรทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ แต่ไม่ควรอิ่มมาก เลือกอาหาร ที่ช่วยให้การขับถ่ายดีโรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่มีเพราะทุกวันนี้คนเป็นโรคมากเพราะ กินมากแต่ขับถ่ายน้อย ที่สำ คัญอย่าลืมขับถ่ายอารมณ์เสียโดยการนั่งสมาธิด้วย ก็จะทำ ให้ไม่เครียดและมีปัญญา สนุกกับการแก้ปัญหาในแต่ละวันโดยยึดหลัก “ปัญหาไม่มี บารมีไม่เกิด” เน้นการทดสอบปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ อย่างมี ความสุข สำ�หรับท่านที่สนใจขับถ่ายวันละ 3 ครั้งเมื่อกินอาหาร 3 มื้อ ควรปฏิบัติดังนี้ ตื่นนอนตอนเช้าควรทำธุระส่วนตัวเป็นครั้งที่ 1 ให้เรียบร้อย แล้วนวดท้อง ด้วยผ้าขนหนูที่ม้วนเป็นก้อนแข็งด้วยการนอนทับคลึง 3-5 นาทีอาทิตย์ละ 3-5 ครั้ง จากนั้นดื่มน้ำ อุ่นหรือน้ำ เปล่าอุณหภูมิห้องก่อนแปรงฟัน 3-4 แก้ว (ยกเว้นคนเป็น โรคไต) เพื่อให้เชื้อแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสในช่องปากช่วยในการขับถ่าย จากนั้น ก็ยืดเส้นยืดสายด้วยฤาษีดัดตนหรือโยคะ ก่อนออกกำลังกายที่ท่านชอบไม่ว่าจะเป็น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือกีฬาอะไรก็ได้ที่สะดวกเพื่อกระตุ้นให้เลือดลม ไหลเวียนดีและมีการเคลื่อนไหวของอวัยวะทุกส่วน เน้นการช่วยปรับธาตุลม มาถึง ช่วงนี้ก็จะขับถ่ายอุจจาระเป็นครั้งที่ 2 สำ หรับอาหารมื้อเช้าถ้าเป็นกล้วยน้ำ ว้าสุก
16 โรคไข้ตัวร้อน ไข้มักจะเริ่มต้นด้วยอาการร้อนในหายใจร้อน ปัสสาวะเหลือง เข้มและร้อน เป็นอาการเริ่มเป็นไข้ ถ้างดกินน้ำาแข็ง น้ำาเย็น หรือพืชผักผลไม้ที่มีรสเย็น ไข้ก็จะไม่กำาเริบ ที่สำาคัญ ปากแห้ง คอแห้ง ปากแดง ตาแดงกล่ ำา อาจมีปวดหัวร่วมด้วยแสดงว่า ธาตุไฟกำาเริบ ทำาให้ธาตุลม (ปวดศีรษะ) และธาตุน้ำาแปรปรวน (ปากแห้ง คอแห้ง กระหายน ้ำา) ควรใช้: ยาสมุนไพรที่ช่วยขับความร้อน เช่น ยาขมทั้งหลายหรือยาเขียว กินทุก 4 ชั่วโมงกับอุ่นหรือน้ำาอุณหภูมิห้องประมาณ 3 วัน ไข้ก็จะไม่กำาเริบและหายในที่สุด ทำาไม ? คนจึงเป็นไข้ตัวร้อน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของธาตุ ทั้ง 4 อาจเป็นเพราะ อดหลับ อดนอน ทำางานหนัก เดินทางไกล หรือติดเชื้อไวรัสบาง ชนิด ขณะที่ร่างกายอ่อนแอไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการโจมตีของเชื้อไวรัส สายพันธุ์ต่างๆได้ จึงทำาให้เกิดเป็นไข้ โดยแต่ละวัยจะมีลักษณะอาการดำาเนินของโรค ไข้แตกต่างกัน ตามวัย ดังนี้ มัชฌิมวัย ปฐมวัย ปิตะ 7 วัน เสมหะ 12 วัน วาตะ 10 วัน ปัจฉิมวัย 15 สัก 2 ลูก แถมด้วยส้ม 1 ผลก็ได้แล้วตามด้วยอาหารสุขภาพที่ท่านจัดหา ตามธรรมชาติสำ หรับมื้อกลางวันและเย็นควรมีผลไม้ไทยตามฤดูกาลหรือสลัดผัก ก่อนอาหาร ก็จะเป็นการดีและที่สำ คัญควรกินน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ขึ้นไป (2 - 3 ลิตร) ครั้งที่ 3 จะขับถ่ายหลังอาหารมื้อเย็นหรือก่อนนอน รับรองว่า ท่านจะอยู่ได้ถึงอายุ90 ปีแบบมีความสุข ดังสุภาษิตที่ว่า “อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรคเป็นเป็นลาภอันประเสริฐ” ทั้งหมดนี้เน้นความสำ คัญของการขับถ่าย ที่ไม่อาจมองข้ามสำ หรับท่านที่ต้องการมีสุขภาพดี ซึ่งของเสียจะมีทั้ง 4 ธาตุ ดังนี้ ธาตุดิน อุจจาระ, เซลล์ผิว ธาตุน้ำ� เหงื่อ, ปัสสาวะ, เสลด, น้ำ มูกและ ระดูในสตรี ธาตุลม ลมหายใจเข้าออก, การเรอ, การผายลม ธาตุไฟ ความร้อนที่ระบายออกจากร่างกาย ทั้งหมดนี้ต้องมีการกำ จัดออก เพื่อสร้างความสมดุลให้กับธาตุทั้ง 4 เพื่อ สุขภาพดีและมีความสุข
16 โรคไข้ตัวร้อน ไข้มักจะเริ่มต้นด้วยอาการร้อนในหายใจร้อน ปัสสาวะเหลือง เข้มและร้อน เป็นอาการเริ่มเป็นไข้ ถ้างดกินน้ำาแข็ง น้ำาเย็น หรือพืชผักผลไม้ที่มีรสเย็น ไข้ก็จะไม่กำาเริบ ที่สำาคัญ ปากแห้ง คอแห้ง ปากแดง ตาแดงกล่ ำา อาจมีปวดหัวร่วมด้วยแสดงว่า ธาตุไฟกำาเริบ ทำาให้ธาตุลม (ปวดศีรษะ) และธาตุน้ำาแปรปรวน (ปากแห้ง คอแห้ง กระหายน ้ำา) ควรใช้: ยาสมุนไพรที่ช่วยขับความร้อน เช่น ยาขมทั้งหลายหรือยาเขียว กินทุก 4 ชั่วโมงกับอุ่นหรือน้ำาอุณหภูมิห้องประมาณ 3 วัน ไข้ก็จะไม่กำาเริบและหายในที่สุด ทำาไม ? คนจึงเป็นไข้ตัวร้อน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของธาตุ ทั้ง 4 อาจเป็นเพราะ อดหลับ อดนอน ทำางานหนัก เดินทางไกล หรือติดเชื้อไวรัสบาง ชนิด ขณะที่ร่างกายอ่อนแอไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการโจมตีของเชื้อไวรัส สายพันธุ์ต่างๆได้ จึงทำาให้เกิดเป็นไข้ โดยแต่ละวัยจะมีลักษณะอาการดำาเนินของโรค ไข้แตกต่างกัน ตามวัย ดังนี้ มัชฌิมวัย ปฐมวัย ปิตะ 7 วัน เสมหะ 12 วัน วาตะ 10 วัน ปัจฉิมวัย 16 โรคไข้ตัวร้อน ไข้มักจะเริ่มต้นด้วยอาการร้อนในหายใจร้อน ปัสสาวะเหลือง เข้มและร้อน เป็นอาการเริ่มเป็นไข้ ถ้างดกินน้ำาแข็ง น้ำาเย็น หรือพืชผักผลไม้ที่มีรสเย็น ไข้ก็จะไม่กำาเริบ ที่สำาคัญ ปากแห้ง คอแห้ง ปากแดง ตาแดงกล่ ำา อาจมีปวดหัวร่วมด้วยแสดงว่า ธาตุไฟกำาเริบ ทำาให้ธาตุลม (ปวดศีรษะ) และธาตุน้ำาแปรปรวน (ปากแห้ง คอแห้ง กระหายน้ำา) ควรใช้: ยาสมุนไพรที่ช่วยขับความร้อน เช่น ยาขมทั้งหลายหรือยาเขียว กินทุก 4 ชั่วโมงกับอุ่นหรือน้ำาอุณหภูมิห้องประมาณ 3 วัน ไข้ก็จะไม่กำาเริบและหายในที่สุด ทำาไม ? คนจึงเป็นไข้ตัวร้อน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของธาตุ ทั้ง 4 อาจเป็นเพราะ อดหลับ อดนอน ทำางานหนัก เดินทางไกล หรือติดเชื้อไวรัสบาง ชนิด ขณะที่ร่างกายอ่อนแอไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการโจมตีของเชื้อไวรัส สายพันธุ์ต่างๆได้ จึงทำาให้เกิดเป็นไข้ โดยแต่ละวัยจะมีลักษณะอาการดำาเนินของโรค ไข้แตกต่างกัน ตามวัย ดังนี้ มัชฌิมวัย ปฐมวัย ปิตะ 7 วัน เสมหะ 12 วัน วาตะ 10 วัน ปัจฉิมวัย โรคไข้ตัวร้อน ไข้มักจะเริ่มต้นด้วยอาการร้อนในหายใจร้อน ปัสสาวะเหลืองเข้มและร้อน เป็นอาการเริ่มเป็นไข้ ถ้า งดกินน้ำแข็ง น้ำ เย็นหรือพืชผักผลไม้ที่มีรสเย็น ไข้ก็จะ ไม่กำ เริบ ที่สำ คัญ ปากแห้งคอแห้ง ปากแดง ตาแดงก่ำ อาจมีปวดหัวร่วมด้วยแสดงว่าธาตุไฟกำ เริบ ทำ ให้ธาตุลม (ปวดศีรษะ) และธาตุน้ำ แปรปรวน (ปากแห้ง คอแห้งกระหายน้ำ ) ควรใช้: ยาสมุนไพรที่ช่วยขับความร้อน เช่น ยาขมทั้งหลายหรือยาเขียว กินทุก 4 ชั่วโมงกับน้ำ อุ่นหรือน้ำ อุณหภูมิห้องประมาณ 3 วัน ไข้ก็จะไม่กำ เริบและหายในที่สุด ทำไม? คนจึงเป็นไข้ตัวร้อน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของธาตุ ทั้ง 4 อาจเป็นเพราะ อดหลับ อดนอน ทำ งานหนัก เดินทางไกล หรือติดเชื้อไวรัส บางชนิด ขณะที่ร่างกายอ่อนแอไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการโจมตีของ เชื้อไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ได้จึงทำ ให้เกิดเป็นไข้โดยแต่ละวัยจะมีลักษณะอาการดำ เนิน ของโรคไข้แตกต่างกัน ตามวัย ดังนี้
17 ตามวัฏจักรของการเป็นไข้ตัวร้อนดำ เนินไปตามลำ ดับและจะหายได้เอง ในที่ โดยร่างกายจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันเยียวยาและฟื้นฟูด้วยตัวเอง แต่การใช้ยา สมุนไพรอาจเป็นการตัดหรือหยุดวงจรของการเป็นไข้และหายได้โดยไม่สะสมพิษ ของไข้และทำ ให้เป็นภาระหนักสำ หรับตับและไต ที่ต้องเป็นตัวกำ จัดสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกายจึงไม่ทำ ให้ตับและไตทำ งานหนัก และเกิดอาการตับแข็งและไตเสื่อม ตามมา ฉะนั้นทุกท่านควรสังเกตตนเองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มมีความร้อน (ธาตุไฟ) กำ เริบ จากร้อนกระทบเย็น การเปลี่ยนแปลงของอากาศหรือการถูกฝนเปียกบางส่วนที่ศีรษะ แล้วไม่ได้ไปอาบน้ำ สระผม หรือให้อุณหภูมิเสมอกัน ก็จะเกิดความต่างของอุณหภูมิ ระหว่างศีรษะและเท้า ทำ ให้มีการถ่ายเทอุณหภูมิเกิดขึ้นทำ ให้มีการร้อนครั่นเนื้อ ครั่นตัวและหนาวสั่นเป็นบางครั้ง ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของอาการโรคไข้ถ้าปรับเปลี่ยน พฤติกรรมและใช้ยาสมุนไพรช่วยอย่างเหมาะสมก็จะทำ ให้ไข้ตัวร้อนไม่กำ เริบและ ดำ เนินต่อไป กรณีที่เป็นไข้เลือดออก ควรกินรางจืดทุก 4 ชั่วโมง 3 เวลา ก่อนอาหาร ประมาณ 2-3 วัน จากนั้นกินยาห้าราก (แก้วห้าดวง หรือ เบญจโลกอิวชัย) ทุก 4 ชั่วโมง เป็นเวลา 3-5 วัน ไข้จะหายไม่ลุกลามไม่กำ เริบ ซึ่งเป็นสาเหตุทำ ให้อ่อนเพลีย และอาจเสียชีวิตในที่สุด
18 โรคท้องเสีย โรคท้องเสีย หรือบางครั้งอาจมีอาการปวดท้องร่วม ด้วย สาเหตุมาจากลำาไส้ใหญ่มีการหดและคลายตัวผิดปกติ อาจเป็นเพราะได้รับสารพิษหรือติดเชื้อจุลินทรีย์ เราแบ่ง อาการท้องเสียออกเป็น 2 ประเภท ก. ท้องเสียจากการกินอาหารที่มีสารพิษเจือปน อาจเป็นสารพิษจากยาฆ่าแมลง และสารกันเสีย หรือสารพิษที่เกิดจากจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในอาหาร อาการท้องเสียจะ เกิดขึ้นรวดเร็ว แสดงอาการภายใน 2 - 4 ชั่วโมง กรณีนี้เราสามารถกินยาสมุนไพรรางจืด เพื่อล้างพิษและกินน้ ำาเกลือแร่เสริม ทดแทนส่วนที่เสียไป และอาจใช้ยาสมุนไพรแก้ท้องเสีย เช่น ยาเหลืองปิดสมุทร ก็จะ ช่วยให้ท้องเสียหายภายใน 1 - 2 วัน ข. ท้องเสียกรณีกินอาหารที่มีเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปเพราะกินอาหารสดหรืออาหาร ที่ปรุงแล้วแต่ทิ้งไว้ให้มีการติดเชื้อถ้ากินเข้าไป กว่าจะแสดงอาการท้องเสียต้องใช้เวลา 8 - 12 ชั่วโมง เพื่อให้เชื้อเจริญเติบโตและมีผลทำาให้ท้องเสีย กรณีนี้ต้องกินยาฆ่าเชื้อ จุลินทรีย์ แต่ถ้าเป็นยาสมุนไพร ยาเหลืองปิดสมุทรก็ใช้ได้ และใช้ยาธาตุบรรจบร่วม ด้วยก็จะทำาให้การฟื้นตัวเป็นปกติได้เร็วขึ้น เพื่อความไม่ประมาทสำาหรับผู้ที่อ่อนแอท้องเสียง่ายควรกินอาหารที่ปรุงสุก ใหม่ๆหรืออาหารสดก็ต้องมั่นใจว่าปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำาให้เกิดท้อง เสีย เช่น เชื้ออีโคไล เป็นต้น ควรมียาเหลืองปิดสมุทรหรือยาธาตุบรรจบไว้ประจำาบ้าน ก็จะเป็นการดี สำาหรับท่านที่หายาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ อาจใช้ชาจีนชงให้เข้มหน่อยดื่ม หรือ ใช้ใบฝรั่งอายุปานกลาง (เพสลาด) ประมาณใบที่ 5 - 7 นับจากยอดมาเคี้ยวกิน หรือคั้น น้ ำากิน บางครั้งอาจใช้ทำาผลิตเป็นชาชงก็ได้ผลดี 18 โรคท้องเสีย โรคท้องเสีย หรือบางครั้งอาจมีอาการปวดท้อง ร่วมด้วย สาเหตุมาจากลำ ไส้ใหญ่มีการหดและคลายตัว ผิดปกติอาจเป็นเพราะได้รับสารพิษหรือติดเชื้อจุลินทรีย์ เราแบ่งอาการท้องเสียออกเป็น 2 ประเภท ก. ท้องเสียจากการกินอาหารที่มีสารพิษเจือปน อาจเป็นสารพิษจากยา ฆ่าแมลงและสารกันเสีย หรือสารพิษที่เกิดจากจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในอาหาร อาการ ท้องเสียจะเกิดขึ้นรวดเร็ว แสดงอาการภายใน 2 - 4 ชั่วโมง กรณีนี้เราสามารถกินยาสมุนไพรรางจืด เพื่อล้างพิษและกินน้ำ เกลือแร่เสริม ทดแทนส่วนที่เสียไป และอาจใช้ยาสมุนไพรแก้ท้องเสีย เช่น ยาเหลืองปิดสมุทร ก็จะ ช่วยให้ท้องเสียหายภายใน 1 - 2 วัน ข. ท้องเสียกรณีกินอาหารที่มีเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปเพราะกินอาหารสดหรือ อาหารที่ปรุงแล้วแต่ทิ้งไว้ให้มีการติดเชื้อถ้ากินเข้าไป กว่าจะแสดงอาการท้องเสีย ต้องใช้เวลา 8 - 12 ชั่วโมง เพื่อให้เชื้อเจริญเติบโตและมีผลทำ ให้ท้องเสีย กรณีนี้ ต้องกินยาฆ่าเชื้อจุลินทรีย์แต่ถ้าเป็นยาสมุนไพร ยาเหลืองปิดสมุทรก็ใช้ได้และใช้ ยาธาตุบรรจบร่วมด้วยก็จะทำ ให้การฟื้นตัวเป็นปกติได้เร็วขึ้น เพื่อความไม่ประมาทสำ หรับผู้ที่อ่อนแอท้องเสียง่าย ควรกินอาหารที่ปรุง สุกใหม่ๆ หรืออาหารสดก็ต้องมั่นใจว่าปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำ ให้เกิด ท้องเสีย เช่น เชื้ออีโคไล เป็นต้น ควรมียาเหลืองปิดสมุทรหรือยาธาตุบรรจบไว้ประจำ บ้านก็จะเป็นการดี สำ หรับท่านที่หายาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้อาจใช้ชาจีนชงให้เข้มหน่อยดื่ม หรือ ใช้ใบฝรั่งอายุปานกลาง (เพสลาด) ประมาณใบที่ 5 - 7 นับจากยอดมาเคี้ยวกิน หรือ คั้นน้ำ กิน บางครั้งอาจใช้ทำ ผลิตเป็นชาชงก็ได้ผลดี
