The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by gwarrg, 2023-09-06 00:13:28

ปะกาเกอะญอ

ปะกาเกอะญอ

Keywords: ปะกาเกอะญอ

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๖ 2. ซอ ระนาด (เสอะ เลาะ ปอกุ๊) ซอ ระนาดเป็นเครื่องดนตรีตั้งเดิมของชนปกาเกอะญอชนิดหนึ่ง ทำขึ้นมาเองด้วยกระบอกไม้ไผ่หรือกะลาน้ำเต้า คันซอทำด้วยไม้ไผ่ สายซอทำด้วยใยกาบกล้วย และสีทำด้วย เส้นผมของผู้หญิงหรือหางม้า ชนปกาเกอะญอจะมีซอและขับลำนำไปด้วย ผู้ที่เชี่ยวชาญการสีซอนั้น เสียงซอ ของเขาจะคล้อยตามบทลำนำที่ขับเมื่อได้ยินแล้วจะมีความไพเราะยิ่งนัก 3. กลองมโหระทึก (โกละ) โกละ เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มีราคาค่อนข้างแพง จะใช้ในงาน ประเพณีต่างๆ เช่น ประเพณีขึ้นปีใหม่ ประเพณีงานศพ เป็นต้น เมื่อตีเสียงจะก้องดังทั่วหมู่บ้าน ไม่นิยมตีอย่าง พร่ำเพรื่อ แต่จะตีในโอกาสสำคัญและจำเป็นเท่านั้น สามารถตีได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หากหมู่บ้านใดมีกลอง มโหระทึกประจำอยู่ เชื่อกันว่าหมู่บ้านนั้นจะมีความร่มเย็นเป็นสุข 4. แตร ปี่ ไม้ทำเสียง (แกว ปี๊ ส่อ เฆ) แกว ปี๊ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่า แกว อาจทำมาจากเขา หรืองาหรือสัตว์ ไม้ เช่น งาช้าง เขาควาย เขาวัว เขาเลียงผาก็ได้ เชื่อกันว่าแกวที่ทำด้วยเขาควายแม่ที่ตายขณะ ตั้งครรภ์อยู่นั้น เมื่อเดินเป่าวนรอบไร่สามรอบควายจะไม่ลอดรั้วเข้าไปกินข้าวในไร่เลย โดยปกติแล้วจะใช้เป่า ขณะเดินทางไปทำงานตามท้องไร่ท้องนา ในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวระหว่างเดือนพฤศจิกายน หากได้ยินเสียงทุกคนก็ จะรับรู้ว่าถึงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ชายหนุ่มบางคนไปทำงานโดยไม่มีเพื่อนร่วมเดินทางก็จะเอาแกวนี่แหละ เป็นเพื่อนทดแทน ปี๊ เป็นเครื่องดนตรีที่ทำมาจากไม้ไผ่ ใช้เป่าในโอกาสทั่วๆ ไป และทุกเพศทุกวัยสามารถเป่า ได้ ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถเป่าได้หลายหลากเสียง เมื่อเป่าปี่จะไม่นิยมขับลำนำตามไปด้วย สำหรับส่อ เฆ ทำ มาจากไม้ไผ่เช่นกัน เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่า และดีด ในเวลาเดียวกัน เล่นได้ในโอกาสทั่วๆ ไป และทุกเพศ ทุกวัยสามารถเล่นได้ ภาพเครื่องดนตรีปะนะโหน่ง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๗ 5. ฆ้อง ฉิ่ง กลอง (โม จว๊ะ เดอ) ฆ้อง (โม) เป็นเครื่องดนตรีที่ไม่ใช่ชนปกาเกอะญอทำขึ้นเอง แต่รับเอามาจากพวกมอญ เพราะพวกมอญ และชนปกาเกอะญอเป็นชนชาติที่สายเลือดใกล้เคียงกันและอาศัย อยู่ในถิ่นแดนเดียวกัน และเคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาก่อน ฉิ่ง ฉาบ (จว๊ะ) เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีกระทบ กัน ฉาบหนึ่งชุดจะมีอยู่สองข้าง ทำมาจากทองแดงผสมเหล็กเป็นเครื่องดนตรีที่มาจากพวกมอญเช่นกัน กลอง (เดอ) เป็นเครื่องดนตรีที่ทำมาจากไม้แกะเป็นรูปกลวง และขึงหนังกลองด้วยหนังวัว หรือแพะ เป็นต้น เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี