The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักการ กระบวนการวิเคราะห์
และแก้ไขปัญหาเชิงระบบ
ในงานส่งเสริมการเกษตร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักการ กระบวนการวิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาเชิงระบบ ในงานส่งเสริมการเกษตร

หลักการ กระบวนการวิเคราะห์
และแก้ไขปัญหาเชิงระบบ
ในงานส่งเสริมการเกษตร

หลกั การ กระบวนการวิเคราะห์
และแก้ไขปัญหาเชิงระบบ
ในงานส่งเสริมการเกษตร

โดย
รองศาสตราจารยบ์ าเพญ็ เขยี วหวาน
สาขาวิชาเกษตรศาสตรแ์ ละสหกรณ์

มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช

เอกสารประกอบการอบรมนักส่งเสริมมืออาชีพร่นุ ท่ี 1
สานักงานส่งเสริมและพฒั นาการเกษตรเขตที่ 2 ราชบรุ ี กรมส่งเสริมการเกษตร

2

คานา

ในการปฏบิ ตั งิ านส่งเสรมิ การเกษตรและการพฒั นาชนบทในปัจจบุ นั มปี ัจจยั เก่ยี วขอ้ งหลาย
ประการตงั้ แต่ในระดบั ท้องถนิ่ ระดบั ประเทศ จนถงึ ระดบั ต่างประเทศ ท่ามกลางความซบั ซ้อนและ
การเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา ทาใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านของนกั สง่ เสรมิ การเกษตร นกั พฒั นา ตอ้ งใชก้ ารคดิ
เชงิ ระบบ เพ่อื สามารถทาความเขา้ ใจกบั สถานการณ์และปัญหาต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ได้ ขณะเดยี วกนั ใน
การแก้ไขปัญหาและการตดั สนิ ใจ นักส่งเสรมิ การเกษตรก็ต้องดาเนินการด้วยความรอบคอบ และ
ดาเนินการอยา่ งบรู ณาการ จงึ จะทาใหก้ ารพฒั นาเป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและเกดิ ประสทิ ธผิ ล

เอกสาร “หลกั การ กระบวนการวิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาเชิงระบบในงานส่งเสริม
การเกษตร” นี้ ได้เขยี นขึ้นเพ่ือใช้ในการเรยี นการสอนนักศกึ ษาและเผยแพร่แก่นักส่งเสรมิ
การเกษตรและนกั พฒั นา ตลอดจนผสู้ นใจในงานสง่ เสรมิ การเกษตรและงานพฒั นาชนบท

หวงั ว่าเอกสารน้คี งเป็นประโยชน์ต่อผปู้ ฏบิ ตั งิ านส่งเสรมิ การเกษตรและงานพฒั นาชนบท
ตามสมควร ผเู้ ขยี นขอขอบคณุ คณาจารยแ์ ละผเู้ กย่ี วขอ้ งหลายท่านทไ่ี ดใ้ หข้ อ้ คดิ เหน็ และเสนอแนะ
ในการจดั ทาเอกสารน้ี โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ อาจารยช์ ยั วฒั น์ ถริ ะพนั ธุ์ สถาบนั การเรยี นรเู้ พอ่ื พฒั นา
ประชาสงั คม (Civic Net) ทไ่ี ดก้ รณุ าใหก้ ารฝึกอบรมแก่ผเู้ ขยี นในเรอ่ื งการคดิ เชงิ ระบบ หากผอู้ ่านมี
ขอ้ เสนอแนะใด ๆ เพมิ่ เตมิ กรณุ าแจง้ ใหผ้ เู้ ขยี นทราบดว้ ย จกั ขอบพระคุณยง่ิ

จรงิ ใจ-ไมตรี
รองศาสตราจารยบ์ าเพญ็ เขยี วหวาน

มกราคม 2557

3

สารบญั

หน้า

คานา
การคดิ เชงิ ระบบ ................................................................................................................................ 4

ความหมายและหลกั การคดิ เชงิ ระบบ ..................................................................................... 5
การวเิ คราะหส์ ถานการณ์โดยการคดิ เชงิ ระบบ...................................................................... 11
แมแ่ บบของระบบและการแกป้ ัญหาเชงิ ระบบ ....................................................................... 14
กระบวนการปัญหาและการตดั สนิ ใจในงานสง่ เสรมิ การเกษตร........................................................... 23
กระบวนการแก้ปัญหา ......................................................................................................... 24
เทคนิคการวเิ คราะหป์ ัญหาและสาเหตุ.................................................................................. 31
การตดั สนิ ใจ........................................................................................................................ 39
การแกป้ ัญหาทางส่งเสรมิ การเกษตรอยา่ งบูรณาการ......................................................................... 47
ความหมายและความสาคญั ของการแกป้ ัญหาในการส่งเสรมิ การเกษตรอยา่ งบรู ณาการ ........ 48
การแกป้ ัญหาการดาเนินโครงการในงานส่งเสรมิ การเกษตรอยา่ งบูรณาการ .......................... 50
การแกป้ ัญหาการจดั การเรยี นรทู้ างการเกษตรอยา่ งบรู ณาการ.............................................. 57
การแกป้ ัญหางานวจิ ยั ทางส่งเสรมิ การเกษตรอยา่ งบรู ณาการ................................................ 64
บรรณานุกรม................................................................................................................................... 69

4

1. การคิดเชิงระบบ

5

เรื่องท่ี 1.1 ความหมายและหลกั การคิดเชิงระบบ

การทาความเขา้ ใจกบั สถานการณ์ รวมถงึ ปัญหาต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การส่งเสรมิ การเกษตร
ในปัจจุบนั นัน้ ต้องใช้ความคิดเชงิ ระบบ เพราะงานส่งเสรมิ การเกษตรเก่ยี วข้องกบั สง่ิ ต่าง ๆ หรอื
ปัจจยั ต่าง ๆ ทส่ี มั พนั ธก์ นั มากมาย

ความหมายของระบบ
อรรถชยั จนิ ตะเวช (2531 : 18) ไดส้ รุปคาจากดั ความของ “ระบบ” วา่ หมายถงึ กลุ่มของสสารท่ี

เกย่ี วขอ้ งและสมั พนั ธก์ นั ปฏบิ ตั งิ านรว่ มกนั เพ่อื จดุ ประสงคอ์ ยา่ งเดยี วกนั มคี วามสามารถทจ่ี ะ
ตอบสนองต่อปัจจยั ภายนอกอยา่ งเป็นกลุ่มกอ้ น กลุ่มของสสารตอ้ งมขี อบเขตทช่ี ดั เจน ส่วนประกอบ
ของระบบตอ้ งมคี วามสมั พนั ธท์ งั้ ภายนอกและภายในขอบเขตของระบบ

ขณะท่ี ธงชยั สนั ติวงศ์ และ ชยั ยศ สนั ติวงศ์ (2540 : 36) กล่าวว่า ระบบ หมายถึง เป็น
ท่ีรวมของส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน นัน่ คือ ระบบย่อย ซ่ึงต่างมีความสมั พันธ์ (relations) มีความ
เก่ยี วขอ้ งและการปฏิบตั ติ ่อกนั และกนั (interdependent and interaction) ถ้าหากระบบย่อยใดเกิด
การเปลย่ี นแปลงก็จะมผี ลกระทบต่อระบบย่อยอ่นื ๆ ซ่งึ ก็จะมผี ลกระทบถงึ ผลรวมทงั้ หมด คอื ระบบ
รวมเกดิ การเปล่ยี นแปลงไปด้วย และองค์ประกอบอกี ประการของระบบ คอื ทุกระบบต้องมขี อบเขต
(boundary) เน่อื งจากหากไมม่ ขี อบเขตกไ็ มส่ ามารถรไู้ ดว้ า่ ระบบนนั้ มจี ดุ เรม่ิ ตน้ และสน้ิ สุดตรงไหน

ระบบยอ่ ย ความ ระบบยอ่ ย ความสมั พนั ธ์
A สมั พนั ธ์ B
ขอบเขต

สภาพแวดลอ้ มทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
สภาพแวดลอ้ มทงั้ หมด

ภาพท่ี 1 แสดงถงึ ระบบรวม ระบบยอ่ ย และความสมั พนั ธข์ องระบบยอ่ ย
ท่ีมา : ธงชยั สนั ตวิ งศ์ และ ชยั ยศ สนั ตวิ งศ์ (2540 : 36)

6

จากท่ีกล่าวมา สรุปได้ว่าระบบเป็ นการรวมขององค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกันและ
องคป์ ระกอบเหล่านนั้ มคี วามเก่ยี วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั ปฏบิ ตั งิ านรว่ มกนั เพ่อื จุดประสงคอ์ ย่างเดยี วกนั และ
มีความสามารถท่ีจะตอบสนองต่อปั จจัยภายนอกอย่างเป็ นกลุ่มก้อน การเปล่ียนแปลงของ
องคป์ ระกอบยอ่ ยหรอื ระบบยอ่ ยใด ๆ จะมผี ลกระทบต่อระบบใหญ่โดยรวมทงั้ หมด

ประเภทของระบบ
อรรถชยั จนิ ตะเวช (2531 : 18) ไดก้ ล่าวว่า ถา้ พจิ ารณาเฉพาะความสมั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบ

ภายในขอบเขตระบบ เราสามารถแยกองคป์ ระกอบเหล่านนั้ ออกเป็นสองส่วน คอื 1) สว่ นประกอบท่ี
สามารถจดั ไดว้ า่ เป็นระบบ (system objects) และ 2) สว่ นประกอบทไ่ี มส่ ามารถจดั ไดว้ า่ เป็นระบบ
(non-system objects) สว่ นประกอบชุดแรกมคี วามสมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกนั มกี ารตอบสนองต่อ
สงิ่ แวดลอ้ มภายนอกซง่ึ เป็นผลจากความสมั พนั ธภ์ ายในขอบเขตระบบ ซง่ึ เป็นจดุ แตกต่างระหวา่ ง
ส่วนทเ่ี ป็นระบบและไมเ่ ป็นระบบ การศกึ ษาเรอ่ื งระบบควรแยกและทาความเขา้ ใจองคป์ ระกอบ
ภายในและภายนอกระบบว่าองคป์ ระกอบอนั ไหนสามารถจดั อยภู่ ายในและภายนอกของระบบ ความ
เขา้ ใจเรอ่ื งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งองคป์ ระกอบต่าง ๆ ทาใหส้ ามารถแบง่ ระบบออกเป็นสองลกั ษณะ
คอื 1) ระบบเปิด (open system) ซง่ึ เป็นระบบทส่ี ่วนประกอบของระบบจะมคี วามเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธ์
กบั สง่ิ แวดลอ้ มภายนอกหรอื สง่ิ แวดลอ้ มภายนอกจะมผี ลต่อองคป์ ระกอบภายในของระบบ และ 2)
ระบบปิด (close system) ซง่ึ เป็นระบบทส่ี ่วนประกอบทงั้ หมดไม่มคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั สง่ิ แวดลอ้ ม
ภายนอก หรอื สงิ่ แวดลอ้ มภายนอกไม่มผี ล ไมม่ คี วามเกย่ี วขอ้ ง หรอื ไมส่ ามารถมคี วามสมั พนั ธก์ บั
องคป์ ระกอบภายในของระบบได้

ในระบบสงั คมก็เช่นเดียวกนั สงั คมท่ีเป็นระบบเปิดจะเป็นสงั คมท่ีเปิดรบั วฒั นธรรม ข้อมูล
ข่าวสาร ปัจจยั ภายนอกต่าง ๆ เช่นดงั สงั คมสมยั ใหม่ท่ที าให้ระบบสงั คมเปล่ยี นแปลงไปตามปัจจยั
ภายนอก ขณะท่สี งั คมท่เี ป็นระบบปิด ดงั เช่นสงั คมยุคก่อนหรอื สงั คมของชนดงั้ เดมิ ท่เี ป็นสงั คมปิดจะมี
ความสมั พนั ธเ์ ก่ยี วขอ้ งกบั ปัจจยั ภายนอกน้อยมากทาให้ระบบสงั คมไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลงไปมากนัก
หรอื ไมเ่ ปลย่ี นแปลงไปตามสง่ิ แวดลอ้ มภายนอก

หลกั การคิดเชิงระบบ
การคดิ เชงิ ระบบมลี กั ษณะเป็นการคดิ เชงิ สหวชิ าการ (Interdisciplinary) เน่ืองจากเป็นการ

คดิ โดยใชค้ วามรใู้ นหลาย ๆ สาขาวชิ า โดยจุดสาคญั ของการคดิ เชงิ ระบบอย่ทู ่กี ารมองแบบไม่แยก
สว่ น หรอื การมองว่าทุกอยา่ งสมั พนั ธก์ นั หรอื สว่ นยอ่ ยสมั พนั ธก์ บั สว่ นใหญ่ เป็นตน้

วธิ คี ดิ เชงิ ระบบ จงึ ต่างกบั วธิ คี ดิ แบบเสน้ ตรง (linear thinking) ซง่ึ เป็นการคดิ ทว่ี า่ “ถา้ เหตุ
เป็นอยา่ งน้แี ลว้ ผลจะตอ้ งเป็นอยา่ งนนั้ ” อยา่ งสน้ิ เชงิ เพราะการคดิ เชงิ ระบบจะเป็นการคดิ บนพน้ื ฐาน
ของระบบทม่ี คี วามซบั ซอ้ น (complex system) คอื ถา้ เป็นอยา่ งน้กี ส็ ามารถเป็นอยา่ งนนั้ หรอื เป็น
อยา่ งโน้นไดไ้ ม่ตายตวั คอื มคี วามเป็นไปได้หลายอย่าง ๆ ฉะนัน้ หวั ใจของการคดิ เชงิ ระบบจงึ

7

ไม่ไดอ้ ย่ทู ก่ี ารวเิ คราะหว์ จิ ยั เฉพาะส่วนนัน้ ๆ เท่านัน้ แต่จะเป็นการพจิ ารณา “ความสมั พนั ธ์” ของ
ปัจจยั สงิ่ ต่าง ๆ ทงั้ หมดวา่ สมั พนั ธก์ นั ในการคดิ ทวั่ ๆ ไป เวลาจะวเิ คราะหส์ งิ่ ใด กม็ กั จะหยบิ เฉพาะสงิ่
นนั้ ๆ ขน้ึ มาแลว้ นยิ ามหรอื ใหค้ ณุ สมบตั ขิ องสงิ่ นนั้ เป็นสาคญั ซง่ึ จะแตกต่างจากการคดิ เชงิ ระบบทจ่ี ะ
มองไปท่ี ความแตกต่าง และ ความสมั พนั ธ์ ระหว่างสงิ่ นัน้ กบั สง่ิ อ่นื ๆ ไม่ไดม้ องเฉพาะสงิ่ ๆ
นัน้ เพยี งสงิ่ เดยี ว นอกจากน้ี ยงั เน้นการตงั้ คาถามกบั วธิ คี ดิ แบบเสน้ ตรงซง่ึ เป็นการมองแบบภววสิ ยั
(objectivity) เพราะการคดิ เชงิ ระบบเช่อื ว่าการรบั รปู้ รากฏการณ์ (social phenomena) ทกุ อย่างลว้ น
เป็น อตั วสิ ยั (subjectivity) ทต่ี วั ตนของเราไปทาความเขา้ ใจและอธบิ ายดว้ ยทงั้ สน้ิ เป็นเสมอื นการมอง
ของสง่ิ เดยี วกนั จากหลาย ๆ มมุ มอง เหมอื นตาบอดคลา้ ทค่ี นแต่ละคนตคี วามต่างกนั ไปตามแต่ละ
บุคคล ดงั นนั้ คุณสมบตั ขิ องสง่ิ หน่ึง ๆ จงึ ไมไ่ ดเ้ กดิ จากคุณสมบตั ขิ องสง่ิ นนั้ ๆ เอง หากเกดิ จากการทส่ี งิ่
นนั้ ๆ ไปสมั พนั ธก์ บั สงิ่ อ่นื การวเิ คราะหส์ ง่ิ ต่าง ๆ จงึ ควรจะดบู รบิ ท (context) ของสงิ่ นนั้ ๆ
ประกอบดว้ ย จงึ จะทาใหเ้ ราเขา้ ใจและสามารถวเิ คราะหส์ ง่ิ นนั้ ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี (ชยั วฒั น์ ถริ ะพนั ธุ์
2545 : 4)

สรุปหลกั การของวิธีคดิ เชงิ ระบบ (system thinking) จากท่ี ชยั วฒั น์ ถิระพันธุ์ (2545 : 4)
และ ธงชยั สนั ตวิ งศ์ และ ชยั ยศ สนั ตวิ งศ์ (2540) กลา่ วไวส้ รปุ ไดด้ งั น้ี

1. เป็ นการพิจารณาในระบบเปิ ด โดยเฉพาะระบบท่มี ชี วี ติ ซ่งึ เป็นองคร์ วมของส่วนประกอบ
ต่าง ๆ หรอื ระบบย่อยต่าง ๆ คุณสมบัติของระบบนัน้ ท่ีแสดง คุณภาพหรอื คุณลกั ษณะรวม ไม่
สามารถจะยอ่ หรอื ลดส่วน (reduction) ไปสชู่ น้ิ ส่วนหรอื องคป์ ระกอบแต่ละชน้ิ ได้

2. วิธีคิดเชิงระบบ เป็นวิธีคิดที่เชื่อมโยงกบั บริบท (context) หรอื สภาพแวดลอ้ มทอ่ี ยู่
รอบสงิ่ นนั้ เราจะไม่สามารถเขา้ ใจ หรอื วเิ คราะหค์ ณุ สมบตั ขิ องสง่ิ นนั้ หรอื ระบบนนั้ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ถา้
ไมเ่ ขา้ ใจความสมั พนั ธก์ บั บรบิ ทรอบ ๆ

3. เป็นวิธีคิดที่เป็ นเครือข่ายของความสมั พนั ธ์เชื่อมโยง ไมไ่ ดค้ ดิ อย่างโดด ๆ หรอื แยก
สว่ น และมกั มกี ารเชอ่ื มสมั พนั ธย์ อ้ นกลบั (feedback) ดว้ ย ซง่ึ จะตอ้ งจบั ความสมั พนั ธห์ รอื ปฏสิ มั พนั ธ์
ใหไ้ ด้

4. การคิดเชิงระบบ คือ การคิดอย่างเป็นกระบวนการเป็นขนั้ เป็นตอน (system
thinking is a process of thinking)

5. เป็นการคิดแบบกระบวนระบบท่ีมองเหน็ ว่าระบบมีการทบั ซ้อนกนั เป็นชนั้ ๆ คลา้ ย
กบั เป็น hierarchy เป็นหลายระดบั และเช่อื มโยงกระทบถงึ กนั ทงั้ หมด

6. ในการคิดที่มองในระบบเปิ ด ส่ิงต่าง ๆ จะมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา มคี วามสามารถ
ท่จี ะรบั เอาอทิ ธพิ ลจากภายนอกเข้ามาและจะมกี ารปรบั สภาพของตนเองให้สมดุลกบั สภาพแวดล้อม
ดงั กล่าวอยู่เสมอ เพ่ือความอยู่รอดและเจรญิ เติบโตโดยจะปรบั ตนเองให้สมดุลกับปัจจยั ต่าง ๆ
ตลอดจนการแกไ้ ขปัญหาภายในของตนเอง

8

สรปุ หลกั การคดิ เชงิ ระบบดงั ภาพท่ี 2

เหน็ ความ ความเป็นองคร์ วม เช่อื มโยงกบั บรบิ ท
เคล่อื นไหวปรบั ตวั ของสว่ นประกอบต่าง ๆ
เหน็ ความสมั พนั ธห์ รอื
เหน็ ความทบั ซอ้ น หลกั การคิดเชิงระบบ ปฏสิ มั พนั ธ์
เป็นชนั้ ๆ เป็นระดบั
(System thinking)