19 โรคน้ำ�เหลืองเสีย คนที่มีอาการผิวหนังเป็นตุ่มเป็นหนองทั้งมีหัวและไม่มีหัว หรือแผลพุพอง ส่วนใหญ่มักเกิดจากน้ำ เหลืองเสีย คนโบราณท่านว่า เป็นโรคเกี่ยวกับอาโปธาตุพิการ ที่เป็นเกี่ยวกับไขมันเหลว (น้ำ เหลือง) ซึ่งเกิดจากเลือดได้สะสมปริมาณสารพิษไว้ แล้วร่างกายขับออกไม่หมด ส่วนใหญ่เป็นสารพิษที่ได้จากอาหารที่เรากินเข้าไป เช่น ปุ๋ยเคมียาฆ่าแมลง หรือสารกันเสียในอาหารที่ปรุงสำ เร็จแล้ว ตลอดจนเครื่องปรุงรส แต่งสีทั้งหลาย รวมทั้งพืช สัตว์ที่เลี้ยงด้วยสารอาหารปรุงแต่งทั้งหลาย มีสารเคมี ตกค้างในเนื้อสัตว์และพืช เมื่อเรานำ มารับประทานก็จะได้สารพิษเข้าไปในร่างกายด้วย เมื่อสะสมนานๆ เข้าก็จะทำ ให้เลือดและน้ำ เหลืองเสีย นอกจากนี้สารพิษต่างๆ ยังสามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยทางลมหายใจที่เรา สูดเอาอากาศมลพิษที่มีทั้งฝุ่นละอองและแก๊สพิษต่างๆ เข้าไป โดยเฉพาะคนที่อยู่ใน เมืองใหญ่ที่มีรถยนต์หนาแน่น และในบริเวณโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยอากาศมลพิษ ต่างๆ น้ำ ที่เราดื่มก็มีส่วนสำ คัญ อาจมีสารเคมีเจือปนโดยที่เราตั้งใจ เช่น เครื่องดื่ม ผสมสีและสารเคมีต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องดื่มบรรจุสำ เร็จ และที่เราไม่ได้ตั้งใจ เช่น แร่ธาตุ สารเคมีโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว แคทเมี่ยม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเจือปนที่เป็นพิษ เหล่านี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะทำ ให้ตับและไตของเราทำ งานหนัก เพื่อกำ จัดสารพิษ ของเสียทั้งหลาย และเกิดโรคตับแข็งและไตวายตามมา แม้แต่ยาเคมีที่เรากินเข้าไป ในปริมาณมากเป็นเวลานานเพื่อรักษาโรคบางอย่างก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำ ให้เลือด และน้ำ เหลืองเสีย ฉะนั้นเมื่อน้ำ เหลืองเสีย สิ่งสำ คัญต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทั้งหมดที่กล่าวมา ข้างต้น โดยการกินอาหารสด ปรุงใหม่ ปราศจากการปรุงรสต่างๆ ยกเว้นเกลือและ น้ำ ตาลตามธรรมชาติและควรเป็นพืชผักผลไม้ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลปราศจากสารเคมี แม้แต่เนื้อสัตว์ก็เลี้ยงด้วยอาหารธรรมชาติที่ปราศจากสารเคมีปรุงแต่งเช่นกัน ได้แก่
20 ส่วนยาสมุนไพรที่จะมาช่วยทำาให้อาการน้ำาเหลืองดีขึ้น ควรจะเป็นยาประดง ทั้งหลาย หรือยาถ่ายน้ำาเหลืองเสีย ยาบำารุงน้ำาเหลือง และบำารุงโลหิต กว่าจะได้เลือด และน้ำาเหลืองใหม่ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 120 วัน ดังจะเห็นได้จากเราสามารถบริจาค โลหิตได้ทุก 3 เดือน เพราะเม็ดเลือดจะแตกสลายและมีการสร้างขึ้นใหม่ทดแทนทั้งเม็ด เลือดและน้ำาเหลือง จากนั้นถ้าเรามีการดูแลป้องกันและหมั่นสังเกตอาการความเปลี่ยนแปลงเมื่อ เรากินอาหารอย่างระมัดระวัง กินน้ำาที่สะอาด อยู่ในอากาศที่บริสุทธิ์ โรคภัยต่างๆ ก็จะ ไม่กลับมาเป็นอีกชีวิตนี้ก็จะมีความสุข อายุยืน สุขภาพดีตลอดไป 20 ไก่ไทย (ไก่บ้าน) ปลาแม่น้ำ เป็นต้น แต่ควรเป็นปลาที่มีเกร็ดเท่านั้น เพราะปลาหนัง ทั้งหลายจะมีสารพิษสะสมอยู่เนื่องจากกินของเน่าเสีย ส่วนยาสมุนไพรที่จะมาช่วยทำ ให้อาการน้ำ เหลืองดีขึ้น ควรจะเป็นยาประดง ทั้งหลาย หรือยาถ่ายน้ำ เหลืองเสีย ยาบำ รุงน้ำ เหลือง และบำ รุงโลหิต กว่าจะได้เลือด และน้ำ เหลืองใหม่ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 120 วัน ดังจะเห็นได้จากเราสามารถบริจาค โลหิตได้ทุก 3 เดือน เพราะเม็ดเลือดจะแตกสลายและมีการสร้างขึ้นใหม่ทดแทน ทั้งเม็ดเลือดและน้ำ เหลือง จากนั้นถ้าเรามีการดูแลป้องกันและหมั่นสังเกตอาการความเปลี่ยนแปลง เมื่อเรากินอาหารอย่างระมัดระวัง กินน้ำ ที่สะอาด อยู่ในอากาศที่บริสุทธิ์โรคภัยต่างๆ ก็จะไม่กลับมาเป็นอีกชีวิตนี้ก็จะมีความสุข อายุยืน สุขภาพดีตลอดไป
21 โรคบ้านหมุน (ยืนตรงไม่ได้) น้ำาในหูไม่เท่ากัน โรคนี้มักจะเป็นสำาหรับผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ก่อนเป็นจะแสดงอาการ เช่น รู้สึก ตึงหน้า ตึงตา มึนศรีษะ บางคนถึงขั้นอาเจียน พูดจาไม่ได้ศัพท์ (พูดปะติดปะต่อ) พอล้มลงเพื่อจะนอนพักตาจะมองเห็นภาพเลื่อนเป็นฉากๆ เหมือนแผ่นฟิล์ม จากนั้นภาพที่เห็นจะเริ่มหมุน (อาการ เหมือนบ้านหมุน) ทรงตัวยืนตรงไม่ได้มีอาการเซ ซึ่งลักษณะดังกล่าว ทางการแพทย์แผนไทยวินิจฉัยว่ามีอาการของธาตุลมพิการ อันมีสาเหตุมาจากธาตุไฟ (ชิรณมัคคี) ในตัวมากเกินไปทำาให้ลมขยายตัวไปดันอวัยวะ ต่างๆในร่างกายและเส้นเลือด จึงทำาให้มีอาการตึงหน้า ตึงตา ลิ้นกระด้าง คางแข็ง พูดจาไม่เป็นศัพท์ และทำาให้ตามองเห็นภาพเลื่อนเป็นฉากๆ ไม่ติดต่อกัน แต่ธาตุไฟ (ปารีณามัคคี) กลับหย่อน ทำาให้เกิดลมในช่องท้องและในกระเพาะอาหารมาก เนื่อง จากอาหารไม่ย่อยกินของแสลงผิดสำาแดง และลมนี่เองที่ทำาให้เกิดความดันมากไปดันเอา น้ำาในหูชั้นในให้เสียสมดุล เกิดน้ำาในหูไม่เท่ากันในก้นหอย (cochlea) จึงทำาให้เกิดการ ทรงตัวไม่ได้ ยืนตรงไม่เป็น มีอาการเซ เพราะไม่สามารถควบคุมการทรงตัวและกำาหนด รู้ว่าตอนนี้เรายืนตรง เอียงหน้า เอียงหลัง หรือเอียงข้างเหมือนกับคนปกติทั่วไป ถ้าดูตามเหตุปัจจัยแล้วทางการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า มูลเหตุของการเกิดโรคใน ปฐมวัย (อายุแรกเกิด ถึง 16 ขวบ) สาเหตุโรคเกิดจาก ธาตุน้ำา ฉะนั้น เด็กจึงมีปัญหา อุจจาระร่วง ปัสสาวะบ่อย น้ำามูก น้ำาลาย ตลอดจน น้ำาเหลืองเสีย เป็นแผลน้ำาเหลือง และหนองเมื่อดูด และยุง หรือ มดต่อย มัชฌิมาวัย (อายุตั้งแต่ 16 ปี ถึง 32 ปี) สาเหตุเกิดจากธาตุไฟ วัยนี้จะ มีความร้อนในตัวมาก มีเลือดกำาเดาไหลได้ง่าย เป็นไข้บ่อย โดยเฉพาะพวกที่เป็นโรค ดีซ่าน (ไวรัสลงตับ) จะเป็นมากในวัยนี้ 21 โรคบ้านหมุน (ยืนตรงไม่ได้) น้ำ�ในหูไม่เท่ากัน โรคนี้มักจะเป็นสำ หรับผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ก่อนเป็นจะแสดงอาการ เช่น รู้สึก ตึงหน้า ตึงตา มึนศรีษะ บางคนถึงขั้นอาเจียน พูดจาไม่ได้ศัพท์(พูดปะติดปะต่อ) พอล้มลงเพื่อจะนอนพักตาจะมองเห็นภาพเลื่อนเป็น ฉากๆ เหมือนแผ่นฟิล์ม จากนั้นภาพที่เห็นจะเริ่มหมุน (อาการเหมือนบ้านหมุน) ทรงตัวยืนตรงไม่ได้มีอาการเซ ซึ่งลักษณะดังกล่าว ทางการแพทย์แผนไทยวินิจฉัยว่ามีอาการของธาตุลม พิการอันมีสาเหตุมาจากธาตุไฟ (ชิรณัคคี) ในตัวมากเกินไปทำ ให้ลมขยายตัวไปดัน อวัยวะต่างๆ ในร่างกายและเส้นเลือด จึงทำ ให้มีอาการตึงหน้า ตึงตา ลิ้นกระด้าง คางแข็งพูดจาไม่เป็นศัพท์และทำ ให้ตามองเห็นภาพเลื่อนเป็นฉากๆ ไม่ติดต่อกัน แต่ธาตุไฟ (ปริณามัคคี) กลับหย่อน ทำ ให้เกิดลมในช่องท้องและในกระเพาะอาหาร มาก เนื่องจากอาหารไม่ย่อยกินของแสลงผิดสำแดง และลมนี่เองที่ทำ ให้เกิดความดัน มากไปดันเอาน้ำ ในหูชั้นในให้เสียสมดุล เกิดน้ำ ในหูไม่เท่ากันในก้นหอย (cochlea) จึงทำ ให้เกิดการทรงตัวไม่ได้ยืนตรงไม่เป็น มีอาการเซ เพราะไม่สามารถควบคุม การทรงตัวและกำ หนดรู้ว่าตอนนี้เรายืนตรง เอียงหน้า เอียงหลัง หรือเอียงข้างเ หมือนกับคนปกติทั่วไป ถ้าดูตามเหตุปัจจัยแล้วทางการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า มูลเหตุของการ เกิดโรคใน ปฐมวัย (อายุแรกเกิด ถึง 16 ขวบ) สาเหตุโรคเกิดจาก ธาตุน้ำ ฉะนั้นเด็ก จึงมีปัญหา อุจจาระร่วง ปัสสาวะบ่อย น้ำ มูก น้ำลาย ตลอดจน น้ำ เหลืองเสียเป็นแผล น้ำ เหลือง มัชฌิมาวัย (อายุตั้งแต่ 16 ปีถึง 32 ปี) สาเหตุเกิดจาก ธาตุไฟ วัยนี้จะมี ความร้อนในตัวมาก มีเลือดกำ เดาไหลได้ง่าย เป็นไข้บ่อย โดยเฉพาะพวกที่เป็นโรค
22 ดีซ่าน (ไวรัสลงตับ) จะเป็นมากในวัยนี้ ปัจฉิมวัย (อายุตั้งแต่ 32 ปีขึ้นไป) สาเหตุโรคเกิดจาก ธาตุลม เป็นหลัก ในวัยนี้จะหยุดการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นความสูงหรือลักษณะรูปร่าง ถ้ารักษา ให้คงที่ได้ตลอดก็จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ โดยปรับสมดุลของธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน 20, ธาตุน้ำ 12, ธาตุลม 6, ธาตุไฟ 4, ทั้งนี้ธาตุดินมักได้จากอาหาร ธาตุน้ำ ได้จากน้ำ ที่ดื่ม เข้าไป ส่วนธาตุลมได้จากการหายใจ ถ้าทั้งธาตุ 3 สมดุลกันดีก็จะทำ ให้เกิด ธาตุไฟที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สมดุลสอดคล้องกับธรรมชาติที่มีอุณหภูมิของ อากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น ใน 1 วัน เช้าอากาศเย็น บ่ายอากาศร้อน ตกเย็นอากาศอบอุ่น หรือมีฝนตก เป็นต้น ฉะนั้น ใน 1 ปีก็จะมีฤดู (อุณหภูมิที่ แตกต่าง) เปลี่ยนแปลงจึงทำ ให้คนมักจะเจ็บป่วยในช่วงเปลี่ยนฤดูเพราะร่างกาย มีประสิทธิภาพในการปรับสมดุลของอุณหภูมิภายในและภายนอกร่างกายของแต่ละคน ไม่เหมือนกันจึงทำ ให้บางคนป่วยบางคนไม่ป่วย สำ หรับโรคน้ำ ในหูไม่เท่ากันมักเป็นเพราะเลือดลมหมุนเวียนไม่ดีมีการติดขัด หรืออุดตันทำ ให้เกิดความดันที่แตกต่างกันในช่องหูดังกล่าวแล้วข้างต้น ฉะนั้นการป้องกันที่ดีต้องมีการกำ จัดลมให้เกิดความสมดุลทุกวันซึ่งมีอยู่ หลายวิธีคงจะมีโอกาสเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป สำ หรับคนที่เป็นแล้วถ้าไปพบแพทย์ แผนไทยที่มีความชำ นาญจะรักษาด้วยวิธีนวดเพียง 1 - 2 ครั้ง ก็จะหายเป็นปกติ แต่ต้องปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสม ก็จะไม่กลับมาเป็นอีก การแพทย์ แผนไทยมีวิธีการที่ไม่ยุ่งยากและสามารถดูแลตนเองได้สำ หรับบทความนี้มีเนื้อที่ จำ กัดไม่อาจแนะนำ ได้ทั้งหมดแต่พอตรวจสอบเบื้องต้นได้ว่า การหมุนเวียนเลือดลมในร่างกายเราเป็นไปด้วยดีหรือไม่ด้วยท่าทางง่ายๆ ดังนี้ 1. ยืนตรงเท้าชิดกัน ชูมือทั้งสองเหนือศรีษะ เหยียดตรงแล้วค่อยๆ ก้มลงดูว่า ฝ่ามือติดพื้นหรือไม่ 2. เหยียดแขนทั้งสองตรงไปข้างหน้า ตั้งฉากกับลำ ตัวแล้วยกแขนขวาไขว้ อยู่เหนือแขนซ้ายจากนั้นพลิกฝ่ามือทั้งสองลงให้หันประสานกันจับให้แน่น จากนั้น
23 แขนทั้งสองลงเข้าลำาตัวแล้วหมุนออก เหยียดตรง ถ้าทำาไม่ได้แสดงว่าเริ่มมีปัญหาข้อ ไหล่หรือข้อศอก ตลอดจนข้อมือติด เพราะกล้ามเนื้อแข็งแกร็งหรือพังผืดยึด จากนั้น ทำาเช่นเดิมสลับเอามือซ้ายขึ้นข้างบนมือขวาแล้วตรวจสอบดูว่าทั้งสองครั้งเหมือนหรือ ต่างกันอย่างไร จากการตรวจเช็คด้วยตนเองทั้ง 2 ท่า ถ้าติดขัดแสดงว่าส่วนอื่นๆ ก็จะมีปัญหา เช่นกัน โดยเฉพาะที่ศีรษะกรามศีรษะและช่องหู เพราะว่ากระดูกเรามีทั้งหมด 206 ชิ้น ควรจะมีข้อต่อที่ไม่ติดขัดเคลื่อนไหวได้ง่าย เพราะจะทำาให้เลือดลมไม่ติดขัดคั่งค้างทำา ให้เกิดปัญหา อย่างเช่น เกิดน้ำาที่หูไม่เท่ากัน เป็นต้น ตามหลักการนวดจะต้องนวดตาม เส้นประธานสิบ ที่มีปัญหาไปยังอวัยวะที่ บกพร่องต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ฉะนั้นควรพบแพทย์แผนไทยที่อยู่สถานพยาบาลที่ ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข เช่น คลินิกแพทย์แผนไทย เพราะจะสบายใจ ไม่เป็นอันตรายไม่ใช่การนวดเพื่อสุขภาพที่เห็นกันทั่วไป หรือผู้เชี่ยวชาญการนวดที่มีผู้ เคยรักษาหายแนะนำาก็น่าจะลองดู เพราะการสอบใบประกอบโรคศิลปะเป็นขบวนการ ที่เกิดขึ้นมาทีหลัง ทั้งนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขโดยกองประกอบโรคศิลปะ ก็ยินดีจะ มอบใบประกอบโรคศิลปะให้ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ ถ้าท่านผู้อ่านได้พบเห็นแพทย์พื้น บ้านที่มีความเชี่ยวชาญโรคใดก็ได้ช่วยกรุณาส่งข่าวให้ทางสมาพันธ์การแพทย์แผนไทย ล้านนาด้วย จะได้ช่วยกันส่งเสริมและอนุรักษ์ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไม่ให้สูญหาย และช่วยกันพัฒนาสู่สากลต่อไป 23 ม้วนแขนทั้งสองลงเข้าลำ ตัวแล้วหมุนออก เหยียดตรง ถ้าทำ ไม่ได้แสดงว่าเริ่มมีปัญหา ข้อไหล่หรือข้อศอก ตลอดจนข้อมือติด เพราะกล้ามเนื้อแข็งแกร็งหรือพังผืดยึด จากนั้นทำ เช่นเดิมสลับเอามือซ้ายขึ้นข้างบนมือขวาแล้วตรวจสอบดูว่าทั้งสองครั้ง เหมือนหรือต่างกันอย่างไร จากการตรวจเช็คด้วยตนเองทั้ง 2 ท่า ถ้าติดขัดแสดงว่าส่วนอื่นๆ ก็จะมี ปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะที่ศีรษะกรามศีรษะและช่องหู เพราะว่ากระดูกเรามีทั้งหมด 206 ชิ้น ควรจะมีข้อต่อที่ไม่ติดขัดเคลื่อนไหวได้ง่าย เพราะจะทำ ให้เลือดลมไม่ติดขัด คั่งค้างทำ ให้เกิดปัญหา อย่างเช่น เกิดน้ำ ที่หูไม่เท่ากัน เป็นต้น ตามหลักการนวดจะต้องนวดตาม เส้นประธานสิบ ที่มีปัญหาไปยังอวัยวะ ที่บกพร่องต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ฉะนั้นควรพบแพทย์แผนไทยที่อยู่สถานพยาบาล ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข เช่น คลินิกแพทย์แผนไทย เพราะจะสบายใจ ไม่เป็นอันตราย ไม่ใช่การนวดเพื่อสุขภาพที่เห็นกันทั่วไป หรือผู้เชี่ยวชาญการนวด ที่มีผู้เคยรักษาหายแนะนำ ก็น่าจะลองดู เพราะการสอบใบประกอบโรคศิลปะเป็น ขบวนการที่เกิดขึ้นมาทีหลัง ทั้งนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขโดยกองประกอบโรคศิลปะ ก็ยินดีจะมอบใบประกอบโรคศิลปะให้ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิถ้าท่านผู้อ่านได้พบเห็น แพทย์พื้นบ้านที่มีความเชี่ยวชาญโรคใดก็ได้ช่วยกรุณาส่งข่าวให้ทางสมาพันธ์ การแพทย์แผนไทยล้านนาด้วย จะได้ช่วยกันส่งเสริมและอนุรักษ์ภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษไม่ให้สูญหายและช่วยกันพัฒนาสู่สากลต่อไป
