The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ชื่อบ้านนามเมือง ของเก่าเล่าเรื่อง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 美麗mèimei, 2020-11-12 06:31:52

ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ชื่อบ้านนามเมือง ของเก่าเล่าเรื่อง

ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ชื่อบ้านนามเมือง ของเก่าเล่าเรื่อง

ภูมปิ ัญญาทอ้เฉงลถมิน่ิ ฉชลอ่ื อบงเ้ามนอื นงามมุกเดมาือหงาขรอคงรเกบ่ารเอลบา่ เร๒ื่อ๕ง๐ชปมุ ชี นคุณธรรม โดยมีผู้น�าหมู่บ้านคือ คุณปูโปก
คุณปู่วัน คุณป้าจุม คุณตาโห
นามสกลุ “วงศก์ ระโซ่”
พออยู่หนองกบได้นานสัก
ระยะหน่ึงก็มีโรคระบาดเกิดขึ้นใน
หมบู่ า้ นคอื อหวิ าตกโรค ทา� ใหค้ นใน
หมบู่ า้ นลม้ ตายเปน็ จา� นวนมาก ผนู้ า�
หมู่บ้านจึงพากันอพยพหนีจาก
บ้านหนองกบมาตัง้ ถน่ิ ฐานใหมอ่ ย ู่ “บ้านโพนไฮ” อยูท่ างทิศใต้ของบ้านหนองกบ
จงึ ตั้งช่ือใหมว่ ่า “บ้านโพนไฮใตแ้ กง่ กุม”

วดั บโพา้ชุนมนโชพไนนฮคไุพฮณ ฒัหธ มรนรู่ทมี่า๓ราม และคณุ ปโู ปก
คุณปูว่ นั คุณปา้ จุม
ตำาบลหนองแคน อำาเภอดงหลวง จังหวดั มกุ ดาหาร คณุ ตาโห นามสกุล
บ้านโพนไฮก่อตั้งข้ึนมาใหม่เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ เมื่อก่อนนี้ได้พากันอพยพ “วงศก์ ระโซ่” เป็น
เขา้ ไปอยใู่ นปา่ เนอื่ งจากความไมเ่ ขา้ ใจทางการเมอื ง เมอ่ื กลบั ออกมาทางราชการ กลุม่ ผกู้ อ่ ตง้ั บ้าน
ไดใ้ ห้ยา้ ยจากท่เี ดมิ คือ รมิ ฝ่ัง หว้ ยบางทรายทางทศิ ใต้ ขน้ึ มาต้ังเปน็ บ้านโพนไฮ โพนไฮ กลุ่มแรก
ในพ้ืนท่ีปจั จบุ นั
บา้ นโพนไฮ ตา� บลหนองแคน อ�าเภอดงหลวง จังหวดั มุกดาหาร เมือ่ ปี พ.ศ.
๒๔๓๕ ชาวบ้านโพนไฮได้อพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น�้าโขงมาจากเมืองสาละวัน
สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว (ในปัจจบุ นั ) เมอ่ื มาถงึ ประเทศไทยแล้ว
กม็ าตง้ั ถิ่นฐานอย่หู นองกบเปน็ เวลา ๓๐ ป ี จึงตง้ั ช่อื หมบู่ ้านว่า “บา้ นหนองกบ”

99

ศาสนสถาน - ความศรัทธา ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ : ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน
วดั โพนไฮพัฒนาราม โบสถ์ไม้
วัดโพนไฮพัฒนาราม เป็นโบสถ์ไม้ ผกั หวานปา่ โคมไฟจากไมไ้ ผ่
สองชั้นประยุกต์แบบล้านนา ที่มี
ค ว า ม ต ร ะ ก า ร ต า น ่ า ห ล ง ใ ห ล ผา้ ขาวม้า ผ้าฝ้ายทอมอื เสอ่ื
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป
จา� ลองท่ีมชี ่ือเสียงจากหลายแหง่ ขอ้ มลู ติดตอ่ :
บ้านโพนไฮ หมทู่ ่ ี ๓ ตา� บลหนองแคน
ประเพณวี ัฒนธรรมทอ้ งถิ่น อ�าเภอดงหลวง จงั หวดั มกุ ดาหาร ๔๙๑๔๐
วัฒนธรรมแบบฉบับไทยโซ่
ไทยบรู .........................................................

100 นายสรร แสนสุภา (ผูใ้ หญบ่ า้ น)
๐๙๒-๓๓๙๓๙๐๔

ภมู ปิ ัญญาทอ้เฉงลถิมิ่นฉชลอ่ื อบงเา้ มนือนงามมกุ เดมาอื หงาขรอคงรเกบ่ารเอลบา่ เร๒อ่ื ๕ง๐ชปมุ ชี นคณุ ธรรม จังหวัดนครพม น�าโดยท่านปลัดโชง ออกมาพบประชาชนที่บ้านห้วยไม้กะซะ
พอมาถงึ หมูบ่ ้านกเ็ หน็ ตน้ มะตูมใหญห่ ลายตน้ เจา้ หน้าท่จี ึงได้ประชมุ ชาวบ้านเพ่ือ
บชา้ ุ นมวกชัดกนกตคมูุกณตหธมรูมู่ทร ่ีม๑ ปรกึ ษาหารอื กบั ชาวบา้ นวา่ อยากจะตง้ั ชอ่ื ใหมใ่ ห ้ คอื บา้ นกกตมู เพราะมตี น้ มะตมู ใหญ่
ชาวบา้ นทกุ คนทรี่ ว่ มประชมุ กเ็ หน็ ดว้ ยกบั เจา้ หนา้ ทจี่ งึ เปลย่ี นจากบา้ นหว้ ยไมก้ ะซะ
ตำาบลกกตมู อำาเภอดงหลวง จงั หวดั มุกดาหาร มาเป็นบ้านกกตูมจนถึงปัจจุบันน้ี และกลุ่มนามสกุลนามตาแสงนั้นเจ้าหน้าท ี่
เดมิ ชอื่ บา้ นหว้ ยไมก้ ะซะ มหี มบู่ า้ นทง้ั หมดทม่ี ารวมกนั กอ่ ตง้ั ๘ หมบู่ า้ น ไดแ้ ก่ จากอ�าเภอนาแกได้เสนอให้เปลี่ยนจากนามตาแสงเป็นชื่อก�านันจากสาธารณรัฐ
บา้ นหว้ ยไมก้ ะซะ, บา้ นหว้ ยคา� กกยาง, บา้ นมงุ่ จนั ทร,์ บา้ นดอน, บา้ นนอ้ ย, บา้ นกา๊� กดู , ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวสว่ นนามสกลุ เชอื้ แขง็ แรงและสขุ พนั ธย์ งั คงเหมอื นเดมิ
บา้ นกกกระแต, บา้ นนากลาง
มารวมกนั ทบ่ี า้ นหว้ ยไมก้ ะซะ มนี ายทนไมท่ ราบนามสกลุ ทา่ นมลี กู ชาย ๗ คน ศาสนสถาน - ความศรทั ธา
มากอ่ ตงั้ บา้ นเปน็ คนแรกทบี่ า้ นหว้ ยไมก้ ะซะ จงึ เรยี กชอ่ื บา้ นหว้ ยไมก้ ะซะ เปน็ บคุ คล วัดกกตูม ตั้งอยู่เลขท่ี ๓ บ้านกกตูม หมู่ที่ ๑
ทอี่ พยพมาจากเมอื งวงั องั คา� สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวสมยั สงคราม ต�าบลกกตูม อ�าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร
อินโดจีน คนโบราณสมัยนั้นเรียกว่า เลิกฮ่อ มีบุคคลที่มารวมกัน ๓ กลุ่มอยู่ใน สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินต้ังวัดมีเนื้อที่ ๖ ไร ่
เขตการปกครองอา� เภอนาแก จงั หวดั นครพนม หลงั จากนน้ั เจา้ หนา้ ทจ่ี ากอา� เภอนาแก ๒ งาน ๘ ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือ ประมาณ
๑ เสน้ ๑๗ วา ๒ ศอก จดถนน ทิศใต้ประมาณ ๒ เสน้
๖ วา ๒ ศอก จดโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพต�าบล
ทศิ ตะวนั ออกประมาณ ๒ เส้น ๑๖ วา จดถนน ทศิ ตะวนั ตกประมาณ ๒ เส้น ๔ วา
๑ ศอก จดโรงเรยี น มธี รณสี งฆจ์ า� นวน ๑ แปลง เนอ้ื ท ่ี ๒ ไร ่ ๑ งาน อาคารเสนาชนะ
ประกอบดว้ ย ศาลาการเปรยี ญ กวา้ ง ๑๑.๔๐ เมตร ยาว ๑๘.๕๐ เมตร เป็นอาคาร
ครึ่งอิฐคร่งึ ไม้ กุฏิสงฆ ์ จ�านวน ๓ หลงั เป็นอาคารไม้ ๑ หลงั คร่งึ ตกึ ครึ่งไม ้ ๒ หลงั
และศาลาอเนกประสงค ์ กวา้ ง ๔ เมตร ยาว ๖ เมตร สร้างเมอื่ พ.ศ. ๒๕๓๔
วัดกกตมู ตัง้ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๓ โดยมีพระคา� พา พระลา� พนู และพระลาย เปน็
ผนู้ า� ชาวบา้ นในการสรา้ งวดั ไดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสมี า เมอื่ วนั ท ่ี ๒ พฤศจกิ ายน
พ.ศ.๒๕๓๐ เขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๒๖ เมตร ยาว ๔๐ เมตร การบริหารและ
การปกครองมีเจ้าอาวาสเท่าท่ีทราบนามคือ รูปท่ี ๑
พระคา� พา รปู ท ี่ ๒ พระเถงิ รูปที่ ๓ พระเครอื รปู ท ่ี ๔
พระครูเกษม รปู ที่ ๕ พระครูสุวรรณคุณประสิทธ์ิ