เป็นกระบวนการขนั้ ตอน

ภาพท่ี 2 หลกั การคดิ เชงิ ระบบ

ประโยชน์ของการคิดเชิงระบบ

ในปัจจบุ นั ยคุ โลกาภวิ ฒั น์ทาใหก้ ารส่อื สารมมี ากขน้ึ และโยงใยถงึ กนั ทวั่ ทกุ แห่ง ทาใหส้ ง่ิ ต่าง ๆ
ทม่ี อี ยเู่ ดมิ ซง่ึ อาจจะเป็นระบบปิดไดเ้ ปิดออก เพราะทุกระบบส่งอทิ ธพิ ลถงึ กนั ดงั นนั้ ระบบต่าง ๆ จงึ
เป็นระบบเปิด ซง่ึ จะเหน็ ไดจ้ ากกรณปี ัญหาสงิ่ แวดลอ้ มต่าง ๆ ในปัจจบุ นั กไ็ มส่ ามารถนยิ าม หรอื
แกไ้ ขแบบระบบไดอ้ กี ต่อไป เน่อื งเพราะทุกอยา่ งสมั พนั ธก์ นั ตวั อยา่ งเช่น น้าเสยี อากาศเป็นพษิ การใช้
สารเคมขี องเกษตรกรไมไ่ ดส้ ่งผลกระทบเฉพาะพน้ื ทน่ี นั้ เพยี งพน้ื ทเ่ี ดยี วเท่านนั้ แต่สง่ ผลโยงใยไปยงั
พน้ื ทอ่ี ่นื ๆ ดว้ ย รวมถงึ ปัญหาเกษตรกรยากจนไมไ่ ดเ้ กดิ จากสาเหตุผลผลติ ตกต่าอยา่ งเดยี ว แต่มี
สาเหตุหลายประการ เป็นตน้ ดว้ ยเหตุน้กี ารแกป้ ัญหาต่าง ๆ จงึ จาเป็นทจ่ี ะตอ้ งมองอยา่ งรอบดา้ น
การอาศยั ผเู้ ชย่ี วชาญเฉพาะสว่ นนนั้ จงึ ไมเ่ พยี งพอ และจะตอ้ งเขา้ ใจปัจจยั ต่าง ๆ ทเ่ี ช่อื มโยงถงึ กนั
ดว้ ย

ชยั วฒั น์ ถริ ะพนั ธุ์ (2545 : 2) กล่าววา่ การคดิ เชงิ ระบบเป็นการมองความสมั พนั ธข์ องสง่ิ ต่าง
ๆ แบบองคร์ วมโดยเชอ่ื วา่ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งเป็นสว่ นหน่งึ ของระบบทใ่ี หญ่ขน้ึ ไป ขณะเดยี วกนั ตวั มนั เอง
กเ็ ป็นระบบทส่ี ามารถแยกย่อยลงไปเป็นระบบเลก็ ๆ มากมายหลายระดบั ได้ และระบบยอ่ ยน้ตี ่างกม็ ี
ความสมั พนั ธก์ นั ไดแ้ ละส่งผลต่อการดารงอย่ขู องกนั และกนั ดงั ตวั อยา่ งในภาพท่ี 2.2 system A จะ
ประกอบไปดว้ ย system element ต่าง ๆ เช่น system a1, system a2,…..ทส่ี มั พนั ธก์ นั และประกอบ
กนั ขน้ึ เป็น system A และใน system (เชน่ a1, a2,…) กจ็ ะประกอบไปดว้ ย sub-sub system ท่ี
ประกอบขน้ึ เป็น sub-system a1 และใน sub-sub system กส็ ามารถแยกยอ่ ยลงไปไดอ้ กี เรอ่ื ย ๆ
จนถงึ infinity ในขณะเดยี วกนั ระบบ system A กจ็ ะตอ้ งสมั พนั ธก์ บั ระบบทใ่ี หญ่กวา่ ขน้ึ ไป อาทิ
จากระบบของปัจเจกไปถงึ ระบบสงั คมโลกและอ่นื ๆ จนถงึ infinity เช่นกนั ดว้ ยเหตุน้กี ารคดิ เชงิ
ระบบจงึ มคี วามหมายต่อระบบการจดั การการเปลย่ี นแปลงทางสงั คมมาก เพราะในการมองนิยามและ
แกไ้ ขปัญหาต่าง ๆ รวมถงึ ดา้ นการสง่ เสรมิ การเกษตร หากเพง่ มองไปทร่ี ะบบยอ่ ยเพยี งระบบเดยี ว

9

โดยไมไ่ ดม้ องทค่ี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งระบบยอ่ ยต่าง ๆ หรอื ระบบยอ่ ยกบั ระบบใหญ่เรากจ็ ะไมส่ ามารถ
แกไ้ ขปัญหาได้ หรอื หาทางแกท้ ร่ี ะบบใหญ่โดยไมเ่ ปลย่ี นระบบยอ่ ยกไ็ มส่ ามารถทาไดส้ าเรจ็ เช่นกนั
นอกจากน้ี ในการเป็นผนู้ าการเปลย่ี นแปลงทางสงั คมหรอื นักส่งเสรมิ การเกษตร แมจ้ ะเป็นเพยี งสว่ น
เลก็ ๆ หรอื ระบบยอ่ ยระบบหน่งึ ของสงั คม แต่ถา้ อยใู่ นฐานะของผสู้ งั เกตการณ์หรอื ปฏบิ ตั กิ ารใน
กระแสต่าง ๆ ได้ และนิยามความเปลย่ี นแปลงขน้ึ มาไดก้ ส็ ามารถสง่ ผลใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงกบั
สงั คมไดเ้ ชน่ กนั

System Element

System A

a2 Sub system
a1
a23 a1
a343 sub-sub ปัจจยั ภายนอก
system ของ a1 อ่นื ๆ
a45
สงั คม a56
(Society)

ภาพท่ี 3 แผนภมู ขิ องระบบ
ที่มา : ดดั แปลงจาก ชยั วตั น์ ถริ ะพนั ธ์ (2545 : 3)

จากแนวคดิ ดงั กล่าว การใชแ้ นวความคดิ เชงิ ระบบมาใชใ้ นการส่งเสรมิ การเกษตร จะชว่ ยใหเ้ หน็
ภาพสาหรบั การอธบิ าย คาดการณ์และควบคุมจดั การกบั ปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ อย่างสลบั ซบั ซอ้ นได้
เช่น ในดา้ นการปฏบิ ตั งิ านตามระบบส่งเสรมิ การเกษตรของเจา้ หน้าทส่ี ่งเสรมิ การเกษตรจะ
ประกอบดว้ ย ระบบยอ่ ยต่าง ๆ หลายระบบ ไดแ้ ก่ ระบบการปฏบิ ตั งิ านในพน้ื ทข่ี องเจา้ หน้าท่ี
ส่งเสรมิ การเกษตรท่ที างานในชมุ ชนต่าง ๆ ซง่ึ เป็นระบบหลกั ของระบบส่งเสรมิ การเกษตรและระบบ

10

สนบั สนุนการปฏบิ ตั งิ านของเจา้ หน้าทส่ี ง่ เสรมิ การเกษตร ซง่ึ ระบบการสนับสนุนการปฏบิ ตั งิ านจะ
ประกอบไปดว้ ยระบบยอ่ ยหลายระบบ เช่น ระบบการตดิ ตาม ประเมนิ ผล ระบบการนิเทศงาน ระบบ
ขอ้ มลู สารสนเทศ ระบบการพฒั นาบุคลากร ระบบงบประมาณ ระบบการประชาสมั พนั ธ์ เป็นตน้ ซง่ึ
ระบบต่าง ๆ เหล่าน้ีจะมคี วามสมั พนั ธก์ นั โดยเฉพาะจะมผี ลตอ่ ระบบการปฏบิ ตั งิ านในพน้ื ทข่ี องเจา้ หน้าท่ี
หากระบบสนบั สนุนมปี ระสทิ ธภิ าพจะมสี ว่ นสาคญั ทจ่ี ะทาใหร้ ะบบการปฏบิ ตั งิ านในพน้ื ทข่ี องเจา้ หน้าทท่ี ่ี
จะปฏบิ ตั งิ านกบั เกษตรกรเป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ หากผบู้ รหิ ารหรอื นกั ส่งเสรมิ การเกษตรไดม้ ี
ความเขา้ ใจถงึ องคป์ ระกอบและความสมั พนั ธข์ องระบบต่าง ๆ น้ีจะทาใหท้ ุกฝ่ายสามารถอธบิ าย
คาดการณ์ วางแผนในการพฒั นาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งและเป็นองคร์ วมเพราะปัญหา
หรอื ความขดั ขอ้ งของระบบยอ่ ยแต่ละระบบจะกระทบต่อการดาเนินงานของระบบอ่นื ๆ ขณะเดยี วกนั
เน่อื งจากระบบส่งเสรมิ การเกษตรเป็นระบบเปิดจงึ มปี ัจจยั ภายนอกทจ่ี ะเขา้ มาเก่ยี วขอ้ งกบั งานส่งเสรมิ
การเกษตรอกี หลายปัจจยั ทงั้ ปัจจยั ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม การเมอื ง การปกครอง เป็นตน้

ปัจจยั อน่ื ๆ

ระบบ ระบบ
การนิเทศงาน งบประมาณ

ปัจจยั ภายนอก ระบบการตดิ ตาม ระบบการ ระบบการ ปัจจยั ภายนอก
ดา้ น ประเมนิ ผล ปฏิบตั ิงาน พฒั นาบคุ ลากร ดา้ น
ในพืน้ ที่ของ
เศรษฐกจิ เจ้าหน้าท่ี การเมอื ง
สงั คม การปกครอง

วฒั นธรรม

ระบบขอ้ มลู ระบบการ
สารสนเทศ ประชาสมั พนั ธ์

ปัจจยั อน่ื ๆ

ภาพท่ี 4 ระบบงานส่งเสรมิ การเกษตร

11

เรือ่ งที่ 1.2 การวิเคราะหส์ ถานการณ์โดยการคิดเชิงระบบ

การวเิ คราะหส์ ถานการณ์เพ่อื การแก้ไขปัญหาทน่ี ิยมปฏบิ ตั กิ นั นนั้ ชยั วตั น์ ถริ ะพนั ธุ์ (2545)
สรปุ ว่า มกั จะดาเนนิ การดงั น้ี

1) มงุ่ ตรงจาก "ปรากฏการณ์" สู่ "ทางออกเลยทนั ท"ี โดยยงั ไมเ่ ขา้ ใจรากเหงา้ ของปัญหา
2) แกป้ ัญหาแบบแยกส่วน
3) เน้นพจิ ารณาทป่ี ัญหาดา้ นท่ี "จบั ตอ้ งได"้ หรอื "วดั " ได้ ขณะทใ่ี นประเดน็ ยาก ๆ มกั เป็น
นามธรรมเรอ่ื งอารมย์ คุณคา่ สานึก ฯลฯ ถกู ละเลย
4) มกั ชอบทาซ้ากบั ทางออกทท่ี าสาเรจ็ มาบา้ งเลก็ น้อยในอดตี
5) ชอบเน้นวา่ ทาอยา่ งไร "กลุม่ อ่นื " "ผอู้ ่นื " จะเปลย่ี นแปลง

ผลจากการวเิ คราะหแ์ ละแกป้ ัญหาตามแนวทน่ี ิยม หรอื แนวจารตี ทก่ี ลา่ วมาทาใหเ้ กดิ ผลดงั น้ี
1) "แทบไมเ่ กดิ กาลงั งดั " หรอื การเปลย่ี นแปลงทงั้ ทล่ี งแรงทรพั ยากรไปมาก
2) การเปลย่ี นแปลงอาจเกดิ ขน้ึ ชวั่ คราวไมย่ งั่ ยนื หรอื ดขี น้ึ ในช่วงสนั้ ๆ เท่านนั้
3) เกดิ กลุ่มทไ่ี มไ่ วว้ างใจกนั และกนั ขน้ึ
4) เมอ่ื แกไ้ ขปัญหาไมไ่ ดก้ จ็ ะมกี าร "ประชด ประชนั " "เยย้ หยนั " กนั ขน้ึ
เพ่อื ไมใ่ หเ้ กดิ ปัญหาดงั กล่าวในงานสง่ เสรมิ การเกษตรนนั้ นกั สง่ เสรมิ การเกษตรจาเป็นตอ้ งใช้
แนวความคดิ เชงิ ระบบเพ่อื ทาความเขา้ ใจกบั สถานการณ์หรอื ปัญหาต่าง ๆ ซง่ึ การคดิ หรอื พจิ ารณา
ปัญหาต่าง ๆ โดยการคดิ เชงิ ระบบนัน้ สามารถพิจารณาปัญหาได้ 4 ระดบั ซ่งึ ชยั วฒั น์ ถิระพนั ธุ์
(2545) ไดก้ ล่าวไว้ คอื
1. ระดบั เหตุการณ์ (event) เป็นการพจิ ารณาว่ามเี หตุการณ์อะไรเกดิ ขน้ึ โดยพจิ ารณาตาม
คาถามว่าใครทาอะไรและเกดิ เหตุการณ์อะไรขน้ึ
2. ระดบั แบบแผนพฤติกรรม (patterns of behavior) เป็นการอธบิ ายว่าการเกดิ ขน้ึ ของ
รปู แบบพฤตกิ รรมหรอื ปัญหานนั้ ๆ เป็นอย่างไร มคี วามบ่อย ความซ้าทเ่ี กดิ ขน้ึ ในแต่ละชว่ งเวลา
อยา่ งไร มแี นวโน้ม มกี ารปรบั ตวั อย่างไร เป็นการพจิ ารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ อย่างสมั พนั ธ์
กนั เป็นการตอบคาถามว่าในแต่ละชว่ งเวลาเกดิ อะไรขน้ึ และเกดิ บ่อยเพยี งใด
3. ระดบั โครงสร้าง (structure) เป็นการพจิ ารณาถงึ ส่วนประกอบหรอื องคป์ ระกอบของสง่ิ
นนั้ หรอื ปัญหานนั้ คอื อะไร มกี ารก่อตวั การจดั การใหเ้ กดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร มงุ่ อธบิ ายวา่ ทาไมสงิ่ นนั้ ๆ จงึ
เกดิ ขน้ึ ได้
4. ระดบั ภาพจาลองความคิด (mental model) เป็นการหาคาตอบเกย่ี วกบั ความคดิ โลก
ทศั น์ ชวี ทศั น์ ความเชอ่ื ค่านยิ ม การใหค้ ณุ คา่ ความเขา้ ใจ ของแต่ละฝ่ายแต่ละกลุ่มทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ซง่ึ
สว่ นน้เี ป็นส่วนสาคญั ทจ่ี ะเก่ยี วขอ้ งกบั ระดบั ต่าง ๆ ทก่ี ล่าวมาทงั้ หมด

12

การคิดหรอื วิเคราะห์ปัญหา 4 ระดบั จะทาให้นักส่งเสรมิ การเกษตรสามารถเข้าใจปัญหาได้
ชดั เจนและครอบคลุมมากยง่ิ ข้นึ เหมอื นการมองภูเขาน้าแขง็ ทงั้ ก้อนไม่ใช่เป็นการมองเหน็ เฉพาะ
ปัญหาส่วนท่ีอยู่เหนือผวิ น้าซ่งึ เป็นระดบั เหตุการณ์เท่านัน้ เพราะหากมองเห็นเฉพาะเหตุการณ์ก็จะ
แกป้ ัญหาเพยี งผวิ เผนิ หรอื ระดบั ผวิ น้า แต่หากมกี ารคดิ หรอื พจิ ารณาปัญหา 4 ระดบั จะนาไปสกู่ ารหา
แนวทางแกไ้ ขปัญหาทแ่ี ตกต่างกนั ในแต่ละระดบั และครอบคลุม ดงั ภาพตวั อยา่ งท่ี 5 และ 6

สถานการณ์ การแก้ปัญหา

 ไฟไหม้ ระดบั  ฉดี น้า ดบั ไฟ
(ระดบั ผิวน้า) เหตุการณ์ (event) (ระดบั ผิวน้า)

 เกดิ ไฟไหมใ้ นช่วง ระดบั  เตอื นภยั และระมดั ระวงั
เทศกาล ตรุษจนี แบบแผนพฤตกิ รรม  เตรยี มพรอ้ มช่วงเทศกาล
ปีใหม่ เสมอ (patterns of behavior)  อบรมการดบั ไฟ

 สายไฟเก่า ระดบั  ตรวจสอบสายไฟและเปลย่ี นใหม่
 บา้ นไมเ้ กา่ โครงสรา้ ง  กาจดั สง่ิ ทเ่ี ป็นเชอ้ื ไฟ
 มเี ชอ้ื ไฟมาก  เปลย่ี นวสั ดุใหม่ทไ่ี ม่ไวไฟ
 มวี ตั ถุไวไฟ (structure)
 สรา้ งจติ สานกึ
 คนไมร่ ะมดั ระวงั ระดบั  รณรงคส์ รา้ งความเขา้ ใจ
 ขาดจติ สานึก ภาพจาลองความคดิ
 ประมาท กบั ทุกระดบั
(mental model)  กาหนดกฎ ระเบยี บรว่ มกนั

ภาพท่ี 5 ตวั อยา่ งการคดิ 4 ระดบั ในเหตุการณ์ไฟไหมแ้ ละการแกป้ ัญหา
ท่ีมา : ชยั วฒั น์ ถริ ะพนั ธุ์ (2545)

13

สถานการณ์ การแก้ปัญหา

 เกษตรกรยากจน ระดบั  ใหท้ ุน แจกวสั ดุ
ขาดเงนิ ทุน ฯลฯ เหตุการณ์  ฯลฯ
(ระดบั ผิวน้า) (event) (ระดบั ผิวน้า)

 รปู แบบการผลติ ระดบั  ปรบั ระบบการผลติ ใหม่
พชื เชงิ เดย่ี ว วถิ ชี วี ติ แบบแผนพฤตกิ รรม  ปรบั วถิ ชี วี ติ ลดหน้สี นิ
ฟุ่มเฟือย ตดิ อบายมุข (patterns of behavior)  ลดตน้ ทุน
ลงทุนมาก ฯลฯ  ฯลฯ
ระดบั
 โครงสรา้ งเศรษฐกจิ โครงสรา้ ง  สรา้ งความมนั่ คงของสงั คม
แบบพง่ึ พา สงั คม (structure) เศรษฐกจิ สรา้ งพลงั ชุมชน
ต่างคนต่างอยู่ ทเ่ี ขม้ แขง็ ร่วมมอื กนั
ขาดการเรยี นรู้
รว่ มกนั ฯลฯ  ฯลฯ

 ตดิ ระบบอุปถมั ภ์ ระดบั  ปรบั เปลย่ี นวธิ คี ดิ
เป้าหมายชวี ติ ภาพจาลองความคดิ  กาหนดเป้าหมายชวี ติ ใหม่
เน้นวตั ถุนิยม (mental model)  ฯลฯ
อยากสะดวกสบาย
ฯลฯ

ภาพท่ี 6 ตวั อยา่ งการคดิ 4 ระดบั ในเหตุการณ์เกษตรกรยากจนขาดเงนิ ทุนในการผลติ
และการแกป้ ัญหา

ขณะเดยี วกนั ในการวเิ คราะหป์ ัญหาดว้ ยการคดิ เชงิ ระบบ โดยการพจิ ารณาปัญหาใน 4 ระดบั
ท่ีมีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกันในแนวตัง้ แล้ว จะเห็นได้ว่าในแต่ละระดับยังมีระบบย่อย ๆ ท่ีมี
ความสมั พนั ธ์เช่อื มโยงกนั อีกด้วย เช่น การผลติ ของเกษตรกรก็มที งั้ ระบบการผลติ ระบบเศรษฐกิจ
ระบบสงั คม-วฒั นธรรม ระบบการเมอื ง ระบบธรุ กจิ ฯลฯ เป็นตน้

14

เร่ืองท่ี 1.3 แม่แบบของระบบและการแก้ปัญหาเชิงระบบ

ในการแกไ้ ขปัญหาเชงิ ระบบจาเป็นตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั การคดิ ในเชงิ ระบบ ซง่ึ การคดิ เชงิ
ระบบเป็นการคดิ ในลกั ษณะเป็นวง (loop) มากกว่าการคดิ เป็นเสน้ ตรงดงั ทก่ี ล่าวมาแลว้ เน่อื งจากทุก ๆ
ส่วนต่างมกี ารเชอ่ื มต่อกนั ทงั้ โดยตรงและโดยออ้ ม และการเปลย่ี นแปลงใด ๆ ยอ่ มก่อผลกระทบ
ต่อเน่อื งไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของระบบ และยอ้ นกลบั มายงั จดุ เรม่ิ ตน้ กจ็ ะตอบสนองสะทอ้ นกลบั ไปอกี
ครงั้ ซง่ึ เรยี กวา่ วงจรการป้อนกลบั (feed back loops) ดงั ภาพ

ความเปลย่ี นแปลง
ในสว่ นแรกของระบบ

เป็น สาเหตุ เป็น สาเหตุ

ความเปลย่ี นแปลง
ในสว่ นทส่ี องของระบบ

ภาพที่ 7 แสดงวงจรการป้อนกลบั ของระบบ

ประเภทของวงจรการป้อนกลบั
ดงั ท่กี ล่าวว่าการป้อนกลบั เป็นพน้ื ฐานของระบบและกล่าวไดว้ ่า หากปราศจากการป้อนกลบั

กจ็ ะปราศจากระบบเชน่ กนั ซง่ึ การป้อนกลบั สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื
1. การป้อนกลบั แบบเสริมแรง (reinforcing feedback) เป็นการป้อนกลบั ทก่ี าร