24 โรคระดู (ประจำาเดือน) มาไม่ปกติ สตรีที่ย่างเข้าสู่วัยรุ่นอายุประมาณ 10 - 12 ขวบ จะเริ่มมีประจำาเดือนและมักมีอาการผิดปกติ เช่น เป็นมุดตกิตระดูขาวเป็นเหมือนน้ำามูกใส อาการเช่นนี้ ถ้าไม่ดูแลรักษาจะเป็นปัญหากับ มดลูกในระยะยาว และอาจเป็นมะเร็งมดลูกตามมา เมื่อเวลาผ่านไป 15 - 20 ปี หลังจากที่ระดูมาไม่ ปกติไม่ตรงเวลา (ปกติ 28 วัน) ไม่สม่ ำาเสมอ (มีปริมาณไม่คงที่) เลือดที่ขับออกไม่หมด จะกลายเป็นพิษทำาให้เกิดช็อกโกแลตซีส (ก้อนเลือดแข็งในมดลูก) และตามมาด้วยการ เป็นมะเร็งมดลูก ฉะนั้นสตรีที่ระดูมาไม่ปกติควรต้องรีบแก้ไขโดยหลีกเลี่ยงการกิน อาหารที่มีรสเย็นขณะระดูมา เช่น น้ำาแข็ง น้ำาเย็น ไอศกรีมหรือแม้แต่พืชผักและผลไม้ ที่มีรสเย็น เช่น ผักบุ้ง ตำาลึง ฟักแฟง แตงโม แตงกวา น้ำาเต้า เป็นต้น เพราะจะทำาให้ การขับเลือดไม่ดีออกไม่หมด และที่สำาคัญที่คนโบราณห้ามไว้ก็คือ ห้ามดื่มน้ำามะพร้าว อ่อน ตอนระดูมาเป็นอันขาดเพราะจะทำาให้ระดูหยุดทันทีและมีอาการปวดท้องน้อย และปวดศีรษะสะสมนานๆ ก็กลายเป็นโรคตามมา สำาหรับคนที่ระดูมาไม่ปกติวิธีรักษา ก็ควรงดพฤติกรรมที่เสี่ยงข้างต้นและกินยาสมุนไพรช่วยขับเลือดเสีย (ประจุโลหิต) และ กินยาบำารุงเลือด (ยาประสะไพล) ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายค่อยปรับสมดุล ประมาณ 3 - 4 เดือน ระดูกจะกลับมาเป็นปกติ เมื่อระดูงาม เลือดสีแดงสด ไม่สะสมเลือดเสียก็จะ ทำาให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งมีน้ำามีนวล ไม่เป็นสิวฝ้าและตกกระ ถ้าดูแลสม่ ำาเสมอก็จะ ทำาให้มีบุตรง่ายและระดูก็จะหมดช้าลง (ประมาณอายุ 55 ปี บวกลบนิดหน่อย) ทำาให้ ไม่มีปัญหาโรควัยทอง (เลือดจะไปลมจะมา) โรคกระดูกพรุน และโรคผู้สูงวัยทั้งหลาย ถ้าเรารู้จักปรับเปลี่ยนการใช้ยาสมุนไพรบำารุงร่างกายให้เหมาะสมตามวัย โดยเฉพาะ สมุนไพรกราวเครือขาวที่จะทดแทนฮอร์โมนในสตรีที่สูงวัย แต่ต้องใช้ในปริมาณที่ เหมาะสม ถ้าใช้มากเกินไปหรือกินฮอร์โมนสมัยใหม่เป็นประจำา จะทำาให้เกิดเป็นมะเร็ง 24 โรคระดู (ประจำ�เดือน) มาไม่ปกติ ส ต รี ที่ ย่ า ง เข้ า สู่ วั ย รุ่ น อ า ยุ ป ร ะ ม า ณ 10-12 ขวบ จะเริ่มมีประจำ เดือนและมักมีอาการ ผิดปกติเช่น เป็นมุตกิตระดูขาวเป็นเหมือน น้ำ มูกใสอาการเช่นนี้ ถ้าไม่ดูแลรักษาจะเป็น ปัญหากับมดลูกในระยะยาว และอาจเป็นมะเร็ง มดลูกตามมาเมื่อเวลาผ่านไป 15 - 20 ปี หลังจากที่ระดูมาไม่ปกติไม่ตรงเวลา (ปกติ28 วัน) ไม่สม่ำ เสมอ (มีปริมาณไม่คงที่) เลือดที่ขับออกไม่หมดจะกลายเป็นพิษทำ ให้เกิดช็อกโกแลตซีส (ก้อนเลือดแข็ง ในมดลูก) และตามมาด้วยการเป็นมะเร็งมดลูก ฉะนั้นสตรีที่ระดูมาไม่ปกติควรต้องรีบ แก้ไขโดยหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีรสเย็นขณะระดูมา เช่น น้ำแข็ง น้ำ เย็น ไอศกรีม หรือแม้แต่พืชผักและผลไม้ที่มีรสเย็น เช่น ผักบุ้ง ตำ ลึง ฟักแฟง แตงโม แตงกวา น้ำ เต้า เป็นต้น เพราะจะทำ ให้การขับเลือดไม่ดีออกไม่หมด และที่สำ คัญที่คนโบราณ ห้ามไว้ก็คือ ห้ามดื่มน้ำ มะพร้าวอ่อน ตอนระดูมาเป็นอันขาดเพราะจะทำ ให้ระดู หยุดทันทีและมีอาการปวดท้องน้อยและปวดศีรษะสะสมนานๆ ก็กลายเป็นโรค ตามมา สำ หรับคนที่ระดูมาไม่ปกติวิธีรักษาก็ควรงดพฤติกรรมที่เสี่ยงข้างต้นและ กินยาสมุนไพรช่วยขับเลือดเสีย (ประจุโลหิต) และกินยาบำ รุงเลือด (ยาประสะไพล) ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายค่อยปรับสมดุล ประมาณ 3 - 4 เดือน ระดูจะกลับมาเป็นปกติ เมื่อระดูงาม เลือดสีแดงสด ไม่สะสมเลือดเสียก็จะทำ ให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งมีน้ำ มีนวล ไม่เป็นสิวฝ้าและตกกระ ถ้าดูแลสม่ำ เสมอก็จะทำ ให้มีบุตรง่ายและระดูก็จะ หมดช้าลง (ประมาณอายุ 55 ปีบวกลบนิดหน่อย) ทำ ให้ไม่มีปัญหาโรควัยทอง (เลือดจะไปลมจะมา) โรคกระดูกพรุน และโรคผู้สูงวัยทั้งหลายถ้าเรารู้จักปรับเปลี่ยน การใช้ยาสมุนไพรบำ รุงร่างกายให้เหมาะสมตามวัย โดยเฉพาะสมุนไพรกราวเครือขาว ที่จะทดแทนฮอร์โมนในสตรีที่สูงวัย แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ถ้าใช้มากเกินไป
25 เต้านมได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นควรปรึกษาจากผู้รู้และได้รับคำาแนะนำาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ท่านก็จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตามมาที่เกิดจากผลข้างเคียงของการใช้ยา จงจำาและระลึกไว้เสมอว่ายาแต่ละชนิดเหมาะกับแต่ละบุคคลรวมทั้งขนาดและ ปริมาณการใช้ ดังนั้นจึงควรปรึกษาและหาข้อมูลให้รอบด้าน เพราะอายุยืนสุขภาพดี มีความสุขอยู่ที่ตัวเราเอง 25 หรือกินฮอร์โมนสมัยใหม่เป็นประจำ จะทำ ให้เกิดเป็นมะเร็งเต้านมได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นควร ปรึกษาจากผู้รู้และได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านก็จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับ สุขภาพตามมาที่เกิดจากผลข้างเคียงของการใช้ยา จงจำและระลึกไว้เสมอว่ายาแต่ละชนิดเหมาะกับแต่ละบุคคลรวมทั้งขนาดและ ปริมาณการใช้ดังนั้นจึงควรปรึกษาและหาข้อมูลให้รอบด้าน เพราะอายุยืนสุขภาพดี มีความสุขอยู่ที่ตัวเราเอง
26 โรครำามะนาด (เหงือกอักเสบ) คนไทยส่วนใหญ่จะมีปัญหาปวดฟัน เหงือกอักเสบ เลือดออกตามไรฟัน บางครั้งถึงกับเป็นหนองทำาให้มีปัญหา ต่อสุขภาพตามมา เช่น ปวดฟัน นอนไม่หลับ กินอะไร ไม่ค่อยได้ มีอารมณ์หงุดหงิด ทำางานขาดประสิทธิภาพ ทรมานมาก หลายคนทนปวดไม่ไหวก็ถอนฟันทิ้ง ทั้งๆ ที่รู้ ว่าถอนทิ้งโอกาสฟันงอกใหม่ไม่มี แต่เป็นเพราะทนต่อความทรมานจากอาการปวดไม่ไหว สาเหตุเกิดมาจากติดเชื้อแบคทีเรียทำาให้เหงือกบวมอักเสบ ฟันโยก บางท่าน กล่าวว่า สาเหตุเกิดจากแปรงฟันไม่ถูกวิธี มีการหมักหมมของเศษอาหาร เป็นแหล่งเพาะ เชื้อแบคทีเรียหรืออาจเกิดจากมีหินปูนเกาะมาก ทำาให้เหงือกร่นและอักเสบ คนสมัยก่อนยุครัชกาลที่ 5 กรุงรัตนโกสินทร์ คนไทยนิยมเคี้ยวหมากพลูหลัง รับประทาน อาหาร เป็นการขัดสีฟัน และรักษารากฟัน เพราะในหมากพลูจะมีรสฝาด เป็นการสมานทำาให้เหงือกแข็งแรง ส่วนปูนแดงมีขมิ้นผสมอยู่ช่วยในการฆ่าเชื้อ ฟันจึง แข็งแรงไม่หลุดร่วงแถมมีสีดำาเป็นเงางามจนสิ้นอายุขัย ปัจจุบันคนแปรงฟันมาก ใช้ยา สีฟันหลากหลายแต่กลับมีโรคฟันเกิดขึ้นมากมาย บางคนก็ไปดัดฟัน ทำาฟัน เพื่อความ สวยงามและอาจตามมาด้วยปัญหาการรักษาฟันที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงโดยไม่จำาเป็น * การรักษาและป้องกันโรครำามะนาดทำาได้ไม่ยาก เพียงแต่ก่อนนอนหรือตอน เช้าก่อนแปรงฟันอมเกลือแกงสัก 3 - 5 เม็ด ให้ละลายจนหมดและกลั้วให้ทั่วฟันทุกซี่ เป็นเวลา 10 - 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง คนที่เป็นรำามะนาดอยู่ทำาแค่ 3 วัน โรคก็จะหาย ทันที สำาหรับคนที่ไม่เป็นป้องกันโดยอมเกลืออย่างน้อย 3 วัน ใน 1 สัปดาห์ ปัญหา เรื่องเหงือกอักเสบ ปวดฟัน รากฟันติดเชื้อก็จะไม่เกิดขึ้น * ยาสีฟันคนโบราณมักจะใช้สารส้มผสมกับเกลือป่นเป็นผงให้เข้ากันใช้แปรง ฟัน วันละ 1 - 2 ครั้งก็จำาให้ฟันแข็งแรง ไม่ผุ และไม่เป็นโรครำามะนาดฟัน หลังรับ ประทานอาหารทุกครั้งควรบ้วนปากและกำาจัดเศษอาหารให้หมด ไม่ติดตามไรฟันก็จะ ช่วยให้ไม่มีการเพาะเชื้อแบคทีเรียที่จะเป็นสาเหตุทำาให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ 26 โรครำ�มะนาด (เหงือกอักเสบ) คนไทยส่วนใหญ่จะมีปัญห าปวดฟัน เหงือก อักเสบเลือดออกตามไรฟัน บางครั้งถึงกับเป็นหนอง ทำ ให้มีปัญหาต่อสุขภาพตามมา เช่น ปวดฟัน นอน ไม่หลับ กินอะไรไม่ค่อยได้ มีอารมณ์หงุดหงิด ทำ งาน ขาดประสิทธิภาพทรมานมาก หลายคนทนปวดไม่ไหว ก็ถอนฟันทิ้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าถอนทิ้งโอกาสฟันงอกใหม่ไม่มีแต่เป็นเพราะทนต่อความ ทรมานจากอาการปวดไม่ไหว สาเหตุเกิดมาจากติดเชื้อแบคทีเรียทำ ให้เหงือกบวมอักเสบ ฟันโยก บางท่าน กล่าวว่า สาเหตุเกิดจากแปรงฟันไม่ถูกวิธีมีการหมักหมมของเศษอาหาร เป็นแหล่ง เพาะเชื้อแบคทีเรียหรืออาจเกิดจากมีหินปูนเกาะมาก ทำ ให้เหงือกร่นและอักเสบ คนสมัยก่อนยุครัชกาลที่ 5 กรุงรัตนโกสินทร์ คนไทยนิยมเคี้ยวหมากพลู หลังรับประทาน อาหาร เป็นการขัดสีฟัน และรักษารากฟัน เพราะในหมากพลูจะมี รสฝาดเป็นการสมานทำ ให้เหงือกแข็งแรง ส่วนปูนแดงมีขมิ้นผสมอยู่ช่วยในการฆ่าเชื้อ ฟันจึงแข็งแรงไม่หลุดร่วงแถมมีสีดำ เป็นเงางามจนสิ้นอายุขัย ปัจจุบันคนแปรงฟันมาก ใช้ยาสีฟันหลากหลายแต่กลับมีโรคฟันเกิดขึ้นมากมาย บางคนก็ไปดัดฟัน ทำ ฟัน เพื่อ ความสวยงามและอาจตามมาด้วยปัญหาการรักษาฟันที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงโดยไม่จำ เป็น * การรักษาและป้องกันโรครำ มะนาดทำ ได้ไม่ยาก เพียงแต่ก่อนนอนหรือ ตอนเช้าก่อนแปรงฟันอมเกลือแกงสัก 3 - 5 เม็ด ให้ละลายจนหมดและกลั้วให้ทั่วฟัน ทุกซี่เป็นเวลา 10 - 15 นาทีแล้วบ้วนทิ้ง คนที่เป็นรำ มะนาดอยู่ทำแค่ 3 วัน โรคก็ จะหายทันทีสำ หรับคนที่ไม่เป็นป้องกันโดยอมเกลืออย่างน้อย 3 วัน ใน 1 สัปดาห์ ปัญหาเรื่องเหงือกอักเสบ ปวดฟัน รากฟันติดเชื้อก็จะไม่เกิดขึ้น * ยาสีฟันคนโบราณมักจะใช้สารส้มผสมกับเกลือป่นเป็นผงให้เข้ากันใช้ แปรงฟัน วันละ 1 - 2 ครั้งก็ทำ ให้ฟันแข็งแรง ไม่ผุและไม่เป็นโรครำ มะนาดฟัน หลัง รับประทานอาหารทุกครั้งควรบ้วนปากและกำจัดเศษอาหารให้หมด ไม่ติดตามไรฟัน ก็จะช่วยให้ไม่มีการเพาะเชื้อแบคทีเรียที่จะเป็นสาเหตุทำ ให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ
27 โรคภูมิแพ้และหอบหืด โรคภูมิแพ้ ต่างจาก โรคแพ้ภูมิอย่างไร - โรคภูมิแพ้เกิดจากภูมิต้านทานภายในร่างกายมีความอ่อนแอไวต่อ สิ่งระคายเคืองและสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายสัมผัส ทั้งทางตา หูจมูก ลิ้น กายสัมผัส และจิตใจ - โรคแพ้ภูมิหมายถึง ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune) เข้มแข็งมากเกินไป ทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ทุกอย่างที่ร่างกายสัมผัส จนกระทั่งทำ ร้ายเซลล์ในร่างกายของ ตนเอง เช่น โรคพุ่มพวง (SLE) หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว Leukemia เป็นต้น อย่างไร ก็ตาม ทั้งโรคภูมิแพ้และโรคแพ้ภูมิทางการแพทย์แผนไทยถือว่า มีสาเหตุมาจาก ความไม่สมดุลของธาตุทั้ง 4 ประกอบด้วย ดิน น้ำ� ลม ไฟ ฉะนั้นถ้าเราสามารถปรับตัวให้เกิดความสมดุลโดยเฉพาะ ธาตุลม และ ธาตุน้ำ�ที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ก็จะทำ ให้หายจากโรคแพ้ภูมิได้ด้วยวิธีธรรมชาติ แต่คนส่วนใหญ่ที่สังเกตและรู้สึกได้ คือ แพ้ทางกายสัมผัส เช่น เป็นผดผื่นแดง และมีอาการคันตามผิวหนัง บางคนแพ้ควัน, ไอระเหย ทำ ให้น้ำ ตาไหล ตาแดง ตาระคายเคือง บางคนแพ้เสียง หูอื้อ ฟังไม่ชัด หรือความดันอากาศจากภายนอกและ ภายในไม่เท่ากัน เช่นขึ้นที่สูงหรือลงที่ต่ำ ใต้ดิน แม้กระทั่งในน้ำ สำ หรับจมูก คนจะสังเกตและรู้สึกได้ง่าย เช่น แพ้ควันหรือแพ้อากาศ น้ำ มูก จะไหล หายใจไม่สะดวก ถ้าดูแลไม่ดีและไม่เข้าใจในการรักษาให้หายขาด (โดยอาศัย การแพทย์แผนไทย) ก็จะกลายเป็นโรคหอบหืดตามมาจะรู้สึกทรมานเมื่อเผชิญกับ อากาศหนาวเย็นถ้าไม่ดูแลอย่างถูกวิธีเพราะเกี่ยวข้องกับระบบหายใจ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งปอดจะไม่มีพลัง ถ้าท่านอยากทราบว่าปอดท่านมีพลังหรือไม่ ลองหายใจเข้าลึกๆ และกลั้นไว้ ได้กี่วินาทีถ้าท่านสามารถกลั้นได้ถึง 60 วินาทีโรคภูมิแพ้อากาศก็จะหายไป ท่านลองฝึกหายใจและฝึกลมปราณ จนกว่าจะกลั้นลมหายใจให้ได้ถึง 60 วินาที
28 ไทยโดยไม่คิดมูลค่า เพราะอยากให้ทุกท่าน มีอายุยืน สุขภาพดี และมีความสุข ด้วย ตัวท่านเอง ถ้าปอดมีพลัง สามารถดูดซับออกซิเจน (O2 ) และขับคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2 ) ได้ดี ก็จะช่วยฟอกเลือดให้สะอาดลดอาการเป็นโรคภูมิแพ้อย่างอื่นๆได้ด้วยที่ สำาคัญท่านต้องรับประทานอาหารที่สะอาด ปราศจากสารปรุงแต่งและเป็นอาหารตาม ธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล อากาศที่บริสุทธิ์มีปริมาณออกซิเจน (O2 ) ในบรรยากาศไม่น้อยกว่า 20% ตลอด จนดื่มน้ำาสะอาดที่อุณหภูมิห้องวันละ ไม่น้อยกว่า 3.5-4 ลิตร และรักษาอุณหภูมิของ ร่างกายและบรรยากาศให้เกิดการสมดุล ไม่แตกต่างกันมาก และเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เพียงเท่านี้โรคภูมิแพ้ หอบหืดก็จะหาย แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารเพื่อเสริมสร้าง ภูมิคุ้มกัน หรือใช้ยาสมุนไพรช่วยในการรักษา เพื่อทำาให้ร่างกายเกิดการฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ก็อย่าลืมปรึกษาผู้มีใบประกอบโรคศิลป์การแพทย์แผนไทย (เวชกรรมที่ท่านคุ้นเคย) สำาคัญ ต้องอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทปราศ จากฝุ่นละออง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนอนใน ห้องแอร์ที่ปูพรม หรือ เลี้ยงสัตว์ที่มีขน (หมา แมว กระต่าย ฯลฯ) ในบ้านหรือห้องนอนก็ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น การป้องกันและรักษาที่ดีที่สุด คือการออกกำาลังกาย เพื่อให้ปอดมีพลังในการ ขับออกซิเจนไปฟอกเลือดให้สะอาด ลดอาการได้เป็นอย่างดี และถ้ามีการออกกำาลัง กายต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน วันละ 45 - 50 นาที อย่างเหมาะสม ก็จะหายจากโรคได้ ถ้าไม่สะดวกอาจใช้การฝึกลมปราณและการนั่งสมาธิก็มีส่วนช่วยได้เหมือนกัน 28 ด้วยวิธีใดก็ได้หากต้องการทราบวิธีโปรดติดต่อฝึกและดูการสาธิตได้ที่ช่างหล่อคลินิก การแพทย์แผนไทยโดยไม่คิดมูลค่า เพราะอยากให้ทุกท่าน มีอายุยืน สุขภาพดี และ มีความสุข ด้วยตัวท่านเอง ถ้าปอดมีพลัง สามารถดูดซับออกซิเจน (O2 ) และ ขับคาร์บอนไดออกไซด์(Co2 ) ได้ดีก็จะช่วยฟอกเลือดให้สะอาดลดอาการเป็นโรค ภูมิแพ้อย่างอื่นๆ ได้ด้วยที่สำ คัญท่านต้องรับประทานอาหารที่สะอาด ปราศจาก สารปรุงแต่งและเป็นอาหารตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล อากาศที่บริสุทธิ์มีปริมาณออกซิเจน (O2 ) ในบรรยากาศไม่น้อยกว่า 20% ตลอดจนดื่มน้ำสะอาดที่อุณหภูมิห้องวันละ ไม่น้อยกว่า 3.5-4 ลิตร และรักษาอุณหภูมิ ของร่างกายและบรรยากาศให้เกิดการสมดุล ไม่แตกต่างกันมาก และเปลี่ยนแปลง กะทันหันเพียงเท่านี้โรคภูมิแพ้หอบหืดก็จะหาย แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหาร เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หรือใช้ยาสมุนไพรช่วยในการรักษา เพื่อทำ ให้ร่างกาย เกิดการฟื้นตัวได้เร็วขึ้นก็อย่าลืมปรึกษาผู้มีใบประกอบโรคศิลป์การแพทย์แผนไทย (เวชกรรมที่ท่านคุ้นเคย) สำ�คัญ ต้องอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเท ปราศจากฝุ่นละออง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนอนในห้องแอร์ที่ปูพรม หรือ เลี้ยง สัตว์ที่มีขน (หมา แมว กระต่าย ฯลฯ) ในบ้านหรือห้องนอนก็จะเสี่ยงต่อการเป็น โรคภูมิแพ้มากขึ้น การป้องกันและรักษาที่ดีที่สุด คือการออกกำ ลังกาย เพื่อให้ปอดมีพลัง ในการขับออกซิเจนไปฟอกเลือดให้สะอาด ลดอาการได้เป็นอย่างดีและถ้ามีการ ออกกำลังกายต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน วันละ 45 - 50 นาทีอย่างเหมาะสม ก็จะ หายจากโรคได้ถ้าไม่สะดวกอาจใช้การฝึกลมปราณและการนั่งสมาธิก็มีส่วนช่วยได้ เหมือนกัน
