The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by gwarrg, 2023-09-06 00:13:28

ปะกาเกอะญอ

ปะกาเกอะญอ

Keywords: ปะกาเกอะญอ

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก คำนำ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร มีโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบ ๑๕๓ โรงเรียน สถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการประกอบไปด้วยผู้คน หลากหลายเชื้อชาติทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้าน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน อีกทั้งการติดต่อระหว่าง สถานศึกษาในเขตพื้นที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ส่งเสริมการจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่ได้กำหนดไว้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพัน บ้านเกิด โดยได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนที่มีความตระหนักรู้จักท้องถิ่นของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรมประเพณี อันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงจัดทำ องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.สภาพทั่วไปของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียน ๒.ประวัติความเป็นมาของชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๓.สภาพเศรษฐกิจ ๔.สาธารณูปโภค ๕.แหล่งท่องเที่ยว ๖.แหล่งเรียนรู้ในชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๗.หน่วยงาน รัฐ/เอกชน และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.ชนชาติ/ชาติพันธุ์ ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕.ประเพณี/พิธีกรรม/ งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ปราชญ์ท้องถิ่น คณะกรรมการจัดทำ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ร่วมจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นเรื่อง องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไว้ณ โอกาสนี้และหวังว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นแนวทางให้สถานศึกษาได้ นำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเอง ตามบริบทของสถานศึกษา ผู้จัดทำ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทนำ ค ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป 2 ศิลปวัฒนธรรม ๔ ภาษา/วรรณกรรม ๘ ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน ๑๗ ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๒๕ ศาสนาและความเชื่อ ๓๗ ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ๔๕ บรรณานุกรม ๕๐ ภาคผนวก ๕3


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก บทนำ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 54 ระบุไว้ว่า การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของ ตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติและพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 มาตรา 7 ระบุว่า กระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่ง ปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข รู้จักรักษา และส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และของประเทศชาติ รวมทั้ง ส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถใน การประกอบอาชีพ รู้จักตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าภารกิจในการจัดการศึกษา นอกจากต้องจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิดความรู้คู่คุณธรรมแล้ว ยังต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพของ ท้องถิ่น เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ชีวิตจริงของตนเองในท้องถิ่น เรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมา สภาพเศรษฐกิจ สังคมการดำรงชีวิต ภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ตลอดจนให้มีความรัก ความผูกพัน และ มีความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อ การประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตในสังคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุม พื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ป่าไม้ และเป็นเขตชายแดน มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นแนวยาวมีระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร การจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีโรงเรียนที่อยู่ใน ความรับผิดชอบจำนวน 153 โรงเรียน การคมนาคมซับซ้อน และการติดต่อระหว่างสถานศึกษาเป็นไปด้วย ความยากลำบาก เนื่องจากสถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการ ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน นักเรียนส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่เมื่อจบการศึกษาแล้ว จะเดินทางเข้าตัวเมืองเพื่อศึกษาต่อและประกอบอาชีพ คนวัยทำงานมีการย้ายถิ่นฐานเข้าไปในเมืองใหญ่ เนื่องจากแรงดึง (Pull force) ในด้านค่าตอบแทน ความเจริญในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ จึงได้ เล็งเห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประเพณีทางสังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจและภาคภูมิใจในตนเอง ชุมชน สังคม วัฒนธรรม สามารถแสวงหาบทบาทใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ชุมชนท้องถิ่น นำไปสู่การคิดค้นหาแนวทางการพัฒนาหรือ แก้ปัญหา ช่วยสร้างพลังผลักดันให้ชุมชนขับเคลื่อนไปในทางที่ดีสอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง ของสังคมในปัจจุบัน โดยหลักสูตรท้องถิ่น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรัก ความหวงแหน และภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผู้สอน สามารถนําสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก เกิดสัมฤทธิ์ผลบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง โดยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้จักท้องถิ่น ของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด เพื่อสำรวจ รวบรวมและจัดทำ ข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือ ด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑. ชนชาติ/ชาติพันธุ์ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕. ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน รวมทั้งสภาพ ปัญหาในชุมชน เพื่อจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สถานศึกษาสามารถนำสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ไปจัด ประสบการณ์ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเองตามบริบทของสถานศึกษา โดยครอบคลุม 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ การจัดทำองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์นี้ จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ในด้านความหลากหลาย ของชาติพันธุ์ จำนวน 15 ชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่รวมกันในพื้นที่อำเภอฝาง แม่อาย ไชยปราการ เชียงดาว และ เวียงแหง โดยได้รวบรวมข้อมูลด้านชาติพันธุ์จากการสำรวจชุมชนของโรงเรียนต่างๆ ในสำนักงานเขต พื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 3 และตัวแทนครูจากทุกโรงเรียน จำนวนทั้งสิ้น 153 โรงเรียน ได้สังเคราะห์ข้อมูลในการจัดทำองค์ความรู้ดังกล่าว เพื่อเป็นหนังสือองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ของสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 โดยโรงเรียนสามารถเลือก คัดสรร ในการนำองค์ความรู้ไปใช้ใน การจัดการเรียนการสอน และการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ต่อไป คณะผู้จัดทำ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑ 0 ปกาเกอะญอ ชาวกะเหรี่ยง เป็นกลุ่มที่เรียกตนเองว่า ปกาเกอะญอ คำเรียกตามภาษาของกลุ่ม จกอร์ (Cgau)} หรือโพล่ง [คำเรียกตาม ภาษา โพล่ง/โปกว์ (Pgoj)] ในประเทศไทยกะเหรี่ยงแบ่งออกเป็น ๔ กลุ่มย่อยๆ โดยมีสองกลุ่มใหญ่ ซึ่งกลุ่มที่มีมากที่สุดเรียกตนเองว่า ปกาเกอะญอ จกอร์ (Pgaz k’ Nyau Cgau) โดย คำว่า ปกากะญอ หรือ ปกาเกอะญอ ถูกใช้และเป็นที่ยอมรับกันมากในชุมชนกะเหรี่ยง สกอว์ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย โดยเน้นถึงความหมายว่า “คน” ผู้ที่มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพและมีวัฒนธรรมที่ดีงาม เพื่อแสดงออก ถึงอัตลักษณ์ด้านบวก ชนเผ่าปกาเกอะญอ อาจนับได้ว่าเป็นชาติพันธุ์ที่มีจำนวน ประชากรมากที่สุดในประเทศไทย เป็นชนเผ่าที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน บ้านเรือนอยู่ในเขตพื้นที่ตะวันออกของสหภาพเมียนมาร์และมี ถิ่นอาศัยกระจายตัวอยู่ 15 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลางฝั่งตะวันตก ทั้งนี้มีประชากรชาว ปกาเกอะญอมากที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ตามลำดับ ซึ่งการตั้งถิ่นฐานของชุมชนปกาเกอะญอแต่ละแห่งมีความ เก่าแก่ไม่เหมือนกัน บรรพบุรุษของปกาเกอะญอมีการสืบค้นได้นาน กว่า ๑,๒oo ปี แต่จากความทรงจำของคนในชุมชนได้ระบุไว้ว่า ราว กว่า ๔oo ปี ในถิ่นฐานที่ปกาเกอะญออาศัยอยู่ถึงแม้อาศัยอยู่มา ยาวนานแต่ยังคงสภาพป่าที่ดี ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้มีภูมิรู้ในดูแล จัดการป่า และทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียน จึงสามารถจัดการดูแลป่าได้ เป็นอย่างดีตลอดมา ชาวปกาเกอะญอถูกกล่าวถึงในความมีลักษณะเฉพาะของ กลุ่มชาติพันธุ์ในเรื่องของภาษา ลักษณะการแต่งการและเครื่องประดับ ตำนาน ประวัติศาสตร์พื้นบ้าน รวมทั้งศาสนา พิธีกรรมต่างๆ ชาวปกาเกอะญอนับเป็นชาติพันธุ์หนึ่ง ที่ยังรักษาอัตลักษณ์ ของกลุ่มไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และต่างเคารพรักกันและกันในฐานะ ของ “พี่น้องปกาเกอะญอ” สายเลือดเดียว ชนเผ่า ชนเผ ่ ากะเหร ี หรือ ย ่ ง ปกาเกอะญอ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒ ภูมิปัญญา ชนเผ่าปกาเกอะญอ วิถีชีวิต 1.ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ชนเผ่าปกาเกอะญอ เป็นชนเผ่าที่ตั้งอาศัยและกระจายอยู่ในพื้นที่อำเภอฝาง อำเภอเชียงดาว อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเวียงแหง ดังนี้ ➢ อำเภอฝาง ได้แก่ หมู่ 3 บ้านม่อนปิ่น หมู่ 4 บ้านสันป่าแดง หมู่ 6 บ้านต้นสาน หมู่ 6 บ้านโป่งน้ำ ร้อน หมู่ 9 บ้านห้วยงูกลาง หมู่ 12 บ้านปางสัก หมู่ 17 บ้านหนองยาว ➢ อำเภอเชียงดาว ได้แก่ หมู่ 1 บ้านใหม่ หมู่ 2 บ้านวังมะริว หมู่ 2 บ้านแม่กอน หมู่ 2 บ้านปางเฟือง หมู่ 3 บ้านแม่ป๋าม หมู่ 4 บ้านวังจ๊อม หมู่ 4 บ้านหลวง หมู่ 5 บ้านแม่ยะ หมู่ 7 บ้านดง หมู่ 7 บ้าน สบอ้อ หมู่ 8 บ้านแม่ก๊ะ หมู่ 9 บ้านปางแดง หมู่ 10 บ้านใหม่สามัคคี หมู่ 11 บ้านแม่เตาะ หมู่ 14 บ้านป่าตึงงาม ➢ อำเภอแม่อาย ได้แก่ หมู่ 4 บ้านฮ่างต่ำ หมู่ 8 บ้านเอก หมู่ 9 บ้านสันป่าข่า หมู่ 11 บ้านสุขฤทัย หมู่ 13 บ้านเมืองงาม หมู่ 16 บ้านห้วยป่าซาง ➢ อำเภอเวียงแหง ได้แก่ หมู่ 1 บ้านแม่หาด หมู่ 2 บ้านกองลม หมู่ 4 บ้านเวียงแหง หมู่ 5 บ้านห้วย หก หมู่ 7 บ้านนามน หมู่ 8 บ้านแม่แพม ➢ อำเภอไชยปราการ ได้แก่ หมู่ 2 บ้านท่า หมู่ 7 บ้านห้วยบง หมู่ 7 บ้านปง หมู่ 10 บ้านหัวฝาย ชาติพันธุ์ "กะเหรี่ยง" หรือปกาเกอะญอ เป็นชาวเขากลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอาศัยอยู่หนาแน่นใน บริเวณพื้นที่ป่าเขาทางทิศตะวันตกของประเทศไทยบริเวณชายแดนไทย-พม่า และค่อยๆ เคลื่อนย้ายมาทางทิศ ตะวันออกในระยะแรกประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา มีข้อสันนิษฐานว่าชาวปกาเกอะญอเดิมอาศัยอยู่ทาง ตะวันออกของทิเบต ได้อพยพเข้าไปตั้งอาณาจักรในประเทศจีนเมื่อ ๗๓๓ ปีก่อนพุทธกาล จีนเรียกพวกนี้ว่า ชนชาติโจว เมื่อถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซี ยูนนาน แล้วถอยร่นมาอยู่ระหว่างแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาละวิน ชาวปกาเกอะญออพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพม่าก่อนที่จะขยายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของ ประเทศไทย โดยตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณภูเขาทางชายแดนตะวันออกของสหภาพพม่าและตะวันตกของประเทศ ไทย ในประเทศไทยปกาเกอะญอ อาศัยอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันตกในเขตชายแดนกับพม่า จากที่ตั้ง ถิ่นฐานของชาวปกาเกอะญอเป็นพื้นที่แคบยาวจากเหนือลงใต้ทำให้ชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ทางตอนเหนือ คือ กลุ่ม คะยาหรือกะเหรี่ยงแดงและกลุ่มย่อย ๆ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มไท ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓ ในลุ่มน้ำปิง ปัญหาความไม่สงบและสงครามระหว่างไทยกับพม่าในสมัยพระเจ้าอลองพญายิ่งทำให้ ชาวปกาเกอะญอจำนวนมากอพยพจากพม่าเข้ามาสู่รัฐไทใหญ่และล้านนา พระเจ้ากาวิละได้นำเอาชาว ปกาเกอะญอโปวมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่หางดง ต่อมามีผู้อพยพตามมาอีกเป็นจำนวนมากและได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เช่น บ้านแม่ละมู ที่อำเภอแม่สะเรียง เป็นต้น


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔ ตาพอเพาะ หรือ ข้าวเบ๊อะ การแต่งกายผู้หญิง การแต่งกายผู้ชาย 2.ศิลปวัฒนธรรม - การแต่งกาย ผ้าทอกะเหรี่ยง มีภูมิปัญญาตั้งแต่การย้อมสีผ้า โดยการย้อมสีผ้าฝ้ายด้วยสีธรรมชาติ ทั้งจาก เปลือกไม้ ใบไม้และโคลน (โก่บอเอ่ะ) และภูมิปัญญาการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะชาวกะเหรี่ยง (ปกา เกอะญอ) ที่เรียกว่า การทอกี่เอว สร้างสรรค์เป็นลวดลายที่สวยงามบนผืนผ้า ตลอดจนการปักผ้าที่มีลวดลาย เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นวิธีการทอผ้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์ มีการสืบทอดมายาวนานกว่าร้อยปี เสื้อผ้าของชน เผ่ากะเหรี่ยงมีโครงสร้างที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิงหรือเด็ก ต่างกันตรงสีสันและลวดลาย เสื้อจะ ทอด้วยกี่เอว โดยผ้ามีความกว้างเท่ากับลำตัวของผู้ทอ โครงสร้างของเสื้อคือการนำผ้าทอสองชิ้นมาเย็บติดกัน เว้นตรงกลางไว้สวมหัว และพับครึ่งเว้นตอนบนให้แขนลอด เย็บข้างลงไปถึงชายเสื้อ ตกแต่งขอบคอ ขอบแขน และชายเสื้อ โดยมีความแตกต่างกันในแต่ละเพศ ดังนี้ 1. การแต่งกายของผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ตัวเสื้อจะยาว (คล้ายชุด แซก) และเป็นสีขาวเท่านั้น มีการตกแต่งลวดลายเล็กน้อย โพกหัวด้วยผ้าทอที่มีลวดลาย คอเสื้อไม่ผ่าลึก เรียกว่า เชวา ปัจจุบันมีการปรับประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย โดยตัวเสื้อยังคงเป็นเสื้อตัวยาวแต่ใช้สีอื่น ๆ ได้ ทอเป็นลวดลายและมีการตกแต่งด้วยเส้นด้ายยาวบริเวณคอเสื้อ แขนเสื้อ ศิลปวัฒนธรรม


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕ 2. การแต่งกายของผู้ชายไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ใส่สีแดง โครงเสื้อเหมือนผู้หญิง ไม่มีการตกแต่ง เสริม เรียกว่า เชโป้โล่ สวมกางเกงแบบจีนสีดำ 3. การแต่งกายของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วใส่สีดำ ตัวเสื้อสั้น ตัวเสื้อมีการปักลวดลายด้วย เส้นด้ายฝ้ายและลูกเดือย สวมผ้าถุง (เดิมเป็นผ้าถุงสีแดง มีลวดลายเฉพาะ ปัจจุบันมีหลากสีสันมากขึ้น) เรียกว่า เชซู ที่ขาดไม่ได้คือสร้อยคอลูกปัดหลากสีหลายๆ เส้น ยิ่งใส่มากยิ่งแสดงให้เห็นถึงความมีฐานะ และ โพกหัวด้วยผ้าสีพื้น สีขาว ฟ้าและชมพู


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖ - อาหาร อาหารกะเหรี่ยงจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง คือรสชาติจะเผ็ดและเค็ม เป็นการผสมผสาน วัตถุดิบจากธรรมชาติมาปรุงแต่งอาหารที่ใช้รับประทานในชีวิตประจำวัน ข้าวที่ชาวกะเหรี่ยงรับประทานเป็น ประจำคือ ข้าวหุง ไม่นิยมรับประทานข้าวเหนียว สำหรับกับข้าวจะเน้นพืชผักที่หาได้จากป่าตามฤดูกาล เช่น เห็ด หน่อไม้ ผักกูด ผักหวาน ฯลฯ และผักที่ปลูกเอง เช่น ถั่ว ยอดฟักทองอ่อน แตงกวา ฯลฯ แล้วนำมาต้ม หรือนึ่ง กินกับน้ำพริก ซึ่งมีวิธีการปรุงที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน โดยส่วนมากที่นิยมรับประทานกันทุกครัวเรือน คือ อาหารประเภทน้ำพริก ผักต้ม แกง ประเภทปิ้งย่าง สำหรับวิธีการปรุงรสจะแตกต่างกันตามความชอบของ ครัวเรือน ส่วนขนมหวานกะเหรี่ยงไม่มีของหวานที่กินหลังอาหาร แต่มีขนมที่ทำ กินในงานเลี้ยงหรือพิธีกรรม อาหารของกะเหรี่ยง ได้แก่ ข้าวเบ๊อะ (ตาพอเพาะ) คือข้าวต้มน้ำกระดูกหมู ใส่ผักหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นยอด มะรุม ชะอม ชะพลู ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำพริกปกาเกอะญอ หรือน้ำพริกกะเหรี่ยง มีส่วนผสมของหอมเจียว พริกกะเหรี่ยงคั่วป่น ขิงสับ กุ้งแห้งมาผัดรวมกัน ปรุงรสด้วยกะปิ เกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน กินกับผักพื้นบ้าน ข้าวเบ๊อะ ข้าวเบ๊อะ ข้าวปุ๊ก (เหม่โต๊ะปี่) คือ ข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้ว เอามาผสมกับงาคั่วและเกลือที่ตำละเอียด แล้ว นำมาตำให้เป็นเนื้อเดียวกัน สามารถรับประทานได้ทันที หรือเก็บเอาไว้ เมื่อจะรับประทานก็สามารถนำมา ทอดให้กรอบ จิ้มทานกับน้ำตาล น้ำผึ้ง นมข้นหวาน (เหม่โต๊ะปี่)


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗ เหม่ตอ มีลักษณะคล้ายข้าวต้มมัด มีลักษณะทรงกรวยแหลม นิยมนำมาประกอบในงานมงคล เช่น ประเพณีการเรียกขวัญ ส่วนผสมประกอบด้วยข้าวเหนียวนำไปแช่น้ำประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาห่อ ด้วยใบไม้กวาด (ต้นก๋ง) ให้เป็นรูปทรงกรวยปลายแหลม แล้วนำไปต้มในน้ำเดือดจนสุก ขนมชนิดนี้ไม่มีไส้ จะนำนิยมรับประทานคู่กับน้ำผึ้งและน้ำตาล เหม่ตอ มุส่าซู(น้ำพริกดำ) เป็นอาหารที่ทำง่าย เกิดจากหน้าฝนฟืนจะเปียกจุดไฟได้ยาก จึงทำอาหารเร่งด่วนและสามารถอยู่ได้นาน โดยใช้พริกคั่วให้เป็นสีดำโดยใช้ไฟอ่อน ตำกับเกลือใส่ สมุนไพรเพื่อป้องกันโรคหวัดเข้าไปด้วย เช่นใบโกโบระ ผักอิเหลิง และในอาหารทุกมื้อต้องมีมุและซูอยู่ใน สำรับอีกด้วย มุส่าซู


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘ วรรณกรรมพื้นบ้าน พยัญชนะ ๒๕ ตัว ในภาษากระเหรี่ยง วรรณกรรมพื้นบ้าน “หน่อหมื่อเอ” 3. ภาษา/วรรณกรรม - ด้านภาษา ตัวอักษรภาษากะเหรี่ยง ภาษากะเหรี่ยงสะกอ หรือ ภาษากะเหรี่ยงขาว หรือ ภาษาปกาเกอะญอ เป็นภาษาของชาวกะเหรี่ยง สะกอ มีผู้พูดทั้งหมด 1,584,700 คน พบในพม่า 1,284,700 คน (พ.ศ. 2526) ในลุ่มแม่น้ำอิระวดีใน ไทยพบ 300,000 คน (พ.ศ. 2530 ผู้พูดส่วนใหญ่นับถือความเชื่อดั้งเดิมหรือศาสนาคริสต์จัดอยู่ในตระกูล ภาษาจีน-ทิเบต ภาษากลุ่มทิเบต-พม่า สาขากะเหรี่ยง สาขาย่อยสะกอ-บไฆ เรียงประโยคแบบประธาน-กริยากรรม มีเสียงพยัญชนะต้นมากกว่าภาษาไทย ไม่มีเสียงตัวสะกด มีเสียงพยัญชนะควบกล้ำมาก นอกจาก กล้ำกับเสียง ร ล ว แล้ว ยังกล้ำกับเสียง ก (คล้ายเสียง g ในภาษาอังกฤษ) และเสียง ย ได้ด้วย มีสระเดี่ยว เท่ากับภาษาไทย แต่ความสั้นยาวของสระไม่มีนัยสำคัญทางภาษาศาสตร์ เสียงวรรณยุกต์มี 5 เสียง คือ • เสียงกลาง-ระดับ อาจมีเสียงขึ้นหรือตกเล็กน้อยในตอนท้าย คล้ายเสียงสามัญในภาษาไทย • เสียงกลาง-ตก คล้ายเสียงเอกกึ่งเสียงโทในภาษาไทย มีลมออกมามากกว่าปกติทำให้เสียงต่ำทุ้ม • เสียงสูงขึ้น-ตก คล้ายเสียงตรีกึ่งเสียงโทในภาษาไทย แต่เสียงสูงกว่าเล็กน้อย ภาษา/วรรณกรรม


