คู่มือ
การปฏิบัตงิ านเกีย่ วกบั
การตรวจ อนุมัติ และสง่ั จา่ ย
เบ้ยี หวัด บาเหนจ็ บานาญปกตขิ า้ ราชการ
บาเหน็จลูกจ้าง และบาเหนจ็ ดารงชพี
สาหรบั บุคลากรกรมบญั ชกี ลาง
รวบรวมและปรับปรงุ โดยสานกั งานคลงั เขต 8
ท่ีมา : สานกั บรหิ ารการรบั -จา่ ยเงนิ ภาครัฐ
กรมบัญชกี ลาง
คานา
สานักงานคลังเขต 8 ในฐานะส่วนราชการส่วนกลางซึ่งตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค มี
ภารกิจเกี่ยวกับการพิจารณาอนุมัติส่ังจ่ายบาเหน็จบานาญให้กับบุคลากรของส่วนราชการในเขต
พื้นท่ี 8 จานวน 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง จังหวัด
นครศรีธรรมราช จังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต และมีหน้าท่ีในการให้บริการให้
คาปรกึ ษาแกส่ ว่ นราชการในเขตพ้นื ที่ ดังนั้น เพ่ืออานวยความสะดวกให้กับส่วนราชการและผู้มา
ติดต่อ เพ่ือให้ภารกิจดังกล่าวสาเร็จตามนโยบายของกรมบัญชีกลาง จาเป็นต้องส่งเสริมและ
พัฒนาการจัดการความรู้ การแลกเปล่ียนเรียนรู้ ในองค์ความรู้ที่สาคัญ อันส่งผลต่อการปฏิบัติ
ราชการ ผลักดันการพฒั นาการจัดการความรู้ ให้กา้ วหนา้ ไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ผ่านการจัดทา
โครงการแลกเปล่ียนเรียนรู้ของหน่วยงานภายในกรมบัญชีกลาง โดยใช้ความรู้ในการปฏิบัติงาน
เทคนิค วิธีการแก้ปัญหา ปัจจัย แห่งความสาเร็จในการปฏิบัติงาน และประสบการณ์ท่ีดี (Best
Practices) เขา้ มารวบรวม จัดเกบ็ อยา่ งเป็นระบบ และจัดแสดงองคค์ วามรู้ เพื่อนาไปสู่บรรยากาศ
ของการแบง่ ปันความรทู้ ด่ี ี และมปี ระสิทธภิ าพ
สานักงานคลังเขต 8 ได้นาคู่มือการตรวจอนุมัติและสั่งจ่ายเบ้ียหวัดบาเหน็จ
บานาญซ่ึงสานักบริหารการรับ-จ่ายเงินภาครัฐ ได้จัดรวบรวมแนวทางการพิจารณาสั่งจ่าย
ตลอดจนองค์ความรใู้ นการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง มาปรับปรงุ เพิม่ เตมิ ในสว่ นของกฎหมาย ระเบียบ
ขอ้ บงั คับ และแนวทางการปฏิบัติท่ีมีการแก้ไขปรับปรุงใหม่เพื่อให้เป็นแนวทางในการตรวจอนุมัติ
และสั่งจา่ ยเบ้ยี หวดั บาเหน็จบานาญปกติข้าราชการ บาเหนจ็ ลกู จ้าง และบาเหน็จดารงชีพ สาหรับ
บคุ ลากรของสานักงานคลังเขต และหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ซึ่งจะทาให้การปฏิบัติงานด้านการส่ัง
จ่ายเบี้ยหวดั บาเหนจ็ บานาญของกรมบญั ชกี ลางเป็นไปอยา่ งถูกต้อง รวดเร็ว และมปี ระสิทธภิ าพ
สานักงานคลงั เขต 8
มถิ ุนายน 2563
สารบัญ หนา้
1 – 18
1. บาเหนจ็ บานาญข้าราชการ 19 – 43
2. เบ้ยี หวดั 44 – 53
3. บาเหนจ็ ลกู จา้ ง 54 – 58
4. บาเหนจ็ ดารงชพี
บาเหน็จบานาญขา้ ราชการ
บุคคลท่ีเข้ามารับราชการไม่ว่าจะเป็นทหาร ตารวจ ข้าราชการพลเรือน หรือข้าราชการข้าราชการ
ประเภทอื่นใด เม่ือพ้นจากหน้าที่ราชการ ด้วยเหตุลาออก เกษียณอายุ หรือให้ออกโดยไม่มีความผิด เช่น
เจบ็ ปุวย ขาดคุณสมบัติ หรือตาย แล้วแตก่ รณี หากรับราชการโดยกระทาความชอบมาตลอด ทางราชการจะ
ตอบแทนบคุ คลนน้ั เป็นเงินจานวนหนึ่ง ซึ่งอาจจ่ายเป็นรายเดือนหรือเป็นเงินก้อนครั้งเดียว หรือถึงแก่กรรม
ขณะรบั ราชการ หรือผ้รู ับบานาญถงึ แก่กรรม ทางราชการจะจา่ ยเงินใหแ้ กท่ ายาทเพื่อสงเคราะห์ และบรรเทา
ความเดือดรอ้ น เรียกว่า“บาเหน็จบานาญ” ซึง่ เปน็ สิทธปิ ระโยชน์อย่างหนงึ่ ทท่ี างราชการใหเ้ มื่อพ้นจากราชการ
เพอื่ ความมนั่ คงและเป็นหลกั ประกันในชวี ติ
ในสมัยก่อนข้าราชการเมื่อพ้นจากราชการ จะไม่ได้รับเงินตอบแทนใด ๆ จากทางราชการ
ต่อมาพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดาริว่าราชการบ้านเมืองมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
และขา้ ราชการกม็ ีหนา้ ทต่ี อ้ งรบั ราชการเต็มกาลงั ทาให้ไมม่ ีเวลาที่จะประกอบการงานอื่น ๆ เพ่ือสะสมทรัพย์
สมบัติไว้เลี้ยงตนเมื่อแก่ชราหรือทุพพลภาพ แม้จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินเดือน
แก่ข้าราชการแล้ว ก็ยังได้รับความลาบากและเดือดร้อนเมื่อพ้นจากราชการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบญั ญตั ิเบี้ยบานาญ ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) เป็นกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญฉบับแรก
ของประเทศไทย แต่โดยท่ีพระราชบัญญัติเบี้ยบานาญ ร.ศ. 120 ไม่ได้ให้สิทธิในการรับบาเหน็จบานาญ
แก่ข้าราชการโดยทั่วถึงทุกชั้น จึงยกเลิกพระราชบัญญัติเบี้ยบานาญ ร.ศ. 120 และตราพระราชบัญญัติ
ฉบบั ใหมข่ ้ึนอีกหลายฉบบั จนกระทัง่ มกี ารประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัตบิ าเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ. 2494
และเปน็ กฎหมายวา่ ดว้ ยบาเหน็จบานาญขา้ ราชการทีใ่ ช้อยจู่ นถงึ ปัจจบุ ัน
ความหมาย
บาเหนจ็ หมายถงึ เงนิ ตอบแทนความชอบท่ไี ดร้ บั ราชการมา ซ่งึ จา่ ยเป็นเงินก้อนคร้งั เดยี ว
บานาญ หมายถงึ เงินตอบแทนความชอบท่ไี ดร้ บั ราชการมา ซ่ึงจา่ ยเปน็ รายเดอื นจนกวา่
จะถึงแก่กรรม หรือหมดสิทธิ
บาเหน็จบานาญมี 3 ประเภท คอื
1. บาเหนจ็ บานาญปกติ
2. บานาญพิเศษ
3. บาเหนจ็ ตกทอด
บาเหน็จบานาญปกติ
กฎหมายและระเบียบที่เกย่ี วข้อง
พระราชบญั ญัติบาเหนจ็ บานาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 และท่แี ก้ไขเพมิ่ เติม
พระราชบญั ญัตกิ องทนุ บาเหนจ็ บานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 และทแี่ ก้ไขเพ่มิ เติม
พระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บาเหนจ็ บานาญ และเงินอืน่ ในลักษณะเดยี วกนั
พ.ศ. 2535 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม
กฎกระทรวงกาหนดอัตราและวิธีการรับบาเหน็จดารงชพี พ.ศ. 2546
กฎกระทรวงกาหนดอตั ราและวิธีการรับบาเหนจ็ ดารงชพี (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2551
ระเบยี บกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอรับและการจา่ ยบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ
พ.ศ. 2527 และทีแ่ ก้ไขเพ่มิ เติม
หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนท่ีสดุ ท่ี กค 0420.9/ว 53 ลงวันท่ี 29 มิถุนายน 2552
เร่ือง การขอรบั และการจา่ ยเบยี้ หวัด บาเหนจ็ บานาญและเงนิ อ่ืนในลักษณะเดียวกันผ่านระบบ
บาเหน็จบานาญ
ผมู้ สี ทิ ธริ ับบาเหน็จบานาญปกติ
ขา้ ราชการพลเรือน
ขา้ ราชการฝาุ ยตุลาการ
ขา้ ราชการฝุายอยั การ
ข้าราชการพลเรอื นในสถาบนั อดุ มศกึ ษา
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลยั
ขา้ ราชการครู
ข้าราชการรัฐสภาสามัญ
ข้าราชการฝุายรฐั สภา
ข้าราชการตารวจ
ข้าราชการกลาโหมพลเรอื น
ขา้ ราชการสานกั งานศาลรัฐธรรมนญู
ขา้ ราชการการเมือง
ข้าราชการทหาร
o นายทหารสัญญาบัตร
o นายทหารประทวน ตลอดจนว่าทย่ี ศน้นั ๆ
o ทหารออกจากกองหนุนมเี บีย้ หวัด
2
ผไู้ ม่มีสิทธิไดร้ บั บาเหนจ็ บานาญปกติ
1. ขา้ ราชการซึง่ มใิ ช่ตลุ าการตามกฎหมายว่าด้วยระเบยี บขา้ ราชการฝุายตุลาการ และมใิ ช่
อยั การตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝุายอยั การ ซึ่งถูกไลอ่ อกจากราชการเพราะมีความผดิ
2. ข้าราชการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝุายตุลาการ และอัยการ
ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบียบขา้ ราชการฝุายอยั การ ซ่งึ ถูกไล่ออกหรอื ปลดออกจากราชการเพราะมีความผดิ
3. ข้าราชการวิสามัญหรือลูกจ้าง เว้นแต่กรณีท่ีมีข้อกาหนดให้บาเหน็จหรือบานาญ
ไว้ในหนงั สอื สญั ญาจ้าง ตามความตอ้ งการของรฐั บาล
4. ผูซ้ ่งึ รัฐบาลกาหนดเงินอยา่ งอนื่ ไว้แทนบาเหน็จบานาญแล้ว
5. ผูซ้ ่งึ มีเวลาราชการสาหรับคานวณบาเหนจ็ บานาญไม่ครบหนึ่งปบี ริบรู ณ์
6. ผซู้ ง่ึ ไม่เคยรบั ราชการมากอ่ น แต่ได้เปน็ ทหารวา่ ด้วยการรับราชการทหาร เม่ือปลดเป็น
กองหนุนแลว้ และได้เข้ารับราชการ โดยเวลารับราชการจะติดต่อกับเวลาราชการกองประจาการหรือไม่ก็ตาม
ยงั ไมค่ รบ 1 ปบี รบิ รู ณ์
บาเหน็จบานาญปกติ มี 4 เหตุ คือ
1. เหตทุ ดแทน
2. เหตุทพุ พลภาพ
3. เหตสุ ูงอายุ
4. เหตุรบั ราชการนาน (ไม่เปน็ สมาชิก กบข.) หรือมาตรา 48 (สมาชกิ กบข.)
ผมู้ สี ิทธิได้รับบาเหนจ็ บานาญปกติ ต้องเขา้ เหตุใดเหตหุ น่งึ ดังต่อไปนี้
1. เหตทุ ดแทน ให้แกข่ ้าราชการซง่ึ ออกจากประจาการเพราะเลิกหรือยุบตาแหน่ง หรือ
ซ่งึ มีคาส่ังใหอ้ อกโดยไม่มคี วามผดิ หรอื ซงึ่ ออกตามบทบัญญัตใิ นรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย หรือทหาร
ซ่งึ ออกจากกองหนุนมเี บ้ียหวดั ดงั นี้
1) เลิกหรือยุบตาแหนง่
เลิกตาแหน่ง หมายถึง ทางราชการเลิกตาแหน่งหน้าท่ีท่ีผู้น้ันปฏิบัติ โดย
ไม่มีงานทจี่ ะตอ้ งใหป้ ฏบิ ตั ิต่อไปอีก จงึ เปน็ เหตุใหผ้ นู้ ัน้ ตอ้ งพน้ จากราชการไป
ยุบตาแหน่ง หมายถึง ทางราชการเอางานในหน้าที่ของตาแหน่งหน่ึง
ไปรวมกับงานในหนา้ ทีข่ องตาแหน่งอืน่ จึงเปน็ เหตใุ ห้ผดู้ ารงตาแหนง่ นั้นต้องพ้นจากราชการไป
2) ทางราชการส่ังให้ออกโดยไม่มีความผิด ซึ่งพิจารณาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ขา้ ราชการพลเรอื น หรอื ตามกฎหมายวา่ ด้วยระเบยี บขา้ ราชการประเภทน้ัน ๆ เช่น
ผ้ทู ่ีออกจากราชการตามพระราชบัญญตั ริ ะเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
- มาตรา 110 ผบู้ งั คับบัญชาซึ่งมอี านาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 มีอานาจ
สั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการเพ่ือรับบาเหน็จบานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วย
บาเหน็จบานาญข้าราชการได้ในกรณีดังตอ่ ไปนี้
3
เม่อื ขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ผ้ใู ดเจบ็ ปุวยไม่อาจปฏิบัติหน้าท่ีราชการ
ของตนไดโ้ ดยสม่าเสมอ
เม่ือข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดสมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ
ตามความประสงคข์ องทางราชการ
เม่ือขา้ ราชการพลเรือนสามัญผ้ใู ดขาดคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 36 ก
(1) หรอื (3) หรือมลี ักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36 ข. (1) (3) (6) หรอื (7)
เมื่ อ ท าง ร าชก าร เ ลิ กห รื อ ยุบ ห น่วยง านห รื อตาแห น่ง ที่ ข้ าร าชก าร
พลเรือนสามัญปฏิบัติหน้าที่หรือดารงอยู่ สาหรับผู้ท่ีออกจากราชการในกรณีน้ีให้ได้รับเงินชดเชย
ตามหลกั เกณฑ์ วธิ ีการ และเงอ่ื นไขทีก่ ระทรวงการคลังกาหนดดว้ ย
เ ม่ื อ ข้ า ร า ช ก า ร พ ล เ รื อ น ส า มั ญ ผู้ ใ ด ไ ม่ ส า ม า ร ถ ป ฏิ บั ติ ร า ช ก า ร
ใหม้ ีประสทิ ธิภาพและเกดิ ประสิทธผิ ลในระดับอนั เป็นทพี่ อใจของทางราชการ
เม่ือขา้ ราชการพลเรือนสามัญผู้ใดหยอ่ นความสามารถในอนั ทจี่ ะปฏิบัติ
หนา้ ท่รี าชการ บกพร่องในหน้าทีร่ าชการ หรอื ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหน่งหน้าท่ีราชการ ถ้าให้ผู้นั้น
รับราชการตอ่ ไปจะเป็นการเสยี หายแกร่ าชการ
เมื่อข้าราชการ พลเรือนสามัญผู้ใดมีกรณีถูกสอบสวนว่ากระทาผิดวินัย
อย่างร้ายแรง ตามมาตรา 93 และผลการสอบสวนไม่ได้ความแน่ชัดพอท่ีจะฟังลงโทษตามมาตรา 97 วรรคหนึ่ง
แต่มมี ลทนิ มวั หมองในกรณที ี่ถูกสอบสวน ถา้ ให้รบั ราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ
เม่ือข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดต้องรับโทษจาคุกโดยคาพิพากษา
ถึงท่ีสดุ ใหจ้ าคกุ ในความผิดท่ีได้กระทาโดยประมาท หรือความผดิ ลหุโทษ หรอื ตอ้ งรับโทษจาคุกโดยคาสั่งศาล
ซ่งึ ยงั ไม่ถงึ กับจะต้องถูกลงโทษปลดออกหรอื ไลอ่ อก
- มาตรา 111 เมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใด ไปรับราชการทหาร
ตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอานาจส่ังบรรจุตามมาตรา 57 ส่ังให้ผู้นั้น
ออกจากราชการ
3) ออกตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ข้าราชการ
ผู้ซ่ึงออกจากราชการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ คือ ข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการ เลขานุการรัฐมนตรี เป็นต้น
เม่ือข้าราชการการเมืองออกจากราชการตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแล้ว จะเป็นด้วยเหตุใดๆก็ตาม
ย่อมมสี ทิ ธไิ ด้รบั บาเหน็จบานาญเหตุทดแทน
4) ทหารออกจากกองหนุนมีเบี้ยหวัด คือ ทหารซ่ึงรับเบี้ยหวัดครบกาหนดแล้ว
เปลีย่ นจากเบย้ี หวดั เปน็ บาเหนจ็ หรอื บานาญ
ดังน้ัน ข้าราชการท่ีถูกสั่งให้ออกจากราชการตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นมีสิทธิได้รับ
บาเหนจ็ บานาญเหตุทดแทน ส่วนราชการควรระบมุ าตราและเหตุให้ชดั เจนด้วย
ตามมาตรา 110 (2) แหง่ กฎ ก.พ. วา่ ดว้ ยการสั่งให้ขา้ ราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการ กรณี
สมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ พ.ศ. 2553 ให้ส่ังได้เฉพาะการไปปฏิบัติงาน
ในหน่วยงาน ดังตอ่ ไปน้ี
4
(1) รัฐวิสาหกจิ
(2) องคก์ ารมหาชน
(3) หน่วยบรกิ ารรูปแบบพเิ ศษ
(4) หนว่ ยงานของรัฐทจ่ี ัดตัง้ ขนึ้ ตามกฎหมายเฉพาะ
(5) หน่วยงานของรฐั ท่ีจัดตง้ั ขน้ึ ตามมตคิ ณะรฐั มนตรี
(6) หน่วยงานอนื่ ตามที่ ก.พ.กาหนด
หน่วยงานดังกลา่ วข้างต้นต้องเปน็ หนว่ ยงานทจี่ ดั ตัง้ ใหม่เปน็ เวลาไม่เกินหา้ ปี
การไปปฏิบัติงานตามความประสงค์ของทางราชการตามกฎ ก.พ. ในมาตราน้ี หมายถึง
การไปปฏิบัติงานตามความประสงค์ร่วมกันของหน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานดังกล่าวข้างต้น และต้อง
เป็นไปเพอ่ื ประโยชนข์ องทางราชการ โดยอาจเป็นไปเพ่ือประโยชนข์ องหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานดังกล่าว
ข้างตน้ หรือเป็นไปเพอื่ ประโยชนข์ องทางราชการโดยรวมกไ็ ด้
การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผูใ้ ดออกจากราชการเพือ่ ไปปฏิบตั งิ านใด ๆ ตามความประสงค์ของ
ทางราชการตาม กฎ ก.พ. ในมาตราน้ี ใหส้ ่งั ได้เม่ือขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ผ้นู น้ั
(1) ได้แสดงความสมคั รใจเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร
(2) มคี ุณสมบัติ ดงั ต่อไปน้ี
(ก) มีอายไุ มถ่ ึงหา้ สบิ ปีบรบิ ูรณ์
(ข) มรี ะยะเวลาในการรบั ราชการมาแล้วไมน่ ้อยกว่าหา้ ปี
(3) ไม่มลี กั ษณะต้องห้าม ดงั ต่อไปนี้
(ก) อยู่ระหวา่ งถกู ดาเนินการทางวนิ ยั
(ข) อยูร่ ะหวา่ งรับราชการชดใช้ทุน
ในกรณที ี่มีเหตุผลความจาเปน็ เพือ่ ประโยชน์ของทางราชการ ก.พ.จะพิจารณายกเว้นคุณสมบัติหรือ
ลกั ษณะต้องหา้ มตามวรรคหนึง่ ใหเ้ ป็นการเฉพาะรายก็ได้
2. เหตุทุพพลภาพ ให้แก่ข้าราชการผู้ปุวยเจ็บทุพพลภาพซ่ึงแพทย์ที่ทางราชการรับรอง
ไดต้ รวจและแสดงความเหน็ วา่ ไมส่ ามารถรับราชการในตาแหน่งหน้าที่ซ่ึงปฏิบัติอยู่น้ันต่อไปได้ เช่น เจ็บปุวย
เป็นอมั พาต หรอื เปน็ โรคจิต โรคประสาท เป็นตน้ การออกจากราชการด้วยเหตุทุพพลภาพน้ี ขา้ ราชการมีสทิ ธิ
ทจี่ ะลาออกได้เอง หรอื ทางราชการจะส่ังใหอ้ อกกไ็ ด้ ประเด็นสาคัญคอื จะต้องให้แพทย์ท่ีทางราชการรับรอง
ไดท้ าการตรวจและใหค้ วามเห็นว่าเปน็ อปุ สรรคจนไมส่ ามารถรับราชการในตาแหนง่ หนา้ ท่ีน้นั ต่อไปได้
3. เหตุสูงอายุ ให้แก่ข้าราชการผู้มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ (เกษียณอายุ) หรือลาออก
เม่อื มอี ายคุ รบ 50 ปีบริบูรณ์
ขา้ ราชการผมู้ ีอายุครบ 60 ปบี ริบูรณแ์ ล้ว เป็นอันพ้นจากราชการเมื่อส้ินปีงบประมาณ
ที่ผู้นั้นมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ยกเว้นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องการพ้นจากราชการไว้เป็นอย่างอ่ืน
ตามมาตรา 19 วรรค 2 แหง่ พระราชบญั ญัติบาเหน็จบานาญ พ.ศ. 2494 และทแี่ กไ้ ขเพม่ิ เติม
5
** ผูท้ พ่ี น้ จากราชการดว้ ยเหตุทดแทน เหตุทพุ พลภาพ เหตุสูงอายุ
ถ้ามีเวลาราชการสาหรับคานวณบาเหน็จบานาญต้ังแต่ 10 ปี (9 ปี 6 เดือน) มีสิทธิได้รับ
บานาญ หรือจะเลอื กขอรับบาเหน็จกไ็ ด้
ถ้ามีเวลาราชการสาหรับคานวณบาเหน็จบานาญ ตั้งแต่ 1 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่ถึง 10 ปี
(9 ปี 6 เดือน) มีสิทธิได้รับเฉพาะบาเหน็จเทา่ นน้ั
4. เหตรุ บั ราชการนาน (กรณีไม่เป็นสมาชิก กบข.) หรือตามมาตรา 48 (เป็นสมาชิก กบข.)