เปลย่ี นแปลงทงั้ มวลของการป้อนกลบั ไดข้ ยายกาลงั มากขน้ึ กว่าในตอนตน้ คอื การเปลย่ี นแปลงท่ี
เกดิ ขน้ึ ในระบบจะเป็นตน้ เหตุเมอ่ื ผา่ นเขา้ มาแลว้ จะส่งผลในการสรา้ งความเปลย่ี นแปลงทม่ี ากขน้ึ ไป
อกี ในทศิ ทางเดยี วกนั ซง่ึ อาจจะเป็นไปในทศิ ทางบวกหรอื ลบกไ็ ด้ เปรยี บดงั กอ้ นหมิ ะ (Snow ball) ท่ี
ค่อย ๆ กลง้ิ ลงมาจากยอดภูเขาทจ่ี ะมขี นาดใหญ่ขน้ึ เรอ่ื ย ๆ ดว้ ยการสะสมพอกพนู ของหมิ ะนนั่ เอง

ตวั อย่างวงจรเสรมิ แรงในทางบวกหรอื ส่งเสรมิ ในทางท่ดี ี (virtuous circle) เช่น การเรยี นรู้
และการเสรมิ สรา้ งภูมปิ ัญญาของเกษตรกร หากมกี ารเรยี นรมู้ ากเท่าใดกจ็ ะเขา้ ใจเรอ่ื งต่าง ๆ ไดง้ ่ายขน้ึ
มากขน้ึ ลกึ ซง้ึ ขน้ึ และเกดิ ภูมปิ ัญญามากขน้ึ เร่อื ย ๆ เป็นพลวตั ทส่ี ่งเสรมิ ให้เกดิ ประโยชน์ แต่ในทาง
ตรงกนั ขา้ มหากเป็นวงจรแห่งการเส่อื มถอยหรอื วฏั จกั รแห่งความเลวรา้ ย (vicious circle) เช่น การท่ี
เจา้ หน้าทส่ี ่งเสรมิ การเกษตรต้องทางานหนักมาก ถูกกดดนั ด้วยเวลา และนโยบายเร่งด่วน รวมถงึ

15

ปัญหาต่าง ๆ ท่เี กดิ ข้นึ ก็ไม่ได้รบั การแก้ไขอย่างจรงิ จงั ทาใหป้ ัญหานัน้ ยงั คงอยู่และต้องแก้ปัญหา
อย่างซ้าแลว้ ซ้าเล่าเป็นงานเพม่ิ ขน้ึ เร่อื ย ๆ กลายเป็นภาระงานทห่ี นักเกนิ ไปในทส่ี ุด ซง่ึ ลกั ษณะของ
วงจรทงั้ 2 ประเภท ดงั ภาพ

ภมู ปิ ัญญา = สญั ลกั ษณ์ของวงจรเสรมิ แรง
ทางบวก

เกดิ การเรยี นรเู้ พม่ิ เขา้ ใจ สนใจไฝ่ หาความรู้
สงิ่ ต่าง ๆ เพม่ิ ขน้ึ

มกี ระบวนการเรยี นรู้

ภาพท่ี 8 การเสรมิ แรงในทางทด่ี หี รอื ทางบวก (virtuous circle)

= สญั ลกั ษณ์ของวงจรเสรมิ แรง
ทางลบ

นกั สง่ เสรมิ ทางานมาก
ถูกกดดนั

เกดิ ความเครยี ด

เกดิ ปัญหาทบั ถม ความตงั้ ใจในการทางาน
และมปี ัญหาอน่ื ๆ ตามมา ลดลง

งานไมแ่ ลว้ เสรจ็
ไม่ไดผ้ ล

ภาพที่ 9 การเสรมิ แรงในทางเสอ่ื มถอยหรอื ทางลบ (vicious circle)

2. การป้อนกลบั แบบสมดลุ (balancing feedback) เป็นลกั ษณะของการต่อตา้ นการเปลย่ี นแปลง
หรอื การสรา้ งความสมดุล เพ่อื ใหร้ ะบบเกดิ ความสมดุลมเี สถยี รภาพหรอื การหยุดยงั้ การเจรญิ เตบิ โต
หรอื กล่าวได้ว่าเป็นการป้อนกลบั แบบคานกาลงั โดยไปต้านการเปล่ยี นแปลงท่กี าลงั เป็นอย่แู ละลด
ระดบั การเปลย่ี นแปลงใหเ้ กดิ เสถยี รภาพขน้ึ ในระบบหรอื ลดความแตกต่างระหว่างสงิ่ ท่ตี วั ระบบนัน้

16

เป็นอยู่กบั สงิ่ ท่รี ะบบควรจะเป็น (เป้าหมาย) ให้แตกต่างกนั น้อยลง และถ้าแตกต่างกนั น้อยเท่าใด
ระบบกจ็ ะยงิ่ มเี สถยี รภาพมากขน้ึ เท่านนั้

ตวั อย่างเช่น ผลผลติ ขา้ วของประเทศตกต่าลง (สงิ่ ทเ่ี ป็นอย่)ู เจา้ หน้าทก่ี จ็ ะตงั้ เป้าหมาย (สงิ่
ทค่ี วรจะเป็น) ให้ผลผลติ ขา้ วสูงขน้ึ การลดช่วงห่างระหว่างผลผลติ ขา้ วท่เี ป็นอย่กู บั เป้าหมายในการ
ผลติ เจา้ หน้าทต่ี ้องตดั สนิ ใจเวลาลงมอื ปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะลดช่วงห่างนนั้ ใหน้ ้อยลง คอื ไดผ้ ลผลติ ขา้ วทส่ี ูงขน้ึ
เพอ่ื ใหบ้ รรลุเป้าหมาย ดงั แสดงวงจรสมดลุ ดงั ภาพ

= สญั ลกั ษณ์วงจรสมดลุ
หรอื การคานกาลงั

การเพม่ิ เจา้ หน้าท่ี
สง่ เสรมิ การสนบั สนุน

งบประมาณ

การตดั สนิ ใจ การจดั รณรงคส์ ง่ เสรมิ
ดาเนนิ การ การเพม่ิ ผลผลติ ขา้ ว

ความแตกต่างระหว่าง
ผลผลติ ขา้ วในปัจจุบนั
กบั เป้าหมายการผลติ

เป้าหมายการผลติ ขา้ ว

ภาพท่ี 10 แสดงการป้อนกลบั แบบสมดลุ

ในการแกไ้ ขปัญหาเชงิ ระบบเมอ่ื ไดเ้ ขา้ ใจพน้ื ฐานของวงจรซง่ึ จะมกี ารเช่อื มต่อกนั 2 รปู แบบใหญ่
ดงั ท่ไี ด้กล่าวมาแล้วจากท่ี เดชน์ เทยี มรตั น์ และ กานต์สุดา มาฆะศริ านนท์ (2544 : 68) ไดอ้ ้างถึง
ปีเตอร์ เอ็ม เซ็งก้ี และท่ี ชยั วตั น์ ถิระพันธุ์ (2545 : 66) ได้กล่าวสรุปไว้ว่า เราสามารถถ่ายทอด
ความคดิ เก่ยี วกบั ระบบใด ๆ ทซ่ี บั ซ้อนออกมาเป็นภาพง่าย ๆ ท่จี ะทาให้สามารถเขา้ ใจสถานการณ์
ปัญหาหรอื ธรรมชาติต่าง ๆ ได้ด้วยลักษณะของภาพท่ีเรยี กว่าเป็นแม่แบบของระบบ (System
Archetypes) บางทา่ นเรยี กวา่ "จติ ลกั ษณ์ของระบบ"

โดย ชยั วตั น์ ถริ ะพนั ธุ์ (2545 : 66) กล่าวว่า archetype แปลว่า “โคตรแบบ” ซง่ึ มาจากภาษา
กรกี คอื "archetypos" แปลว่า “first of it’s kind” ซง่ึ เป็นเหมอื นต้นฉบบั พน้ื ฐานของระบบทุกระบบ
ซ่งึ เป็นปรากฏการณ์ซ้าซากของทุกระบบ ถ้าเรารจู้ กั และเข้าถงึ มนั ได้ก็จะสามารถปฏบิ ตั กิ ารอย่าง
ทะลุทะลวงลา้ ลกึ ถงึ สาเหตุอนั เป็นโคตรแบบทแ่ี ทจ้ รงิ ซง่ึ archetype ของระบบมหี ลายลกั ษณะดงั น้ี

17

1. แก้ไขแต่ผลไม่เป็นไปตามคาดหวงั หรือยิ่งแก้ไขยิ่งย่งุ (fixes that backfire) เป็นการ
แก้ปัญหาท่ไี ม่ถูกจุด ปัญหาเดมิ อย่ใู นวงเสรมิ แรง (reinforcing loop) ท่กี าลงั มสี ถานการณ์ท่เี ลวลง
(vicious circle) แต่การแก้ไขปัญหาอาจทาเป็นเพียงเฉพาะหน้า (quick fix) ทาให้สถานการณ์ดีข้ึน
เพยี งชวั่ คราว แต่แลว้ กก็ ลบั แยล่ งไปอกี และจะเลวรา้ ยไปกวา่ เดมิ ในทส่ี ุด

รปู แบบน้อี าจจะเปรยี บไดก้ บั การเรยี นรปู้ ัญหาและแกป้ ัญหาแบบพน้ื ฐานมปี ัญหาอะไรก็
แกไ้ ขไปตามอาการ มไิ ดม้ องปัญหาระยะยาว มไิ ดป้ ้องกนั การเกดิ ผลขา้ งเคยี งมไิ ดป้ ้องกนั การเกดิ
ของปัญหานนั้ ขน้ึ มาอกี ครงั้ การแกไ้ ขปัญหายง่ิ มากวธิ ยี ง่ิ ส่งผลขา้ งเคยี งมากขน้ึ และสรา้ งปัญหาใหม่
หรอื ยงิ่ ขยายปัญหาใหญ่ออกไปมลี กั ษณะยงิ่ แก้ปัญหายง่ิ ยงุ่ ยง่ิ บานปลายออกไปเท่านนั้ มลี กั ษณะ
เหมอื นทก่ี ลา่ ววา่ เป็นแบบ “ลิงแก้แห” ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

 ประสทิ ธภิ าพการทางาน

ลดลง

 ปัญหาครอบครวั

 ความเครยี ด ฯลฯ

(ปรากฏการณ์ เจา้ หน้าทเ่ี กษตร มเี งนิ สหกรณ์ มเี งนิ กู้
ของปัญหา) มหี น้สี นิ สหกรณ์ใหก้ ู้ เพม่ิ วงเงนิ กู้ นอกระบบ

(การแกไ้ ข)

 เจา้ หน้าทก่ี เู้ งนิ เพมิ่

 ใชจ้ า่ ยฟุ่มเฟือย

 ใชจ้ ่ายไมม่ วี นิ ยั

ฯลฯ

(ผลข้างเคียง)

ภาพที่ 11 แสดงแมแ่ บบของระบบในสถานการณ์ยง่ิ แกไ้ ขยง่ิ ยงุ่

18

(ปรากฏการณ์ ยาเสพตดิ ระบาด เจา้ หน้าท่ี เพมิ่ โทษผตู้ ดิ ยา เขม้ งวด/กดดนั
ของปัญหา) ในชุมชน จบั /กวดขนั จบั ผขู้ าย เดก็ เยาวชน

(การแก้ไข)

เกดิ เทคนคิ การผลติ
การขายใหม่ ๆ

ยาราคาแพงซ้อื ยาก
จงู ใจคนขาย

เดก็ ตดิ ยามากขน้ึ
ตดิ คุกมากขน้ึ

(ผลข้างเคียง)

ภาพท่ี 12 แสดงแมแ่ บบของระบบในสถานการณ์ยง่ิ แกไ้ ขยงิ่ ยงุ่

จากภาพทแ่ี สดง จะเหน็ ไดว้ า่ ปัญหาเจา้ หน้าทเ่ี กษตรมหี น้ีสนิ และปัญหายาเสพตดิ ในชุมชน
หากแกไ้ ขไมถ่ กู ตอ้ งปัญหาจะยง่ิ ยงุ่ และบานปลายออกไปได้

ข้อคิดการแก้ปัญหาสาหรบั สถานการณ์ย่ิงแก้ยิ่งยุ่ง ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์

เช่นน้ีควรตระหนักถึงผลข้างเคยี งท่มี ไิ ด้คาดหวงั โดยพิจารณาว่าการแก้ปัญหาเป็นเพยี งการปัดเป่ า
ปรากฏการณ์ท่เี กิดใช่หรอื ไม่ ซ่งึ ควรพจิ ารณาถึงสาเหตุปัญหาท่แี ท้จรงิ ลดความถ่แี ละจานวนการ
แก้ไขลงโดยคดั เลอื กมาตรการท่สี รา้ งผลข้างเคยี งน้อยท่สี ุด หรอื สามารถจดั การผลข้างเคยี งได้ หรอื
ทบทวนหาวธิ กี ารอ่นื ทไ่ี มเ่ กดิ ผลขา้ งเคยี ง เป็นตน้

2. การเติบโตอย่างจากดั (limits to growth) โดยจะมกี ารเตบิ โตแบบไม่สม่าเสมอ บางช่วง

ก็อาจมกี ารเติบโตได้อย่างรวดเรว็ แต่ในท่ีสุดแล้วก็จะคงระดบั ณ ขดี จากัด (limit) อนั ใดอนั หน่ึง
ซง่ึ ถ้าหากไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลงองคป์ ระกอบใด ๆ อกี ต่อไป การเตบิ โตนนั้ กจ็ ะเรมิ่ ตดิ ลบ คอื ตกต่าลงไป
อกี ครงั้

ดงั ตวั อย่างเช่นนักพฒั นาได้รบั การพฒั นาให้เป็นวทิ ยากรกระบวนการ (facilitater) ท่มี ี
ความสามารถในการทางานเพ่ือสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนเม่อื ได้รบั การพฒั นา ทักษะของ
นกั พฒั นากม็ มี ากขน้ึ กท็ างานไดด้ ขี น้ึ แต่ขณะเดยี วกนั เม่อื นกั พฒั นาทางานไดด้ กี ไ็ ดร้ บั การยอมรบั ทา
ให้มงี านเพมิ่ ขน้ึ ถูกเชญิ หรอื ถูกดงึ ไปทางานสรา้ งผูน้ าท่อี ่นื เพมิ่ ขน้ึ ทาใหง้ านมมี ากขน้ึ และเม่อื งาน

19

มากขน้ึ กไ็ ปจากดั การทางานของตนเองทาใหท้ างานในความรบั ผดิ ชอบหรอื ในพน้ื ทต่ี นเองลดลง หรอื
ขาดการพฒั นาตนเองในทส่ี ุดกอ็ าจจะทาใหก้ ารทางานไมด่ หี รอื ตกต่าลงไปได้ เป็นตน้ ดงั ภาพ

นกั พฒั นาขาด
การพฒั นาตนเอง

นกั พฒั นาไดร้ บั การ + - งานเตม็ มอื สรา้ งผนู้ าเครอื ขา่ ย
พฒั นาเป็นวทิ ยากร ทอ่ี ่นื เพม่ิ
สรา้ งชุมชนเขม้ แขง็
กระบวนการได้

นกั พฒั นาไดร้ บั การ
ยอมรบั ขยายงานมาก

ภาพที่ 13 แสดงแมแ่ บบของระบบในสถานการณ์การเตบิ โตอยา่ งจากดั

ข้อคิดการแก้ปัญหาสาหรบั สถานการณ์การเติบโตอย่างจากดั ควรจะพจิ ารณาว่า
เราไดใ้ หค้ วามสาคญั กบั งานอ่นื ๆ มากเกนิ ไปจนกระทงั่ มผี ลต่องานหลกั หรอื ทางานอ่นื จนเกนิ กาลงั
หรอื เกนิ ทรพั ยากรทจ่ี ะทาไดห้ รอื ไม่ ซง่ึ ควรจะเรยี งลาดบั คณุ ค่าความสาคญั ของงานไมใ่ ชท่ าตามทเ่ี รา
ชอบพอใจ หรอื ปล่อยใหส้ ถานการณ์นาไปจนลมื ภารกจิ หลกั เพราะแมว้ ่าจะเคยทางานทส่ี าเรจ็ และ
ได้ผลดมี าแล้วแต่ถ้าไปเพลดิ เพลินกบั งานอ่ืนก็จะทาให้งานท่ีเคยสาเรจ็ ล้มเหลวได้ ดงั นัน้ จงึ ควร
พจิ ารณาขอ้ จากดั ต่าง ๆ ทอ่ี าจจะมกี ่อนจะขยายงานใหญ่ และหากจะขยายงานกต็ ้องพจิ ารณาว่าตอ้ ง
สามารถเตบิ โตไดอ้ ยา่ งต่อเน่อื งและสามารถในการจดั การขอ้ จากดั ต่าง ๆ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ไดเ้ พยี งใด

3. ภาระที่ถกู ย้ายที่หรือการโยกย้ายภาระกิจ (shifting the burden) ในรปู แบบนี้จะ
สะทอ้ นถงึ ปัญหาทก่ี าลงั ทวคี วามรุนแรงขน้ึ แต่กม็ กี ารแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยด่วน แต่กไ็ ม่เป็น
ผลเพราะแท้ท่จี รงิ แลว้ ปัญหาน้ีเป็นปัญหาระยะยาว กว่าจะค้นพบปัญหาท่แี ท้จรงิ ได้ รวมถงึ กว่าจะ
หาทางคดิ แกไ้ ขปัญหาไดล้ ว้ นต้องใชเ้ วลาจงึ ไม่มอี ะไรดกี ว่าการกูห้ น้าดว้ ยการเปลย่ี นคน การเปลย่ี น
มา้ กลางลาธาร หรอื การเปลย่ี นขุนศกึ กลางสนามรบ การแก้ปัญหาลกั ษณะน้ีเป็นแก้ปัญหาทไ่ี ม่ถูกท่ี
ถกู ทาง ไมแ่ กท้ ส่ี าเหตุของปัญหาเป็นการแกป้ ัญหาผดิ ท่ี

ดงั เช่นปัญหาเกษตรยากจนพง่ึ พาตนเองไม่ได้ แต่การแก้ไขปัญหามุ่งไปทก่ี ารแก้ปัญหา
เฉพาะหน้าคอื การยกเลกิ หน้ีสนิ และใหเ้ งนิ ช่วยเหลอื ใหเ้ ปล่าแก่เกษตรกร ทาใหเ้ กดิ ผลขา้ งเคยี งคอื
เกษตรกรมคี วามคดิ พง่ึ พาคนอ่นื แทนทจ่ี ะวเิ คราะหส์ าเหตุปัญหาทแ่ี ทจ้ รงิ วา่ ปัญหาเกษตรกรยากจน
เพราะระบบการผลติ ไม่เหมาะสม การใชป้ ัจจยั การผลติ ภายนอกมาก การขาดความรทู้ กั ษะในการปรบั
ใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมและการขาดการบรหิ ารจดั การฟาร์มท่ีดี การแก้ปัญหาลักษณ์น้ีเป็นการ

20

แก้ปัญหาผดิ ทจ่ี นเกษตรกรช่วยเหลอื ตวั เองไม่ได้ หรอื เป็นการโยกยา้ ยภารกจิ ไปทาในสง่ิ อ่นื แทนการ
ทาในสงิ่ ทค่ี วรทาดงั ภาพ

 การของบประมาณ
ช่วยเหลอื จากหน่วยงาน
ต่าง ๆ

 การยกเลกิ หน้สี นิ

ความคดิ พง่ึ พาคนอน่ื
ผลขา้ งเคยี ง

ปัญหาเกษตรกรยากจน
พง่ึ ตนเองไมไ่ ด้

วเิ คราะหส์ าเหตุ แกไ้ ขสาเหตุ
ของปัญหา

 ระบบการผลติ ไมเ่ หมาะสม
 ปัจจยั การผลติ พง่ึ พาภายนอก

มาก
 ขาดความรทู้ กั ษะในการปรบั

ใชเ้ ทคโนโลยที เ่ี หมาะสมและ
ขาดการจดั การทด่ี ี

ภาพที่ 14 แสดงแมแ่ บบของระบบในสถานการณ์ภาระทถ่ี ูกยา้ ยท่ี

ข้อคิดการแก้ปัญหาในสถานการณ์ภาระที่ถกู ย้ายท่ี สภาวะการณ์เช่นน้ีคล้ายกบั
ปัญหายง่ิ แกย้ ง่ิ ยงุ่ โดยต้องหาทางแกป้ ัญหาทส่ี าเหตุและพจิ ารณาว่าถา้ จะมกี ารแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ด้วยก็ต้องระวงั ผลขา้ งเคยี งท่ีจะเกิดข้นึ หรอื ใช้มาตรการท่เี กิดผลข้างเคียงน้อย และให้เวลากับการ
คน้ หาความจรงิ วา่ รากเหงา้ ของปัญหาอยทู่ ใ่ี ด และทาการแกป้ ัญหาพรอ้ มกนั ทงั้ ระยะสนั้ และระยะยาว