โรคนิ้วล็อค ทำ�ไม? คนถึงเป็นโรคนิ้วล็อค โรคนิ้วล็อคเกิดจากปลอกเส้นเอ็นหุ้มข้อนิ้วเกิดการอักเสบ เนื่องจากนิ้ว ใช้งานมากหรือใช้นิ้วและข้อมือไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ใช้มือถือ อุปกรณ์ หรือ เครื่องมือในการทำ งานนานเกินไป โดยไม่มีการพักและไม่ขยับให้ผ่อนคลาย เลือดจะ ได้ไหวเวียนได้สะดวก เช่น ช่างตัดผมที่ถือปัตตาเลี่ยนเป็นเวลานาน แม่ค้าเขียงหมู ที่จับถือมีด แม้แต่อาชีพทันตแพทย์ที่ถือเครื่องทำ ฟัน เป็นต้น บางท่านที่ชอบใช้นิ้ว หิ้วถุงใส่ของเป็นเวลานานก็ทำ ให้เกิดการอักเสบและเป็นนิ้วล็อคได้การใช้มือหมุน ลูกบิดประตูไขกุญแจหรือแม้แต่การสตาร์ทรถยนต์ก็ทำ ให้เกิดปัญหานิ้วล็อคได้เพราะ หมุนไปทางเดียวตลอดทำ ให้เนื้อเยื่อบิดริ้วและรัด โดยเฉพาะท่านที่ซักผ้าและบิด ด้วยมือจะเห็นผลชัดเจนว่ากล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจะบิดตัวผิดรูป ทำ ให้เกิดปัญหานิ้วล็อคซึ่งเป็นสาเหตุมาตั้งแต่ใต้รักแร้ ข้อศอก ข้อมือ จนถึงนิ้ว ส่วนใหญ่จะพบในผู้ใหญ่ที่ทำ งานมาก ส่วนในเด็กและวัยรุ่นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและ เนื้อเยื่อยังมีความยืดหยุ่น เมื่อใช้งานเสร็จก็จะเคลื่อนกลับที่เดิมได้จึงไม่เกิดปัญหา นิ้วล็อค การรักษาโรคนิ้วล็อค ถ้ายังเป็นไม่มากหรือเริ่มมีอาการสามารถช่วยได้โดยการใช้น้ำ อุ่นหรือนวดมือ ด้วยน้ำ มันให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก บางท่านอาจใช้การออกกำ ลังนิ้วมือให้มีการ เคลื่อนไหวโดยใช้ลูกหิน 2 ลูก ขยับไปมาให้หมุนบนฝ่ามือก็สามารถช่วยให้อาการ ทุเลาและหายได้ถ้าหมั่นทำ และควรพักงานการใช้นิ้วมือที่มีปัญหาชั่วคราว ถ้ามีอาการ มากต้องอาศัยหมอนวดที่มีประสบการณ์ในการนวดรักษาเพื่อจัดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันให้เกิดการเคลื่อนไหวไม่ติดกันเพื่อให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ก็จะทำ ให้เกิดการฟื้นฟูเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อที่เป็นพังผืดให้สลายไปได้ 29
30 มาแล้วข้างต้นโดยเฉพาะการทำาให้เกิดความสมดุลในการใช้มือและนิ้วสลับกันอย่าง เหมาะสมและดูแลระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดีและที่สำาคัญต้องเป็นเลือดที่สะอาด ปราศจากสารพิษด้วยการขับถ่ายที่ดีทั้งอุจจาระและปัสสาวะ โดยถ้ากินอาหาร 3 มื้อ ก็ ควรถ่ายอุจจาระวันละ 3 ครั้ง เป็นต้น 30 การป้องกัน ไม่ให้เป็นนิ้วล็อคหรือเมื่อรักษาหายแล้วไม่ให้กลับมาเป็นใหม่ ด้วยการหลีกเลี่ยง คือไม่ทำ เหตุที่จะเป็นสาเหตุทำ ให้เกิดนิ้วล็อคได้อีก ตามที่ได้ กล่าวมาแล้วข้างต้นโดยเฉพาะการทำ ให้เกิดความสมดุลในการใช้มือและนิ้วสลับกัน อย่างเหมาะสมและดูแลระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดีและที่สำ คัญต้องเป็นเลือด ที่สะอาดปราศจากสารพิษด้วยการขับถ่ายที่ดีทั้งอุจจาระและปัสสาวะ โดยถ้ากินอาหาร 3 มื้อ ก็ควรถ่ายอุจจาระวันละ 3 ครั้ง เป็นต้น
31 โรคไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไทรอยด์เป็นตัวสร้างฮอร์โมนที่ ควบคุมการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายเพื่อให้ เกิดพลังงานนำาไปใช้ในการดำารงชีวิตให้เป็นปกติสุข ซึ่งปัจจุบันจะพบคนมีปัญหาไทรอยด์มากเพิ่มขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากความเครียด การนอนหลับพักผ่อน ที่ไม่ปกติ เช่น นอนน้อย นอนดึก นอนไม่เป็นเวลา ขาดการออกกำาลังกาย จึงทำาให้ธาตุไฟเกิดความแปรปรวน เป็นไปได้ 2 กรณี ในการ แพทย์แผนไทย ก. มีฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน (Hyperthyroid) จะมีการเผาผลาญการสร้าง พลังงานมากผิดปกติ เทียบได้กับธาตุไฟกำาเริบ เป็นธาตุไฟเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ที่ เรียกว่า ปารีณามัคคี จะทำาให้มีอาการหิวอาหารบ่อย กินมาก มีอาการอ่อนเพลีย ผอม แห้ง กินมากแต่ไม่อ้วน เนื่องจากมีเมตะบอลิซึมสูง ข. มีฮอร์โมนไทรอยด์น้อยเกินไป (Hypothyroid) จะมีการเผาผลาญสร้าง พลังงานน้อยผิดปกติ ทางการแพทย์แผนไทยถือว่า ธาตุไฟ ปารีณามัคคีหย่อน ทำาให้ อ้วนง่ายแม้กินอาหารไม่มาก เหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น หลายคนเมื่อมีปัญหาฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน (Hyperthyroid) ไปตัดต่อม ไทรอยด์ทิ้งบางส่วนกลับทำาให้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์น้อยเกินไปทำาให้มีปัญหา ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ ำา (Hypothyroid) ตามมาและก็ไม่สามารถทำาให้ต่อมไทรอยด์กลับ มาเหมือนเดิมจึงทำาให้เป็นปัญหาสุขภาพและมีผลทำาให้เกิดโรคอื่นตามมาจากความ อ้วน เช่น โรคความดันหิตสูง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดในสมองและหลอดเลือดต่างๆ แม้กระทั่งไต แต่ทางการแพทย์แผนไทยจะเริ่มด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยง ต่อการเกิดโรคและการใช้สมุนไพรให้เป็นอาหารและยาด้วยการปรับธาตุไฟให้สมดุล 31 โรคไทรอยด์เป็นพิษ ต่ อ มไท ร อ ย ด์ เ ป็น ตั ว ส ร้ า ง ฮ อ ร์โ มน ที่ควบคุมการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย เพื่อให้เกิดพลังงานนำ ไปใช้ในการดำ รงชีวิต ให้เป็น ปกติสุขซึ่งปัจจุบันจะพบคนมีปัญหาไทรอยด์ มากเพิ่มขึ้นซึ่งมีสาเหตุจากความเครียด การนอน หลับพักผ่อนที่ไม่ปกติเช่น นอนน้อย นอนดึก นอนไม่เป็นเวลาขาดการออกกำลังกาย จึงทำ ให้ธาตุไฟเกิดความแปรปรวน เป็นไปได้ 2 กรณีในการแพทย์แผนไทย ก. มีฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน (Hyperthyroid) จะมีการเผาผลาญการสร้าง พลังงานมากผิดปกติเทียบได้กับธาตุไฟกำ เริบ เป็นธาตุไฟเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ที่เรียกว่า ปริณามัคคีจะทำ ให้มีอาการหิวอาหารบ่อย กินมาก มีอาการอ่อนเพลีย ผอมแห้ง กินมากแต่ไม่อ้วน เนื่องจากมีเมตะบอลิซึมสูง ข. มีฮอร์โมนไทรอยด์น้อยเกินไป (Hypothyroid) จะมีการเผาผลาญสร้าง พลังงานน้อยผิดปกติทางการแพทย์แผนไทยถือว่า ธาตุไฟ ปริณามัคคีหย่อน ทำ ให้ อ้วนง่ายแม้กินอาหารไม่มาก เหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น หลายคนเมื่อมีปัญหาฮอร์โมนไทรอยด์มากเกิน (Hyperthyroid) ไปตัด ต่อมไทรอยด์ทิ้งบางส่วนกลับทำ ให้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์น้อยเกินไป ทำ ให้มีปัญหา ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroid) ตามมาและก็ไม่สามารถทำ ให้ต่อมไทรอยด์ กลับมาเหมือนเดิม จึงทำ ให้เป็นปัญหาสุขภาพและมีผลทำ ให้เกิดโรคอื่นตามมา จากความอ้วน เช่น โรคความดันหิตสูง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดในสมองและหลอดเลือด ต่างๆ แม้กระทั่งไต แต่ทางการแพทย์แผนไทยจะเริ่มด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยง ต่อการเกิดโรคและการใช้สมุนไพร ให้เป็นอาหารและยาด้วยการปรับธาตุไฟให้สมดุล
32 (ไม่มากเกินหรือน้อยเกิน) โรคเกี่ยวกับไทรอยด์เป็นพิษก็จะหายไป เช่น กลุ่มไฮเปอร์ ไทรอยด์(Hyperthyroid) ธาตุไฟกำ เริบ ก็จะกินอาหารที่มีรสเย็น เช่น ใบย่านาง ใบบัวบก ผักบุ้ง ตำลึง ฟักแฟง แตงกวา แตงโม เป็นต้น แต่ถ้าใช้ยาสมุนไพรก็เป็น พวกยาเขียวหอม ยาขมต่างๆ ยาประสะพิมเสน เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่เน้นไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroid) ธาตุไฟหย่อน ก็จะกินอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ขิง ข่า กระเทียม กระเพรา พริกไท ตระไคร้ดีปลีฯลฯ ถ้าเป็นยาตำ หรับ เช่น ยาบำ รุงธาตุไฟ ยาไฟบัลลัง ก์กัจป์ยากำลังราชสีห์เป็นต้น ที่สำ คัญต้องปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติโดยเฉพาะ การนอนหลับพักผ่อนก่อนสี่ทุ่ม และไม่เครียดวิตกกังวลเพราะจะทำ ให้ธาตุไฟกำ เริบ แล้วเกิดปัญหาไทรอยด์เป็นพิษตามมา
33 โรคความจำ�เสื่อม (อัลไซเมอร์) สังเกตเห็นว่าคนสมัยก่อนไม่ค่อยมีปัญหาโรคความจำ เสื่อม เพราะคนรุ่นก่อน มักจะมีการนวดและการใช้ยาดมหรือยาหอมเป็นประจำ เพราะช่วยทำ ให้เลือด ไหลเวียนได้ดีมีเลือดไปเลี้ยงสมองอยู่ตลอดเวลา จึงทำ ให้เซลล์สมองไม่เสื่อม ประกอบ กับคนรุ่นเก่ามักจะมีกิจกรรมไปวัดสวดมนต์และนั่งสมาธิเป็นประจำ โดยเฉพาะ ในวันพระช่วงเข้าพรรษามักจะถือศีล 8 ไปนอนวัดกันเป็นประเพณี ปัจจุบันวิถีชีวิตที่เร่งรีบขาดการสวดมนต์ ฝึกสมาธิและที่สำ คัญไม่ค่อยได้ ออกกำ ลังกาย จึงทำ ให้เลือดลมไหลเวียนไม่ดีมีลมคลั่งอยู่ในสมองโดยเฉพาะคนที่ ปวดศีรษะบ่อยๆ หรือเป็นไมเกรน เพราะมีลมคลั่งอยู่ในสมอง ซึ่งข้าพเจ้าได้บทเรียน จากเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกัน มีปัญหาความจำ ไม่ทำ งาน 6 ชั่วโมง ไม่สามารถจำ กิจกรรม ต่างๆ ที่ผ่านมาได้เมื่อไปนอนรักษาในโรงพยาบาลที่ทันสมัยมีการตรวจ C-T สแกน สมองพบว่ามีจุดขาวๆ อยู่เท่าเม็ดถั่วเหลือง ซึ่งเป็นไปตามทฤษฏีของการแพทย์ แผนไทยเมื่อมีลมคลั่งค้างอยู่ ก็ทำ ให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวกเกิดการขาดตอน โดยเฉพาะประจุไฟฟ้าในระบบประสาทที่ส่งข้อมูลไปยังส่วนของความจำ เกิดการ ขาดตอนจึงทำ ให้จำ อะไรไม่ได้และนี่เป็นสัญญาณเตือนภัยว่า อนาคตโรคความจำ เสื่อม (อัลไซเมอร์) สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนหากเราไม่ดูแลแก้ไขและป้องกัน สาเหตุความจำ�เสื่อมสามารถแยกออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ ก. เกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ง่าย เพราะสมองส่วนความจำ ได้รับความกระทบกระเทือนและเกิดการเสียหาย ถ้าฟื้นตัวไม่ได้ก็จะเกิดโรคความจำ เสื่อมอย่างถาวร ข. เกิดจากการติดเชื้อในสมองแล้วไปทำลายส่วนสมอง ที่ทำ หน้าที่เกี่ยวกับ ความจำ ค. เกิดจากความเสื่อมตามธรรมชาติส่วนใหญ่จะพบในผู้สูงอายุ 65 ปี ขึ้นไปและนับวันจะมีมากขึ้นและมีอายุน้อยลงเพราะขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแล
34 เลี้ยงสมองไม่ดี ไม่สม่ ำาเสมอ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการไม่ทำาให้มีเหตุที่ทำาให้เกิด ลมในสมอง เช่น การขึ้นเครื่องบินบ่อยๆ การถูกกระทบด้วยความด้วยความร้อนและ เย็นกะทันหัน การเดินทางที่ทำาให้เกิดการเวียนศีรษะบ่อยๆ หรือแม้แต่การกินอาหาร แสลงหรืออาหารที่ทำาให้เกิดลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยเฉพาะน้ำาอัดลมทั้งหลาย การรักษา ควรป้องกันไม่ให้เกิดลมมากหรือเมื่อเกิดลมก็ควรมีการขับลมเพื่อป้องกันไม่ ให้ไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ด้วยการออกกำาลังกายหรืออาศัยการแพทย์แผน ไทยดังนี้ 1. มีการนวดอย่างน้อยเดือนล่ะ 1 ครั้ง กับผู้ช่วยแพทย์แผนไทย (จบนวด 330 ชั่วโมง ขึ้นไป) 2. มีการอบสมุนไพรอย่างน้อย 2 เดือน 1 ครั้ง เพราะความร้อนจะช่วยให้ลม ในตัวขยายและขับออกทางทวารทั้ง 9 ในผู้ชาย และทวาร 10 ในผู้หญิง 3. ควรมีการฝึกลมปราณ โดยเอาลมมากไปดึงเอาลมที่แทรกอยู่ในร่างกายออกมา 4. ควรกินยาหอมขับลมเพื่อกำาจัดลมที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะลมที่พัดขึ้นสู่เบื้องบน เข้าสู่สมองควรใช้ยาหอมนวโกฏ เมื่อมีอาการโดยเฉพาะช่วงที่เปลี่ยนฤดูร้อนเข้าสู่ฤดู ฝนจะเกิดลมพายุมากทั้งภายนอกและภายในร่างกายเพื่อปรับความสมดุลของความดัน อากาศ โรคอัลไซเมอร์ป้องกันง่ายแต่รักษายาก เพียงช่วยไม่ให้เสื่อมเร็วขึ้นด้วยการ ทำาให้เลือดลมไหลเวียนในสมองดีและมีกิจกรรมที่ใช้งานมองอยู่อย่างสม่ ำาเสมอ เพื่อให้ เกิดความจำาเช่น การอ่าน การเขียน การสวดมนต์และลดความเครียด 34 ป้องกันสาเหตุที่ทำ ให้เกิดสมองเสื่อม โดยเฉพาะทางการแพทย์แผนไทยถือว่า เลือดไป เลี้ยงสมองไม่ดีไม่สม่ำ เสมอ ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการไม่ทำ ให้มีเหตุที่ทำ ให้เกิดลม ในสมอง เช่น การขึ้นเครื่องบินบ่อยๆ การถูกกระทบด้วยความด้วยความร้อนและเย็น กะทันหัน การเดินทางที่ทำ ให้เกิดการเวียนศีรษะบ่อยๆ หรือแม้แต่การกินอาหารแสลง หรืออาหารที่ทำ ให้เกิดลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยเฉพาะน้ำ อัดลมทั้งหลาย การรักษา ควรป้องกันไม่ให้เกิดลมมากหรือเมื่อเกิดลมก็ควรมีการขับลมเพื่อป้องกัน ไม่ให้ไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ด้วยการออกกำลังกายหรืออาศัยการแพทย์ แผนไทยดังนี้ 1. มีการนวดอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง กับผู้ช่วยแพทย์แผนไทย (จบนวด 330 ชั่วโมง ขึ้นไป) 2. มีการอบสมุนไพรอย่างน้อย 2 เดือน 1 ครั้ง เพราะความร้อนจะช่วยให้ลม ในตัวขยายและขับออกทางทวารทั้ง 9 ในผู้ชาย และทวาร 10 ในผู้หญิง 3. ควรมีการฝึกลมปราณ โดยเอาลมมากไปดึงเอาลมที่แทรกอยู่ในร่างกาย ออกมา 4. ควรกินยาหอมขับลมเพื่อกำ จัดลมที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะลมที่พัดขึ้นสู่ เบื้องบนเข้าสู่สมองควรใช้ยาหอมนวโกฏ เมื่อมีอาการโดยเฉพาะช่วงที่เปลี่ยนฤดูร้อน เข้าสู่ฤดูฝนจะเกิดลมพายุมากทั้งภายนอกและภายในร่างกาย เพื่อปรับความสมดุลของ ความดันอากาศ โรคอัลไซเมอร์ป้องกันง่ายแต่รักษายาก เพียงช่วยไม่ให้เสื่อมเร็วขึ้นด้วยการ ทำ ให้เลือดลมไหลเวียนในสมองดีและมีกิจกรรมที่ใช้งาน มองอยู่อย่างสม่ำ เสมอ เพื่อให้เกิดความจำ เช่น การอ่าน การเขียน การสวดมนต์และลดความเครียด