ใหแ้ กข่ า้ ราชการซ่งึ มีเวลาราชการสาหรับคานวณบาเหน็จบานาญครบ 25 ปี (24 ปี 6 เดือน)
**นอกจากนี้ ในกรณผี ู้ท่ีมีเวลาราชการครบ 10 ปี (9 ปี 6 เดอื น) แตไ่ ม่ถงึ 25 ปี (24 ปี 6 เดอื น)
ประสงคจ์ ะลาออกจากราชการ และไม่เขา้ เกณฑ์ 4 เหตดุ ังกล่าว ให้มีสิทธิได้รับบาเหน็จ ตามมาตรา 17
(กรณไี ม่เป็นสมาชิก กบข.) หรอื ตามมาตรา 47 (เป็นสมาชิก กบข.)
* ผูท้ ่ถี กู ลงโทษปลดออกจากราชการหลังวนั ท่ี 31 มีนาคม 2535 มีสทิ ธไิ ด้รับบาเหน็จบานาญ *
(พระราชบญั ญตั ิระเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. 2535 มาตรา 104 บัญญัติให้มีสทิ ธไิ ด้รบั บาเหนจ็ บานาญ
เสมอื นลาออกจากราชการ ซงึ่ มีผลบังคับใช้วนั ท่ี 1 เมษายน 2535) ดงั น้ี
1. ถา้ มีเวลาราชการสาหรับคานวณบาเหน็จบานาญ 10 ปี (9 ปี 6 เดือน ) แต่ไม่ถึง 25 ปี
(24 ปี 6 เดือน) ใหไ้ ด้รับบาเหนจ็ ตามมาตรา 17 (กรณีไมเ่ ป็นสมาชิก กบข.) หรือตามมาตรา 47 (เป็นสมาชิก กบข.)
2. ถา้ มเี วลาราชการสาหรับคานวณบาเหน็จบานาญ 25 ปี (24 ปี 6 เดอื น) ให้ได้รับบานาญ
ตามมาตรา 14 (กรณไี ม่เป็นสมาชกิ กบข.) หรอื ตามมาตรา 48 (เปน็ สมาชกิ กบข.) หรอื จะเลือกรับบาเหนจ็ ก็ได้
การนบั เวลาราชการสาหรับคานวณเบย้ี หวัดบาเหนจ็ บานาญ
1. การนับเวลาระหว่างที่รับราชการตามปกติ
1.1 เริ่มนับตั้งแต่วันเข้ารับราชการ โดยได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณ
หมวดเงนิ เดอื น ในอตั ราสามญั แตไ่ ม่ก่อนวนั ทมี่ ีอายคุ รบ 18 ปีบริบูรณ์ จนถงึ วนั สดุ ทา้ ยก่อนออกจากราชการ
หรือถงึ วนั ที่ 30 กนั ยายน กรณีเกษียณอายุ
1.2 ผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนทหารกองประจาการนับให้ตั้งแต่วันขึ้นทะเบียนทหาร
กองประจาการ
1.3 ขา้ ราชการวสิ ามญั ที่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ยกฐานะ หรือเปลี่ยนฐานะเป็น
ข้าราชการพลเรือนสามัญที่มีสิทธิได้รับบาเหน็จบานาญ เช่น ข้าราชการวิสามัญตาแหน่งผดุงครรภ์ หรือ
ข้าราชการพลเรือนวิสามัญตาแหน่งท่ีทาหน้าท่ีเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนสามัญซ่ึงมีคุณสมบัติทั่วไป
ท่จี ะเป็นขา้ ราชการพลเรือนสามัญได้ และเปน็ ผู้ไดร้ บั ประกาศนยี บัตรประโยคมธั ยมศกึ ษา (ม.6 เดิม) ก็ใหน้ บั
เวลาระหว่างท่ีเป็นข้าราชการพลเรือนวิสามัญติดต่อกับวันที่ได้มีการยกฐานะหรือเปล่ียนฐานะนั้น เป็นเวลา
ราชการสาหรับคานวณบาเหน็จบานาญได้
1.4 ผู้ที่เร่ิมเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนวิสามัญชั่วคราวเพื่อทดลอง
ให้ปฏิบัตริ าชการ (วสช.) มีสทิ ธิได้นับเวลาตง้ั แต่วันเริม่ เข้ารับราชการ
1.5 ข้าราชการท่ีไดร้ บั เงนิ เดือนจากเงินงบประมาณหมวดเงนิ เดอื น ซึ่งทางราชการ
ส่งั ใหไ้ ปทาการใดๆ ตามหลกั เกณฑ์ท่กี าหนดโดยพระราชกฤษฎกี า ใหน้ บั เวลาระหว่างถูกส่ังให้ไปทาการใดๆ
เปน็ เวลาราชการปกติ เหมือนเตม็ เวลาราชการ
6
ข้อสงั เกต : เวลาราชการ “พนกั งานของรฐั ” กระทรวงสาธารณสุข ไม่นับรวมเป็นเวลาราชการสาหรับคานวณ
บาเหน็จบานาญ (ตามมติคณะรัฐมนตรี ด่วนมาก ท่ี นร 0504/6856 ลงวันท่ี 17 พฤษภาคม 2547
กาหนดให้เร่ิมนับเวลาบรรจุเป็นข้าราชกา รพลเรือนสามัญ ได้ต้ังแต่ 11 พฤษภาคม 2547)
(เอกสารแนบท้าย)
2. การนับเวลาทวีคูณ
เวลาทวีคูณ คือ เวลาท่ีกฎหมายให้นับเพ่ิมอีก 1 เท่า ของเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ หรือ
รับราชการตามปกติ แบง่ เปน็
2.1 เวลาทาหนา้ ที่ตามท่ีกระทรวงกลาโหมกาหนด
2.2 เวลาทวีคูณปฏิบัติหน้าท่ีในเขตประกาศใช้กฎอัยการศึก การนับเวลาทวีคูณ
ต้องมีเวลาราชการปกติในระหว่างน้ันก่อน จึงจะนับเวลาราชการทวีคูณได้ ถ้าในระยะเวลาเดียวกัน
มเี วลาทวีคูณหลายประการซ้ากันให้นบั เวลาระหว่างน้นั เป็นทวคี ณู แต่ประการเดียว
3. การตัดเวลาราชการ
3.1 เวลาทไี่ มไ่ ด้รบั เงินเดือนด้วยเหตุใด ๆ เช่น ปวุ ย ลา ขาด พักราชการ ลาศึกษาต่อ
โดยไม่ไดร้ บั เงนิ เดือน ลาตดิ ตามคู่สมรสไปต่างประเทศ ลากิจเพือ่ เลีย้ งดูบตุ รโดยไมไ่ ดร้ บั เงินเดือน ให้ตัดเวลา
ระหวา่ งน้ันออก หรอื ถกู สงั่ พักราชการโดยได้รบั เงินเดือนไมเ่ ตม็ อัตรา เช่น ไดร้ บั ครงึ่ หนึ่ง หรือ 1 ใน 3 หรือ
1 ใน 4 ใหต้ ดั เวลาราชการออกตามสว่ นทีไ่ มม่ ีสทิ ธไิ ดร้ บั เงินเดือน
3.2 เวลาระหว่างรบั เบย้ี หวดั นับเวลาราชการให้ 1 ใน 4
3.3 ผู้มีสิทธิได้นับเวลาราชการเป็นทวีคูณ กรณีประกาศกฎอัยการศึก ถ้าวันใดไม่มา
ปฏิบัติราชการในระหวา่ งประกาศกฎอัยการศกึ ด้วยเหตุใดก็ตาม ไม่มสี ิทธไิ ด้นบั เวลาทวคี ณู ในวนั น้ัน
7
มาตรา 29 การคานวณบาเหน็จบานาญ
ตามพระราชบัญญัตบิ าเหนจ็ บานาญข้าราชการ พ.ศ.2494
เวลาราชการสาหรบั คานวณบาเหนจ็ บานาญใหน้ ับแต่จานวนปี เศษของปีถา้ ถึงครง่ึ ปี
ใหน้ บั เปน็ หน่งึ ปี
การนับระยะเวลาตามความในวรรคกอ่ น สาหรับเดอื นหรือวนั ให้นับคานวณตามวิธี
การจา่ ยเงนิ เดือน และใหน้ ับสบิ สองเดือนเป็นหน่งึ ปี สาหรบั จานวนวัน ถา้ มรี วมกนั
หลายระยะ ให้นับสามสิบวนั เป็นหน่ึงเดือน
วิธีคานวณบาเหน็จบานาญตามพระราชบญั ญตบิ าเหนจ็ บานาญข้าราชการ พ.ศ.2494
สตู ร บาเหนจ็ = เงนิ เดือนเดือนสุดทา้ ย x จานวนปีเวลาราชการ
หมายเหตุ : สูตร บานาญ = เงินเดือนเดือนสดุ ท้าย x จานวนปเี วลาราชการ
50
เศษของปี ถ้าถึงครง่ึ ปีให้นบั เป็นหนึง่ ปี
บานาญปกตใิ หจ้ ากัดจานวนอย่างสูงไมเ่ กนิ เงนิ เดอื นเดือนสดุ ท้าย
(ตามพระราชบัญญัตบิ าเหนจ็ บานาญขา้ ราชการ (ฉบบั ที่ 5) พ.ศ. 2502 มาตรา 9)
ตวั อย่าง
เวลาราชการปกติ 42 ปี
เวลาราชการทวีคณู 9 ปี 4 เดือน
รวมเป็นเวลาราชการสาหรับคานวณบาเหน็จบานาญ 51 ปี
เงนิ เดอื นเดอื นสุดทา้ ย 49,900.00 บาท
วธิ กี ารคานวณ
การคานวณบาเหนจ็ ปกติ = 49,900 x 51 = 2,544,900.00 บาท
การคานวณบานาญปกติ = 49,900 x 51 = 50,598.00 บาท
50
ใหไ้ ดร้ ับไมเ่ กินอตั ราเงนิ เดอื นเดอื นสดุ ท้าย คอื 49,900.00 บาท เท่านั้น
มาตรา 66 ตามพระราชบัญญัตกิ องทุนบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ พ.ศ.2539
การนับเวลาราชการเพือ่ ใหเ้ กดิ สิทธิรับบาเหน็จบานาญ ให้นบั จานวนปี
เศษของปีถา้ ถึงคร่งึ ปี ให้นับเปน็ หนึ่งปี
การนบั เวลาราชการเพอ่ื คานวณจานวนบาเหนจ็ บานาญ ให้นบั จานวนปี
รวมทั้งเศษของปีด้วย การนับเศษของปีซง่ึ เป็นเดือนหรือวันใหค้ านวณตามวิธกี าร
จา่ ยเงินเดือน และให้นับสบิ สองเดอื นเปน็ หน่งึ ปี สาหรับจานวนวนั ถา้ มีรวมกัน
หลายระยะใหน้ ับสามสบิ วันเป็นหนงึ่ เดอื น
8
วธิ คี านวณบาเหนจ็ บานาญตามพระราชบญั ญัติกองทนุ บาเหน็จบานาญขา้ ราชการ พ.ศ. 2539
สตู ร บาเหน็จ = เงินเดอื นเดอื นสดุ ทา้ ย x จานวนปีเวลาราชการ
สูตร บานาญ = เงินเดือนเฉล่ยี หกสิบเดอื นสดุ ทา้ ย x จานวนปีเวลาราชการ
50
หมายเหตุ บานาญปกตติ ้องไมเ่ กนิ ร้อยละเจ็ดสิบของอตั ราเงินเดอื นเฉล่ยี หกสบิ เดอื นสุดทา้ ย
ตวั อย่าง 42 ปี
เวลาราชการปกติ
9 ปี 4 เดอื น
เวลาราชการทวีคณู 51.34 ปี
รวมเป็นเวลาราชการสาหรบั คานวณบาเหน็จบานาญ
เงนิ เดอื นเดือนสดุ ทา้ ย 49,900.00 บาท
เงนิ เดอื นเฉลยี่ 60 เดือนสดุ ท้าย 42,993.33 บาท
วธิ กี ารคานวณ
การคานวณบาเหน็จปกติ = 49,900 x 51.34 = 2,561,866.00 บาท
การคานวณบานาญปกติ = 42,993.33 x 51.34 = 44,145.56 บาท
50
ให้ได้รับไม่เกนิ ร้อยละ 70 ของอัตราเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสดุ ท้าย
= 42,993.33 x 70% = 30,095.34 บาท
ตวั อยา่ งการนับเวลาราชการเพอ่ื ให้เกิดสทิ ธิ (ตามความหมายในมาตรา 66)
มีเวลาราชการสาหรบั คานวณบาเหนจ็ บานาญ 24 ปี 6 เดือน เกิดสิทธบิ านาญ มาตรา 48
มีเวลาราชการสาหรับคานวณบาเหน็จบานาญ 9 ปี 6 เดอื น เกิดสิทธริ ับบาเหน็จ มาตรา 47
ตัวอย่างการนับเวลาราชการเพื่อคานวณบาเหนจ็ บานาญ (ตามความหมายในมาตรา 66)
มเี วลาราชการสาหรับคานวณบาเหน็จบานาญ 24 ปี 6 เดอื น นบั เวลาเพอื่ คานวณได้ 24.50 ปี
มีเวลาราชการสาหรับคานวณบาเหนจ็ บานาญ 9 ปี 6 เดือน นบั เวลาเพ่อื คานวณได้ 9.50 ปี
หลักฐานการขอรับบาเหนจ็ บานาญ
เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอรับและการจ่ายบาเหน็จบานาญข้าราชการ
พ.ศ. 2527 (และทแี่ กไ้ ขเพ่ิมเตมิ ) สาหรบั หลกั ฐานทีส่ ว่ นราชการต้องสง่ ใหก้ รมบญั ชกี ลางเพอื่ ประกอบการ
พิจารณาส่ังจ่ายเบี้ยหวัด และบาเหน็จบานาญปกติ ให้เป็นไปตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด
ที่ กค 0420.9/ว 53 ลงวนั ท่ี 29 มถิ ุนายน 2552 ดงั นี้
1. กรณีขา้ ราชการ ให้ใช้สมดุ ประวัติ หรอื แฟูมประวัติ
9
2. หลักฐานการตรวจสอบและรับรองเวลาราชการของกรมการเงินกลาโหม
กระทรวงกลาโหม (แบบ 5304) หรือสานักงานตารวจแห่งชาติ (แบบ 5305) สาหรับผู้ซึ่งได้ขึ้นทะเบียน
ทหารกองประจาการ หรอื ตารวจกองประจาการ แล้วแตก่ รณี
3. หลักฐานการมีสทิ ธไิ ดน้ ับเวลาทวีคูณ (ยกเว้นกฎอัยการศกึ )
4. สาเนาคาส่ังให้พ้นจากราชการ หรือประกาศเกษียณอายุ แล้วแตก่ รณี
5. คาสั่งเล่ือนขั้นเงินเดือน หรือเล่ือนเงินเดือนเพ่ือประโยชน์ในการคานวณบาเหน็จ
บานาญ กรณเี กษียณอายุ
การพจิ ารณาสัง่ จ่าย เบีย้ หวัด บาเหน็จบานาญปกติ
* ข้ันตอนการตรวจแบบขอรับ เบ้ียหวดั บาเหน็จบานาญปกติ (แบบ 5300)
ส่วนท่ี 1 สาหรับสว่ นราชการเจา้ สังกัดหรือจงั หวดั
1. ผขู้ อเป็นสว่ นราชการใด (ส่วนกลาง / สว่ นภมู ิภาค)
2. ขอใหส้ ่งั จ่ายเงิน เบี้ยหวัด บาเหน็จ หรือ บานาญ
3. เรียน.....................................
อธบิ ดกี รมบญั ชีกลาง สาหรบั สว่ นกลาง
คลงั เขต/คลงั จงั หวดั สาหรับ ส่วนภมู ภิ าค
4. ใส่เครอ่ื งหมาย (/) ในช่องหน้าขอ้ ความโปรดพิจารณาส่งั จา่ ย เบ้ียหวดั หรือ บาเหนจ็ หรือบานาญ
แลว้ แต่กรณี ให้ตรงกบั ข้อ 2
5. ใส่เครอ่ื งหมาย (/) ในชอ่ งหน้าขอ้ ความ ตาม
พ.ร.บ. กองทุนบาเหนจ็ บานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 สาหรับสมาชิก กบข.