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๙ • เสียงสูง-ระดับ เกิดกับคำตายเสียงสั้น คล้ายกับเสียงตรีในคำตายเสียงสั้นในภาษาไทย เช่น พะ โต๊ะ • เสียงต่ำ-ระดับ เกิดเฉพาะคำตายเสียงสั้นเท่านั้นคล้ายกับเสียงเอกนำตายเสียงสั้นในภาษาไทย เช่น แกะ จุ ปะ การเขียนด้วยอักษรโรมัน สระ a ตรงกับสระอาในภาษาไทยหรือเสียง a ในภาษาสเปนและภาษาอิตาลี e ตรงกับสระเออในภาษาไทยหรือเสียง e ในภาษาฝรั่งเศส i ตรงกับสระอีในภาษาไทยหรือเสียง e ในภาษาสเปนและภาษาอิตาลี o ตรงกับสระโอในภาษาไทยหรือเสียง o ของภาษาสเปน u ไม่ตรงกับสระในภาษาไทยเป็นเสียงที่อยู่ระหว่างสระอูกับสระอือ ai ตรงกับสระแอในภาษาไทย ei ตรงกับสระเอในภาษาไทย au ตรงกับสระออในภาษาไทย oo ตรงกับสระอูในภาษาไทย ตรงกับสระเออะในภาษาไทย เป็นเสียงสั้นๆ พยัญชนะ k ตรงกับไทย ก เช่น ka = ก๊ะ hk ตรงกับไทย ค เช่น hka = คะ g เหมือน g ในภาษาอังกฤษ แต่เป็นเสียงในลำคอมากกว่าภาษาอังกฤษ q ออกเสียงในลำคอพร้อมกับพ่นเสียง คล้าย j ในภาษาสเปน ng ตรงกับภาษาไทย ง c ตรงกับภาษาไทย จ คล้ายกับเสียง ch ในภาษาอังกฤษแต่เสียงเบากว่า ns ตรงกับภาษาไทย ช คล้ายเสียง ch ในภาษาสเปน ny ตรงกับภาษาไทย ญ หรือเสียง n ในภาษาสเปน t ตรงกับภาษาไทย ต ht ตรงกับภาษาไทย ท d ตรงกับภาษาไทย ด n ตรงกับภาษาไทย น p ตรงกับภาษาไทย ป หรือ p ในภาษาสเปน hp ตรงกับภาษาไทย พ หรือ p ในภาษาอังกฤษ b ตรงกับภาษาไทย บ m ตรงกับภาษาไทย ม y ตรงกับภาษาไทย ย แต่มีชาวกะเหรี่ยงบางกลุ่มออกเสียงคล้าย z ในภาษาอังกฤษ r ตรงกับภาษาไทย ร หรือ r ในภาษาสเปน l ตรงกับภาษาไทย ล w เป็นเสียงระหว่างไรฟัน v หรือเสียง f เบาๆ s ตรงกับภาษาไทย ซ h ตรงกับภาษาไทย ฮ หรือ j ในภาษาสเปน eh ตรงกับภาษาไทย เอ้อ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๐ ah ตรงกับภาษาไทย อ๋า วรรณยุกต์ การเขียนวรรณยุกต์ในภาษากะเหรี่ยงมีสองแบบคือแบบที่แทนด้วยตัวสะกด นิยมใช้ในการ พิมพ์ กับแบบที่ใส่เป็นเครื่องหมายบนสระ นิยมใช้กับการเขียนด้วยมือ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ av หรือ ă เป็นเสียงสูงกลาง ออกเสียงในเวลาสั้นๆ คล้ายเสียงตรีในภาษาไทย aj หรือ à เสียงกลาง-ตก คล้ายเสียงเอกกึ่งเสียงโทในภาษาไทย af หรือ ä เสียงสูงขึ้น-ตก คล้ายเสียงตรีกึ่งเสียงโทในภาษาไทย ax หรือ â เสียงต่ำ ออกเสียงในเวลาสั้น คล้ายเสียงเอกในภาษาไทย az หรือ ā เสียงกลาง ออกเสียงยาว คล้ายเสียงสามัญในภาษาไทย a เสียงกลางสูง ออกเสียงปกติแต่สั้นกว่า az ไวยากรณ์ สรรพนาม y' บุรุษที่หนึ่งเอกพจน์ เป็นประธานของประโยค yaz บุรุษที่หนึ่งเอกพจน์ เป็นกรรม p'waiseif บุรุษที่ 1 พหูพจน์ เป็นได้ทั้งกรรมและประธาน pgaz บุรุษที่ 1 พหูพจน์ เป็นกรรม naz บุรุษที่สองเป็นกรรม n' บุรุษที่สอง เป็นประธาน su หรือ suwaiseif บุรุษที่ 2 พหูพจน์ เป็นได้ทั้งกรรมและประธาน av หรือ av wei บุรุษที่สาม เอกพจน์ เป็นได้ทั้งกรรมและประธาน และใช้กับสิ่งไม่มีชีวิตและ สัตว์ได้ด้วย auz บุรุษที่ 3 ใช้ได้กับทั้งมีและไม่มีชีวิต แต่เป็นกรรมเท่านั้น คุณศัพท์ วางไว้ข้างหลังคำนามที่ขยาย คำวิเศษณ์อยู่ข้างหลังคำกริยาที่ขยายเช่นกัน ประโยค โครงสร้างประโยคแบบประธาน-กรรม-กริยา คำที่ใช้บอกหน้าที่ของคำเป็นแบบปรบ ชาวปกาเกอะญอ มีภาษาพูด และภาษาเขียนเป็นของตนเอง ส่วนมากจะใช้อ่านพระคัมภีร์ใน โบสถ์ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถอ่านได้


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๑ - วรรณกรรมพื้นบ้าน เรื่อง หน่อหมื่อเอ Naw Meu Ea(ภาษาปกาเกอะญอ) นานมาแล้ว มีหญิงนางหนึ่งชื่อหน่อหมื่อเอ วันหนึ่งซูลอเล สามีของเธอต้องเดินทางไกลและสั่งนาง ไม่ให้ปล่อยหมูออกไปหากินนอกบ้าน แต่นางลืมคำสั่งของสามีทำให้หมูถูกงูใหญ่รัด นางออกไปตามหาและใช้ ไม้พันด้ายตีงูจนปล่อยหมูแต่กลับรัดร่างของหน่อหมื่อเอแทน และลากนางไปที่โพรงงูใหญ่ ขณะนางอยู่ในโพรง งูใหญ่ งูใหญ่บังคับให้นางทอผ้า นางได้แกะลวดลายผ้าจากลายหนังงูจนกลายเป็นลวดลายหลักของชาว กะเหรี่ยง 7 วันของการอยู่ในโพรงก็ได้7 ลวดลายหลัก (งูใหญ่ดังกล่าวบางตำนานกล่าวว่าเคยเป็นคนรักเก่า ของนางหน่อหมื่อเอเมื่ออดีตชาติ พอมาชาตินี้เลยตามมาแล้วได้เคยพบกับสามีของหน่อหมื่อเอ และได้ขอเสื้อ จากสามีของนาง แต่สามีนางไม่ให้เพราะเป็นเสื้อที่หน่อหมื่อเอ ทอใส่ในวันแต่งงาน งูใหญ่จึงเกิดความเคียด แค้น) ซูลอเลรู้ข่าวเมียรักจากนกเขาตัวหนึ่งจึงรีบเดินทางไปช่วย เขาพยายามขุดโพรงเพื่อตามงูใหญ่ จนเสียม หักไปเจ็ดเล่มแต่ไม่สำเร็จ จึงอ้อนวอนงูใหญ่ให้ปล่อยตัวโดยยอมแลกกับทุกอย่างที่งูต้องการ งูใหญ่อยากดื่ม เลือด ซูลอเลตัดนิ้วตัวเอง แต่งูอยากดื่มเลือดที่คอ ซูลอเล นำเลือดจากคอไก่ หมู วัว ควาย แต่งูไม่ยอมดื่ม ใน ที่สุดซูลอเลจึงเชือดคอตัวเอง งูใหญ่จึงยอมปล่อยหน่อหมื่อเอ ขณะที่ชาวบ้านช่วยกันเผาศพซูลอเล หน่อหมื่อ เอให้ชาวบ้านดูนกเขาตัวงามที่บินบนฟ้า ขณะที่ชาวบ้านแหงนมอง นางจึงกระโดดเข้ากองไฟ ชาวบ้านนำน้ำใน กระบอกไม้ไผ่เจ็ดกระบอกที่หน่อหมื่อเอเตรียมไว้ช่วยกันดับแต่ปรากฎว่าในกระบอกเป็นน้ำมันหมูจึงทำให้ไฟ ยิ่งลุกเผาร่างหน่อหมื่อเอจนเสียชีวิต นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 1. การไม่เชื่อฟังจะนำไปสู่ความเดือดร้อน 2. ความเคียดแค้น ไม่ได้ทำให้เกิดความสุข


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๒ นิทานเรื่อง หน่อหมื่อเอด๊อซูลอเล ครั้นแต่ก่อนหน่อหมื่อเอด๊อซูลอเล มีตำนานขานกันว่า มีจระเข้ (เกร๊ะ)ตัวหนึ่งได้ออกไข่จำนวนหลาย ฟอง และมีอยู่หนึ่งฟองที่มีลักษณะผิดแผกแปลกไปจากฟองอื่น ๆ จึงได้นำไข่ฟองดังกล่าวไปให้งูยักษ์ฟัก (เก่อลอ) งูยักษ์ก็รับเอาและก็นำไปฟักดูแลจวบจนถึงวันที่ไข่สุกงอมเต็มที่แล้วก็ได้ฟักตัวออกมา ปรากฎว่าเป็น ลูกมนุษย์ เมื่องูยักษ์เห็นเป็นเช่นนั้นก็เลยเอาไปให้มนุษย์ในละแวกที่อยู่ใกล้แถวนั้นเอาไปชุบเลี้ยงดูแล มนุษย์ก็ ได้ชุบเลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อว่า หน่อหมื่อเอ ครั้นเมื่อหน่อหมื่อเอโตเป็นสาวพร้อมที่จะมีคู่ก็ได้พบเจอกับ ผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่า ซูลอเล และได้พูดคุยนานวันเข้าก็เกิดสนิทสนมรักใคร่เอ็นดู จึงตกลงปลงใจเข้าพิธีวิวาห์ หลังจากแต่งงานได้ไม่นานนัก ซูลอเลก็ได้เดินเข้าไปในป่าเพื่อหาของป่า และได้เจอกับงูยักษ์ ที่เคยฟัก และดูแลไข่ใบที่เกิดเป็นมนุษย์ (หน่อหมื่อเอ) งูยักษ์เลยเอ่ยปากขอเสื้อที่ซูลอเลใส่ แต่ซูลอเลปฏิเสธไม่ให้ เพราะเสื้อที่ใส่เป็นเสื้อที่หน่อหมื่อเอทอให้และเป็นตัวที่ใส่ในงานพิธีวิวาห์ด้วย ทำให้งูยักษ์โกรธและเคียดแค้น อาฆาตมาก ๆ ซูลอเลก็ได้เดินทางกลับไปที่บ้าน พอตกดึกมาก็ฝันเห็นงูยักษ์กำลังรัดหมูที่ตนเลี้ยงไว้อยู่ พอรุ่งเช้าเป็นวันที่ซูลอเลต้องออกไปทำมาค้าขายที่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน และนึกถึงสิ่งที่ตน ได้ฝันเมื่อคืน ก่อนก้าวออกจากบ้านก็ไปตัดไม้ไผ่ขนาดยาว เพื่อมาทำที่ตักอาหารใส่ให้หมูกิน ซึ่งไม้ไผ่ยาว 7 ปล้อง และมีอยู่ปล้องหนึ่งข้างในมีสีแดง และกำชับภรรยาว่าในช่วงระหว่าง 7 วัน 7 คืน ระหว่างที่ตนไม่อยู่ ห้ามปล่อยหมูออกไปจากบ้านเด็ดขาด แล้วก็ก้าวลงบันไดออกไปทำมาค้าขาย ซูลอเลมีหม่อต่าก๊อ หน่อหมื่อเอซือเต่อปล่าถ๊อ ซูลอเลมีหม่อต่าเซ ซือเต่อปล่าถ๊อหน่อหมื่อเอ เบอะถ๊อกล๊อชีแยเก่อเพาะ หม่าเหลาะพออาต่ากล๊อกล๊อ เบอะถ๊กกล๊อชีแยเก่อดา หม่าเหลาะพออาต่ากล๊ะกล๊ะ เหล่ เหล่ เล เล เล ซู ลอ เล มี หม่อ มี หม่อ ต่า ก๊อ ซู ลอ เล มี หม่อ ต่า ก๊อ หน่อ หมื่อ เอ ซือ เต่อ ปล่า ถ๊อ ซู ลอ เล มี หม่อ ต่า ก๊อ หน่อ หมื่อ เอ ซือ เต่อ ปล่า ถ๊อ เหล่ เหล่ เล เล เล เบอะ ถ๊อ กล๊อ ชี แย ชี แย เก่อ เพาะ บึ ถ๊อ กล๊อ ชี แย เก่อ เพาะ มา เหลาะ พอ อา ต่า กล๊อ กล๊อ บึ ถ๊อ กล๊อ ชี แย เก่อ เพาะ มา เหลาะ พอ อา ต่า กล๊อ กล๊อ ซูเลอเลเดินทางไปถึงหมู่บ้านเป้าหมายที่จะไปทำมาค้าขาย และเริ่มต้นตีแหวน ตีกำไล ตีหมวก เพื่อทำ เป็นแหวน ทำเป็นหยก ทำเป็นกำไล หมวก สร้อยข้อมือข้อเท้าต่าง ๆ และจัดจำหน่าย ส่วนภรรยาที่อยู่บ้านก็ ทำตามที่สามีสั่งเสียงอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตลอด 6 วัน 6 คืน ครั้งเมื่อถึงวันที่ 7 ซึ่งเป็นวันสุดท้าย เกิด อาการลืมตัวและได้ปล่อยหมูออกไปจากกรง เมื่อถึงเวลาพลบค่ำได้ให้อาหารหมูและไก่แล้วก็ได้ตีเคาะกระบอก ไม้ไผ่สำหรับใส่อาหาร เพื่อให้อาหารแต่หมูที่เลี้ยงไว้ก็ไม่กลับมา เคาะเรียกหมูจนไม้ไผ่แตกหนักไปทั้ง 7 ปล้อง หมูเลยกลับมา และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อหมูกลับมาพร้อมกับงูยักษ์ ลำตัวเท่ากับเสื่อขนาดใหญ่ มีเสียง ไม้ไผ่ เสียงไม้แตกหนักดังมาไกลๆ ดังแอะๆๆ เอ๊าะๆ น่ากลัวยิ่งนัก ปล่า ลอ ถ๊อ เต่อ เก แหนะ ปล่า ถ๊อ….ถ๊อ แฮ เก เหน่ ด๊อ เก่อ ลอ เต่อ โป่ แซ เลอ หว่า อี อี….. ถ๊อ พา แฮ เก เก่อ ลอ บี เหล่ เหล่ เล เล เล… ปล่า ถ๊อ เต่อ เก เนอ เก เนอ เก ปล่า ถ๊อ… ปล่า ถ๊อ เต่อ เก เนอ ปล่า ถ๊อ …ถ๊อ แฮ เก เหน่ ด๊อ เก่อ ลอ ปล่า ถ๊อ เต่อ เก เนอ ปล่า ถ๊อ….ถ๊อ แฮ เก เหน่ ด๊อ เก่อ ลอ เหล่ เหล่ เล เล เล…. เต่อ โป่ แซ เลอ หว่า เลอ หว่า อี อี…..เต่อ โป่ แซ เลอ หว่า อี อี…..ถ๊อ พา แฮ เก เก่อ ลอ บี…เต่อ โป่ แซ เลอ หว่า อี อี….. ถ๊อ พา แฮ เก เก่อ ลอ บี


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๓ หน่อหมื่อเอร้องตะโกนเรียกให้คนมาช่วย ชาวบ้านต่างก็มาช่วย บ้างก็ฟัน บ้างก็แทงไปที่ลำตัวของงู ยักษ์ตัวนั้น แต่จะฟัน จะแทงยังไงก็ไม่เข้า และเจ้างูยักษ์ก็ไม่ยอมหลุดออกไปจากลำตัวของหมูสักที จนสุดหนทางที่จะช่วยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นหน่อหมื่อเอจึงหยิบไม้ที่เอาไว้ตีหมูของตัวเองที่เลี้ยงไว้ แล้วตีไปที่ตัว งูยักษ์ทันใดนั้นเจ้างูยักษ์ก็แกล้งสลัดตัวหลุดออกจากหมูที่รัดอยู่แล้วก็ขึ้นไปรัดหน่อหมื่อเอแทน แล้วลากไปที่ยัง รูที่เจ้างูยักษ์อาศัยอยู่ ถ๊อ เหนาะ ก๊อ โด กือ แมะ แมะ … กือ ลอ ฉ่า บี หน่อ แระ แระ ถ๊อ เหนาะ ก๊อ โด กือ ม๊อ ม๊อ….กือ ลอ ฉ่า บี หน่อ ร๊อ ร๊อ แชะ โต่ ท๊อ เลอ หลื่อ จ่อ โบ…กือ ลอ ฉ่า บี ถ่อ หน่อ โล แชะ โต่ ท๊อ เลอ เส่ หมื่อ เด … กือ ลอ ฉ่า บี หน่อ หมื่อ เอ เหล่ เหล่ เล เล เล…ถ๊อ เหนาะ ก๊อ โด กือ โด กือ แมะ แมะ…ถ๊อ เหนาะ ก๊อ โด กือ แมะ แมะ..กือ ลอ ฉ่า บี หน่อ แระ แระ..ถ๊อ เหนาะ ก๊อ โด กือ แมะ แมะ..กือ ลอ ฉ่า บี หน่อ แระ แระ.. เหล่ เหล่ เล เล เล…แชะ โต่ ท๊อ เลอ ท๊อ เลอ เส่ หมื่อ เด…แชะ โต่ ท๊อ เลอ เส่ หมื่อ เด..กือ ลอ ฉ่า บี หน่อ หมื่อ เอ…แชะ โต่ ท๊อ เลอ เส่ หมื่อ เด…กือ ลอ ฉ่า บี หน่อ หมื่อ เอ ครั้นเมื่อชาวบ้านทุกคนที่พยายามช่วยหน่อหมื่อเอก็ไม่สามารถช่วยได้ ทุกคนเห็นว่าต้องรีบไปแจ้งข่าว ให้ซูลอเลซึ่งเป็นสามีของหน่อหมื่อเอให้รีบกลับมา แต่จะทำอย่างไรถ้าจะให้คนไปคนก็เดินช้าอาจจะไม่ทันการ ทุกคนจึงลงความเห็นให้ใช้นกเขาให้ไปส่งข่าวให้สามีของหน่อหมื่อเอ ต่า กือ ต่า กา แล เต่อ เคล…เหม่อ โถ่ หลุ่ย แล เอาะ ก่อ เก ต่า กอ ต่า กา แล เต่อ ยอ …เหม่อ โถ่ หลุ่ย แล ก่อ เก ออ ซู ลอ เล แล เพาะ นา ดิ … เลอ คี อา มา เก่อ ลอ บี ซู ลอ เล แล เพาะ โข่ กล่อ … เลอ คี เก่อ ลอ กวอ ออ เหล่ เหล่ เล เล เล…ต่า กือ ต่า กา ต่า กา แล เต่อ เคล…ต่า กือ ต่า กา แล เต่อ เคล..เหม่อ โถ่ หลุ่ย แล เอาะ ก่อ เก ต่า กือ ต่า กา แล เต่อ เคล..เหม่อ โถ่ หลุ่ย แล เอาะ ก่อ เก เหล่ เหล่ เล เล เล…ซู ลอ เล แล เพาะ แล เพาะ นา ดิ…ซู ลอ เล แล เพาะ นา ดิ … เลอ คี อา มา เก่อ ลอ บี ซู ลอ เล แล เพาะ นา ดิ … เลอ คี อา มา เก่อ ลอ บี เมื่อครั้งนกเขาไปถึงหมู่บ้านที่ซูลอเลอาศัยทำมาค้าขายอยู่ ก็บินไปเกาะที่หลังคาบ้านหลังหนึ่ง และก็ ร้องว่าเส่อ เก่อ กรือ กือ…ซู ลอ เล แฮ เก แฮ เก…. เก่อ ลอ บี ซี หน่อ หมื่อ เอ ซู ลอ เล เก ลอ เก ลอ… หน่อ หมือ เอ เก่อ ลอ บี ออ เหล่ เหล่ เล เล เล…ซู ลอ เล แฮ เก แฮ เก แฮ เก…ซู ลอ เล แฮ เก แฮ เก …เก่อ ลอ บี ซี หน่อ หมื่อ เอ…ซู ลอ เล แฮ เก แฮ เก…เก่อ ลอ บี ซี หน่อ หมื่อ เอ เหล่ เหล่ เล เล เล…ซู ลอ เล เก ลอ เก ลอ เก ลอ….ซู ลอ เล เก ลอ เก ลอ….หน่อ หมือ เอ เก่อ ลอ บี ออ….ซู ลอ เล เก ลอ เก ลอ..หน่อ หมือ เอ เก่อ ลอ บี ออ.. ในช่วงเวลานั้นในหมู่บ้านแห่งนั้นก็มีงานแต่งอยู่งานหนึ่ง ซึ่งทุกคนต่างตีฆ้อง ตีกลอง และร้องรำทำ เพลงอย่างสนุกสนาน มีอยู่คนหนึ่งได้ยินเสียงนกเขาร้อง ก็บอกให้ทุกคนอยู่ร้องหยุดเล่นแล้วเงี่ยหูฟัง ทุกคนก็ หยุดละเล่นพร้อมกับตั้งใจฟังเสียงที่นกเขาร้อง ซึ่งเสียงที่ร้องมันแตกต่างจากนกเขาตัวอื่นมาก ๆ เมื่อทุกคนต่าง ใจจดใจจ่อตั้งใจฟังแล้วเสียงนกเขาร้องอีกครั้งเสียงนั้นก็เหมือนเสียงที่ฟังอยู่เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เสียงนกตัวนี้มา ส่งสัญญาณบอกให้ซูลอเลรีบกลับบ้าน เพราะในเวลานี้งูยักษ์กำลังรัดภรรยาของซูเลอเล ทุกคนเลยรีบไปบอก ให้ซูลอเลทราบ เมื่อซูลอเลทราบข่าวก็รีบเดินทางกลับไปทันที ครั้นเมื่อซูลอเลกลับไปถึงบ้านแล้วรู้สึกกังวลมาก ๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกโกรธภรรยาที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง เสียก่อนออกจากบ้านไปทำงาน เฉกเช่นนี้จะเอ่ยออกไปว่า หน่อหมื่อเอ อาหน่าเต่อโล…ซี เลอ ถ๊อ พิ แหม่ อ่า