4. ความวิบตั ิจากการใช้ทรพั ยากรร่วมกนั (the tragedy of the commons) เน่อื งจาก
ปกตทิ ุก ๆ คนต่างกจ็ ะทาในสง่ิ ทต่ี นเหน็ ควร และสนใจมากทส่ี ดุ แต่ผลทอ่ี อกมาอาจจะกลายเป็นสงิ่ ท่ี
เป็นมหนั ตภยั อย่างทส่ี ุด เช่น สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วแห่งใดทม่ี ชี ่อื เสยี งโด่งดงั ในวนั หยดุ ยาว ๆ กจ็ ะมคี น
หลงั่ ไหลไปยงั สถานทแ่ี ห่งนนั้ จนเนืองแน่นไปหมด แลว้ ทกุ คนกจ็ ะเสยี ประโยชน์ รถตดิ แน่นขนดั
อารมณ์เสยี หรอื ในช่วงวนั หยดุ สงกรานต์ ผคู้ นกจ็ ะเดนิ ทางไปท่องเทย่ี วทางภาคเหนือ บางสว่ นก็

21

กลบั ไปเยย่ี มภมู ลิ าเนา กลายเป็นความวบิ ตั จิ ากการใชร้ ถใชถ้ นนรว่ มกนั โดยเฉพาะในชว่ งเวลาเรม่ิ ตน้
ของเทศกาล และช่วงถนนใกล้ ๆ บรเิ วณทก่ี าลงั จะออกจากกรงุ เทพฯ เป็นตน้

เมอ่ื ถงึ จดุ ๆ หน่ึง ซง่ึ เป็นขดี จากดั ของระบบกจ็ ะไมม่ ที ่วี ่างสาหรบั ผมู้ าทหี ลงั อกี ต่อไป อกี ทงั้
ผทู้ อ่ี ยมู่ าก่อนหน้าก็ตอ้ งไปพานพบกบั วกิ ฤตนิ นั้ ๆ เขา้ ไปดว้ ย อยา่ งเชน่ เวบ็ ไซต์ดงั ๆ เมอ่ื มผี เู้ ขา้ ไป
ในระบบนนั้ มาก ๆ กจ็ ะเกดิ อาการอดื จนคา้ ง (Hang) ไปในทส่ี ุด หรอื ตวั อยา่ งในการใชท้ รพั ยากรน้าท่ี
มกี ารใชร้ ว่ มกนั ระหว่างเกษตรกรธุรกจิ ท่องเทย่ี ว อุตสาหกรรมและสนามก๊อลฟทต่ี ่างไดก้ าไรมรี ายได้
จากการใชน้ ้า แต่แหล่งน้ามขี อ้ จากดั ในปรมิ าณและระบบนิเวศน์ทอ่ี ่อนไหวเปราะบางเมอ่ื มกี ารใชม้ าก
ขยายพน้ื ทม่ี าก ขยายอุตสาหกรรมมากกเ็ กดิ น้าตน้ื เขนิ น้าไม่พอใช้ และของเสยี จากอุตสาหกรรมการใช้
สารเคมกี ารเกษตรทาใหน้ ้าเสยี ซง่ึ เกดิ ผลกระทบทุกฝ่ายสุดทา้ ยทุกฝ่ายกม็ ปี ัญหาในการใชท้ รพั ยากร
รว่ มกนั และรายไดก้ ล็ ดลงในทส่ี ดุ

การใชน้ ้าทาการเกษตร ผลผลติ ดี รายไดเ้ พมิ่ ขอ้ จากดั ของแหล่งน้า
ของเกษตรกร ขยายพน้ื ท่ี ความอ่อนไหวของ

 แหลง่ น้าต้นื เขนิ ระบบนิเวศน์
 สารเคมตี กคา้ ง
 น้าเสยี  น้าไมพ่ อใช้
 รายไดล้ ดลง

การใช้น้าใน กาไรเพมิ่ ขยายกจิ การ
 ธรุ กจิ ทอ่ งเทย่ี ว ขยายโรงงาน
 ธรุ กจิ อุตสาหกรรม
 สนามก๊อลฟ

ภาพที่ 15 แสดงแมแ่ บบของระบบในสถานการณ์ความวบิ ตั จิ ากการใชท้ รพั ยากรร่วมกนั

22

ข้อคิดในการแก้ปัญหาสาหรบั สถานการณ์ความวิบตั ิจากการใช้ทรพั ยากรร่วมกนั
ในกรณีการใช้ทรพั ยากรสาธารณะจาเป็นต้องหยุดใช้และพิจารณากาหนดกฎเกณฑ์การใช้ การ
อนุรกั ษ์ทรพั ยากรและฟ้ืนฟูทรพั ยากรรว่ มกนั ขณะเดยี วกนั ตอ้ งพจิ ารณาหาเทคโนโลยที เ่ี หมาะสม เพ่อื
แก้ไขปัญหาขอ้ จากดั ต่าง ๆ ท่มี อี ย่ใู นทรพั ยากรและการใชท้ รพั ยากรอย่างเหมาะสม โดยทุกฝ่ ายท่ใี ช้
ทรพั ยากรรว่ มกนั ตอ้ งรว่ มกนั เรยี นรู้ วเิ คราะหแ์ ละหากทางออกรว่ มกนั อยา่ งจรงิ จงั

ผลการประยกุ ตแ์ นวทางการวิเคราะหป์ ัญหาเชิงระบบในงานส่งเสริมการเกษตร
จากแนวทางในการวเิ คราะห์เพ่อื ทาความเขา้ ใจปัญหาและสถานการณ์โดยการวเิ คราะห์ปัญหา

เชิงระบบนัน้ สรุปผลจากการประยุกต์แนวทางดงั กล่าวจะก่อให้เกิดผลต่องานส่งเสรมิ การเกษตร
ทส่ี าคญั เช่น

1. พฒั นาระบบการเรียนรู้ ตามความเหมาะสมและสอดคล้องกนั ในแต่ละคนแต่ละตาแหน่งงาน
ตงั้ แต่ระดบั ปฏบิ ตั ถิ งึ ระดบั บรหิ ารรวมทงั้ เกษตรกรและเจา้ หน้าท่ี เพราะจะทาให้ทุกฝ่ ายเกดิ การเรยี นรู้
มองปัญหาได้ชดั เจนและสามารถจดั การเรยี นรไู้ ดเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์และผเู้ ก่ยี วขอ้ งทงั้ หมดได้
อยา่ งชดั เจน

2. พฒั นาวิสยั ทศั น์ของบคุ ลากรและองคก์ รอย่างเป็นระบบ ซง่ึ ตอบสนองต่อความคาดหวงั
ของผูม้ สี ่วนไดเ้ สยี ทุกกลุ่ม การใช้แนวคดิ การวเิ คราะห์เชงิ ระบบทาให้องค์กรสามารถกาหนดวสิ ยั ทศั น์
องค์กรได้อย่างชดั เจนและเป็นจรงิ และเป็นการมองโดยภาพรวมทาให้การดาเนินงานขององค์กร
สามารถตอบสนองต่อความคาดหวงั ของบุคคลคอื ผมู้ สี ่วนไดเ้ สยี กลุ่มต่าง ๆ

3. พฒั นาระบบการวางแผนงานและการบริหารงาน ตงั้ แต่การวางแผนเชงิ ยุทธศาสตร์
ท่ีมกี ารพิจารณาปัจจยั ต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง แผนปฏิบตั ิการและแผนด้านต่าง ๆ ทงั้ แผนการผลิต
แผนการตลาด แผนการเงนิ แผนทรพั ยากรบุคคลอย่างเป็นระบบ เพราะสามารถเหน็ แนวทางโดยรวม
ว่าควรจะดาเนินการอย่างไร และทาให้เกิดการวางแผนได้อย่างบูรณาการและสอดคล้องกนั ในทุก
ระดบั

4. พฒั นาระบบการปฏิบตั ิงาน ของบุคลากรในระดบั ต่าง ๆ ใหเ้ กดิ การประสานงานเช่อื มโยง
ทงั้ การปฏบิ ตั ิงานในระยะสนั้ เพ่อื แก้ปัญหาเร่งด่วนและในระยะยาว รวมถงึ การปฏิบตั งิ านในแต่ละ
ภาคส่วนไดม้ คี วามสอดคลอ้ งเสรมิ หนุนซง่ึ กนั และกนั ได้อย่างชดั เจนทาให้เกดิ ผลงานทเ่ี ป็นรปู ธรรม
และแกไ้ ขปัญหาหรอื เกดิ การพฒั นาอยา่ งเป็นระบบ

23

2. กระบวนการแก้ปัญหา
และการตดั สินใจ

ในงานส่งเสริมการเกษตร

24

เรอื่ งท่ี 2.1 กระบวนการแก้ปัญหา

ในการดาเนินงานส่งเสรมิ การเกษตรนัน้ กระบวนการแก้ปัญหาและการตัดสนิ ใจเป็นเร่อื ง
สาคญั ทงั้ ในส่วนของการบรหิ ารงานส่งเสรมิ การเกษตรและการปฏบิ ตั งิ านส่งเสรมิ การเกษตร ทงั้ ใน
ส่วนขององคก์ รภาครฐั เอกชน ทด่ี าเนินงานดา้ นส่งเสรมิ การเกษตรและองคก์ รเกษตรกรทม่ี บี ทบาท
ในการพฒั นาการเกษตร เน่ืองจากในการดาเนินงานไม่ว่าองคก์ รใด ส่วนใดกต็ ามย่อมมปี ัญหา อุปสรรค
ขอ้ ขดั ขอ้ งในการดาเนินงานเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ยเู่ สมอ ดงั นนั้ กระบวนการในการแก้ไขปัญหาทุกฝ่ายทุกส่วน
จะต้องรว่ มมอื กนั ในการแก้ไขปัญหาและร่วมกนั ตดั สนิ ใจ จงึ เป็นเร่อื งสาคญั ทจ่ี ะมผี ลต่อความสาเรจ็
และลม้ เหลวขององคก์ รดว้ ยในทส่ี ุด ดงั นนั้ การแกป้ ัญหาและการตดั สนิ ใจทถ่ี กู ตอ้ งจงึ เป็นเรอ่ื งทส่ี าคญั
ในการดาเนินงานส่งเสรมิ การเกษตร
ความหมายและประเภทของปัญหา

ดุษฎี ณ ลาปาง (2543 : 61) ไดส้ รปุ วา่ ปัญหาคอื สถานการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ หรอื อาจจะเกดิ ขน้ึ
ในอนาคตและมแี นวโน้มทจ่ี ะไมต่ รงกบั ความตอ้ งการ เป็นช่องว่างหรอื เกดิ การเบย่ี งเบนระหว่าง
สถานการณ์ 2 สถานการณ์ คอื

สถานการณ์ท่ี 1 คือ สถานการณ์ท่ตี ้องการจะให้เกิดข้นึ ซ่งึ อาจจะเรยี กว่าเป็นมาตรฐาน
หรอื เกณฑ์ หรอื เป้าหมายและวตั ถุประสงค์ อาจจะตงั้ คาถามสาหรบั สถานการณ์น้ีว่า “ควรจะเป็น
อะไร” (What ought to be or What Should be)

สถานการณ์ที่ 2 เป็นสถานการณ์ท่เี กดิ ขน้ึ จรงิ อาจจะตงั้ คาถามสาหรบั สถานการณ์น้ีว่า
“อะไรเกดิ ขน้ึ ” (What is or What are)

สถานการณ์ท่ี 1
สถานการณ์ที่ต้องการให้เกิดขึน้

- ควรจะเป็นอะไร
- เกณฑ์
- เป้าหมาย/วตั ถุประสงค์

 ช่องว่าง ปัญหา
ปัญหา  ความเบย่ี งเบน

 ความแตกตา่ ง

- อะไรเกดิ ขน้ึ
- สถานการณ์ทเ่ี ป็นอยใู่ นปัจจบุ นั

สถานการณ์ท่ี 2
สถานการณ์ที่เกิดขึน้ จริง

ภาพท่ี 16 สถานการณ์ทาใหเ้ กดิ ปัญหา

25

ประเภทของปัญหา ปัญหาท่เี กิดข้นึ แตกต่างกนั ไปตามความเบ่ยี งเบนของสถานการณ์ท่ี
เกิดขน้ึ จรงิ กบั ความต้องการท่จี ะให้เกิดขน้ึ ในเวลาต่าง ๆ กนั หรอื กล่าวได้ว่า เม่อื พจิ ารณาปัญหา
โดยมองความสมั พนั ธ์กบั เวลา ซ่งึ ดุษฎี ณ ลาปาง (2543 : 62) ได้สรุปว่าประเภทของปัญหาจะมี
3 ประเภท คอื

1. ปัญหาที่เกิดข้อขดั ข้อง คอื ความเบ่ยี งเบนนัน้ เรมิ่ ขน้ึ ตงั้ แต่ในอดตี และปัจจุบนั ปัญหา
ยงั ปรากฏอยู่ และยงั ปรากฏต่อไปอีกในอนาคต เพราะไม่มมี าตรการแก้ไขหรอื มมี าตรการแก้ไข แต่
มาตรการนนั้ ใชไ้ มไ่ ดผ้ ล

สภาพทต่ี อ้ งการ
ปัญหา

ปัญหาทเ่ี กดิ ในอดตี สภาพทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ
อดีต ปัจจบุ นั
อนาคต

ภาพท่ี 17 ปัญหาทเ่ี กดิ ขอ้ ขดั ขอ้ ง
ท่ีมา : ดุษฎี ณ ลาปาง (2543 : 62)

ตวั อย่างปัญหาทีเ่ กิดข้อขดั ข้อง เช่น
- การขาดความรแู้ ละเทคโนโลยกี ารเกษตรของเกษตรกร
- การทพ่ี ่อคา้ คนกลางเอารดั เอาเปรยี บเกษตรกรโดยการกดราคารบั ซอ้ื ผลผลติ การเกษตร
- เกษตรกรขาดแคลนเงนิ ทุนในการพฒั นาการผลติ

จะเหน็ ไดว้ ่า ปัญหาเหล่าน้ีเกษตรกรไดป้ ระสบมาตงั้ แต่ในอดตี และในปัจจุบนั ก็ยงั คงเป็น
ปัญหาอยู่ และปัญหาเหล่าน้ีทาให้เกดิ ขอ้ ขดั ขอ้ งในการพฒั นาหรอื การส่งเสรมิ การเกษตร

2. ปัญหาท่ีอาจจะเกิดขึ้นซึ่งต้องการการป้องกนั คอื สถานการณ์ในอดตี ไมม่ คี วามเบย่ี งเบน
หรอื ไม่มปี ัญหา แต่ในปัจจบุ นั มสี ง่ิ บอกเหตุวา่ อาจจะเกดิ ความเบย่ี งเบนหรอื เกดิ ปัญหาขน้ึ ในอนาคต
จงึ ตอ้ งหาทางป้องกนั ไมใ่ หเ้ กดิ ขน้ึ

26

สภาพทต่ี อ้ งการ
ปัญหา

สภาพทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ

อดีต ปัจจบุ นั อนาคต

ภาพที่ 18 ปัญหาทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ
ที่มา : ดุษฎี ณ ลาปาง (2543 : 63)

ตวั อย่างปัญหาทีต่ ้องการการป้องกนั เชน่
- การทม่ี แี นวโน้มว่าผลผลติ ขา้ วในปีปัจจบุ นั จะมปี รมิ าณมาก มผี ลทาใหร้ าคาขา้ วตกต่า
- การทว่ี สั ดุบารงุ ดนิ มรี าคาสงู ขน้ึ มแี นวโน้มว่าเกษตรกรจะใชว้ สั ดบุ ารงุ ดนิ น้อยลงทาให้
ผลติ ตกต่า
- ราคาพชื ผลทางการเกษตรไมด่ ี ทาใหม้ แี นวโน้มว่าเกษตรกรจะอพยพเขา้ ไปทางานใน
เมอื งเป็นจานวนมาก
จากทก่ี ล่าวมา จะเหน็ ไดว้ ่าแมป้ ัญหาต่าง ๆ จะยงั ไมเ่ กดิ ขน้ึ ในปัจจุบนั แต่มสี งิ่ บอกเหตุว่า
จะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต ดงั นัน้ ปัญหาเรอ่ื งผลผลติ ตกต่าและการอพยพแรงงานจงึ เป็นปัญหาท่ตี ้องการ
การป้องกนั
3. ปัญหาท่ีเกิดจากความต้องการการพฒั นา คอื สถานการณ์ทไ่ี มต่ อ้ งการใหเ้ กดิ ขน้ึ แต่ได้
เกดิ ขน้ึ มานานแลว้ จนกระทงั่ ไมส่ ามารถหาจุดเรมิ่ ตน้ ได้ ทาใหค้ นในสงั คมเหน็ วา่ เป็นเรอ่ื งธรรมดา
สามญั โดยทวั่ ไป หรอื เป็นเรอ่ื งปกติ แต่มกี ลุ่มบคุ คลทเ่ี หน็ วา่ สงิ่ นนั้ เป็นปัญหาและตอ้ งการ
เปลย่ี นแปลงแกไ้ ขปรบั ปรงุ ใหม้ สี ภาพดขี น้ึ กวา่ เดมิ

27

สภาพทต่ี อ้ งการ

สภาพทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ (เป็นเร่อื งปกต)ิ

สภาพปัญหาเกดิ ขน้ึ มานาน อนาคต
อดีต ปัจจบุ นั

ภาพท่ี 19 ปัญหาทเ่ี กดิ จากความตอ้ งการการพฒั นา
ท่ีมา : ดดั แปลงจาก ดษุ ฎี ณ ลาปาง (2543 : 63)

ตวั อย่างปัญหาทีเ่ กิดจากความต้องการการพฒั นา

- ผลผลติ ขา้ วของเกษตรกรเฉลย่ี ต่อไรต่ ่ากว่าคา่ เฉลย่ี ของประเทศมาเป็นเวลานานแลว้
และสามารถทจ่ี ะพฒั นาใหส้ ูงขน้ึ กวา่ เดมิ ได้

- เกษตรกรมรี ายไดไ้ มพ่ อเพยี งในการดารงชพี
- เกษตรกรไมม่ แี หล่งเงนิ ทุนทใ่ี หก้ เู้ งนิ ในอตั ราดอกเบย้ี ต่า
- เกษตรกรไมม่ ที ด่ี นิ ทากนิ
ปัญหาทก่ี ล่าวมาเป็นปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ มานานแลว้ จนทกุ คนเหน็ ว่าเป็นเรอ่ื งปกตขิ อง
เกษตรกร อยา่ งไรกต็ ามปัญหาเหล่าน้ตี อ้ งการเปลย่ี นแปลงใหด้ ขี น้ึ

กระบวนการแก้ปัญหา

ในการแกป้ ัญหาใด ๆ กต็ าม ผแู้ ก้ปัญหาย่อมต้องมแี นวทางและขนั้ ตอนในการแก้ปัญหาทด่ี ี
การแกป้ ัญหานนั้ จงึ จะประสบผลสาเรจ็ และผลทไ่ี ดจ้ ะมปี ระสทิ ธิภาพดอี ยา่ งยง่ิ การแก้ปัญหามที งั้ การ
แก้ปัญหาโดยลาพังแต่ก็เป็นท่ียอมรบั กันแล้วว่าในหลาย ๆ กรณี การร่วมกันแก้ปัญหานัน้ ย่อมจะ
ประสบผลสาเรจ็ ดกี ว่าการแก้ปัญหาแต่เพยี งลาพงั อย่างไรกต็ าม หากจานวนคนทร่ี ่วมกนั แก้ปัญหานัน้
มาก ความคดิ ย่อมจะมหี ลายแนวทางในท่นี ้ีจงึ ขอเน้นการแก้ปัญหาโดยกลุ่มดงั ท่ี สุรชยั ประเสรฐิ
สรวย (2538 : 10) ไดส้ รปุ ไว้ 9 ขนั้ ตอน คอื

1. การระบุปัญหาและทาความเข้าใจกบั ปัญหา สมาชกิ กลุ่มต้องช่วยกนั ระบุกาหนดใหไ้ ด้

ว่าปัญหานัน้ คืออะไร พยายามทาความเข้าใจกับปัญหานัน้ ๆ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลามากก็ตาม
พยายามมองและเขยี นปัญหานัน้ ออกมาใหช้ ดั เจนและเฉพาะเร่อื งมใิ ช่เขยี นอย่างกวา้ ง ๆ ยากทจ่ี ะ
สรปุ ได้ สุดทา้ ยตอ้ งช่วยกนั คดิ ว่าปัญหาน้ีเป็นปัญหาจรงิ ๆ หรอื ไม่ หรอื ว่าเป็นปัญหาทส่ี รา้ งขน้ึ จาก
ความคดิ คานึงเอาเอง