พ.ร.บ. บาเหนจ็ บานาญขา้ ราชการ พ.ศ. 2494
สาหรบั ขา้ ราชการ
ทไ่ี มไ่ ด้เป็นสมาชิก กบข
6. ส่วนราชการไดส้ ง่ สมดุ / แฟูมประวัติ และเอกสารทแ่ี นบมามจี านวนตรงกบั ทร่ี ะบุไว้
7. ผู้มอี านาจ หรือผ้ไู ด้รับมอบอานาจลงนามแลว้ โดยระบุชือ่ ตาแหน่ง ให้ชดั เจน
ส่วนท่ี 2 สาหรบั ผขู้ อ
1. ยศ หรอื คานาหน้านาม ช่อื นามสกลุ ตามสมดุ / แฟม้ ประวตั ิ
2. ระบุประเภทการขอรับเงนิ เปน็ เบ้ียหวัด หรือ บาเหนจ็ หรอื บานาญ แล้วแตก่ รณี
ใสเ่ คร่อื งหมาย (/) ในชอ่ งหน้าข้อความ ให้ตรงกับส่วนท่ี 1 ข้อ 2 และ ข้อ 4
3. วัน เดอื น ปี เกิด ตามสมุด / แฟม้ ประวัติ
4. วนั เดอื น ปี ทีเ่ รมิ่ นับเป็นเวลาราชการ ตามสมุด / แฟ้มประวตั ิ
5. วนั เดอื น ปี ท่ีออกจากราชการ ตามคาส่งั
6. เหตุท่อี อก ตามคาส่งั
7. ตาแหน่งสดุ ทา้ ยก่อนวันทพ่ี น้ จากราชการ / ตาแหนง่ ประจาการ (ทหาร) ตามสมุด / แฟ้มประวตั ิ
8. เริม่ จา่ ยต้ังแต.่ ...................................ตรงกับวันท่ีออกจากราชการ (ตามขอ้ 5)
ถงึ .............................วันสุดท้ายของการรบั เบ้ียหวัด (ทหาร)
(ดูรายละเอยี ดระยะเวลาการรับเบีย้ หวัด)
9. เหตแุ หง่ บาเหน็จหรอื บานาญ ใหต้ รงกบั เหตทุ ่รี ะบุในคาสัง่ โดยใส่เครอ่ื งหมาย /
ในชอ่ งหนา้ ขอ้ ความ เหตุทดแทน ทุพพลภาพ สูงอายุ/เกษยี ณอายุ
10
รบั ราชการนาน มาตรา 17 หรอื มาตรา 18 พ.ร.บ.กองทุนมาตรา 47 พ.ร.บ.กองทุนมาตรา 48
**ข้อสงั เกต : สาหรบั ผู้ทมี่ ีอายรุ าชการ 9 ปี 6 เดือน ซ่ึงต้องพ้นจากราชการท่ไี มใ่ ช่กรณี
- เหตุทดแทน
- เหตทุ ุพพลภาพ
- เหตุสงู อายุ/เกษียณอายุ
- เหตรุ ับราชการนาน
- พ.ร.บ.กองทนุ มาตรา 48”
ให้มสี ิทธิรบั เฉพาะ “บาเหน็จ” ด้วยเหตุ “มาตรา 17” หรอื “พ.ร.บ.กองทุนมาตรา 47” เทา่ น้ัน
ท้ังนี้ หากส่วนราชการไม่ได้ระบุเหตุในคาส่ัง เช่น ใช้ข้อความในคาสั่งว่า “อนุญาตให้ลาออกจาก
ราชการโดยไดร้ ับบาเหนจ็ บานาญตามกฎหมาย” เปน็ ต้น ให้พจิ ารณาส่งั จา่ ยและใชเ้ หตุตามกฎหมาย
บาเหน็จบานาญ ยกเว้น เหตุทดแทน หรือเหตุทุพพลภาพ ส่วนราชการต้องระบุเหตุในคาสั่งไว้ให้
ชัดเจนเพราะเหตุดงั กลา่ วกอ่ ใหเ้ กดิ สทิ ธิในบาเหน็จบานาญปกตแิ ตกต่างจากเหตอุ น่ื ๆ
10. สถานภาพผู้ขอ
10.1 เบย้ี หวดั
ใสเ่ ครอ่ื งหมาย (/) ในชอ่ งหนา้ ขอ้ ความ ชน้ั ประทวนและพลทหารประจาการ
ช้นั สญั ญาบตั ร ขา้ ราชการกลาโหมพลเรือน ตามสมุด / แฟ้มประวัติ
10.2 บานาญพเิ ศษ (พิจารณาส่ังจ่ายโดยสว่ นกลาง)
10.3 กรณขี อรบั เบยี้ หวัด (4)
ใส่เครอ่ื งหมาย (/) ในชอ่ งหนา้ ข้อความ รอ้ งขอ ไม่รอ้ งขอ ตามสมุด / แฟม้ ประวัติ
จบการศึกษา
ใส่เครือ่ งหมาย (/) ในชอ่ งหนา้ ข้อความ อ่ืนๆ จบ ร.ด. ปีท่ี 1 จบ ร.ด. ปที ี่2
จบ ร.ด. ปที 3่ี ขน้ึ ไป จบเตรียมอุดมศกึ ษา / ปวช. จบ ปกศ. สงู / ปวท.ขนึ้ ไป
ตามสมดุ / แฟม้ ประวตั ิ
วนั ขึน้ ทะเบยี นทหาร / วันล้วง ตามสมุด / แฟม้ ประวตั ิ
10.4 ลกั ษณะการปฏิบตั ิงาน
บานาญ
ใสเ่ ครือ่ งหมาย (/) ในชอ่ งหนา้ ข้อความ
ขา้ ราชการพลเรอื น ทหาร ตารวจ ขา้ ราชการการเมอื ง
(“ขา้ ราชการพลเรือน (ออกกอ่ น 28 ก.ย.39)” กฎหมายยกเลิกแล้ว แต่ยงั ไมไ่ ด้แกไ้ ขแบบ 5300)
11. ส่วนราชการที่สังกดั ครง้ั สดุ ท้าย คอื กรม กระทรวง จังหวดั ซึง่ ขา้ ราชการสังกัดอยู่ก่อนวนั ท่พี ้น
จากราชการ ตามสมุด / แฟ้มประวตั ิ
12. ลงชื่อ ลงนามโดยผ้ขู อรบั บาเหน็จบานาญ
กรณพี ิมพ์ลายน้ิวมือแทนการลงช่ือ ใหม้ ีพยาน จานวน 2 คน รบั รองวา่ เป็นลายพิมพน์ ้ิวมอื ของ
(ระบชุ ือ่ เจา้ ของลายนวิ้ มือนั้น) ........................................ จริง (ตาม ปพพ.มาตรา 9)
13. ทอี่ ยขู่ องผขู้ อ ระบุท่ีอย่ใู ห้ครบถว้ นชดั เจน
**กรมบญั ชกี ลางจะสง่ หนังสอื สั่งจา่ ยเงินตามท่อี ยทู่ ี่แจ้งไว้ หากตอ้ งการรับบริการสง่ ขอ้ ความ
จากกรมบญั ชีกลาง ให้แจง้ เบอร์โทรศพั ทม์ ือถอื หรือ e-mail address ไว้ในชอ่ งที่อยูด่ ้วย
11
14. ขอรบั เงินทาง ใหร้ ะบกุ รม หรือจังหวดั พร้อมหน่วยงานผู้เบิก
หนา้ ที่ 2 เวลาราชการ
1. เวลาปกติ คือ
เวลาตั้งแต่เริม่ ปฏบิ ัตริ าชการโดยได้รบั เงินเดือน จนถึงวนั สดุ ท้ายท่ไี ดร้ ับเงนิ เดอื น
เวลาปกติ หากมหี ลายตอน เนือ่ งจากออกจากราชการแล้วกลับเข้ารับราชการใหม่
หากมสี ทิ ธไิ ด้นับเวลาราชการตอ่ เนือ่ งกัน ใหก้ รอกรายการเปน็ ตอนๆ ไป
ตามสมุด / แฟ้มประวัติ
กรณีในสมุดประวัติ / แฟมู ประวัติ ระบวุ า่ ไปรบั ราชการทหาร ให้ตรวจจากแบบหนังสือ
รบั รองเวลาราชการตอนเปน็ ทหาร ซ่งึ รับรองโดย “กรมการเงินกลาโหม”
สาหรับทหาร ถอื เวลาตั้งแตว่ ันขน้ึ ทะเบียนกองประจาการ
(ตามรายละเอียดการนบั เวลาราชการทหาร)
2. เวลาทวคี ณู คอื
ทาหน้าทีท่ หารตามทก่ี ระทรวงกลาโหมกาหนด ตามหนงั สือรับรองของผ้มู ีอานาจ
ปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ในเขตประกาศกฎอัยการศึก ตามประกาศกฎอยั การศึก
ทวคี ณู อื่น
3. เวลาระหว่างรบั เบ้ียหวดั นบั 1 ใน 4 (กรณีเคยรบั เบย้ี หวดั มากอ่ นแลว้ กลบั เขา้ รับราชการ)
ตามสมดุ / แฟมู ประวัติ ประกอบกับหนังสือรบั รองเวลาราชการของ
กรมการเงนิ กลาโหม
สาหรบั ทหาร ตามสมุด / แฟูมประวัติ
4. การตดั เวลาราชการ
เวลาท่ไี มไ่ ด้รับเงนิ เดือน ตง้ั แต่วนั เดอื น ปีใน ถึงวนั เดือน ปีใด
ตามสมุด / แฟม้ ประวตั ิ
วันลาในระหว่างประกาศกฎอัยการศกึ เปน็ จานวนกีว่ นั
ตามสมุด / แฟม้ ประวัติ
5. เงินเดอื นเดอื นสุดทา้ ย
อัตราเงินเดอื นก่อนพน้ จากราชการ
ตามสมุด / แฟ้มประวตั ิ
อตั ราเงนิ เดือนท่ไี ดเ้ ลอ่ื นข้นั เพื่อประโยชนใ์ นการคานวณบาเหนจ็ บานาญ
ตามคาส่งั เล่ือนข้นั เพ่อื ประโยชน์ในการ
คานวณบาเหนจ็ บานาญ (ถา้ ม)ี
เงนิ เดือนเฉลี่ย 60 เดอื นสดุ ท้าย สาหรบั การสัง่ จ่ายบานาญใหส้ มาชกิ กบข.
ตามสมดุ / แฟ้มประวัติ
รวมกับเงินเพ่ิมอื่นๆ ซ่ึงได้รับในขณะนั้น (ถ้ามี) เช่น เงินเพ่ิม พ.ด.ร. /พ.ส.ร. /พ.น.บ. /พ.ด.ร./พ.ป.ผ/
พ.ล.ฐ./ พ.ป.อ./พ.ค.บ./ผปู้ ฏิบตั งิ านในห้องปรับบรรยากาศ ฯลฯ ตาม สมุด / แฟม้ ประวัติ
ขอ้ สังเกต : เงินเพมิ่ บางประเภทไม่ถือวา่ เป็นเงนิ เดอื นเดอื นสุดท้าย เช่น พ.น.ร. / ต.ป.ป. / ต.ส.ส. /
เงินผูบ้ งั คบั อากาศยาน (พบอ.) / เงนิ เพ่มิ สาหรบั ตารวจจราจร / เงนิ ประจาตาแหนง่ ตา่ งๆ ฯลฯ
12
ตวั อย่าง การบันทึกรายการเวลาราชการปกติ
เข้ารับราชการ 1 มกราคม 2517 ลาออกไปสมัครรับเลือกตั้ง 20 พฤษภาคม 2539
กลับเข้ารบั ราชการ 30 มีนาคม 2540 เกษยี ณอายรุ าชการ 1 ตลุ าคม 2556
เวลาปกติ (ตอนแรก) 1 มกราคม 2547 – 19 พฤษภาคม 2539
เวลาปกติ (ตอนหลัง) 30 มีนาคม 2540 – 30 กันยายน 2556
และให้ตรวจสอบว่าส่วนราชการผ้ขู อจะต้องบนั ทกึ การตัดเวลาเงินประเดมิ ข้อ 55 (ในระบบบาเหน็จบานาญ
(e-pension)) คอื เวลาปกติ 20 พฤษภาคม 2539 – 26 มนี าคม 2540 ด้วย (ตดั เฉพาะช่วงเวลาก่อนวันที่
27 มีนาคม 2540 เทา่ น้ัน)
* การตรวจสมุด / แฟม้ ประวตั ิ ขา้ ราชการ
กรณีสมุดประวัติข้าราชการ ใหต้ รวจดตู ้งั แต่หน้าแรกถึงหนา้ สดุ ท้ายโดยละเอยี ด
หน้าท่ี 1
1. ชอ่ื นามสกลุ
2. วนั เดือน ปี เกิด
3. วนั ท่เี ร่มิ เข้ารับราชการ
4. สังเกตด้านซ้ายมือของหน้าที่ 1 จะเป็นแผ่นรองปก บางส่วนราชการจะมีการบันทึกรายการ
เก่ยี วกบั การจดทะเบยี นสมรส/ทะเบยี นหยา่ วนั ท่ีนับเวลาทวคี ูณ กรณีประกาศกฎอยั การศกึ วนั ลาในระหวา่ งทวีคูณ
หนา้ ที่ 10
วนั เร่ิมนบั เวลาราชการจนถงึ วันพน้ จากราชการ
1. รายการต้ังแต่วันเร่ิมรับราชการ ให้ตรวจดูว่าตรงกับหน้าที่ 1 หรือไม่ ถ้าไม่ตรงกันให้ใช้วันท่ี
เรมิ่ เขา้ รบั ราชการท่ปี รากฏตามหนา้ ที่ 10 (กรณที ีเ่ ร่ิมนบั เวลาราชการได้ตั้งแตว่ นั เร่มิ เข้ารบั ราชการ)
2. ตาแหน่ง หน้าที่/หมายเหตุ ให้ตรวจดูว่ามีการบันทึกรายการเกี่ยวกับตาแหน่งว่าอย่างไรบ้าง
จะเริม่ นับเวลาราชการไดต้ ้ังแตเ่ มือ่ ไร
- จตั วา/ตรี/ว.ส.ช./วสิ ามัญชั่วคราวเพอ่ื ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ เร่มิ นบั เป็นเวลาราชการได้
- วิสามัญ / วิสามัญเทียบจัตวา ตรวจดูว่าได้รับการยกฐานะเป็น สามัญ/จัตวา ในปี 2518
หรือไม่ (ตามรายละเอยี ดการนบั เวลาราชการขา้ ราชการครู สปช.)
- วิสามญั ก่อนสอบ / จตั วาก่อนสอบ ไมน่ บั เปน็ เวลาราชการ
- เคยขอลาไปรบั ราชการทหาร ถ้าไม่มีหนงั สือรับรองเวลาราชการตอนเป็นทหาร ให้ตัดเวลา
ราชการตอนก่อนนน้ั ออกไปกอ่ น และใหเ้ รมิ่ นบั เวลาราชการตง้ั แต่วันที่กลับเข้ารับราชการ (เมื่อส่วนราชการ
มีหนังสอื ฯ ดงั กล่าวเมือ่ ใด จงึ สง่ เรื่องเพอ่ื ขอใหส้ ัง่ จ่ายบาเหน็จบานาญเพม่ิ เตมิ ในภายหลงั )
- ลาตดิ ตามคสู่ มรสโดยไม่ไดร้ ับเงินเดือน/ลาไปศึกษาโดยไม่ไดร้ บั เงนิ เดือน ให้นาเวลาดงั กล่าว
หกั ออกจากเวลาราชการปกติ
- สาหรบั สมาชิก กบข.
กรณีท่ีไม่นับเวลาราชการในตอนใด (ก่อนวันที่ 27 มีนาคม 2540) ให้ส่วนราชการผู้ขอ
บนั ทึกรายการตัดเวลาเงินประเดมิ (ข้อ 55) ไวด้ ้วยว่าต้งั แตว่ นั ที่เท่าใด ถงึ วนั ที่เท่าใด
- ลาไปศกึ ษาโดยได้รับเงนิ เดอื น ใหต้ รวจดวู า่ วนั เดอื น ปใี ด ถงึ วัน เดือน ปีใด ถ้ามีวันใดอยู่ใน
ระหว่างประกาศกฎอัยการศกึ ใหน้ ามาหักออกจากเวลาทวีคูณ
13
- เคยลาออกจากราชการด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ถ้ากลับเข้ารับราชการก่อนวันท่ี 27 มีนาคม 2540
ไมใ่ ห้นบั เวลาราชการในตอนแรก ยกเวน้ มหี ลกั ฐานซึ่งกระทรวงการคลังให้นับเวลาราชการติดต่อกันจึงจะนับเวลา
ราชการติดต่อกัน (ตามมาตรา 30 วรรค 3 (จ) แห่งพระราชบัญญัติบาเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ. 2494)
โดยนบั เวลาราชการปกตเิ ป็นตอนๆ ไป
- ถ้ากลับเข้ารับราชการหลังวันที่พระราชบัญญัติกองทุนบาเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539
มผี ลบงั คับใช้แลว้ คือ ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2540 เป็นต้นไป ให้นับเวลาราชการติดต่อกัน โดยนับเวลา
ราชการปกติเป็นตอนๆ ไป โดยให้ตรวจดูว่ามีการบันทึกการคืนบาเหน็จพร้อมดอกเบี้ยในสมุดประวัติ หรือ
มหี ลักฐานการคืนเงนิ ดังกลา่ วแนบมากบั เรื่องขอรบั หรือไม่ ยกเว้น กรณีเคยรับบาเหน็จไปแล้ว และไม่ได้คืน
บาเหน็จตามหลักเกณฑ์และวธิ กี ารทีก่ ระทรวงการคลังกาหนด ให้นบั เฉพาะเวลาราชการในตอนหลงั
- กรณีสมาชิก กบข. ท่ีเคยรับบานาญ และกลับเข้ารับราชการหลังวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551
และได้คืนเงินประเดิม ชดเชย และผลประโยชน์ตอบแทนเงินดังกล่าวท่ีได้รับจาก กบข. แล้ว ให้นับเวลา
ราชการต่อเน่ืองได้ หากไม่มีการคืนเงินดังกล่าวแก่ กบข. ให้คานวณจากเงินเดือน และเวลาราชการใน
ตอนหลังเท่าน้ัน (ตามพระราชบัญญัติกองทุนบาเหน็จบานาญข้าราชการ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2551) โดยให้
ขอหลกั ฐานการคนื เงินจากสว่ นราชการและตรวจสอบกบั กบข. ดว้ ย
- กรณีไมไ่ ด้นบั เวลาราชการตอ่ เน่ือง สาหรับผูซ้ ่งึ กลับเขา้ รบั ราชการหลงั วันท่ี 26 มนี าคม 2540
กฎกระทรวง ฉบับท่ี 3 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนบาเหน็จบานาญข้าราชการ
พ.ศ. 2539 กาหนดให้ “ข้อ 1 การคานวณบานาญของผู้กลับเข้ารับราชการใหม่ตามมาตรา 38 หาก
เวลาราชการซ่ึงกลับเข้ารับราชการใหม่ยังไม่ครบห้าปี ให้นับอั ตราเงินเดือนของทุกเดือนในระหว่าง
กลับเขา้ รบั ราชการใหม่รวมกับอตั ราเงินเดอื นทผ่ี นู้ ้นั ได้รบั ตามกฎหมายว่าดว้ ยระเบยี บขา้ ราชการประเภทนั้น ๆ
กอ่ นออกจากราชการยอ้ นหลงั ไปทกุ เดอื นจนครบหกสบิ เดอื น เปน็ อัตราเงินเดอื นเฉลีย่ หกสิบเดือนสดุ ทา้ ย
กรณีทไ่ี มอ่ าจนบั อัตราเงินเดือนตามวรรคหน่งึ ให้ครบหกสิบเดือนได้ ให้นาอัตราเงินเดือน
ที่ได้รับในเดอื นแรกท่ีเรม่ิ เข้ารับราชการครงั้ แรกเปน็ อัตราเงินเดือนเพือ่ นามารวมให้ครบหกสบิ เดือน...”