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๔ โค๊ะ หน่อหมื่อเอ อาหน่าเต่อบวา…ซี เลอ ถ๊อ พิ แหม่ อา ตวาเหล่ เหล่ เล เล เล…หน่อหมื่อเอ อาหน่า อาหน่า เต่อโล หน่อหมื่อเอ อาหน่าเต่อโล..ซี เลอ ถ๊อ พิ แหม่ อ่า โค๊ะ…หน่อหมื่อเอ อาหน่าเต่อโล..ซี เลอ ถ๊อ พิ แหม่ อ่า โค๊ะ เหล่ เหล่ เล เล เล…หน่อหมื่อเอ อาหน่า อาหน่า เต่อบวา…หน่อหมื่อเอ อาหน่าเต่อบวา..ซี เลอ ถ๊อ พิ แหม่ อา ตวา…หน่อหมื่อเอ อาหน่าเต่อบวา…ซี เลอ ถ๊อ พิ แหม่ อา ตวา เมื่อบ่นเสร็จพลันจับจอบขึ้นมา 7 กล่อง 7 ด้าม แล้วเดินทางไปขุดภรรยาที่อาศัยอยู่ในรูของงูยักษ์ ขุดไปเรื่อย ๆจนกระทั่งจอบพังไปจนครบ 7 ด้าม ก็แลเห็นภรรยาของตนอยู่ในรังของงูยักษ์ และกำลังนั่งปั่น ฝ้ายเงินปั่นฝ้ายทองอยู่ ขู่ เก หมื่อ เอ ขู่ ตู ตู…บอ โข่ ชู นุ้ย เบะ ก่า ทุ บอ โข่ ชู นุ้ย เบะ ก่า ทุ…ก่า เลอ หมื่อ เอ อา ก่อ ปู หมื่อ เอ โอะ เลอ กือ กลอ ปู … เหล่ เก่อ ห่า เจ๊ะ เก่อ ห่า ทู หมื่อ เอ โอะ เลอ กือ ซะ … เหล่ เก่อ ห่า เจ๊ะ เก่อ ห่า ทะ เหล่ เหล่ เล เล เล…ขู่ เก หมื่อ เอ หมื่อ เอ ขู่ ตู ตู…ขู่ เก หมื่อ เอ ขู่ ตู ตู…บอ โข่ ชู นุ้ย เบะ ก่า ทุ…ขู่ เก หมื่อ เอ ขู่ ตู ตู…บอ โข่ ชู นุ้ย เบะ ก่า ทุ บอ โข่ บอ โข่ ชู … บอ โข่ ชู นุ้ย เบะ นุ้ย เบะ ก่า ทุ…บอ โข่ ชูนุ้ย เบะ ก่า ทุ…ก่า เลอ หมื่อ เอ อา ก่อ ปู..บอ โข่ ชู นุ้ย เบะ ก่า ทุ…ก่า เลอ หมื่อ เอ อา ก่อ ปู เหล่ เหล่ เล เล เล…หมื่อ เอ โอะ เลอ โอะ เลอ กือ กลอ ปู..หมื่อ เอ โอะ เลอ กือ กลอ ปู..เหล่ เก่อ ห่า เจ๊ะ เก่อ ห่า ทู…หมื่อ เอ โอะ เลอ กือ กลอ ปู … เหล่ เก่อ ห่า เจ๊ะ เก่อ ห่า ทู ซูลอเลอขุดไปเรื่อย จนจอบพังไปหมดทั้ง 7 กล่อง ก็ยังไม่สามารถขุดไม่สามารถช่วยภรรยาตัวเองได้ แล้วจึงรำพึงว่า บอ โข่ ชู นุ้ย กล๊ะ นุ้ย เดอ…ขู่ เก หมื่อ เอ เต่อ เหน่ เลอ เหล่ เหล่ เล เล เล…บอ โข่ ชู นุ้ย กล๊ะ นุ้ย กล๊ะ นุ้ย เดอ…บอ โข่ ชู นุ้ย กล๊ะ นุ้ย เดอ…ขู่ เก หมื่อ เอ เต่อ เหน่ เลอ..บอ โข่ ชู นุ้ย กล๊ะ นุ้ย เดอ… ขู่ เก หมื่อ เอ เต่อ เหน่ เลอ ตัวของหน่อหมื่อเอเลยกล่าวตอบสามีไปว่า ขู่ หมื่อ เอ แจ๊ะ แควะ แจ๊ะ แควะ…บอ เต่อ ก่า เก๊อะ ก่า เหน่ แว ขู่ หมื่อ เอ จ๊อ คว๊อ จ๊อ คว๊อ…บอ เต่อ ก่า เก๊อะ กา เหน่ ออเหล่ เหล่ เล เล เล…ขู่ หมื่อ เอ แจ๊ะ แค วะ แจ๊ะ แควะ แจ๊ะ แควะ…ขู่ หมื่อ เอ แจ๊ะ แควะ แจ๊ะ แควะ ..บอ เต่อ ก่า เก๊อะ ก่า เหน่ แว…ขู่ หมื่อ เอ แจ๊ะ แควะ แจ๊ะ แควะ…บอ เต่อ ก่า เก๊อะ ก่า เหน่ แวเหล่ เหล่ เล เล เล…ขู่ หมื่อ เอ จ๊อ คว๊อ จ๊อ คว๊อ จ๊อ คว๊อ…ขู่ หมื่อ เอ จ๊อ คว๊อ จ๊อ คว๊อ…บอ เต่อ ก่า เก๊อะ กา เหน่ ออ…ขู่ หมื่อ เอ จ๊อ คว๊อ จ๊อ คว๊อ…บอ เต่อ ก่า เก๊อะ กา เหน่ ออ เจ้างูยักษ์อยู่ในรังได้บอกกับซูลอเลว่า หากเจ้าเทเลือดที่คอหอยให้ จะปล่อยภรรยาหน่อหมื่อเอให้ ทันที ทันใดนั้นซูลอเลเลยฆ่าสุนัข ฆ่าสุกรแล้วก็เทเลือดลงไปให้ แต่เจ้างูยักษ์ดมแล้วพูดออกไปอีกว่านี่ไม่ใช่กลิ่น ที่คอหอยของเจ้า จากนั้นซูลอเลเลยล้มโค ล้มกระบือ แล้วก็เทเลือดลงไปอีก แต่เจ้างูยักษ์ดมแล้วพูดออกไปอีก ว่านี่ไม่ใช่กลิ่นที่คอหอยของเจ้า ครั้นเมื่อไม่เป็นผล ซูลอเลเลยตัดนิ้วมือตัวเอง แล้วเทเลือดลงไปให้อีก แต่เจ้างู ยักษ์ดมแล้วพูดออกไปอีกนี่เป็นเลือดที่มือเจ้าไม่ใช่กลิ่นที่คอหอยของเจ้า ข้าก็ยังไม่ปล่อยศรีภรรยาของเจ้า เมื่อ หมดหนทางไม่มีทางใดแล้วที่จะช่วยศรีภรรยา ซูลอเลเลยตัดสินใจเชือดคอตัวเลย จนตายในที่สุด ครั้นเมื่อเจ้างู ยักษ์เห็นว่าซูลอเลเสียชีวิตแล้ว จึงปล่อยภรรยาของซูลอเลในทันที ซูลอเล เดาะ ลอ จึ เนอ…ต่า ซะ เกอ ญอ เต่อ โอะ เลอ ซูลอเล เดาะ ลอ จึ ญา…ต่า ซะ เก่อ ญา เต่อ โอะ มะ เหล่ เหล่ เล เล เล…ซูลอเล เดาะ ลอ เดาะ ลอ จึ เนอ..ซูลอเล เดาะ ลอ จึ เนอ…ต่า ซะ เกอ ญอ เต่อ โอะ เลอ..ซูลอเล เดาะ ลอ จึ เนอ…ต่า ซะ เกอ ญอ เต่อ โอะ เลอ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๕ เหล่ เหล่ เล เล เล…ซูลอเล เดาะ ลอ เดาะ ลอ จึ ญา..ซูลอเล เดาะ ลอ จึ ญา…ต่า ซะ เก่อ ญา เต่อ โอะ มะ..ซูลอเล เดาะ ลอ จึ ญา…ต่า ซะ เก่อ ญา เต่อ โอะ มะ เมื่อหน่อหมื่อเอได้ขึ้นมาบนพื้นดินแล้ว จึงได้ฆ่าหมูที่ตนเองเลี้ยงไว้ แล้วทอดน้ำมันหมูใส่กระบอกไม้ไผ่ ไว้ 30 กระบอกและปิดฝากระบอกแบบหลวมๆ และก็ตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่อีก จำนวน 30 กระบอกเช่นกัน และได้ปิดฝาไว้อย่างแน่นหนา ในวันที่เสียศพ (เผา) จึงได้บอกให้ชาวบ้านเอากระบอกน้ำมันและกระบอกน้ำไป ด้วย ครั้นเมื่อถึงเวลาเผาและไฟที่เผาลุกโชติช่วงชัชวาลนั้น หน่อหมื่อเอก็โกหกทุกคนว่าให้มองที่บนหัวซิ มี เหยี่ยวตัวใหญ่บินอยู่ พอชาวบ้านทุกคนแหงนหน้าขึ้นมองเหยี่ยวบนฟ้า ณ เวลานั้นหน่อหมื่อเอก็โดดเข้ากองไฟ ที่กำลังลุกโชติช่วงทันที ชาวบ้านทุกท่านต่างเร่งรีบเพื่อที่จะดับไฟช่วย และทุกคนก็หยิบเอาแต่กระบอกไม้ไผ่ เปิดง่าย ซึ่งเป็นกระบอกน้ำมันนั้น เทลงไปเรื่อย ๆ ยิ่งเทไฟยิ่งลุก และในขณะนั้นเจ้างูยักษ์ก็มา พยายามที่จะ ช่วยหน่อหมื่อเอเช่นกัน เจ้างูยักษ์เลยโดดเข้ากองไฟแล้วเอาหางปัดไปมาเพื่อจะช่วยดับไฟ แต่ก็ไม่สามารถช่วย อะไรได้ ทำให้หน่อหมื่อเอโดนไฟเผาตายไปพร้อมกับสามีซูลอเลในกองไฟ ส่วนเจ้างูยักษ์นั้นหางโดนไฟไหม้และ ก็กลายเป็นงูหางด้วนมีสีเหมือนถ่านไฟที่กำลังไหม้จวบจนปัจจุบัน จ๊อเกอะโดะ จ๊อเกอะโดะเป็นคนขี้เกียจมาก มีหน้าที่เลี้ยงควายตัวหนึ่ง แต่เขาก็มีความฉลาดหลักแหลมเพราะความ ขี้เกียจนี่เอง เขามีวิธีเลี้ยงควายที่ไม่เหมือนใคร ใช้เชือกเส้นยาวๆ มัดควายไว้ตัวเองนอนจับปลายเชือกข้างหนึ่ง ปล่อยให้ควายหากิน ตกเย็นก็ดึงเชือกกลับมา วันหนึ่งเจ้าเมืองก็เกิดหมั่นไส้ ที่จ๊อเกอะโดะเลี้ยงควายสบายนัก จึงสั่งให้ลูกน้องไปจับควายของเขามาแล่เนื้อแบ่งกัน เมื่อจ๊อเกอะโดะดึงเชือกกลับก็เหลือแต่เชือกจึงออกตามหา และพบพวกลูกน้องของเจ้าเมือง พวกเขาเอาเนื้อไปหมดแล้ว เขาเลยพูดว่า พวกเจ้าขโมยฆ่าควายเราไม่เป็นไร เราเอาแต่หนังมันก็แล้วกันแล้วก็เผาหนังควายแบกกลับบ้านไป วันต่อมาก็หอบหนังควายทำทีว่าจะเอาไปขาย เมื่อไปถึงริมน้ำแห่งหนึ่งก็ปีนขึ้นต้นไม้รอสักพักก็มีโจรกลุ่มหนึ่งจะมาแบ่งทรัพย์สินที่ปล้นมาได้หนึ่งกระบุง จ๊อเกอะโดะก็โยนหนังควายลงมาพวกโจรก็วิ่งหนีกันหมดโดยไม่ทันดูเพราะคิดว่าเป็นหมี จ๊อเกอะโดะ จึงแบก กระบุงกลับบ้าน ข่าวเรื่องจ๊อเกอะโดะ ขายหนังควายได้เงินกระบุงหนึ่งก็ได้ไปถึงหูเจ้าเมือง เจ้าเมืองก็คิดว่า ควายตัวเดียวขายได้เงินตั้งหนึ่งกระบุงเรามีควายเป็นร้อยตัวต้องได้ร้อยกระบุงแน่ จึงสั่งให้ลูกน้องฆ่าควายร้อย ตัวแล้วเอาหนังไปขาย แต่ขายอย่างไรก็ขายไม่ได้ จึงไปต่อว่า จ๊อเกอะโดะว่าหลอกและสั่งลูกน้องให้ไปเผาบ้าน ของ จ๊อเกอะโดะ เมื่อบ้านถูกเผาแล้วเขาก็กวาดขี้เถ้าบ้านของตนได้สามกระบุง เจ้าเมืองก็ถาม เจ้าจะเอาขี้เถ้า ไปทำไมเขาบอกว่า จะเอาขี้เถ้าบ้านที่ถูกเผาไปขายเจ้าเมืองกับลูกน้องก็พากันหัวเราะเพราะยังไงขี้เถ้าก็ขาย ไม่ได้วันรุ่งขึ้น จ๊อเกอะโดะก็เอาเงินใส่ไว้ตรงส่วนบนของขี้เถ้า ทำให้ดูเหมือนว่ามีเงินสามกระบุง แล้วก็ขนไปที่ ริมน้ำ เรียกเรือลำหนึ่ง จ้างข้ามแม่น้ำ แล้วก็บอกเจ้าของเรือว่า ต้องระวังให้ดีนะ อย่าให้เรือจมน้ำเชียว ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องชดใช้ให้เราเจ้าของเรือก็รับปากและพายเรือไป เมื่อถึงกลางแม่น้ำนั่นเองน้ำเชี่ยวแรงเรือ โคลงเคลงแทบจะพลิกคว่ำ น้ำเข้าในเรือมากมาย ในที่สุดขี้เถ้าก็ละลายน้ำหมดเหลือแต่เงินติดก้นกระบุง จ๊อเกอะโดะก็แกล้งโวยวายนี่เจ้าทำเงินเราหล่นลงน้ำหมด เจ้าต้องชดใช้ตามสัญญา เจ้าของเรือจึงจำเป็นต้อง ชดใช้ให้ตามสัญญา โดยใส่เงินให้เต็มสามกระบุงแล้วจ๊อเกอะโดะก็กลับมาสร้างบ้านใหม่ ครั้งเมื่อเจ้าเมืองมาเห็นเข้า ก็แปลกใจที่จ๊อเกอะโดะขายขี้เถ้าได้เงินสามกระบุง ท่านเจ้าเมืองก็คิดบ้าน หลังเล็กนิดเดียวยังขายได้เงินสามกระบุง บ้านเราหลังใหญ่ขนาดนี้คงขายได้มากมายจึงให้ลูกน้องเผาบ้าน ตนเอง แล้วเอาขี้เถ้าไปขาย ขายอยู่หลายวันแต่ก็ขายไม่ได้ เจ้าเมืองก็โกรธ จ๊อเกอะโดะมาก สั่งให้ลูกน้องจับ จ๊อเกอะโดะใส่เข่ง ห้อยไว้ข้างทางแล้วกลับบ้านไปคิดว่าเดี๋ยวค่อยมาฆ่า ฝ่ายจ๊อเกอะโดะคิดว่าคราวนี้คงตายแน่ แล้ว ทันใดนั้นเองก็มีคนขี่ช้างผ่านมา จ๊อเกอะก็ร้อง คนขี่ช้างก็ถามว่าเจ้าเป็นอะไร ก็ท่านเจ้าเมืองจะให้เรา


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๖ แต่งงานกับลูกสาวเราไม่อยากแต่ง อีกเดียวก็คงมารับเราแล้ว คนขี่ช้างก็แอบยิ้มในใจ แล้วบอกว่าถ้าอย่างนั้น เปลี่ยนกันไหม เจ้าขี่ช้างไป ส่วนเราจะไปเป็นเขยเจ้าเมืองเอง ฝ่ายจ๊อเกอะโดะขี่ช้างขนเงินหนีไป ฝ่ายเจ้าเมือง กลับมาก็ยิงไปที่เข่งนั้นทำให้คนที่อยู่ในเข่งซึ่งคิดว่าเป็นจ๊อเกอะโดะตาย แล้วเอาไปฝังทั้งเข่ง เวลาผ่านไปหลายปีจ๊อเกอะโดะซึ่งไปอยู่ที่อื่นจนมีลูกมีเมีย ก็พาลูกเมียตนกลับมาอยู่ที่บ้านเก่าเรื่อง การกลับมาของจ๊อเกอะโดะรู้ถึงหูท่านเจ้าเมือง เจ้าเมืองก็แปลกใจว่าเป็นไปได้อย่างไรก็มันตายไปแล้วนี่ จึงไป ถามเพื่อให้รู้แจ้ง จ๊อเกอะโดะก็บอกว่าเราไปอยู่เมืองผี ผู้เฒ่าที่เมืองผีดูแลเราอย่างดีและให้เราขี่ช้างกลับมา เจ้า เมืองได้ยินก็คิดว่าถ้าตนไปเมืองผีก็ต้องได้ช้างกลับมาเป็นแน่ จึงบอกลูกเมีย แล้วให้จ๊อเกอะโดะฆ่าตน จ๊อเกอะโดะก็ฆ่าเจ้าเมืองแล้วเอาศพไปเผา หลายวันผ่านไปเมียของเจ้าเมืองก็มาถามว่าป่านนี้เจ้าเมืองไปถึง ไหนแล้วป่านนี้คงไปถึงเมืองเหม็นแล้วมั้ง หลายวันต่อมาก็มาถามอีก ป่านนี้ถึงไหนแล้วถึงเมืองกระดูกขาวแล้ว มั้ง เมียเจ้าเมืองก็กลับไปนานวันก็ยิ่งร้อนใจเจ้าเมืองยังไม่กลับมา ก็ไปถามอีก จ๊อเกอะโดะก็หัวเราะอย่างสะใจ ก็คนมันตายไปแล้วจะให้กลับมาได้อย่างไร เมียของเจ้าเมืองก็แค้นมากที่จ๊อเกอะโดะหลอกฆ่าสามีตน เมียเจ้า เมืองจึงต้มเหล้ายาพิษให้จ๊อเกอะโดะกิน เมื่อจ๊อเกอะโดะรู้ตัวว่าไม่รอดแน่แล้ว กลับบ้านให้เมียหาปลามาใส่ กะละมังแล้วเอาเท้าลงไปแช่แล้วทำให้ดูเหมือนเท้าของเขานั้นกระดิกอยู่ให้ลูกเมียนั่งล้อมวงกันปรบมือร้อง เพลง และเมื่อเมียของเจ้าเมืองมาแอบดูว่าจ๊อเกอะโดะตายหรือยังก็เห็นภาพที่จ๊อเกอะโดะสร้างขึ้นก็คิดว่าจ๊อ เกอะโดะยังไม่ตายเลยโกรธกลับบ้านไปบอกลูกลองกินเหล้ายาพิษที่ต้มให้จ๊อเกะโดะกินแล้วทั้งหมดก็ตาย น่อสะจู (นางผู้อดทน) มีเจ้าเมือง เมืองหนึ่งมีภรรยาที่แสนดีและน่ารัก ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ลูกของทั้งสองนั้นได้ถูก ฝรั่งขอไปเลี้ยงทั้ง 2 คน เพื่อให้ไปร่ำเรียน เจ้าเมืองและภรรยาจึงต้องอยู่กันเพียง 2 คน วันหนึ่งเจ้าเมืองก็คิด อยากจะลองใจภรรยาของตนเอง จึงออกอุบายขับไล่นางออกจากเมืองและให้ไปสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่นอก เมือง นางจึงต้องไปใช้ชีวิตอย่างลำบากอยู่ในป่า แต่นางก็ไม่ได้คิดท้อแท้หรือน้อยใจ และไม่ได้คิดโกรธเคืองเจ้า เมืองเลยแม้แต่น้อย และต่อมาไม่นานลูกทั้งสองของนางก็กลับมา และเจ้าเมืองก็ออกมาประกาศว่าจะแต่งงาน ใหม่ แต่จะต้องให้นางสะจูมาทำอาหารในงานแต่งงานของท่านเท่านั้น เพราะไม่มีใครทำอาหารได้อร่อยเท่านาง เรื่องที่เจ้าเมืองจะแต่งงานใหม่และจะให้นางน่อสะจูมาทำอาหารให้นั้น ได้ถึงหูของนางน่อสะจู นางจึงเดิน ทางเข้าเมืองมาเพื่อที่จะทำอาหารในงานแต่งงานของท่านเจ้าเมือง นางก็ได้ตั้งใจทำอาหารอย่างเต็มที่และเต็ม ใจเจ้าเมืองจึงรู้สึกสงสารและเห็นว่านางนั้นดีจริงจึงประกาศความจริงให้นางรู้ และบอกกับนางว่าลูกทั้งสอง กลับมาแล้ว จากนั้นเจ้าเมืองและครอบครัวจึงอยู่กันอย่างมีความสุข นิทานกะเหรี่ยง เรื่อง ต่าเลอเปลอ หน่อหมื่อเอด๊อซูลอเล