โดยมเี กณฑใ์ นการเลอื กปัญหาโดยทวั่ ไปทพ่ี จิ ารณาจากขนาดของกลมุ่ คนทถ่ี ูกกระทบจาก
ปัญหานนั้ การยอมรบั ในปัญหานัน้ ของชมุ ชนหรอื ปัญหานนั้ มผี ลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ในชุมชน

28

ความรา้ ยแรงและความเรง่ ด่วนของปัญหา ถา้ ปลอ่ ยไวจ้ ะทาใหเ้ กดิ ผลเสยี อยา่ งรนุ แรง และความ
เสยี หายทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต ในแงข่ องการพฒั นาซง่ึ สามารถทานายหรอื คาดการณ์ลว่ งหน้าได้ เป็น
ตน้

2. การรวบรวมข้อมูล เม่อื ไดต้ วั ปัญหาแลว้ กพ็ ยายามท่จี ะหากรณีตวั อย่างเหตุการณ์ต่าง ๆ
หรอื ขอ้ มูลท่จี ะช่วยสนับสนุนหรอื ทาให้ปัญหานัน้ ชดั เจนยง่ิ ข้นึ ง่ายต่อการนาไปแก้ไขและพยายาม
ชว่ ยกนั อภปิ รายเรอ่ื งราวต่าง ๆ อนั น่าจะเกย่ี วขอ้ งกบั ปัญหานนั้ ๆ ทงั้ น้ี เพอ่ื จะไดเ้ ป็นแนวทางในการ
หาวธิ กี ารแกไ้ ขปัญหานนั้ ใหง้ า่ ยขน้ึ

3. การวินิจฉัยและวิเคราะหส์ าเหตุ เมอ่ื เขา้ ใจปัญหามากขน้ึ แลว้ กพ็ จิ ารณาต่อไปถงึ สาเหตุ
ท่ีน่าจะเป็นตัวก่อให้เกิดปัญหานัน้ ทงั้ น้ีเพ่ือจะได้ช่วยในการหาวธิ แี ก้ไข และช่วยในการดาเนินการ
แกป้ ัญหาใหง้ า่ ยขน้ึ

4. การระดมความคิดหาทางเลือก คอื การช่วยกนั ออกความคดิ เหน็ โดยใชว้ ธิ ใี หส้ มาชกิ ทุก
คนเสนอวธิ กี ารแก้ปัญหานัน้ ๆ หรอื การระดมสมอง ซ่งึ ทุกคนจะต้องมสี ่วนในการเสนอเม่อื ระดม
ความคดิ ได้แล้ว ก็นาความคดิ เหล่านัน้ มาพิจารณาว่าจะสามารถทาได้หรอื ไม่ การระดมความคิด
ช่วยใหส้ มาชกิ ทุกคนไดม้ สี ว่ นในการเสนอความคดิ และเป็นการแสดงใหเ้ หน็ วา่ ความคดิ ของสมาชกิ ยอ่ มมี
คณุ คา่ ต่อกลมุ่ เสมอ

5. การพิจารณาทางเลือก สมาชกิ กลุ่มทกุ คนตอ้ งพยายามชว่ ยกนั หาขอ้ ดี ขอ้ เสยี ของ
วธิ กี ารแกป้ ัญหาทท่ี ุกคนเสนอแนะ โดยดวู ่าวธิ ใี ดน่าจะเป็นวธิ ที ด่ี ที ส่ี ุด เมอ่ื อภปิ รายแลว้ กน็ าวธิ กี าร
เหลา่ นนั้ มาเรยี งลาดบั ก่อนหลงั ตามความเหมาะสม โดยเรม่ิ จากวธิ กี ารทด่ี ที ส่ี ดุ เหมาะสมทส่ี ุด
จนกระทงั่ ถงึ วธิ กี ารทน่ี ่าจะเป็นไปได้ เอาไวเ้ ป็นลาดบั สุดทา้ ย

6. การตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ไข การเรยี งลาดับในข้อ 5 นัน้ เป็นวิธีลาดบั จากวิธีการ
แก้ปัญหาทด่ี ที ส่ี ุดกจ็ รงิ แต่ขนั้ น้ีสมาชกิ กลุ่มต้องช่วยกนั พจิ ารณาอกี ชนั้ หน่ึง โดยมอี งคป์ ระกอบต่อไปน้ี
เป็นเครอ่ื งชว่ ยในการพจิ ารณาดว้ ย เชน่

ก. ควรเป็นวธิ ที น่ี ่าจะทาไดเ้ ป็นผลสาเรจ็ มากทส่ี ุด
ข. เลอื กวธิ ที ต่ี นจะชว่ ยกนั ทาใหส้ าเรจ็ มากทส่ี ุด
ค. เลอื กวธิ ปี ระสบผลสาเรจ็ โดยวธิ ที ส่ี น้ิ เปลอื งน้อยทส่ี ดุ
ง. เลอื กวธิ ที ป่ี ระสบผลสาเรจ็ โดยใชว้ ธิ ที ง่ี า่ ยทส่ี ดุ
ในกรณีท่ีมวี ิธกี ารแก้ปัญหาให้ประสบผลสาเรจ็ อย่างดีท่ีสุดหลายวธิ ี สมาชิกกลุ่มต้อง
รว่ มกนั พจิ ารณาว่าอะไรคุ้มค่าเป็นประโยชน์และเหมาะสมกบั กลุ่มของตนมากท่สี ุด แล้วเรยี งลาดบั
ก่อนหลงั อกี ครงั้ หน่ึง ทงั้ น้ี เพ่อื ว่าวธิ ที ่เี หน็ ว่าดที ่สี ุด เหมาะสมทส่ี ุดในตอนแรกนัน้ อาจมอี ุปสรรคใน
ตอนทา้ ยจะไดส้ ามารถเปลย่ี นวธิ กี ารไดท้ นั ที ไมต่ อ้ งไปศกึ ษาคน้ หาวธิ ใี หมอ่ กี
7. การวางแผนขนั้ ตอนในการแก้ปัญหาอย่างละเอียด เมอ่ื สมาชกิ ทราบถงึ วธิ กี ารท่จี ะช่วย
ให้เกดิ ผลสาเรจ็ มากท่สี ุดแล้วกม็ าร่วมกนั วางแผนอกี ครงั้ หน่ึงว่าจะมขี น้ึ ตอนในการแก้ปัญหานัน้ ๆ
อย่างไร ทงั้ น้ี การมแี ผนงานจะช่วยใหก้ ารทางานของสมาชกิ รดั กุมยงิ่ ขน้ึ มกี ารแบ่งหน้าทข่ี องแต่ละ
คนในการปฏบิ ตั งิ าน ทกุ คนรหู้ น้าทว่ี ่าตนเองจะทาอะไร

29

8. การปฏิบตั ิการแก้ไขปัญหา เม่อื พรอ้ มทุกอย่างแล้วสมาชกิ ก็เรม่ิ ปฏบิ ตั งิ านตามหน้าท่ี

ทต่ี กลงกนั ในขนั้ น้ีสง่ิ ทจ่ี ะเป็นแรงสาคญั อกี อย่างหน่ึงก็คอื การร่วมมอื ช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั มใิ ช่ก้ม
หน้ากม้ ตาทาแต่งานของตนเองอยา่ งเดยี ว ควรจะมองรอบ ๆ ดา้ น ดคู วามตอ้ งการของผอู้ ่นื บา้ ง

9. การประเมินผล ความจรงิ การประเมนิ ผลการทางานน้ีควรจะทาเป็นระยะ ๆ แทรกไปทุก

ขนั้ ตอน จะช่วยให้งานสาเรจ็ บรบิ ูรณ์ขน้ึ มใิ ช่ประเมนิ ผลเพยี งขนั้ สุดท้าย ถ้าเกดิ พบว่ามขี อ้ บกพร่องก็
ต้องไปร้อื ตงั้ แต่ตอนต้นใหม่ทาให้เสยี เวลา ดงั นัน้ สมาชกิ กลุ่มจงึ ควรประเมนิ ผลเป็นระยะ ๆ การ
ประเมนิ ผลนัน้ ควรจะประเมนิ ผลทงั้ วธิ กี ารทางาน สมั พนั ธภาพของสมาชกิ ในการร่วมกนั ทางานและ
ผลงานท่ปี รากฏออกมาดว้ ย ส่วนวธิ กี ารประเมนิ ผลนัน้ มหี ลายแบบ เช่น การสอบถามความคดิ เห็น
ดว้ ยวาจา การใชแ้ บบสอบถาม การขอขอ้ เสนอแนะ การวพิ ากษ์วจิ ารณ์ตชิ มกลมุ่ หรอื บคุ คล เป็นตน้

อยา่ งไรกต็ ามในการแก้ไขปัญหานัน้ ควรจะมกี ารประเมนิ ผลกระบวนการแก้ปัญหาในขนั้ ตอน
ต่าง ๆ เพ่อื จะไดท้ ราบว่า การแกป้ ัญหาแต่ละขนั้ ตอนมคี วามเหมาะสมเพยี งใดดงั ตวั อยา่ งในตารางท่ี
1

ตารางที่ 1 ตวั อยา่ งการประเมนิ การดาเนนิ การ ขนั้ ตอนต่าง ๆ ในการวเิ คราะหป์ ัญหา

ประเดน็ การประเมิน ระดบั การประเมิน
ดี ปานกลาง ไมด่ ี
1) มกี ารระบปุ ัญหาทต่ี อ้ งการแกไ้ ขและเขา้ ใจปัญหาชดั เจนเพยี งใด
2) การรวบรวมขอ้ มลู ไดค้ รบถว้ นถูกตอ้ งเพยี งใด
3) มกี ารวนิ จิ ฉยั ปัญหาและสาเหตุของปัญหาดเี พยี งใด
4) การระบุทางเลอื กในการแกไ้ ขปัญหา หลาย ๆ ทางเลอื กไดด้ เี พยี งใด
5) การพจิ ารณาขอ้ ดี ขอ้ เสยี ของแต่ละทางเลอื ก เป็นอยา่ งไร
6) การตดั สนิ ใจเลอื กแนวทางทใ่ี ชแ้ กป้ ัญหานนั้ ๆ เป็นอย่างไร
7) การวางแผนในการแกป้ ัญหาเป็นอย่างไร
8) มกี ารมอบหมายความรบั ผดิ ชอบใหบ้ ุคคลต่าง ๆ เพ่อื ดาเนนิ การเขยี น

แผนปฏบิ ตั กิ ารอย่างไร
8.1 การมอบหมายความรบั ผดิ ชอบ
8.2 การนาบคุ คลทเ่ี หมาะสมมารว่ มวางแผน
8.3 การหาความช่วยเหลอื สนบั สนุนจากองคก์ รทเ่ี กย่ี วขอ้ งและขอ้ มลู

ทต่ี อ้ งการเพม่ิ เตมิ
8.4 การตดิ ตามผลงานของผทู้ ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
9) การปฏบิ ตั กิ ารแกไ้ ขปัญหาเป็นอยา่ งไร
10) ประเมนิ ผลกระบวนการแกป้ ัญหาทท่ี ามาทงั้ หมดโดยภาพรวม
มคี วามเหมาะสมเพยี งใด

ที่มา : ดดั แปลงจาก ดุษฎี ณ ลาปาง (2543 : 70)

30

จากทก่ี ล่าวมาไม่ว่าจะเป็นการแกป้ ัญหาหรอื การทางานใด ๆ หากกล่มุ สมาชกิ ไดด้ าเนินงาน
อยา่ งมรี ะบบระเบยี บ มกี ารวางแผนการทางานเป็นขนั้ เป็นตอนดงั ท่ไี ดเ้ สนอแนะไวข้ า้ งต้นแลว้ ย่อม
เป็นส่วนหน่ึงทจ่ี ะช่วยใหก้ ลุ่มทางานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ และการดาเนินงานนนั้ ราบร่นื ผทู้ างาน
กป็ ระสบความสุขและความสาเรจ็ ในการทางานควบคู่กนั ไป ในกรณีทม่ี ไิ ดเ้ ป็นการแกป้ ัญหา แต่เป็น
การทางานรว่ มกนั เพ่อื ใหง้ านนนั้ สาเรจ็ ลุลว่ งไปดว้ ยดี กค็ วรมขี นั้ ตอนในการดาเนนิ งานเช่นกนั

วธิ ที ่จี ะช่วยให้การทางานเพ่อื แก้ไขปัญหาให้สาเรจ็ บรรลุวตั ถุประสงค์ได้นัน้ มหี ลายวธิ ี
แต่หลกั ใหญ่ ๆ ซงึ่ สามารถใชไ้ ดท้ ุกสถานการณ์นัน้ สุรชยั ประเสรฐิ สรวย (2538) ระบุไวว้ ่า คอื
วธิ กี ารทเ่ี รยี กว่า 5 G

Group Objective วางเป้าหมายโดยกลุ่ม
Group Discussion อภปิ รายกลมุ่
Group Decision ตดั สนิ ใจตกลงโดยกลุม่
Group Action กลุม่ ลงมอื ทางาน
Group Evaluation ประเมนิ ผลโดยกลุ่ม
กลุ่มใดท่สี ามารถทางานได้เป็นขนั้ ตอนดงั กล่าว กลุ่มนัน้ ก็มแี นวโน้มท่จี ะดาเนินงานอย่าง
สาเรจ็ ได้ตามเป้าหมายท่วี างไว้จากท่ีกล่าวมา สรุปกระบวนการในการแก้ไขปัญหาจงึ มลี กั ษณะ
เป็นกระบวนการทท่ี กุ ฝ่ายควรจะมสี ่วนรว่ มในแต่ละขนั้ ตอน ดงั น้ี

1. การทาความ
เขา้ ใจกบั ปัญหา

9. การ 2. การรวบรวม
ประเมนิ ผล ขอ้ มลู

8. การปฏบิ ตั กิ าร กกรระะบบววนนกกาารร 3. การวนิ จิ ฉยั
แกไ้ ขปัญหา มแสีกว่ ้ปนัญรห่วาม และวเิ คราะห์

7. การวางแผน 5. การพจิ ารณา สาเหตุ
ขนั้ ตอนการ ทางเลอื ก
แกป้ ัญหา 4. การระดม
ความคดิ หาทาง
6. การตดั สนิ ใจ
เลอื กวธิ กี ารแกไ้ ข เลอื ก

ภาพท่ี 20 กระบวนการแก้ไขปัญหาในงานส่งเสรมิ การเกษตร

31

เร่ืองที่ 2.2 เทคนิคการวิเคราะหป์ ัญหาและสาเหตุ

การแกไ้ ขปัญหานนั้ ขนั้ ตอนสาคญั ประการหน่งึ คอื การวเิ คราะหป์ ัญหาและสาเหตุของปัญหา
ในการปฏบิ ตั ขิ องนกั สง่ เสรมิ การเกษตรนนั้ มเี ทคนิควธิ กี ารหลายวธิ ที จ่ี ะช่วยในการวเิ คราะหป์ ัญหา
และสาเหตุของปัญหาใหม้ คี วามชดั เจนยง่ิ ขน้ึ ในทน่ี ้ีจะขอกลา่ วถงึ เทคนิควธิ กี ารบางวธิ ที ส่ี ามารถ
นามาใชใ้ นการเลอื กหวั ขอ้ ปัญหา การจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหา การวเิ คราะหส์ าเหตุของปัญหา
ดงั ทจ่ี ะไดก้ ล่าวถงึ ต่อไปน้ี

1. การเลือกหวั ข้อปัญหาโดยพิจารณาตามตวั ชี้วดั การประเมิน
1.1 การประเมินโดยใช้สญั ลกั ษณ์ เป็นการประเมนิ โดยใช้สหี รอื สญั ญลกั ษณ์ตามเกณฑ์

ทไ่ี ดก้ าหนดไว้การประเมนิ ลกั ษณะน้ีจะทาใหผ้ ปู้ ระเมนิ สามารถเหน็ ความแตกต่างของน้าหนักปัญหา
แต่ละปัญหาโดยเหมาะกบั การพจิ ารณาทจ่ี ะใหค้ วามสาคญั กบั ตวั ชว้ี ดั เป็นบางตวั ในการพจิ ารณาแต่ละ
ขณะมากกว่าการพจิ ารณาภาพรวมทงั้ หมด ดงั ตวั อยา่ ง

ตารางท่ี 2 การประเมนิ ปัญหาทส่ี าคญั ของชมุ ชน

ตวั ชว้ี ดั ความรุนแรง เกย่ี วขอ้ ง เป็นสาเหตุ ความสามารถ

ปัญหา ของปัญหา กบั คนจานวนมาก ใหเ้ กดิ ปัญหาอน่ื ๆ ในการจดั การได้

1. ขาดแคลนน้าทาการเกษตร

2. ไมม่ คี วามรใู้ นการปลกู พชื

3. ไม่มกี ารรวมกลมุ่

4. ขาดแหล่งสนิ เช่อื ในชุมชน

5. ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

มาก ปานกลาง น้อย

32

1.2 การประเมินโดยการให้คะแนน เป็นการประเมนิ โดยใหค้ ะแนนปัญหาตามตวั ชว้ี ดั ท่ี

ไดก้ าหนดไว้ ซง่ึ แบ่งเป็น 2 ลกั ษณะ คอื
1) การประเมนิ โดยการใหค้ ะแนนตามตวั ชว้ี ดั ทใ่ี ห้น้าหนักเท่ากนั จะเป็นการใหค้ ะแนน

ปัญหา โดยให้คะแนนตามตวั ช้วี ดั ท่มี นี ้าหนักของตวั ช้วี ดั เท่ากนั การให้คะแนนอาจจะเป็นสญั ลกั ษณ์
ทน่ี บั ไดห้ รอื เป็นตวั เลข ซง่ึ เหมาะกบั การพจิ ารณาภาพรวมของปัญหาตามตวั ชว้ี ดั ทงั้ หมด ดงั ตวั อยา่ ง

ตารางที่ 3 การประเมนิ ปัญหาการทาฟารม์ ของเกษตรกร

ตวั ชว้ี ดั สง่ ผลกระทบ สาคญั เชงิ เป็นปัญหา อนั ดบั
โดยตรงต่อ เปรยี บเทยี บ ทส่ี ง่ ผล ความสา
ความสาเรจ็ ความรุนแรง เม่อื เทยี บกบั ระยะยาว รวม
ของปัญหา ปัญหาอน่ื คะแนน คญั

ปัญหา

1. ดนิ ขาดความอดุ มสมบรู ณ์ 5 4 4 5 18 1

2. ขาดแคลนเมลด็ พนั ธุ์ 4 3 3 4 14 3
1

3. ปัจจยั การผลติ มรี าคาแพง 3 3 2 2 10 4

4. ขาดความรคู้ วามเขา้ ใจ 4 3 1
ในการผลติ 4 4 15 2

1

5. ฯลฯ ฯ ฯ ฯ ฯฯ

 ความหมาย 5 = ระดบั มาก 4 = คอ่ นขา้ งมาก 3 = ปานกลาง 2 = ค่อนขา้ ง
น้อย 1 = น้อย

 ซง่ึ ในการประเมนิ ผปู้ ระเมนิ อาจจะใหส้ ญั ญลกั ษณ์แทน เพอ่ื ใหเ้ หน็ ความแตกต่าง
ของความสาคญั ของปัญหาชดั เจนขน้ึ เช่น
=1
 = 2
 = 3

 เมอ่ื รวมคะแนนแลว้ ปัญหาใดทไ่ี ด้ คะแนนมากทส่ี ุดกจ็ ะเป็นปัญหาทม่ี คี วามสาคญั
เป็นอบั ดบั แรก และคะแนนรองไปกจ็ ะเป็นความสาคญั อนั ดบั รองไป

2) การประเมนิ โดยการใหค้ ะแนนทใ่ี หน้ ้าหนกั ตวั ชว้ี ดั ไมเ่ ท่ากนั ในการประเมนิ ตาม
ตวั ชว้ี ดั นนั้ ผปู้ ระเมนิ อาจจะใหน้ ้าหนกั ค่าคะแนนตวั ชว้ี ดั แตกต่างกนั กไ็ ด้ หากพจิ ารณาแลว้ เหน็ ว่า
ตวั ชว้ี ดั บางตวั มคี วามสาคญั มากกว่าตวั ชว้ี ดั ตวั อ่นื ๆ ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