- ตรวจคาส่ังว่าอนุญาตให้ลาออก/ ให้ออก/ปลดออก วัน เดือน ปีใด ให้นับเวลาราชการ
ถงึ วันกอ่ นวนั เดอื น ปที ี่ระบุในคาสั่ง หรือวนั สุดทา้ ยที่ได้รับเงินเดอื น
- กรณีเกษียณอายุ ให้นับเวลาราชการถึงวันที่ 30 กันยายนของปีท่ีมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์
โดยต้องตรวจดรู ายชอื่ ตามประกาศเกษียณอายดุ ว้ ย
หน้า 40
ความผดิ ในราชการ
- เคยถูกส่งั พกั ราชการ และให้กลับเข้ารับราชการ โดยมีการจ่ายเงินเดือนในระหว่างพักราชการ
อย่างไร ให้ดปู ระกอบกบั คาส่งั ให้กลบั เข้ารับราชการ (กรณสี มดุ ประวัตลิ งรายการไมค่ รบถว้ น ให้สว่ นราชการ
รับรองการจา่ ยเงนิ เดอื นในระหวา่ งน้นั )
หน้า 66
การหยดุ ราชการ
- ลาปุวยเกนิ 60 วันทาการ ให้หักสว่ นทีเ่ กนิ 60 วนั ทาการ ออกจากเวลาราชการปกติ
ยกเว้นมีหลักฐานการอนุญาตของผมู้ อี านาจอนุมัตใิ หจ้ า่ ยเงนิ เดือนในสว่ นที่ลาเกิน 60 วนั ทาการ
- ขาดราชการ ใหห้ ักวันที่ขาดราชการออกจากเวลาราชการปกติ
14
- ลาเกินสิทธิท่ีจะได้รับเงินเดือน/ขาดราชการ/ลาติดตามคู่สมรส ให้หักออกจากเวลา
ราชการปกติ
- วันลาทกุ ประเภทในระหว่างประกาศกฎอัยการศกึ ให้หกั ออกจากเวลาทวีคูณ
กรณแี ฟ้มประวัติ / ก.พ.7
ให้ตรวจรายการต่างๆ โดยละเอียด เหมอื นการตรวจสมุดประวัติข้าราชการ แต่บัตร ก.พ.7 มีให้ตรวจเพียง
2 ด้าน เท่านั้น คือ ด้านหน้า และด้านหลัง บางรายการจึงไม่สามารถตรวจสอบได้จากบัตร ก.พ. 7 เช่น
การหยุดราชการ (รายการวันลาทุกประเภท) เป็นต้น จึงต้องตรวจรายการดังกล่าวจากหลักฐานอ่ืนเพ่ือ
ประกอบการพิจารณา กรณมี แี ฟูมประวัติจะตรวจรายการหยดุ ราชการจากปกแฟูมดา้ นในประกอบกันดว้ ยก็ได้
ดา้ นหนา้
1. ชื่อ นามสกุล
2. วนั เดือน ปีเกดิ
3. วันท่ีเริม่ เข้ารับราชการ
ในบัตร ก.พ.7 ให้มีลายมือชื่อเจ้าของประวัติและหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้ท่ีหัวหน้าส่วนราชการ
มอบหมายดว้ ย
ด้านหลัง
รายการตงั้ แตว่ ันทเ่ี รมิ่ รับราชการ ให้ตรวจดูวา่ ตรงกนั กบั ดา้ นหน้าหรือไม่ ถ้าไมต่ รงกนั ใหถ้ อื ดา้ นหลัง
เปน็ วนั ที่เริ่มรบั ราชการ
ข้าราชการหรือลูกจ้างประจาซ่ึงมีกรณีหรือต้องหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือมีกรณี
ถูกฟูองคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทาความผิดอาญาโดยกรณีหรือคดีอาญายังไม่ถึงท่ีสุด ให้ตรวจสอบว่า
ส่วนราชการผู้ขอบันทึกข้อมูลในระบบบาเหน็จบานาญ (e-pension) หมวด “บันทึกสัญญาค้าประกัน”
ครบถ้วนด้วยหรอื ไม่ หากสว่ นราชการผขู้ อไมบ่ ันทกึ ข้อมูล แต่กรมบัญชีกลาง สานักงานคลังเขต หรือสานักงาน
คลงั จงั หวัด ไดต้ รวจสอบ หรือไดร้ ับแจ้ง หรอื ได้รบั ทราบวา่ บคุ คลดังกล่าวเป็นผู้อยู่ระหว่างสอบสวนทางวินัย หรือ
ต้องหาว่ากระทาความผิดอาญา ให้กรมบัญชีกลาง สานักงานคลังเขต หรือสานักงานคลังจังหวัด บันทึก
ในหมวด “หมายเหตใุ บแนบ” เพ่อื แจง้ ให้สว่ นราชการผูเ้ บิกดาเนนิ การตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนท่ีสุด
ที่ กค 0406.5/ว 122 ลงวนั ท่ี 26 พฤศจกิ ายน 2552 และบันทึกขอ้ มลู ในหมวด “บันทกึ สัญญาค้าประกัน”
ใหค้ รบถว้ นก่อนทาคาขอเบกิ ต่อไปดว้ ย
ไม่ให้ส่ังจ่ายบาเหน็จดารงชีพ กรณีข้าราชการซ่ึงมีกรณีหรือต้องหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
หรอื มีกรณีถกู ฟอ้ งคดอี าญาหรอื ตอ้ งหาวา่ กระทาความผิดอาญาโดยกรณหี รอื คดอี าญายงั ไม่ถงึ ที่สุด
การกาหนดเกี่ยวกับอายคุ วาม
ใหม้ ีอายุความสามปี สาหรบั สิทธิในการขอรับบาเหนจ็ บานาญปกติ
(มาตรา 10 แหง่ พระราชบญั ญัตบิ าเหน็จบานาญขา้ ราชการ พ.ศ. 2494)
** หากมีกรณีเกี่ยวกับอายุความสาหรับสิทธิในการขอรับบาเหน็จบานาญปกติ ให้ส่วนราชการทาหนังสือ
ช้ีแจงเหตผุ ลความจาเป็นทีไ่ ม่สามารถยนื่ เร่ืองเพ่ือขอรับบาเหน็จบานาญปกติภายในกาหนดเวลาตามอายุความ ส่งไปยัง
กรมบัญชีกลาง กรณีเป็นส่วนภูมิภาคให้ส่งไปยังสานักงานคลังเขต/สานักงานคลังจังหวัด รวบรวมส่งกรมบัญชีกลาง
เพื่อพิจารณาต่อไป
15
ใหม้ อี ายคุ วามห้าปี สาหรบั สิทธิเรียกร้องเงินค้างจ่าย คอื เงินเดอื น เงนิ ปี เงนิ บานาญ
คา่ อุปการะเลย้ี งดู และเงนิ อนื่ ๆ ในลกั ษณะทานองเดยี วกับทมี่ ี
การกาหนดจ่ายเปน็ ระยะเวลา
(มาตรา 193/33 แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 2)
การขอให้สั่งจ่ายบาเหน็จบานาญเพมิ่ เน่อื งจากมีเวลาราชการหรอื เงนิ เดือน/คา่ จ้างเพมิ่ ข้ึน
ใหใ้ ชแ้ บบ 5316
บทสรุป
บาเหนจ็ บานาญขา้ ราชการ
ลกั ษณะการจ่ายเงนิ แต่ละประเภท
1. บาเหน็จปกติ (เงนิ กอ้ น)
2. บานาญปกติ (รายเดือน)
3. บาเหน็จดารงชพี (รายเดือน)
4. บานาญพิเศษ (รายเดอื น)
5. บาเหนจ็ ตกทอด (เงินก้อน)
เหตแุ หง่ บาเหน็จบานาญปกติ
1. เหตุทดแทน ทางราชการส่งั ให้ออกโดยไม่มีความผิด ตามระเบียบขา้ ราชการประเภทนั้น ๆ
2. เหตุทพุ พลภาพ ทางราชการส่งั ใหอ้ อกหรือลาออกโดยมีใบรบั รองแพทย์ประกอบ
3. เหตสุ งู อายุ ลาออกเม่อื มอี ายุตัวครบ 50 ปบี ริบูรณ์ หรอื
ทางราชการสง่ั ให้ออกเมอ่ื มีอายุ 60 ปี 65 ปี หรอื 70 ปี กรณีเกษียณอายุ
มีสิทธิไดร้ ับบาเหน็จ กรณีมีเวลาราชการตง้ั แต่ 1 ปี แต่ไมถ่ งึ 9 ปี 6 เดอื น
มสี ทิ ธิได้รับบาเหน็จหรือบานาญ กรณมี เี วลาราชการตง้ั แต่ 9 ปี 6 เดอื น
4. เหตุรบั ราชการนาน หรือเหตุตามมาตรา 48 (สมาชกิ กบข.)
มีสทิ ธไิ ด้รับบาเหน็จหรอื บานาญ กรณีลาออกจากราชการ มีเวลาราชการ 24 ปี 6 เดือน
**ผมู้ สี ิทธิรับบานาญจะแสดงเจตนาขอเปลยี่ นเปน็ บาเหนจ็ แทนก็ได้**
5. กรณีไม่เข้า 4 เหตุดังกล่าวข้างต้น และมีเวลาราชการ 9 ปี 6 เดือน แต่ไม่ถึง 24 ปี 6 เดือน
ให้ไดร้ บั บาเหน็จ ตามมาตรา17 หรือ พรบ.กองทุนมาตรา 47 (สมาชกิ กบข.)
16
การคานวณบาเหน็จบานาญ ตามพระราชบัญญตั ิบาเหนจ็ บานาญขา้ ราชการ พ.ศ. 2494
บาเหนจ็ ปกติ = เงินเดอื นเดอื นสุดท้าย x เวลาราชการ
บานาญปกติ = เงนิ เดือนเดือนสุดท้าย x เวลาราชการ (บานาญตอ้ งไมเ่ กินเงินเดอื นเดือนสดุ ทา้ ย)
50
การคานวณบาเหนจ็ บานาญ ตามพระราชบญั ญตั ิกองทุนบาเหนจ็ บานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539
บาเหนจ็ ปกติ = เงนิ เดอื นเดือนสุดท้าย x เวลาราชการ
บานาญปกติ = เงนิ เดอื นเฉลีย่ 60 เดือนสุดท้าย x เวลาราชการ
50
(ไม่เกนิ 70% ของเงินเดือนเฉลีย่ 60 เดอื นสุดท้าย)
บทสรปุ
ผรู้ บั บานาญกลับเขา้ รบั ราชการ
กรณีท่ี 1 ลาออกจากราชการโดยไมม่ สี ิทธไิ ดร้ ับบาเหนจ็ บานาญ
กรณีที่ 2 หากกลับเขา้ รับราชการ กอ่ นวันที่ 27 มนี าคม 2540 ไมม่ สี ิทธนิ บั เวลาราชการติดต่อกัน
กรณที ี่ 3
ลาออกจากราชการโดยมีสทิ ธไิ ดร้ ับหรือได้รบั บาเหนจ็
กรณที ี่ 4 หากกลบั เขา้ รบั ราชการ ก่อนวนั ที่ 27 มนี าคม 2540 ไม่มสี ทิ ธนิ บั เวลาราชการติดตอ่ กัน
กรณที ่ี 5
ลาออกจากราชการโดยมีสิทธไิ ดร้ ับหรือไดร้ บั บานาญ
กรณที ี่ 6 หากกลับเขา้ รบั ราชการ กอ่ นวันที่ 27 มีนาคม 2540 บอกเลิกรบั บานาญ (ไมต่ ้องคนื เงนิ
บานาญท่ีได้รับไปแล้ว) และมีหนังสือกระทรวงการคลังพิจารณาให้นับเวลาราชการ
ตดิ ต่อกัน จงึ จะมสี ทิ ธิได้นับเวลาราชการตดิ ตอ่ กนั
ลาออกจากราชการโดยไมม่ สี ทิ ธไิ ด้รับบาเหนจ็ บานาญ
หากกลบั เขา้ รบั ราชการ หลงั วันที่ 26 มีนาคม 2540 มสี ิทธินบั เวลาราชการตดิ ตอ่ กัน
ลาออกจากราชการโดยมีสิทธไิ ด้รบั หรือไดร้ บั บาเหน็จ
หากกลับเข้ารับราชการ หลังวันท่ี 26 มีนาคม 2540 มีสิทธินับเวลาราชการติดต่อกัน
หากได้รับเงินบาเหน็จไปแล้ว ให้นาบาเหน็จมาคืนพร้อมดอกเบี้ย ถ้าไม่คืนเงินดังกล่าว
ไมม่ ีสิทธนิ ับเวลาตดิ ต่อกัน
ลาออกจากราชการโดยมสี ิทธไิ ดร้ บั หรอื ไดร้ ับบานาญ
หากกลับเข้ารบั ราชการ หลงั วนั ท่ี 26 มนี าคม 2540 งดรบั บานาญ
(แต่ไม่ตอ้ งคนื เงนิ บานาญทีไ่ ด้รับไปแลว้ ) มีสิทธินับเวลาราชการติดต่อกัน
17
กรณที ี่ 7 ลาออกจากราชการโดยมีสทิ ธไิ ด้รับหรอื ได้รบั บานาญ
หากกลับเขา้ รบั ราชการ หลงั วันท่ี 13 กมุ ภาพนั ธ์ 2551 งดรบั บานาญ
(แต่ไม่ตอ้ งคืนเงินบานาญทีไ่ ดร้ ับไปแล้ว)
กรณีคืนเงนิ ประเดิม เงนิ ชดเชยและผลประโยชน์ตอบแทนเงินดังกล่าวแก่ กบข.
(ไม่ต้องคืนเงนิ สะสม และเงนิ สมทบ) มีสิทธนิ ับเวลาราชการติดต่อกัน
กรณไี มค่ นื เงินประเดมิ เงนิ ชดเชยและผลประโยชนต์ อบแทนเงินดังกลา่ วแก่ กบข.
ไม่มสี ิทธินับเวลาราชการตดิ ตอ่ กนั
ผูท้ ี่ออกจากราชการโดยมี กลับเข้ารบั เง่ือนไขเพ่มิ เตมิ สทิ ธกิ ารนบั เวลา
ราชการติดต่อกนั
สิทธิไดร้ บั หรือไดร้ บั ราชการ
ไมม่ ีสิทธิไดร้ ับ กอ่ น - ไม่มีสทิ ธนิ ับเวลาราชการ
บาเหน็จบานาญ 27 ม.ี ค.2540 ตดิ ตอ่ กนั
บาเหนจ็ ก่อน - ไมม่ ีสทิ ธนิ ับเวลาราชการ
บานาญ 27 มี.ค.2540 ติดต่อกนั
บานาญ 1.งดบานาญ และ
กอ่ น 2.มีหนังสือกระทรวงการคลังใหน้ บั เวลา มีสิทธินบั เวลาราชการ
27 มี.ค.2540 ติดต่อกัน
ราชการตดิ ต่อกัน
กอ่ น 1.งดบานาญ ไมม่ ีสทิ ธินบั เวลาราชการ
27 มี.ค.2540 2.ไม่มหี นงั สือกระทรวงการคลังให้นบั เวลา ตดิ ต่อกัน
ราชการติดตอ่ กนั
ไมม่ สี ิทธิได้รบั หลัง - มีสิทธินับเวลาราชการ
บาเหน็จบานาญ 26 มี.ค.2540 ติดต่อกนั
บาเหนจ็ หลัง หากรับบาเหน็จแล้ว และคนื บาเหนจ็ พร้อมดอกเบี้ย มีสทิ ธินบั เวลาราชการ
26 มี.ค.2540 ตดิ ตอ่ กัน
บาเหนจ็ หลงั หากรับบาเหน็จแล้ว แตไ่ มค่ ืนบาเหน็จพร้อมดอกเบ้ยี ไมม่ ีสทิ ธนิ บั เวลาราชการ
26 มี.ค.2540 ติดต่อกัน
บานาญ หลัง งดรับบานาญ (ไมต่ ้องคนื บานาญท่ีรับไปแล้ว) มีสิทธินับเวลาราชการ
26 ม.ี ค.2540 ติดตอ่ กัน
บานาญ หลัง 1.งดรบั บานาญ (ไม่ต้องคนื บานาญท่รี ับไปแล้ว) และ มสี ทิ ธินับเวลาราชการ
13 ก.พ. 2551 2.คนื เงินประเดมิ ชดเชยและผลประโยชน์ตอบแทน ตดิ ตอ่ กนั
เงนิ ดังกล่าวแก่ กบข.
หลัง 1.งดรบั บานาญ (ไมต่ ้องคืนบานาญทร่ี ับไปแลว้ ) ไมม่ ีสทิ ธนิ ับเวลาราชการ
บานาญ 13 ก.พ.2551 2.ไม่คืนเงนิ ประเดมิ ชดเชยและผลประโยชน์ตอบแทน ติดตอ่ กนั
เงนิ ดังกล่าวแก่ กบข.