35 โรคพาร์กินสัน ส่วนสมองที่มีปัญหาเป็นส่วนของสมองที่สั่งและควบคุมการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อสูญเสียไป เป็นการตายของเซลล์สมองส่วนที่เรียกว่า Substantia Nigra pars compacta (SNpc) ซึ่งสาเหตุการตายเพราะเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนสั่งการไม่ดีทำาให้ เซลล์สมองเสื่อมและตายไปในที่สุด ซึ่งมีสาเหตุมาจากมีลมคลั่งค้างในสมองในส่วนที่ ควบคุมการสั่งการในการควบคุมการเคลื่อนไหว เพราะตามทฤษฏีการแพทย์แผนไทย ผู้ที่มีอายุ 32 ปีขึ้นไป สาเหตุการเกิดโรคจะมาจากลมที่อุดตันในส่วนต่างๆของอวัยวะ ทำาให้เลือดไปเลี้ยงไม่ได้ จึงมีการเสื่อมของเซลล์เกิดขึ้น ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุก ส่วนของร่างกายตั้งแต่ หู ตา จมูก ปาก หรือแม้แต่อวัยวะภายในทุกส่วนรวมทั้งสมอง ด้วย โดยลมจะเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น อาหาร อากาศที่เปลี่ยนแปลง การเดินทางที่ คดเคี้ยว หรือแม้แต่ขึ้นลงที่สูงที่ต่ ำา เช่น การโดยสารเครื่องบิน เป็นต้น แต่ถ้าเราป้องกัน เหตุที่ทำาให้เกิดลมขึ้นในร่างกาย ก็เป็นการหลีกเลี่ยงความเสื่อมของสมองได้เป็นอย่างดี โดยไปดูในโรคอัลไซเมอร์ 35 โรคพาร์กินสัน ส่วนสมองที่มีปัญหาเป็นส่วนของสมองที่สั่งและควบคุมการเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อสูญเสียไป เป็นการตายของเซลล์สมองส่วนที่เรียกว่า Substantia Nigra pars compacta (SNpc) ซึ่งสาเหตุการตายเพราะเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนสั่งการ ไม่ดีทำ ให้เซลล์สมองเสื่อมและตายไปในที่สุด ซึ่งมีสาเหตุมาจากมีลมคลั่งค้างในสมอง ส่วนที่ควบคุมการสั่งการในการควบคุมการเคลื่อนไหว เพราะตามทฤษฏีการแพทย์ แผนไทยผู้ที่มีอายุ32 ปีขึ้นไป สาเหตุการเกิดโรคจะมาจากลมที่อุดตันในส่วนต่างๆ ของอวัยวะทำ ให้เลือดไปเลี้ยงไม่ได้จึงมีการเสื่อมของเซลล์เกิดขึ้น ซึ่งมีโอกาส เกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่หูตาจมูกปากหรือแม้แต่อวัยวะภายในทุกส่วน รวมทั้งสมองด้วย โดยลมจะเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น อาหาร อากาศที่เปลี่ยนแปลง การเดินทางที่คดเคี้ยว หรือแม้แต่ขึ้นลงที่สูงที่ต่ำ เช่น การโดยสารเครื่องบิน เป็นต้น แต่ถ้าเราป้องกันเหตุที่ทำ ให้เกิดลมขึ้นในร่างกาย ก็เป็นการหลีกเลี่ยงความเสื่อมของ สมองได้เป็นอย่างดีโดยไปดูในโรคอัลไซเมอร์
36 โรคต้อและน้ ำาตาแห้ง ปัจจุบันคนมีปัญหาโรคไม่มีน้ ำาตา (น้ ำาตาแห้ง) เพราะปกติตาจะต้องมีน้ ำาตามา หล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เกิดแววตา เนื้อเยื่อแก้วตาจะชุ่มอยู่เสมอ สังเกตดูบางคน กระพริบตาบ่อยแต่บางคนนานๆ กระพริบที ทั้งนี้เพราะเนื้อเยื่อแก้วตาแห้ง เราก็จะกระพริบ ตาเพื่อให้มีน้ ำาตามาหล่อเลี้ยง คนที่ใช้สายตาบ่อยจ้องนานไม่กระพริบตา เช่น จ้องดูจอ โทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์ ก็จะทำาให้ปวดตา เคืองตาจนถึงตาอักเสบ โดยเฉพาะตาที่ ถูกลมพัด โดนฝุ่นละอองหรือจ้องดูแดดนานๆ ตาก็เกิดการอักเสบได้เช่นกัน ซึ่งถ้าปล่อย ทิ้งไว้ก็จะทำาให้เกิดต้อเนื้อและต้อกระจกตามมา มีอาการตาฝ้าฟางหรือภาพซ้อน สาเหตุที่ทำาให้ไม่มีน้ ำาตา เพราะรูน้ ำาตาอุดตันเนื่องจากมีลมไปขวางกั้นอยู่ ท่าน สามารถจะทดสอบได้โดยเอานิ้วกดที่หัวตาทั้งสองข้างขึ้นลง ถ้ามีเสียงดังแสดงว่ามีลม ขังอยู่ กดนานเข้าลมออกหมดเสียงก็จะหาย แต่คนสมัยก่อนมีการเอาผมมาม้วนเป็นเกลียว แล้วปั่นที่รูตา ลมก็จะออก ขณะเดียวกันน้ ำาตาก็จะไหลมาล้างตา เพราะน้ ำายาล้างตาที่ดี ที่สุดก็คือน้ ำาตาของเรา และทางที่ดีเพื่อเป็นการป้องกัน ควรทำาให้น้ ำาตาไหลอย่างน้อย เดือนละครั้ง จะด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่ความถนัดของท่านเอง ส่วนผมแนะนำาให้รับจ้าง ปลอกหอมร้านขายน้ ำาพริกโม่ หรือ บีบเอาน้ ำามะไฟหยอดตาตามฤดูที่มะไฟออก อาทิตย์ ละ 1 ครั้ง สัก 1 เดือนของทุกปี ท่านก็จะมีน้ ำาตาหล่อเลี้ยงตาตลอดไป การนวดตาด้วยแพทย์แผนไทยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการกำาจัดลมในเบ้าตา ที่ไป ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่มาเลี้ยงประสาทตาและลูกตา ก็จะไม่ทำาให้เกิดเป็นต้อ เนื้อหรือต้อกระจก ที่สำาคัญยังช่วยทำาให้กล้ามเนื้อตาแข็งแรง สายตาจะดีไม่มีปัญหาเรื่อง สายตาสั้นหรือยาว ถ้ามีการนวดบ่อยๆ เพราะเป็นการกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ ตาและสายตา คนที่มีปัญหาแล้วต้องใช้เวลาในการรักษาประมาณ 3 - 6 เดือน สำาหรับ คนที่ยังไม่มีปัญหาเกี่ยวกับตาก็จะเป็นการป้องกันได้อย่างดี แล้วท่านก็จะมีสุขภาพตาที่ ดีคู่กับชีวิตท่านตลอดไปอย่างมีความสุข ดวงตานั้นสำาคัญนัก จงรู้จักรักษาอย่าวางเฉย อย่าทำาตัวเหมือนเช่นเคย ที่ละเลยไม่เคยดูดวงตาตน 35 โรคพาร์กินสัน ส่วนสมองที่มีปัญหาเป็นส่วนของสมองที่สั่งและควบคุมการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อสูญเสียไป เป็นการตายของเซลล์สมองส่วนที่เรียกว่า Substantia Nigra pars compacta (SNpc) ซึ่งสาเหตุการตายเพราะเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนสั่งการไม่ดีทำาให้ เซลล์สมองเสื่อมและตายไปในที่สุด ซึ่งมีสาเหตุมาจากมีลมคลั่งค้างในสมองในส่วนที่ ควบคุมการสั่งการในการควบคุมการเคลื่อนไหว เพราะตามทฤษฏีการแพทย์แผนไทย ผู้ที่มีอายุ 32 ปีขึ้นไป สาเหตุการเกิดโรคจะมาจากลมที่อุดตันในส่วนต่างๆของอวัยวะ ทำาให้เลือดไปเลี้ยงไม่ได้ จึงมีการเสื่อมของเซลล์เกิดขึ้น ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุก ส่วนของร่างกายตั้งแต่ หู ตา จมูก ปาก หรือแม้แต่อวัยวะภายในทุกส่วนรวมทั้งสมอง ด้วย โดยลมจะเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น อาหาร อากาศที่เปลี่ยนแปลง การเดินทางที่ คดเคี้ยว หรือแม้แต่ขึ้นลงที่สูงที่ต่ ำา เช่น การโดยสารเครื่องบิน เป็นต้น แต่ถ้าเราป้องกัน เหตุที่ทำาให้เกิดลมขึ้นในร่างกาย ก็เป็นการหลีกเลี่ยงความเสื่อมของสมองได้เป็นอย่างดี โดยไปดูในโรคอัลไซเมอร์ 36 โรคต้อและน้ำ�ตาแห้ง ปัจจุบันคนมีปัญหาโรคไม่มีน้ำ ตา (น้ำ ตาแห้ง) เพราะปกติตาจะต้องมีน้ำ ตา มาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เกิดแววตา เนื้อเยื่อแก้วตาจะชุ่มอยู่เสมอ สังเกตดู บางคนกระพริบตาบ่อยแต่บางคนนานๆ กระพริบทีทั้งนี้เพราะเนื้อเยื่อแก้วตาแห้ง เราก็จะกระพริบตาเพื่อให้มีน้ำ ตามาหล่อเลี้ยง คนที่ใช้สายตาบ่อยจ้องนานไม่กระพริบ ตา เช่น จ้องดูจอโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์ก็จะทำ ให้ปวดตา เคืองตาจนถึงตาอักเสบ โดยเฉพาะตาที่ถูกลมพัด โดนฝุ่นละอองหรือจ้องดูแดดนานๆ ตาก็เกิดการอักเสบได้ เช่นกัน ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำ ให้เกิดต้อเนื้อและต้อกระจกตามมา มีอาการตาฝ้าฟาง หรือภาพซ้อน สาเหตุที่ทำ ให้ไม่มีน้ำ ตา เพราะรูน้ำ ตาอุดตันเนื่องจากมีลมไปขวางกั้นอยู่ ท่าน สามารถจะทดสอบได้โดยเอานิ้วกดที่หัวตาทั้งสองข้างขึ้นลง ถ้ามีเสียงดังแสดงว่ามีลม ขังอยู่ กดนานเข้าลมออกหมดเสียงก็จะหาย แต่คนสมัยก่อนมีการเอาผมมาม้วนเป็น เกลียวแล้วปั่นที่รูตา ลมก็จะออก ขณะเดียวกันน้ำ ตาก็จะไหลมาล้างตา เพราะน้ำยาล้าง ตาที่ดีที่สุดก็คือน้ำ ตาของเรา และทางที่ดีเพื่อเป็นการป้องกัน ควรทำ ให้น้ำ ตาไหลอย่าง น้อยเดือนละครั้ง จะด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่ความถนัดของท่านเอง ส่วนผมแนะนำ ให้ รับจ้างปลอกหอมร้านขายน้ำ พริกโม่ หรือ บีบเอาน้ำ มะไฟหยอดตาตามฤดูที่มะไฟออก อาทิตย์ละ 1 ครั้ง สัก 1 เดือนของทุกปีท่านก็จะมีน้ำ ตาหล่อเลี้ยงตาตลอดไป การนวดตาด้วยแพทย์แผนไทยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการกำจัดลมในเบ้าตา ที่ไป ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่มาเลี้ยงประสาทตาและลูกตา ก็จะไม่ทำ ให้เกิดเป็น ต้อเนื้อหรือต้อกระจก ที่สำ คัญยังช่วยทำ ให้กล้ามเนื้อตาแข็งแรง สายตาจะดีไม่มีปัญหา เรื่องสายตาสั้นหรือยาว ถ้ามีการนวดบ่อยๆ เพราะเป็นการกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยง กล้ามเนื้อตาและสายตา คนที่มีปัญหาแล้วต้องใช้เวลาในการรักษาประมาณ 3 - 6 เดือน สำ หรับคนที่ยังไม่มีปัญหาเกี่ยวกับตาก็จะเป็นการป้องกันได้อย่างดีแล้วท่าน ก็จะมีสุขภาพตาที่ดีคู่กับชีวิตท่านตลอดไปอย่างมีความสุข ดวงตานั้นสำ คัญนัก จงรู้จักรักษาอย่าวางเฉย อย่าทำ ตัวเหมือนเช่นเคย ที่ละเลยไม่เคยดูดวงตาตน
37 โรคกรดไหลย้อน คนปัจจุบันจะเป็นกรดไหลย้อนกันมาก เนื่องจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เปลี่ยนไป ทั้งอาหารการกิน และความรีบเร่งในการใช้ชีวิตประจำาวันทำาให้กินอาหาร ที่ขาดคุณค่าของโภชนาการ เกิดการย่อยยาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จะพบได้บ่อยมาก เพราะธาตุไฟ (ฟารีพามัคคี) ที่ช่วยในการย่อยอาหารเกิดความเสื่อมสภาพลงประกอบ กับคนส่วนใหญ่ชอบดื่มน้ำาเย็นและดื่มน้ำามากหลังทานอาหาร ทำาให้น้ำาย่อยเจือจาง การ ย่อยอาหารไม่ดี จึงเกิดการหมักเป็นอาหารบูดเน่า และเกิดเป็นแก๊สดันขึ้นเบื้องบนจนทำา ให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว และกรดเหล่านี้ก็จะไปทำาลายหลอด อาหาร ทำาให้เกิดการอักเสบจึงมีความรู้สึกปวดร้อนที่หน้าอกเหนือกระบังลม ถ้าเป็น นานเข้าก็จะทำาให้หูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเกิดการเสื่อมสภาพ แล้วเกิดเป็นกรดไหลย้อนตามมาถ้าไม่ดูแลรักษาปล่อยทิ้งไว้อาจทำาให้เกิดมะเร็งที่หลอด อาหารได้ ฉะนั้นเมื่อเราทราบสาเหตุของการเกิดกรดไหลย้อนแล้ว เราก็ควรหลีกเลี่ยง สาเหตุดังกล่าวก็จะทำาให้หายได้แต่ต้องใช้เวลา 3 - 6 เดือน แต่ถ้ากินยาสมุนไรที่ช่วย ปรับธาตุเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารก็จะช่วยได้มากและหายได้ในเวลาไม่เกิน 1 เดือน แต่ทั้งนี่เราต้องงดดื่มน้ำาเย็นและดื่มน้ำามากหลังอาหารทันที ควรให้อาหารได้ ย่อยประมาณ 1 ชั่วโมงก่อน ต่อยดื่มน้ำามากๆก็จะทำาให้หายเร็วขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องลด ความเครียดวิตกกังวลด้วย เพราะไฟสุมทรวง (ชิรณัคมัคคี) จะทำาให้การย่อยอาหาร ไม่มี และมีผลทำาให้เกิดกรดไหลย้อนตามมา 37 โรคกรดไหลย้อน คนปัจจุบันจะเป็นกรดไหลย้อนกันมาก เนื่องจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เปลี่ยนไป ทั้งอาหารการกิน และความรีบเร่งในการใช้ชีวิตประจำ วันทำ ให้กินอาหาร ที่ขาดคุณค่าของโภชนาการ เกิดการย่อยยาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จะพบได้บ่อย มากเพราะธาตุไฟ (ปริณามัคคี) ที่ช่วยในการย่อยอาหารเกิดความเสื่อมสภาพลง ประกอบกับคนส่วนใหญ่ชอบดื่มน้ำ เย็นและดื่มน้ำ มากหลังทานอาหาร ทำ ให้น้ำย่อย เจือจาง การย่อยอาหารไม่ดีจึงเกิดการหมักเป็นอาหารบูดเน่า และเกิดเป็นแก๊สดันขึ้น เบื้องบนจนทำ ให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว และกรดเหล่านี้ก็จะ ไปทำ ลายหลอดอาหาร ทำ ให้เกิดการอักเสบจึงมีความรู้สึกปวดร้อนที่หน้าอกเหนือ กระบังลม ถ้าเป็นนานเข้าก็จะทำ ให้หูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เกิดการเสื่อมสภาพแล้วเกิดเป็นกรดไหลย้อนตามมา ถ้าไม่ดูแลรักษาปล่อยทิ้งไว้ อาจทำ ให้เกิดมะเร็งที่หลอดอาหารได้ ฉะนั้นเมื่อเราทราบสาเหตุของการเกิดกรดไหลย้อนแล้ว เราก็ควรหลีกเลี่ยง สาเหตุดังกล่าวก็จะทำ ให้หายได้แต่ต้องใช้เวลา 3 - 6 เดือน แต่ถ้ากินยาสมุนไพรที่ช่วย ปรับธาตุเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารก็จะช่วยได้มากและหายได้ในเวลาไม่เกิน 1 เดือน แต่ทั้งนี้เราต้องงดดื่มน้ำ เย็นและดื่มน้ำ มากหลังอาหารทันทีควรให้อาหาร ได้ย่อยประมาณ 1 ชั่วโมงก่อน ต่อยดื่มน้ำ มากๆ ก็จะทำ ให้หายเร็วขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องลด ความเครียดวิตกกังวลด้วย เพราะไฟสุมทรวง (ชิรณัคคี) จะทำ ให้การย่อยอาหารไม่มี และมีผลทำ ให้เกิดกรดไหลย้อนตามมา