ชนปกาเกอะญอ สามารถผลิตขึ้นมาด้วยตนเอง มีลักษณะกลมกลวง เรียงลงไปใน ส่วนหางและบานออกที่สุดปลายหาง ส่วนหัวจะขึงด้วยหนังสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ตีให้มีเสียงดัง โม จว๊ะ เดอ ปกติจะใช้เล่นในวงเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ต้องผสมโรงเล่นด้วยกันตลอดไป จะขาดประเภทใด ประเภทหนึ่งไม่ได้ ใช้เล่นบางโอกาสในงานประเพณีสำคัญๆ เช่น ประเพณีขึ้นปีใหม่ พิธีเลี้ยงเจดีย์ เป็นต้น แต่ ที่นิยมเล่นกันมากที่สุดคือประเพณีมงคลสมรส นาฏศิลป์และการละเล่นพื้นบ้าน 1. การรำดาบและหอก (ศิลปะการป้องกันตัว) พิธีการในการรำดาบ แต่ละปีจะต้องมีการไหว้ครู 1 ครั้ง เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลในการรำดาบ โดยการนำไก่และสุรามาเป็นเครื่องเซ่นประกอบพิธีซึ่ง การนำไก่มาเป็นเครื่องเซ่นประกอบพิธี จะต้องเป็นไก่แดงเท่านั้น จำนวน 1 คู่ ไม่จำกัดเพศ โดยลักษณะของไก่ แดงเพศผู้ จะต้องมีสร้อยคอสีแดง ขนหางสีแดง-ดำ ขนลำตัวสีแดง ขา ปาก สีเหลือง ใบหน้าสีแดง หงอนคล้าย ถั่ว เพศเมียจะมีลักษณะเหมือนเพศผู้ ยกเว้นไม่มีสร้อยคอ และมีขนหางสีแดง พร้อมทั้งสุรา 1 ขวด แต่เดิม จะต้องเป็นสุราขาว(เหล้าขาว)เท่านั้น ปัจจุบันจะเป็นสุราชนิดใดก็ได้การประกอบพิธีจะต้องประกอบพิธี ในป่า รวมทั้งเมื่อเรียนเสร็จก็จะต้องมาขอขมาครู ในอดีตจะเป็นการมัดมือ การดำหัว เนื่องจากแต่เดิมมีการนับ ถือผี ในปัจจุบันมีการนับถือศาสนาคริสต์ แต่ก็ยังมีการขอขมาครูอยู่เช่นกัน โดยมีการเปลี่ยนแปลงเป็นค่าครู แทน ส่วนจำนวนนั้นก็แล้วแต่จำนวนที่ครูเรียก การรำดาบส่วนใหญ่จะแสดงในงานปอยหลวง ซึ่งเป็นงานบุญที่ ยิ่งใหญ่ของคนในภาคเหนือ จะมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการจัดฉลองถาวรวัตถุของวัดหรือฉลอง สิ่งก่อสร้างของวัดที่ประชาชนช่วยกันสร้างขึ้นและมักจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายน การรำ ดาบมีความเชื่อว่าถ้าผู้รำดาบในขณะที่กำลังซ้อมมีการฟันโดนถึงตัวครูผู้สอนแสดงถึง ผู้รำดาบผู้นั้นสามารถ รำดาบได้แล้ว แต่ถ้ายังฟันไม่โดนถึงตัวครูผู้สอนหมายถึงยังรำดาบไม่ได้ และผู้ที่สามารถรำดาบได้นั้นจะต้องมี บุคลิกภาพเป็นผู้ที่มีมืออ่อนช้อย ตัวอ่อน คออ่อนและหลังอ่อน จะทำให้ผู้นั้นเป็นคนที่รำดาบได้สวยงาม ศิลปะการร่ายรำดาบและหอกจะมีลายหลายแบบทั้งง่ายและยาก บางคนร่ายรำได้สองสามลาย แต่บางคนที่เก่งสามารถร่ายรำ ได้หลายลายและใช้ดาบถึงสามสี่เล่ม ลายการร่ายรำดาบและหอกเรียกชื่อหลาย อย่าง เช่น ลายหมี ลายป้องกันตน และลายฟันคู่ต่อสู้ เป็นต้น การฝึกร่ายรำดาบและหอกต้องไปฝึกกับอาจารย์ ใหญ่ที่มากด้วยวิชาความรู้ในด้านนี้ ผู้ฝึกจะต้องอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด และต้องเสียค่าฝึกตาม ขั้นที่ผู้ฝึกตั้งไว้ ซึ่งปกติจะตั้งไว้ไม่แพงมากนัก เพราะจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องธุรกิจการค้า แต่เป็นวิชาความรู้ที่ จะต้องถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังต่อๆ ไป การรำดาบ จะรำในงานพิธีสำคัญๆ ในหมู่บ้านหรือต้อนรับแขกผู้ใหญ่