18
เบี้ยหวัด
ความหมาย
เบี้ยหวัด หมายถึง เงินตอบแทนความชอบที่รับราชการมา ซ่ึงจ่ายเป็นรายเดือนให้แก่
นายทหาร ชั้นสัญญาบัตร และนายทหารประทวนท่ีออกจากราชการและยังอยู่ในกองหนุนโดยจ่ายถึง
วันครบกาหนดรับเบ้ียหวัดตามข้อบังคบั กระทรวงกลาโหมวา่ ด้วยเงินเบี้ยหวดั พ.ศ.2495
กฎหมายและระเบียบทเ่ี กีย่ วขอ้ ง
1. พระราชบญั ญัติบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ พ.ศ.2494 และที่แก้ไขเพมิ่ เติม
2. พระราชบัญญตั ิกองทนุ บาเหนจ็ บานาญข้าราชการ พ.ศ.2539
3. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอรับและการจ่ายบาเหน็จบานาญข้าราชการ
พ.ศ.2527 และท่ีแกไ้ ขเพ่มิ เติม
4. พระราชบัญญตั ิรบั ราชการทหาร พ.ศ. 2497
5. ข้อบังคบั กระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบี้ยหวัด พ.ศ.2495
6. ข้อบงั คับทหารว่าด้วยการแบ่งประเภททหารสญั ญาบัตรที่ 10/162543862
ผูม้ สี ิทธิไดร้ บั เบ้ยี หวดั
1. นายทหารสัญญาบัตร ซ่ึงมีเวลาราชการไม่น้อยกว่า 1 ปี แล้วออกจากราชการ เป็น
นายทหารกองหนุน
2. นายทหารชั้นสญั ญาบตั รนอกประจาการ (นายทหารกองหนุน นายทหารนอกประจาการ
หรอื นายทหารพ้นราชการ) ที่ไม่ได้รบั เบ้ยี หวดั บาเหนจ็ บานาญ ภายหลงั ทางราชการสงั่ ใหก้ ลับเข้ารบั ราชการใหม่
เป็นเวลาไมน่ ้อยกวา่ 1 ปี แลว้ ออกจากราชการเปน็ นายทหารกองหนุน
3. นายทหารประทวนและพลทหาร ซึ่งรับราชการในกองประจาการตามกฎหมายว่าด้วย
การรับราชการทหารแล้ว เม่ือเข้ารับราชการประจาต่อไปไม่น้อยกว่า 1 ปีแล้วออกจากราชการ และเม่ือ
ออกจากราชการนัน้ ยังไมพ่ ้นกองหนนุ ช้นั ท่ี 2 ตามกฎหมายว่าด้วยการรบั ราชการทหาร
4. นายทหารประทวนและพลทหารกองหนุนที่ไม่ได้รับเบี้ยหวัด บาเหน็จหรือบานาญ
ภายหลังทางราชการสั่งให้กลับเข้ารับราชการประจาการใหม่เป็นเวลาน้อยกว่า 1 ปี แล้วออกจากราชการ
เมือ่ ออกจากราชการนน้ั ยังไมพ่ น้ กองหนุนชัน้ ท่ี 2 ตามกฎหมายวา่ ด้วยการรับราชการทหาร
ผไู้ ม่มสี ิทธิได้รบั เบ้ยี หวัด
1. ออกจากราชการไดร้ บั บาเหน็จบานาญตามกฎหมายว่าด้วยบาเหนจ็ บานาญขา้ ราชการ
2. นายทหารประทวนและพลทหารซงึ่ รบั ราชการในกองประจาการครบกาหนดตามกฎหมาย
ว่าดว้ ยการรับราชการทหารแล้ว ต้องรับราชการต่อไปเพราะเล่ือนกาหนดเวลาปลด หรือนายทหารประทวน
และพลทหารกองหนุนซึ่งเข้ารับการระดมพลเข้าฝึกวิชาทหาร หรือเข้ารับการทดลองความพร่ังพร้อม
ตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร
3. ออกจากราชการ เพราะมคี วามผดิ อย่างใดอย่างหนงึ่ ดังตอ่ ไปน้ี
ก. ทุจริตตอ่ หนา้ ทร่ี าชการ
19
ข. กระทาความผดิ ต้องรับโทษจาคุก หรือโทษที่หนักกว่าจาคุกโดยคาพิพากษาถึงท่ีสุด
ให้จาคุก หรือให้รับโทษที่หนักกว่าจาคุก เว้นแต่ความผิดอันต้องระวางโทษ ไม่เกินลหุโทษ หรือความผิด
อันได้กระทาโดยประมาทที่ไม่เสียหายแก่ราชการเกยี่ วกับหนา้ ที่ของตน
ค. ตอ้ งคาพพิ ากษาถึงทส่ี ดุ ใหเ้ ปน็ คนลม้ ละลาย เพราะทาหน้ีสินข้ึนด้วยความทุจริต
หรือต้องคาพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่ง อันแสดงว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติศักด์ิแห่งตาแหน่งหน้าท่ี
อย่างรา้ ยแรง
ง. ขัดคาสัง่ ผู้บงั คับบัญชา ซ่ึงส่ังโดยชอบด้วยกฎหมายและการขัดคาส่ังนั้นเป็นเหตุ
ให้เสยี หายแก่ราชการอย่างรา้ ยแรง
จ. เปดิ เผยความลบั ของทางราชการ เปน็ เหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
ฉ. ประมาทเลนิ เลอ่ ในหนา้ ทรี่ าชการ เปน็ เหตใุ ห้เสยี หายแก่ราชการอย่างรา้ ยแรง
ช. ต้องหาในคดีอาญา แลว้ หลบหนไี ป
ซ. หนีราชการทหารในเวลาประจาการ
ฌ. ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
การออกจากราชการเพราะมีความผิดซ่ึงไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดตาม ข. และ ค. ให้ไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยหวัด
ตั้งแต่วันมีคาพิพากษาถึงที่สุด แต่ถ้าเป็นผู้ถูกส่ังพักราชการอยู่ก่อนแล้ว ให้ไม่มีสิทธิได้รับเบ้ี ยหวัดตั้งแต่
วนั สั่งพักราชการ
การงดรับเบย้ี หวดั
1. นายทหารช้ันสญั ญาบตั ร กองหนนุ มเี บย้ี หวดั ซึง่ ย้ายหรอื ปลดจากประเภทน้ี
2. นายทหารประทวนและพลทหารมีเบี้ยหวัด ซึ่งปลดจากกองหนุนชั้นที่ 2 ตามกฎหมาย
ว่าด้วยการรบั ราชการทหาร
3. เข้ารบั ราชการในตาแหน่งซ่งึ มสี ทิ ธิจะไดร้ บั บาเหนจ็ บานาญตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จ
บานาญขา้ ราชการ
4. กระทาความผิดอย่างใดอยา่ งหนึ่ง ดังนี้
4.1 ทจุ รติ ต่อหน้าทร่ี าชการ
4.2 กระทาความผิดต้องรับโทษจาคุกหรือโทษท่ีหนักกว่าจาคุกโดยคาพิพากษา
ถึงที่สุดใหจ้ าคกุ หรอื ให้รบั โทษทหี่ นกั กว่าจาคกุ เวน้ แต่ความผิดอันต้องระวางโทษไม่เกินลหุโทษ หรือความผิด
อนั ไดก้ ระทาโดยประมาทท่ไี มเ่ สียหายแก่ราชการเกีย่ วกับหนา้ ทข่ี องตน
4.3 ต้องคาพพิ ากษาถึงทสี่ ุดให้เปน็ คนลม้ ละลายเพราะทาหนี้สนิ ข้ึนดว้ ยความทจุ ริต
หรือตอ้ งคาพิพากษาถึงท่สี ุดในคดแี พง่ อันแสดงว่าเป็นการเสื่อมเสียเกยี รตศิ กั ดิแ์ หง่ ตาแหน่งหน้าทอ่ี ย่างร้ายแรง
4.4 ขัดคาสั่งผู้บงั คับบัญชาซึง่ ส่งั โดยชอบดว้ ยกฎหมายและการขัดคาสงั่ น้ันเป็นเหตุ
ให้เสียหายแก่ราชการอยา่ งร้ายแรง
4.5 เปดิ เผยความลบั ของทางราชการเป็นเหตใุ ห้เสยี หายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
4.6 ประมาทเลนิ เล่อในหน้าทรี่ าชการเปน็ เหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างรา้ ยแรง
4.7 ตอ้ งหาในคดีอาญา แล้วหลบหนไี ป
4.8 หนรี าชการทหารในเวลาประจาการ
4.9 ประพฤติชวั่ อย่างร้ายแรง
5. หลีกเลี่ยงหรือบิดพลิ้วต่อราชการจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถเรียกตัวในคราวมีราชการ
จาเป็นทตี่ ้องการใชต้ ัวได้
20
6. เจบ็ ไข้หรอื พกิ ารซึ่งนายแพทยข์ องทหาร 2 นาย มคี วามเห็นว่าไม่สามารถจะทาการตาม
หน้าท่ตี อ่ ไปได้
***การงดรบั เบ้ยี หวดั เฉพาะผู้ที่กระทาความผิด ต้องรับโทษจาคุก หรือโทษท่ีหนักกว่าจาคุกโดยคาพิพากษา
ถึงทีส่ ดุ ให้จาคกุ หรือใหร้ ับโทษทหี่ นกั กว่าจาคกุ เวน้ แตค่ วามผดิ อนั ต้องระวางโทษไมเ่ กนิ ลหุโทษ หรือความผิด
อันได้กระทาโดยประมาทที่ไม่เสียหายแก่ทางราชการ เกี่ยวกับหน้าที่ของตน หรือต้องคาพิพากษาถึงที่สุด
ให้เป็นคนล้มละลายเพราะทาหน้ีสินขึ้นด้วยความทุจริต หรือต้องคาพิพากษาถึงท่ีสุดในคดีแพ่งอันแสดงว่า
เปน็ การเส่ือมเสยี เกียรตศิ ักดแิ์ หง่ ตาแหน่งหน้าท่ีอย่างรา้ ยแรง ใหง้ ดต้ังแตว่ นั พิพากษาถงึ ทีส่ ุด
สาหรบั ทหารซ่ึงรับเบี้ยหวัดอยู่ ภายหลังกลับเข้ารับราชการใหม่ ให้ส่วนราชการที่กลับ
เข้ารับราชการใหม่ แจง้ ใหส้ ่วนราชการผ้เู บกิ งดจา่ ยเบีย้ หวัดภายใน 7 วนั นบั แตว่ นั เขา้ รับราชการใหม่
การนับเวลาราชการสาหรับคานวณเบีย้ หวัดบาเหน็จบานาญของทหาร
ตามข้อบงั คบั กระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบ้ียหวัด พ.ศ.2495 ข้อ 9 กาหนดการนับเวลา
ราชการ สาหรับคานวณเบี้ยหวัดให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ.2494
มาตรา 23 ซ่ึงให้นับเวลาราชการเพื่อคานวณบาเหน็จบานาญต้ังแต่วันเริ่มเข้ารับราชการรับเงินเดือนจาก
เงนิ งบประมาณหมวดเงนิ เดือน ซงึ่ มิใช่อัตราข้าราชการวสิ ามญั หรอื ลกู จา้ ง ไม่กอ่ นอายุ 18 ปบี ริบูรณ์ ในกรณี
รับราชการกอ่ นอายุ 18 ปี ให้นับเวลาราชการต้ังแต่วันที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ เป็นต้นไป สาหรับผู้ซ่ึง
ได้ข้ึนทะเบียนทหารกองประจาการให้มสี ทิ ธินับเวลาราชการตงั้ แต่วันท่ีขน้ึ ทะเบียนกองประจาการตามกฎหมาย
วา่ ดว้ ยการรบั ราชการทหาร พ.ศ.2497
1. กรณเี ริ่มเป็นทหารกองประจาการ (ทหารเกณฑ์)
1.1 กรณีเรมิ่ เขา้ รับราชการเปน็ วันเดยี วกับวนั ข้นึ ทะเบียน ให้นับเวลาราชการตัง้ แต่
วนั ขึน้ ทะเบียนกองประจาการ จนถึงวันสุดทา้ ยกอ่ นออกจากราชการ
1.2 กรณขี ึ้นทะเบยี นก่อนแล้วเข้ารบั ราชการภายหลงั ให้นบั เวลาราชการตั้งแตว่ ันที่
เริม่ เขา้ รับราชการจริง จนถงึ วันสุดทา้ ยก่อนออกจากราชการ
1.3 กรณีขึ้นทะเบียนแล้วได้รับการลาพักเพ่ือรอการเข้ารับราชการ ซึ่งจะรับ
ราชการในกองประจาการในผลัดสอง ให้นับเวลาราชการต้ังแต่วันเริ่มเข้ารับราชการจริงจนถึงวันสุดท้าย
กอ่ นออกจากราชการ
1.4 กรณีท่ีมีการลาพักเพื่อรอการปลดเป็นกองหนุนช้ันที่ 1 ประเภทที่ 1 ให้นับ
เวลาราชการต้ังแต่วันข้ึนทะเบียนกองประจาการหรือวันเริ่มเข้ารับราชการแล้วแต่กรณีจนถึงวันก่อนลาพัก
เพื่อรอการปลด และนับเวลาราชการตอนท่ี 2 ต้ังแตว่ นั กลับเข้ารับราชการใหม่จนถึงวันสุดท้ายก่อนออกจาก
ราชการ
1.5 กรณีที่มีการยืดการปลดกองหนุนช้ันท่ี 1 ประเภทที่ 1 ให้นับเวลาราชการ
ตงั้ แตว่ นั ขน้ึ ทะเบยี นกองประจาการ หรือวันเรม่ิ เข้ารบั ราชการแล้วแตก่ รณีจนถึงวันยืดการปลด และนับเวลา
ราชการตอนท่ี 2 ต้ังแต่วนั กลับเขา้ รบั ราชการใหม่ จนถงึ วนั สุดทา้ ยกอ่ นการออกจากราชการ
1.6 กรณีท่ีมีการขาดราชการในกองประจาการ ให้ตัดวันขาดราชการด้วย
และจะต้องอยู่รับราชการชดใช้วันขาดราชการ (ตรวจสอบจากแบบ ส.ข.7) และการปลดกองหนุนช้ันท่ี 1
ประเภทท่ี 1 จะเล่ือนการปลดไปด้วย เช่น ขาดราชการ 1 วัน ถึง 30 วัน เล่ือนการปลดออกไป 1 เดือน
ถา้ ขาดราชการ 31 วนั ถงึ 60 วนั เลอ่ื นการปลดออกไป 2 เดือน
21
1.7 กรณีเปน็ ทหารกองประจาการ (ทหารเกณฑ)์ ตอ่ มาได้บรรจุเป็นนักเรียนนายสิบ
นักเรียนจ่า ในช่วงกองประจาการ ให้นับเวลาราชการต้ังแต่วันข้ึนทะเบียนกองประจาการ หรือวันเริ่ม
เข้ารับราชการแล้วแต่กรณี ให้นับช่วงกองประจาการต่อเน่ืองกับช่วงเป็นนักเรียนนายสิบจนถึงวันสุดท้ าย
ก่อนออกจากราชการ
1.8 กรณีเป็นทหารกองประจาการ (ทหารเกณฑ์) และปลดเป็นกองหนุน ต่อมา
เปน็ นกั เรยี นนายสิบ นักเรียนจ่า เม่ือเรียนจบแล้วบรรจุเป็นทหารประจาการ (ข้าราชการทหาร) ให้ตัดเวลา
ในระหวา่ งท่ีเปน็ นกั เรยี นนายสิบ นักเรยี นจา่ ออก และมสี ิทธนิ ับเวลาราชการเปน็ สองตอน ตอนแรกใหน้ ับเวลา
ตัง้ แตท่ หารกองประจาการจนถึงวันก่อนปลดเป็นกองหนุน ตอนท่ี 2 ให้นับเวลาต้ังแต่เป็นทหารประจาการ
จนถงึ วันสุดทา้ ยก่อนออกจากราชการ
ตัวอย่าง ส.ท. ก เกิด 1 ก.พ. 12 ข้ึนทะเบียนกองประจาการ 1 พ.ย. 33
เข้ารบั ราชการเป็นทหารกองประจาการ 1 พ.ย. 33 ปลดเป็นกองหนุน 1 พ.ย. 35 บรรจุเป็น นนส. 1
พ.ย. 35 เป็นประจาการแต่งตั้งยศ 1 พ.ย. 36 ออกจากราชการ 1 ธ.ค. 44 ให้นับเวลาตอนแรกต้ังแต่
1 พ.ย. 33 – 31 ต.ค. 35 ตอนที่ 2 ต้งั แต่ 1 พ.ย. 36 – 30 พ.ย. 44 (ไม่นับเวลาตอนเป็นนกั เรียนนายสิบ)
1.9 กรณีเป็นทหารกองประจาการหรือเป็นนักเรียนนายสิบ หรือนักเรียนจ่าและ
บรรจเุ ปน็ ประจาการ ตอ่ มาเข้าเป็นนกั เรียนนายรอ้ ย นักเรียนนายเรือ เมอ่ื จบแลว้ แต่งต้ังยศเป็นนายร้อย หรือ
นายเรือ ใหน้ บั เวลาตงั้ แต่วนั ขึ้นทะเบียนกองประจาการหรอื วันเข้าเปน็ นกั เรยี นนายสบิ นักเรียนจา่ แลว้ แต่กรณี
รวมกับช่วงเปน็ นักเรยี นนายรอ้ ย นักเรียนนายเรอื ติดต่อกันไปจนถงึ วนั สดุ ทา้ ยกอ่ นออกจากราชการ
ตัวอยา่ ง พ.ต. ก เกิด 1 มิ.ย. 12 ขึ้นทะเบียนกองประจาการ 1 เม.ย.33 เข้ารับ
ราชการเป็นทหารกองประจาการ 1 เม.ย. 33 ต่อมาบรรจุเป็นประจาการแต่งต้ังยศ ส. ต. 1 เม.ย. 35
ไดเ้ ขา้ เรียนเปน็ นกั เรยี นนายรอ้ ย เมือ่ 1 ก.ค. 35 เมื่อจบแล้วแต่งตัง้ ยศ ร.ต. เม่อื 1 พ.ค. 40 ออกจากราชการ
1 ส.ค. 44 ใหน้ ับเวลาต้งั แต่ 1 เม.ย. 33 – 31 ก.ค. 44
2. กรณเี ร่มิ เป็นนักเรยี นทหาร ไดแ้ ก่ นักเรียนนายสบิ นกั เรียนจา่ นักเรยี นนายเรือ นกั เรยี น
นายร้อย จปร. นกั เรียนนายรอ้ ยสารอง นักเรียนแพทยท์ หาร นกั เรยี นดรุ ิยางค์ นักเรยี นโรงเรียนเตรียมทหาร
(เรม่ิ ต้งั แต่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๓) ฯลฯ
2.1 กรณวี ันขึ้นทะเบียนกองประจาการเป็นวันเดียวกับวันเข้าเป็นนักเรียนทหาร
ให้นับเวลาตงั้ แตว่ ันขน้ึ ทะเบยี นจนถงึ วันสดุ ทา้ ยกอ่ นออกจากราชการ
ตัวอย่าง เกิด 1 ธ.ค. 2500 เข้าเป็นนักเรียนทหาร 30 พ.ย. 2519
(อายุ 19 ปี) ขน้ึ ทะเบยี นฯ 30 พ.ย. 2519 ใหน้ ับเวลาราชการตงั้ แต่วนั ขนึ้ ทะเบยี นฯ คือ 30 พ.ย. 2519
2.2 กรณีเขา้ เปน็ นกั เรียนทหารกอ่ นอายุ 18 ปี และขึ้นทะเบียนภายหลังหรือมีวันล้วง
ให้นับเวลาราชการตั้งแต่วันข้ึนทะเบียนหรือวันล้วงต้นปีท่ีมีอายุ 18 ปี (วันท่ี 1 ม.ค.) ของปี พ.ศ. ท่ีมีอายุ
ครบ 18 ปี ตามกฎกระทรวง (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2498 ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร
พ.ศ. 2497 จนถงึ วันสดุ ท้ายกอ่ นออกจากราชการ
ตัวอย่าง เกิด 1 ธ.ค. 2500 เข้าเป็นนักเรียนทหาร 1 พ.ค. 2517