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๗ การทอผ้ากะเหรี่ยงด้วยกี่เอว การทอผ้ากะเหรี่ยงด้วยกี่เอว ครกกระเดื่อง 4. ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน 4.๑ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้ดักสัตว์ แบ่งเป็น 2 ประเภท เช่น การจับสัตว์น้ำ และเครื่องมือดักสัตว์บก ๔.๑.๑ การจับสัตว์น้ำ เรียกว่า เบอ เอาไว้จับปลาที่อยู่น้ำลึก และตุ๊ ใช้ดักปลาไหล ปลาต่าง ๆ ๔.๑.๒ เครื่องมือดักสัตว์บก เรียกว่า อุ๊หรือทือ ใช้ดักหนู กระรอก 4.๒ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเครื่องใช้ 4.2.1 “โช่โต่” หรือครกกระเดื่อง ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๘ เป็นเครื่องใช้ชนิดหนึ่งที่ชาวกะเหรี่ยงทำขึ้นมาจากท่อนไม้ หรือถ้าจะให้ดีต้องทำจากต้นสัก เพราะจะมี ความคงทนมากกว่าต้นไม้อื่น วิธีทำคือ นำท่อนไม้มาเจาะให้เป็นรู โดยใช้ขวานตอกกับเหล็กที่ใช้กับงานนี้ โดยเฉพาะ เจาะจนเป็นรูใหญ่วงกลมพอที่จะนำสิ่งของลงไปได้ “โช่โต่” ใช้สำหรับการตำ"ข้าวปุ๊ก" หรือตำ ข้าวเปลือก 4.2.2 “ก่อ แหล่” หรือกระด้ง ใช้ในเวลาที่จะนำข้าวไปหุง โดยตักข้าวสารเทลงในนี้ก่อนที่จะนำไปหุง เพื่อที่จะนำเอาสิ่ง สกปรก เศษไม้ หรือมอนข้าวออกก่อน วิธีการทำตัดไม้ไผ่นำมาผ่าแล้วปอกให้บางแล้วนำมาจับสานให้เข้าดังใน รูป 4.2.3 “เม เดอ” กล่องข้าวเหนียว ใช้สำหรับบรรจุข้าวเหนียว ทำมาจากไม้ไผ่จักสานให้เข้ากัน เก็บความร้อนได้ดีข้างในจะมี ผ้าขาวบางรองกันความชื้นอยู่ พกพาง่ายสะดวก มีลักษณะเหมือนกระติกข้าวของชาวอีสาน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๙ 4.2.4 “โช่โต่” หรือ ครก โช่โต่ ใช้สำหรับตำเครื่องปรุงเวลาทำอาหาร ซึ่งทำมาจากไม้เจาะให้เป็นวงกลม ส่วนด้าม ที่เรียกสากจะทำจาก ไม้เช่นเดียวกัน แต่ต้องเป็นช่างฝีมือของหมู่บ้านถึงจะทำได้ เพราะต้องใช้ฝีมือและเวลาใน การทำ มีลักษณะเหมือนครกทั่วไปที่ใช้ในปัจจุบัน 4.2.5 “ต่า คา” หรือ กระจาด เอาไว้เก็บของใช้ประเภท ด้าย หรือของใช้พวกครัวเรือนเช่น จำพวกกระเทียม หอม พริก ผลไม้ต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทำมาจากไม้ไผ่จับสานเช่นเดียวกันกับกระติบข้าว 4.2.6 “น่อ เบลอะ” หรือ กระบวย


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๐ กระบวย ทำมาจากกะลามะพร้าว ด้ามจะทำด้วยไม้ บางคนอาจจะมีลายที่แกะสลักเป็น ลายศิลปะของกะเหรี่ยง ใช้ตักนํ้าดื่ม 4.2.7 “ปอ เฮอ” หรือ ไห นึ่งข้าวเหนียว ทำมาจากท่อนไม้ นำมาเจาะให้เป็นรูใช้มีดแต่งให้เป็นรูปร่างลักษณะดังรูปภาพ เอาไว้ สำหรับนึ่งข้าวเหนียวหรือนึ่งขนม เช่น นึ่งขนมกล้วย หรือ ฟักทอง นึ่งของกะเหรี่ยง เป็นต้น 4.2.8 “ทีเดอ” หรือ นํ้าเต้า เป็นอุปกรณ์เก็บนํ้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้ในการบรรจุนํ้าในเวลาเดินทางไปไร่ไปสวน สะดวกใน การพกพา ทำขึ้นมาจากลูกนํ้าเต้า คือนำมาเจาะรูเอาเมล็ดข้างในออกก็บรรจุนํ้าได้ทันที 4.2.9 “ก่อแข่” หรือ ไม้แบกข้าว


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๑ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแบกข้าว และสะดวกในการแบก ทำขึ้นมาจากไม้หวาย และใช้ เชือกเป็นส่วนประกอบ เป็นอุปกรณ์ดั้งเดิมของชนเผ่ากะเหรี่ยง แต่ในปัจจุบันแทบจะไม่หลงเหลือ 4.2.10 “เม่ ชิ เคาะ” หรือ ตะข้อง เป็นอุปกรณ์ที่ทำมาจากไม้ไผ่จับสาน เวลาที่ออกไปหาปลาจะใช้มัดติดกับลำตัวเมื่อจับ ปลาได้จะเก็บไว้ในอุปกรณ์ชนิดนี้ 4.2.11 “กื๊อ” หรือ กระบุง ทำมาจากไม้ไผ่ที่มีความแข็งแรงและหนา จักสานแบบละเอียดมีความคงทนสามารถใช้ได้ นาน สมัยก่อนใช้เก็บเสื้อผ้า หรือเก็บเมล็ดข้าว ข้าวโพด เพราะมีความถี่ไม่รั่วสามารถเก็บวัสดุต่าง ๆได้อีก หลายชนิด และเวลาไปไร่ไปสวนจะใช้แบกผักกลับบ้านหรืออาจจะเรียกได้ว่าอเนกประสงค์เลยก็ว่าได้ 4.2.12 “น่อโดค่าว” หรือ ไม้กวนข้าว


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๒ ทำมาจากไม้ทั่วไป มีลักษณะโก้งและแบน ใช้สำหรับกวนข้าว ซึ่งปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนมาใช้ ช้อนหรือทัพพีเป็นส่วนใหญ่ 4.2.13 “คู” หรือ เขียง อุปกรณ์นี้ทำมาจากท่อนไม้ เหมือนเขียงทั่วไป ใช้สับเนื้อหรือผักเพื่อประกอบอาหาร 4.2.14 “กว๊ะ” หรือ ขวาน เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญชนิดหนึ่ง ที่ทำมาจากเหล็กที่ตีให้เป็นรูปร่างของขวาน มีด้ามเป็นไม้ ซึ่งสามารถใช้งานได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะผ่าฟืน สับไม้ไผ่ ตัดไม้ทำบ้านเรือน 4.2.15 “เคาะ” หรือ มีด เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน จะเริ่มตั้งแต่การทำอาหาร การสร้าง บ้านเรือน การฟันไร่ก็จำเป็นต้องใช้มีด สมัยก่อนมีการตีมีดขึ้นเอง โดยช่างฝีมือในหมู่บ้าน แต่ในปัจจุบัน สามารถหาซื้อได้ทั่วไปในท้องตลาด


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๓ ๔.๓ ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่น ๔.๓.1. การทอผ้ากระเหรี่ยงหรือทอผ้าปกาเกอะญอ ปกาเกอะญอ นิยมใช้ผ้าฝ้ายทำเสื้อ ผ้าย้อม และทอเอง ปัจจุบันใช้ด้ายสีเคมีสีฉูดฉาด มาตกแต่งปักด้วยเมล็ดพืชเป็นลวดลายสลับกับด้ายที่มัดเป็นเปลาะๆ ผู้หญิงปกาเกอะญอ ที่ยังโสดจะแต่งด้วย ผ้าทรงกระสอบสีขาว มีลวดลายแต่งตามตัวเล็กน้อย บริเวณหน้าอกมีลายแดงทำเป็นชายครุย หญิงแต่งงาน แล้วจะใส่ผ้าถุงสีแดงมีลายขวางตามตัวซิ่นเป็นเส้นสีดำ ฟ้า น้ำตาล ส่วนเสื้อท่อนบนจะแต่งตามเผ่า หญิง สวม กระโปรงยาวถึงข้อเท้า ผมเกล้ามวยไว้ข้างหลัง พันด้วยเส้นด้ายถักสีแดง ผ้าส่วนมากจะทอเอง เสื้อแขนกุดพื้น ดำ หรือน้ำเงินปนดำ ส่วนล่างของเสื้อปักลวดลายทรง เรขาคณิตด้วยด้ายแดง ปักลูกเดือย มีพู่ชายครุยบริเวณ ชายเสื้อ ชาย สวมกางเกงขายาวแบบจีน สีดำ หรือขาว สวมเสื้อสีแดงยกดอกเป็นหมู่ แขนสั้น เสื้อยาวครึ่งเข่า บางคนสวมเสื้อเชิ้ต สีขาวด้วยเสื้อชุดสีแดง บางคนสวมชุดดำ ชาวกะเหรี่ยงมีภูมิปัญญาด้านการทอผ้าจนเป็นวัฒนธรรมประจำเผ่า เป็นเอกลักษณ์ ของชาวกะเหรี่ยงที่ผู้หญิงทุกคนต้องทอผ้าให้คนในครัวเรือนใส่และเป็นองค์ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่ รุ่น เดิมเครื่องนุ่งห่ม เครื่องแต่งกายของชนเผ่า จะเป็นแบบดั้งเดิม ไม่มีลวดลาย สีสัน เช่น เสื้อเม็ดเดือย,ผ้าถุง แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมีการนำไหมประดิษฐ์มาดัดแปลงและตกแต่งลวดลายให้มี ความทันสมัย แต่ ยังคงความเป็นเอกลักษณ์และสะท้อนถึงความเชื่อของชนเผ่า ลวดลายบนผืนผ้าทอกะเหรี่ยง จะมีทั้งลวดลาย ที่มาจากการทอการทอยกดอก การปักด้วยเส้นด้ายที่หลากสีการปักด้วยลูกเดือยการปักลูกเดือยประดับ ชายเสื้อผู้หญิง จะใช้วิธีปักหลังจากเย็บผ้าประกอบเข้าไป หลังจากการทอผ้าเป็นผืนแล้ว โดยร้อยลูกเดือยเข้า กับเส้นด้ายขวางระหว่างด้ายยืน โดยให้ลูกเดือยลอยตัวอยู่บนผืนผ้า และบางครั้งมีการผสมร่วมกันระหว่างการ ปักสอยจากด้ายสลับลูกเดือย กระบวนการผลิต ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นการผลิต ประกอบด้วย จัดหาวัสดุ /อุปกรณ์ ออกแบบร่างวาดลายลูกเดือยบนกระดาษ ดำเนินการปักลูกเดือยตามร่างที่วาดไว้ ตรวจสอบผลงานและความเรียบร้อย 2. ขั้นการตลาด ได้แก่ ติดป้ายราคา อธิบายเรื่องราว ความหมายและความเชื่อของลาย ประชาสัมพันธ์ นำเสนอชิ้นงาน แนวคิดการต่อยอดจากงานปักลูกเดือยภูมิปัญญาบนผ้าทอกะเหรี่ยงสามารถนำผ้าที่ปักลูกเดือย ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆเช่นปกหนังสือที่คาดผมเข็มขัดกำไรข้อมือโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายผลิตภัณฑ์ พร้อมเรื่องราววิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติที่ถูกถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรม กะเหรี่ยงเป็นภูมิปัญญาการทอผ้ากี่เอว ด้วยเทคนิคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะชาวกะเหรี่ยงเผ่าปกา เกอะญอ ซึ่งเป็นชนเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดตาก มีการเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวด้วยการทอผ้า ที่เรียกว่า การกี่เอว ซึ่งเป็นวิธีการทอผ้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูง มีการสืบทอดมายาวนานกว่าร้อยปี การทอผ้ากะเหรี่ยงด้วยกี่เอว ผลิตภัณฑ์การทอผ้ากะเหรี่ยงด้วยกี่เอว


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๔ งานปักลูกเดือยภูมิปัญญาบนผ้าทอกะเหรี่ยง - ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่นการทอผ้ากระเหรี่ยง บ้านห้วยบง คือ นางหมึเงะแอะ (นางพัทนี บวรเดช ภักดี) - ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่นการทอผ้ากระเหรี่ยง บ้านออน ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว คือ นางวันดี เฟื่องฟู - ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่นการทอผ้ากระเหรี่ยง บ้านแม่หาด ที่ตั้ง 209 หมู่ 1 ต.เมืองแหง อ.เวียง แหง จ.เชียงใหม่ 50350 กิจกรรมกลุ่มทอผ้ากะเหรี่ยง ย้อมสีธรรมชาติ“โก่บอเอ่ะ” บ้านแม่หาด หมู่ที่ 1 ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ดังนี้ 1. เพื่อทอใช้ในครอบครัว เช่น ทอย่าม ทอเสื้อ ทอผ้าถุง ผ้าพันคอ ฯลฯ สามารถลดรายจ่ายใน ครอบครัว 2. เพื่อสร้างเป็นอาชีพเสริมในสมาชิกกลุ่มได้ 3. เพื่อเป็นที่ศึกษาเรียนรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้านของชุมชนบ้านแม่หาด 4. เพื่อเป็นการอนุรักษ์ผ้าทอกะเหรี่ยง ภูมิปัญญาของการทอผ้ากี่เอว ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของชาว กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) บ้านแม่หาด เป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมและถูกถ่ายทอดสั่งสอนมาจากบรรพบุรุษสืบต่อ กันมาหลายชั่วอายุคน โดยได้รับการถ่ายทอดความรู้ทักษะฝีมือการทอผ้ามาจากผู้เป็นแม่หรือผู้ที่ชำนาญตั้งแต่ ยังเป็นเด็ก/เยาวชน ที่ตั้ง 209 หมู่ 1 ต.เมืองแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ 50350 - ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่นการทอผ้ากระเหรี่ยง บ้านนามน อำเภอเวียงแหง คือ นางใสผัด ชอแคะ เชอร์