38 โรคริดสีดวง โรคริดสีดวงที่คนทั่วไปเข้าใจหมายถึง โรคริดสีดวงทวาร ให้กลับไปดูบทความ เรื่องโรคขับถ่ายยาก (โรคพรรดึก) เพราะเป็นสาเหตุสำาคัญที่ทำาให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร แต่ในทางการแพทย์แผนไทยโรคริดสีดวงทวาร หมายถึง โรคที่เกิดการอักเสบเป็นตุ่ม หรือเป็นแผล มีเลือดไหลแม้กระทั่งเกิดเนื้องอกตามช่องทวารต่างๆทั้ง 9 ในผู้ชาย และ 10 ทวาร ในผู้หญิง เช่น ริดสีดวงตา ริดสีดวงจมูก ริดสีดวงทวารหนัก เป็นต้น ทั้งหมดนี้เกิดจากสารคัดหลังมีไม่พอในการหล่อลื่นและกำาจัดเชื้อนำาเข้าสู่ ทวารทั้งหลายจึงทำาให้เกิดการอักเสบ เจ็บเป็นฝี เนื้องอก และถึงขั้นมีเลือดไหล ทางการ แพทย์พื้นบ้านล้านนาเรียกว่า มะโฮกก้นปู้ด เป็นต้น ถ้าเป็นริดสีดวงทวารก็จะใช้ สมุนไพรเพชรสังฆาต กินวันละ 1 ปล้องเท่านิ้วมือ ฝานบางๆ แล้วยัดไปในกล้วยน้ำาว้า สุกเพื่อกลืนลงท้องโดยไม่ต้องเคี้ยวเพราะเพชรสังฆาตจะทำาให้เกิดอาการคันที่ริมฝีปาก ช่องปากและลิ้น เมื่อถูกสัมผัส แต่ปัจจุบันมีการทำาเป็นแคปซูล ช่วยให้สะดวกในการ ใช้มากขึ้นแต่ถ้าเป็นริดสีดวงจมูกก็จะใช้ดอกปีบ (กาสะลอง) ไปตากแห้งนำามามวน เป็นบุหรี่สูบก็จะช่วยในการรักษาได้ แต่สำาหรับทางเหนือล้านนาด้วยภูมิปัญญาหมอ พื้นบ้านยังมียาต้มแก้บะโฮกอยู่หลายตำาหรับขึ้นอยู่กับพื้นที่และภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมา หลายชั่วอายุคนซึ่งค้อนข้างได้ผล ก็อยากแนะนำาให้ลองหามาต้มกันนะครับ เพราะไม่มี อันตรายจากผลข้างเคียงและไม่เป็นพิษภัยนะครับ ถ้าท่านใดมีสูตรดีๆก็แนะนำาได้นะ ครับ เพื่อจะได้ช่วยกันเผยแพร่ต่อ เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และอนุรักษ์ภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษและอาจมีนวัตกรรมต่อยอดได้ 37 โรคกรดไหลย้อน คนปัจจุบันจะเป็นกรดไหลย้อนกันมาก เนื่องจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เปลี่ยนไป ทั้งอาหารการกิน และความรีบเร่งในการใช้ชีวิตประจำาวันทำาให้กินอาหาร ที่ขาดคุณค่าของโภชนาการ เกิดการย่อยยาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จะพบได้บ่อยมาก เพราะธาตุไฟ (ฟารีพามัคคี) ที่ช่วยในการย่อยอาหารเกิดความเสื่อมสภาพลงประกอบ กับคนส่วนใหญ่ชอบดื่มน้ำาเย็นและดื่มน้ำามากหลังทานอาหาร ทำาให้น้ำาย่อยเจือจาง การ ย่อยอาหารไม่ดี จึงเกิดการหมักเป็นอาหารบูดเน่า และเกิดเป็นแก๊สดันขึ้นเบื้องบนจนทำา ให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว และกรดเหล่านี้ก็จะไปทำาลายหลอด อาหาร ทำาให้เกิดการอักเสบจึงมีความรู้สึกปวดร้อนที่หน้าอกเหนือกระบังลม ถ้าเป็น นานเข้าก็จะทำาให้หูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเกิดการเสื่อมสภาพ แล้วเกิดเป็นกรดไหลย้อนตามมาถ้าไม่ดูแลรักษาปล่อยทิ้งไว้อาจทำาให้เกิดมะเร็งที่หลอด อาหารได้ ฉะนั้นเมื่อเราทราบสาเหตุของการเกิดกรดไหลย้อนแล้ว เราก็ควรหลีกเลี่ยง สาเหตุดังกล่าวก็จะทำาให้หายได้แต่ต้องใช้เวลา 3 - 6 เดือน แต่ถ้ากินยาสมุนไรที่ช่วย ปรับธาตุเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารก็จะช่วยได้มากและหายได้ในเวลาไม่เกิน 1 เดือน แต่ทั้งนี่เราต้องงดดื่มน้ำาเย็นและดื่มน้ำามากหลังอาหารทันที ควรให้อาหารได้ ย่อยประมาณ 1 ชั่วโมงก่อน ต่อยดื่มน้ำามากๆก็จะทำาให้หายเร็วขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องลด ความเครียดวิตกกังวลด้วย เพราะไฟสุมทรวง (ชิรณัคมัคคี) จะทำาให้การย่อยอาหาร ไม่มี และมีผลทำาให้เกิดกรดไหลย้อนตามมา 38 โรคริดสีดวง โรคริดสีดวงที่คนทั่วไปเข้าใจหมายถึง โรคริดสีดวงทวาร ให้กลับไปดูบทความ เรื่องโรคขับถ่ายยาก (โรคพรรดึก) เพราะเป็นสาเหตุสำ คัญที่ทำ ให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร แต่ในทางการแพทย์แผนไทยโรคริดสีดวงทวาร หมายถึง โรคที่เกิดการอักเสบเป็นตุ่ม หรือเป็นแผล มีเลือดไหลแม้กระทั่งเกิดเนื้องอกตามช่องทวารต่างๆ ทั้ง 9 ในผู้ชาย และ 10 ทวาร ในผู้หญิง เช่น ริดสีดวงตา ริดสีดวงจมูก ริดสีดวงทวารหนัก เป็นต้น ทั้งหมดนี้เกิดจากสารคัดหลั่งมีไม่พอในการหล่อลื่นและกำ จัดเชื้อนำ เข้า สู่ทวารทั้งหลายจึงทำ ให้เกิดการอักเสบ เจ็บเป็นฝีเนื้องอก และถึงขั้นมีเลือดไหล ทางการแพทย์พื้นบ้านล้านนาเรียกว่า มะโฮกก้นปู้ด เป็นต้น ถ้าเป็นริดสีดวงทวารก็จะ ใช้สมุนไพรเพชรสังฆาต กินวันละ 1 ปล้องเท่านิ้วมือ ฝานบางๆ แล้วยัดไปในกล้วย น้ำว้าสุกเพื่อกลืนลงท้องโดยไม่ต้องเคี้ยวเพราะเพชรสังฆาตจะทำ ให้เกิดอาการคันที่ริม ฝีปาก ช่องปากและลิ้น เมื่อถูกสัมผัส แต่ปัจจุบันมีการทำ เป็นแคปซูล ช่วยให้สะดวก ในการใช้มากขึ้นแต่ถ้าเป็นริดสีดวงจมูกก็จะใช้ดอกปีบ (กาสะลอง) ไปตากแห้งนำ มา มวนเป็นบุหรี่สูบก็จะช่วยในการรักษาได้แต่สำ หรับทางเหนือล้านนาด้วยภูมิปัญญา หมอพื้นบ้านยังมียาต้มแก้บะโฮกอยู่หลายตำ หรับขึ้นอยู่กับพื้นที่และภูมิปัญญาที่สั่งสม กันมาหลายชั่วอายุคนซึ่งค้อนข้างได้ผล ก็อยากแนะนำ ให้ลองหามาต้มกันนะครับ เพราะไม่มีอันตรายจากผลข้างเคียงและไม่เป็นพิษภัยนะครับ ถ้าท่านใดมีสูตรดีๆ ก็แนะนำ ได้นะครับ เพื่อจะได้ช่วยกันเผยแพร่ต่อ เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และ อนุรักษ์ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษและอาจมีนวัตกรรมต่อยอดได้
40 ต่อมลูกหมากโต สาเหตุการเกิดต่อมลูกหมากโต สืบเนื่อง มาจากการหลั่งน้ำาเชื้ออสุจิถูกควบคุมโดยระบบ ประสาทอัตโนมัติเมื่อเกิดความรู้สึกทางเพศ อสุจิที่ สร้างขึ้นจากอัณฑะจะถูกขับออกมาและรับเสบียง อาหาร (น้ำาเลี้ยงเชื้ออสุจิ) จากต่อมลูกหมากก่อน ออกสู่โลกภายนอกไปผสมกับไข่ในท่อรังไข่ของสตรี เพื่อเกิดการปฏิสนธิ แต่คนที่เป็นต่อมลูกหมากโตมัก เกิดจากกลุ่มคนที่มีความรู้สึกทางเพศทุกขั้นตอนครบหมด แต่หลั่งน้ำาเชื้ออสุจิไม่ออก เพราะลึงค์ไม่แข็งตัว (นกเขาไม่ขัน) ถ้ามีอาการเช่นนี้ประมาณ 10 - 15 ปี ก็จะเกิด ตระกันทำาให้ต่อมลูกหมากรอบท่อปัสสาวะโต ทำาให้ท่อปัสสาวะตีบตันปัสสาวะไม่ สะดวกเวลาเบ่งเกิดการอักเสบเจ็บปวดและปัสสาวะไม่ค่อยออกและทำาให้ปัสสาวะบ่อย อันเป็นสาเหตุทำาให้นอนไม่หลับและมีโรคอื่นๆตามมามากมาย ทำาไม? ลึงค์จึงไม่แข็งตัว สาเหตุหลักมาจากสุขภาพกายและจิต ถ้าจิตเศร้า หมองวิตกกังวลขาดความสุข ก็จะทำาให้ลึงค์ไม่มีพลังประกอบกับสภาวะสังคมปัจจุบัน ที่ทำาให้เกิดความเครียด ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและเกิดโรคความดันโลหิตสูง เมื่อทาน ยารักษาโรคความดันก็จะมีส่วนทำาให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมได้ง่าย เพื่อเป็นการป้อง การต่อมลูกหมากโตจึงควรทำาให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงมีพลังและปฏิบัติ กิจทางเพศอย่างสม่ ำาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะลดปริมาณครั้งลงตามวัยแต่อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ก็จะเป็นการป้องกันโรคต่อมลูกหมากโตได้เป็นอย่างดี สำาหรับท่าที่ลึงค์ไม่แข็งตัว เพื่อเป็นการป้องกันต่อมลูกหมากโต จึงควรงดเว้นการ สัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจที่ล่อแหลมต่อการเกิดอารมณ์ทางเพศ เช่นการดู หนังเอ็กซ์ การสัมผัสหญิงสาวด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเป็นต้น การรักษาทางแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านล้านนาก็จะมียาสมุนไพรที่ทำา เป็นยาต้มและเป็นยาตำารับ วิวัฒนาการเป็นแคปซูลเพื่อง่ายต่อการใช้ที่ได้ผลและได้รับ การพิสูจน์มาแล้ว เพราะมีการใช้มานับเป็นร้อยปีที่ได้บันทึกในตำารายาโบราณแผนไทย ตั้งแต่สมัยอยุธยา 39 โรคนิ่ว โดยทั่วไปเรามักจะพบนิ่วในกรวยไตและในถุงน้ำาดีซึ่งมีผลหลุด ไปยังท่อไตหรือท่อน้ำาดีที่จริงแล้วการเป็นนิ่วสามารถเกิดได้ทุกส่วน ของอวัยวะซึ่งเป็นตะกอนตระกรันของแคลเซียมหรือไขมันที่เกาะ ตัวกันแล้วทำาให้เกิดการขัดขวางทางเดินของเลือดลมและของเหลว ต่างๆในร่างกาย แล้วทำาให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะต่างๆตามมา ปัสสาวะลำาบาก ฉี่กระปริบกระปรอย ปัสสาวะขัด พุ่งไม่แรง อาจเจ็บเสียวที่บริเวณไต หรือถึงขั้นปัสสาวะเป็นเลือดก็มีถ้าเป็นที่ถุงน้ำาดีจะทำาให้เกิด ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารย่อยยาก เพราะเจ็บท้องบริเวณถุงน้ำาดี โดยเฉพาะถ้ากินอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์และไขมันจะมีปัญหามาก เพราะน้ำาดีที่ช่วยในการย่อยไขมันมีปริมาณ น้อยหรือหลั่งน้ำาดีลำาบาก นิ่วทั้งสอง มักมีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำาน้อยจึงทำาให้เกิดความเข้มข้นของสาร ที่ก่อให้เกิดนิ่ว มีการจับตัวกันและตกตะกอน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมีนิ่วอยู่ แต่ส่วนใหญ่ ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถ้ายังมีปริมาณไม่มากและโตเกินไปจนทำาให้เกิดปัญหา คนเป็นนิ่วมักมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อกระดูก เพราะเลือดข้น และมีปริมาณของเสียในเลือดมากเกินไป จนทำาให้เกิดตะกอนเป็นนิ่วได้กับทุกส่วน ของร่างกาย ทำาให้แข็งกระด้างตามข้อต่อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ที่เรียกว่าเป็น เถาเป็น ดานนั้นเอง แต่ถ้ากินน้ำาในปริมาณที่มากๆพอประมาณ 3 - 4 ลิตรต่อวัน ก็จะป้องกัน การเป็นนิ่วได้อย่างดี คนสมัยก่อนมักนิยมกินน้ำาต้นใบขลู่หรือหญ้าหนวดแมว ช่วยใน การขับปัสสาวะและขับนิ่ว ซึ่งมีสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ทั้งหลาย ก็จะช่วยกำาจัดนิ่วได้ แต่ถ้าเป็นยาตำาหรับสมุนไพรขับนิ่ว ก็จะทำาให้ผลของ การรักษาได้เร็วขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายตำาหรับ มีทั้งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้สมุนไพรใน พื้นที่ หรือที่ได้พัฒนาเป็นแคปซูล ทำาให้สะดวกในการใช้ยา ต่างก็ให้ผลดีเช่นกัน 39 39 โรคนิ่ว โดยทั่วไปเรามักจะพบนิ่วในกรวยไตและในถุงน้ำาดีซึ่งมีผลหลุด ไปยังท่อไตหรือท่อน้ำาดีที่จริงแล้วการเป็นนิ่วสามารถเกิดได้ทุกส่วน ของอวัยวะซึ่งเป็นตะกอนตระกรันของแคลเซียมหรือไขมันที่เกาะ ตัวกันแล้วทำาให้เกิดการขัดขวางทางเดินของเลือดลมและของเหลว ต่างๆในร่างกาย แล้วทำาให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะต่างๆตามมา ปัสสาวะลำาบาก ฉี่กระปริบกระปรอย ปัสสาวะขัด พุ่งไม่แรง อาจเจ็บเสียวที่บริเวณไต หรือถึงขั้นปัสสาวะเป็นเลือดก็มีถ้าเป็นที่ถุงน้ำาดีจะทำาให้เกิด ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารย่อยยาก เพราะเจ็บท้องบริเวณถุงน้ำาดี โดยเฉพาะถ้ากินอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์และไขมันจะมีปัญหามาก เพราะน้ำาดีที่ช่วยในการย่อยไขมันมีปริมาณ น้อยหรือหลั่งน้ำาดีลำาบาก นิ่วทั้งสอง มักมีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำาน้อยจึงทำาให้เกิดความเข้มข้นของสาร ที่ก่อให้เกิดนิ่ว มีการจับตัวกันและตกตะกอน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมีนิ่วอยู่ แต่ส่วนใหญ่ ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถ้ายังมีปริมาณไม่มากและโตเกินไปจนทำาให้เกิดปัญหา คนเป็นนิ่วมักมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อกระดูก เพราะเลือดข้น และมีปริมาณของเสียในเลือดมากเกินไป จนทำาให้เกิดตะกอนเป็นนิ่วได้กับทุกส่วน ของร่างกาย ทำาให้แข็งกระด้างตามข้อต่อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ที่เรียกว่าเป็น เถาเป็น ดานนั้นเอง แต่ถ้ากินน้ำาในปริมาณที่มากๆพอประมาณ 3 - 4 ลิตรต่อวัน ก็จะป้องกัน การเป็นนิ่วได้อย่างดี คนสมัยก่อนมักนิยมกินน้ำาต้นใบขลู่หรือหญ้าหนวดแมว ช่วยใน การขับปัสสาวะและขับนิ่ว ซึ่งมีสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ทั้งหลาย ก็จะช่วยกำาจัดนิ่วได้ แต่ถ้าเป็นยาตำาหรับสมุนไพรขับนิ่ว ก็จะทำาให้ผลของ การรักษาได้เร็วขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายตำาหรับ มีทั้งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้สมุนไพรใน พื้นที่ หรือที่ได้พัฒนาเป็นแคปซูล ทำาให้สะดวกในการใช้ยา ต่างก็ให้ผลดีเช่นกัน โรคนิ่ว โดยทั่วไปเรามักจะพบนิ่วในกรวยไตและในถุงน้ำ ดีซึ่งมี ผลหลุดไปยังท่อไตหรือท่อน้ำ ดีที่จริงแล้วการเป็นนิ่วสามารถเกิดได้ ทุกส่วนของอวัยวะซึ่งเป็นตะกอนตระกรันของแคลเซียมหรือไขมันที่เกาะ ตัวกันแล้วทำ ให้เกิดการขัดขวางทางเดินของเลือดลมและของเหลวต่างๆ ในร่างกาย แล้วทำ ให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ตามมาปัสสาวะลำ บาก ฉี่กระปริบกระปรอย ปัสสาวะขัด พุ่งไม่แรงอาจเจ็บเสียวที่บริเวณไต หรือถึงขั้นปัสสาวะ เป็นเลือดก็มีถ้าเป็นที่ถุงน้ำ ดีจะทำ ให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารย่อยยาก เพราะ เจ็บท้องบริเวณถุงน้ำ ดีโดยเฉพาะถ้ากินอาหารประเภทเนื้อสัตว์และไขมันจะมีปัญหา มาก เพราะน้ำ ดีที่ช่วยในการย่อยไขมันมีปริมาณน้อยหรือหลั่งน้ำ ดีลำ บาก นิ่วทั้งสอง มักมีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำ น้อยจึงทำ ให้เกิดความเข้มข้น ของสารที่ก่อให้เกิดนิ่ว มีการจับตัวกันและตกตะกอน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมีนิ่วอยู่ แต่ ส่วนใหญ่ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถ้ายังมีปริมาณไม่มากและโตเกินไปจนทำ ให้ เกิดปัญหาคนเป็นนิ่วมักมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อกระดูก เพราะเลือดข้นและมีปริมาณของเสียในเลือดมากเกินไป จนทำ ให้เกิดตะกอนเป็นนิ่ว ได้กับทุกส่วนของร่างกาย ทำ ให้แข็งกระด้างตามข้อต่อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ที่เรียก ว่าเป็น เถาเป็นดานนั้นเอง แต่ถ้ากินน้ำ ในปริมาณที่มากๆ พอประมาณ 3 - 4 ลิตร ต่อวัน ก็จะป้องกันการเป็นนิ่วได้อย่างดีคนสมัยก่อนมักนิยมกินน้ำ ต้นใบขลู่หรือหญ้า หนวดแมว ช่วยในการขับปัสสาวะและขับนิ่ว ซึ่งมีสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณใน การขับปัสสาวะทั้งหลาย ก็จะช่วยกำจัดนิ่วได้แต่ถ้าเป็นยาตำ หรับสมุนไพรขับนิ่ว ก็จะ ทำ ให้ผลของการรักษาได้เร็วขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายตำ หรับ มีทั้งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้ สมุนไพรในพื้นที่ หรือที่ได้พัฒนา เป็นแคปซูล ทำ ให้สะดวกในการ ใช้ยา ต่างก็ให้ผลดีเช่นกัน