101

ประเพณวี ฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น : ผลติ ภัณฑ์ชุมชน
พธิ ีเลีย้ งปตู่ า
พิธหี มอเหยาบา้ นกกตูม ผา้ ฝา้ ยมดั หมี่
ขอ้ มูลติดต่อ :
102 บา้ นกกตมู หมทู่ ี่ ๑ ต�าบลกกตมู อา� เภอดงหลวง
จ. .งั. .ห. .ว.ดั. .ม. .ุก. .ด. .า. .ห. .า.ร. . .๔. .๙. .๑. . .๔. .๐. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

พระครูสุวรรณคุณประสทิ ธ์ิ (เจ้าอาวาสวัดกกตูม)
.๐. .๖. . .๑. .-. ๑. . .๓. . .๘. .๙. . .๕. .๖. . .๒. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

นายลขิ ิต เชือ้ คนแขง็ (ผใู้ หญบ่ า้ น)
๐๙๘-๗๗๒๖๐๙๒

ภูมิปัญญาทอ้เฉงลถมิน่ิ ฉชลอื่ อบงเา้ มนอื นงามมุกเดมาือหงาขรอคงรเกบ่ารเอลบา่ เร๒่ือ๕ง๐ชปุมชี นคณุ ธรรม จงั หวดั นครพนม ตอ่ มาเมอื่ พ.ศ. ๒๕๒๕ อา� เภอมกุ ดาหาร จงั หวดั นครพนม ไดร้ บั
การยกฐานะเปน็ จงั หวดั มกุ ดาหาร จงึ ไดข้ นึ้ การปกครองตอ่ จงั หวดั มกุ ดาหาร และ
บ้าชนุวมดัดชงหนโลพควุ ณธงธิศ์หรมรรทู่ ีม่ี ๓ ไดร้ บั การยกฐานะเปน็ อา� เภอเมอ่ื วนั ท ่ี ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๗ โดยมปี ลดั อา� เภอผเู้ ปน็
หวั หนา้ ประจา� กง่ิ อา� เภอคนแรก คอื นายเกยี รตคิ ณุ สวุ รรณกลู
ตำาบลดงหลวง อาำ เภอดงหลวง จังหวดั มุกดาหาร ในอดตี ประมาณ ๑๘๖ ปกี อ่ น ในสมยั รชั กาลท ่ี ๒ เมอื่ ประมาณ พ.ศ.๒๓๕๙
ตา� บลดงหลวง เปน็ ตา� บลเกา่ แก ่ ตง้ั ถนิ่ ฐานอยใู่ นเขตเทอื กเขาภพู าน ตงั้ แตส่ มยั ชาวไทยกะโซ่กลุ่มหนึ่งซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้�าโขง บริเวณเมืองมหาชัย
รชั กาลท ี่ ๒ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร ์ เมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๓๕๙ โดยชนเผา่ โซน่ อี้ พยพมาจาก ในแขวงคา� มว่ น แขวงสะหวนั นะเขต ประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
แขวงคา� มว่ น แขวงสะหวนั นะเขต ประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ในปจั จบุ นั ไดอ้ พยพมาตง้ั ถน่ิ ฐานในภาคอสี านของประเทศไทย โดยการนา� ของ เพยี้ แกว้
โดยการนา� ของทา้ วเพยี้ แกว้ นครอนิ ทร ์ ขยายอาณาบรเิ วณอยใู่ นเขตอา� เภอดงหลวง นครอนิ ทร ์ ซง่ึ เปน็ บรรพบรุ ษุ ผนู้ า� ไทยชาวกะโซ ่ ไดเ้ หน็ วา่ เปน็ พนื้ ทอี่ ดุ มสมบรู ณไ์ ปดว้ ย
จนมาถงึ ปจั จบุ นั เปน็ เวลาถงึ ๑๘๕ ป ี ชนเผา่ โซน่ บั ถอื ศาสนาพทุ ธและผบี า้ นผเี รอื น พชื พนั ธธ์ุ ญั ญาหารแวดลอ้ มไปดว้ ยทรี่ าบลมุ่ เชงิ เขา
อา� เภอดงหลวง เดมิ เปน็ ตา� บลขน้ึ กบั อา� เภอนาแก จงั หวดั นครพนม ไดร้ บั การแตง่ ตงั้ เหมาะสมในการปลกู พชื และเลยี้ งสตั ว ์ เพอ่ื ดา� รงชวี ติ
เปน็ กงิ่ อา� เภอ เมอื่ วนั ท ่ี ๑ เมษายน ๒๕๒๐ โดยแยกตา� บลดงหลวง ตา� บลหนองบวั จึงเรียกช่ือหมู่บ้านว่า บ้านดงหลวง และหัวหน้า
ต�าบลหนองแคน ต�าบลพังแดง และต�าบลกกตูม รวมเป็นก่ิงอ�าเภอดงหลวง ชาวไทยกะโซ่ต่อมาได้เป็นก�านันต�าบลดงหลวง
คนแรกมีบรรดาศักด์ิว่า “หลวงมโนไพรพฤกษ์”
ชาวไทยกะโซใ่ นทอ้ งถนิ่ สว่ นมากใชน้ ามสกลุ เดยี วกนั
บคือาง แวหงง่คก์กเ็ รรยีะกโซว่ า่ แ“ลโซะ”่โซ ห่เมรืออื ง“แโซสะ”้ แชตาใ่วนกพะจโนซา่หนรกุือร มฉบบั บณั ชฑนติ เยผส่าถโซาน่ “เขยี นวา่
กะโซ”่ คา� วา่ กะโซม่ าจากคา� วา่ “ขา่ โซ”่ หมายถงึ ขา่ พวกหนงึ่ ในตระกลู เดยี วกนั กบั
พวกขา่ หรอื บรแู ละถือว่าเปน็ เผา่ พนั ธ์เุ ดียวกนั กบั ขอมโบราณและขอมเขมร กะโซ่
ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างจากพวกข่าท่ัวไป ชาวกะโซ่อีกพวกท่ี
อพยพมาจากแขวงอตั ปอื ของลาวไปอยใู่ นเขตจงั หวดั ศรสี ะเกษ จงั หวดั สรุ นิ ทร ์ เรยี กวา่
พวกส่วยหรือกุย พูดภาษาเดียวกับชาวกะโซ่ ชาวกะโซ่ท่ีอพยพข้ามโขงมาใน
สมยั รชั กาลท ี่ ๓ ไดม้ าตง้ั เมอื งทรี่ ามราชอยจู่ งั หวดั นครพนม เมอื งกสุ มุ าลยม์ ณฑลอยู่
จงั หวดั สกลนคร

นทา่ีปยรปกึ ษา้ ายเทโศซบาเ่ มลดืองงหแลวซงะ ผนู้ใหาญย่บส้ามนดชงหาลยวงท หอมงทู่ ค่ี ๑าำ ๐ นายภมู ี วงคก์ ระโซ่

ผู้ใหญบ่ า้ นดงหลวง หมู่ท ี่ ๓

103

ศาสนสถาน - ความศรทั ธา ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ : ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน
วดั โพธ์ศิ รี บา้ นดงหลวง

ตจกุ๊ าตกาผผ้าา้ ขเาชวด็ มมา้ ือ

ผา้ ฝา้ ยมดั หม่ี

ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิน่ ชาผกั หวานปา่ เคร่อื งจกั สาน
พธิ ีกรรมโซ่ทั่งบั้ง
พวกเปก็นะโภซา ่ คษ�าาวช่าา วถไัง่ ท/ยทองั่ ีสแาปนลเวรีย่ากกรชะือ่ ทพ้งุ ิธหกี รรือรกมรขะอแงทชกาว คก�าะวโา่ซ ่บคง้ั า� หวา่ม า“ยโซถ่”งึ บห้อมงาหยรถอืึง ขอ้ มลู ติดตอ่ :
กระบอกไมไ้ ผ ่ โซท่ งั้ บงั้ กค็ อื การใชก้ ระบอกไมไ้ ผย่ าวประมาณ ๓ ปลอ้ งกระทงุ้ ดนิ บา้ นดงหลวง หมทู่ ่ี ๓ ตา� บลดงหลวง
เปน็ จังหวะและมผี ้รู ่ายร�าและร้องรา� ไปตามจงั หวะในพิธีกรรม “ของชาวกะโซ”่ อ..า�..เ.ภ..อ..ด..ง.ห..ล..ว..ง. .จ..งั..ห..ว.ดั..ม..กุ..ด..า..ห..า.ร.. .๔..๙..๑..๔...๐.....
พิธีเหยา
ในการรักษาคนป่วยหรือเรียกขวัญคล้ายๆ กับพิธีกรรมของชาวอีสานท่ัวไป นายภูมี วงศ์กระโซ่
๐๘๖-๒๒๙๑๓๑๖
เพื่อเป็นก�าลังใจให้ผู้ป่วยหรือการ
เรยี กขวัญ โดยหมอผจี ะทา� หนา้ ทเี่ ปน็
ล่ามสอบถามวญิ ญาณของบรรพบรุ ุษ

ภาษาของชาวกะโซ่
ภาษาที่ชาวกะโซ่ใช้คือ ภาษาโซ่
บางทีก็เรียกว่า “ข่าโซ่” เป็นภาษา
หน่ึงของตระกูล ออสโตรเอเชียติก
กล่มุ ภาษามอญ/เขมร สาขากตุ ุ