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๕ พิธีทำขวัญให้ควาย หรือกี่ปิ๊หน่าจึ๊ สู่ขอ (เอาะ เฆ) พิธีมัดมือทำขวัญ 5. ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ประเพณี วัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยง แม้จะนับถือศาสนาต่างกันแต่พื้นฐานความคิด และปรัชญาว่าด้วยคนกับธรรมชาติต้องอยู่ร่วมกัน พึ่งพาต่อกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยและยังต้องเคารพยำเกรง ต่อธรรมชาติ นับว่ายังฝังรากลึกอยู่ในสายเลือด ๑. การเกิด การตั้งครรภ์ เมื่อสตรีปกาเกอะญอตั้งครรภ์ ก็จะต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวังตังอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้ คลอดบุตรอยากเป็นอันตรายแก่แม่และเด็ก อาหารเป็น เรื่องสำคัญ หญิงมีครรภ์ต้องไม่รับประทานอาหาร ที่ไม่คุ้นเคยหรือที่คนอื่นทำมาขาย การดื่มเหล้า เชื่อว่าจะทำให้แท้ง และการกินขนุนจะทำให้ทารก ในครรภ์ เกิดมาเป็นโรงผิวหนัง นอกจากนี้นั้นยังห้ามหญิงมีครรภ์ไปงานศพ เพราะวิญญาณผู้ตาย ไปสู่โลกได้ง่ายๆ หาก เผอิญไปเห็นศพหรือคนตายเข้า ก็จะต้องทำพิธีเรียกขวัญกันอย่างด่วน และคนในหมู่บ้านก็จะช่วยกัน ระมัดระวังมิให้เกิดเหตุการณ์ใด ๆ มารังควานหญิงมีครรภ์ เช่นไม่ล้มต้นไม้ขวางทางเดินไว้ เพราะจะทำให้ผู้ไป พบคลอดบุตรยาก ต้องปัดรังควานหรือขอขมากันด้วยไก่หนึ่งตัว การดูแลรักษาสุขภาพของหญิงกะเหรี่ยงตั้งครรภ์ ในด้านการดูแลสุขภาพให้มีความแข็งแรงนั้นได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากบรรพบุรุษเดิม เช่นเดียวกับเผ่าอื่น ๆ คือเริ่มตั้งแต่เด็กที่อยู่ในท้องมารดาจนถึงวัยชราภาพ ซึ่งจะเห็นได้จากจะมีข้อห้ามและข้อ พึงปฏิบัติทั้งบิดาและมารดาจะมีข้อห้ามและข้อปฏิบัติดังนี้ ข้อห้ามมารดาช่วงตั้งครรภ์ - ห้ามกินตัวอ่อนของตัวต่อ - ห้ามกินอาหารที่มียาง เช่น เผือก ขนุน ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๖ - ห้ามกินเนื้อหมูป่าและสัตว์ที่ถูกเสือกัดตาย - ห้ามนอนหลับมากเกินไปและทำงานหนักเกินไป ข้อพึงปฏิบัติสำหรับบิดาและมารดา มารดาจะต้องกินผักบำรุงร่างกาย รักษาความสะอาด ทำงานให้พอเหมาะ และรักษาอารมณ์ ให้ดีอยู่เสมอ สำหรับบิดาให้รักษาอารมณ์ จิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ และจัดอาหารให้เหมาะสมแก่ภรรยา การ คลอดตามปกติหญิงกะเหรี่ยงจะให้กำเนิดทารก ในบ้านของตนเองโดยมีสามี มารดา และญาติอื่น ๆ คอย ช่วยเหลือ เวลาคลอดจะนั่งชันเข่าบนพื้นโดยโหนผ้าซึ่งผูกห้อยลงมาจากขื่อ ช่วยนวดดันทารกออกจากครรภ์ ขณะที่เธอเบ่งอยู่นั้น หญิงกะเหรี่ยงกลัวการคลอดบุตรยาก เพราะรู้กันอยู่ว่าอันตราย การตายของเด็กจะสูง เมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติครอบครัวมักจะตามหมอตำแยมาค้นหาสาเหตุ หากระบุว่าเป็นภูตผีตนใดก็จะทำการ เซ่นไหว้กันโดยด่วน หลังคลอด เมื่อคลอดเรียบร้อยแล้ว มารดาก็จะต้องนั่งอยู่ไฟสาววัน ก่อนจะออกจากบ้านได้เธอจะนอน ราบลงไม่ได้ เพราะเชื่อกันว่าจะทำให้โลหิตขึ้นสมองตาย บางรายก็จะนั่งกอดหินซึ่งเผาไฟร้อนแล้วห่อผ้าแนบ ท้องไว้ ระหว่างนี้อาหารที่กินได้ คือ ข้าวกับนํ้าเปล่าหรือข้าวต้มเท่านั้น หลังคลอดจะทำพิธีรับขวัญแม่และเด็ก โดยตามผู้เชี่ยวชาญมาประกอบพิธีสวดทำนํ้ามนต์รดทั่วตัวมารดา เสร็จแล้วสามีหรือบิดาของเธอจะทำพิธี เรียกขวัญให้มารดาและเด็ก วันหลังคลอดมารดาจะเคี้ยวข้าวผสมกับเกลือ และนํ้าจนละเอียดแล้วป้อนให้เด็ก เป็นพิธี เมื่อสายสะดือเด็กหลุดก็จะทำพิธีผูกข้อมือเด็ก และผูกคอด้วยสร้อยกรวดเป็นการอวยพรให้แข็งแรงโต เร็ว เมื่อเด็กครบเดือนจึงจะทำพิธีตั้งชื่อ พ่อแม่จะผูกข้อมือเด็กและเจาะหู เพื่อแสดงว่าทารกนี้เป็นคนมิใช่วานร แล้วกล่าว “บัดนี้เจ้าเป็นคนแล้ว” หากเด็กล้มป่วยลงหลังจากคลอดออกมาเพียงไม่กี่คนวัน พ่อแม่ก็จะไปที่ฝัง รกเด็กแล้วเรียกขวัญให้กลับเข้าร่าง หากป่วยเมื่ออายุมากกว่าสองสัปดาห์ ขึ้นไปก็จะต้องเซ่นผีด้วยไก่เพื่อซื้อ วิญญาณเด็ก เมื่อขึ้นบ้านก็จะเคาะบันไดล่วงหน้าขึ้นไป แล้วรีบเข้าบ้านเพื่อดูให้แน่ใจว่าวิญญาณได้เข้าร่างเด็ก แล้ว เมื่อทารกเกิด สายรกที่ตัดออกไปแล้วก็จะบรรจุลงกระบอกไม้ไผ่ปิดฝาด้วยเศษผ้า แล้วนำไป ผูกไว้ตามต้นไม้ในป่ารอบหมู่บ้าน ต้นไม้ต้นนั้นเรียกชื่อว่า “เดปอทู่” แปลว่าต้นสายรก และต้นไม้ต้นนี้จะห้าม ตัดโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าขวัญของทารกจะอาศัยอยู่ที่นั่น หากตัดทิ้งจะทำให้ขวัญของทารกหนีไปและทำให้ ทารกล้มป่วยลง หากว่าผู้ใดผู้หนึ่งตัดต้นไม้ต้นนี้โดยเจตนาหรือไม่เจตนา จะต้องถูกปรับด้วยไก่หนึ่งตัว พ่อแม่ก็ นำไก่ตัวนี้ไปทำพิธีเรียกขวัญทารกกลับคืนมา วันที่ไปผูกสายทารกติดกับต้นไม้นั้นเพื่อนบ้านทุกคนจะไม่ออกไปทำงาน ซึ่งถือว่าเป็นข้อห้าม เรียกข้อห้ามนี้ว่า “ดึต่าเบล” เป็นกฎหมายประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต เมื่อถึงเวลาขั้วสายรกหลุด ออกไป ผู้เป็นพ่อก็จะไปทำพิธีผูกมือเรียกขวัญทารก โดยไปทำพิธีที่ใต้ต้นไม้ที่ผูกติดสายทารกต้นนั้น เพื่อให้ ขวัญกลับมาอยู่ที่บ้าน เรียกพิธีผูกขวัญนี้ว่า “กี่เบลจือ” คือพิธีผูกขวัญครั้งแรกของบุคคลผู้นี้ที่เกิดมาลืมตาอยู่ บนโลก คนกะเหรี่ยงเชื่อว่าขวัญของคนมีอยู่ 37 ขวัญที่อยู่ในรูปของสัตว์ชนิดต่าง ๆ การผูกขวัญครั้งแรกของ ทารกนี้ก็จะทำให้ทารกได้รับขวัญที่ 37 ขวัญนี้โดยครบถ้วน ซึ่งได้แก่ 1.ขวัญหัวใจ 2. ขวัญมือซ้าย 3.ขวัญมือขวา 4.ขวัญเท้าซ้าย 5.ขวัญเท้าขวา 6.ขวัญหอย 7. ขวัญปู 8.ขวัญปลา 9.ขวัญเขียด 10.ขวัญแย้ 11.ขวัญจิ้งหรีด 12.ขวัญตั้กแตน 13. ขวัญตุ๊กแก 14.ขวัญแมงมุม 15.ขวัญนก 16.ขวัญหนู 17.ขวัญชะนี 18.ขวัญหมูป่า 19.ขวัญไก่ป่า 20.ขวัญเก่ง 21.ขวัญกวาง 22.ขวัญสิงห์ 23.ขวัญเสือ 24.ขวัญช้าง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๗ 25.ขวัญข้าว 26.ขวัญงู 27.ขวัญตุ่น 28.ขวัญเม่น 29.ขวัญเลียงผา 30.ขวัญแรด 31.ขวัญเต่า 32.ขวัญตะกวด 33.ขวัญกุ้ง 34.ขวัญอีเห็น 35.ขวัญกระทิง 36.ขวัญต่อ 37.ขวัญนกแก๊กนกแกง เดปอทู่ ๒. การตาย การเตรียมศพ ในหมู่บ้านหากมีผู้คนในหมู่บ้านเสียชีวิตลง เพื่อนบ้านทุกคนจะหยุดงานเพราะถือเป็นข้อห้าม ซึ่งเรียกว่า “ดึปกาซะลอ หม่า” คือข้อห้ามสำหรับวิญญาณที่หลุดหายไป ทุกคนในหมู่บ้านจะหยุดทำงาน เพื่อที่จะมาในงานของผู้ตาย ขั้นแรกญาติพี่น้องก็จะอาบน้ำศพ และนำเสื้อผ้าใหม่ๆ มาสวมใส่ให้เสร็จแล้วก็จะ ห่อศพด้วยเสื้อสีขาว และเตรียมสัมภาระให้แก่ศพ หลังจากห่อศพแล้วจะหาไม้ไผ่หนึ่งท่อนยาวนำมาผ่า ออกเป็น 4 ซีกเท่าๆ กัน ครึ่งท่อนแล้วง่ามลงบนศพเพื่อยึดศพให้มั่น เรียกไม้ไผ่ท่อนนี้ว่า ไม้ง่ามศพ จากนั้นก็ จะนำเสื้อผ้า ของศพที่ญาติพี่น้องมอบให้ แขวนไว้ที่ปลายท่อนไม้ไผ่ เสื้อผ้า และข้าวของของศพนี้เรียกว่า “ปวา ซี อ่ะ กื่อ” มีความหมายว่า “สัมภาระศพ” เป้าหมายการเตรียมสัมภาระของศพนี้ ก็เพื่อทำความร่มรื่น ให้ศพ ขณะเดินทางกลับไปยังโลกหน้า


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๘ การขับลำนำ (อึทาปวาซี) ตกเย็นจะเป็นเวลาแห่งการขับลำนำส่งวิญญาณศพ โดยชายหนุ่มและพ่อบ้านจะขึ้นขับลำนำที่ ขับในช่วงนี้ จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับคนตาย ลำนำสำหรับศพนี้ผู้ขับจำกัดเฉพาะแต่ผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงจะขับลำนำ ไม่ได้ ถือเป็นสิ่งต้องห้าม ผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง และเสียชีวิตลงก็จะมีการขับลำนำวิญญาณเช่นเดียวกัน แต่ผู้มา ขับลำนำจะเป็นเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ลำนำที่ขับมีชื่อเรียกว่า “ทาโหร่ควา” ผู้เสียชีวิตที่เป็นวัยหนุ่มสาวจะมีการ สร้างกระต๊อบหลังเล็กที่กิ่วดอย ใกล้ ๆ หมู่บ้าน และนำเสื้อผ้า ข้าวของไปวางไว้บนกระต๊อบหลังนั้น สิ่งของ เหล่านี้เรียกว่า “เสอะเล” ผู้เสียชีวิตกลุ่มนี้มีลำนำส่งวิญญาณโดยเฉพาะเช่นกัน ซึ่งเรียกว่า “ทาเยอลอ” แปลว่า “ลำนำ คนึงหา” พิธีส่งสัมภาระและข้าวของให้ศพ (เอ๊าะโล) ก่อนที่จะปลงศพจะมีการเตรียมสัมภาระและข้าวของให้ศพ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยจำเป็นในการ ดำเนินงาน ได้แก่ ย่าม มีด หม้อ ชาม ถ้วย ไม้ขีดไฟ เชื้อมัน เชื้อข้าว กล้ากล้วย ยาสูบ หมาก พลู เป็นต้น ข้าวของสัมภาระทั้งหมดจะบรรจุลงในกระบุงใบหนึ่ง เมื่อได้เวลาปลงศพ กระบุงใบนี้ก็จะถูกเอาไปด้วย ปลงศพ เสร็จแล้วจะนำกระบุงใบนี้ไปวางไว้ใต้ต้นไม้ จากนั้นนำขอเกี่ยวคอเสื้อผู้ทำพิธีและดึงกลับบ้านพอเป็นพิธี การ ทำพิธีส่งสัมภาระ และข้าวของให้ศพนี้ มีความหมายว่า ในโลกหน้าวิญญาณของศพจะต้องกลับไปทำมาหากิน เช่นเดียวกับชีวิตในโลกนี้ จึงต้องมีการมอบสัมภาระและข้าวของให้ มิเช่นนั้นวิญญาณจะมีความยากลำบาก ไม่มีข้าวของ และเครื่องใช้ในการทำมาหากิน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๙ ข้อห้ามหลังการปลงศพ หลังจากปลงศพแล้วจะมีข้อห้ามในประเพณี คือ ไม่ให้คนในหมู่บ้านออกไปทำมาหากินนอกบ้าน ส่วนจะห้ามกี่วันนั้นขึ้นอยู่กับว่าศพนั้นมีการเก็บไว้กี่วัน หากเก็บไว้หนึ่งวันก็จะห้ามออกไปทำงาน 1 วัน ถ้าเก็บ 3 วันก็จะห้าม 3 วัน เป็นต้น ข้อห้ามนี้ เรียกว่า “ดึนาเกอะเกราะ” หมายความว่า “ข้อห้ามผีผู้ตาย” เพราะ กะเหรี่ยง เชื่อว่าหลังจากปลงศพ ผีของผู้ตายยังเดินไปมาภายในบริเวณหมู่บ้านอยู่ จนกว่าจะพ้นจำนวนวันที่ เก็บศพไว้ เพราะฉะนั้นหากผู้ใดออกนอกหมู่บ้านในช่วงนี้ ผีผู้ตายอาจเห็นเข้าและจับขวัญของผู้นั้นไป ซึ่งจะทำ ให้ผู้นั้นล้มป่วยลงได้ เนื่องจากปัจจุบันสังคมได้เปลี่ยนไป จากที่เคยทำพิธีเเบบดั้งเดิม จึงหาดูงานศพแบบดั้งเดิมได้ ยากมากขึ้น จะเห็นได้อย่างง่ายๆ เช่น เสื่อตีข้าวที่ใช้ห่อศพได้มีการเปลี่ยนมาใช้เป็นโลงศพเเทน เเละพิธีการ ประกอบทางศาสนาอย่างการขับลำนำ หรือ "อึทาปวาซี" เเทบจะไม่ทำกันคนรุ่นหลัง จะมีส่วนน้อยมากที่จะให้ ความสำคัญตรงจุดนี้ เนื่องจากการทำพิธีแบบดั้งเดิมต้องใช้เวลานานเป็นข้ามคืนข้ามวัน ในสังคมที่คนปัจจุบัน ต้องเร่งรีบ จึงมีการย่นระยะเวลาในจุดนี้ ทำให้ส่วนสำคัญของพิธีได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบใหม่ คือ รวดเร็ว และลดขั้นตอนของบางอย่างไป ๓. การเจ็บป่วย กะเหรี่ยง หากเกิดความเจ็บป่วยขึ้นแก่สมาชิกในหมู่บ้าน “หมอพื้นบ้าน” จะทำหน้าที่รักษา ความเจ็บป่วย โดยอาศัยความรู้ที่ได้รับสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ แบ่งได้ 5 ประเภทคือ 1. หมอคาถา (สะหระตะอู) ใช้เวทมนตร์คาถามในการรักษา อาจใช้เวทมนตร์เป่าบริเวณที่ เจ็บปวด หรือเสกเป่าน้ำ (น้ำมนต์) ให้คนป่วยดื่ม หรือใช้เวทมนตร์ขับไล่ผีร้ายออกไปจากร่างกายผู้เจ็บป่วย โดยหมอคาถามักมีข้อห้ามหลายอย่างในการดำรงชีวิต 2. หมอทำนายโรค (สะหระกาตา) ใช้วิธีการทำนายเพื่อหาสาเหตุของความเจ็บป่วย โดยใช้ อุปกรณ์เช่น กระดูกไก่ ข้าวสาร ใบไม้ ในการทำนาย หมอทำนายจะมีการฝึกหัดอย่างละเอียด เป็นผู้มีความ น่าเชื่อถือ และต้องผ่านบททดสอบความอดทน หมอทำนายมักมีคาถาและข้อห้ามประจำตัว 3. หมอตำแย (สะหระกว่าฮี) ทำหน้าที่ดูแลรักษาหญิงมีครรภ์ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึงคลอดบุตร หมอตำแยจะจัดการการคลอดบุตรทุกอย่าง และคอยแนะนำการดูแลสุขภาพของแม่และเด็ก ยาสมุนไพรต้มอาบของมารดาหลังคลอดลูกได้สามวัน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๐ 4. หมอกระดูก (สะหระต่อเอ่ะเกปาครึย) มีความชำนาญในการเจ็บป่วยที่เกิดจากกระดูก โดยใช้ การรักษาด้วยคาถาอาคมเช็ดเป่า ดึงให้เข้าที่ ใช้ผ้าพันด้วยไม้ไผ่สับฟากไม่ให้กระดูกเคลื่อน และรักษาด้วยการ พอกทาสมุนไพร หมอกระดูกจะต้องมีความเข้าใจโครงสร้าง สรีระของเส้นประสาทและกระดูกในร่างกายทุก ส่วน 5. หมอสมุนไพร (สะหระเตอะซีกะเจ่อ) มีความรู้ในเรื่องพืชและสิ่งของจากธรรมชาติมาเป็นยา รักษาโรค เรียกว่า "ยาสมุนไพร" โดยใช้ส่วนต่างๆ ของพืชมาใช้รักษาโรคแต่ละอย่าง มีกรรมวิธีการนำมารักษา ที่แตกต่างกัน เช่น นำมาต้มน้ำดื่ม บดเป็นผง โดยความรู้ทางสมุนไพรสามารถเรียนรู้ในระดับพื้นฐานได้ทุก ครัวเรือน แต่หากเป็นเชิงลึกต้องเรียนรู้จากผู้รู้อย่างเป็นระบบ หมอสมุนไพรจะต้องมีความอดทนในการ แสวงหาตัวยา และการจดจำในชื่อลักษณะ สรรพคุณของสมุนไพร มีความเสียสละ นอกจากเรียนกับครูแล้วยัง ต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือเกิดจากเทพสังหรณ์ การฝัน ที่เรียกว่า "ยาผีบอก" จรรยาบรรณของหมอพื้นบ้าน โดยทั่วไปแล้ว จะไม่มีการเรียกร้องค่ารักษา โดยเมื่อผู้รับการรักษาหายจากการเจ็บป่วยแล้วจะนำสิ่งของมา มอบให้เพื่อตอบแทน ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม มีความเสียสละ มีน้ำใจโอบอ้อมอารี มีเมตตา ไม่เห็นแก่ค่าจ้าง และ มักมีข้อห้ามที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด สาเหตุความเจ็บป่วย ตามคติความเชื่อของกะเหรี่ยง เชื่อว่าความเจ็บป่วยล้วนแล้วเป็น อำนาจเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งเร้นลับ จะต้องอาศัยผู้รู้ทำนายหาสาเหตุ และวิธีการรักษา เชื่อว่าความเจ็บป่วย ที่เกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ เพราะละเมิดอำนาจของผี วิญญาณ หรือเรียกว่า "ผิดผี (ตะมือล่อออ)" เชื่อว่า ผีจะลงโทษผู้ที่กระทำผิด ฝ่าฝืนประเพณีชนเผ่า กะเหรี่ยงเชื่อว่าผีมี 2 ประเภทคือ 1. ผีดี คือผีบรรพบุรุษ ผีเรือนสายมารดา คอยปกป้องสมาชิกในครอบครัว 2. ผีร้าย คือผีที่อยู่นอกบ้านตามป่าเขา ลำห้วย ลำน้ำ ต้นไม้ใหญ่ คอยทำร้ายคนที่ผ่านไปมา ทำร้ายให้เกิดความเจ็บป่วยแก่คนที่ละเมิดหรือทำให้ไม่พอใจ ความเจ็บป่วยที่เกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ คือ 1. เกิดจากการละเมิดอำนาจของผีเจ้าที่ กะเหรี่ยงมีการจัดสรรพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือพื้นที่ทำ การเกษตร (ดูหละ) และพื้นที่หวงห้ามเป็นพื้นที่สิ่งศักดิ์สิทธิ (ดูตะ) ห้ามเข้าไปรบกวนและลบหลู่ ห้ามตัดไม้ หรือบุกรุกเข้าไป ห้ามล่าสัตว์ เช่น ป่าต้นน้ำ ป่าสะดือเด็ก (ใช้เป็นที่นำรกและสะดือทารกใส่กระบอกมาแขวน ต้นไม้ไว้ เชื่อว่าขวัญเด็กผูกพันกับป่า) นอกจากนี้มีป่าหวงห้ามที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น ทางเข้าออกของสัตว์และ ภูติผี ซึ่งสถานที่เหล่านี้มีผีคอยครอบครอง หากใครล่วงละเมิดจะถูกผีร้ายลงโทษ 2. เกิดจากขวัญ (เกอล่า) กะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกคนจะมีขวัญประจำตัว ขวัญที่สำคัญจะอยู่ที่ศีรษะ คอ หู และข้อมือทั้งสอง บางครั้งขวัญจะออกจากร่างไปท่องเที่ยวหาทางกลับไม่ถูก หรือถูกผีร้ายจับไว้ ทำให้เกิด ความเจ็บป่วย ต้องทำพิธีผูกข้อมือเรียกขวัญ 3. เกิดจากคุณไสย เกิดขึ้นในกรณีเกิดการทะเลาะเกลียดชัง มีการให้ผู้ทรงคาถาอาคมเสกสิ่งของ บางอย่างเข้าท้องคู่อริ ทำให้เกิดการเจ็บป่วย การถูกคุณไสย เรียกว่า “ตู้” นอกจากนี้ความเจ็บป่วยอาจเกิดจากธรรรมชาติ และความเป็นไปตามลักษณะสภาพอากาศ คือ 1. อากาศหรือฤดูกาลเปลี่ยนแปลง 2. สิ่งที่เป็นพิษตามธรรมชาติ 3. อาหารเป็นพิษ 4. อาหารแสลงโรค