33

ตารางที่ 4 แสดงการใหค้ ะแนนประเมนิ ปัญหากลุ่มไมเ่ ขม้ แขง็

ตวั ชว้ี ดั น้าหนกั ตวั ชว้ี ดั ขาดเงนิ ทนุ สมาชกิ ออ่ นแอ ปัญหา กจิ กรรมไมต่ ่อเน่อื ง
(รอ้ ยละ) ไมม่ คี ณุ ภาพ ไมต่ รงความตอ้ งการ
ผนู้ าไมเ่ ขม้ แขง็
ความรุนแรงของปัญหา 68 7
8 (21)
ทาใหว้ ตั ถุประสงค์ 30 (18) (24) (24) 7
ไม่บรรลุ 50 7 (35)
77 (35) 6
7 (6)
(35) (35) (7) 6
7 (6)
ตอ้ งแกไ้ ขทนั ที 67 (7) 68
73 3
10 (6) (7) 1

มผี ลระยะยาว 10 67

(6) (7)

รวม 100 65 72
ระดบั ความสาคญั
42

จากผลการประเมนิ จะเหน็ ไดว้ ่าปัญหาเกย่ี วกบั ผูน้ าอ่อนแอเป็นปัญหาสาคญั ทส่ี ุด รองลงมา
คอื ปัญหาสมาชกิ กล่มุ ไมเ่ ขม้ แขง็ ซง่ึ มคี ะแนนรองลงมา

ข้อพิจารณา

 กาหนดระดบั การใหค้ ะแนนดบิ เพอ่ื เปรยี บเทยี บตวั เลอื กปัญหาทงั้ หมดกบั ตวั ชว้ี ดั
ยกตวั อยา่ งเช่น 1-10 โดย 10 คอื คา่ คะแนนสงู สดุ 1 คอื คา่ คะแนนต่าสุด

 การใหค้ ะแนนตามตวั ชว้ี ดั ใดควรใหค้ ะแนนทุกปัญหาตามตวั ชน้ี นั้ ๆ ในคราวเดยี วกนั
เพ่อื ไมใ่ หส้ บั สนในการเปรยี บเทยี บ

 หลงั จากไดค้ ะแนนครบแลว้ คณู คะแนนในแต่ละช่วงดว้ ยน้าหนกั ของตวั ชว้ี ดั นนั้ จะไดผ้ ล
เป็นคะแนนจรงิ

 เขยี นคะแนนจรงิ ไวใ้ ตค้ ะแนนดบิ
 รวมคะแนนจรงิ ของแต่ละตวั เลอื กและจดั ลาดบั ความสาคญั
 เขยี นสรุปความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั ตวั เลอื กแต่ละตวั

1.3 การประเมินโดยเปรียบเทียบความสาคญั ของปัญหาทีละคู่ (two-way choice

matrix) เป็ นการประเมินโดยนาปัญหามาเปรยี บเทียบกันทีละคู่ว่าโดยภาพรวมแล้วปัญหาใดมี
ความสาคญั มากกว่ากนั หลงั จากนัน้ จงึ นับจานวนว่าแต่ละปัญหามคี วามสาคญั กว่าปัญหาอ่นื ๆ ก่ี
ปัญหา หรอื ชนะปัญหาอ่นื ก่คี รงั้ แล้วจงึ จดั ลาดบั ต่อไปดงั ตวั อย่างการประเมินปัญหาของเกษตรกร
ดงั น้ี

34

ตารางท่ี 5 การประเมนิ ปัญหาของเกษตรกร

1. ขาดเงนิ ทุน 2. ไมม่ ตี ลาด 3. ขาดความรู้ 4. ปัจจยั การผลติ คะแนน ลาดบั
ปัญหา ในการผลติ จาหน่าย ราคาแพง ของ ความสา
ปัญหา
1. ขาดเงนิ ทนุ ไม่มตี ลาด ขาดความรู้ ปัจจยั ราคาแพง 0 คญั
ในการผลติ 4
ไมม่ ตี ลาด ไมม่ ตี ลาด 3
2. ไมม่ ตี ลาด 1
จาหน่าย ขาดความรู้ 2
2
3. ขาดความรู้ 1
3
4. ปัจจยั การผลติ
ราคาแพง

จากตวั อยา่ งการประเมนิ จะเหน็ ไดว้ ่าเมอ่ื พจิ ารณาปัญหาเชงิ เปรยี บเทยี บทลี ะคู่แลว้ ปัญหาไม่มี
ตลาดจาหน่ายผลผลติ เป็นปัญหาทส่ี าคญั (ชนะ) ปัญหาอ่นื ๆ มากทส่ี ุดรองลงมาคอื ปัญหาขาดความรู้
ในการผลติ เป็นตน้

ในการประเมนิ เพ่อื จดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาท่กี ล่าวมาน้ีเป็นเพยี งวธิ กี ารตวั อย่างบาง
วธิ กี ารเท่านัน้ ซ่งึ ผู้ประเมนิ อาจจะออกแบบให้เหมาะสมกบั กลุ่มคน เวลา และวตั ถุประสงคใ์ นการ
ประเมนิ แต่ละครงั้ ต่อไป

2. การวิเคราะหส์ าเหตขุ องปัญหา

เม่อื ได้พจิ ารณาจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาแลว้ ในการวเิ คราะหส์ าเหตุของปัญหา
ดงั กล่าวมวี ธิ กี ารวเิ คราะห์หลายวธิ ใี นท่นี ้ีจะขอยกตวั อย่างวธิ กี ารวเิ คราะห์ปัญหา 3 วธิ ี คอื การใช้
แผนภมู กิ า้ งปลา การใชแ้ ผนผงั ตน้ ไมป้ ัญหาและการใชแ้ ผนผงั ความสมั พนั ธ์ ดงั น้ี

2.1 การใช้แผนผงั ก้างปลา (Fishbone Diagram) บางครงั้ เรยี กว่า แผนผงั เหตุ-ผล
(Cause-effect Diagram) หรือแผนผังอิซิกาว่า (Ishikawa Diagram) ซ่ึงเป็ นแผนผังท่ีมีลักษณะ
เหมอื นกา้ งปลาแสดงความสมั พนั ธอ์ ย่างเป็นระบบระหว่างสาเหตุหลาย ๆ สาเหตุทส่ี ่งผลกระทบไป
ถงึ ปัญหาหน่ึง ๆ การทาแผนภมู กิ า้ งปลาจะมขี นั้ ตอนดาเนินการ 7 ขนั้ ตอน ดงั น้ี

1) กาหนดหวั ขอ้ ปัญหาทจ่ี ะระดมสมองไวท้ ห่ี วั ปลา
2) เขยี นลกู ศรจากซา้ ยไปขวา (เขยี นแกนกา้ งปลา)
3) ระบสุ าเหตุใหญ่เป็นกา้ งปลาใหญ่ทจ่ี ะเขยี นเขา้ หาแกนกลาง (หาสาเหตุหลกั ของปัญหา)
4) เขยี นสาเหตุยอ่ ยเป็นกา้ งปลายอ่ ยเขา้ หากา้ งปลาใหญ่ (หาสาเหตุยอ่ ยของสาเหตุหลกั )
5) เขยี นสาเหตุยอ่ ย ๆ เป็นกา้ งปลายอ่ ย ๆ เขา้ หากา้ งย่อย

35

6) จดั ลาดบั ความสาคญั ของสาเหตุ
7) หาแนวทางทจ่ี ะแกไ้ ขตามสาเหตุทไ่ี ดร้ ะบไุ ว้
ดงั ตวั อยา่ งในภาพท2่ี 1

3

การทางานของเจ้าหน้าท่ี หญ้าทะเลถกู ทาลาย
ไม่มีประสิทธิภาพ

ขาดงบ อวนรนุ
ผลประโยชน์
อทิ ธพิ ล โรงแรม
ขาดอตั รา ไมเ่ ขา้ ใจ ไมเ่ หน็ น้าเสยี
แนวเขตไมช่ ดั ขาดความรู้ ความสาคญั อุตสาหกรร

ไมเ่ ขา้ ใจ

เรอื มาก
วางสมอ

เจา้ หน้าท่ี ไมม่ ที ผ่ี กู ไมจ่ ดทะเบยี น
ไมส่ ง่ เสรมิ คนชอบสะสม
ใชเ้ ครอ่ื งม
ผลประโยชน์ ระเบดิ ปลา ไมเ่ หมาะส

พอ่ คา้ เกบ็ ขาย

ขาดการรวมตวั ขาดการควบค

ประชาชนขาดการมีส่วนร่วม ปะการงั ถกู ทาลาย ทรพั ยา

ภาพท่ี 21 ตวั อยา่ งการวเิ ค

35

ป่ าชายเลนถกู ทาลาย ทานากงุ้
นายทนุ บกุ รกุ
บุกรกุ
สมั ปทาน สรา้ งทอ่ี ยู่
รม ไมป่ ลกู แทน

โทษต่า อุตสาหกรรม ทรพั ยากร
กฎหมาย ชายฝัง่
ชาวประมงขาดความรู้ เสื่อมโทรม
น ลา้ สมยั ในการจดั การ
ปัญหา
มอื
สม

คมุ มกี ารจบั ในฤดวู างไข่

ากรสตั วน์ ้าถกู ทาลาย สาเหตุ

คราะหป์ ัญหาโดยแผนผงั กา้ งปลา

36

ข้อพิจารณาในการวิเคราะหส์ าเหตขุ องปัญหาโดยใช้แผนผงั ก้างปลา
1) การสรปุ สาเหตุควรใหผ้ ทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งไดร้ ะดมสมอง ระบุสาเหตุยอ่ ยใหล้ ะเอยี ด
ทส่ี ดุ จะทาใหว้ เิ คราะหป์ ัญหาไดล้ กึ ซง้ึ ครอบคลุม
2) การเขยี นก้างปลายอ่ ย ๆ จะตอ้ งตรวจสอบอยเู่ สมอว่าอะไรเป็นสาเหตุทม่ี าก่อน
(สาเหตุหลกั ) หรอื มาทหี ลงั (สาเหตุรองหรอื สาเหตุยอ่ ย)
3) สาเหตุทุกประการและปัญหาตอ้ งมคี วามสมั พนั ธก์ นั
4) สาเหตุใหญ่ (กา้ งปลาใหญ่) แต่ละสาเหตุจะตอ้ งเป็นอสิ ระแก่กนั
5) กา้ งปลาหรอื การวเิ คราะหท์ ด่ี คี วรจะมกี า้ งใหญ่และกา้ งยอ่ ยใหม้ าก

2.2 การใช้แผนผงั ความสมั พนั ธ์
แผนผงั ความสมั พนั ธ์ (Relation Diagram) เป็นแผนผงั ท่มี คี วามคลา้ ยคลงึ กบั แผนผงั

ก้างปลาแต่จะมีจุดเด่นเพิ่มเติมคือการหาความสมั พนั ธ์ของสาเหตุต่าง ๆ ด้วยว่ามีความสัมพันธ์
เกย่ี วขอ้ งกนั อยา่ งไร โดยมกี ารเช่อื มโยงความสมั พนั ธข์ องสาเหตุต่าง ๆ ทุกดา้ นทุกมมุ เป็นแผนผงั ท่มี ี
จดุ ประสงคเ์ พ่อื พจิ ารณาปัญหานนั้ ๆ อยา่ งชดั เจน มเี หตุผลและเหน็ สถานการณ์โดยรวม รปู แบบของ
แผนผงั จะไม่ตายตวั สามารถจดั กลุ่มหาความสมั พนั ธโ์ ดยอสิ ระและเป็นการสรา้ งความเขา้ ใจท่ตี รงกนั
แก่สมาชกิ ทุกคน โดยมขี นั้ ตอนการดาเนนิ การเพอ่ื จดั ทาแผนผงั ความสมั พนั ธ์ ดงั น้ี

1) เขยี นปัญหาทต่ี อ้ งการวเิ คราะหไ์ วท้ จ่ี ดุ กง่ึ กลางกระดาษ
2) ระบสุ าเหตุของปัญหานนั้ โดยเขยี นลงในบตั รขอ้ ความ (cards) โดยผรู้ ว่ มวเิ คราะห์
สาเหตุเขยี นสาเหตุทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปัญหานนั้ โดยอสิ ระ
3) นาบตั รขอ้ ความในขอ้ 2 มาพจิ ารณา ขอ้ ความทใ่ี กลเ้ คยี งกนั หรอื มคี วามสมั พนั ธก์ นั
มาไวใ้ กลก้ นั
4) จดั ความสมั พนั ธข์ องบตั รขอ้ ความทลี ะใบว่าใบใดเป็นเหตุใบใดเป็นผล
5) ลากโยงเส้นความสัมพันธ์ของบัตรข้อความทัง้ หมด หากบัตรข้อความใด
ไมส่ ามารถเป็นเหตุเป็นผลกบั ปัญหาใดกต็ ดั ออกไป
6) อธบิ ายความสมั พนั ธข์ องสาเหตุต่าง ๆ ทท่ี าใหเ้ กดิ ปัญหา
7) หาแนวทางในการแกป้ ัญหาโดยพจิ ารณาจากสาเหตุต่าง ๆ ทไ่ี ดร้ ะบไุ วใ้ นแผนผงั
ความสมั พนั ธ์

37

เกษตรกรขาดการมสี ว่ นร่วม เจา้ หน้าทส่ี ง่ เสรมิ
การเกษตรไมไ่ ดร้ บั การ
ทรพั ยากรและระบบ งานสง่ เสรมิ การเกษตร
การสนบั สนุนไม่เพยี งพอ ไมป่ ระสบความสาเรจ็ พฒั นา

บคุ ลากรขาด ไม่มกี าร การสงั่ งาน เจา้ หน้าทข่ี าด
อดุ มการณ์ วางแผน ซา้ ซอ้ น ความรู้ ทกั ษะ

ระบบอุปถมั ภ์ วธิ กี ารสง่ เสรมิ
ไมเ่ หมาะสม
การแทรกแซง
ของการเมอื ง ผบู้ รหิ ารไม่มที กั ษะ
ในการบรหิ าร

นโยบายไมช่ ดั เจน
ไม่ต่อเน่อื ง

ภาพที่ 22 ตวั อยา่ งแผนผงั ความสมั พนั ธป์ ัญหางานสง่ เสรมิ การเกษตรไม่ประสบความสาเรจ็

2.3 การใช้แผนผงั ต้นไม้ปัญหา
แผนผงั ตน้ ไมป้ ัญหา (Problem Tree) เป็นแผนผงั ทแ่ี สดงความสมั พนั ธข์ องปัญหาและ

สาเหตุในลกั ษณะเหตุและผล (cause-effect relationship) เช่นกัน เป็นแผนผงั ท่ดี ีในการมองปัญหา
อยา่ งเป็นระบบ โดยพจิ ารณาทงั้ สาเหตุของปัญหาและผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากปัญหานนั้ ๆ ดว้ ย

โดยมขี นั้ ตอนการดาเนินการดงั น้ี
1) กาหนดปัญหาสาคญั (major problems) ภายในสถานการณ์นนั้ ๆ รว่ มกนั
2) คดั เลอื กปัญหาหลกั (core problem) จากปัญหาทไ่ี ดร้ ะบไุ ว้ โดยเขยี นในบตั ร
ขอ้ ความในรปู ประโยคสนั้ ๆ
3) หาสาเหตุ (cause) ทท่ี าใหเ้ กดิ ปัญหาหลกั ทงั้ ในสว่ นของสาเหตุใหญ่ สาเหตุยอ่ ย
และสาเหตุยอ่ ย ๆ
4) หาผลต่าง ๆ (effect) ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากปัญหาหลกั วา่ มผี ลอะไรบา้ งทเ่ี กดิ ขน้ึ จากปัญหา
หลกั

38

5) เขยี นแผนผงั แสดงความสมั พนั ธเ์ ชงิ เหตุและผลในรปู ของตน้ ไมป้ ัญหา (problem tree)
6) พจิ ารณาทบทวนแผนผงั โดยสว่ นรวมทงั้ หมดโดยพจิ ารณาวา่ มคี วามสมเหตุสมผลและ
สมั พนั ธก์ นั หรอื ไม่ ทงั้ สาเหตุ ปัญหา และผลทเ่ี กดิ ขน้ึ
7) กาหนดแนวทางการแกไ้ ขปัญหาจากสาเหตุทไ่ี ด้

คณุ ภาพชวี ติ ต่า/ทรพั ยากรเสอ่ื มโทรม

ผล พง่ึ พงิ ภายนอก การจดั การทรพั ยากร
(effect) ไม่ยงั่ ยนื
ตอ้ งหารายได้
จากทางอ่นื การถูกบกุ รุกและ ชมุ ชนไม่สามารถควบคมุ
แยง่ ชงิ จากภายนอก จดั การทรพั ยากรได้

องคก์ รชุมชน ปัญหาหลกั (core problem)
ไม่เข้มแขง็
ในการจดั การ
ทรพั ยากร

ชุมชนถกู รดิ รอนสทิ ธแิ ละ ผนู้ าไม่ไดร้ บั ความสญู หายของภมู ปิ ัญญา
ขาดโอกาสในการจดั การ การพฒั นา ทอ้ งถน่ิ ในการจดั การ

เหตุ
(cause)

นโยบายรฐั ไมต่ ระหนกั ถงึ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ระบบการศกึ ษา
สทิ ธชิ มุ ชนในการจดั การ ไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั ไม่สอดคลอ้ งกบั ความ
ตอ้ งการและวฒั นธรรม
ทรพั ยากร
ทอ้ งถน่ิ

ภาพท่ี 23 ตวั อยา่ งแผนผงั ตน้ ไมป้ ัญหา

ดงั ท่ีได้กล่าวมาแล้วว่าวิธีการในการวเิ คราะห์สาเหตุของปัญหามวี ธิ ีการท่ีนักส่งเสรมิ
การเกษตรสามารถพจิ ารณาเลอื กใชไ้ ดห้ ลายวธิ ใี หเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์และวตั ถุประสงค์ ทก่ี ล่าวมาเป็น
เพยี งวธิ กี ารบางวธิ เี ท่านนั้ ขณะเดยี วกนั เทคนิควธิ กี ารแต่ละวธิ กี ม็ จี ดุ ดแี ละจดุ ดอ้ ยต่างกนั ไป นกั ส่งเสรมิ
การเกษตรจงึ ควรทาการศกึ ษาเพม่ิ เตมิ และเลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมต่อไป

39

เร่อื งท่ี 2.3 การตดั สินใจ

ในการแก้ปัญหาทางส่งเสรมิ การเกษตรหรอื การพัฒนานัน้ การตดั สนิ ใจเป็นขนั้ ตอนท่ีสาคญั
ท่นี ักส่งเสรมิ ต้องพจิ ารณาด้วยความรอบคอบ รวมถงึ การสรา้ งกระบวนการสนับสนุนใหเ้ กษตรกรได้
ตดั สนิ ใจอยา่ งถกู ตอ้ งในการตดั สนิ ใจมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี

ความหมายของการตดั สินใจ
การตดั สินใจเป็นการเลอื กการปฏบิ ตั กิ ารจากหลายทางเลอื ก การตัดสินใจถือเป็นขนั้ ตอนหน่ึง

ในการวางแผน การตดั สนิ ใจตอ้ งการความรวดเรว็ ดว้ ยการแสดงความคดิ เหน็ ในช่วงเวลานนั้ การตดั สนิ ใจ
เป็ นส่วนหน่ึงของชีวิตประจาวันของทุกคน ซ่ึง ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (2539 : 124) ได้ให้
ความหมายของการตดั สนิ ใจไว้ ดงั น้ี

การตัดสินใจ (Decision) หมายถึง การเลือกระหว่างทางเลือกซ่ึงคาดหวงั จะนาไปสู่ผลลพั ธ์
ท่ีพึงพอใจจากปัญหาใดปัญหาหน่ึง และการตัดสินใจในการบรหิ ารไม่ได้เรม่ิ ต้นหรอื ส้ินสุดด้วยการ
ตดั สนิ ใจเพราะตอ้ งมกี ารกาหนดปัยหาก่อนจงึ จะตดั สนิ ใจและเมอ่ื ตดั สนิ ใจแลว้ จงึ จะนาไปปฏบิ ตั ิ

การทาการตัดสินใจ (Decision making) เป็นกระบวนการกาหนดปัญหาการพิจารณาและการ
ประเมนิ ทางเลอื ก การตดั สนิ ใจ การปฏบิ ตั ิ และการประเมนิ ผลลพั ธ์ หรอื หมายถงึ กระบวนการกาหนด
ปัญหาและโอกาสการเสนอทางเลอื ก การตดั สนิ ใจเลอื ก และการปฏบิ ตั ติ ามทางเลอื กทไ่ี ดเ้ ลอื กนนั้