40 ต่อมลูกหมากโต สาเหตุการเกิดต่อมลูกหมากโต สืบเนื่อง มาจากการหลั่งน้ำาเชื้ออสุจิถูกควบคุมโดยระบบ ประสาทอัตโนมัติเมื่อเกิดความรู้สึกทางเพศ อสุจิที่ สร้างขึ้นจากอัณฑะจะถูกขับออกมาและรับเสบียง อาหาร (น้ำาเลี้ยงเชื้ออสุจิ) จากต่อมลูกหมากก่อน ออกสู่โลกภายนอกไปผสมกับไข่ในท่อรังไข่ของสตรี เพื่อเกิดการปฏิสนธิ แต่คนที่เป็นต่อมลูกหมากโตมัก เกิดจากกลุ่มคนที่มีความรู้สึกทางเพศทุกขั้นตอนครบหมด แต่หลั่งน้ำาเชื้ออสุจิไม่ออก เพราะลึงค์ไม่แข็งตัว (นกเขาไม่ขัน) ถ้ามีอาการเช่นนี้ประมาณ 10 - 15 ปี ก็จะเกิด ตระกันทำาให้ต่อมลูกหมากรอบท่อปัสสาวะโต ทำาให้ท่อปัสสาวะตีบตันปัสสาวะไม่ สะดวกเวลาเบ่งเกิดการอักเสบเจ็บปวดและปัสสาวะไม่ค่อยออกและทำาให้ปัสสาวะบ่อย อันเป็นสาเหตุทำาให้นอนไม่หลับและมีโรคอื่นๆตามมามากมาย ทำาไม? ลึงค์จึงไม่แข็งตัว สาเหตุหลักมาจากสุขภาพกายและจิต ถ้าจิตเศร้า หมองวิตกกังวลขาดความสุข ก็จะทำาให้ลึงค์ไม่มีพลังประกอบกับสภาวะสังคมปัจจุบัน ที่ทำาให้เกิดความเครียด ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและเกิดโรคความดันโลหิตสูง เมื่อทาน ยารักษาโรคความดันก็จะมีส่วนทำาให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมได้ง่าย เพื่อเป็นการป้อง การต่อมลูกหมากโตจึงควรทำาให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงมีพลังและปฏิบัติ กิจทางเพศอย่างสม่ ำาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะลดปริมาณครั้งลงตามวัยแต่อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ก็จะเป็นการป้องกันโรคต่อมลูกหมากโตได้เป็นอย่างดี สำาหรับท่าที่ลึงค์ไม่แข็งตัว เพื่อเป็นการป้องกันต่อมลูกหมากโต จึงควรงดเว้นการ สัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจที่ล่อแหลมต่อการเกิดอารมณ์ทางเพศ เช่นการดู หนังเอ็กซ์ การสัมผัสหญิงสาวด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเป็นต้น การรักษาทางแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านล้านนาก็จะมียาสมุนไพรที่ทำา เป็นยาต้มและเป็นยาตำารับ วิวัฒนาการเป็นแคปซูลเพื่อง่ายต่อการใช้ที่ได้ผลและได้รับ การพิสูจน์มาแล้ว เพราะมีการใช้มานับเป็นร้อยปีที่ได้บันทึกในตำารายาโบราณแผนไทย ตั้งแต่สมัยอยุธยา 40 ต่อมลูกหมากโต สาเหตุการเกิดต่อมลูกหมากโต สืบเนื่อง มาจากการหลั่งน้ำ เชื้ออสุจิถูกควบคุมโดยระบบ ประสาทอัตโนมัติเมื่อเกิดความรู้สึกทางเพศ อสุจิที่ สร้างขึ้นจากอัณฑะจะถูกขับออกมาและรับเสบียง อาหาร (น้ำ เลี้ยงเชื้ออสุจิ) จากต่อมลูกหมากก่อน ออกสู่โลกภายนอกไปผสมกับไข่ในท่อรังไข่ของสตรี เพื่อเกิดการปฏิสนธิแต่คนที่เป็นต่อมลูกหมากโตมักเกิดจากกลุ่มคนที่มีความรู้สึก ทางเพศทุกขั้นตอนครบหมด แต่หลั่งน้ำ เชื้ออสุจิไม่ออกเพราะลึงค์ไม่แข็งตัว (นกเขา ไม่ขัน) ถ้ามีอาการเช่นนี้ประมาณ 10 - 15 ปีก็จะเกิดตระกันทำ ให้ต่อมลูกหมาก รอบท่อปัสสาวะโต ทำ ให้ท่อปัสสาวะตีบตันปัสสาวะไม่สะดวกเวลาเบ่งเกิดการอักเสบ เจ็บปวดและปัสสาวะไม่ค่อยออกและทำ ให้ปัสสาวะบ่อยอันเป็นสาเหตุทำ ให้นอน ไม่หลับและมีโรคอื่นๆ ตามมามากมาย ทำ ไม? ลึงค์จึงไม่แข็งตัว สาเหตุหลักมาจากสุขภาพกายและจิต ถ้าจิต เศร้าหมองวิตกกังวลขาดความสุข ก็จะทำ ให้ลึงค์ไม่มีพลังประกอบกับสภาวะสังคม ปัจจุบันที่ทำ ให้เกิดความเครียด ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและเกิดโรคความดันโลหิต สูง เมื่อทานยารักษาโรคความดันก็จะมีส่วนทำ ให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมได้ง่าย เพื่อ เป็นการป้องการต่อมลูกหมากโต จึงควรทำ ให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงมีพลัง และปฏิบัติกิจทางเพศอย่างสม่ำ เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะลดปริมาณครั้งลงตามวัย แต่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ก็จะเป็นการป้องกันโรคต่อมลูกหมากโตได้เป็นอย่างดี สำ หรับท่านที่ลึงค์ไม่แข็งตัว เพื่อเป็นการป้องกันต่อมลูกหมากโต จึงควร งดเว้นการสัมผัสด้วยตา หูจมูก ลิ้น กาย และใจที่ล่อแหลมต่อการเกิดอารมณ์ทางเพศ เช่น การดูหนังเอ็กซ์การสัมผัสหญิงสาวด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ เป็นต้น การรักษาทางแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านล้านนาก็จะมียาสมุนไพรที่ทำ เป็นยาต้มและเป็นยาตำ รับ วิวัฒนาการเป็นแคปซูลเพื่อง่ายต่อการใช้ที่ได้ผลและได้รับ การพิสูจน์มาแล้ว เพราะมีการใช้มานับเป็นร้อยปีที่ได้บันทึกในตำ รายาโบราณแผนไทย ตั้งแต่สมัยอยุธยา
41 โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อ สาเหตุของโรค เกิดจาก 4 ปัจจัยที่หลายคนอาจไม่ได้สังเกต ก. เกิดจากอุบัติเหตุ การเกิดอุบัติเหตุทุกครั้งไม่ว่าหนักหรือเบาล้วนมีผลต่อการ ปวด ขึ้นอยู่กับอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือข้อต่อกระดูก แต่ทั้งหมด ล้วนมีผลทำาให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissues) เกิดการอักเสบเป็นพังผืดและมี แคลเซียมมาจับเสมือนหนึ่งกับกล้วยน้ำาว้าที่แก่จัดแต่ยังไม่สุกเหลืองเกิดถูกกระแทกหรือ ทำาให้ช้ำาบางส่วน เนื้อเยื่อที่ถูกกระทบและเซลล์บริเวณนั้นจะสูญเสียสภาพและไม่มี การเจริญต่อ ทำาให้บริเวณดังกล่าวเกิดแข็งกระด้างและไม่สุกงอมเฉกเช่นกล้ามเนื้อเราก็ เช่นกัน แต่ระยะเวลาแสดงผลขึ้นอยู่กับความแรงของอุบัติเหตุ บางคนเกิดอุบัติเหตุนับ เป็น 10 ปี จึงค่อยแสดงผล ดังเช่นคนที่เกิดอุบัติเหตุรถชน หรือรถคว่ ำา หรือแม้แต่ถูก กระแทกก็ตามทำาให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เกิดอาการสะดุ้งเกร็งและหดตัว เลือดไหลเวียน ไม่สะดวกก็จะเกิดอาการปวดเมื่อยตามมา ดังภาษาการแพทย์แผนไทย เรียกว่า “เป็น เถาเป็นดาน” ข. เกิดจากการติดเชื้อแล้วเนื้อเยื่อถูกทำาลาย ซึ่งเป็นได้ทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะภายในทุกส่วน อาจถูกกระแทกจากอุบัติเหตุหรือติดเชื้อไม่ว่าจะเป็น ตับ ไต หัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลำาไส้ จนถึงสมองและม้าม เป็นต้น เนื้อเยื่อที่ถูก เชื้อโรคหรือสารพิษทำาลาย ก็จะสูญเสียสภาพการทำางาน ทำาให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย ไตวาย ตับแข็ง และปอดถูกทำาลาย เป็นต้น ถ้าเป็นกล้ามเนื้อและผิวหนัง จะสังเกตได้จากการฉีกขาดแล้วเกิด แผลเป็น หรือ สัตว์พิษกัดต่อยแล้วมี อาการแข็งเป็นไตตามมา ค. เกิดจากการใช้งานหนัก มากเกิน ไปหรืออยู่ในพฤติกรรมซ้ำาซาก 41 โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อ สาเหตุของโรค เกิดจาก 4 ปัจจัยที่หลายคนอาจไม่ได้สังเกต ก. เกิดจากอุบัติเหตุ การเกิดอุบัติเหตุทุกครั้งไม่ว่าหนักหรือเบาล้วนมีผล ต่อการปวด ขึ้นอยู่กับอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือข้อต่อกระดูก แต่ทั้งหมดล้วนมีผลทำ ให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissues) เกิดการอักเสบ เป็นพังผืดและมีแคลเซียมมาจับเสมือนหนึ่งกับกล้วยน้ำว้าที่แก่จัดแต่ยังไม่สุกเหลือง เกิดถูกกระแทกหรือทำ ให้ช้ำ บางส่วน เนื้อเยื่อที่ถูกกระทบและเซลล์บริเวณนั้นจะ สูญเสียสภาพและไม่มีการเจริญต่อ ทำ ให้บริเวณดังกล่าวเกิดแข็งกระด้างและไม่สุกงอม เฉกเช่นกล้ามเนื้อเราก็เช่นกัน แต่ระยะเวลาแสดงผลขึ้นอยู่กับความแรงของอุบัติเหตุ บางคนเกิดอุบัติเหตุนับเป็น 10 ปีจึงค่อยแสดงผล ดังเช่นคนที่เกิดอุบัติเหตุรถชน หรือรถคว่ำ หรือแม้แต่ถูกกระแทกก็ตามทำ ให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เกิดอาการสะดุ้ง เกร็งและหดตัว เลือดไหลเวียนไม่สะดวกก็จะเกิดอาการปวดเมื่อยตามมา ดังภาษาการ แพทย์แผนไทย เรียกว่า “เป็นเถาเป็นดาน” ข. เกิดจากการติดเชื้อแล้วเนื้อเยื่อถูกทำลาย ซึ่งเป็นได้ทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะภายในทุกส่วน อาจถูกกระแทกจากอุบัติเหตุหรือติดเชื้อไม่ว่าจะเป็น ตับ ไต หัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลำ ไส้จนถึงสมองและม้าม เป็นต้น เนื้อเยื่อที่ถูก เชื้อโรคหรือสารพิษทำลาย ก็จะสูญเสียสภาพการทำ งาน ทำ ให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย ไตวาย ตับแข็ง และปอดถูกทำ ลาย เป็นต้น ถ้าเป็นกล้ามเนื้อและผิวหนัง จะสังเกตได้จากการฉีกขาดแล้วเกิด แผลเป็น หรือ สัตว์พิษกัดต่อยแล้วมี อาการแข็งเป็นไตตามมา ค. เกิดจากการใช้งานหนัก มากเกิน ไปหรืออยู่ในพฤติกรรม
41 โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อ สาเหตุของโรค เกิดจาก 4 ปัจจัยที่หลายคนอาจไม่ได้สังเกต ก. เกิดจากอุบัติเหตุ การเกิดอุบัติเหตุทุกครั้งไม่ว่าหนักหรือเบาล้วนมีผลต่อการ ปวด ขึ้นอยู่กับอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือข้อต่อกระดูก แต่ทั้งหมด ล้วนมีผลทำาให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissues) เกิดการอักเสบเป็นพังผืดและมี แคลเซียมมาจับเสมือนหนึ่งกับกล้วยน้ำาว้าที่แก่จัดแต่ยังไม่สุกเหลืองเกิดถูกกระแทกหรือ ทำาให้ช้ำาบางส่วน เนื้อเยื่อที่ถูกกระทบและเซลล์บริเวณนั้นจะสูญเสียสภาพและไม่มี การเจริญต่อ ทำาให้บริเวณดังกล่าวเกิดแข็งกระด้างและไม่สุกงอมเฉกเช่นกล้ามเนื้อเราก็ เช่นกัน แต่ระยะเวลาแสดงผลขึ้นอยู่กับความแรงของอุบัติเหตุ บางคนเกิดอุบัติเหตุนับ เป็น 10 ปี จึงค่อยแสดงผล ดังเช่นคนที่เกิดอุบัติเหตุรถชน หรือรถคว่ ำา หรือแม้แต่ถูก กระแทกก็ตามทำาให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เกิดอาการสะดุ้งเกร็งและหดตัว เลือดไหลเวียน ไม่สะดวกก็จะเกิดอาการปวดเมื่อยตามมา ดังภาษาการแพทย์แผนไทย เรียกว่า “เป็น เถาเป็นดาน” ข. เกิดจากการติดเชื้อแล้วเนื้อเยื่อถูกทำาลาย ซึ่งเป็นได้ทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะภายในทุกส่วน อาจถูกกระแทกจากอุบัติเหตุหรือติดเชื้อไม่ว่าจะเป็น ตับ ไต หัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลำาไส้ จนถึงสมองและม้าม เป็นต้น เนื้อเยื่อที่ถูก เชื้อโรคหรือสารพิษทำาลาย ก็จะสูญเสียสภาพการทำางาน ทำาให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย ไตวาย ตับแข็ง และปอดถูกทำาลาย เป็นต้น ถ้าเป็นกล้ามเนื้อและผิวหนัง จะสังเกตได้จากการฉีกขาดแล้วเกิด แผลเป็น หรือ สัตว์พิษกัดต่อยแล้วมี อาการแข็งเป็นไตตามมา ค. เกิดจากการใช้งานหนัก มากเกิน ไปหรืออยู่ในพฤติกรรมซ้ำาซาก 42 ซ้ำ ซากเป็นเวลานาน ทำ ให้ปวดเมื่อยและอักเสบตามมา เกิดเป็นพังผืดและมีแคลเซียม เกาะทำ ให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวแข็งกระด้าง ไม่ยืดหยุ่น เพราะเลือดลมไหลเวียน ไม่สะดวกดังเช่น โรคออฟฟิสซินโดรมทั้งหลาย โดยเฉพาะบ่า ไหล่ หลัง ที่เป็นกันมาก ในอาชีพนั่งโต๊ะทำ งาน ซึ่งปกติไม่ควรอยู่นานเกิน 2 ชั่วโมง จะต้องมีการปรับเปลี่ยน อิริยาบถ ง. เกิดจากความเสื่อมสภาพตามอายุ ซึ่งทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะตอน หนุ่มสาวกล้ามเนื้อแข็ง เส้นเอ็นอ่อน พอตอนแก่กล้ามเนื้ออ่อน เส้นเอ็นจึงแข็งตึง เพราะกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจะต้องทำ งานประสานกัน เพื่อประคองกระดูกให้ตึงตรง และรับน้ำ หนักตัวเรา หากกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก (ผู้สูงอายุ) เมื่อเส้นเอ็นแข็งเกร็งยัง ประคองกระดูกและรับน้ำ หนักไม่ไหว พังผืดก็จะช่วยประคองรัดให้มีกำ ลังมากขึ้น จะเห็นชัดบริเวณข้อต่อ หัวเข่า สะโพก หัวไหล่ สะบัก ข้อมือ และข้อเท้า ทำ ให้เลือด ไหลเวียนไม่สะดวก นานวันเข้าก็จะเดินเหมือนหุ่นยนต์และข้อที่ยึดติดก็จะทำ ให้ กระดูกอ่อนสึกหรอและมีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมตามมา วิธีป้องกันและรักษา ทำ ให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ทำ งานอย่างสมดุลเพื่อให้ ข้อต่อมีการเคลื่อนไหวได้สะดวก ไม่มีการคั่งค้างของลม อันเป็นสาเหตุทำ ให้เลือด ไปเลี้ยงได้ไม่ดีดังเช่นทุกท่านที่เคยดึงข้อนิ้วมือแล้วเกิดเสียงดัง เพราะมีลมขังอยู่ในข้อ ซึ่งเป็นสาเหตุสำ คัญที่ไปขวางกั้นการไหลเวียนของเลือดและลม โดยเฉพาะกระดูก สันหลัง ถ้าเส้นเอ็นหดตัวมากจะทำ ให้หมอนรองกระดูกสึก และทำ ให้เตี้ยลง เมื่อแก่ และอาจเกิดกระดูกงอกทับเส้นประสาทตามมา ขอแนะนำ การดูแลรักษาด้วย ภูมิปัญญาพื้นบ้านและสามารถทำ เองได้ดังนี้