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๑ กระบวนการวินิจฉัยโรค กะเหรี่ยงจะใช้การทำนายเพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วย โดยมีอยู่หลายวิธี เช่น ทำนายด้วยกระดูกไก่ โดยใช้กระดูกโคนปีกและกระดูกหน้าแข้งไก่ ทำนายตามลักษณะของการปักไม้ ทำนาย ด้วยไข่ ด้วยข้าวสาร และใบไม้ก่อนทำนายจะมีการซักถามการกระทำที่ผ่านมาของผู้ป่วย หากสอบถามแล้วไม่ ปรากฎพบว่าทำผิดอะไร อาจจะมีการตรวจในเรื่องขวัญ ที่เรียกว่า "ขวัญหาย" หรือตรวจสอบสาเหตุที่เกิดจาก ธรรมชาติ วิธีการรักษาพยาบาล สามารถสรุปการรักษาได้ 3 วิธีคือ 1. การประกอบพิธีกรรม เมื่อตรวจสอบสาเหตุการเกิดโรคจากหมอทำนายแล้ว ก็จะมีการทำพิธีเรียก ขวัญ พิธีเซ่นไหว้ตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อขอขมาในสิ่งที่ล่วงเกิน ซึ่งขึ้นอยู่กับคำแนะนำของหมอผีและอาการ เจ็บป่วย การรักษาด้วยพิธีกรรมอาจจะพิสูจน์ไม่ได้ แต่อาจจะมีผลต่อจิตใจผู้ป่วยในด้านขวัญกำลังใจในการ ดำรงชีวิต 2. รักษาด้วยคาถาอาคม หมอคาถาจะใช้เวทมนตร์คาถาในการรักษาความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูก คุณไสย ขับไล่หรือบังคับให้ของที่ถูกเสกเข้าสู่ร่างกายออกไป ถ้าหากเป็นการรักษาโรคกระดูกจะมีการเสกคาถา เป่าควบคู่กับการใช้ยาสมุนไพร 3. รักษาด้วยยาสมุนไพร เป็นการรักษาโรคที่เกิดตามธรรมชาติโดยอาศัยยาสมุนไพร ยาสมุนไพร ที่บำบัดอาการเจ็บปวดได้ดีคือ ฝิ่น โดยจะมีหมอยาคอยจัดหา ปรุงให้ แต่สมุนไพรบางอย่างก็มีปลูกไว้รอบบ้าน รักษาโรคบางอย่างได้ การดูแลในระยะพักฟื้น เมื่อสมาชิกในครอบครัวหรือชุมชนเกิดความเจ็บป่วย กลุ่มเครือ ญาติจะมาร่วมประกอบพิธี หายาสมุนไพร ให้คำแนะนำ เยี่ยมเยือนอย่างใกล้ชิด เมื่อหายป่วยทุกคนจะมาร่วม ยินดี อวยพรในพิธีผูกข้อมือ เพราะถือว่าหากสาหตุเกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติจะส่งผลไปยังสังคมโดยรวม ด้วย ๔. การบวช หากเป็นกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธก็จะสามารถบวชเข้าสู่พิธีกรรมทางศาสนาได้ตามปกติ ๕. การสู่ขวัญ ประเพณีผูกข้อมือเดือนเก้า (ลาขุ) เป็นประเพณียิ่งใหญ่เสริมสิริมงคลประจำเผ่าของชาวกะเหรี่ยงจัดขึ้นเพื่อธำรงรักษาประเพณี ของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมส่งเสริมประเพณีท้องถิ่นที่ปฏิบัติ สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี ชาวกะเหรี่ยงมีความเชื่อว่าทุกชีวิตมี “ขวัญ” เป็นส่วนประกอบสำคัญทางจิตวิญญาณ แต่การที่ต้องจากบ้านมาไกลเพื่อทำงาน การประสบโรคภัยไข้เจ็บ ความคิดถึงญาติพี่น้อง หรืออะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาจทำให้ขวัญที่มีนั้นหายไป จึงต้องมีการทำพิธีเพื่อเรียก ขวัญและกำลังใจให้กลับคืนมา เดิมพิธีจัดภายในหมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางป่า แต่ด้วยสภาพสังคมและชีวิตใน ปัจจุบันที่ต้องระหกระเหินจากบ้านและภูมิลำเนาทำให้ไม่สามารถกระทำได้ นี่คือสาเหตุที่ต้องจัดพิธีผูกข้อมือ เรียกขวัญ เพื่อให้เป็นสถานที่พบปะเพื่อนฝูงได้พูดคุยภาษาเดียวกัน ช่วยให้หายคิดถึงบ้านและได้รับรู้ถึงการมี ตัวจน ในการผูกข้อมือจะมีบายศรีสู่ขวัญซึ่งประกอบด้วย ข้าวเหนียว ข้าวต้ม ขนม ผลไม้ และด้ายผูก ข้อมือ จากนั้นผู้ใหญ่ในหมู่บ้านจะมารวมตัวกัน (มักจัดกิจกรรมภายในวัด) เด็ก เยาวชน และคนในชุมชนจะ มาร่วมงานผูกข้อมือ รับศีลรับพรจากพระสงฆ์และทำพิธีการผูกข้อมือ อีกทั้งยังมีการแสดงพื้นเมืองกะเหรี่ยง การละเล่นพื้นบ้านต่าง ๆ ร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน มีการพบปะพูดคุยกันสร้างความผูกพันและความ สามัคคีแก่คนในชุมชน เมื่อถึงเวลาพิธีกรรม หนุ่มสาว 7 คู่ ค่อยๆ เดินเข้าสู่งานบายศรีสู่ขวัญบรรจงถือถาดไม้


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๒ ที่บรรจุสิ่งมงคลที่เป็นตัวแทนแห่งความสามัคคีและสันติสุข ได้แก่ จานไม้/ถาดไม้ (สอนให้ลูกหลานเชื่อฟังพ่อ แม่ปู่ย่าตายายหรือผู้นำ), ไม้พายข้าว (อุปกรณ์ทำอาหารใช้เคาะเรียกขวัญ) ด้ายสีขาวและแดง (สีประจำกลุ่ม ชาติพันธุ์ แสดงถึงความรักใคร่ปรองดอง) ข้าวสุก (ความสามัคคีเป็นกลุ่มก้อน) ข้าวต้มมัด (ความร่วมมือ ไม่ แตกแยก) น้ำ (ความร่มเย็น) กล้วย (ความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน) อ้อย (สัมพันธไมตรีอันดี) และ ใบไม้/ดอกไม้ (ความเจริญเติบโต) หลังจากนั้นผู้สูงอายุซึ่งเป็นผู้ที่ดีพร้อมทั้งความประพฤติและปฏิบัติตน มีครอบครัวที่ดีเป็นที่ยกย่องจากชาวบ้านเป็นผู้ทำพิธีโดยจะเคาะไม้พายที่ถาดไม้พร้อมกับสวดภาวนาเรียก ขวัญเป็นภาษากะเหรี่ยง (กะหล่า) จากนั้นเลือกของ 5 อย่างวางในมือและนำด้ายขาวและแดงผูกข้อมือ 3 รอบ พร้อมพูดอวยพรเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับตัว ปราศจากทุกข์โศกโรคร้าย พบแต่สิ่งที่ดี มีทรัพย์สินเงิน ทอง อยู่เย็นเป็นสุข จากนั้นให้รับประทานอาหารในถาดที่นำมาทำพิธีเป็นอันเสร็จสิ้น ซึ่งการผูกข้อมือนั้น สามารถกระทำให้กับผู้อาวุโสน้อยกว่า หรือผู้ที่อายุเท่ากัน พิธีมัดมือทำขวัญ เริ่มด้วยพ่อแม่เอาตะกร้าใส่สิ่งของต่าง ๆ เช่น เสื้อ ผ้าถุง ผ้าโพกหัวของแม่บ้าน ซึ่งเป็นของใหม่ ไก่ เหล้า ข้าวเหนียวต้ม เป็นต้น ไปวางไว้ที่หัวบันไดข้างหนึ่ง มือหนึ่งจับไก่ 2 ตัว เป็นไก่ตัวผู้กับตัวเมียไว้ให้ อยู่นิ่งๆ อีกมือข้างหนึ่งใช้ไม้คนหม้อข้าวเคาะหัวบันได พร้อมทั้งสวดมนต์ เมื่อเสร็จแล้วก็ไปอีกหัวหนึ่งบันได จากนั้นยกตะกร้าเข้ามาไปในบ้าน เคาะและสวดมนต์ตรงด้านหัวนอนของพ่อบ้านและแม่บ้าน สวดเสร็จก็ฆ่า ไก่เอามาลวก ถอนขนออกแล้วเอาไปย่างไฟให้หอมเพื่อนำไปทำกับข้าว เมื่อทำกับข้าวเสร็จก็จัดอาหารลงบน ขันโตก อาหารมีข้าว กับข้าว ข้าวปุ๊ก ข้าวเหนียวต้มที่แกะออกแล้วและเหล้า 1 ถ้วย จากนั้นเอาเส้นฝ้ายที่มี ความยาวประมาณ 14-15 นิ้ว มาวางพาดบนขันโตกให้ถูกข้าวแกงและขนม เส้นฝ้ายนี้มีจำนวนเท่าสมาชิก ของครอบครัว จากนั้นพ่อบ้านทำพิธีด้วยการเอาไม้คนหม้อข้าวเคาะขันโตก แล้วสวดมนต์เรียกขวัญมากิน อาหาร พอสวดเสร็จ พ่อบ้านหรือแม่บ้านเอาด้ายขวัญผูกข้อมือลูกทุกคน จากลูกคนเล็กไปยังลูกคนโต พร้อม ทั้งสวดมนต์เรียกขวัญให้อยู่กับตัว เมื่อผูกเสร็จพ่อบ้านกับแม่บ้านจะผลัดกันผูกมือแก่กันและกัน พร้อมทั้งสวด มนต์ให้แก่กัน จากนั้นพ่อบ้านจะยกถ้วยเหล้าขึ้นจบเทลงไปพอเป็นพิธี แล้วสวดมนต์ให้ผีลงมาดื่มสุราถ้วยนั้น และขอให้ปกป้องดูแลรักษาโรคภัยให้แก่สมาชิกในครอบครัว ทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลการทำมาหากิน สะดวก ปลูกพืชได้ผลดี พอสวดเสร็จทุกคนก็ดื่มเหล้าด้วยกัน และกินข้าวในขันโตกร่วมกันเป็นอันเสร็จพิธี


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๓ พอตกกลางคืนจะมีการดื่มเหล้าและร้องเพลงกัน การร้องและการดื่มนี้จะต้องวนเวียนไปจนครบทุก บ้าน กล่าวแต่คำอันเป็นมงคลแก่ชีวิต พิธีมัดมือขึ้นปีใหม่นี้ มีเรื่องความเชื่อและกฎเกณฑ์ที่ควรปฏิบัติเกี่ยวข้อง อีกมาก แตกต่างในรายละเอียดระหว่างหมู่บ้านของแต่ละหมู่บ้าน และแตกต่างตามความเชื่อของหมอผีแต่ละ คน แต่มีความเชื่อที่สำคัญคือหากเดือนที่กำหนดจะมีงานมัดมือขึ้นปีใหม่นี้ เกิดเหตุการณ์ไม่ดีไม่งามในหมู่บ้าน เช่น มีคนตาย มีเสือเข้ามากินสัตว์เลี้ยงในบ้าน มีหนุ่มสาวได้เสียกัน เป็นต้น ก็ต้องยกเลิกหมดถือว่าการ เตรียมการครั้งนี้ไม่ดี ทำต่อไปไม่เกิดผลดีต่อคนในหมู่บ้าน ต้องเลื่อนไปจัดในเดือนต่อไป หรือหากจัดพิธีไปแล้ว เกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นทีหลัง จะถือว่างานที่จัดไปแล้วนั้นใช้ไม่ได้เช่นกัน ต้องจัดพิธีกันใหม่อีก พิธีทำขวัญให้ควาย หรือกี่ปิ๊หน่าจึ๊ (ปกาเกอะญอ) พิธีกรรมนี้ทำเฉพาะครอบครัวที่มีควายเท่านั้น และทำกันปีละครั้งเมื่อเสร็จจากฤดูไถหว่านของ แต่ละปี ส่วนใหญ่วันที่ประกอบพิธีกรรมจะทำในวันพฤหัสบดี แต่ต้องทำก่อนที่จะหมดฤดูฝนในปีนั้น ๆ ครอบครัวที่มีควายจะนัดหมายให้ลูกของตัวเองกลับมา แม้ว่าจะไปทำงานหรือเรียนก็ต้องกลับมาทำพิธีนี้ แต่ถ้า หากว่าคนอื่นที่ไม่ได้รับคัดเลือกไปทำพิธี เชื่อว่าจะทำให้ควายสุขภาพไม่ดี ตาบอด ไม่มีลูก เป็นโรค ล้มตายไป สำหรับคนที่จะทำพิธีนั้นจะต้องผ่านการคัดเลือก โดยคนที่มีความรู้ในการทำนาย ซึ่งการทำนายนี้มักจะใช้ ข้าวสาร ใบไม้ ไข่ กระดูกไก่ หรือบางทีก็ดูลายมือ หลังจากที่ได้ทราบผลการทำนายซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกนั้น อาจเป็นเพศชายหรือหญิงก็ได้ โดยความเชื่อในเรื่องการทำขวัญให้ควายนั้น ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่า เพราะควาย เป็นสัตว์ที่มีพระคุณและผูกพันกันมานาน การทำขวัญให้ควายเป็นการแสดงความเคารพ ขอบคุณ ขอ อโหสิกรรม ตลอดจนถึงการอวยพรให้ควายมีสุขภาพแข็งแรง มีลูกดก ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเยือน การทำพิธีกรรม เริ่มจากเตรียมเครื่องเซ่นให้พร้อม สำหรับไก่ 1 คู่ (ต้องฆ่าและต้มมาเรียบร้อย แล้ว) หลังจากนั้นผู้ประกอบพิธีกรรมก็จะถือเครื่องเซ่นไปยังคอกที่มัดควายไว้ จากนั้นก็เอาวงฝ้ายที่เตรียมไว้ เท่าจำนวนควายของตัวเองที่มีอยู่ไปคล้องที่เขาควายทั้งสองข้างของแต่ละตัวจนครบทุกตัว ถัดจากนั้นมาก็เอา เทียนไปสอดติดกับเขาควายที่เอาฝ้ายคล้องไว้ก่อนแล้ว หลังจากนั้นก็โปรยข้าวสารและประพรมน้ำขมิ้น ส้มป่อย ระหว่างที่พรมน้ำขมิ้นส้มป่อย ผู้เป็นพ่อจะสวดตามให้ด้วย ขั้นตอนสุดท้ายคือรินเหล้าให้ควายอาจเท ราดบนหัวควายก็ได้เป็นอันเสร็จพิธี สำหรับไก่ที่นำมาประกอบพิธีกรรมนั้น นำไปทานอาหารกินในครอบครัว และเชิญญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่สนิทกันมาร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน ‘’


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๔ ๖. การแต่งงาน เมื่อเด็กหนุ่มสาวน้อยชนเผ่าปกาเกอะญอได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัวแล้ว สิ่ง สวยงามที่จะเกิดขึ้นต่อมาก็หนีไม่พ้นความรักใคร่ชอบพอกันตามธรรมชาติที่ถูกกำหนดไว้ หากหนุ่มสาวคู่ใดรัก ใคร่ชอบพอกันจนความรักเบ่งบานเป็นที่รับรู้และยอมรับของผู้เป็นบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายแล้ว พิธีกรรมแห่งความรักของทั้งคู่ก็จะเริ่มดำเนินขึ้น เพื่อความถูกต้องตามกฎประเพณีและวัฒนธรรมของชนเผ่าที่ สืบทอดกันมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่น โดยผู้เป็นบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงจะปรึกษาหารือกันแบบวง ในเพื่อหาข้อสรุปคู่หนุ่มสาว เมื่อได้ข้อสรุปว่าหนุ่มสาวคู่นี้เหมาะสมแก่การคู่ครองแล้ว ก็จะนำไปสู่การพิจารณา คัดเลือกตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลภายในหมู่บ้านที่ได้รับการยอมรับและไว้ใจจากฝ่ายหญิง เพื่อเป็นตัวแทนไป พูดคุยเจรจาและขอคำมั่นสัญญาจากฝ่ายชาย เมื่อตัวแทนฝ่ายหญิงได้รับคำมั่นสัญญาจากฝ่ายชายแล้วจะ นำไปสู่กิจกรรมความรักอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างครอบครัวฝ่ายหญิงและฝ่ายชายเพื่อพูดคุยหารือ รายละเอียดของงานแต่งงาน กำหนดวันหมั้นและนัดหมายวันแต่งงานของคู่หนุ่มสาว สู่ขอ (เอาะ เฆ) เรื่องราวของการสู่ขอมีลักษณะดังนี้เมื่อเป็นที่รับรู้แล้วว่าหญิงชายรักชอบพอกัน พ่อแม่และญาติ พี่น้องของฝ่ายหญิงก็จะส่งคนไปหาฝ่ายชายเพื่อสอบถามให้แน่ใจว่าฝ่ายชายรักและยินดีที่จะแต่งงานกับฝ่าย หญิงจริงหรือไม่ หากฝ่ายชายรักชอบพอกันและยินยอมที่จะแต่งงานกับฝ่ายหญิงก็จะมีการนัดหมายวันเวลาทำ พิธีแต่งงานกัน (ตามหลักประเพณีกะเหรี่ยงฝ่ายหญิงจะต้องเป็นฝ่ายไปขอฝ่ายชาย) การหมั้นหมาย (เตอะ โหล่) เมื่อฝ่ายชายตกลงปลงใจว่าจะแต่งงานกับฝ่ายหญิงและนัดหมายวันเวลาแต่งงานที่แน่นอนแล้ว ฝ่ายชายก็ส่งเถ้าแก่ไปทำพิธีหมั้นหมายฝ่ายหญิงก่อนวันแต่งงาน ในพิธีฝ่ายหญิงจะฆ่าไก่ 2 ตัวทำอาหารเพื่อ เลี้ยงรับรองเถ้าแก่ของฝ่ายชายและในวันรุ่งขึ้นก็จะนัดหมายวันเวลาที่ฝ่ายชายและเพื่อนๆ ของเจ้าบ่าวจะมา หาฝ่ายหญิงเพื่อทำพิธีแต่งงานต่อไป


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๕ หมูแรกทำพิธี (เทาะ เตาะ) เทาะเตาะ คือหมูตัวแรกที่ใช้ฆ่าในพิธีแต่งงานและจะนำเนื้อหมูเอามาไว้เป็นเครื่องบูชาเพื่อขอ เทวดามาอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาว ผู้ร่วมงานทุกคน เมื่อถึงเวลาออกเดินทางไปสู่หมู่บ้านเจ้าสาว เถ้าแก่ของ เจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าวจะลงไปอยู่พร้อมกันที่พักหน้าหมู่บ้านและจะปูเสื่อเพื่อนั่งปรึกษาหารือกัน จากนั้น เถ้าแก่จะทำพิธีรินเหล้าและอธิฐานขอพร เมื่อเสร็จพิธีก็จะออกเดินทางโดยมีเจ้าบ่าวและเพื่อนๆ ของเจ้าบ่าว ร่วมเดินทางกันอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อเดินทางมาถึงบ้านเจ้าสาวเพื่อนบ้านของเจ้าสาวก็จะคอยต้อนรับโดย จะให้ไปพักที่พักชั่วคราวบริเวณหน้าบ้านเพื่อทำพิธีดื่มเหล้า เมื่อเสร็จพิธีดื่มหัวเหล้า (เหล้าขวดแรกที่ใช้ดื่มใน พิธี) หลังจากนั้นก็จะขึ้นไปสู่บ้านเจ้าสาวเพื่อพักผ่อน และดื่มเหล้าพร้อมกับขับลำนำโต้ตอบกันระหว่างเพื่อน เจ้าบ่าวที่เป็นคนต่างถิ่นกับเพื่อนเจ้าสาวที่เป็นคนต่างถิ่นและเป็นคนในถิ่น ในขณะเดียวกันนี้ญาติพี่น้องของ เจ้าสาวก็จะทำการฆ่าหมูเพื่อทำอาหารสำหรับเลี้ยงต้อนรับแขกที่มาในงานทุกคน รวมถึงเพื่อนเจ้าบ่าวที่มาจาก ต่างถิ่นมารับประทานอาหารร่วมกัน เสร็จแล้วก็จะเป็นเวลาส่วนตัวของแต่ละคนที่จะพักผ่อนนอนหลับหรือ เยี่ยมเยียนเพื่อนบ้านอื่นๆ และขับลำนำโต้ตอบกัน ซึ่งบางคนบางกลุ่มก็จะเที่ยวขับลำนำตลอดทั้งคืน ไก่ขอพรระหว่างเดินทางกลับ (ชอ โจ่ ลอ) ฝ่ายหญิงจะทำการฆ่าไก่ 2 ตัว ต้มให้สุกแล้วห่อให้เถ้าแก่และเพื่อนของเจ้าบ่าวนำกลับไปเพื่อ เป็นอาหารเมื่อออกจากหมู่บ้านของเจ้าสาวระหว่างทางจะหยุดอยู่ข้างทางเถ้าแก่จะทำพิธีถวายอาหารแด่เทพย ดาเพื่อเป็นการอวยพรแก่ผู้ร่วมเดินทางให้ได้รับความปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลายและกลับถึงบ้านโดย สวัสดิภาพ จากนั้นทุกคนที่มาด้วยกันจะต้องช่วยกันกินไก่กับข้าวให้หมด พอกลับถึงบ้านแล้วทุกคนก็จะมา รวมตัวกันตรงจุดหน้าบ้านของเจ้าบ่าวก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านของตน แล้วเถ้าแก่ก็จะทำพิธีดื่มหัวเหล้า