ในขณะ สมยศ นาวกี าร (2537 : 144) กล่าวว่า การตดั สนิ ใจเป็นการเลอื กทางเลอื กต่าง ๆ ซง่ึ ใน
แง่บรหิ ารทก่ี ารตดั สนิ ใจเป็นกจิ กรรมทส่ี าคญั อยา่ งหน่ึงของผบู้ รหิ ารทุกคนสอดคลอ้ งกบั ท่ี ยดุ า รกั ไทย
และ ธนิกานต์ มาฆะศิรานนท์ (2544 : 9) ท่รี ะบุว่าการตดั สนิ ใจคอื การเลือกเอาวธิ ปี ฏบิ ตั อิ ย่างใดอย่าง
หน่งึ จากวธิ ปี ฏบิ ตั หิ ลาย ๆ อยา่ งทม่ี อี ยู่

กล่าวได้ว่า การตดั สนิ ใจเป็นกระบวนการในการเลอื กแนวทางในการดาเนินการหรอื การปฏิบตั ิ
ซ่งึ รวมถึงการกาหนดปัญหา การสรา้ งทางเลอื ก การประเมนิ ทางเลอื ก เพ่อื หาแนวทางหรอื วธิ กี าร
ปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมาะสมในสถานการณ์หน่งึ ๆ นนั่ เอง

ระดบั และขอบเขตของการตดั สินใจ
ศิรวิ รรณ เสรรี ตั น์ (2539 : 125) ได้กล่าวว่า ความรบั ผิดชอบของผู้บรหิ ารมขี อบเขตกว้างขวาง

จากการจดั การระดบั ต้นไปยงั ระดบั กลางและระดบั สูง ดงั นัน้ ความรบั ผิดชอบในการตัดสินใจจะมี
ขอบเขต 3 ระดบั คือ (1) ผู้บรหิ ารระดบั สูงมคี วามรบั ผดิ ชอบในการทางานทงั้ หมดขององค์การจะ
ตดั สนิ ใจในเร่อื งสาคญั ซ่งึ กาหนดแนวทางในอนาคตเป็นเร่อื งท่มี ขี อบเขตกวา้ ง เช่นทศิ ทางหลกั ของ
องค์กรในอนาคต เช่น ทศิ ทางของกรมฯ เป็นต้น (2) ส่วนผู้บรหิ ารระดบั กลางจะรบั ผดิ ชอบในการ
ตัดสินใจ ในขอบเขตปานกลาง รองลงมาจากผู้บรหิ ารระดบั สูงเป็นการตดั สนิ ใจเร่อื งท่ีเป็นเร่อื งใน
หน่วยงานย่อย เช่น ระดบั สานัก กองต่าง ๆ หรอื ในระดบั เขต (3) ส่วนผบู้ รหิ ารระดบั ตน้ จะรบั ผดิ ชอบใน

40

ขอบเขตทแ่ี คบเก่ยี วกบั เร่อื งเหตุการณ์ประจาวนั เป็นการตดั สนิ ใจในระดบั ปฏบิ ตั กิ ารหรอื ในระดบั พ้นื ท่ี
ดงั ภาพ 24 แสดงระดบั และขอบเขตการตดั สนิ ใจดงั ต่อไปน้ี

ผบู้ รหิ าร ขอบเขตกวา้ ง
ระดบั สงู (Broadest scope)
(Top managers)
ขอบเขตปานกลาง
ผบู้ รหิ ารระดบั กลาง (Intermediate scope)
(Middle managers)
ขอบเขตแคบ
ผบู้ รหิ ารระดบั ตน้ (Narrowest
(First-line managers)
scopes)
ระดบั การจดั การ
(Level of management) ขอบเขตความรบั ผิดชอบการตดั สินใจ
(Scope of decision-making responsibility)

ภาพที่ 24 ระดบั และขอบเขตของการตดั สนิ ใจ
ท่ีมา : ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์ และคณะ (2539 : 125)

ประเภทของการตดั สินใจ

การตัดสินใจมีหลายประเภทและมีการพิจารณาได้หลายลักษณะ ในท่ีน้ีขอกล่าวถึงการ
พจิ ารณาจากโครงสรา้ งของปัญหาและจากสภาพแวดลอ้ ม ดงั น้ี

1. พิจารณาจากโครงสร้างของปัญหา เน่ืองจากนักส่งเสรมิ การเกษตรจะพบกบั ปัญหา

มากมาย การตดั สนิ ใจทุกเร่อื งไม่เหมอื นกนั บางเร่อื งเกิดซ้าแล้วซ้าอกี บางเร่อื งไม่เคยเกิดข้นึ เลย
เม่อื พจิ ารณาจากโครงสรา้ งของปัญหา การตดั สนิ ใจจงึ สามารถจดั ประเภทเป็นการตดั สนิ ใจทม่ี โี ปรแกรม
และการตดั สนิ ใจทไ่ี มม่ โี ปรแกรมดงั ท่ี ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์ และคณะ (2534 : 125) ไดก้ ลา่ วไว้ ดงั น้ี

1) การตดั สนิ ใจทมี่ โี ปรแกรม เป็นการตดั สนิ ใจทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสถานการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ เสมอ หรอื
มโี ครงสรา้ งทด่ี ใี นการแกป้ ัญหา โดยประยกุ ตใ์ ชก้ ฎการตดั สนิ ใจทไ่ี ดจ้ ดั เตรยี มไว้ สว่ นใหญ่เป็นปัญหา
ปกติ การตดั สนิ ใจน้ใี ชส้ าหรบั งานประจาและกระทาซ้า ซง่ึ ขน้ึ อยกู่ บั เกณฑท์ ก่ี าหนดขน้ึ เช่น การ
ตดั สนิ ใจในกรณเี กดิ ฝนแลง้ น้าทว่ ม ทเ่ี กดิ เป็นประจาทุกปี ซง่ึ มแี นวปฏบิ ตั ใิ นการแกป้ ัญหาอยแู่ ลว้

2) การตัดสินใจทีไ่ ม่มีโปรแกรม เป็ นการตัดสินใจในสถานการณ์ท่ีกฎการตัดสินใจ
ท่เี ตรยี มการณ์ไว้ไม่สามารถนาไปใช้ได้ไม่มโี ครงสรา้ งแน่นอน เพราะสถานการณ์มโี ครงสรา้ งน้อย
นาน ๆ ครงั้ จงึ เกดิ ขน้ึ หรอื มลี กั ษณะเป็นเอกลกั ษณ์หรอื การตดั สนิ ใจทท่ี าในสถานการณ์ทไ่ี มม่ โี ครงสรา้ ง
แน่นอน สถานการณ์แปลกใหม่และไม่เหมอื นเดมิ ซ่งึ กฎเกณฑก์ ารตดั สนิ ใจทเ่ี ตรยี มการไวไ้ ม่สามารถ
นาไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ได้ เช่น กรณีเกิดการลดค่าเงนิ บาท เกิดวกิ ฤติเศรษฐกิจตกต่า เกดิ ปัญหา
ไขห้ วดั นก ปัญหาต่าง ๆ เหลา่ น้ไี มไ่ ดม้ กี ารเตรยี มการหรอื คาดการณ์ไวล้ ว่ งหน้า เป็นตน้

41

การตดั สนิ ใจส่วนใหญ่จะไมใ่ ช่ทงั้ มโี ปรแกรมและไมม่ โี ปรแกรม จากภาพท่ี 2.25 แสดง (1)
ภาพซา้ ย แสดงระดบั ขององคก์ าร (2) ภาพกลาง แสดงลกั ษณะปัญหา ซง่ึ จะมคี วามสมั พนั ธก์ บั ระดบั
องค์การซ่งึ ในระดบั ต่าจะเป็นปัญหาท่มี โี ครงสรา้ ง (Structured problems) เป็นปัญหาประจาวนั และมี
โครงสร้างท่ีแน่ นอน ส่วนในระดับสูงจะเป็ นปั ญหาท่ีไม่มีโครงสร้าง (Unstructured problems) เป็ น
สถานการณ์แปลกใหม่ไม่ได้ สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า (3) ภาพขวา แสดงลกั ษณะของการ
ตดั สนิ ใจ ซ่งึ มคี วามสมั พันธ์กับระดบั ขององค์การและลกั ษณะของปัญหา โดยในระดบั ต่าเป็นการ
ตดั สนิ ใจทม่ี โี ปรแกรม ส่วนในระดบั สงู เป็นการตดั สนิ ใจทไ่ี มม่ โี ปรแกรม

ระดบั ขององคก์ าร ลกั ษณะของปัญหา ลกั ษณะของการตดั สินใจ
(Organizational lรeะvดeบั ls) (Nature of problems) (Nature of decision making)

สงู สดุ ไมม่ โี ครงสรา้ ง การตดั สนิ ใจ
โดยไมม่ ี
ระดบั โปรแกรม
สงู

ระดบั การตดั สนิ ใจ
ต่า ระดบั มโี ครงสรา้ ง ตามโปรแกรม

ต่าสดุ

ภาพที่ 25 ลกั ษณะของปัญหาและการตดั สนิ ใจในองคก์ าร
ท่ีมา : ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์ และคณะ (2539 : 126)

2. พิจารณาจากสภาพแวดล้อม การตัดสินใจทุกอย่างเกิดข้นึ ในส่ิงแวดล้อม ซ่ึงส่วนใหญ่

มคี วามไม่แน่นอน แต่อย่างไรก็ตามระดบั ความไม่แน่นอนจะแตกต่างกนั อย่างมาก ซง่ึ จะมผี ลกระทบ
ต่อความเสย่ี งในการตดั สนิ ใจ การตดั สนิ ใจสามารถเกดิ ขน้ึ ภายใต้ 4 สถานการณ์ ดงั ท่ี ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์
และคณะ (2539 : 126) ได้ระบุไว้ คอื (1) สภาพความแน่นอน (2) สภาพความไม่แน่นอน (3) สภาพ
ความเสย่ี ง (4) สภาพความเคลอื บแคลง ในแต่ละสภาพจะมรี ะดบั ขอ้ มลู เรยี งลาดบั จากมากไปหาน้อย
ดงั ภาพท่ี 2.26

สถานการณ์

1) ความแน่นอน (Certainty) 2) ความเสยี่ ง (Risk) 3) ความไมแ่ น่นอน (Uncertainty) 4) ความเคลอื บแคลง

(Ambiguity)

ขอ้ มลู มคี วามสมบรู ณ์ ขอ้ มลู ไม่เพยี งพอ

ระดบั ของสารสนเทศ (Level of information)

ภาพที่ 26 แสดงสภาพของการตดั สนิ ใจ (conditions of decision making)
ท่ีมา : ดดั แปลงจาก ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์ และคณะ (2539 : 126)

42

โดยมรี ายละเอยี ดดงั ท่ี ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์ และคณะ (2539 : 126) กล่าวไวด้ งั น้ี
1. สภ าพ ความ แน่ น อ น (Condition of certainty) เป็ น สถ าน ก ารณ์ ซ่ึงผู้ตัด สิน ใจ
มขี ้อมูลท่เี พยี งพอเก่ยี วกบั ปัญหา ทางเลอื กและผลลพั ธ์จากการตัดสนิ ใจ บุคคลจะมีเหตุผลในการ
ตดั สนิ ใจและมคี วามเช่อื ถอื ไดว้ ่าเป็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเหตุและผลซง่ึ การตดั สนิ ใจในกรณนี ้ีมนี ้อย
2. สภาพความไมแ่ น่นอน (Condition of uncertainty) เป็นสถานการณ์ซง่ึ ผูต้ ดั สนิ ใจเขา้ ใจ
ปัญหา แต่ข้อมูลและผลลพั ธ์ของแต่ละทางเลอื กไม่เพยี งพอ ไม่ทราบว่าข้อมูลเช่อื ถือได้หรอื ไม่ และไม่
แน่ใจว่าสถานการณ์จะเปลย่ี นแปลงหรอื ไม่ ตลอดจนไม่สามารถประเมนิ ปฏกิ ริ ยิ าของตวั แปรต่าง ๆ ได้
การตัดสินใจส่วนใหญ่เกิดข้นึ ในกรณีน้ีเพราะความไม่แน่นอนของส่ิงแวดล้อม ทาให้ไม่สามารถ
คาดคะเนอนาคตได้
3. สภาพความเสยี่ ง (Condition of risk) เป็นสถานการณ์ซ่งึ ผู้ตดั สินใจเข้าใจปัญหาและ
ทางเลอื กและมขี อ้ มลู เพยี งพอแต่ไม่แน่ใจในผลลพั ธอ์ งคก์ ารจงึ ต้องอาศยั การคาดคะเนความน่าจะเป็น
ของแต่ละทางเลอื ก การตดั สนิ ใจในกรณีน้ีจงึ มคี วามเส่ยี งว่าผลลพั ธ์ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ เป็นอย่างไร ในบางครงั้
การตดั สนิ ใจขน้ึ กบั วจิ ารณญาณและประสบการณ์ของผู้ตดั สนิ ใจจะช่วยให้ตดั สนิ ใจไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธผิ ล
มากขน้ึ
4. สภาพความเคลือบแคลง (Condition of ambiguity) เป็ นสถานการณ์ซ่ึงผู้ตัดสินใจ
มขี อ้ มูลเก่ยี วกบั ปัญหา ทางเลอื กหรอื ผลลพั ธข์ องแต่ละทางเลอื กน้อย ในสถานการณ์น้ีผู้ตดั สนิ ใจจะ
ขาดขอ้ มลู เกย่ี วกบั เป้าหมายทต่ี อ้ งการ

กระบวนการตดั สินใจโดยใช้หลกั เหตผุ ล
การตัดสินใจของนักส่งเสรมิ การเกษตรนัน้ เป็นการตัดสินใจท่ีควรกระทาด้วยเหตุและผล

กระบวนการตดั สนิ ใจโดยใชห้ ลกั เหตุผล มรี ายละเอยี ดดงั ท่ี ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์ และคณะ (2539 : 122-124)
กลา่ วไวม้ ขี นั้ ตอนดงั น้ี

1. การกาหนดปัญหา (Identify the problem) งานขนั้ แรกในกระบวนการตัดสินใจ คือ การ
กาหนดปัญหา ผู้ตัดสินใจต้องเข้าใจปัญหา วเิ คราะห์ขอบเขตและลกั ษณะก่อนท่จี ะแก้ปัญหา ซ่งึ มี
ขนั้ ตอน ดงั น้ี

1.1 รู้จกั ปัญหา (Recognize the problem) ต้องรู้ว่ามีปัญหาใดเกิดข้นึ โดยสงั เกตการ
เปลย่ี นแปลงจากการทางานภายในองคก์ ารหรอื การเปลย่ี นแปลงของสง่ิ แวดลอ้ มภายในหรอื ภายนอก
ซง่ึ จะมผี ลกระทบการทางาน

1.2 การกาหนดปัญหา (Define the problem) เม่ือผู้ตัดสินใจรู้จักว่ามีปัญหาเกิดข้ึน
ก็ต้องทราบถึงส่วนประกอบท่ที าให้เกิดปัญหา และความสมั พนั ธ์กันระหว่างส่วนประกอบเหล่านัน้
ผู้ตดั สนิ ใจจะไม่สามารถหาคาตอบไดด้ ี ถ้าไม่สามารถระบุปัญหาได้ถูกต้อง ดงั นัน้ จงึ ต้องพยายามหา
ส่วนประกอบทถ่ี ูกตอ้ งในการกาหนดปัญหา

1.3 การวเิ คราะห์สถานการณ์ (Diagnose the situation) ในขนั้ น้ีต้องรวบรวมขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ
และพจิ ารณาสาเหตุของปัญหาเพ่อื ใหไ้ ดท้ างเลอื กทม่ี เี หตุผล

43

2. การค้นหาทางเลือก (Generate alternatives) เมอ่ื เราทราบเป้าหมายและตกลงกาหนด
ขอ้ สมมตฐิ านในการวางแผนทช่ี ดั เจน งานขนั้ แรกของการตดั สนิ ใจกค็ อื การพฒั นาทางเลอื ก
ความสามารถทจ่ี ะพฒั นาทางเลอื กเป็นสงิ่ สาคญั โดยสามารถเลอื กโดยตรงระหวา่ งทางเลอื กต่าง ๆ โดยใช้
วจิ ารณญาณอาจจะเป็นทางเลอื กหน่งึ แต่กไ็ มส่ ามารถประเมนิ ผลไดอ้ ย่างเพยี งพอ ผตู้ ดั สนิ ใจตอ้ งการ
ความชว่ ยเหลอื ในการคน้ หาทางเลอื ก ตลอดจนความช่วยเหลอื ในการเลอื กทางเลอื กทด่ี ที ส่ี ุด

3. การประเมินทางเลือก (Evaluate alternatives) เม่อื มกี ารค้นพบทางเลือกท่เี หมาะสม
แลว้ ขนั้ ตอนต่อมากค็ อื การประเมนิ เพอ่ื เลอื กทางเลอื กทจ่ี ะบรรลุเป้าหมายไดด้ ที ส่ี ดุ ซง่ึ เป็นการตดั สนิ ใจ
ขนั้ สุดทา้ ย วธิ กี ารประเมนิ ทางเลอื ก เช่น

1) พิจารณาปัจจยั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ (Quantitative and qualitative factors)
ในการเปรียบเทียบทางเลือกเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ บุคคลมักจะคานึงถึงปั จจัยเชิงปริมาณ
(quantitative factors) เป็นปัจจยั ท่สี ามารถวดั ได้ในรูปตวั เลข เช่น เวลา ต้นทุนคงท่แี ละต้นทุนในการ
ปฏบิ ัติการ แต่ความสาเรจ็ ในส่งิ ท่ไี ม่สามารถสมั ผสั ได้ซ่งึ เป็นปัจจยั เชิงคุณภาพ (Qualitative factors)
ซ่ึงเป็นปัจจยั ท่ีไม่สามารถสัมผัสได้ (Intangible factors) แต่ก็มีความสาคญั ในการนามาพิจารณา
แม้ปัจจยั เหล่าน้ียากต่อการวดั ในรูปตัวเลข เช่น คุณภาพของการปฏิบัติงานความเส่ียงของการ
เปล่ยี นแปลงเทคโนโลยบี รรยากาศดา้ นการเมอื งระหว่างประเทศ การยอมรบั ของสงั คมหรอื การมสี ่วน
รว่ มของเกษตรกร เป็นตน้

เพ่ือประเมินและเปรยี บเทียบปัจจยั ท่ีไม่สามารถสัมผสั ได้หรอื ปัจจยั เชิงคุณภาพ ในการ
วางแผนและการตดั สนิ ใจผูต้ ดั สนิ ใจจะต้องระลกึ ถงึ ปัจจยั เหล่าน้ีก่อนและพจิ ารณาว่าสามารถวดั ผลเชงิ
ปรมิ าณดว้ ยหลกั เหตุผลไดห้ รอื ไม่ ถา้ ไมไ่ ดค้ วรคน้ หาคาอธบิ ายความหมายใหม้ ากทส่ี ุดเท่าทจ่ี ะเป็นไปได้
เกย่ี วกบั ปัจจยั ต่าง ๆ บางครงั้ อาจจดั ลาดบั อย่ใู นรปู ของความสาคญั การเปรยี บเทยี บอทิ ธพิ ลทม่ี รี วมถงึ
ความน่าจะเป็นเกย่ี วกบั ผลลพั ธข์ องปัจจยั เหลา่ นนั้ แลว้ จงึ ตดั สนิ ใจ

2) การวเิ คราะหป์ ระสทิ ธผิ ลของต้นทุน (Cost effectiveness analysis) หมายถงึ
การค้นหาวิธีท่ีดีท่ีสุดของการบรรลุวัตถุประสงค์หรอื การกาหนดคุณค่าท่ีดีท่ีสุดสาหรบั ค่าใช้จ่ายท่ี
กาหนดใหโ้ ดยการวเิ คราะหป์ ระสทิ ธผิ ลของตน้ ทุนเป็นเทคนคิ ในการเลอื กแผนทด่ี ที ส่ี ดุ

ปัจจยั สาคญั ของการวเิ คราะห์ประสทิ ธผิ ลของต้นทุนก็คอื การมุ่งท่ผี ลลพั ธ์ของโครงการจะ
ช่วยชัง่ น้าหนักผลประโยชน์ของแต่ละทางเลือกจากต้นทุนท่ีใช้และเก่ียวข้องกับการตัดสินใจ
เปรยี บเทยี บทางเลอื กทเ่ี ป็นทางเลอื กทม่ี ขี อ้ ดที งั้ หมดได้

4. ทาการตัดสินใจ เม่ือมีหลายทางเลือกผู้ตัดสินใจสามารถใช้หลัก 3 ประการ คือ (1)
ประสบการณ์ (2) การทดลอง (3) การวจิ ยั และการวเิ คราะห์ ในการตดั สนิ ใจโดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี