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๘ 2. การรำตง เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (โปว์) ซึ่งเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่น และความศรัทธา โดยยกหลักธรรมคำสอนในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนคติความเชื่อต่าง ๆ เพื่อใช้ เป็นการอบรมสั่งสอนลูกหลานชาวกะเหรี่ยง การรำตง ผู้แสดงจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ โดยทั่วไปนิยมใช้ผู้ แสดงหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจำนวน 12-16 คน หรืออาจมากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่แสดง ซึ่งอาจเป็น เวทีในร่มหรือสนามหญ้า ตั้งแถวเป็นแถวลึกประมาณ 5-6 แถว ยืนห่างกันประมาณ 1 ช่วงแขน ส่วนการแต่ง กายนั้นแยกตามลักษณะของหญิงและชาย โดยผู้หญิงจะสวมชุดกระโปรงสีขาวยาวกรอมเท้า หรือที่ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า “ไช่กู่กี๋” เป็นเครื่อง แต่งกายประจำชนเผ่าของหญิงสาวชาวกะเหรี่ยง มีลักษณะเป็นเสื้อกระโปรงยาวกรอมเท้าสีขาว บางครั้งจะทอ เป็นลวดลายสีแดงในแนวตั้ง บางครั้งทอยกดอกเป็นตาราง มีพู่ห้อยเป็นระยะ คอแหลม คาดเข็มขัดเงินที่เอว สำหรับผู้ชายก็ใส่ชุดประจำเผ่าเป็นเสื้อสีแดง นุ่งโสร่ง เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ กลองสองหน้า ระนาด ฆ้องวง พิณหรือปี่ ฉิ่ง ตง (ไม้ไผ่ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร เซาะเป็นร่องใช้ไม้ตีให้ จังหวะ) ในด้านของท่ารำเป็นท่าที่เรียบง่ายเพื่อต้องการความพร้อมเพรียง คล้ายกับฟ้อนพม่า เอกลักษณ์อยู่ที่ การย่ำเท้าด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอตลอดทั้งเพลง” นายนรพล คงนานดี เล่าว่า อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการแสดง คือ ผ้าเช็ดหน้าที่ผูกกับนิ้วกลางข้างขวา ทั้งนี้เพื่อเสริมให้เห็นความ พร้อมเพรียงในการรำมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในท่าที่ต้องเคลื่อนไหวด้วยการใช้อุปกรณ์ในมือ หรือเมื่อมีการสะบัด ข้อมือในส่วนของบทเพลงร้องประกอบการแสดงเนื้อหาในการแสดงโดยส่วนใหญ่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อและความศรัทธาเฉพาะกลุ่มชน รำตงจึงมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงเป็นอย่างมาก แต่ไม่นิยมจัดแสดงบ่อยครั้งนักจะแสดงในงานที่สำคัญๆ ได้แก่ งานสงกรานต์ งานศพ ประเพณีทำบุญ ข้าวเปลือกใหม่ ซึ่งประเพณีดังกล่าวมีพิธีกรรมทำบุญรับขวัญข้าวใหม่และขอบคุณพระแม่โพสพ การรำตง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๙ การละเล่นพื้นบ้าน การแสดงกระทบไม้การเล่นจิกริกะเหรี่ยง-กระทบไม้ถือเป็นการละเล่นที่ต้องอาศัยจังหวะการ “กระทบไม้” ในภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า “ติฮัว” ที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้เล่นและจำนวนไม้ไผ่เคาะจังหวะมากกว่า หลายชาติ มีการเคาะไม้พร้อมๆ กันหลายคู่ แต่เดิมการละเล่นชนิดนี้นิยมเล่นหลังจากว่างเว้นไร่นา ผู้หลัก ผู้ใหญ่จะเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้เต้นรำเกี้ยวพาราสีกัน ล่าสุดได้มีการผนวกการละเล่นกระทบไม้เข้ากับการ แสดงถักเชือก ประกอบวงดนตรีปี่พาทย์ ใช้ผู้แสดงรวมหลายสิบคน และเพิ่มการอธิบายความหมายในเชิงรัก สามัคคี การแสดงกระทบไม้เป็นการฝึกให้เด็กเยาวชนมีสมาธิ ความทรงจำดี และสร้างความพร้อมเพรียงในหมู่ คณะ เป็นการแสดงของชาวพี่น้องปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยง อันคล้ายกับการแสดงของไทยที่เรียกว่า ลาวกระทบไม้ หรือการแสดงของล้านนาที่เรียกว่า ม้าจกคอก เพียงแต่การแสดงของกะเหรี่ยงนั้นเป็นการวาง ไม้กระทบกันทั้งสองแนว เดิมใช้เล่นกันในงานศพเท่านั้น การที่นำจิกริมาละเล่นในงานรื่นเริง เริ่มจากทางรัฐ กะเหรี่ยงของสหภาพเมียนมาได้เริ่มนำมาใช้ในการละเล่นปีใหม่ ต่อมาก็มีปรับเปลี่ยน เริ่มมีการนำมาใช้ละเล่น ในงานรื่นเริง หรือเป็นการแสดงทางวัฒนธรรมต่างๆ ต่อมามีการประยุกต์การแสดงเข้ากับการ อื่อธา อันเป็น การขับบทกวีของชาวกะเหรี่ยง ที่เป็นเนื้อหากล่าวถึงธรรมชาติ วิถีชีวิต ทั่วไป ซึ่งอาจจะประกอบเครื่องดนตรี พื้นเมืองนั่นคือ “เตหน่า” หรืออาจจะใช้เครื่องดนตรีสากลเข้าร่วมด้วย เช่น กีตาร์ เป็นต้น บางครั้งมีการพัฒนาประยุกต์การเล่นจิกริ กับการถักทอเส้นเชือก โดยมีการนำเชือกมาห้อยไว้ตรง กลาง ให้แต่ละคนถือปลายเชือกอีกด้าน เต้นไปตามจังหวะการกระทบไม้ แล้วให้นำเชือกไปถักทอเป็นลวดลาย จนสุดเชือก แล้วจึงถอยคืนเชือกนั้นให้กลับมาดังเดิมอีกครั้งหนึ่ง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๐ บรรณานุกรม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านโป่งน้ำร้อน. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566).กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านสันทราย. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านม่อนปิ่น. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านบ้านต้นส้าน. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านบ้านหนองยาว. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านปางสัก. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านบ้านสันป่าแดง. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านห้วยงูกลาง. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนโชติคุณะเกษมบ้านเมืองงาม. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านสุขฤทัย. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านโล๊ะ. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนศึกษานารีอนุสรณ์ 2. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านฮ่างต่ำ. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 12 บ้านเอก. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านสันป่าข่า. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านห้วยป่าซาง. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านห้วยบง. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านท่า. เชียงใหม่.