104

ภูมปิ ญั ญาทอ้เฉงลถมิิน่ ฉชลือ่ อบงเ้ามนอื นงามมุกเดมาอื หงาขรอคงรเกบา่ รเอลบ่าเร๒อ่ื ๕ง๐ชปมุ ชี นคณุ ธรรม ชาวบา้ นหนองบวั ไดอ้ พยพมาจากเมืองบก เมอื งวงั อา่ งคา� ลงมาตั้งบ้านเรือน
อยู่ที่บ้านนาน้อยอ้อยหนู แขวงสะหวันนะเขต ต่อมาได้ย้ายข้ามฝั่งโขงมาอยู่ท ่ี
บ้านกุดฮัง มุกดาหารผู้น�าในการอพยพมาอยู่ที่มุกดาหาร มีเพ้ียแก้ว เพ้ียแก่น
เพีย้ จันทร์ เจา้ เมอื งมุกดาหารไดส้ ่งไปอยบู่ า้ นตากแดด ตา� บลผ่งึ แดด แต่เนื่องจาก
ทต่ี า� บลผ่ึงแดด ในสมัยน้ันชาวบ้านท�ามาหากนิ ฝืดเคอื ง (ไม่มสี ัตวป์ า่ ใหล้ า่ เพอื่ เปน็
อาหาร) จึงร้องเรียนต่อเจ้าเมืองมุกดาหาร และได้ย้ายบ้านมาอยู่ที่บ้านดงหมู
ซ่ึงเป็นท่ีต้ังบ้านหนองบัวในปัจจุบัน ผู้น�าในการย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่คือ นายอุทธัง
ซึ่งได้เปน็ หวั หน้าหมู่บ้านคนแรก ต่อมามีหลวงชัยอามาตย์ หลวงระลกึ ประทุมเขต
หลวงเทพ สุริวงศ์ จนถึงก�านันคนสุดท้ายพึ่งเกษียณอายุราชการไปเม่ือ วันท ่ี
๓๐ กันยายน ๒๕๒๘ ชื่อนายสีลา ค�ามุงคุณ ได้รับรางวัลก�านันดีเด่น
กระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ เปน็ คนแรกของอ�าเภอดงหลวง ผู้นา� หมบู่ ้าน
แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นคนดี เป็นท่ีเคารพนับถือของชาวบ้าน ปกครองหมู่บ้าน
และต�าบลให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขเร่ือยมา เป็นนักพัฒนา พาชาวบ้านพัฒนา
บ้านเมืองใหเ้ จรญิ รงุ่ เรืองข้ึนตราบเทา่ ปัจจบุ ัน

บ้านหชุนม ชอนงคบุ ณัวธ รหร มมทู่ ี่ ๑ ศาสนสถาน - ความศรทั ธา
วัดศรีมงคล (หนองบัว) คร้ังแรก
ตำาบลดงหลวง อำาเภอดงหลวง จงั หวดั มุกดาหาร เรมิ่ ตง้ั แตเ่ มอ่ื ประมาณ พ.ศ.๒๔๐๐ โดยมี
บรรพบุรุษชาวบ้านหนองบัวคร้ังแรกต้ังถ่ินฐานอยู่ท่ี แคว้นสิบสองปันนา พระภิกษุ จากฝั่งลาวชื่อ พระบุตรดี
สบิ สองจไุ ทและหวั เมอื งพนั ทง้ั หา้ หกแถบเมอื งทงุ่ เชยี งคา� เมอื งพวน ปพี .ศ. ๒๓๙๐-๒๔๑๐ มาจากบา้ นนาเดอ่ื แถบแขวงสะหวนั นะเขต
เกดิ กบฏไทเ้ ผง็ ทป่ี ระเทศจนี ในสมยั ราชวงศแ์ มนจ ู กบฏลกุ ลามใหญโ่ ตมากแตก่ ถ็ กู สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
ราชวงศ์แมนจูและทหารต่างชาติปราบก็แตกกระเจิง แตกหนีมาในเขตลาว โดยได้มาชักชวนชาวบ้านให้ร่วมกันต้ัง
พวกกบฏไท้เผ็งหรือฮ่อนี้ ได้คุกคามท�าการปล้นสะดมของชาวบ้านชาวเมือง วั ด ข้ึ น เ มื่ อ ตั้ ง เ ส ร็ จ แ ล ้ ว จึ ง ม อ บ ใ ห ้
แมก้ ระทั่งเมืองหลวงพระบางกถ็ ูกปล้น ฆ่าท้ังลกู เล็กเดก็ แดง ประชาชนในแถบนั้น
ถกู ภยั กบฏคกุ คามอย่างหนักจึงพากนั อพยพครอบครัวหนีภัยลงมาทางใต้

105

พระภิกษสุ อนซงึ่ เดินทางมาด้วยกันเปน็ ผู้ปกครองดแู ลรักษาสืบตอ่ ไป ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ : ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน
ในสมัยที่พระอธิการลือ เป็นเจ้าอาวาสนั้นทางวัดได้เร่ิมก่อสร้างอุโบสถ กุฏิ
ยาสมุนไพรพื้นบ้าน ผ้าฝ้ายมัดหม่ี
วิหารถาวรข้ึน ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๕-๒๔๖๐ ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๖
แหง่ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ไดส้ รา้ งอุทธกุกเขปสมี า (หรือสิมน�า้ ) ข้นึ ทห่ี นองหลม่ และ ผ้าฝ้ายทอมือ เคร่อื งจักสาน
ได้น�าเอาบัวแดงบัวขาวมาปลูกไว้มากมาย หนองหล่มจึงได้เปลี่ยนช่ือเป็น
“หนองบัว” หมู่บ้านซ่ึงเดิมช่ือว่าบ้านดงหมู ก็ได้เปล่ียนช่ือตามหนองน้�านั้นว่า
“บ้านหนองบัว” ผู้ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันในการตั้งวัดตั้งบ้านในขณะน้ัน
ได้แก ่ หลวงระลึก(ทติ าสอน) อาจารยอ์ ดุ คา� มุงคุณ ผใู้ หญ่บา้ น นายเทพ สุรยิ วงค์
(เซียงอ�าลา) นายบุตรดี เชื้อเมืองแสน และบรรพชนอื่นๆ
สบื ทอดกันมา
ปัจจุบันวัดศรีมงคล บ้านหนองบัว มีเน้ือท่ีดินต้ังวัด
ประมาณ ๕ ไร่ อโุ บสถ ๑ หลัง กว้าง ๒ วา ๑ ศอก ยาว ๓ วา
๓ ศอก ก่อด้วยอิฐฉาบปูน หลังคามุงด้วยสังกะสี สร้างเมื่อ
ปพี .ศ. ๒๔๙๒ กฏุ สิ งฆ ์ ๓ หลงั สภาพด ี ๑ หลงั สภาพปานกลาง
๑ หลงั สภาพทรดุ โทรม ๑ หลงั หอระฆงั ๑ หลัง สร้างเมือ่
ปพี .ศ.๒๕๒๖ ก�าแพงรอบวัด สรา้ งเมอ่ื ปพี .ศ.๒๕๐๓

ประเพณีวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ข้อมูลติดต่อ :
ฮตี หรอื จารตี แปลวา่ ความประพฤต ิ ธรรมเนยี ม ประเพณ ี ความประพฤติ บ้านหนองบวั หมู่ท่ ี ๑ ต�าบลหนองบัว
.อ.�า..เ.ภ..อ..ด..ง.ห..ล..ว..ง. .จ..ัง..ห..ว.ัด..ม..ุก..ด..า..ห..า.ร.. .๔..๙..๑..๔...๐.....
อนั ดีงาม สิบสอง หมายถงึ ๑๒ เดอื น
รวมความว่าเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาในโอกาสต่างๆ นายอทู่ อง ประทมุ ลี (ผูใ้ หญ่บ้าน)
ทัง้ ๑๒ เดือนในรอบปี เป็นการผสมผสานพธิ ีกรรมท่เี ก่ยี วกับวิถพี ุทธ ผ ี พราหมณ ์ ๐๘๑-๐๕๒๗๐๘๙
ผนวกกบั วิถกี ารเปน็ อย่ ู การท�ามาหากนิ การอาชีพ การละเล่น การสร้างขวัญและ
กา� ลังใจ

106



ประเพณวี ฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ : ผลติ ภัณฑช์ มุ ชน
เฮอื น หมายถงึ เรอื นหรอื บา้ นที่
อยู่อาศัยของชาวอิสาน ซึ่งเม่ือมี เครื่องจักสาน
การปลกู เรอื นใหมแ่ ลว้ เสรจ็ จะตอ้ ง
ประกอบพิธีกรรมก่อนจึงจะเป็น ข้าวต้มมัดข/นขม้าเวทตีย้มนเขาควาย / ผา้ ไหมทอมอื / ไหมมัดหมี่
สิริมงคล แล้วจะมีความสุขความ
เจรญิ กา้ วหนา้ แกผ่ อู้ าศยั โดยตอ้ งมี ขอ้ มูลติดตอ่ :
การหาฤกษ์ยามทีเ่ ปน็ มงคลกอ่ น บ้านชะโนด หมู่ท่ ี ๑ ตา� บลชะโนดนอ้ ย
วนั เป็นมงคล สา� หรับขนึ้ เฮือนใหม่ อ�าเภอดงหลวง จงั หวดั มุกดาหาร ๔๙๑๔๐
ม ี ๓ วนั คอื วนั พธุ วนั พฤหสั บด ี และวนั ศกุ ร ์ นอกจากนย้ี งั ถอื ทศิ ทางทจี่ ะขนึ้ เฮอื นใหม่
ซงึ่ ถอื กนั มาแตโ่ บราณ คอื ขนึ้ ทางทศิ บรู พา (ตะวนั ออก) จะเกดิ ความขนึ้ ทางอาคเนย์ .........................................................
(ตะวันออกเฉียงใต้) เจ้าของเรือนจะตายในไม่ช้า ข้ึนทิศอุดร (เหนือ) จะได้สัตว ์
๔ เท้า ๒ เท้า ขึ้นทางทิศอิสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) จะได้ทรัพย์สินเงินทอง นายอดุ ร คำามงุ คณุ (ผู้ใหญบ่ ้าน)
ขนึ้ ทางทศิ ทกั ษณิ (ใต)้ จะเสยี ขา้ วของ ขนึ้ ทศิ ปจั ฉมิ (ตะวนั ตก) จะเจบ็ ไขอ้ ยไู่ มส่ บาย ๐๘๗-๒๒๗๒๖๕๔
ขน้ึ ทศิ หรด ี (ตะวนั ตกเฉยี งใต)้ ขนุ นางจะใหล้ าภ ขน้ึ ทศิ พายพั (ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื )
จะมลี าภ
พธิ ขี ึน้ เฮอื นใหม่ เมื่อได้ฤกษ์วันและทิศทางแลว้ เจา้ ของบา้ นต้องเตรยี มสง่ิ ของ
ตามคตโิ บราณ ดงั น ้ี ๑. กมุ เกง้ิ หมวกปกี กวา้ งทา� ดว้ ยใบลาน หรอื รม่ ๒. ถงุ ยา่ ม ใสส่ วิ่
คอ้ น กอ้ นเงนิ ทอง นาค ของคา้� คณู ทเ่ี ปน็ มงคล เชน่ งาชา้ ง นอแรด เขา สรอ้ ยคอ เงนิ
๓. แห มอง ถุงเงนิ ถุงทอง ๔. ดาบ หรือ มีด ๕. ตะปหู รือเหลก็ ๖. เหล้า ๗. ทน่ี อน
หมอน มุง้ เส่อื เครอ่ื งนอน ๘. เครอ่ื งใช้ในครัวเรอื นต่างๆ ๙. ขนั หมากเบง็ (บายศรี
ปากชาม) พรอ้ มฝา้ ยผกู ขอ้ มือ ๑๐. กอ้ นหนิ สา� หรบั ลบั มีด ใบตองกล้วย ๑๑. ขัน
ดอกไมม้ ีธปู เทียน ส�าหรบั เจ้าบ้าน ๑๒. โอง่ น�้า ๑๓. โอ่งข้าว ๑๔. ใบคณู ใบยอ