ขึ้นทะเบยี นฯ 30 พ.ย. 2518 (ครบ 18 ปีบรบิ ูรณ)์ ให้นับเวลาราชการได้ตง้ั แต่วันล้วงต้นปีที่มีอายุ 18 ปี
คือ 1 ม.ค. 2518
ตัวอย่าง เกิด 1 ธ.ค. 2500 เข้าเป็นนักเรียนทหาร 1 พ.ค. 2517
ขึ้นทะเบยี นฯ 15 พ.ค. 2519 (อายเุ กิน 18 ปบี ริบูรณแ์ ล้ว) ให้นับเวลาราชการได้ต้ังแต่วันล้วงต้นปีที่มีอายุ 18 ปี
คือ 1 ม.ค. 2518
22
2.3 กรณีเขา้ เป็นนกั เรียนทหาร (ในปีทีม่ ีอายุ 18 ปี) ใหน้ ับเวลาตง้ั แตว่ ันท่เี ป็น
นักเรียนทหาร (แต่ถ้าระบุวันเปิดภาคการศึกษา ให้นับเวลาตั้งแต่วันเปิดภาคการศึกษา) จนถึงวันสุดท้าย
กอ่ นออกจากราชการ
ตัวอย่าง เกิด 1 ธ.ค. 2500 เข้าเป็นนักเรียนทหาร 1 พ.ค. 2518
ข้ึนทะเบียนฯ 30 พ.ย. 2518 (ครบ 18 ปีบริบูรณ์) ให้นับเวลาราชการได้ต้ังแต่วันเข้าเป็นนักเรียนทหาร
คือ 1 พ.ค. 2518
ตัวอย่าง เกิด 1 ธค. 2500 เข้าเป็นนักเรียนทหาร 30 เม.ย. 2519
(อายุ 18 ปี 5 เดือน) ขึ้นทะเบียน 30 ก.ย.2519 เปิดภาคการศึกษา 4 พค. 2519 ให้นับเวลาราชการ
ตง้ั แต่วันเปิดภาคเรียน คอื 4 พ.ค. 2519
ตัวอย่าง เกิด 1 ธ.ค. 2500 เข้าเป็นนักเรียนทหาร 1 มี.ค. 2518
(อายุ 17 ปี 4 เดือน) ข้นึ ทะเบียน 30 พ.ย. 2518 เปดิ ภาคการศกึ ษา 4 พ.ค. 2518 ให้นับเวลาราชการ
ตัง้ แต่วนั เปดิ ภาคเรียน คือ 4 พ.ค. 2518
3. กรณีเริ่มเป็นทหารประจาการ หรือข้าราชการกลาโหมพลเรือน เช่น พลขับรถ
พลดุริยางค์ เสมียน ช่างยนต์ เป็นต้น ให้นับเวลาตั้งแต่วันเร่ิมเข้ารับราชการ โดยได้รับเงินเดือนจาก
เงินงบประมาณหมวดเงินเดือนแต่ไม่ก่อนวันที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ (หากรับราชการก่อนอายุ 18 ปี
ให้นบั วันท่มี ีอายุครบ 18 ปีบริบรู ณ)์ จนถงึ วันสดุ ท้ายกอ่ นออกจากราชการ
4. กรณีผู้จบ ร.ด. ปี 3 และไม่ต้องอยู่ในกองประจาการ (ทหารเกณฑ์) ขึ้นทะเบียน
กองประจาการวนั ใดจะปลดเป็นกองหนนุ ชั้นที่ 1 ประเภทท่ี 1 ในวนั เดยี วกนั ใหน้ ับเวลาราชการ ดงั นี้
4.1 กรณีเร่ิมเป็นทหารประจาการ หรือข้าราชการกลาโหมพลเรือน ให้นับเวลา
ตั้งแต่วันเรม่ิ เขา้ รับราชการโดยไดร้ บั เงินเดอื นจากเงินงบประมาณหมวดเงินเดือน แต่ไม่กอ่ นอายุ 18 ปบี ริบูรณ์
จนถงึ วันสดุ ทา้ ยก่อนออกจากราชการ
4.2 กรณเี รมิ่ เป็นนกั เรยี นทหาร ก่อนวันข้ึนทะเบียน ให้นับเวลาตั้งแต่วันข้ึนทะเบียน
จนถงึ วนั สดุ ทา้ ยก่อนออกจากราชการ
4.3 กรณีเริ่มเป็นนักเรียนทหาร หลังวันขึ้นทะเบียน ให้นับเวลาตั้งแต่วันที่ได้รับ
การแตง่ ตั้งเปน็ ทหารประจาการ จนถึงวันสุดทา้ ยกอ่ นออกจากราชการ
5. กรณที หารหญิง ไมม่ สี ทิ ธริ ับเบี้ยหวดั (เนื่องจากไม่ต้องเป็นทหารกองหนุน)
วนั ล้วง หมายถงึ วันร้องขอเขา้ กองประจาการ ซง่ึ เป็นวนั ทีม่ สี ิทธิไดข้ ้นึ ทะเบยี นกองประจาการ
การนับเวลาทวคี ณู
(เชน่ เดียวกับการนับเวลาทวีคณู สาหรับคานวณบาเหนจ็ บานาญ)
*สาหรับประกาศกฎอัยการศึก พ.ศ. 2549 (19 ก.ย. 2549-26 ม.ค. 2550) ให้นับเป็นเวลาทวีคูณ
เฉพาะขา้ ราชการทหารในสังกัดกระทรวงกลาโหม เท่านั้น (ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0506/13169
ลงวันท่ี 2 สิงหาคม 2550 และคาจากัดความ “ข้าราชการทหาร” ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร
พ.ศ. 2521)
23
การนบั เวลาราชการต่อเนื่อง
ทหารซึ่งออกจากราชการโดยมีสิทธิได้รับเบ้ียหวัด ถ้าภายหลังกลับเข้ารับราชการใหม่
เมื่อพ้นจากราชการ ให้นับเวลาราชการตอนแรกกับตอนหลังต่อเน่ืองกัน สาหรับระยะเวลาที่มีสิทธิได้รับ
เบี้ยหวัด ให้นับเวลาได้ 1 ใน 4
การตัดเวลาราชการ
(เช่นเดียวกบั การตดั เวลาราชการสาหรบั คานวณบาเหน็จ บานาญ) และ
1. การคานวณเงนิ ประเดิมสาหรับผู้รับเบีย้ หวดั ท่เี ป็นสมาชิก กบข. อยกู่ อ่ นวันที่ 27 มีนาคม 2540
ให้ตัดเวลาราชการสาหรับคานวณเงินประเดิมออก 3 ใน 4 ด้วย เน่ืองจากกฎหมายให้นาเวลาในระหว่าง
ทีไ่ ดร้ บั เบีย้ หวดั ไปคานวณบาเหน็จบานาญไดเ้ พียง 1 ใน 4 เท่าน้ัน
2. กรณีเป็นนักเรียนทหาร หรือพลทหารกองประจาการ หากต่อมาเข้ารับราชการกองประจาการ
หลงั วนั ท2่ี 7 มีนาคม 2540 ไมม่ สี ทิ ธิไดร้ ับเงินประเดิม
การรับราชการในกองประจาการ
การนับวันรบั ราชการในกองประจาการสาหรับการปลด ให้ถือวันที่ขึ้นทะเบียน/วันล้วง ตั้งแต่
วันทไี่ ด้รับการแตง่ ตัง้ ยศทหาร แล้วนบั ตงั้ แตเ่ ดอื นท่ีได้ข้ึนทะเบียนล้วงเป็นต้นไปเป็นรายเดือนจนครบกาหนด
จึงให้นาปลดในวันที่ 1 ของเดือนถดั ไป เช่น ผทู้ ่ีต้องการรับราชการในกองประจาการมีกาหนด 24 เดือน
และได้ขึ้นทะเบียนล้วงต้ังแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งยศทหารในเดือน ม.ค. 2545 จะเป็นวันที่เท่าใดก็ตาม
ต้องปลดในวันท่ี 1 ม.ค. 2547 ส่วนผู้ท่ีมีกาหนดให้รับราชการในกองประจาการน้อยกว่าท่ีกล่าว ให้นับ
วันรบั ราชการในกองประจาการสาหรับปลดโดยอนุโลม
ตวั อย่าง ส.ต. กาพล เข้ารับราชการเป็นทหารกองประจาการ 1 เม.ย. 2545 ข้ึนทะเบียน
กองประจาการ 3 เม.ย. 2545 ต่อมาบรรจเุ ป็นประจาการแต่งต้ังยศ ส.ท. 7 เม.ย. 2547 ต้องปลดในวันท่ี
1 เม.ย.47
เกณฑก์ ารคานวณเบย้ี หวดั
ให้คานวณตามส่วนแบ่งของเงนิ เดือนเดือนสุดท้าย โดยจา่ ยเปน็ รายเดอื น ดงั นี้
มีเวลาราชการไมถ่ ึง 15 ปี ได้ 15/50 ของเงินเดือน
มีเวลาราชการ 15 ปี แต่ไม่ถงึ 25 ปี ได้ 25/50 ของเงินเดอื น
มีเวลาราชการ 25 ปี แต่ไมถ่ ึง 30 ปี ได้ 30/50 ของเงินเดือน
มเี วลาราชการ 30 ปี แต่ไม่ถงึ 35 ปี ได้ 35/50 ของเงินเดือน
มีเวลาราชการ 35 ปี ถงึ 40 ปี ได้ 40/50 ของเงนิ เดือน
มเี วลาราชการเกนิ กวา่ 40 ปขี ้ึนไป ให้แบ่งเป็นหา้ สิบสว่ นคูณดว้ ยจานวนปเี วลาราชการ
(เวลาราชการ/50 ของเงินเดอื น) เบีย้ หวดั ใหจ้ ากัดอยา่ งสงู ไม่เกนิ เงินเดือนเดือนสดุ ท้าย
เวลาราชการ หมายถงึ เวลาราชการปกติรวมกับเวลาทวคี ณู ตามมาตรา 24
แห่งพระราชบญั ญัติบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ พ.ศ. 2494
24
เงินเดอื นเดือนสดุ ทา้ ย เป็นไปตามคานิยามในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติบาเหน็จบานาญ
ข้าราชการ พ.ศ. 2494
ระยะเวลาการรบั เบ้ยี หวัด
1. นายทหารช้นั สญั ญาบัตร
นายทหารกองหนนุ จะอยใู่ นประเภทกองหนุนได้ไมเ่ กินกาหนดอายดุ ังต่อไปน้ี
1.1 นายรอ้ ยหรอื นายเรอื หรือนายเรืออากาศ ครบ 45 ปี
1.2 พันตรี พันโท หรือ นาวาตรี นาวาโท ครบ 50 ปี
หรอื นาวาอากาศตรี นาวาอากาศโท
สาหรับ 1.1 และ 1.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะสั่งให้ผู้ซึ่งมีอายุเกินกาหนดน้ี
คงอยู่ในประเภทกองหนนุ ตอ่ ไปไดพ้ ิเศษ แตต่ อ้ งอายไุ ม่เกิน 55 ปี
1.3 พันเอก หรอื นาวาเอก หรอื นาวาอากาศเอก และนายพล ครบ 55 ปี
วนั ครบย้ายประเภท
นายทหารกองหนุนมีเบี้ยหวัด มีสิทธิรับเบ้ียหวัดได้ต้ังแต่วันออกจากราชการจนถึงวันสิ้นปี
(31 ธ.ค. .....) ทมี่ อี ายคุ รบ 45 ปี 50 ปี หรือ 55 ปี ทางราชการจะย้ายประเภทจากกองหนุนมีเบ้ียหวัด
เพอ่ื รับบาเหนจ็ บานาญ ตงั้ แต่ 1 มกราคม พ.ศ. ถัดไป
ตัวอยา่ ง ร้อยตรี ณเดชน์ เกิดวันที่ 20 พ.ค. 2500 จะมีอายุครบ 45 ปี ในวันท่ี 20 พ.ค. 2545
ออกจากราชการวันที่ 3 พ.ค. 2540 ร้อยตรี ณเดชน์ จะมีสิทธิรับเบ้ียหวัดตั้งแต่วันท่ี 3 พ.ค. 2540
(วันท่อี อกจากราชการ) ถึงวันท่ี 31 ธันวาคม 2545 (วนั สนิ้ ปีทม่ี อี ายคุ รบ 45 ป)ี ทางราชการจะย้ายประเภท
จากกองหนุนมีเบ้ียหวัดเพ่ือรับบาเหน็จบานาญ (เหตุทดแทน) ต้ังแต่ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป
2. นายทหารประทวนและพลทหารประจาการ
ผทู้ ่ีได้ขึ้นทะเบยี นกองประจาการแลว้ จะต้องอยู่ในกองประจาการเปน็ เวลา 2 ปี เมอื่ ครบกาหนดแลว้
จึงปลดเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 โดยมรี ะยะเวลาการเปน็ กองหนนุ แตล่ ะชัน้ ดังนี้
กองหนุนประเภทท่ี 1 ชนั้ ท่ี 1 เจ็ดปี
กองหนุนประเภทท่ี 1 ชัน้ ท่ี 2 สิบปี
กองหนุนประเภทท่ี 1 ช้นั ที่ 3 หกปี
สาหรับผทู้ ี่มคี ณุ วุฒิพิเศษหรือกรณพี เิ ศษ อาจเข้ารบั ราชการในกองประจาการไม่ครบ 2 ปี แล้วปลด
เปน็ ทหารกองหนุนประเภทท่ี 1 ก็ได้
ผู้ซึง่ ออกจากราชการโดยยงั ไม่พ้นกองหนุนประเภทท่ี 1 ช้ันท่ี 2 มีสิทธิรับเบ้ียหวัด โดยต้องมีเวลา
รับราชการประจาการ ดงั นี้
นายทหารประทวน หรือพลทหาร ซ่ึงรับราชการในกองประจาการ (ตามกฎหมายว่าด้วย
การรบั ราชการทหาร) ซงึ่ เข้ารบั ราชการประจาการต่อไป ไม่นอ้ ยกวา่ 1 ปี
25
นายทหารประทวน และพลทหารกองหนุนท่ีไม่ได้รับเบี้ยหวัด บาเหน็จบานาญ ซ่ึงยังไม่พ้น
กองหนุน ชน้ั ที่ 2 และออกจากราชการ หากกลับเข้ารับราชการประจาการใหม่ ต้องมเี วลาราชการในครั้งหลงั
ไมน่ ้อยกวา่ 1 ปี มีสทิ ธริ ับเบี้ยหวดั ได้ตงั้ แตว่ ันท่อี อกจากราชการจนถงึ วันก่อนวนั ปลดจากกองหนุนชัน้ ที่ 2
ซึง่ แยกได้ ดงั น้ี
ระยะเวลาการรับเบ้ียหวัด (นายทหารชั้นประทวนและพลทหารประจาการ)
1. กรณปี กติท่วั ไป
รบั ราชการในกองประจาการ 2 ปี
ปลดเป็นกองหนุนชน้ั ที่ 1 ประเภท 1 อย่ตู ่อ 7 ปี 19 + ขนึ้ ทะเบยี นหรือ
ปลดเป็นกองหนนุ ช้ันที่ 2 ประเภท 1 อยู่ต่อ 10 ปี วนั ร้องขอฯ ยา้ ยประเภท
เพ่อื รับบาเหนจ็ บานาญ
ปลดเปน็ กองหนนุ ชั้นท่ี 3 ประเภท 1 อยู่ตอ่ 6 ปี
ตัวอยา่ ง ขนึ้ ทะเบยี น 3 พ.ค. 2525 + 19 ปี
รบั เบี้ยหวัดถงึ วนั ท่ี 30 เม.ย. 2544
วนั ย้ายประเภท 1 พ.ค. 2544
2. กรณสี าเร็จการฝกึ วชิ าทหาร (ร.ด. ปี 1) หรือเทียบเท่า แยกเป็น 2 กรณี
2.1 กรณีไม่ร้องขอเข้ากองประจาการ (ไม่สมัครเข้ารับราชการในกองประจาการ)
จะต้องรับราชการในกองประจาการ 1 ปี 6 เดือน ให้เอา 18 ปี 6 เดือน บวกวันขึ้นทะเบียนหรือวันร้องขอฯ
จะได้วันยา้ ยประเภท
ตัวอย่าง ขนึ้ ทะเบียน 1 ม.ค. 2530 + 18 ปี 6 เดอื น
รับเบยี้ หวัดถงึ วันท่ี 30 มิ.ย. 2548
วนั ยา้ ยประเภท 1 ก.ค. 2548
2.2 กรณีร้องขอเข้ากองประจาการ (สมัครเข้ารับราชการในกองประจาการ)
ต้องรับราชการในกองประจาการ 1 ปี ใหเ้ อา 18 ปี บวกวนั ขึน้ ทะเบียนหรอื วนั ร้องขอฯ จะไดว้ นั ยา้ ยประเภท
ตวั อยา่ ง ข้นึ ทะเบียน 1 ม.ค. 2527 + 18 ปี
รับเบ้ียหวดั ถึงวันท่ี 31 ธ.ค. 2544
วันยา้ ยประเภท 1 ม.ค. 2545
3. กรณีสาเรจ็ การฝึกวชิ าทหาร (ร.ด.ปี 2) หรือเทียบเท่า แยกเป็น 2 กรณี
3.1 กรณีไม่ร้องขอเข้ากองประจาการ จะต้องรับราชการในกองประจาการ 1 ปี
ให้เอา 18 ปี บวกวันขึ้นทะเบียนหรือวนั ร้องขอฯ จะไดว้ นั ยา้ ยประเภท
ตัวอยา่ ง ขึน้ ทะเบยี น 1 ม.ค. 2528 + 18 ปี
รบั เบยี้ หวดั ถึงวันท่ี 31 ธ.ค. 2545
วนั ยา้ ยประเภท 1 ม.ค. 2546
3.2 กรณีร้องขอเข้ากองประจาการ จะต้องรับราชการในกองประจาการ 6 เดือน
ใหเ้ อา 17 ปี 6 เดอื น บวกวันข้นึ ทะเบียนหรอื วนั ร้องขอฯ จะไดว้ ันย้ายประเภท
26
ตวั อย่าง ขน้ึ ทะเบยี น 1 ม.ค. 2528 + 17 ปี 6 เดอื น
รบั เบี้ยหวัดถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2545
วนั ย้ายประเภท 1 ก.ค. 2545
4. กรณสี าเรจ็ การฝกึ วชิ าทหาร (ร.ด. ปี 3) หรอื เทยี บเทา่ กรณขี นึ้ ทะเบยี นกองประจาการแลว้
ปลดไม่ต้องรับราชการในกองประจาการ ใหเ้ อา 17 ปี + วันขึ้นทะเบยี น จะไดว้ นั ยา้ ยประเภท
ตัวอย่าง ขนึ้ ทะเบียน 3 พ.ค. 2529 + 17 ปี
รบั เบย้ี หวดั ถึงวันท่ี 30 เม.ย. 2546
วันยา้ ยประเภท 1 พ.ค. 2546
5. กรณีจบเตรียมอดุ มศกึ ษา หรือ ปวช. ร้องขอเข้ากองประจาการ ต้องอยู่รับราชการ
ในกองประจาการ 1 ปี ให้เอา 18 ปี + วนั ขน้ึ ทะเบยี นหรอื วันรอ้ งขอฯ จะได้วันย้ายประเภท
ตัวอย่าง ขึ้นทะเบียน 1 พ.ค. 2528 + 18 ปี
รบั เบีย้ หวัดถึงวันที่ 30 เม.ย. 2546
วนั ยา้ ยประเภท 1 พ.ค. 2546
6. กรณจี บ ปกศ. สูง หรอื ปวท. ขน้ึ ไป ไม่รอ้ งขอเขา้ กองประจาการ ต้องอยู่รับราชการ
ในกองประจาการ 1 ปี ให้เอา 18 + วันขน้ึ ทะเบียนหรือวันรอ้ งขอฯ จะไดว้ นั ยา้ ยประเภท
ตัวอยา่ ง ขึ้นทะเบียน 1 พ.ค. 2528 + 18 ปี
รับเบี้ยหวดั ถงึ วันที่ 30 เม.ย. 2546
วันยา้ ยประเภท 1 พ.ค. 2546
7. กรณจี บ ปกศ.สูง หรือ ปวท. ขึ้นไป ร้องขอเข้ากองประจาการ ต้องอยู่รับราชการ
ในกองประจาการ 6 เดือน ใหเ้ อา 17 ปี 6 เดอื น + วนั ขึ้นทะเบยี นหรือวนั ร้องขอฯ จะไดว้ ันย้ายประเภท
ตัวอยา่ ง ขึน้ ทะเบียน 1 ม.ค. 2530 + 17 ปี 6 เดือน
รับเบย้ี หวดั ถึงวันที่ 30 ม.ิ ย. 2547
วันยา้ ยประเภท 1 ก.ค. 2547
3. กรณีกลาโหมพลเรอื น
แยกเปน็ 2 กรณี
1. อายไุ ม่เกนิ 21 ปบี รบิ รู ณ์
ให้นับถึงวนั ท่ี 31 ธ.ค. ของปี พ.ศ. ที่มีอายุ 21 ปี ให้เอา 21 ปี + พ.ศ. เกิด แล้วมาดู
วนั ขนึ้ ทะเบยี น ถ้าขนึ้ ทะเบยี นหรอื วันร้องขออายไุ ม่เกนิ 21 ปี ใหเ้ อา 19 ปี + วนั ข้นึ ทะเบียนหรือวันร้องขอฯ
จะได้วนั ยา้ ยประเภท
ตัวอย่าง สิบโท การุณ เกิดวันท่ี 2 ส.ค. 2510 ข้ึนทะเบียนกองประจาการหรือ