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๖ อีกเป็นครั้งสุดท้าย วันรุ่งขึ้นเพื่อนบ้านทุกคนจะหยุดงานซึ่งถือเป็นข้อห้าม เรียกข้อห้ามนี้ว่า ดึ เทาะ โค่ เบล การผูกขวัญร่วมกันระหว่างเจ้าบ่าวและเจ้าสาว (กี่ ฆึ จือ) หลังจากอยู่ร่วมกันนานสามวันสามคืนแล้วพ่อแม่ของ เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะทำพิธีผูกขวัญให้ โดยจะผูกร่วมกันระหว่างเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ซึ่งการผูกขวัญร่วมกันนี้มี ความหมายว่าทั้งสองคนได้กลายเป็นหนึ่งอันเดียวกันแล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากหนุ่มสาวได้เสียกันก่อนแต่งงานจะต้องมีการขอขมาต่อผีเจ้าที่ ซึ่งเป็นผีบ้านไม่ใช่ผีเรือนและ ให้มีการขอขมาต่อผู้เฒ่า รวมทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและหมอผีด้วย วันต่อมาจึงจะจัดให้มีการแต่งงานกัน พิธีการ แต่งงานของหนุ่มสาวที่ได้เสียกันก่อนแต่งงานจะไม่มีงานสนุกสนานรื่นเริงเหมือนงานแต่งที่เป็นหนุ่มสาว บริสุทธิ์ แต่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้นกะเหรี่ยงหนุ่มสาวที่บริสุทธิ์จะไม่ยอมไปร่วมในพิธีด้วย เพราะเกรงว่าจะเอา ตัวอย่างเหล่านี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีมาใช้ และถือว่าเป็นการผิดประเพณีกะเหรี่ยงทำให้วงศ์ตระกูลเกิดเรื่องน่า ละอาย ถ้าหนุ่มสาวคู่ที่ได้เสียกันไม่ใช่หนุ่มสาวหรือสาวโสดก็จะต้องถูกปรับเป็นเงินและสัตว์เลี้ยงได้แก่ หมู ไก่ และควาย เป็นต้น ๗. พิธีกรรมสงกรานต์ (หลู่ทีปรีโข่) จัดขึ้นช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ของไทย เป็นพิธีกรรมที่แสดงออกถึงความกตัญญูและความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ของเด็กและลูกหลาน ๘. พิธีกรรมเลี้ยงผีฝาย (หลื่อทีโบโข่) จัดขึ้นเพื่อการขอบคุณพระแม่ธรณี ที่ให้มีน้ำใช้และให้ความ อุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูก เป็นการสร้างความสัมพันธ์และเห็นคุณค่าของผู้ที่ใช้เหมืองฝายร่วมกัน พิธีกรรม นี้จะจัดประมาณเดือนกรกฎาคมของทุกปี ๙. พิธีกรรมกินหัวข้าว (เอาะบือโข่) เป็นพิธีกรรมที่จะทำก่อนมีการเริ่มต้นเกี่ยวข้าว โดยนำเอาข้าว ใหม่มาหุงเป็นหม้อแรก และจะหากับข้าวที่เป็นสัตว์น้ำ เช่น ปู ปลา เป็นต้น และยอดผัก ๒ ชนิด แต่ก่อนลงมือ กินข้าวต้องให้วัสดุอุปกรณ์ในครัวได้กินก่อน เช่น ครก หม้อ ช้อน ฯลฯ เพื่อการขอบคุณวัสดุต่างๆ ในครัว เหล่านี้ ในขณะกำลังกินอยู่นั้นหากมีแขกเข้าบ้านจะไม่เรียกหรือพูดด้วย เพราะเชื่อว่าขวัญข้าวใหม่จะหนีไป แต่แขกเข้ามากินด้วยได้ พิธีกรรมนี้จะทำประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ๑๐. พิธีกรรมแซะลอบือส่า เป็นพิธีกรรมที่จัดทำขึ้นเพื่อขอพรให้เม็ดข้าวที่ยังไม่ได้นวดร่วงหล่นง่าย ขึ้นเวลานวด โดยใช้ เหล้า ๑ ขวด แก้วน้ำ แป้งข้าวหมาก รวงข้าง ๗ กอง ที่ปลูกครั้งแรกพร้อมไก่ ๑ ตัวแขวน ติดกับเสาต่าแซะ พร้อมกับอธิษฐานให้ได้ข้าวเยอะๆ ๑๑. พิธีกรรมข้าวก้นสาด (สะละคีดะ) เป็นพิธีกรรมที่ข้าวเหลือจากการนวดข้าว ๑ ถัง นำมาต้ม เหล้า เป็นการจัดทำขึ้นเพื่ออธิษฐานขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดูแลครอบครัวและสัตว์เลี้ยงต่างๆ จะจัดทำ ขึ้นช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนของทุกปี


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๗ ศาสนา พิธีกรรมหลื้อทีบอ (เลี้ยงผีฝาย) พิธีกรรมแสะจี่ (เลี้ยงผีนา) 6. ศาสนาและความเชื่อ 6.1 ศาสนา การนับถือศาสนาของชนเผ่าปกาเกอะญอ (ชาวกะเหรี่ยง) เดิมชาวกะเหรี่ยงนับถือผีมีการบวงสรวง และเซ่นสังเวยอย่างเคร่งครัด ภายหลังหันมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์มากขึ้น สำหรับกะเหรี่ยงนับถือศาสนาพุทธได้มีศีล 5 และศีล 8 เป็นการถือปฏิบัติเบื้องต้น ส่วนกะเหรี่ยงที่ นับถือคริสต์ศาสนาจะมีบัญญัติ 10 ข้อ เป็นหลักเกณฑ์ในการกำกับควบคุมจิตใจในการครองชีวิตและการอยู่ ร่วมกันเป็นสังคมหมู่คณะ 6.2 ความเชื่อ 6.2.1 ความเชื่อตามประเพณี/พิธีกรรม ทุกสรรพสิ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าของและดูแลรักษาอยู่ ซึ่งจะเรียกรวมๆ ว่า “เกอะ จ่า ต่าที ต่าเตาะ” (เจ้าแห่งธรรมหรือธรรมชาติคือสิ่งสูงสุด ซึ่งจะสถิตทุกหนทุกแห่ง) ชาวกะเหรี่ยงมีความเคารพธรรมชาติมาก เพราะเป็นแหล่งบันดาลความอุดมสมบูรณ์มาให้ สิ่งที่กะเหรี่ยงถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวาอารักษ์ ถือเป็นวิญญาณที่ดี ควรยำเกรงและไม่ไปรบกวนระบบ การปกครองสังคมชาวกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอทั้งโพล่งและกจอร์) ประกอบด้วยผู้นำหมู่บ้านที่มีบารมี คนใน หมู่บ้านให้การยอมรับนับถือที่เรียกว่า ฮีโข่ (ผู้นำหมู่บ้านตามประเพณี) ซึ่งโดยธรรมเนียมจะเป็นผู้ที่ริเริ่มก่อตั้ง ศาสนาและความเชื่อ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๘ หมู่บ้านทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้านดูแลทุกข์สุข ตัดสินคดีความข้อพิพาท เช่น การพิพาทระหว่างหญิงชายก่อน แต่งงาน ฮีโข่ ร่วมกับผู้อาวุโสในหมู่บ้านจะพิพากษาตัดสิน นอกจากนี้แล้ว ฮีโข่ เป็นผู้นำทำพิธีกรรมต่าง ๆ ของ ชุมชน ต่อมาภายหลังมีผู้นำที่เป็นทางการเกิดขึ้น ปัจจุบันผู้นำของชุมชนกะเหรี่ยงมีลักษณะ 2 อย่าง คือ - ลักษณะผู้นำดั้งเดิม หรือที่เรียกว่า ฮีโข่/หัวบ้าน (บุคคลสืบสายตระกูลผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน) ซึ่งสามารถ สืบทอดตำแหน่งจากพ่อไปสู่ลูกโดยสายโลหิต ผู้นำประเภทนี้เป็นผู้ชาย มีบทบาทหน้าที่ปกครอง ดูแลลูกบ้านการประกอบพิธีกรรมและอบรมด้านจริยธรรม ปัจจุบันมีบทบาทน้อยลงในแต่ละ หมู่บ้านจะมีผู้ช่วยของฮีโข่อยู่ด้วยเรียกว่า ฮีข่อ - ผู้นำจากทางการแต่งตั้งขึ้นมาเรียกว่าผู้ใหญ่บ้าน มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในหมู่บ้าน มี คำสั่งใช้อำนาจทางกฎหมายการปกครองจากกระทรวงมหาดไทยโดยมีบทบาทหน้าที่ปกครองดูแล เกี่ยวกับงานพัฒนา และการติดต่อประสานกับภายนอก หรือทางราชการเป็นหลักกำกับอำนาจ หน้าที่โดยกฎหมายการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พิธีกรรมงานศพ งานศพเป็นงานที่ทุกคนต้องไปร่วมพิธี โดยเฉพาะหนุ่มสาว จะได้มีโอกาสทำความรู้จักสนิทสนมกัน แสดงความรักต่อกัน และอาจตกลงปลงใจแต่งงานกันในเวลาต่อมา กะเหรี่ยงที่มีฐานะดีจะเก็บศพไว้นานหลาย วัน ส่วนมาก3 วัน 3 คืนเท่านั้น ศพจะถูกบรรจุไว้ในโลงและประดับประดาอย่างดี และมีการทำบุญกันอย่าง เต็มที่ถ้าฐานะไม่ดีก็ใช้เสื่อหุ้มห่อศพแล้วเอาเส้นด้ายดิบพันรอบ นำไปฝังหรือเผา ตามความประสงค์ของญาติ ผู้ใหญ่ ถ้าผู้ตายเป็นแม่บ้านหรือแม่เรือนจะรื้นบ้านทั้งหลัง เพราะของเหล่านี้เป็นสมบัติของแม่บ้าน ถ้าเก็บไว้จะ ไม่เป็นมงคลในงานศพจะมีการฉีกทำลายเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้สอยของผู้ตายทั้งหมด แล้วนำไว้ในป่าช้า บางทีมีการฉีกธนบัตรชนิดต่างๆ ของผู้ตาย ทิ้งไว้บนหลุมฝังศพหรือเผา และมักจะเอาเหรียญโลหะเงินไปฝัง ตามสถานที่ต่างๆ โดยไม่ให้ผู้ใดทราบว่าฝังไว้ที่ไหน เพื่อว่าผู้ตายจะได้เอาไปใช้ในเมืองผี ในตอนกลางคืน พวกหนุ่มสาวจะเดินเป็นแถวเรียงหนึ่งรอบๆ ศพ พร้อมกับร้องเพลงรำพันถึงผู้ตาย ไว้ อาลัยแก่ผู้ตายตลอดคืน และผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าศพพวกชาวกะเหรี่ยงเวลาคนตายจะเก็บศพไว้นานสามวันสาม คืน เพื่อรอญาติพี่น้องทุกคนผู้ทุกคนมาเคารพศพ หากผู้ตายเป็นหญิงสาวหรือชายโสด บิดามารดาก็จะแต่งตัว ให้ด้วยเสื้อแม่บ้านหรือพ่อบ้าน และนำไม้ที่แกะสลักเป็นอวัยวะเพศตามลำดับ เมื่อนำไปเผาเพราะเชื่อว่าเมื่อ เสียชีวิตลง ก่อนวิญญาณจะไปสู่สุคติจะต้องผ่านด่านยมบาลเสียก่อน ยมบาลจะค่อยตรวจสอบว่าคนใด แต่งงานแล้ว และคนใดยังไม่แต่งงานคนที่แต่งงานแล้วก็จะให้ผ่านด่านไปสุคติได้ แต่คนใดที่ยังไม่แต่งงานก็ ไม่ให้ผ่านด่าน ถือว่ายังทำหน้าที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อีกความหมายหนึ่งเพื่อเป็นการ ป้องกันผีเลวทรามและซุกซนทั้งหลาย ไม่ให้มาฉุดคร่าพาหญิงสาวและชายโสดไปจากสุคติ โดยเหตุนี้การนำไม้ มาแกะสลักเป็นตามเพศจึงเป็นสัญลักษณ์บอกให้ยมบาลรู้ว่าพวกเขาแต่งงานแล้วนะ ยอมให้พวกเขาไปสู่สุคติ แต่โดยดีเถอะ ในคืนแรกช่วงหัวค่ำจะมีกลุ่มพ่อบ้านและหนุ่มๆ ขึ้นมาเดินรอบศพและขับลำนำสำหรับศพ โดยเฉพาะ ซึ่งเนื้อหาจะมีความหมายไปในทางอวยพรและส่งวิญญาณสู่สุคติ ให้กลับไปอยู่ดีมีสุขในโลกหน้า ช่วงขับลำนำสำหรับศพนี้ จะไม่มีหญิงสาวขึ้นมาขับด้วยเพราะถือเป็นข้อห้าม บทลำนำที่ผู้ขับต้องการให้ วิญญาณกลับไปอย่างมีความสุขในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า และอีกบทหนึ่งที่กล่าวถึงการชี้หนทางให้วิญญาณกลับ ไปสู่สุคติ ซึ่งเชื่อว่ามีความตรงกันข้ามกับโลกนี้อย่างสิ้นเชิง ให้ผู้ตายรับรู้ล่วงหน้าว่ากาลข้างหน้าจะเป็นเช่นไร เพื่อจะได้เห็นทางและกลับไปถึงที่หมายอย่างอย่างปลอดภัย หลังจากเสร็จสิ้นการขับลำนำสำหรับศพแล้ว ก็จะ เป็นโอกาสของหนุ่มสาวขึ้นมาขับลำนำต่อ ซึ่งการขับลำนำในช่วงที่สองนี้จะขับตลอดสามวันสามคืน จะไม่มี เนื้อหาเกี่ยวกับศพเลย แต่จะเกี่ยวข้องกับการเกี้ยวพาราสีและพูดจาหยอกล้อกันระหว่างหนุ่มสาว เพื่อสร้าง บรรยากาศไม่ให้ญาติผู้ตายเศร้าโศกเสียใจมากจนเกินไป นับเป็นโอกาสพิเศษที่พวกเขาเหล่านั้นได้มาพบปะกัน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๙ พูดคุยและเกี้ยวพาราสีกันและกัน หลายครั้งหลายคู่ได้จับตาหมายหมั้นและตกลงปลงใจมาใช้ชีวิตร่วมกันอย่าง เป็นฝั่งเป็นฝา เมื่อครบสามคืน ช่วงสายของวันรุ่งขึ้นญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านก็จะช่วยกันนำศพไปเผาที่ป่าประจำ หมู่บ้าน โดยจะช่วยกันหามไปเมื่อถึงป่าช้าก็ช่วยกันหาเศษไม้แห้งบ้างและสดบ้างมากองไว้เป็นกองใหญ่ แล้ว วางศพไว้บนกองนั้น จากนั้นก็จะจุดไฟเผาและรอจนกว่าจะไหม้ บางคนนิยมการฝังก็ไปฝังกัน ส่วนเสื้อผ้า อาภรณ์และของใช้ของผู้ตายนั้นไม่มีการเผาพร้อมศพ แต่ญาติพี่น้องก็จะนำไปกองไว้ที่โคนต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง ระหว่างทางเดินไปป่าช้า กองเสื้อผ้าและของใช้เหล่านี้เรียกในภาษากะเหรี่ยงว่า “เสอะเล” การที่ไม่มีการเผา และเก็บเอาไว้นี้เพื่อป้องกันวิญญาณไม่ให้กลับบ้านมาทางถามเสื้อผ้าอีก หากกลับมาให้กลับมาถึงเสอะเลก็ พอแล้ว ด้วยเกรงว่าจะเป็นการมารบกวนลูกหลานหรือญาติพี่น้อง ซึ่งอาจทำให้พวกเขาล้มป่วยลงอีก เมื่อผู้ร่วม ไปเผาศพกลับมาถึงหมู่บ้านก็จะไม่กลับขึ้นบ้านของตนทันที จะต้องกลับไปที่บ้านของศพเสียก่อนโดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ผู้ที่หามศพหรือจับต้องเครื่องใช้และเสื้อผ้าของคนตาย เพื่อกลับรดน้ำสระหัวด้วยส้มป่อยและขมิ้นที่ ญาติของผู้ตายเตรียมไว้ให้แล้ว ซึ่งหมายถึงการขอขมาลาโทษ ขออย่าให้เจ็บไข้ได้ป่วยและเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่ประการใด หลังจากนั้นสามวันสามคืน ลูกหลานหรือญาติพี่น้องจะไม่เข้าไปนอนตรงบริเวณที่ของผู้ตาย และ ช่วงเวลาเดียวกันนี้จะห้ามการออกไปทำงานด้วยเช่นกัน เรียกข้อห้ามนี้ในภาษากะเหรี่ยงว่า “ดึนา เกราะ” โดยถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องรอให้วิญญาณกลับจนว่าจะถึงสุคติเรียบร้อยและแน่ใจว่าจะไม่กลับมาที่บ้านอีก แล้ว 6.2.2 ชีวิตและความเป็นอยู่ เชื่อเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติและมนุษย์กับสิ่งที่ลี้ลับความ เชื่อถือของกะเหรี่ยงได้แผ่แทรกซึมและมีอิทธิพลมากต่อการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ดังนั้นคน กะเหรี่ยงจึงให้ความสำคัญในทางศาสนามากนั่น คือการนับถือผีและพุทธรวมกัน ผีที่นับถือซึ่งมีความสำคัญ ได้แก่ ผีหน้าที่ และผีต่างๆ (ต่ามึข่า) ที่สิงสถิตอยู่ตามป่า ภูเขา ลำห้วย ในไร่ ในนา ในหมู่บ้าน และในเรือนของ ตนเอง เป็นต้น ผีที่ถือว่าเป็นผีร้ายนั้นเชื่อว่าเป็นผีที่จะทำให้ประสบภัยพิบัติทั้งปวงจึงต้องมีการเอาอกเอาใจ ด้วยการเซ่นสังเวยด้วยอาหารต่างๆ ซึ่งได้แก่ หมู ไก่ เหล้า ข้าว ขนม เป็นต้น นอกจากมีความเชื่อในเรื่องผีต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันต่อพวกเขาแล้ว กะเหรี่ยงยังเชื่อใน เรื่องขวัญซึ่งมีประจำตัวของแต่ละคน กะเหรี่ยงยังเชื่อว่าในร่างกายคนเรามีอยู่ทั้งหมด 33 ขวัญ ส่วนใหญ่ไม่ สามารถนับได้หมดว่า ขวัญอยู่ในส่วนไหนบ้างขวัญอยู่ที่ศีรษะ ขวัญสองที่ใบหูทั้งสองข้าง ขวัญจะละทิ้งหรือ หายไปก็ต่อเมื่อคนๆนั้นได้ตายไป นอกจากนั้นแล้วเชื่อกันว่าขวัญชอบที่จะหนีไปท่องเที่ยวตามความต้องการ ของมันเอง และก็อาจจะถูกผีร้ายต่างๆ ทำร้ายหรือกักขังไว้ ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นล้มป่วย การรักษาพยาบาลหรือวิธี ที่จะช่วยเหลือคนเจ็บป่วยได้ ก็คือการล่อและเรียกขวัญให้กลับมาสู่บุคคลที่เจ็บป่วย พร้อมกับทำพิธีผูกข้อมือ รับขวัญด้วย ในสังคมของกะเหรี่ยงนั้นถือเป็นปกติธรรมดา เมื่อวันในหมู่บ้านจะทำพิธีเลี้ยงผีและการเรียกขวัญ ของคนเจ็บป่วยแทนการรักษาด้วยสมัยใหม่ บางครั้งแม้หมอจะมีหมอข้าไปช่วยรักษาให้ตามแบบทันสมัย แต่ ถ้าหากที่บ้านผู้ป่วยนั้นได้รักษาด้วยการเลี้ยงผีแล้วเขาจะปฏิเสธที่จะรักษาทันทีอย่างน้อย 3 วัน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๐ 6.2.3 เชื่อเรื่องผี เกือบร้อยละเก้าสิบถือผี ผีมีอยู่ทุกแห่ง ในป่า ในไร่นา ในลำธาร ผีและวิญญาณเป็นบ่อเกิดของ คุณธรรมและค่านิยมหลายประการ เช่นการอยู่อย่างผัวเดียวเมียเดียว ไม่ประพฤติผิดลูกเมียใคร หรือการเลี้ยง ดูพ่อแม่ที่ชรา กับความเชื่อที่ว่าวิญญาณของบรรพบุรุษ คือผีบ้านเรือนที่คอยคุ้มครองดูแลลูกหลานให้อยู่เย็น เป็นสุข เป็นต้น ผีที่นับถือ คือผีบ้านและผีเรือน ผีบ้านเป็นผีเจ้าที่ที่คอยปกป้องดูแลหมู่บ้าน ผีเรือนเป็นผีดวง วิญญาณบรรพบุรุษ ซึ่งคอยปกป้องรักษาบุตรหลานเหลนผู้สืบตระกูลของตนด้วยความห่วงใย นอกนี้ยังมีผี ประจำไร่หรือผีนา ซึ่งจะช่วยทำให้ผลิตผลของไร่นาเจริญงอกงาม ดังนั้นจึงมีการทำร้านเลี้ยงผีไร่หรือผีนาก่อนทำการปลูกข้าวหรือพืชไร่เมื่อเก็บเกี่ยวได้ผล ก็จะมีการ เลี้ยงอีกครั้ง เรียกว่าประเพณีงานกินข้าวใหม่ มีการฆ่าไก่ฆ่าหมูเป็นเครื่องเซ่นบูชาดังเช่นประเพณีขึ้นปีใหม่ ชาวกะเหรี่ยงที่นับถือพุทธก็จะนำอาหารหรือเงินมาถวายพระที่วัดคนกะเหรี่ยงมีความเกรงกลัวผีป่า ซึ่งถือว่า เป็นผีร้าย คอยทำร้ายผู้คนมากกว่าจะคุ้มครองป้องกันภัย ผีป่ามี 2 พวกคือ ผีป่าบก และผีป่าน้ำ ผีป่าบกจะ รวมไปถึงผีป่า ผีภูเขา ผีเจ้าบ้าน ผีเจ้าเมือง เจ้าที่ ผีหลวงและผีฟ้า ส่วนป่าน้ำ ได้แก่ ผีซึ่งสถิตอยู่ตามลำห้วย ลำธาร บึง หนองน้ำ เป็นต้น ความเชื่อในพิธีกรรมเลี้ยงผี ประกอบด้วย ความเชื่อที่เกี่ยวกับการกำหนดฤกษ์ยาม ความเชื่อที่ เกี่ยวกับน้ำความเชื่อที่เกี่ยวกับผี และความเชื่อที่เกี่ยวกับสิ่งของที่ใช้ในการประกอบพิธี แม้สภาพสังคมจะเกิด การเปลี่ยนแปลงไป และอิทธิพลทางศาสนาเข้ามาในชุมชน แต่การสืบทอดความเชื่อในพิธีกรรมเลี้ยงผีของชาว กะเหรี่ยงยังคงปรากฏอยู่ นอกจากนี้จากการศึกษาพิธีกรรมเลี้ยงผี 3 พิธีกรรม ได้แก่ พิธีกรรมหลื้อทีบอ (เลี้ยง ผีฝาย) พิธีกรรมแสะจี่ (เลี้ยงผีนา) และพิธีกรรมหลื้อเกลาะ (เลี้ยงผีไร่) พิธีกรรมเหล่านี้สืบทอดต่อ ๆ กันมาจาก รุ่นสู่รุ่น ด้วยความเชื่อและความศรัทธาต่อธรรมชาติ การแสดงออกด้วยการเคารพการกราบไหว้บูชาต่อผี การ อ้อนวอนและร้องขอ เพื่อให้ผีประทานความอุดมสมบูรณ์ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึงเป็นสิ่งยืนยันให้ เห็นว่าการสืบทอดความเชื่อและพิธีกรรมเลี้ยงผีฝังลึกในรากเหง้าของชาวกะเหรี่ยง ด้วยความเชื่อและนับถือในเรื่องผี-วิญญาณ ชาวกะเหรี่ยงจึงมีประเพณี และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การเลี้ยงผีอยู่เสมอ ผีที่ชาวกะเหรี่ยงนับถือมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ผีดี กับ ผีร้าย ผีดีคือผีบ้าน ซึ่งมีหน้าที่ดูและรักษา หมู่บ้านหรือผีเจ้าที่นั่นเอง และผีเรือน คือผีบรรพบุรุษ เช่น ผีปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว วิญญาณยังวนเวียน คุ้มครองลูกหลานอยู่ ชาวกะเหรี่ยงจะมีพิธี เซ่น บวงสรวงบูชาผีเรือนอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง เพื่อให้ปลอดภัย จากการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือรอดพ้นจากภัยทั้งปวง นอกจากการเลี้ยงผีบ้านผีเรือนแล้ว ชาวกะเหรี่ยงยังมีพิธี เลี้ยงผีไร่ ผีนา ผีป่า ผีดอย อีกด้วย ทั้งนี้โดยอาศัยหมอผีผู้มีความรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถา เน้นผู้ ประกอบพิธีกรรมเลี้ยงผีเหล่านี้ ซึ่งอาจจะมีทั้งผีดีและผีร้าย ที่อยู่ตามป่าเขาลำธารทั่วไป คอยลงโทษผู้ที่ผ่านไป