108





ภูมปิ ญั ญาทอ้เฉงลถมิิ่นฉชลอื่ อบงเ้ามนอื นงามมกุ เดมาือหงาขรอคงรเกบ่ารเอลบ่าเร๒ื่อ๕ง๐ชปมุ ชี นคณุ ธรรม พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ต้ังเป็นหมู่บ้าน เมื่อ
ปีพ.ศ.๒๕๒๙ โดยข้ึนกับต�าบลป่งขาม
อา� เภอหวา้ นใหญ ่ จงั หวดั มกุ ดาหาร ตอ่ มา
ปีพ.ศ.๒๕๓๑ ก็ได้แยกมาจากต�าบล
ปง่ ขาม เปน็ ตา� บลดงหม ู อา� เภอหวา้ นใหญ่
จังหวัดมกุ ดาหาร จนถงึ ปัจจบุ ัน

ศวาัดสนนิคสมถเกาษนต-ร ความศรทั ธา

บา้ วนัดชนุ มนคิ ชมคิ นเกมคษุ ณเตกธรษรหรตมมทู่ รี่ ๓ เจ้า/ค เพณจรา้ะะอตคา�าวรบานู ลสคิ หวมวัดธ้านรนิครใมมหเนญกาษ ่ ถเตขตร ๒
ประเพณวี ฒั นธรรมทอ้ งถนิ่
ตาำ บลดงหมู อำาเภอหว้านใหญ่ จงั หวดั มกุ ดาหาร ประเพณีบุญมหาชาติ /
อดตี ชมุ ชนบ้านนิคมทหารผา่ นศึก ต�าบลดงหมูทงั้ ๕ หมู่บา้ น พนื้ ที่ท้ังหมดแต่ บุญประเพณีตาม ฮตี ๑๒
ก่อนเรียก “ป่าดงหมู” เป็นพ้ืนท่ีป่าสงวนแห่งชาติ ต่อมาทางองค์การสงเคราะห์ คอง ๑๔
ทหารผ่านศึกได้ย่ืนเรื่องขออนุญาตเข้าท�าประโยชน์จากกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ ์ เมือ่ ได้รับอนุญาตก็ได้ตัง้ เปน็ หม่บู ้านชอ่ื “บา้ นนคิ มทหารผ่านศกึ ”
หลังจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ได้รับอนุมัติให้เข้าท�า
ประโยชน์ในพื้นที่ป่าดงหมูแล้วทาง อผศ. ก็ได้จัดสรรที่ดินให้กับสมาชิก
ทหารผ่านศกึ ต�าบลดงหมู จ�านวน ๒๘๐ ครอบครวั ประมาณ ๔,๒๐๐ ไร ่ เมือ่ ป ี

111

ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ : ผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ : ผลิตภัณฑ์ชมุ ชน
ไมก้ วาดจากดอกแขม ผลิตภัณฑจ์ ากผา้ ฝา้ ยทอมอื

ผักสวนครัว รว้ั กินได้

กลุ่มผู้เลี้ยงโคขนุ ผลไม้ตามฤดกู าล
ขอ้ มลู ตดิ ตอ่ :
สาน/กทรอะเผป้าา๋ มพดั ลหามสี่ ติก บา้ นนิคมทหารผา่ นศึก หมูท่ ่ี ๓ ต�าบลดงหม ู อา� เภอหวา้ นใหญ่
จ. .ัง. .ห. .ว.ัด. .ม. .กุ. .ด. .า. .ห. .า.ร. . .๔. .๙. .๑. . .๕. .๐. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

นางเกสร สงตลาด (ผู้ใหญ่บ้านหมูท่ ี่ ๓)
.๐. .๖. . .๓. .-. ๘. . .๙. . .๒. .๗. . .๐. .๑. . .๓. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

นางมะณี แย้มชัยภมู ิ (ผใู้ หญบ่ า้ นหมู่ท ี่ ๔)
.๐. .๖. . .๑. .-. ๖. . .๙. . .๒. .๑. . .๔. .๖. . .๕. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

นายประสทิ ธ์ิ สุดทาโคตร (ผ้ใู หญ่บา้ นหม่ทู ่ ี ๒)
๐๘๔-๔๒๘๒๑๒๖

112

ภมู ปิ ญั ญาท้อเฉงลถิม่นิ ฉชล่ืออบงเ้ามนอื นงามมกุ เดมาอื หงาขรอคงรเกบา่ รเอลบ่าเร๒ือ่ ๕ง๐ชปมุ ชี นคุณธรรม คร้ันต้ังหมู่บ้านได้ไม่นานก็เกิดเหตุเภทภัยผู้คนระส่�าระสายเพราะเจ็บไข้ได้
ป่วย พูดกันว่าเป็นเพราะผีดุหรือเจ้าที่ไม่พอใจ แม้ว่าได้ท�าการเซ่นไหว้เจ้าท ี่
บ้าวชนุ มสัดอชสงนคอคอุงณนคธหอรมรนู่ทมี่ ๒ เจา้ ทางแลว้ ก็ไม่ท�าให้สถานการณด์ ีขน้ึ เลย จึงคิดจะพากนั อพยพยา้ ยออกไปอยู่
ทอ่ี นื่ แตบ่ งั เอญิ ไดย้ นิ จากพอ่ คา้ เดนิ เรอื ทแี่ วะเขา้ มาคา้ ขายวา่ มบี าทหลวงฝรงั่ ซงึ่
ตำาบลป่งขาม อาำ เภอหวา้ นใหญ่ จังหวดั มกุ ดาหาร ไม่กลัวผีแต่ผีกลัวจึงได้ส่งคนไปเชิญบาทหลวงฝร่ังท่ีว่าน้ันอยู่วัดหนองแสงและ
แรกเร่มิ เดิมทีนน้ั บรเิ วณหมบู่ า้ นสองคอนนย้ี งั เปน็ ที่รกร้างว่างเปล่า ตอ่ มาเมือ่ วดั คา� เกม้ิ จงั หวดั นครพนม หา่ งขนึ้ ไปทางเหนอื ประมาณ ๗๐ กโิ ลเมตร บาทหลวง
ประมาณกอ่ นป ี ค.ศ.๑๘๘๗ (พ.ศ.๒๔๓๐) มีท่านขนุ ผู้หนึ่งชื่อขนุ อิน หรอื ขุนไทย นั้นช่ือ “คุณพ่อซาเวียร์ เกโก” (Franc Xavier Marie Guego) พระสงฆ ์
จากบา้ นนาคา� น�า้ ก�่า อ�าเภอธาตุพนม จงั หวัดนครพนม ได้พาครอบครัวประมาณ มชิ ชนั นาร ี คณะมสิ ซงั ตา่ งประเทศแหง่ กรงุ ปารสี ประเทศฝรงั่ เศส หรอื ทเ่ี รยี กวา่
๖-๗ ครอบครวั หรอื ประมาณ ๓๐ กวา่ คน มาตงั้ หลกั แหลง่ อยบู่ รเิ วณรมิ ฝง่ั แมน่ า้� โขง “คณะเอม็ เออ.เป” หรอื “เอม็ อพี ”ี (M.E.P. ยอ่ มาจากภาษาฝรงั่ เศสวา่ Missions
บา้ นสองคอนปจั จบุ นั และในล�านา�้ โขงบริเวณใกล้ฝัง่ น้นั มีโขดหนิ และมรี อ่ งนา้� ลกึ Etrangeres de Paris) ทม่ี าทา� การเผยแพรธ่ รรมและประจา� การอยวู่ ดั หนองแสง
ทเ่ี รอื ผา่ นไดอ้ ย ู่ ๒ รอ่ ง (รอ่ งนา�้ ลกึ นภ้ี าษาทอ้ งถนิ่ เรยี กวา่ “คอน”) เนอ่ื งจากมสี องรอ่ ง จงั หวัดนครพนม
หรอื สองคอนจงึ ตงั้ ชอ่ื หมบู่ า้ นวา่ “บา้ นสองคอน” จงึ เปน็ ทม่ี าของการตง้ั ชอื่ หมบู่ า้ น คุณพ่อซาเวียร์ เกโก เดินทางมาถึงบ้านสองคอน ในปี ค.ศ.๑๘๘๗ (พ.ศ.
วา่ “บา้ นสองคอน” ๒๔๓๐) เมื่อมาถึงคุณพ่อได้ถามไถ่ทุกข์สุข และได้รักษาการป่วยไข้ ขณะ
เดียวกันท่านได้สอนพวกเขาให้มีความเชื่อม่ันในพระเจ้า เมื่อคนมีความเช่ือใน
พระเจา้ ผกี ไ็ มม่ ี ผคู้ นกห็ ายจากความเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยและอยอู่ ยา่ งปกตสิ ขุ และสมคั รใจ
เข้าเป็นคริสตชน ปีค.ศ.๑๘๘๗ (พ.ศ.๒๔๓๐) จึงถือเป็นปีแห่งการก่อต้ังกลุ่ม
คริสตชนสองคอน เพราะเปน็ ปีทค่ี ณุ พอ่ ซาเวียร ์ เกโก เขา้ มาปลกู ฝงั ความเชอ่ื ให้
แกช่ าวสองคอน
ยงั มคี นอกี กลมุ่ หนง่ึ ทถ่ี กู ขบั ไลอ่ อกจากหมบู่ า้ นอน่ื เพราะถกู หาวา่ เปน็ “ผปี อบ”
พวกเขาจึงมาขออาศัยอยู่กับกลุ่มของคุณพ่อซาเวียร์ เกโก คุณพ่อก็รับพวกเขา
ไวอ้ ยดู่ ว้ ยกนั และสอนพวกเขาใหม้ คี วามเชอ่ื ในองคพ์ ระเจา้ และพวกเขากไ็ ดส้ มคั ร
เขา้ เปน็ คริสตังกบั คณุ พอ่ ซาเวยี ร ์ เกโก และอยู่ร่วมกันอย่างปกตสิ ุข