วันร้องขอฯ 1 เม.ย. 2530 เร่ิมเข้ารับราชการเป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือน 7 พ.ค. 2529 ลาออก
จากราชการตั้งแต่วนั ที่ 1 ม.ค. 2545
เกณฑ์การคานวณ ใหเ้ อา 21 + พ.ศ. เกิด 2510 ได้ 2531 มาดูวันขึ้นทะเบียนหรือ
วนั รอ้ งขอฯ 1 เม.ย. 2530 อายุยังไม่เกิน 21 ปี ให้เอา 19 ปี + 1 เม.ย. 2530 จะได้วันย้ายประเภท
คอื 1 เม.ย. 2549 มสี ิทธิรับเบี้ยหวัดตง้ั แตว่ นั ท่ี 1 ม.ค. 2545 ถงึ วันที่ 31 ม.ี ค. 2549
27
2. อายเุ กนิ 21 ปีบรบิ รู ณ์
ให้เอา 21 ปี + พ.ศ. เกิด แล้วมาดูวันขึ้นทะเบียน ถ้าขึ้นทะเบียนอายุเกิน 21 ปี
ให้เอา 39 + พ.ศ. เกิด (ให้ถือวันต้นเดือนของเดือนที่ข้ึนทะเบียนทหารกองประจาการหรือวันร้องขอฯ
เปน็ วันหมดสทิ ธริ ับเบยี้ หวดั )
ตัวอย่าง สิบตรี ขุขันธ์ เกิดวันที่ 15 ก.ย. 2509 ข้ึนทะเบียนกองประจาการหรือ
วันรอ้ งขอฯ วนั ที่ 12 เม.ย. 2531 ลาออกจากราชการตั้งแต่วนั ท่ี 1 ม.ค. 2546
เกณฑ์การคานวณ ให้เอา 21 + พ.ศ. เกิด 2509 ได้ 2530 มาดูวันขึ้นทะเบียน
หรือวันร้องขอฯ 12 เม.ย. 2531 อายุเกิน 21 ปีแล้ว ให้เอา 39 + พ.ศ. เกิด 2509 = 2548
จะไดว้ นั ย้ายประเภทคอื 1 เมษายน 2548 มีสิทธริ ับเบีย้ หวัดตงั้ แต่วันท่ี 1 ม.ค. 2546 ถึงวันท่ี 31 ม.ี ค. 2548
ในกรณีท่ีสมุดประวัติบันทึกการข้ึนทะเบียนและการปลดกองหนุนไม่ชัดเจนให้ขอ สด.3
มาประกอบการพจิ ารณา
การย้ายประเภทเพ่ือรับบาเหน็จบานาญของนายทหารช้ันประทวน และพลทหาร
กองประจาการ ไม่ว่าจะข้ึนทะเบียนกองประจาการหรือร้องขอเข้ากองประจาการวันที่เท่าใดก็ตาม วันครบ
รับเบ้ียหวดั จะตอ้ งเป็นวนั สุดทา้ ยของเดือนกอ่ นวนั ข้นึ ทะเบยี นหรอื วนั ร้องขอฯ และวนั ยา้ ยประเภทจะต้องเป็น
วันที่ 1 ของเดอื นท่ีข้นึ ทะเบียนหรือร้องขอฯ เสมอ
ตัวอยา่ ง ข้นึ ทะเบยี น 3 พ.ค. 2535 + 17 ปี
รบั เบีย้ หวดั ถึงวนั ท่ี 30 เม.ย. 2552
วนั ย้ายประเภท 1 พ.ค. 2552
หลักฐานการขอรบั เบ้ยี หวัด
หลักฐานที่ใช้ประกอบการพิจารณาส่ังจ่ายเบ้ียหวัด เป็นไปตามหนังสือกระทรวงการคลัง
ด่วนที่สดุ ที่ กค 0520.9/ว 53 ลงวันที่ 29 มถิ ุนายน 2552
กรณีขอรบั เบยี้ หวัด ให้ใชแ้ บบ 5300 โดยแนบหลกั ฐานดังนี้
1. สมุดประวัติหรือแฟูมประวตั ิข้าราชการ
2. คาสง่ั เลอ่ื นข้นั เงินเดอื นเพอื่ ประโยชน์ในการคานวณเบีย้ หวัด (ถ้าม)ี
3. สาเนาคาส่งั ท่ีใหอ้ อก หรอื อนญุ าตให้ลาออกจากราชการ แล้วแต่กรณี
4. หลกั ฐานการมสี ทิ ธิไดน้ บั เวลาทวีคณู สาหรับผปู้ ฏบิ ัติหน้าที่ตามที่กระทรวงกลาโหมกาหนด
ในระหวา่ งทมี่ ีการรบ หรือการสงคราม หรือการปราบปรามจลาจล หรือในระหว่างที่มีพระบรมราชโองการ
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือในระหว่างท่ีส่ังให้เป็นนักดาเรือดาน้าซึ่งรับรองโดยกรมการเงินกลาโหม
กระทรวงกลาโหม (แบบ 5304)
5. หลักฐานการมีสิทธิได้นับเวลาทวีคูณสาหรับผู้ปฏิบัติราชการปราบปรามผู้ก่อการร้าย
คอมมิวนสิ ต์ ซงึ่ รับรองโดยกองอานวยการรักษาความม่นั คงภายใน (แบบ 5306)
6. หลักฐานการมีสิทธิได้นับเวลาทวีคูณสาหรับผู้ปฏิบัติราชการลับหรือปฏิบัติราชการ
ตามแผนปูองกันประเทศ หรือปฏิบัติราชการกรณีอ่ืน ตามแบบที่ กระทรวงกลาโหมขอทาคาตกลง
กบั กระทรวงการคลัง หรือตามที่แจง้ ให้กระทรวงการคลังทราบแล้ว
28
การพจิ ารณาส่งั จา่ ยเบี้ยหวัด
(เช่นเดียวกับการพิจารณาสั่งจ่ายบาเหน็จบานาญ)
การตรวจสมุด / แฟม้ ประวัตขิ า้ ราชการทหาร
กรณีสมดุ ประวัติ ให้ตรวจดตู งั้ แตห่ นา้ แรกถึงหน้าสดุ ท้ายโดยละเอยี ด
ประวัติรับราชการ ให้ตรวจรายการดังน้ี
1. ช่ือ – นามสกลุ
2. วนั เดือน ปี เกดิ
รายการ บตุ ร – ธิดา
ขอ้ สงั เกต : หากเปน็ ทหารหญงิ ให้ดู วัน เดือน ปี เกดิ ของบุตร ถา้ เกิดในระหวา่ งประกาศกฎอัยการศกึ
ถือวา่ มกี ารลาคลอดในระหวา่ งนนั้ ตอ้ งนาวันลามาหักออกจากเวลาทวคี ณู กฎอยั การศึกดว้ ย
รายการวฒุ ิการศึกษา
เฉพาะนายทหารช้ันประทวน ให้ดูว่าจบการศึกษาระดับใดเพ่ือประกอบการคานวณวันครบกาหนด
การรับเบ้ยี หวดั (ดรู ายละเอยี ดระยะเวลาการรับเบี้ยหวัด)
รายการขึน้ ทะเบียนกองประจาการ
ตรวจวนั ขึ้นทะเบยี น
กรณที หารเกณฑ์
ตรวจวันขน้ึ ทะเบียนกองประจาการว่าข้ึนทะเบียน วัน เดือน ปีใด ต้องตรงกับรายการตาแหน่งและ
รายการเงินเดอื น
หากขึ้นทะเบียนกองประจาการแล้ว ไม่ได้เข้ารับราชการกองประจาการในวันเดียวกับวันขึ้นทะเบียน เช่น
หมายเรยี กตวั เข้ารบั ราชการ ผลดั 2 ให้ถือวา่ วัน เดือน ปี (ผลัด 2) เป็นเร่ิมนับเวลาราชการ ซ่ึงต้องตรงกับรายการ
ตาแหน่งและรายการเงินเดือน
กรณนี ักเรยี นทหาร
ตรวจวันขึ้นทะเบียนกองประจาการว่าข้นึ ทะเบยี น วนั เดือน ปใี ด และวันร้องขอฯ (วันล้วง) ต้องตรงกับ
วนั ทีบ่ ันทึกไว้ในรายการตาแหน่งและรายการเงินเดอื น
กรณขี า้ ราชการกลาโหมพลเรอื น
ตรวจวันขึ้นทะเบยี นกองประจาการว่าข้ึนทะเบียน วัน เดือน ปี ใด และวันร้องขอฯ(วันล้วง) จะต้อง
เป็นวนั เดือน ปี เดียวกับวัน เดือน ปี ทบี่ นั ทึกไวใ้ นรายการยศทหาร
การอุปสมบท
ถ้าลาอุปสมบทในระหว่างกฎอัยการศึก ต้องนาวันลาในระหว่างนั้นมาหักออกจากเวลาทวีคูณ
กฎอัยการศกึ ดว้ ย
รายการยศทหาร
ตรวจยศครั้งสดุ ทา้ ยก่อนพน้ จากราชการใหต้ รงกับ แบบ 5300
29
รายการตาแหนง่
ตรวจสอบวา่ การบันทกึ รายการตาแหน่งในวันเริ่มเข้าปฏิบัติราชการต้องตรงกับวันขึ้นทะเบียนและ
รายการเงินเดอื น เบย้ี หวดั บาเหนจ็ บานาญ
รายการ เงินเดือน เบ้ยี หวัด บาเหนจ็ บานาญ
ตรวจสอบการบนั ทึกรายการเงนิ เดือนใหค้ รบถ้วน
1. วนั เดือน ปี ท่ีเรมิ่ รับราชการตอ้ งตรงกบั รายการตาแหนง่
2. เคยออกจากราชการด้วยเหตใุ ดๆ ก็ตาม ถา้ กลบั เข้ารับราชการก่อนวันท่ี 26 มีนาคม 2540
ไม่นับเวลาราชการในตอนแรก ยกเว้น มีหลักฐานซ่ึงกระทรวงการคลังให้นับเวลาราชการติดต่อกัน จึงจะนับ
เวลาราชการติดตอ่ กนั โดยนบั เวลาราชการปกตเิ ปน็ ตอนๆไป
ถ้ากลับเข้ารับราชการหลังวันที่พระราชบัญญัติกองทุนบาเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539
มีผลบังคับใช้แล้ว คือ ต้ังแต่วันที่ 27 มีนาคม 2540 เป็นต้นไป ให้นับเวลาราชการติดต่อกัน โดยนับเวลา
ราชการปกตเิ ปน็ ตอนๆไป ยกเวน้ กรณเี คยรบั บาเหน็จไปแล้ว และไมไ่ ด้คืนบาเหนจ็ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ทก่ี ระทรวงการคลังกาหนด ใหน้ บั เฉพาะเวลาราชการในตอนหลัง โดยให้ตรวจดูว่ามีการบนั ทึกการคืนบาเหน็จ
พร้อมดอกเบยี้ ในสมดุ ประวตั ิ หรอื มีหลกั ฐานการคนื เงนิ ดงั กล่าว แนบมากับเรอ่ื งขอรบั หรือไม่
3. เคยออกจากราชการและรบั เบยี้ หวดั ตง้ั แต่ วนั เดอื น ปีใด และกลับเข้ารับราชการใหม่ตั้งแต่
วัน เดือน ปีใด จะตอ้ งนับเวลาราชการเป็นตอน ๆ ไป สาหรับระยะเวลาทีร่ บั เบีย้ หวดั นับเวลาราชการให้ 1 ใน 4
4. ตรวจคาส่ังอนุญาตให้ลาออกจากราชการ / ให้ออกจากราชการ / ปลดออกจ ากราชการ
วนั เดอื น ปใี ด ให้นับเวลาราชการถงึ วันทีก่ ่อนวนั ทีร่ ะบใุ นคาส่ังหรือวันสุดท้ายที่ได้รับเงินเดือน
5. กรณีเกษียณอายุให้นับเวลาราชการจนถึงวันที่ 30 กันยายน ของปีที่มีอายุครบ 60 ปี
บรบิ ูรณ์ โดยตอ้ งตรวจดรู ายช่ือตามประกาศเกษียณอายดุ ว้ ย
รายการราชการสงครามหรือปราบปรามจลาจลหรือในเวลามเี หตุฉุกเฉนิ
- กรณีกระทาหน้าท่ีตามที่กระทรวงกลาโหมกาหนด เช่น ปราบปราม ผกค. แผนปูองกันประเทศ
ราชการลับ ราชการพเิ ศษ ฯลฯ ใหต้ รวจการบันทึกรายการถกู ต้องตรงกบั บญั ชวี ันทวีคูณทีแ่ นบมากับเร่ือง
- กรณีประกาศใช้กฎอัยการศึก ตรวจการบันทึกรายการว่าถูกต้องและครบถ้วนตามประกาศ
กฎอยั การศกึ หากมีวนั ลาในระหวา่ งน้นั ให้นามาหักออกจากเวลาทวีคูณ
ข้อสังเกต : สาหรับทหารเรือ ให้ตรวจสมุดประวัติว่า ถ้ามีรายการผ่านเมืองท่าต่างประเทศ
ในระหวา่ งประกาศใช้กฎอัยการศึก ให้นาเวลาท่ีผ่านเมืองท่าต่างประเทศมาหักออกจากเวลาทวีคูณกฎอัยการศึกด้วย
(การผา่ นเมืองท่าต่างประเทศกรณีทหารเรอื ปฏิบตั หิ น้าท่นี อกเขตน่านน้าไทย ซึ่งถือว่าไม่ได้อยู่ในเขตประกาศ
กฎอัยการศกึ )
รายการความผิด
เคยถูกสง่ั พกั ราชการและให้กลับเขา้ รบั ราชการโดยมีการจ่ายเงินเดือนในระหว่างพักราชการอย่างไร
ใหด้ ปู ระกอบกบั บัตรเงนิ เดือน / คาส่ัง (กรณีสมุดประวัตลิ งรายการไมค่ รบถ้วน)
30
รายการออกจากราชการ หรือย้ายประเภท
- วันออกจากราชการตรงกบั คาสงั่ ทพี่ น้ จากราชการ
- กรณีรับเบ้ียหวัด วันปลดกองหนุนแต่ละช้ัน และวัน เดือน ปี ท่ีย้ายประเภท ต้องเป็นไปตาม
หลักเกณฑท์ ่กี าหนด
บาเหนจ็ บานาญย้ายประเภท
บาเหนจ็ บานาญยา้ ยประเภท หมายถึง ผู้ซึ่งรบั เบีย้ หวัดครบกาหนดแล้วจะตอ้ งเปลย่ี นจากรับเบ้ียหวัด
เป็นบาเหน็จหรือบานาญ ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติบาเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 หรือ
ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบญั ญัติกองทนุ บาเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539
บานาญ = มีเวลาราชการ 10 ปบี ริบรู ณข์ ้ึนไป (9 ปี 6 เดอื น)
บาเหน็จ = มเี วลาราชการ 1 ปขี ้นึ ไป แต่ไมถ่ งึ 10 ปี
เงนิ เดอื นเดอื นสุดทา้ ย หมายถึง เงินเดือนเดือนสุดท้ายก่อนออกรับเบี้ยหวัด และระหว่าง
การรับเบย้ี หวดั หากมกี ารปรับเงินเดือน (ตามมติคณะรัฐมนตรี) จะต้องปรับเงินเดือนเดือนสุดท้ายให้ทุกครั้ง
เพื่อประโยชนใ์ นการคานวณบาเหนจ็ บานาญยา้ ยประเภท รวมกับเงินเพ่มิ อ่ืนๆ (ถ้าม)ี
ตวั อย่าง เงินเดอื นก่อนออกรับเบ้ยี หวดั ๖,๓๐๐ บาทรับเบ้ยี หวดั ตง้ั แต่ 1 ม.ิ ย.25๓๘ ถงึ ๓๐ เม.ย. 25๕๐
ปี 25๓๘ การปรับเงินเดือนตามมตคิ ณะรัฐมนตรี เม.ย. 25๕๔
๖,๓๐๐ เม.ย. 25๔๗ ต.ค. 25๔๘ ต.ค. 25๕๐ ๘,๑๒๐
อัตราเบ้ยี หวัด ๗,๐๗๐ ๗,๔๓๐ ๗,๗๓๐
รบั เบ้ียหวัด 1 ม.ิ ย. 2538 = ๖,๓๐๐
ปรบั เม.ย. 2547 = 7,070
ปรับ ต.ค. 2548 = 7,430
ณ 30 เม.ย. 2550 = 7,430
ใหน้ าเงนิ เดือนเดือนสดุ ท้าย ๗,๔๓๐ บาท บวกเงินเพ่มิ พิเศษรายเดือน (ถ้าม)ี เปน็ เกณฑใ์ นการคานวณ
บาเหนจ็ บานาญยา้ ยประเภท
กรณีเงินเดือนช้ันประทวนเดิม ก่อน 1 ต.ค. 2537 ป.1 ได้แก่ ส.ต.-จ.ส.อ. และ ป.2 ได้แก่
จ.ส.อ. พเิ ศษ ต้งั แต่ 1 ต.ค. 2537 ได้มีการปรับปรุงระดับเงินเดือนของช้ันประทวนใหม่ ป.1 ได้แก่
ส.ต.-ส.อ. ป.2 ไดแ้ ก่ จ.ส.ต.-จ.ส.อ. และ ป.3 ได้แก่ จ.ส.อ.พเิ ศษ ดงั น้นั ผทู้ ี่มยี ศ ป.1 ไดแ้ ก่ จ.ส.ต.-จ.ส.อ.
เมอื่ ปรับ 1 ต.ค. 2537 ใหป้ รับเป็น ป.2 และผทู้ ่ีมียศ ป.2 จ.ส.อ.พิเศษ ใหป้ รบั เปน็ ป.3
เวลาระหว่างรับเบ้ียหวัดนับ ¼ = ระยะเวลาท่ีออกรับเบ้ียหวัดจนถึงวันก่อนวันย้ายประเภท ให้นับ
เวลาระหว่างน้ัน ¼ และนาเวลาดงั กลา่ วไปบวกกับเวลาราชการปกติ
การตัดเวลาระหว่างรับเบ้ียหวัด ¾ = ระยะเวลาท่ีออกรับเบี้ยหวัดจนถึงวันที่ ๒๖ มี.ค.๒๕๔๐ ให้ตัด
เวลาระหวา่ งนน้ั ¾ เพื่อคานวณเงินประเดมิ สาหรบั สมาชิก กบข.
31
ตัวอย่าง ออกรบั เบี้ยหวัดตง้ั แต่ ๑ มิ.ย. 25๓๘ ถึง 3๐ เม.ย.25๕๐
สตู รการคานวณ เวลาราชการ ¼
วัน เดือน ปี
๓๐ ๔ ๕๐ (วนั ครบรบั เบย้ี หวดั )
๑ ๖ ๓๘ ลบ (วนั ทล่ี าออกรบั เบย้ี หวัด)
*30 ๑๐ ๑๑ * (ให้+1 นับตามจานวนวนั ที่ไดร้ ับเงินเดือน)
- - ๔ หาร
๒๒ ๑๑ ๒ บวก (เวลาราชการ 1/4)
เวลาปกติ
การคานวณ เวลาราชการ ¾ (ตัดเวลาคานวณเงนิ ประเดิม ณ 26 ม.ี ค.๒๕๔๐)
วนั เดือน ปี
๒๖ ๓ ๔๐ (วันเริ่มนบั เวลาสาหรับคานวณเงนิ ประเดมิ )
๑ ๖ ๓๘ ลบ (วันทีล่ าออกรับเบย้ี หวัด)
*๒6 ๙ ๑ * (ให+้ 1 นบั ตามจานวนวนั ที่ไดร้ บั เงนิ เดอื น)
-- ๔ หาร
๑4 ๕ -
-- ๓ คณู
๑๒ ๔ ๑
ตัดเวลาคานวณเงินประเดิม
สูตรคานวณ (ไมเ่ ปน็ สมาชิก กบข.)
บาเหน็จ = เงนิ เดอื นเดอื นสุดทา้ ย × เวลาราชการ
บานาญ = เงินเดอื นเดือนสดุ ทา้ ย × เวลาราชการ
50
สตู รการคานวณ (เป็นสมาชกิ กบข.)
บาเหนจ็ = เงนิ เดือนเดอื นสดุ ท้าย ×เวลาราชการ
บานาญ = เงินเดือนเฉล่ีย 60 เดือนสุดทา้ ย ×เวลาราชการ
50
การคานวณเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ตารางการปรับเงินเดือนจาก ๖,๓๐๐ เป็น ๗,๔๓๐
ใหป้ รับเงนิ เดอื นในเดือน พ.ค. ๒๕๓๘ เป็นเวลา ๑ เดือน)
แตต่ ้องไม่เกนิ 70% ของเงินเดือนเฉล่ีย 60 เดือนสุดท้าย สมาชิก กบข. ท่ีรับบานาญ มีสิทธิได้รับ
เงนิ ประเดิม เงนิ สะสม เงนิ สมทบ เงินชดเชย และผลประโยชน์ตอบแทนของเงินดงั กล่าวจากกองทุน กบข. ดว้ ย
หลักฐานขอรับบาเหน็จบานาญยา้ ยประเภท
1. แบบขอรบั เบ้ยี หวัดบาเหน็จบานาญ บานาญพิเศษ หรือเงินทดแทนข้าราชการวิสามัญออกจาก
ราชการ (แบบ 5300)
2. แบบรายการคานวณเวลาราชการขอรับเบ้ยี หวดั บาเหน็จบานาญ (แบบ บ.)
3. สาเนาคาสงั่ ใหย้ า้ ยประเภท
32
4. สาเนาหนังสือสั่งจ่ายเบ้ียหวัด และใบแนบหนงั สอื สง่ั จ่ายเบีย้ หวัด (ถ้ามี)
5. แบบแจ้งของดเบกิ เงนิ เบี้ยหวดั (สรจ.12)
6. สมดุ ประวตั ิ (กรณเี ปน็ สมาชิก กบข.)