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๑ ให้ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น ความเชื่อถือในเรื่องผีและวิญญาณของชาวกะเหรี่ยง จึงมีผลดีต่อสังคมชาว กะเหรี่ยงอย่างมาก และทำให้เกิดคุณธรรมขึ้น เพราะไม่มีใครกล้าทำความผิดแม้แต่ต่อหน้าและลับหลัง การเลี้ยงผี การเลี้ยงผีมีหลายพิธีและต่างวาระกัน เช่น การเลี้ยงผีเพื่อฉลองโชคฉลองชัย ในโอกาสย้ายหมู่บ้านไป ตั้งอยู่ในที่แห่งใหม่ การเลี้ยงผีเพื่อขอขมาลาโทษต่อเจ้าบ้านเจ้าเมือง ซึ่งเป็นผีป่า ผีหลวง ผีฟ้า และการเลี้ยงผี เพื่อบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น พิธีเลี้ยงผีเรือนและผีบรรพบุรุษ ในสังคมกะเหรี่ยง การเลี้ยงผีเรือนและผีบรรพบุรุษจะทำกันปีละครั้ง หลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว เป็น พิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ ก่อนวันทำพิธีลูกหลานทุกคนจะต้องมาค้างคืนที่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน หากมีใครขาดผู้ทำ พิธีจะต้องเอาข้าวก้อนที่คนต้องกิน เก็บไว้ให้เขากินเมื่อเขากลับมาบ้าน หากเขาไม่กลับมาได้ส่งไปให้เขา มิฉะนั้นจะถือว่าการเลี้ยงผีไม่ได้ผล ในพิธีนี้คนกะเหรี่ยงนิยมใส่เสื้ออย่างกะเหรี่ยงทุกคนต้องสำรวมกิริยาวาจา จะพูดมากไม่ได้ มิฉะนั้นจะต้องเลิกพิธีเสียกลางคัน และต้องทำพิธีกันใหม่ในเดือนถัดไป และยังมีข้อควรปฏิบัติ และห้ามอื่นๆ เช่น ต้องกินข้าวในขันโตกเดียวกันหมด ต้องหุงข้าวหม้อเดียวกินเสร็จแล้วแม่บ้านต้องล้างขันโตก ล้างจานคนเดียวจะให้คนอื่นช่วยไม่ได้ ถ้ายังมีคนกินข้าวไม่เสร็จคนอื่นๆ จะลงจากบ้านไม่ได้ ในวันทำพิธีห้าม การตัดผม ห้ามกินของที่มีรสเปรี้ยวอีกด้วย การทำพิธีเลี้ยงผีเรือนและผีบรรพบุรุษมี2 แบบคือ แบบไม่มัดมือ และแบบมัดมัดมือ • แบบไม่มัดมือ พิธีเริ่มด้วยการที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมรอบโตกข้าว พ่อบ้านหรือแม่บ้านจะ เริ่มรับประทานก่อนด้วยข้าว 1 คำ กับเนื้อไก่ต้มและน้ำ จากนั้นแม่บ้านหรือพ่อบ้านก็ทำตาม และลูกๆ ก็ทำ เช่นเดียวกัน เริ่มตั้งแต่ลูกคนโตไปจนถึงลูกคนเล็กสุด ทุกคนกินได้คนละคำเท่านั้น และกินได้รอบเดียว พอกิน ครบทุกคน ผู้ทำพิธีก็หยิบข้าวสุก 1 ก้อนและเนื้อไก่ที่ต้มกับแกง วางลงบนพื้นแล้วสวดมนต์ขอเชิญดวง วิญญาณของบรรพบุรุษทั้งหลาย มารับอาหารเครื่องเซ่น และขอให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นช่วยปกป้องคุ้มครอง กันภัย ขอให้ชีวิตความเป็นของครอบครัวดีขึ้น ให้มีความสุขไม่เจ็บป่วย ทำมาหากินอุดมสมบูรณ์ หลังจากนั้นก็ รับประทานอาหารร่วมกันได้ • แบบมัดมือ พิธีเริ่มด้วยการที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมรอบขันโตกข้าว ในขันโตกข้าวมีข้าว และกับข้าวที่ทำจากไก่หรือหมู และมีด้ายขวัญขาวพาดบนอาหาร จากนั้นแม่บ้านเริ่มทำพิธีด้วยการหยิบด้าย ขวัญมามัดมือให้พ่อบ้าน พร้อมกับกล่าวถ้อยคำเรียกขวัญ และวิงวอนขอให้ผีบรรพบุรุษและผีเรือนอำนวย ความสุขความเจริญให้แก่พ่อบ้าน จากนั้นพ่อบ้านก็ผูกมือให้แม่บ้านและเรียกขวัญในทำนองเดียวกัน เสร็จ แล้วทั้งพ่อและแม่ก็ผูกมือให้ลูกๆ คน พร้อมให้พรและเรียกขวัญให้ เมื่อมัดมือทุกคนแล้ว พ่อบ้านหรือแม่บ้าน ก็หยิบก้อนข้าว 1 ก้อน ให้ตกลงลงบนพื้นดินเพื่ออุทิศให้กับผีบ้านผีเรือน จากนั้นทุกคนก็ร่วมกันกินข้าวได้ การเลี้ยงผีเรือนและผีบรรพบุรุษทั้ง2 แบบ ไม่ใช้เหล้าในการประกอบพิธี การเลี้ยงผีเรือนและผีบรรพบุรุษ นอกจะทำตามปกติปีละครั้งแล้ว เมื่อสมาชิกในบ้านอยู่ไม่สุขสบายมีคนเจ็บป่วยบ่อย และเลี้ยงหมู ไก่ไม่ เติบโต ก็อาจมีการเลี้ยงผีเรือนและผีบรรพบุรุษอีกได้ การเลี้ยงในลักษณะนี้มีพิธีการมากมาย จะต้องใช้เหล้า ในพิธี รวมทั้งทำข้าวเหนียวต้มด้วย ต้องมีการเชิญหมอผีมาทำพิธี และเชิญแขกมาร่วมกินด้วย ซึ่งต่างจากพิธี เลี้ยงผีเรือนตามปกติที่ห้ามคนนอกครอบครัวกินอาหารด้วยเป็นอันขาด


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๒ พิธีกรรมเลี้ยงผีนากระเหรี่ยง พิธีกรรมลื่อพินา (ตามภาษาถิ่นของชาวกะเหรี่ยง) หรือพิธีเลี้ยงผีนา เป็นพิธีที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวกะเหรี่ยงจะมีความเชื่อว่าในท้องไร่ท้องนา จะมีผีที่ปกปักรักษาพืชสวนไร่นา และทำให้สิ่งที่ปลูกอยู่ในท้อง ไร่ท้องนา เจริญงอกงาม อุดมสมบูรณ์ และได้ผลผลิตดี ฉะนั้นในทุกๆปี ปีละ 1 ครั้ง คือ ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต จึงมีการเซ่นไหว้ผีนาขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะนิยมทำพิธีในวันตีข้าวนั่นเอง ขั้นตอนของพิธีกรรมจะมี ดังนี้ 1. เจ้าของนาจะเตรียมต้มเหล้า 1 หม้อ ไก่ตัวผู้ 1 ตัว ไก่ตัวเมีย 1 ตัว พร้อมทั้งหุงข้าวและเตรียม เครื่องสำหรับปรุงอาหาร จากนั้นนำไปที่นาของตนเอง (สถานที่ทำพิธี) 2. ทำกระท่อมเล็กๆ (ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าเป็นการสร้างให้ผีนามาสิงสถิตอยู่) ซึ่งเสากระท่อมจะทำจาก ฟางข้าว จากนั้นนำเครื่องเซ่นไหว้มาวางไว้ ซึ่งเครื่องเซ่นไหว้ที่ใช้จะประกอบไปด้วย 2.1 บุหรี่ 2 มวน 2.2 หมาก เมี่ยง 2.3 เทียนไข 1 คู่ 2.4 กรวยดอกไม้ 2.5 สร้อยเงินและกำไลเงินโบราณ 3. เจ้าของนาจะนำไก่สองตัวที่เตรียมมาไปเชือดคอ และนำเลือดไก่และขนไก่ป้ายติดกับเสากระท่อม จากนั้นนำไก่ไปทำความสะอาด ผ่าไก่ และนำไปต้ม ซึ่งต้องต้มทั้งตัว ห้ามสับไก่เป็นชิ้นๆ 4. เมื่อไก่สุกแล้ว นำมาที่กระท่อมผีนาอีกหนึ่งรอบ เอาข้าวที่หุงไว้มาพอหยิบมือ เอาทุกส่วนของไก่มา อย่างละหน่อย และรินเหล้าใส่ในแก้ว แล้วไปวางไว้บนกระท่อมผีนา จากนั้นสวดบูชาผีนา ซึ่งมีความหมายว่า “ขอให้ผีนานั้นจงปกป้องดูแลนาให้ดี ขอให้ได้ข้าวเหลือกินเหลือใช้ในทุกๆปี” 5. ผู้ร่วมพิธีและชาวบ้านที่มาช่วยตีข้าวรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นอันเสร็จพิธี 6.2.4 การเสี่ยงทาย เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น จะมีการเสี่ยงทายถึงสาเหตุ โดยให้หมอผีปักกระดูกไก่หรือจับข้าวสารเสี่ยง ทายดู เช่น เมื่อเดินป่ากลับมาบ้านและเกิดอาการเจ็บป่วย จะทำพิธีปักกระดูกไก่และถามดูว่า ไปถูกผีที่ไหนทำ ร้ายเอา เมื่อกระดูกไก่แจ้งตรงกับตำราว่าไปถูกผีประเภทนั้นประเภทนี้ ก็จะตามไปเลี้ยงผีตรงนั้น ถ้าอาการ ป่วยยังไม่ทุเลา ก็ปักกระดูกไก่ไต่ถามอีกว่าถูกผีป่าหรือผีน้ำทำร้ายเอา และถามว่าเป็นผีกินไก่ กินหมู กินเป็นคู่ หรือเดี่ยว เมื่อกระดูกไก่บอกอย่างไรก็ไปเลี้ยงผีตรงนั้นอีก 6.2.5 ข้อห้าม การอยู่ร่วมกันในสังคมจะต้องยึดถือระเบียบข้อบังคับ กฎจารีตประเพณี และเห็นคุณค่าของ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อให้ชุมชนดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ข้อห้ามระหว่างคนกับธรรมชาติ ป่าช้า ป่าช้าจะเป็นป่าหวงห้ามสำหรับหมู่บ้าน ห้ามเข้าไปตัดต้นไม้และทำประโยชน์ใด ทุกคนต้อง เคารพเพราะถือกันว่าเป็นแหล่งพักพิงของวิญญาณบรรพบุรุษ ซึ่งพวกท่านก็ต้องการความสงบร่มเย็น เช่นเดียวกัน สัตว์ป่า เช่น ชะนี ชะนีตายหนึ่งตัวป่าเจ็ดป่าต้องเงียบเหงา นกกก นกกกตายหนึ่งตัวต้นโพธิ์เจ็ดต้น ต้องวังเวง เพราะเป็นนกที่ซื่อสัตย์ต่อคู่หากคู่มันตายมันก็จะฆ่าตัวตายตาม และสัตว์ป่าขนาดใหญ่หลายชนิด จะห้ามการล่า และเมื่อถึงฤดูวางไข่ผสมพันธุ์และเลี้ยงลูกอ่อนจะห้ามล่าสัตว์ป่าทุกชนิด เพราะเป็นช่วงที่


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๓ สัตว์ป่าขยายพันธุ์ หากมีการล่าในช่วงนี้จะทำให้สัตว์สูญพันธุ์ได้ แม่น้ำลำธารบริเวณต้นน้ำลำธารโดยเฉพาะตา น้ำผุดจะห้ามการตัดไม้ทำลายป่า ปลาที่อยู่ในตาน้ำผุดหรืออยู่ในถ้ำห้ามจับ เพราะเชื่อกันว่าปลาเหล่านี้มี เจ้าของเลี้ยงไว้ หากผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามผู้นั้นเจ้าของธรรมชาติเหล่านี้จะลงโทษ โดยการทำให้เจ็บป่วยได้ ผักและต้นไม้ห้ามโค่นต้นโพธิ์ต้นไทรเดี๋ยวนางพญาแมกไม้จะลงโทษ ผลไม้จะต้องรอให้มันสุกก่อนถึง จะเก็บมากินได้ ห้ามเก็บกินขณะยังเป็นลูกอ่อน พืชผักและต้นไม้ทุกชนิดห้ามตัดทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ห้ามกาต้นไม้ เพราะเชื่อว่าต้นไม้ก็มีชีวิต รู้จักเจ็บรู้จักร้องไห้เช่นเดียวกับมนุษย์ ต้นไม้ที่ให้ผลเป็นอาหาร แก่มนุษย์ห้ามนำมาสร้างบ้าน ข้อห้ามระหว่างคนกับชุมชน ในสังคมกะเหรี่ยงจะมีกฎของชุมชนเพื่อให้คนในหมู่บ้านยึดถือปฏิบัติในทิศทางเดียวกันเพื่อให้สังคมอยู่ ได้อย่างปกติสุข ดังนั้นจึงมีกฎข้อห้ามหลายประการ เช่น ข้อห้ามที่เกี่ยวกับกาลเวลา - ข้อห้ามที่เกี่ยวกับการย้ายเข้า ย้ายออกของคนในชุมชน - ห้ามตั้งหมู่บ้านบนเนินน้ำล้อม (เกาะ) - ห้ามเก็บหน่อไม้เกินกอละสามหน่อ - ห้ามตัดไม้ไผ่เกินกอละสามลำ - ห้ามเก็บชะอมกินในฤดูฝน - ห้ามเก็บสมุนไพรเกินขนาด หากเก็บเกินจะไม่เป็นยา ข้อห้ามระหว่างคนกับคน - ห้ามเกี่ยวกับคนที่มีครรภ์ อย่ากินเนื้อหมูป่าและสัตว์ที่ถูกเสือกัดตาย - ห้ามเกี่ยวกับการเลือกคู่ครองและการแต่งงาน - ห้ามทะเลาะกันบนขันโตก - ห้ามข้ามหัวเหยียบเท้าผู้อาวุโส ข้อห้ามเกี่ยวกับการกินอาหารเป็นกุศโลบายสอนเด็กให้เชื่อฟังพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ - หัวไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะมีสมองไม่ใส - คอไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะชอบเถียงพ่อแม่ - ปีกไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะมีความเชื่องช้า - ขาไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะชอบเที่ยวเตร่ - กึ๋นไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะดื้อ - ตับไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะขี้เกียจ - ก้นไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะพูดมาก - หัวใจไก่ ห้ามเด็กกิน เด็กกินเด็กจะเกิดความอ่อนไหว เป็นต้น


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๔ 6.2.6 ความเชื่อเรื่องการมัดมือ จะจัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง (เดือน 4 ของทางเหนือ) ซึ่งเป็นงานมงคลและจะจัดงานมงคลตรงกับวันขึ้นปี ใหม่ และมักจะจัดขึ้นในวันที่ 1 เดือนมกราคม ของทุกปี 6.2.7 ความเชื่อเรื่องขวัญ ขวัญที่สถิตอยู่ในตัวมนุษย์มีจำนวน 5 ขวัญ ได้แก่ ขวัญแขนซ้าย ขวัญแขนขวา ขวัญเท้าซ้ายและเท้า ขวานับรวมกันเป็นหนึ่งขวัญ ขวัญดวงจิตและขวัญกระหม่อม (หรือเรียกตามชื่อดั้งเดิมว่า ขวัญหัวน้ำ) ขวัญที่เป็นสัตว์ป่าและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จำนวน 31 ขวัญ ได้แก่ 1. สัตว์น้ำ 5 ขวัญ : กุ้ง หอย ปู ปลา และเขียด 2. สัตว์เลื้อยคลาน 6 ขวัญ : งู เต่า ตะกวด ตุ๊กแก แย้ และไส้เดือน 3. สัตว์ใหญ่ 9 ขวัญ : หมูป่า เก้ง เสือ สิงห์ หมี กระทิง ช้าง ชะนี และลิง 4. สัตว์เล็ก 5 ขวัญ : นกเงือก ไก่ฟ้า ไก่ป่า เหยี่ยว และหนู 5. แมลง 5 ขวัญ : จิ้งหรีด ตั๊กแตน แมงมุม ต่อ และผีเสื้อ ขวัญที่เป็นธัญพืชจำนวน 1 ขวัญ ได้แก่ ขวัญข้า


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๕ พิณเตหน่า (เตหน่า) การแสดงกระทบไม้ การเล่นจิกริ การรำตง 7.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน เครื่องดนตรีพื้นบ้าน 1. พิณเตหน่า (เตหน่า) เตหน่า เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของชนปกาเกอะญอ ที่มีมาแต่โบราณ มีลักษณะคล้ายพิณ ฐานทำด้วยขอนไม้ที่แกะเป็นรูกลวง คันจะมีลักษณะโค้งงอเข้าหาตัวเอง ระหว่างฐานและ คันก็จะขึงสายซึ่งมีทั้งหมด 6 เส้น แต่บางคนทำ 7 เส้น หรือ 9 เส้นหรือ 12 เส้นก็มี การดีด จะดีดร่วมกับ การขับลำนำ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญการดีดพิณ เสียงของเขาจะมีหลากหลาย ซึ่งมีความไพเราะเป็นอย่างยิ่ง เตหน่า สามารถเล่นได้ในทุกโอกาส ไม่จำกัดเฉพาะโอกาสงานประเพณีสำคัญๆ เท่านั้น บางครั้ง ใช้ในโอกาส เวลาว่าง เพื่อความสนุกสนาน โดยเฉพาะหนุ่มชาวปกาเกอะญอจะใช้เตหน่าในการเกี้ยวพาราสีหญิงสาวใน ยามค่ำคืน ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน


Click to View FlipBook Version