ศาสนสถาน - ความศรทั ธา
วัดสองคอน มีชื่อเต็มว่า สักการะสถานพระมารดาแห่งมรณสักขีแห่ง
ประเทศไทย วดั สองคอน หรอื ในชอ่ื เดมิ วา่
วัดพระแม่ไถ่ทาสแห่งสองคอน อยู่ท่ีบ้าน
สองคอน ต�าบลป่งขาม อา� เภอหว้านใหญ่
จังหวัดมุกดาหาร เป็นโบสถ์คริสต์นิกาย
โรมันคาธอลิก ท่ีสร้างข้ึนเพ่ือเป็นอนุสรณ์
สถาน เทดิ พระเกยี รตบิ ญุ ราศรมี รณสกั ขที ง้ั
๗ ท่าน ทไ่ี ด้พลชี ีพเพื่อยืนยนั ความเชอื่ ใน

113

(อาย ุ ๒๓ ป)ี นายศรฟี อง ออ่ นพทิ กั ษ ์ (อาย ุ ๓๓ ป)ี นางพดุ ทา วอ่ งไว (อาย ุ ๕๙ ป)ี
นางสาวบดุ ส ี วอ่ งไว (อาย ุ ๑๖ ป)ี นางสาวคา� ไพ วอ่ งไว (อาย ุ ๑๕ ป)ี และเดก็ หญงิ พร
วอ่ งไว (อายุ ๑๔ ปี) ทีย่ งั ทา� หนา้ ทเ่ี ป็นครสู อนค�าสอนและไมร่ บั ปากกับทางตา� รวจ
วา่ จะเลกิ ตา� รวจจงึ น�าตวั ทัง้ หมดไปยิงจนเสียชวี ิต

ประเพณวี ฒั นธรรมทอ้ งถนิ่
วถิ ชี ีวติ ลมุ่ แมน่ า้ำ โขง

องคพ์ ระผเู้ ปน็ เจา้ เมอื่ ครง้ั เกดิ กรณพี พิ าทระหวา่ งไทยกบั ฝรง่ั เศสในชว่ งสงครามโลก
ครง้ั ท่ ี ๒ เน่ืองจากในระยะนัน้ ผ้คู นแถบชายแดนจะศรัทธาและนับถือศาสนาคริสต์
กนั เปน็ จา� นวนมาก วดั สองคอนแหง่ นไี้ ดถ้ กู คดั เลอื กใหเ้ ปน็ หนง่ึ ในสถานท ่ี Unseen
Thailand II “สัมผสั จริงเมอื งไทย” ในประเภท “มมุ มองใหม่ส่ิงศกั ดิ์สทิ ธ”์ิ รวมทง้ั
ได้ช่ือว่าเป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ท่ีได้ช่ือว่าสวยและใหญ่ที่สุดใน
“อุษาคเนย”์ หรอื เอเชียตะวนั ออกเฉียงใตอ้ ีกด้วย

คสรฟี ฟู อิลงิป ซอสิกั เแตนอสร์ ลซู อี า บบี อี านา มารีอา

โบสต์คริสต์วัดสองคอน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสักการะบุญราศีมรณ ขอ้ มูลตดิ ตอ่ :
สกั ขที ้ัง ๗ ทอ่ี ุทิศชีวิตในปา่ ศักด์ิสิทธเ์ิ พ่ือพิสูจนศ์ รัทธาท่มี ตี ่อพระเจ้า เมอ่ื ครง้ั เกิด บ้านสองคอน หมทู่ ี่ ๒ ตา� บลป่งขาม
กรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝร่ังเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เน่ืองจากในระยะ อ..�า..เ.ภ..อ..ห..ว..า้ .น..ใ.ห...ญ..่ .จ..ัง.ห..ว..ัด..ม..ุก..ด..า.ห..า..ร.. .๔..๙..๑..๕..๐...
น้ันผู้คนแถบชายแดนจะศรัทธาและนับถือศาสนาคริสต์กันเป็นจ�านวนมาก และ
บาทหลวงสว่ นใหญเ่ ปน็ ชาวฝรงั่ เศส ทา� ใหช้ าวบา้ นเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ ศาสนาครสิ ตเ์ ปน็ นายวฒุ ไิ กร วอ่ งไว (ผู้ใหญบ่ า้ น)
ศาสนาของฝรง่ั เศส จงึ มคี นกลา่ วหากนั วา่ คนทนี่ บั ถอื ครสิ ตช์ ว่ งนน้ั จะฝกั ใฝฝ่ รงั่ เศส ๐๘๗-๒๑๗๕๐๑๓
ทรยศตอ่ ประเทศชาติ รวมทงั้ มเี หตกุ ารณร์ นุ แรงเกดิ ขนึ้ หลายอยา่ ง ทางการจงึ มคี �า
ส่ังให้ชาวบ้านเลิกนับถือ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ยอมรับว่าจะเลิก แต่ก็ยังนับถือกัน
แบบลับๆ โดยมีซิสเตอร์พิลา ทิพย์สุข (อายุ ๓๑ ปี) ซิสเตอร์ค�าบาง ศรีค�าฟอง

114

ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน ชอื่ บา้ นนามเมอื ง ของเกา่ เลา่ เร่อื ง ชมุ ชนคณุ ธรรม ร่วมมือร่วมใจสร้างบ้านแปลงเมืองกัน ต่อมา
เฉลิมฉลองเมืองมุกดาหาร ครบรอบ ๒๕๐ ปี เจ้าจันทรสุริยะวงษ์ถึงแก่กรรม เจ้าจันทกินรี
(บตุ รเจา้ จนั ทรสรุ ยิ วงษ)์ ไดเ้ ปน็ เจา้ เมอื งสบื ตอ่ มา
บา้ นชพุ มาชลน กุคุ ณาธหร รมมทู่ ่ี ๓ จนถงึ พ.ศ.๒๓๑๐ เจา้ จนั ทรกนิ รไี ดอ้ พยพชาวไทย
จากบ้านหลวงโพนสิมข้ามฟากมาทางฝั่งขวา
ตำาบลชะโนด อำาเภอหว้านใหญ่ จังหวดั มุกดาหาร ของแม่น้�าโขง นบั เปน็ ชาวไทยอพยพกลุ่มใหญ่
เมอื งพาลกุ ากรภภู มู ิ (ปจั จบุ นั คอื หมบู่ า้ นพาลกุ า) อยใู่ นเขตทอ้ งทตี่ า� บลคา� ชะโนด ไดต้ ง้ั เมอื งขนึ้ ใหม ่ ตรงปากหว้ ยมกุ (แตก่ อ่ นเรยี กบงั หว้ ยมกุ ) เจา้ จนั ทรกนิ ร ี ไดร้ วบรวม
อ�าเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร ประชากรบ้านพาลุกาเป็นชาวไทยอีสาน ชาวไทยเป็นชุมชนขนาดใหญ่ สร้างบ้านแปลงเมืองตลอดมาจนถึง พ.ศ.๒๓๒๑
สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษไทยในถ่ินไทยเดิม ต่อมาได้อพยพลงมาทางตอนใต้ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตงั้ ใหเ้ จา้ จนั ทรกนิ รี
ตามล�าดับ จากเมืองไร่เมืองปรุง บ้านน้�าน้อยอ้อยหนู ลงมาตามล�าน้�าโขง เปน็ พระยาจนั ทรศรสี รุ าช อปุ ราชามนั ธาตรุ าช ขนึ้ ดา� รงตา� แหนง่ เจา้ เมอื งมกุ ดาหาร
คร้ันถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เม่ือครั้งราชอาณาจักรล้านช้างได้เส่ือมอ�านาจลง คนแรกและทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯพระราชทานนามเมืองว่า “มกุ ดาหาร”
บรรดาหวั เมอื งใหญน่ อ้ ยตามลมุ่ นา�้ โขง ตง้ั บา้ นเรอื นอยทู่ า่ งฝง่ั ซา้ ยทบ่ี า้ นหลวงโพนสมิ พ.ศ.๒๓๓๘ เจ้าหลวงโพนสิม น้องชายเจ้าจันทรกินรีเป็นหัวหน้าชาวไทย
(ปัจจุบันเป็นบริเวณพระธาตุอิงฮัง) เมืองคันทะบุรี แขวงสะหวันนะเขต บา้ นหลวงโพนโพนสมิ อพยพตามลา� นา้� โขงขน้ึ ไปทางทศิ เหนอื แลว้ ขา้ มฟากแมน่ า้� โขง
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในปัจจุบันชาวไทยบ้านหลวงโพนสิมได้ ทบี่ า้ นทา่ สะโน ตงั้ บา้ นเรอื นอยทู่ างฝง่ั ขวาแมน่ า้� โขง บรเิ วณตอนเหนอื ของปากหว้ ยตมุ้ นก
ริมฝั่งแม่น�้าโขง เป็นภูมิทัศน์หาดทรายทองสวยงามมาก รวมชุมชนเป็นหมู่บ้านมี