การพิจารณาส่ังจ่ายบาเหน็จบานาญย้ายประเภท
(เชน่ เดียวกับการพิจารณาสง่ั จ่ายบาเหน็จบานาญปกติ)
กรณรี ายการตาแหน่ง (7) ในแบบขอรับเบี้ยหวัด บาเหน็จบานาญ (แบบ 5300) ให้ใส่เป็น
ตาแหน่งกองหนนุ มเี บี้ยหวัด
กรณีไม่มีสาเนาหนังสือส่ังจ่ายเบี้ยหวัด และใบแนบหนังสือส่ังจ่ายเบ้ียหวัด (ตามข้อ 4)
ให้ขอเร่ืองเดิมเบี้ยหวัด มาเพ่ือประกอบการพิจารณา หากค้นเรื่องเดิมไม่พบให้ขอยืมสมุดประวัติจาก
ส่วนราชการ หรอื ตรวจสอบเบย้ี หวดั จากขอ้ มูลบัตรกลางในระบบบาเหนจ็ บานาญ
กรณผี ้ทู ีเ่ ปน็ สมาชกิ กบข. จะต้องยืมสมดุ ประวัตจิ ากส่วนราชการมาเพ่ือตรวจสอบเงินเดือน
เฉลี่ย 60 เดอื นสดุ ท้าย
33
1
+ +( .)
34
ระยะเวลาการรับเบ้ียหวัด
EX.
EX. EX.
35
EX. EX. EX.
8 EX.
EX. 28
36
=X
37
EX.
EX.
= 30
38
39
40
41
42
15 15/50
15 25 25/50
25 30 30/50
30 35 35/50
35 40 40/50
40
=X
43
บาเหน็จลูกจ้าง
ความหมายและประเภทของบาเหนจ็ ลูกจา้ ง
บาเหนจ็ ลกู จ้าง มี 3 ประเภท คอื
1. บาเหนจ็ ปกติ
1.1 บาเหน็จปกติ เป็นเงินตอบแทนของลูกจ้างประจาที่ออกจากงาน หรือถึงแก่ความ
ตาย (จา่ ยทายาทผู้มีสิทธิรบั มรดก ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย)์ ซ่ึงจ่ายเป็นเงินก้อน
1.2 บาเหนจ็ รายเดอื น เป็นเงินตอบแทนของลูกจ้างประจาท่ีออกจากงานเนื่องจากทางานมา
นาน ซง่ึ จ่ายเปน็ รายเดอื น
2. บาเหนจ็ พเิ ศษ
2.1 บาเหน็จพิเศษ เป็นเงนิ ท่จี า่ ยใหแ้ ก่ลกู จา้ งประจาหรอื ลกู จา้ งชว่ั คราว ซงึ่ จ่ายเปน็
เงนิ กอ้ น ดังน้ี
- กรณอี อกจากงาน เนื่องจากได้รบั อนั ตรายหรือปุวยเจบ็ เพราะเหตุปฏิบัติงาน
ในหน้าท่ีหรอื ถกู ประทุษร้ายเพราะเหตุกระทาการตามหน้าท่ี ซึง่ แพทยท์ ท่ี างราชการรับรองได้ตรวจและแสดง
วา่ ไมส่ ามารถปฏิบัติงานในหนา้ ทีไ่ ดอ้ ีกเลย
- กรณถี งึ แกค่ วามตาย เน่อื งจากไดร้ ับอนั ตรายหรือปวุ ยเจบ็ เพราะเหตปุ ฏิบัติงาน
ในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทาการตามหน้าที่ (จ่ายทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์)
2.2 บาเหนจ็ พเิ ศษรายเดือน เปน็ เงนิ ทจี่ า่ ยให้แก่ลกู จา้ งประจาท่อี อกจากงานเนื่องจาก
ไดร้ ับอันตรายหรือปุวยเจ็บเพราะเหตปุ ฏิบตั ิงานในหน้าทหี่ รือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทาการตามหน้าท่ี
ซ่งึ แพทยท์ ี่ทางราชการรับรองได้ตรวจและแสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้อีกเลย ซ่ึงจ่ายเป็นราย
เดือน
**ลกู จ้างชัว่ คราว ไมม่ สี ิทธิขอรับบาเหนจ็ พเิ ศษรายเดอื น**
3. บาเหน็จตกทอด เป็นเงนิ ทจ่ี า่ ยเป็นเงินก้อน ในกรณผี ู้รับบาเหน็จรายเดอื น หรอื ผู้รับบาเหน็จ
พเิ ศษรายเดอื นถงึ แกค่ วามตาย โดยจา่ ยให้แกบ่ ิดา/มารดา ค่สู มรส บตุ ร หรอื บุคคล ท่ีผ้ตู ายได้แสดงเจตนา
ฯ ตามแบบทีก่ าหนด (ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าดว้ ยบาเหนจ็ ลูกจา้ ง (ฉบบั ที่ 9) พ.ศ. 2554)
กฎหมายและระเบียบท่เี กีย่ วข้อง
1. ระเบียบกระทรวงการคลงั ว่าด้วยบาเหนจ็ ลกู จา้ ง พ.ศ. 2519
2. ระเบยี บกระทรวงการคลังวา่ ดว้ ยการขอรบั และการจ่ายบาเหน็จบานาญข้าราชการ พ.ศ. 2527
และท่แี กไ้ ขเพิ่มเตมิ (โดยอนโุ ลม)
3. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบาเหน็จลูกจา้ ง (ฉบบั ที่ 8) พ.ศ. 2552
4. ระเบียบกระทรวงการคลังวา่ ด้วยบาเหนจ็ ลกู จ้าง (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2554
5. หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนท่ีสุด ท่ี กค 0406.5/ว 72 ลงวนั ท่ี 2 สิงหาคม 2554
(แบบแสดงเจตนาระบตุ ัวผรุ้ ับบาเหน็จตกทอด)
6. หนงั สือกรมบัญชีกลาง ท่ี 0406.5/ว 461 ลงวนั ที่ 27 ธันวาคม 2554
(แบบขอรับบาเหนจ็ ตกทอด กรณีผ้รู ับบาเหนจ็ รายเดอื นหรอื ผรู้ ับบาเหน็จพเิ ศษรายเดอื นถึงแกค่ วามตาย)
7. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยว์ า่ ดว้ ยมรดก (บรรพ 6)
44
บาเหน็จปกติ
ลูกจ้างประจาจะมสี ทิ ธิได้รับบาเหนจ็ ปกติ เม่ือตอ้ งออกจากงานด้วยเหตุหนง่ึ เหตุใด ดังตอ่ ไปนี้
(1) ลาออกโดยไม่มีความผิดและได้รับอนุญาตจากผู้มีอานาจส่ังบรรจุและแต่งตั้งหรือ
ผ้ทู ่ไี ด้รับมอบหมายแลว้
(2) กระทาผดิ วินัยอยา่ งรา้ ยแรงและถูกลงโทษปลดออกจากราชการ
(3) มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้ว และพ้นจากงานเม่ือส้ินปีงบประมาณท่ีอายุครบหกสิบปี
บริบูรณ์ เว้นแตล่ กู จา้ งประจาของสานักราชเลขาธิการ และสานักพระราชวัง ให้เป็นไปตามท่ีคณะรัฐมนตรี
กาหนด
(4) ปวุ ยเจบ็ ไมอ่ าจปฏิบัติหนา้ ทก่ี ารงานของตนเองโดยสม่าเสมอ หรอื โดยมีใบรบั รองแพทย์
ซึ่งทางราชการรบั รองว่าไมส่ ามารถหรอื ไมส่ มควรทางานต่อไป
(5) ขาดคณุ สมบัติเกย่ี วกบั สญั ชาติ
(6) ขาดคุณสมบัติเนื่องจากไม่เป็นผู้เลื่อมใสในการประครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทยด้วยความบรสิ ุทธ์ิใจ
(7) ขาดคุณสมบัติเนื่องจากไปดารงตาแหน่งกานัน แพทย์ประจาตาบล สารวัตรกานัน
ผ้ใู หญบ่ ้าน และผชู้ ว่ ยผใู้ หญบ่ ้าน
(8) ขาดคณุ สมบตั เิ น่ืองจากไปดารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง
(9) ขาดคุณสมบัติเน่ืองจากเป็นผู้มีกายทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ไร้ความสามารถ หรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคตามที่กาหนดในกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน
(10) ขาดคุณสมบัติเน่ืองจากไปเป็นกรรมการพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าท่ีในพรรค
การเมอื ง
(11) ขาดคุณสมบตั เิ น่อื งจากตกเปน็ บุคคลล้มละลาย
(12) ทางราชการเลิกหรอื ยบุ ตาแหน่ง
(13) หย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่การงานของตนให้มีประสิทธิภาพ หรือ
ประพฤตติ นไมเ่ หมาะสมกับตาแหนง่ หนา้ ทก่ี ารงาน หรือบกพรอ่ งในหนา้ ท่ีด้วยเหตใุ ด
(14) ถกู ส่งั ใหอ้ อกจากราชการเนอ่ื งจากมเี หตุอันควรสงสยั อย่างย่ิงว่า ผู้นั้นกระทาความผิด
วนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรง แตก่ ารสอบสวนไม่แนช่ ัดพอทจ่ี ะลงโทษ ปลดออก หรือไล่ออกได้ แต่มีมลทินหรือมัวหมอง
ในกรณที ่ีถกู สอบสวนนั้น ซ่ึงถา้ ใหป้ ฏบิ ตั ิงานต่อไปอาจจะเป็นการเสียหายแก่ทางราชการ
(15) ถกู ส่งั ใหอ้ อกจากราชการ เนือ่ งจากรับโทษจาคุกโดยคาสั่งศาล หรือต้องรับโทษจาคุก
โดยคาพิพากษาถึงท่สี ุดให้จาคุกในความผดิ ท่ไี ด้กระทาโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษซ่ึงยังไม่ถึงกับจะต้อง
ถูกลงโทษปลดออกหรอื ไลอ่ อก
(16) ไปรับราชการทหารตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการรบั ราชการทหาร
กรณที ี่ (1) – (2) ตอ้ งทางานเป็นลกู จา้ งประจามาแลว้ ไม่นอ้ ยกวา่ ห้าปีบริบรู ณ์
กรณที ี่ (3) – (16) ตอ้ งทางานเปน็ ลูกจ้างประจามาแลว้ ไม่นอ้ ยกวา่ หนงึ่ ปบี ริบรู ณ์
45
**กรณีลูกจ้างประจาผู้มีสิทธิได้รับบาเหน็จปกติตายเสียก่อนได้รับเงินบาเหน็จ เงินดังกล่าวให้จ่ายแก่
ทายาทผูม้ สี ทิ ธิรบั เงนิ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยอนโุ ลม**
นอกจากกรณี (1) – (16) ลูกจ้างประจาผู้ใดตายในระหว่างรับราชการ ถ้าลูกจ้างประจาผู้นั้นได้
ทางานเป็นลูกจ้างประจามาแลว้ ไมน่ ้อยกวา่ 1 ปบี ริบรู ณ์ และความตายน้ันมิไดเ้ กดิ ข้ึนเน่ืองจากการประพฤตชิ ว่ั
อยา่ งร้ายแรงของตวั เอง ใหจ้ ่ายเงนิ บาเหน็จปกตแิ กท่ ายาทผู้มสี ิทธิไดร้ ับมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ โดยแบ่งจ่ายตามสัดสว่ นของเงินมรดก โดยมิตอ้ งกันสว่ นเป็นสนิ สมรสก่อนแบ่ง เนื่องจากเงินดังกล่าว
ไม่ถือเปน็ สินสมรส
การนับเวลาเพ่อื ใหเ้ กดิ สิทธใิ นการรับบาเหนจ็ ปกติ
การนับเวลาทางานเพ่ือให้เกิดสิทธิรับบาเหน็จปกติ ต้องมีเวลาทางานเป็นลูกจ้างประจาตามเกณฑ์
ที่กาหนด โดยไม่นาเวลาทวีคูณมารวม
ตัวอย่าง 1 : นาย ก ลาออกจากงาน มีเวลาทางานปกติรวม 4 ปี 9 เดือน มีเวลาทวีคูณ
ในระหว่างน้ัน 3 เดือน กฎหมายกาหนดให้การนับเวลาเพ่ือให้เกิดสิทธิในการรับบาเหน็จปกติกรณีลาออก
จากงาน ต้องมเี วลาทางานปกตไิ ม่นอ้ ยกว่า 5 ปี
ดงั นั้น นาย ก จึงไมม่ สี ิทธิไดร้ บั บาเหน็จปกติ เนือ่ งจากมเี วลาทางานปกตไิ ม่ครบ 5 ปี
ตัวอย่าง 2 : นาย ข ถึงแก่ความตาย โดยมีเวลาทางานปกติรวม 11 เดือน 28 วัน มีเวลา
ทวีคูณในระหว่างนั้น 2 เดือน 8 วัน กฎหมายกาหนดให้การนับเวลาเพื่อให้เกิดสิทธิในการรับบาเหน็จปกติ
กรณลี ูกจ้างตาย ต้องมเี วลาทางานปกตไิ มน่ ้อยกวา่ 1 ปี
ดังนั้น ทายาท นาย ข จงึ ไมม่ สี ิทธิไดร้ บั บาเหน็จปกติ เนอ่ื งจากมเี วลาทางานปกตไิ ม่ครบ 1 ปี
การนบั เวลาทางานสาหรบั คานวณบาเหน็จปกติ
1. เริ่มนับตั้งแต่วันเร่ิมเข้าปฏิบัติงาน โดยได้รับค่าจ้างแต่ไม่ก่อนวันที่มีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์
จนถึงวันก่อนออกจากงานหรือก่อนวันพ้นจากหน้าที่ และไม่หลังจากวันสิ้นปีงบประมาณของปีท่ีมีอายุ
ครบหกสบิ ปีบรบิ ูรณ์หรอื จนถงึ วนั ทถี่ งึ แกค่ วามตายแล้วแตก่ รณี
2. ลูกจ้างประจาของสานักราชเลขาธิการและสานักพระราชวังท่ีมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้ว
แต่มกี ารตอ่ เวลาทางาน ให้นับเวลาทางานสาหรับคานวณบาเหน็จปกติต่อไปได้จนถึงวันก่อนออกจากราชการ
แตไ่ ม่หลังจากวันที่อายุครบหกสบิ ห้าปีบริบูรณ์
3. ลูกจา้ งประจาผใู้ ดถูกตัดอตั รามาจากขา้ ราชการวิสามัญโดยไม่ไดร้ บั เงนิ ทดแทนใหน้ บั เวลาราชการ
ตอนเปน็ ข้าราชการวสิ ามัญมารวมกบั เวลาตอนเป็นลูกจา้ งประจาเพือ่ ประโยชน์ในการคานวณจ่ายบาเหน็จปกติได้
4. ลูกจา้ งประจาทไี่ ปรบั ราชการตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการรบั ราชการทหารโดยมิไดร้ ับบาเหนจ็ เมื่อออก
จากกองประจาการหรือได้รับการลาพักเพ่ือรอการปลด โดยไม่มีความเสียหายแล้วกลับเข้าทางาน เป็น
ลูกจ้างประจาในสังกัดเดิมภายในกาหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันก็ให้นับเวลาตอนก่อนไปรับราชการทหาร
กองประจาการและเวลาระหว่างรับราชการทหารกองประจาการรวมเป็นเวลาทางานสาหรับคานวณจ่าย
บาเหนจ็ ปกติได้ การนับเวลาตอนไปรับราชการทหารให้นับตั้งแต่วันที่ได้เข้ารับประจาการในกองประจาการ
จนถึงวันออกจากกองประจาการ หรือวันท่ีได้รับการลาพักเพื่อรอการปลด แต่ไม่รวมถึงเวลาท่ีต้องอยู่ชดใช้
ตามกฎหมายว่าดว้ ยการรบั ราชการทหาร
ลูกจ้างประจาที่ไปรับราชการทหารจะมีสิทธินับเวลาทางานตอนเป็นทหารได้ต้องทางาน
เปน็ ลูกจ้างประจาก่อน
46
5. ลูกจ้างประจาท่ีโอนมาจากองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
อนื่ ให้นับเวลาทางานสาหรบั คานวณบาเหนจ็ ปกติตามระเบยี บวา่ ด้วยบาเหน็จลกู จา้ งของราชการสว่ นท้องถนิ่ ที่
ใช้อยใู่ นวนั โอน รวมเปน็ เวลาทางานสาหรับคานวณบาเหน็จปกตดิ ้วย
กรณที ายาทไม่มสี ิทธิไดร้ ับบาเหน็จปกติ
ลูกจ้างประจาผู้ใดมีกรณีหรือต้องหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือถูกฟูองคดีอาญา หรืออยู่ใน
ระหว่างถูกพักงาน ถ้าถึงแก่ความตายก่อนได้รับการวินิจฉัยเรื่องที่กระทาผิดวินัยหรือก่อนคดีอาญาถึงท่ีสุด
ให้เจ้ากระทรวงพิจารณาวินิจฉัยว่า ถ้าผู้น้ันไม่ถึงแก่ความตายเสียก่อนจะต้องได้รับโทษถึงไล่ออกหรือไม่
ถ้าเห็นว่าผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษถึงไล่ออก ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยอนุโลม
ไมม่ ีสิทธไิ ด้รบั บาเหนจ็ ปกติ
การนบั เวลาทวีคูณ
1. กรณที าหน้าทต่ี ามท่ีกระทรวงกลาโหมกาหนดในระหว่างทมี่ กี ารรบ การสงคราม การปราบปรามจลาจล
2. กรณีปฏิบตั ิหนา้ ท่ีในเขตประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือประกาศสถานการณฉ์ กุ เฉนิ
การนับเวลาทวีคูณดังกล่าวได้ จะต้องมีเวลาที่ทางานตามปกติก่อนจึงจะนับเวลาทวีคูณได้ กรณี
ท่ีลูกจา้ งประจามเี วลาทางานซ่ึงอาจนับเป็นทวีคูณในเวลาเดียวกันได้หลายประการซ้ากัน ให้นับเวลาระหว่าง
นั้นเปน็ ทวคี ูณใหแ้ ต่ทางเดยี วเทา่ นัน้
** ลกู จ้างประจาไมม่ สี ิทธินับเวลาทวีคณู กรณีประกาศกฎอัยการศึก พ.ศ.2549 (19 ก.ย. 49 - 26 ม.ค. 50)
การตัดเวลาทางาน
1. ลกู จ้างประจาผู้ใดไม่ได้รับค่าจ้างเพราะลา ขาดงาน ถูกส่ังพัก ให้ตัดเวลาทางานสาหรับคานวณ
บาเหน็จปกตติ ามส่วนแหง่ วนั ท่ไี มไ่ ดร้ ับคา่ จ้างนั้น
2. ลูกจ้างประจาผู้มีสิทธไิ ด้นับเวลาทวคี ณู กฎอยั การศกึ ถา้ ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าทรี่ ะหวา่ งเวลาซ่งึ ได้นับ
ทวีคณู เชน่ ปุวย ลา ขาด พกั ราชการ หรือ ลาศึกษา ฝึกอบรม ไม่มีสิทธิได้นับเวลาทวีคูณ แม้จะได้รับค่าจ้าง
เตม็ จานวน
วิธคี านวณบาเหน็จปกติ
1. การนับเวลาทางาน ให้นับเป็นจานวนเดือน สาหรับจานวนวันถ้ามีหลายระยะให้รวมกัน
แลว้ นบั สามสบิ วนั เป็นหนงึ่ เดือน เศษของเดือนถ้าถงึ 15 วัน ให้นับเป็นหน่ึงเดอื น
2. บาเหน็จปกติ คานวณโดยใช้อัตราค่าจ้างเดือนสุดท้ายคูณด้วยจานวนเดือนที่ทางานหารด้วย
สบิ สอง ถา้ มเี ศษของบาทใหป้ ดั ท้ิง
47