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๑ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนวัดบ้านท่า. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านต้นโชค. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านปงตำ. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านปงวิทยาสรรค์. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านใหม่หนองบัว. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านหัวฝาย. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านกองลม. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านนามน. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านเวียงแหง. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านเชียงดาว. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านวังจ๊อม. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านปางแดง. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านแม่กอนใน. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านแม่ป๋าม. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านออน. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านปางเฟือง. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนมิตรมวลชน. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านวังมะริว. เชียงใหม่.


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๒ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านเมืองคอง. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านใหม่. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านสบคาบ. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านป่าบง(เชียงดาว). เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านนาหวาย. เชียงใหม่. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3. (2566). กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นตาม โครงการรักถิ่นฐานบ้านเกิด โรงเรียนบ้านหนองบัว. เชียงใหม่. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์. 2550. "กะเหรี่ยงหรือปกาเกอญอ". ม.ป.ท. : ม.ป.พ. พอล ลูวิสและอีเลน ลูวิส.หกเผ่าชาวดอย (เชียงใหม่ : หัตถกรรมชาวเขา, ๒๕๒๘), หน้า ๖๙. สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ.ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง, (กรุงเทพ : โรงพิมพ์ กรม แผ่นที่ทหาร, ๒๕๑๘), หน้า ๑๐. สุวัฒนา เลี่ยมประวัติ, ชุมชนภาษาในจังหวัดราชบุรี ” , วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๓, ๒๕๔๗, หน้า ๒๑๑. Michael C. Howard.Textiles of the Highland Peoples of Burma Volume II ( Bangkok : White Lotus,2005),p.117.


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๓ ภาคผนวก


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๔


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๕


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๖


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๗


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๘


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๙


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๐


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๑


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๒


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๓


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๔


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๕


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๖


Click to View FlipBook Version