เจ้าหลวงโพนสิมเป็นพ่อบ้านปกครองหมู่บ้าน และ
ไดต้ ง้ั ชอื่ หมบู่ า้ นวา่ “พาลกุ า” (ชอ่ื พาลกุ าเปน็ ภาษาบาลี
มาจากคา� วา่ พาลกุ ะ แปลวา่ ทราย) การปกครองชว่ งนน้ั
กข็ ้นึ ตรงต่อเมอื งมกุ ดาหาร
พ.ศ.๒๓๕๘ บา้ นพาลกุ ามปี ระชากรเพม่ิ มากขนึ้
ขยายหมบู่ า้ นเปน็ ชมุ ชนขนาดใหญ ่ประชากรทกุ ครวั เรอื น
นบั ถอื ศาสนาพทุ ธ มคี วามจา� เปน็ ตอ้ งมวี ดั พทุ ธศาสนา
ต้ังอยู่ในหมู่บ้านเพื่อเป็นท่ีพึ่งทางใจของชุมชน และ
เปน็ สถาบนั ฝกึ อบรมใหก้ ารศกึ ษาเลา่ เรยี นแกล่ กู หลาน
เจา้ หลวงโพนสมิ พรอ้ มดว้ ยชาวบา้ นพาลกุ า สรา้ งวดั
บริเวณตอนใต้ปากห้วยชะโนด ชาวบ้านนับถือเป็น
แหลง่ ศกั ดสิ์ ทิ ธ ์ิ เนอ่ื งดว้ ยบรเิ วณดงั กลา่ วมปี า่ ไมห้ นาทบึ มตี น้ ไมย้ นื ตน้ ขนาดสงู ใหญ่
โดยเฉพาะมีกลุ่มต้นยางใหญ่มากมีความสูงพิเศษ เมื่อสร้างวัดเสร็จชาวบ้าน
จึงพร้อมใจตั้งช่ือวัดว่า “วัดยางสูง” แต่เน่ืองด้วยวัดยางสูง ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น�้าโขง
จึงถูกน�้าเซาะริมตลิ่งพังทะลายจมหายไปหลายวาในแต่ละปี ในท่ีสุดกาลต่อมา
วดั ยางสงู ไดถ้ กู นา้� กัดเซาะพังและสญู หายไปในทส่ี ุด
ตอ่ มาปพี .ศ.๒๓๙๐ นายชา้ งเคน บตุ รเจา้ เมอื งพนิ ไดอ้ พยพชาวไทยอกี กลมุ่ หนง่ึ
มาจากเมืองพิน-เมืองนอง ซึง่ เปน็ เมืองอย่ใู นเขตการปกครองของเจ้าเมืองโพนสมิ

115

มาตั้งบ้านเมืองอยู่ที่บ้านพาลุกาตอนเหนือขึ้นเป็นลูกบ้านเจ้าหลวงโพนสิม มาจากภัยจากโรคระบาด วัดคุ้มเหนือและวัดคุ้มใต้กลายเป็นวัดร้าง ไม่มีภิกษ ุ
การอพยพชาวไทยของนายชา้ งเคนในครง้ั น ี้ ไดใ้ ช้ชา้ งในการอพยพ จงึ ไดน้ �าผ้าผืน สามเณรจ�าวัด เนื่องจากวัดทั้งสองแห่งใช้เป็นสุสานเผาศพของชาวบ้านชาวเมือง
เครอ่ื งประดบั เครอ่ื งเงนิ เครอื่ งปน้ั ดนิ เผา และพนั ธไ์ุ มต้ า่ งๆ เชน่ มะพรา้ ว มะเฟอื ง ท่ีตายด้วยโรคระบาด เมอ่ื โรคระบาดสงบลงบา้ นเมอื งเขา้ สสู่ ภาวะปกต ิ ชาวบา้ น
มะไฟ มะปราง และสม้ โอเนอื้ สคี รงั่ มาจา� หนา่ ยพนั ธใ์ุ นบา้ นพาลกุ า ชาวบา้ นพาลกุ า พาลกุ ากรภมู ทิ เี่ หลอื อย ู่ ไดร้ ว่ มมอื กนั ปกครองและปรบั ปรงุ พฒั นาหมบู่ า้ นใหอ้ ยเู่ ยน็
ได้ร่วมมือกันพัฒนาบ้านพาลุกาให้เจริญก้าวหน้า โดยไม่หยุดยั้งและมีชาวไทยได้ เปน็ สขุ เจริญก้าวหน้าตอ่ และได้รว่ มมอื กนั สร้างวัดขึ้นใหมอ่ กี แหง่ หนึ่ง โดยอาศยั
อพยพมาจากบา้ นหลวงโพนสมิ จากเมอื งพณิ -เมอื งนอง มาตงั้ บา้ นเรอื นอยทู่ ท่ี า่ ชะโนด ทดี่ นิ ลานกลางบา้ นมเี นอ้ื ทปี่ ระมาณ ๖ ไรก่ วา่ ๆ ซงึ่ อดตี เคยเปน็ สถานทปี่ ระชมุ และ
ได้อพยพข้ามแม่น้�าโขง มาสร้างบ้านเรือนอยู่ท่ีบ้านพาลุกามากข้ึนทุกปี จนท�าให้ ฝึกก�าลังพล ตั้งอยู่ระหว่างคุ้มวัดเหนือและคุ้มวัดใต้ เมื่อก่อสร้างเสร็จได้ตั้งช่ือว่า
บ้านพาลุกามีชุมชนหนาแน่นมากข้ึน และได้ขยายบ้านเรือนลงไปทางตอนใต้ “วัดบรรลุกูลพาลุกากรภูมิ” วัดน้ีอาจารย์บรรณพาลุกา เป็นช่างออกแบบและ
ตามริมฝั่งแม่น้�าโขง จึงเกิดชุมชนบริเวณขึ้นบริเวณตอนใต้ของปากห้วยตุ้มนก ควบคมุ ดา� เนนิ การสรา้ งชาวบา้ นไดพ้ รอ้ มใจกนั นมิ นต ์ อาจารยข์ น มาเปน็ เจา้ อาวาส
ในต่อมาหมู่บ้านพาลุกาได้ขยายชุมชนออกไปเร่ือยๆ ทุกปีประชากรมากข้ึน ตอ่ มาอาจารยข์ นไดล้ าสกิ ขาบท และไดน้ มิ นตอ์ าจารยจ์ นั ทรเ์ ปน็ เจา้ อาวาสสบื แทน
จนเติบโตเปน็ ชมุ ชนขนาดใหญ่ มปี ระชากรไมน่ อ้ ยกวา่ ๓๐๐ ครัวเรือน และชาวบา้ นไดเ้ ปลย่ี นชอื่ วดั เปน็ “วดั ศรเี จรญิ ” มรี ายนามเจา้ อาวาสสบื ตอ่ มา ดงั น้ี
ปพี .ศ.๒๔๐๐ เจ้าหลวงโพนสมิ พอ่ บา้ นพาลกุ า เม่ืออาย ุ ๙๒ ป ี ได้ถึงแกก่ รรม พระอธกิ ารจนั ทร,์ พระอธกิ ารสเุ รนทร,์ พระอธกิ ารล,ี พระอธกิ ารต,ู้ พระอธกิ ารโสม,
เจ้ากุลบุตรผู้เป็นบุตรที่เกิดจากเจ้านางเมืองพิน ได้เป็นพ่อบ้านพาลุกาสืบแทน พระอธกิ ารบญุ , พระอธกิ ารหงุ่ , พระอธกิ ารขอ่ ง และพระอธกิ ารวนั ทอง เขมาธะโม
ผเู้ ปน็ บดิ า ไดป้ กครองและเจรญิ ตามรอยเจา้ หลวงโพนสมิ ชาวบา้ นสขุ กนั ถว้ นหนา้ ตลอดมา (ปจั จุบนั )

ศาสนสถาน - ความศรทั ธา ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ : ผลติ ภณั ฑ์ชุมชน
วดั ใต้(วดั ศรธี น)ู เมอ่ื ครงั้ เมอื งพาลกุ าไดย้ บุ เปน็ หมบู่ า้ นพาลกุ าใหมๆ่ นน้ั ทางราชการ
ยงั ไมม่ กี ารแตง่ ตงั้ ผปู้ กครองทอ้ งถน่ิ ลกู หลานเจา้ หลวงโพนสมิ และพระอมรฤทธธิ าดา ตะกรา้ สานจากไมไ้ ผ่ ตะกรา้ สานจากพลาสติก หมวก
ตลอดประชากรชาวเมอื งผทู้ ย่ี งั อยอู่ าศยั ใน ข้อมูลติดตอ่ :
บา้ นเรอื นเดมิ และผทู้ ไ่ี ดอ้ พยพกลบั คนื มา บา้ นพาลกุ า หมู่ท่ี ๓ ต�าบลชะโนด
(คมุ้ วดั บรมนาฤคาดหวั เมอื ง คมุ้ วดั เหนอื ) อ�าเภอหวา้ นใหญ ่ จงั หวัดมุกดาหาร ๔๙๑๕๐
มีบ้านเรือนประมาณ ๗๐ หลงั คาเรอื น
ตง้ั ใหเ้ ปน็ ญาหลวงกรมแสง กลมุ่ ชาวไทย .........................................................
อพยพมาจากเมอื งพนิ เมอื งนอง เปน็ ผปู้ กครอง
คุ้มวัดเหนือ ญาหลวงกรมแสงสมรสกับ นายอภิสทิ ธิ์ กุลสทุ ธิ์ (ผู้ใหญ่บ้าน)
นางแกว้ บตุ รขี องเจา้ กลุ บตุ รซง่ึ เปน็ บตุ รของ ๐๘๒-๕๑๕๐๔๕๘
เจ้าหลวงโพนสิม ญาหลวงกรมแสง และ
เจา้ นางแกว้ มบี ตุ รธดิ า ๕ คน คอื นางคา� แพง,
นายทองดี, นายฤทธ,ิ์ นายบุญโงน่ , นางบญุ เพ็ง
ส่วนทางคุ้มวัดใต้ (วัดศรีธนู) มีบ้านเรือนประมาณ ๕๐ หลังคาเรือน ตั้งให ้
ญาหลวงอ้น (บุตรอปุ ฮาด) ซึ่งเปน็ นอ้ งชายของพระอมรฤทธธิ าดาเจ้าเมอื งพาลกุ า
คนท ี่ ๑ ปกครองคุ้มวัดใต ้ ในช่วงพ.ศ.๒๔๔๒-๒๔๕๐ ประชากรเมอื งพาลกุ ากรภมู ิ
มีความลดน้อยถอยลงมาก ซึ่งสืบเนื่องมาจากท่ีชาวเมืองมีการอพยพ มีสาเหตุ