1) ประสบการณ์ในอดีตมีความสาคัญในการตัดสินใจ ผู้ตัดสินใจท่ีมีประสบการณ์
โดยทวั่ ไปเช่อื ถอื ว่าสงิ่ ต่าง ๆ จะสามารถบรรลุผลสาเรจ็ และขอ้ ผดิ พลาดซ่งึ เกดิ ขน้ึ ในอดตี ถอื ว่าเป็น
ขอ้ แนะนาในอนาคตทศั นคตนิ ้บี อกว่าประสบการณ์ทม่ี ากขน้ึ ของผตู้ ดั สนิ ใจทาใหม้ คี วามสามารถมากขน้ึ

44

อยา่ งไรกต็ าม การใชป้ ระสบการณ์ในอดตี เป็นเพยี งบทเรยี นสาหรบั การปฏบิ ตั กิ ารในอนาคต
ซ่งึ อาจเป็นปัญหาคอื (1) ส่วนใหญ่ไม่ไดค้ านึงถงึ เหตุผลสาหรบั ความผดิ พลาดหรอื ความล้มเหลว (2)
บทเรยี นจากประสบการณ์ไม่สามารถไปใช้ได้สาหรบั ปัญหาใหม่ ๆ การตดั สนิ ใจท่ดี สี ามารถประเมนิ
เหตุการณ์ในอนาคตในขณะท่ปี ระสบการณ์เป็นเพยี งเร่อื งอดตี เท่านัน้ ในทางตรงกนั ข้ามถ้าบุคคลมี
ความระมดั ระวงั ในการวเิ คราะห์ประสบการณ์และพิจารณาจากประสบการณ์ถึงสาเหตุของความ
ลม้ เหลว ประสบการณ์กจ็ ะเป็นประโยชน์อยา่ งยงิ่

2) การทดลอง การตดั สนิ ใจระหว่างทางเลอื ก วธิ หี น่ึงกค็ อื การทดลอง และการทดลองมกั จะ
ใชใ้ นทางวทิ ยาศาสตร์ โดยพยายามทดลองทางเลอื กต่าง ๆ และมองถงึ ทางเลอื กทด่ี ที ส่ี ดุ อยา่ งไรกต็ าม
การทดลองจะเป็นเทคนคิ ทส่ี น้ิ เปลอื งค่าใชจ้ า่ ยในการลงทุนและบคุ ลากรอยา่ งมาก

3) การวจิ ยั และการวเิ คราะห์ เป็นเทคนิคท่ีมีประสิทธิผลสูงสุด ในการเลอื กจากหลาย
ทางเลอื ก วธิ นี ้จี ะแกป้ ัญหาซง่ึ เรม่ิ ตน้ จากทาความเขา้ ใจปัญหาก่อน แลว้ คน้ หาความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั
แปรทส่ี าคญั ขอ้ จากดั ขอ้ สมมติ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การแสวงหาเป้าหมาย

การแก้ปัญหาต้องการส่วนประกอบและการศึกษาปัจจยั เชิงปรมิ าณและเชิงคุณภาพ
การวจิ ยั และการวเิ คราะห์จะถูกต้องกว่าการทดลอง โดยมชี ่วงเวลาของการศึกษาเอกสารเพ่ือการ
วเิ คราะหโ์ ดยทวั่ ไปใชต้ น้ ทุนน้อยกวา่ การทดลองทางเลอื กต่าง ๆ

งานขนั้ สาคญั ในการวจิ ยั และวเิ คราะหก์ ็คอื การพฒั นาโมเดลสถานการณ์จาลอง (Simulation
model) ซง่ึ เป็นตวั แทนของสถานการณ์นัน้ ๆ งานวจิ ยั และการวเิ คราะหอ์ าจใชร้ ูปแบบการวจิ ยั การปฏบิ ตั ิ
(Operation research) ซง่ึ เป็นการวจิ ยั และปฏบิ ตั กิ ารไปพรอ้ ม ๆ กนั กไ็ ด้

5. การปฏิบตั ิการตามการตดั สินใจ หลงั จากได้เลอื กทางเลอื กท่ดี ที ส่ี ุด ผู้ตดั สนิ ใจจะปฏบิ ตั ิ
ตามการตดั สนิ ใจนนั้ ตอ้ งระมดั ระวงั ถงึ วธิ กี ารปฏบิ ตั กิ าร ซง่ึ มผี ลกระทบต่อบุคคลและหน้าทต่ี ่าง ๆ ต้อง
มกี ารอภปิ รายถงึ การเปลย่ี นแปลงทเ่ี ก่ยี วขอ้ งและผลลพั ธ์ท่คี าดคะเนไว้ ผู้ตดั สนิ ใจจะช่วยผเู้ ก่ยี วขอ้ ง
ปรบั เปล่ียนการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดจากการตัดสินใจ วิธีหน่ึงท่ีมีประสิทธิผลก็คือจะต้องให้บุคคลท่ี
เก่ียวข้องนัน้ อยู่ในกระบวนการตดั สนิ ใจด้วย การปฏบิ ตั ิการท่ปี ระสบความสาเรจ็ ขน้ึ อยู่กบั ทกั ษะการ
ตดิ ต่อสอ่ื สารของผตู้ ดั สนิ ใจและทกั ษะเกย่ี วกบั การแกป้ ัญหาของบุคคลทต่ี ่อตา้ นการเปลย่ี นแปลง

6. การประเมินผลลัพธ์และการป้อนกลับ เป็นขนั้ ตอนสุดท้ายของการตัดสินใจ เป็นการ
ประเมนิ ผลลพั ธท์ เ่ี กดิ ขน้ึ จากการปฏบิ ตั ติ ามการตดั สนิ ใจและคน้ หาการป้อนกลบั เก่ยี วกบการตดั สนิ ใจ
และการปฏบิ ตั กิ ารนนั้ ในขนั้ น้ผี ตู้ ดั สนิ ใจจะตอ้ งพจิ ารณาว่าผลลพั ธส์ ามารถตอบสนองตามทค่ี าดหวงั ไว้
หรอื ไม่ และตอ้ งมกี ารเปลย่ี นแปลงเพ่อื ปรบั ปรงุ การตดั สนิ ใจหรอื การปฏบิ ตั กิ ารหรอื ไม่ ถา้ การตดั สนิ ใจ
ไมส่ ามารถบรรลุผลตามทต่ี อ้ งการ อาจจะเกดิ จากการกาหนดปัญหาผดิ พลาด หรอื อาจตอ้ งใชท้ างเลอื ก
อ่นื แทน

กระบวนการตดั สินใจของกล่มุ
ในการส่งเสรมิ การเกษตรท่ดี ีควรจะตดั สนิ ใจโดยกลุ่ม ซ่งึ ในองค์กรส่งเสรมิ การเกษตรประเภท

ต่าง ๆ นนั้ องคก์ รอาจจะมกี ารกาหนดกลุ่มขน้ึ มาในหลายรปู แบบ เช่น ในรปู คณะกรรมการ กลุ่มเฉพาะกจิ

45

คณะทางาน เป็นต้น การให้กลุ่มตดั สนิ ใจจะทาให้เกิดความถูกต้อง สมาชกิ ของกลุ่มมคี วามคดิ รเิ รมิ่
สรา้ งสรรคแ์ ละเกดิ ความพงึ พอใจ ในทานองกลบั กนั กอ็ าจเกดิ ผลเสยี คอื เกดิ ความล่าชา้ และขดั แยง้
กนั ดงั นนั้ การให้กลุ่มตดั สนิ ใจจงึ มที งั้ ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี และมแี นวทางในการปฏบิ ตั ิ ซ่งึ ธงชยั สนั ตวิ งศ์
และ ชยั ยศ สนั ตวิ งศ์ (2540 : 115) สรปุ ไวด้ งั น้ี

1. ข้อดีและข้อเสียของการตดั สินใจโดยกล่มุ
1.1 ขอ้ ดี
- ไดอ้ าศยั ความแตกต่างในประสบการณ์และความเชย่ี วชาญของสมาชกิ แต่ละคน
- กลมุ่ สามารถก่อใหเ้ กดิ คุณภาพของความคดิ และความคดิ ทก่ี วา้ งกวา่ การทส่ี มาชกิ

คนหน่งึ ๆ กระทาโดยลาพงั
- สามารถแบ่งงานและแรงกายออกไปยงั สมาชกิ แต่ละคนได้
- กลุ่มสามารถใหข้ า่ วสารเกย่ี วกบั ปัญหาไดม้ ากกวา่
- สามารถรถู้ งึ ความบกพรอ่ งซง่ึ กนั และกนั ของสมาชกิ
- กระตุน้ ใหเ้ กดิ การจงู ใจในการตดั สนิ ใจของกล่มุ

1.2 ขอ้ เสยี
- สมาชกิ ของกลุ่มอาจมกี ารอะลมุ้ อลว่ ยกนั เกนิ ไป
- การมจี านวนสมาชกิ มากเกนิ ไปจะก่อใหเ้ กดิ ความตงึ เครยี ดในการถกปัญหารว่ มกนั
- กระบวนการตดั สนิ ใจในการแกป้ ัญหาอาจมองเพยี งระยะสนั้
- การอภปิ รายอาจกนิ เวลามาก
- อาจทาใหเ้ ขา้ ใจปัญหาเกย่ี วกบั เรอ่ื งเทคนคิ และความสลบั ซบั ซอ้ นของปัญหา

ไดน้ ้อย
- สมาชกิ บางคนอาจใชฐ้ านของอานาจทม่ี อี ยู่ เช่น ตาแหน่ง หรอื ความรอบรขู้ ม่ ขผู่ อู้ ่นื

ซง่ึ จะก่อใหเ้ กดิ ความกดดนั แก่ผอู้ ่นื ในอนั ทจ่ี ะไมก่ ลา้ วพิ ากษว์ จิ ารณ์

- อาจมกี ารเดา ซง่ึ ทาใหไ้ มต่ รงประเดน็ และสญู เสยี เวลา
- สมาชกิ บางคนอาจมคี วามสามารถในการตดิ ต่อส่อื สารต่างกนั อาจทาใหข้ อ้ มลู
บดิ เบอื นไป
2. แนวทางในการเปิ ดโอกาสให้กลุ่มทาการตดั สินใจ
- กาหนดงานใหเ้ ป็นทช่ี ดั แจง้ แก่กลมุ่
- งานทก่ี าหนดใหค้ วรมจี ดุ เรมิ่ ตน้ และจดุ สน้ิ สุดทแ่ี น่นอน และมกี ารทารายงาน
ถงึ ความมปี ระสทิ ธผิ ลของการตดั สนิ ใจและส่งขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ไปส่กู ล่มุ
- ใหค้ วามเป็นตวั ของตวั เองแก่กลุ่มอยา่ งพอเพยี งทจ่ี ะทางานได้
- ใหผ้ ลตอบแทนต่อกล่มุ อยา่ งทวั่ ถงึ ทงั้ หมด

46

- โครงสรา้ งของงานสาหรบั กลมุ่ อยา่ งน้อยทส่ี ดุ ควรมกี ารระบุถงึ รายละเอยี ด
ของวตั ถุประสงคท์ แ่ี น่นอน รายละเอยี ดของวธิ กี ารแสดงถงึ การตดั สนิ ใจของกลมุ่ ขอ้ จากดั
ทางดา้ นการเงนิ และเวลา

- งานทก่ี าหนดใหค้ วรเป็นงานทต่ี อ้ งการฝีมอื และประสบการณ์ต่าง ๆ กนั
- ความสามารถของสมาชกิ ยงิ่ มมี าก ยง่ิ มโี อกาสตดั สนิ ใจไดด้ ขี น้ึ
- กลุ่มทม่ี กี ารรว่ มมอื กนั สามารถแกป้ ัญหาไดด้ กี ว่ากลุ่มทแ่ี ขง่ ขนั กนั
- บทบาทของผู้นาควรเป็นผู้ท่สี ามารถก่อให้เกดิ การประสานงาน มคี วามรวดเรว็ ใน
การทางาน มคี วามสนใจในงาน ซง่ึ จะมผี ลทาใหก้ ารตดั สนิ ใจดขี น้ึ
- ขอ้ จากดั ขนาดของกลมุ่ ไมค่ วรเป็นกลมุ่ ใหญ่เกนิ ไปจะชว่ ยใหก้ ารตดั สนิ ใจไดผ้ ล
- เลอื กปัญหาทเ่ี หมาะสมกบั ค่าใชจ้ า่ ยทางการจดั การและเวลาเหมาะสมกบั กลุ่ม

คณุ ลกั ษณะที่ดีในการตดั สินใจ
ในการตดั สนิ ใจทด่ี นี นั้ ยุดา รกั ไทย และ ธนิกานต์ มาฆะศริ านนท์ (2544 : 125) ได้สรุปไว้ว่า

ควรพจิ ารณาถงึ ลกั ษณะสาคญั 3 ประการ คอื
1. คุณภาพ (quality) คือการตัดสนิ ใจท่ีมีการใช้โอกาส (ปัญหา) ให้เกิดประโยชน์สูงท่ีสุด

เพราะจาเป็นต้องใช้ทรพั ยากรทส่ี ามารถหาได้ทงั้ คน วสั ดุ อุปกรณ์ฯ เพ่อื ทาการเก็บรวบรวม บรหิ าร
ขอ้ มลู วจิ ยั วเิ คราะหป์ ระเมนิ ทางเลอื กต่าง ๆ เป็นการตดั สนิ ใจทต่ี อ้ งคานึงถงึ คุณภาพ หากผดิ พลาด
จะเกดิ การสญู เสยี คุณภาพของการตดั สนิ ใจจงึ มคี วามสาคญั ยงิ่

2. ความเรว็ (speed) การตดั สนิ ใจต้องมคี วามรวดเรว็ ทนั ต่อสถานการณ์การเปล่ยี นแปลง
โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในยุคโลกาภวิ ฒั น์ท่มี กี ารแข่งขนั และมปี ัจจยั เก่ยี วข้องมากมาย ถ้าการตัดสนิ ใจ
ทางเลอื กต่าง ๆ ทก่ี าหนดไว้กจ็ ะดอ้ ยคุณภาพหรอื ไม่เหมาะสมเม่อื เวลาเปล่ยี นไป พลงั ความคดิ ท่ไี ดร้ ่วม
คดิ รว่ มวเิ คราะหก์ จ็ ะสญู เปล่า

3. พนั ธะหน้าที่ (mission) การดาเนินการใด ๆ เราต้องคานึงถงึ พนั ธะหน้าทร่ี บั ผดิ ชอบของ
ตนเองหรอื ขององค์กร และต้องพยายามให้คนอ่นื ๆ มสี ่วนร่วมในการดาเนินงาน และใหท้ ุกคนเกดิ การ
ยอมรบั ว่าสงิ่ ทไ่ี ดต้ ดั สนิ ใจเป็นพนั ธะทต่ี อ้ งรว่ มกนั รบั ผดิ ชอบ ไมใ่ ช่ทาไปเช่นนนั้ เอง หรอื ผดั วนั ผดั ผ่อน
ไปทาในวนั หลงั

จากท่ีกล่าวมาถึงการตัดสินใจ ซ่ึงนักส่งเสรมิ การเกษตรทัง้ ในระดับบรหิ ารและระดับ
ปฏิบัติการจาเป็นต้องมกี ารตัดสินใจท่ีถูกต้องจงึ จะทาให้งานส่งเสรมิ การเกษตรประสบผลสาเร็จ
ขณะเดียวกันนักส่งเสริมก็เป็ นผู้ท่ีมีส่วนสาคัญท่ีมีบทบาทในการเอ้ืออานวยให้เกษตรกรได้มี
กระบวนการตดั สนิ ใจทถ่ี กู ตอ้ งอกี ดว้ ย

47

3. การแก้ปัญหาอย่าง
บรู ณาการ

ทางส่งเสริมการเกษตร

48

เร่อื งที่ 3.1 ความหมายและความสาคญั ของการแก้ปัญหา
อยา่ งบรู ณาการในการส่งเสริมการเกษตร

ความหมาย
พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยุตโต) (2531 : 23-24) ไดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ การบรู ณาการ หมายถงึ การ

นาหน่วยย่อยอนั หนึ่งเขา้ รวมกบั หน่วยย่อยอ่นื ๆ ภายในองคร์ วมเพ่อื ใหเ้ กดิ ความสมบูรณ์…(หรอื )
การประมวลหน่วยย่อยทแ่ี ยก ๆ กนั ให้รวมเขา้ เป็นองคร์ วมท่ีครบถ้วนสมบูรณ์…(หรอื ) การทาให้
หน่วยย่อยทงั้ หลายเขา้ รว่ มเป็นองคป์ ระกอบซง่ึ ทาหน้าทป่ี ระสานซง่ึ กนั และกนั กลมกลนื เขา้ เป็นองคร์ วม
อนั เดยี ว อนั ทาใหเ้ กดิ ความสมดุลยท์ อ่ี งคร์ วมนัน้ สามารถดารงอย่แู ละดาเนินไปไดใ้ นภาวะทค่ี รบถว้ น
สมบูรณ์…(หรอื ) การทาใหห้ น่วยย่อย ๆ ทงั้ หลายทส่ี มั พนั ธอ์ งิ อาศยั ซง่ึ กนั และกนั เขา้ มารว่ มทาหน้าท่ี
ประสานกลมกลนื เป็นองคร์ วมหน่งึ เดยี วทม่ี คี วามสมบรู ณ์ในตวั

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542) ได้ให้ความหมายของ “บูรณาการ” ว่าหมายถึง
ความครบถ้วนบรบิ ูรณ์และใหค้ วามหมายของ “บรู ณาการรวมหน่วย” ว่าหมายถงึ การนาหน่วยทแ่ี ยก ๆ
กนั มารวมเขา้ เป็นอนั หน่งึ อนั เดยี วกนั

สุนันทา สุนทรประเสรฐิ (มปป : 4) สรปุ ว่า การบูรณาการ หมายถงึ การนาเอาศาสตรว์ ชิ าต่าง
ๆ ท่มี คี วามสมั พนั ธ์เก่ียวขอ้ งกนั มาเช่อื มโยงผสมผสานหลอมรวมความรูเ้ ข้าด้วยกนั เป็นอนั หน่ึงอัน
เดยี วกนั โดยเน้นทอ่ี งคร์ วมของเน้อื หามากกว่าองคค์ วามรขู้ องแต่ละรายวชิ า

เกรยี งศกั ดิ ์เจรญิ วงศศ์ กั ดิ ์(2547 : 2-3) ไดร้ วบรวมความหมายของการบรู ณาการไวว้ ่า
คาว่า บรู ณาการ ในความหมายทวั่ ไป หมายถงึ การทาสง่ิ ทบ่ี กพรอ่ งใหส้ มบรู ณ์ โดยการเพมิ่ เตมิ
ส่วนท่ยี งั ขาดอย่เู ขา้ ไป หรอื เป็นการนาส่วนประกอบย่อยมารวมกนั ตงั้ แต่สองสงิ่ ขน้ึ ไปเพ่อื ทาให้เป็น
สว่ นหน่งึ ของสว่ นทงั้ หมดทใ่ี หญ่กว่า
การบูรณาการ มาจากคาในภาษาอังกฤษว่า integration มรี ากศัพท์จากภาษาลาติน integral
หมายถงึ การทาใหร้ วมกนั ไดท้ งั้ หมด ไมม่ สี ่วนใดขาดหายไป
จากความหมายดงั กล่าว สรุปในส่วนของการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการได้ว่า เป็นการแก้ไข
ปัญหาแบบองคร์ วมทม่ี กี ารพจิ ารณาถงึ ปัจจยั ต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งทงั้ หมดและพจิ ารณาปัญหาในทุก ๆ มติ ิ
ทม่ี คี วามสมั พนั ธเ์ ช่อื มโยงเกย่ี วขอ้ งกนั ทาใหเ้ กดิ การแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์

ความสาคญั ของการแก้ไขปัญหาในการส่งเสริมการเกษตรอย่างบรู ณาการ
การแก้ปัญหาอย่างบูรณาการมคี วามสาคญั อย่างยง่ิ ในการส่งเสรมิ การเกษตรในยุคปัจจุบัน

เน่ืองจากการส่งเสรมิ การเกษตรจะเก่ยี วขอ้ งกบั สง่ิ ต่าง ๆ มากมาย ทงั้ ในส่วนของเกษตรกร หน่วยงานต่าง
ๆ สภาพแวดล้อม ทัง้ ภายในชุมชน ภายนอกชุมชน ตลอดจนสภาพแวดลอ้ มท่ีเก่ียวข้องจาก
ต่างประเทศซง่ึ ในยคุ โลกาภวิ ฒั น์ ปัจจยั ต่าง ๆ เหล่าน้ีมผี ลต่องานส่งเสรมิ การเกษตรเป็นอย่างมากและการ


Click to View FlipBook Version