43 ไม้ยืน B&B (Body Balance) ไม้ยืน B&B จะช่วยยืดเส้นเอ็นร้อยหวาย ให้ยืนวันละ 15 นาทีทุกวัน ช่วง รักษา ถ้าเป็นปกติแล้ว 1 สัปดาห์ ยืนแค่ 3 วันก็ได้ โดยเริ่มแรกอาจจะเป็น 5 นาที เพิ่ม เป็น 10 นาที และ 15 นาทีในที่สุด พร้อมกับ ออกกำาลังกาย 8 ท่า บนไม้ยืน B&B เท่า นี้ท่านก็ได้ประโยชน์ 4 เรื่องหลัก ๆ คือ 1. น้ำาหนัก จะไม่เพิ่ม เหมาะสำาหรับคนกลัวอ้วน แต่จะให้น้ำาหนักลfสามารถ ทำาได้โดยดูแลอาหารเป็นหลัก 2. โรคปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง และเอว จนกระทั่งข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อเท้า จะดีขึ้น 3. จะไม่เป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม กระดูกทับเส้น และป้องกันการเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต 4. อายุมากขึ้นหรือแก่ตัวจะไม่เตี้ยลง บางท่านเตี้ยลง 2 – 3 เซนติเมตร ถ้ายืน ครบ 1 ปี จะสูงกลับมาเท่าเดิม 43 ไม้ยืน B&B (Body Balance) ไม้ยืน B&B จะช่วยยืดเส้นเอ็นร้อยหวาย ให้ยืนวันละ 15 นาทีทุกวัน ช่วงรักษา ถ้าเป็นปกติแล้ว 1 สัปดาห์ยืนแค่3 วันก็ได้โดยเริ่มแรกอาจจะเป็น 5 นาที เพิ่มเป็น 10 นาทีและ 15 นาทีในที่สุด พร้อมกับ ออกกำลังกาย 8 ท่า บนไม้ยืน B&B เท่านี้ท่านก็ได้ประโยชน์4 เรื่องหลักๆ คือ 1. น้ำ หนัก จะไม่เพิ่ม เหมาะสำ หรับคนกลัวอ้วน แต่จะให้น้ำ หนักลง สามารถ ทำ ได้โดยดูแลอาหารเป็นหลัก 2. โรคปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง และเอว จนกระทั่งข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อเท้า จะดีขึ้น 3. จะไม่เป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม กระดูกทับเส้น และป้องกันการเป็น อัมพฤกษ์อัมพาต 4. อายุมากขึ้นหรือแก่ตัวจะไม่เตี้ยลง บางท่านเตี้ยลง 2 – 3 เซนติเมตร ถ้ายืน ครบ 1 ปีจะสูงกลับมาเท่าเดิม
44 ไม้กระบอง ช่วยในการยืดเส้นเอ็นแนวขนานขณะกางแขน ซึ่งต่างจากไม้ยืน (B&B) เป็นการ คลายกล้ามเนื้อและพังผืดที่ยึดติดทำาให้การเคลื่อนไหวลำาบาก สามารถเข้าไปดูใน Google ได้ กลับไปที่รำากระบอง จะมีทั้งหมด 15 ท่าเท่านั้น ดังนี้ ท่าที่ 1 เอาไม้กระบองวางบนบ่าไหล่แล้วกางแขนออก พร้อมกางขา 3 ช่วง หัวไหล่ แล้วกลับเอามือซ้ายพร้อมกระบองไปแตะที่เท้าขาวนับ 1 – 10 แล้วกลับท่าเดิม (ตามรูป) หากทำาไม่ได้ก็พยายามทำาทุกวัน ถ้าได้เมื่อไหร่ปวดสะบัก บ่า หลัง ไหล่ ก็ จะหาย ที่เรียกทั่วไปว่าเป็นโรคออฟฟิตซินโดรม ท่าที่ 2 เอาไม้วางบนบ่าไหล กางแขนเช่นเดิม แล้วหมุนตัวไปทางซ้ายพร้อม แขนและไม้ให้ได้ 180องศา นับได้ 10 แล้วกลับที่เดิมจากนั้นหมุนสลับไปทางขวาทำา เช่นเดียวกัน ตอนแรกอาจไม่ถึง 180 องศาไม่เป็นไร ถ้าทำาทุกวัน 3 เดือนก็จะทำาได้แล้ว โรคไหล่ติด สะบักจม ก็จะหายไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ท่าที่ 3 อยู่ในท่าเตรียมเช่นเดิมจากนั้นเอี้ยวตัวไปข้างหลัง งอเข่าเอามือขวาไป แตะส้นเท้าซ้ายนับ 1 ถึง 10 แล้ว สลับเอามือซ้ายเอี้ยวหลังไปแตะส้นเท้าขวา นับ 1 ถึง 44 ไม้กระบอง ช่วยในการยืดเส้นเอ็นแนวขนานขณะกางแขน ซึ่งต่างจากไม้ยืน (B&B) เป็นการ คลายกล้ามเนื้อและพังผืดที่ยึดติดทำาให้การเคลื่อนไหวลำาบาก สามารถเข้าไปดูใน Google ได้ กลับไปที่รำากระบอง จะมีทั้งหมด 15 ท่าเท่านั้น ดังนี้ ท่าที่ 1 เอาไม้กระบองวางบนบ่าไหล่แล้วกางแขนออก พร้อมกางขา 3 ช่วง หัวไหล่ แล้วกลับเอามือซ้ายพร้อมกระบองไปแตะที่เท้าขาวนับ 1 – 10 แล้วกลับท่าเดิม (ตามรูป) หากทำาไม่ได้ก็พยายามทำาทุกวัน ถ้าได้เมื่อไหร่ปวดสะบัก บ่า หลัง ไหล่ ก็ จะหาย ที่เรียกทั่วไปว่าเป็นโรคออฟฟิตซินโดรม ท่าที่ 2 เอาไม้วางบนบ่าไหล กางแขนเช่นเดิม แล้วหมุนตัวไปทางซ้ายพร้อม แขนและไม้ให้ได้ 180องศา นับได้ 10 แล้วกลับที่เดิมจากนั้นหมุนสลับไปทางขวาทำา เช่นเดียวกัน ตอนแรกอาจไม่ถึง 180 องศาไม่เป็นไร ถ้าทำาทุกวัน 3 เดือนก็จะทำาได้แล้ว โรคไหล่ติด สะบักจม ก็จะหายไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ท่าที่ 3 อยู่ในท่าเตรียมเช่นเดิมจากนั้นเอี้ยวตัวไปข้างหลัง งอเข่าเอามือขวาไป แตะส้นเท้าซ้ายนับ 1 ถึง 10 แล้ว สลับเอามือซ้ายเอี้ยวหลังไปแตะส้นเท้าขวา นับ 1 ถึง 43 ไม้ยืน B&B (Body Balance) ไม้ยืน B&B จะช่วยยืดเส้นเอ็นร้อยหวาย ให้ยืนวันละ 15 นาทีทุกวัน ช่วง รักษา ถ้าเป็นปกติแล้ว 1 สัปดาห์ ยืนแค่ 3 วันก็ได้ โดยเริ่มแรกอาจจะเป็น 5 นาที เพิ่ม เป็น 10 นาที และ 15 นาทีในที่สุด พร้อมกับ ออกกำาลังกาย 8 ท่า บนไม้ยืน B&B เท่า นี้ท่านก็ได้ประโยชน์ 4 เรื่องหลัก ๆ คือ 1. น้ำาหนัก จะไม่เพิ่ม เหมาะสำาหรับคนกลัวอ้วน แต่จะให้น้ำาหนักลfสามารถ ทำาได้โดยดูแลอาหารเป็นหลัก 2. โรคปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง และเอว จนกระทั่งข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อเท้า จะดีขึ้น 3. จะไม่เป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม กระดูกทับเส้น และป้องกันการเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต 4. อายุมากขึ้นหรือแก่ตัวจะไม่เตี้ยลง บางท่านเตี้ยลง 2 – 3 เซนติเมตร ถ้ายืน ครบ 1 ปี จะสูงกลับมาเท่าเดิม 44 ไม้กระบอง ช่วยในการยืดเส้นเอ็นแนวขนานขณะกางแขน ซึ่งต่างจากไม้ยืน (B&B) เป็นการคลายกล้ามเนื้อและพังผืดที่ยึดติดทำ ให้การเคลื่อนไหวลำ บาก สามารถเข้าไปดู ใน Google ได้กลับไปที่รำ กระบอง จะมีทั้งหมด 15 ท่าเท่านั้น ดังนี้ ท่าที่ 1 เอาไม้กระบองวางบนบ่าไหล่แล้วกางแขนออก พร้อมกางขา 3 ช่วง หัวไหล่ แล้วกลับเอามือซ้ายพร้อมกระบองไปแตะที่เท้าขวานับ 1 – 10 แล้วกลับ ท่าเดิม (ตามรูป) หากทำ ไม่ได้ก็พยายามทำ ทุกวัน ถ้าได้เมื่อไหร่ปวดสะบัก บ่า หลัง ไหล่ ก็จะหาย ที่เรียกทั่วไปว่าเป็นโรคออฟฟิตซินโดรม ท่าที่ 2 เอาไม้วางบนบ่าไหล กางแขนเช่นเดิม แล้วหมุนตัวไปทางซ้ายพร้อม แขนและไม้ให้ได้180 องศา นับได้10 แล้วกลับที่เดิมจากนั้นหมุนสลับไปทางขวา ทำ เช่นเดียวกัน ตอนแรกอาจไม่ถึง 180 องศาไม่เป็นไร ถ้าทำ ทุกวัน 3 เดือนก็จะทำ ได้ แล้วโรคไหล่ติด สะบักจม ก็จะหายไปโดยที่เราไม่รู้ตัว
45 10 เช่นกัน แล้วกลับท่าเตรียมเหมือนเดิม หมั่นทำาทุกวัน อาการปวด ตลอดแนวสันหลัง และสีข้างก็จะหาย เมื่อเลือดลมไหวเวียนดีร่างกายมีความยืดหยุ่น โดยที่เรากินอาหารที่สะอาด น้ำา ปราศจากสีและกลิ่น อยู่ในสถานที่อากาศบริสุทธิ์ โรคภัยก็จะไม่มี หรือถ้ามีก็จะค่อยๆ หายกลับฟื้นคืนสู่ปกติ ด้วยการมีอายุยืน สุขภาพดีและมีความสุขด้วยการพึ่งตนเอง ผ้าขาวม้า การใช้ผ้าขาวม้าช่วยในการออกกำาลังกายเพื่อทำาให้กล้ามเนื้อแข็งแรงไม่ให้เส้น เอ็นทำางานหนักเกิดการแข็งตัว เมื่อเส้นเอ็นแข็งยังแบกรับน้ ำาหนักเราไม่ไหวก็จะทำาให้ พังผืดมาพอกเกาะตามข้อต่อทั้งหลาย เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า และข้อสะโพกนานเข้าก็จะ ทำาให้พับงอลำาบากต้องเดินเหมือนกับหุ่นยนต์ที่พบเห็นกันทั่วไปในผู้สูงอายุเรามีหนังสือ ออกกำาลังกายด้วยผ้าขาวม้าให้ท่านได้ศึกษาเป็นแนวทางเบื้องต้นแล้ว ท่านสามารถจะ นำาไปคิดค้นและประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับกล้ามเนื้อแต่ละส่วนของท่านอย่างเหมาะสม ต่อไป 45 ผ้าขาวม้า การใช้ผ้าขาวม้าช่วยในการออกกำลังกายเพื่อทำ ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ไม่ให้ เส้นเอ็นทำ งานหนักเกิดการแข็งตัว เมื่อเส้นเอ็นแข็งยังแบกรับน้ำ หนักเราไม่ไหว ก็จะ ทำ ให้พังผืดมาพอกเกาะตามข้อต่อทั้งหลาย เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า และข้อสะโพก นานเข้าก็จะทำ ให้พับงอลำ บาก ต้องเดินเหมือนกับหุ่นยนต์ที่พบเห็นกันทั่วไปใน ผู้สูงอายุเรามีหนังสือออกกำ ลังกายด้วยผ้าขาวม้า ให้ท่านได้ศึกษาเป็นแนวทาง เบื้องต้นแล้ว ท่านสามารถจะนำ ไปคิดค้นและประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับกล้ามเนื้อแต่ละ ส่วนของท่านอย่างเหมาะสมต่อไป ท่าที่ 3 อยู่ในท่าเตรียมเช่นเดิมจากนั้นเอี้ยวตัวไปข้างหลัง งอเข่าเอามือขวาไป แตะส้นเท้าซ้ายนับ 1 ถึง 10 แล้ว สลับเอามือซ้ายเอี้ยวหลังไปแตะส้นเท้าขวา นับ 1 ถึง 10 เช่นกัน แล้วกลับท่าเตรียมเหมือนเดิม หมั่นทำ ทุกวัน อาการปวด ตลอดแนว สันหลังและสีข้างก็จะหาย เมื่อเลือดลมไหวเวียนดีร่างกายมีความยืดหยุ่น โดยที่เรากินอาหารที่สะอาด น้ำ ปราศจากสีและกลิ่น อยู่ในสถานที่อากาศบริสุทธิ์ โรคภัยก็จะไม่มีหรือถ้ามีก็จะ ค่อยๆ
46 ไข้เลือดออก เป็นแล้วรักษาอย่างไร มีคำาตอบ ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากยุงซึ่งเป็นพาหะของโรค ไข้เลือดออกนอกจากจะ เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยแล้วยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกโดยเฉพาะ ประเทศในเขตร้อนชื้น ไข้เลือดออกเป็นได้ทุกคนถ้าโดนยุงที่มีเชื้อกัดเข้าไป สงสัยอาการจะเป็นไข้เลือดออกของผู้เขียน วันแรก 1. วันแรกตอนเช้ารู้สึกจะเป็นไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดตามร่างกาย 2. ร้อนออกเบ้าตา ไข้ขึ้นเรื่อยๆ 3. ตอนเย็นเลยไปหาที่โรงพยาบาล ตรวจเลือดดู หมอบอกว่าสงสัยจะเป็นไข้ เลือดออก ให้มาหาหมอใหม่หากไข้ยังไม่หายภายใน 2-3 วัน หมอให้ยาพาราเซมอลให้ มาทานอาการแก้ไข้และปวด วันที่ 2 อาการปวดเนื้อปวดตัวรุนแรงมากขึ้นทำาให้นอนไม่หลับมีไข้ขึ้น เลยเข้าไปศึกษา อาการของโรคไข้เลือดออกจาก อินเตอร์เน็ตดูว่าอาการของไข้เลือดออกเป็นอย่างไรศึกษา ดูแล้วอาการเป็นแบบเราเลย ก็เลยรักษาอาการไข้เลือดออกแบบแพทย์แผนไทยคู่ขนาน ไปกับกับยาพาราเซตามอล เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าเป็นไข้เลือดออกแน่นอนก็เลยทานยาห้าราก ก่อนอาหารครั้งละ 5 แคปซูล ตลอดที่เป็นประมาณ 5 วัน วันที่ 3 ผื่นแดงเริ่มออกตามตัว แขน ขา ไข้ขึ้นเหมือนเดิม ปวดเนื้อปวดตัว อยากนอน แต่ก็นอนไม่ค่อยได้เพราะมันปวดตัวไปทั่วหมด วันนี้เลยทานยาสมุนไพรอีกตัวเพื่อที่ จะได้ล้างพิษออกจากร่างกาย และลดความร้อน ความดัน และลดลมออกจากร่างกาย ก็เลยทายยากษัยเส้น เพื่อล้างธาตุทั้งสี่ออกจากร่างกาย คือ ดิน น้ำา ลม ไฟ กินก่อน นอน 2 เม็ด แล้วแต่ธาตุของแต่ละคนว่าเป็น ธาตุ หนัก กลาง เบา ถ้าธาตุหนักก็ทาน 4 เม็ด ธาตุกลางก็ทาน 3 เม็ด ธาตุเบาก็ทาน 2 เม็ด 46 ไข้เลือดออก เป็นแล้วรักษาอย่างไร มีคำ�ตอบ ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากยุงซึ่งเป็นพาหะของโรค ไข้เลือดออกนอกจาก จะเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยแล้วยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกโดย เฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น ไข้เลือดออกเป็นได้ทุกคนถ้าโดนยุงที่มีเชื้อกัดเข้าไป สงสัยอาการจะเป็นไข้เลือดออกของผู้เขียน วันแรก 1. วันแรกตอนเช้ารู้สึกจะเป็นไข้ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดตามร่างกาย 2. ร้อนออกเบ้าตา ไข้ขึ้นเรื่อยๆ 3. ตอนเย็นเลยไปหาที่โรงพยาบาล ตรวจเลือดดู หมอบอกว่าสงสัยจะเป็น ไข้เลือดออก ให้มาหาหมอใหม่หากไข้ยังไม่หายภายใน 2-3 วัน หมอให้ยาพาราเซมอล ให้มาทานอาการแก้ไข้และปวด วันที่ 2 อาการปวดเนื้อปวดตัวรุนแรงมากขึ้นทำ ให้นอนไม่หลับมีไข้ขึ้น เลยเข้าไป ศึกษาอาการของโรคไข้เลือดออกจาก อินเตอร์เน็ตดูว่าอาการของไข้เลือดออกเป็น อย่างไรศึกษาดูแล้วอาการเป็นแบบเราเลย ก็เลยรักษาอาการไข้เลือดออกแบบแพทย์ แผนไทยคู่ขนานไปกับกับยาพาราเซตามอล เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าเป็นไข้เลือดออก แน่นอนก็เลยทานยาห้ารากก่อนอาหารครั้งละ 5 แคปซูล ตลอดที่เป็นประมาณ 5 วัน วันที่ 3 ผื่นแดงเริ่มออกตามตัว แขน ขา ไข้ขึ้นเหมือนเดิม ปวดเนื้อปวดตัว อยากนอนแต่ก็นอนไม่ค่อยได้เพราะมันปวดตัวไปทั่วหมด วันนี้เลยทานยาสมุนไพร อีกตัวเพื่อที่จะได้ล้างพิษออกจากร่างกาย และลดความร้อน ความดัน และลดลม ออกจากร่างกายก็เลยทายยากษัยเส้น เพื่อล้างธาตุทั้งสี่ออกจากร่างกาย คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กินก่อนนอน 2 เม็ด แล้วแต่ธาตุของแต่ละคนว่าเป็น ธาตุ หนัก กลาง เบา ถ้าธาตุหนักก็ทาน 4 เม็ด ธาตุกลางก็ทาน 3 เม็ด ธาตุเบาก็ทาน 2 เม็ด