116

ภูมิปัญญาท้อเฉงลถิมนิ่ ฉชล่ืออบงเา้ มนือนงามมกุ เดมาือหงาขรอคงรเกบ่ารเอลบ่าเร๒อื่ ๕ง๐ชปุมชี นคณุ ธรรม วนั ท ่ี ๒๘ เดอื น มนี าคม พ.ศ. ๒๔๔๗ เกดิ อคั คภี ยั ไฟไหม ้ บา้ นเรอื น วดั วาอาราม
วอดวายเสียหายอย่างประเมินค่ามิได้ โดยเฉพาะวัดมโนภิรมย์อันมีกุฏิวิหาร
วชดัุ มมช นโนคุ ณภธิรรมร มย์ พัทธสมี า ศาลาการเปรยี ญ ตู้พระไตรปิฎก พระพทุ ธรปู เรือแข่ง รว้ั วัด ตลอด ฆ้อง
กลอง ระฆงั ไฟไหมว้ อดวายเสียหายสิ้น
บ้านชะโนด หมทู่ ี่ ๑ พ.ศ.๒๔๔๘ ศรสี รุ าช และชาวบา้ นไดไ้ ปนมิ นตพ์ ระบ ุ นนั ทวโร จากบา้ นทา่ สะโน
ซงึ่ เปน็ บา้ นเดมิ มาเปน็ ผนู้ า� ซอ่ มแซมปฏสิ งั ขรณ ์ ทา่ นไดน้ า� ชาวบา้ นซอ่ มแซมวดั มโนภริ มย์
ตาำ บลชะโนด อาำ เภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร อยู่ ๖ ป ี จึงส�าเร็จเรียบร้อยทุกอย่าง คือ กฏุ ิ วหิ าร พัทธสมี า ศาลา รวั้ วดั แมก้ ระทง่ั
บ้านชะโนดและวัดมโนภิรมย์ สร้างข้ึนตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย รัชสมัย เรอื แขง่ ดว้ ยความพากเพียรพยายามของทา่ น
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แรกเร่ิมสร้างวัดนั้นในระยะที่ต้ังตัวใหม่ เสนาสนะ การปฏิสังขรณ์จึงส�าเร็จ ลุล่วงลงด้วยดี และ
คงมแี ตก่ ฏุ แิ ละศาลาโรงธรรม และรัว้ วัดเท่านนั้ วดั มโนภริ มย์มาเจริญเป็นปกึ แผ่น คงไวซ้ งึ่ ศลิ ปะดงั้ เดมิ การบรู ณะปฏสิ งั ขรณแ์ ลว้
มนั่ คงเมอ่ื พ.ศ.๒๒๖๙ ตอ่ มาผนู้ า� ในการสรา้ งและตอ่ เตมิ วดั แหง่ นคี้ อื ทา่ นหอพระครกู สั สปะ เสรจ็ เม่อื พ.ศ. ๒๔๕๔
จารย์โชติ บุตรชายท้าวเมืองโครก ผู้น�าวัสดุก่อสร้างวัดพระราชทานจากกษัตริย ์ ศลิ ปกรรมและสถาปตั ยกรรมทคี่ วรหยบิ ยก
กรุงเวียงจันทร์ การก่อสร้างโบสถ์ พัทธสีมา ส่วนประกอบลวดลายร้ัววัดเสร็จ ขนึ้ มากลา่ วถงึ คอื แบบอยา่ งเปน็ แบบเขมร ไทย
เรยี บรอ้ ยภายใน ๓ ป ี คือ พ.ศ.๒๒๙๙ ลาว ผสมผสานกนั แตท่ กุ อยา่ งประณตี ออ่ นชอ้ ย
งดงาม (๑) โบสถ ์ หลงั ชน้ั เดยี ว หนา้ จวั่ แหลมชนั
และงอน ซุ้มประตูใหญ่หน้าบันแกะสลัก
ลวดลายวิจิตรโดดเด่นหาดูได้ยาก เสาสลัก
ลวดลายอ่อนช้อย รดด้วยลายนกทอง ภายใน
พระประธานเป็นอิฐปูนแต่เด่นสง่า สมสัดส่วน
ฐานลดหลั่นงดงาม รอบฐานมีรูปสิงห์หมอบ
ตรงบนั ไดทกุ ชอ่ งเป็นรูปจระเข้ค ู่ ตรงบันไดใหญ่หน้าบันเปน็ คชสีหค์ ู ่ ขนาดเท่ามา้
แสดงถงึ ความลกึ ซง้ึ เกา่ แก ่ (๒) พทั ธสมี า ศลิ ปะคลา้ ยๆ แบบขอม พระประธานเปน็
พระกจั จาย (๓) รวั้ วดั และซมุ้ ประตวู ดั เปน็ ไมเ้ นอื้ แขง็ กลงึ เปน็ รปู บวั ตมู ฝงั เรยี งกนั
ซมุ้ ประตูทา� เปน็ เสาใหญเ่ ทา่ ต้นตาล แต่หลงั เปน็ รูปบวั ตมู มรี ปู ปน้ั ดว้ ยอฐิ ปนู เปน็
ยามเฝา้ ประตทู กุ ชอ่ ง นา่ เกรงขามมาก มีบันไดท่าน้า� ทา� เป็นบนั ไดอิฐปูนลดหล่นั ลง
ตลิ่ง มีรูปหมาเป็นยามนงั่ เฝา้ ๑ ค ู่ ตัวโตขนาดเทา่ เกง้ แต่สวยงามมาก (๔) พระองค์
ตอ้ื เปน็ พระทองสมั ฤทธ ์ิ หลอ่ ขน้ึ ในสมยั ทพ่ี ระครกู สั สปะเปน็ เจา้ อาวาสแทนทา่ นหอ
แตไ่ มท่ ราบวนั เดอื น ป ี ทแี่ นน่ อน (๕) พระองคแ์ สน เปน็ พระพทุ ธรปู สมยั เชยี งแสน
หลอ่ ดว้ ยทองสมั ฤทธใิ์ นเวลาใกลเ้ คยี งกนั เปน็ พระพทุ ธรปู ทศ่ี กั ดสิ์ ทิ ธแ์ิ ละงดงามมาก
(๖) พระพุทธรูปปางห้ามญาติ สมัยศรีวิชัย (๗) พระงา เปน็ พระพทุ ธรปู งาชา้ งท ี่
แกะสลกั โดยพระอปุ ชั ฌายบ์ นุ นั ทวโร พระเจ้า ๘ พระองค์

117

ศาสนสถาน - ความศรทั ธา ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ผลติ ภัณฑ์ชมุ ชน
ระบววุ ดั ่ามวโัดนนภส้ี ริ รม้ายง์ขตึน้งั้ อเมยื่อทู่ วบี่ นั า้ นอชงั คะาโนรด ข ต้ึน. ช๕ะ โคนา่� ด เ ดออื.หนว า้ ๕น ใปหี มญะ ่ จเม.มยี กุ ดตารหงการบั ก พร.มศศ.๒ลิ ป๒า๓ก๐ร ตะกรา้ สานจากไม้ไผ่
สร้างโดยท้าวค�าสิงห์และญาติพี่น้องรวมท้ังบริวารท่ีอพยพมาจากฝั่งลาวพร้อมกับ
การตง้ั บ้านชะโนด เดมิ ใช้ชื่อเดยี วกบั ชอื่ บา้ นและชือ่ หัวยซึง่ ไหลลงสแู่ ม่น้�าโขงทาง
ทศิ ตะวนั ออก แตภ่ ายหลงั ไดเ้ ปลยี่ นชอ่ื เปน็ วดั มโนภริ มย ์ สง่ิ สา� คญั ภายในวดั คอื สมิ
ซึ่งได้ประกาศข้ึนทะเบียนเป็นโบราณสถาน เม่ือ พ.ศ. ๒๕๒๕
และไดร้ บั การบรู ณะครง้ั ใหญเ่ มอื่ พ.ศ.๒๕๔๓ ภายในประดษิ ฐาน
พระพทุ ธรปู ปนู ปน้ั นาคปรกปางมารวิชัย รปู แบบ
อาคารเปน็ ศลิ ปะลาวแบบเวยี งจันทน์ทผ่ี สมผสาน
ศลิ ปะญวน

ประเพณวี ัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน พระพดั พุทธะญาโณ หมวกจากยางพาราสงั เคราะห์
หาดมโนภริ มย ์ หรอื หาดชะโนด ตง้ั อยทู่ บี่ า้ นชะโนด ตา� บลชะโนด อา� เภอหวา้ นใหญ ่ ข้อมูลติดต่อ :
จงั หวดั มกุ ดาหาร หา่ งจากตวั จงั หวดั มกุ ดาหาร ๑๗ กโิ ลเมตร เปน็ หาดทรายในแมน่ า้� โขง บ้านชะโนด หมทู่ ี ่ ๓ ตา� บลชะโนด
ซง่ึ ทอดยาวอยใู่ กลก้ บั วดั มโนภริ มยช์ าวบา้ นจงึ เรยี กหาดทรายนวี้ า่ หาดมโนภริ มยต์ าม อา� เภอหว้านใหญ่ จงั หวัดมกุ ดาหาร ๔๙๑๕๐
ชื่อวัดหรือเรียกว่า หาดชะโนดตามช่ือของหมู่บ้าน หาดมโนภิรมย์ทอดยาวจาก
ทศิ เหนอื ของบา้ นชะโนดไปบรรจบกบั หาดพาลกุ าทบ่ี า้ นพาลกุ า ในชว่ งฤดฝู นแมน่ า้� โขง .........................................................
มีระดับน�้าสูงจะไม่สามารถมองเห็นหาดทรายน้ีได้ เมื่อเข้าช่วงฤดูแล้งเริ่มจาก
เดอื นพฤศจกิ ายนน้�าเรม่ิ ลดลงจงึ สามารถ มองเหน็ หาดทรายไดก้ วา้ งลงไปถงึ กลาง นายดวงเดน่ วงศ์ราศร ี ( กา� นนั ตา� บลชะโนด)
๐๘๑-๙๘๕๙๘๗๑
แมน่ า้� โขง และมคี วามยาวหาดทรายจากทศิ เหนอื -ทศิ ใต้
๑.๕-๒ กโิ ลเมตรโดยประมาณ หากยนื อยบู่ นหาดมโนภริ มย ์
เราจะสามารถมองเห็นสะพาน
มติ รภาพไทย-ลาว ไดอ้ ยา่ งชดั เจน

118

ภมู ปิ ัญญาทอ้เฉงลถมินิ่ ฉชลื่ออบงเา้ มนือนงามมุกเดมาือหงาขรอคงรเกบ่ารเอลบา่ เร๒อื่ ๕ง๐ชปมุ ชี นคุณธรรม อาณาเขตอา� เภอหวา้ นใหญ ่ ตัง้ อยู่ทางตอนเหนอื ของจังหวัดมุกดาหาร ติดกับ
อ�าเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ชายแดนด้านตะวันออกติดแม่น�้าโขงท่ีเป็น
บา้ นชวุหมดั นชอปนงค่าแุ ณสวงธิเวรหรกมมทู่ ่ี ๘ แม่น�้าสายใยชีวิตสืบสานความสัมพันธ์กับเมืองไซบรุ ี และเมืองไกสอนพรมวิหาน
สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว ด้านทิศตะวันตกจดอ�าเภอดงหลวง และ
ตาำ บลหว้านใหญ่ อาำ เภอหวา้ นใหญ่ จงั หวัดมกุ ดาหาร ทิศใต้จดอ�าเภอเมืองมุกดาหาร
เมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๒๒๒ ราษฎรกลมุ่ หนง่ึ นา� โดย ทา้ วสหี านาม ทา้ วหมาคา� ไดอ้ พยพ บ ้ า น ห น อ ง แ ส ง แ ย ก ตั ว อ อ ก จ า ก
มาจากเมืองมหาชัย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวข้ามแม่น�้าโขงมาถึง บ้านหว้านใหญ่ หมู่ท่ี ๑ เม่ือพ.ศ.๒๕๒๖
หวา้ นใหญ ่ ซงึ่ เคยเปน็ ถนิ่ ทอ่ี ยขู่ องกลมุ่ ชนเผา่ ขา่ และไดอ้ พยพออกไปเหน็ วา่ มที า� เล โดยนายสวน ทองสวสั ด ิ์ เปน็ ผใู้ หญบ่ า้ นคนแรก
เหมาะสมจึงสร้างบ้านเรือนรอบๆ สวนว่านของชาวเผ่าข่าเดิม และเรียกช่ือว่า ตั้งชื่อหมู่บ้านตามหนองแสง แหล่งน�้า
“ว่านใหญ่” ตามลกั ษณะของสวนวา่ นทม่ี ขี นาดใหญ ่ และไดเ้ พย้ี นชอื่ ตามภาษาพดู สาธารณะของหมู่บ้าน ปัจจุบันผู้ใหญ่บ้าน
เปน็ ภาษาเขยี นวา่ “หวา้ นใหญ”่ มฐี านะเปน็ หมบู่ า้ นและเปน็ ตา� บลขน้ึ การปกครอง คือนายสมาน หลวงวิวงษ์
กับเมืองมุกดาหาร และต่อมาเม่ือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองหัวเมืองจึงได้
ไปขึ้นกับอา� เภอมกุ ดาหาร จังหวัดนครพนม ศาสนสถาน - ความศรทั ธา
วัดป่าวิเวก คือวัดที่ชาวบ้านเคารพศรัทธา ภายในพระวิหารประดิษฐาน
พระพุทธไสยาสน์ที่งดงาม พระอุปัชฌาย์ เกลี้ยง ขนตฺ โิ ต พรอ้ มด้วยลูกศษิ ย์และ
ญาตพิ น่ี อ้ งชาวตา� บลหวา้ นใหญ ่ ไดส้ ละกา� ลงั แรงและทรพั ย ์ สรา้ งพระพทุ ธไสยาสน ์
ยาว ๑๒.๕ เมตร พระบาทยาว ๔ เมตร ๓๖ เซนตเิ มตร พร้อมด้วยพระอรหันต์อีก
หลายรปู สรา้ งดว้ ยอฐิ ถอื ปนู เรม่ิ กอ่ สรา้ งเมอ่ื วนั ท ี่ ๕ ธนั วาคม ๒๕๐๕ ตรงกบั วนั พธุ
ขึน้ ๑ คา�่ เดือนอ้าย ปขี าล เสร็จสมบูรณ ์ เมื่อวันที่ ๑๒ สงิ หาคม ๒๕๐๗ ตรงกับ
วนั พธุ ขึ้น ๔ คา�่ เดือน ๙ ปมี ะโรง รวมเวลา กอ่ สร้าง
๑ ป ี ๘ เดอื น ๗ วนั วดั และชาวบา้ นอา� เภอหวา้ นใหญ ่
จัดงานประจ�าปีสมโภชพระพุทธไสยาสน์เป็นประจ�า
ทุกป ี ในขนึ้ ๑๔ - ๑๕ ค่�า เดอื น ๓ จิตรกรรมในศาลา
วดั ปา่ ศลิ าวเิ วก เปน็ ภาพจติ รกรรมชา่ งฝมี อื คนรนุ่ ใหม ่
เขยี นเปน็ ภาพประวตั ิ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
เป็นตอนๆ ใ ห ้ ส ี
สดใส ตามรูปแบบ
จติ รกรรมสมยั ใหม่

119

ประเพณวี ัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน จะทา� บญุ ดว้ ยการบา� เพญ็ ทาน กไ็ ดจ้ ดั ใหล้ านขา้ วเปน็ สถานทท่ี า� บญุ การทา� บญุ ใน
งานบญุ ประทายขา้ วเปลือก ในวันขนึ้ ๑๕ ค่า� เดือนย ี่ เป็นงานบุญประจ�าปีของ สถานท่ีดังกลา่ วเรียกว่า “บุญคณู ลาน” โดยก�าหนดเอาเดือนยหี่ รอื เดอื นสองเป็น
หมู่บ้านเดือนยี่หรือเดือนสอง นักปราชญ์โบราณอีสานได้จัดการให้มีประเพณีใน เวลาทา� เพราะมกี า� หนดทา� เอา ในเดอื นยน่ี เ้ี องจงึ ไดช้ อ่ื อกี อยา่ งหนง่ึ วา่ “บญุ เดอื นย”ี่
การทา� บญุ ประจา� เดอื นน ี้ คอื บญุ คณู ลาน โดยทา่ นไดก้ ลา่ วไวเ้ ปน็ ผญาวา่ ...ฮอดเมอ่ื
เดือนสองอย่าช้าข้าวใหม่ปลามัน ให้เฮามาโฮมกันแต่งบุญประทายข้าวเชิญ ภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ : ผลติ ภณั ฑช์ ุมชน
ใหม้ าโฮมเตา้ อยา่ พากันขถ่ี ี่ บุญคณู ลานต้งั แต่ก้มี าถ่อนซ่อยฮกั ษา
สา� หรบั มลู เหตขุ องเรอื่ งนม้ี ปี รากฎในหนงั สอื ธรรมบทวา่ ในสมยั หนง่ึ นางปณุ ณทาสี ไม้กวาดมือเสอื ผลติ ภณั ฑจ์ ากกะลามะพร้าว
ได้ท�าขนมแป้งจี่ (ข้าวจ่ี) ท่ีท�าจากร�าข้าวอย่างละเอียดถวายแด่พระพุทธเจ้าและ
พระอานนท์ นางคิดว่าเม่ือพระพุทธองค์กับพระอานนท์รับแล้วคงไม่ฉันเพราะ ขอ้ มูลตดิ ต่อ :
อาหารที่เราถวายไมใ่ ชอ่ าหารท่ดี หี รือประณีตอะไร คงจะโยนใหห้ มู่กาและสุนขั กนิ บ้านหนองแสง หมู่ที่ ๘ ตา� บลหว้านใหญ ่
เสยี กลางทางพระพทุ ธเจา้ ทรงทราบวาระจติ ของนางและเขา้ ใจในเรอ่ื งทนี่ างปณุ ณทาสี อา� เภอหว้านใหญ ่ จงั หวดั มุกดาหาร ๔๙๑๕๐
คิดจึงได้ส่ังให้พระอานนท์ผู้เป็น
พุทธอุปัฎฐากได้ปูลาดอาสนะลง .........................................................
แล้วประทับนั่งฉันสุดก�าลังและ
ในตอนท้าย หลังการท�าภัตตกิจ นายสมาน หลวงววิ งษ์ (ผู้ใหญ่บ้าน)
ด้วยขนมแป้งจ่ีเรียบร้อยแล้ว ๐๘๘-๐๓๙๔๕๔๙
พระพทุ ธเจา้ ไดแ้ สดงธรรมใหฟ้ งั จน
กระทั่งนางปุณณทาสีได้บรรลุ
โสดาบัน เป็นอริยอุบาสิกาเพราะ
มีข้าวจี่เป็นมูลเหตุ ด้วยความเชื่อแบบนี้คนอีสาน
โบราณจึงไดจ้ ัดแต่งให้บุญขา้ วจท่ี ุกๆ ปี ไมไ่ ดข้ าดดง่ั
ทปี่ รากฎในผญาซง่ึ มีเน้อื หาเกย่ี วกบั เรอ่ื งน้วี ่า...
ยามเม่ือถึงเดือนสามได้พากันเอาบุญข้าวจ่ี
ตั้งหากธรรมเนียมน้ีมีมาแท้ก่อนกาลได้เฮ็ดกัน
ทกุ บา้ นทกุ ถนิ่ เอาบญุ อยา่ ไดพ้ ากนั ไลเสยี ฮตี บญุ คองเคา้
สถานท่ีนวดข้าวเรียกว่า “ลาน” การน�าข้าวที่
นวดแลว้ มากองใหส้ งู ขนึ้ เรยี กวา่ “คณู ลาน” คนอสี าน
สมัยก่อนมีอาชีพท�านาเป็นหลักและต้องการ

120




Click to View FlipBook Version