The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรฝึกอบรมผู้ปกครอง ADHD

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Chanatda Poowichai, 2020-12-11 23:35:09

หลักสูตรฝึกอบรมผู้ปกครอง ADHD

หลักสูตรฝึกอบรมผู้ปกครอง ADHD

หลักสตู ร

ฝกึ อบรมผ้ปู กครองในการคดั กรอง
และปรบั พฤตกิ รรมเดก็ ทม่ี อี าการสมาธิส้นั

หลกั สตู ร

ฝึ กอบรมผปู้ กครองในการคดั กรอง
และปรบั พฤตกิ รรมเด็กทมี่ อี าการ

สมาธสิ นั้

คำนำ

กรมสุขภาพจิต โดยสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ ได้จัดทาหลักสูตรฝึกอบรมผู้ปกครองในการ
คัดกรองและปรับพฤติกรรมเด็กที่มีอาการสมาธิส้ัน เพ่ือให้ผู้ปกครองมีความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติท่ีดีต่อ
เดก็ ทม่ี ีปัญหาพฤติกรรมเกี่ยวกบั โรคสมาธสิ ัน้ อย่างถูกตอ้ ง และสามารถคัดกรองโรคสมาธิส้ันในเบ้ืองต้นได้ เป็น
ผู้มีบทบาทสาคัญในการปรับพฤติกรรมเด็กที่บ้าน พ่อแม่ผู้ปกครองมีแนวทางในการปรับพฤติกรรม และการ
สื่อสารที่เหมาะสม จะทาให้เด็กร่วมมือปฏิบัติตามกิจกรรมตามข้อตกลงไว้ ร่วมกับการรักษาโรคสมาธิสั้นด้วย
ยาจะใหผ้ ลลพั ธ์ท่ีดี เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพยากรบุคคลของประเทศจากโรคสมาธิสั้นในวัยเด็ก การให้การ
บาบัดรักษาจึงมีความสาคัญอย่างย่ิง ดังน้ันการดูแลเด็กสมาธิสั้นควรบูรณาการร่วมกันจากหลายภาคส่วน
ทงั้ ผปู้ กครอง ครู และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทาให้การดแู ลเดก็ สมาธิสน้ั มีประสทิ ธิภาพและต่อเนอ่ื ง

สถาบันพฒั นาการเด็กราชนครนิ ทร์ หวงั เป็นอยา่ งยงิ่ วา่ หลักสตู รเล่มนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองมีความรู้ใน
การคัดกรองอาการของเด็กสมาธิสั้นและส่งเสริมผู้ปกครองให้ปรับพฤติกรรม เด็กที่มีอาการสมาธิส้ันได้อย่าง
สอดคล้องต่อเนื่องกับโรงเรียน และจากคาแนะนาของผู้ให้บริการทางการแพทย์ ทาให้เกิดเครือข่ายระหว่าง
ผู้ปกครอง ครู และผู้ให้บริการทางการแพทย์ในการดูแลเด็กสมาธิส้ันแบบบูรณาการ เพ่ือให้เกิดการพัฒนา
คณุ ภาพชวี ิตทด่ี ีสาหรบั เดก็ สมาธสิ ั้นต่อไป



สำรบญั หน้า

คานา ก

สารบัญ ข

หลกั สตู รฝกึ อบรมผู้ปกครองในการคดั กรองและปรบั พฤติกรรมเดก็ ท่มี ีอาการสมาธสิ ้ัน 1
โครงสร้างหลักสตู ร 4
9
แผนการสอนหน่วยที่ 1
ความรู้เบื้องต้นเก่ยี วกบั โรคสมาธิสัน้ และบทบาทของผ้ปู กครองในการดูแลเดก็ ทมี่ ี 11
16
อาการสมาธสิ ้ัน 25
1.1 การเสรมิ สรา้ งทัศนคติทดี่ ขี องผ้ปู กครองต่อเด็กสมาธสิ ้ัน 25
1.2 ความร้เู บื้องตน้ เกยี่ วกับโรคสมาธสิ นั้ 30
1.3 บทบาทของผู้ปกครองในการดแู ลเดก็ สมาธิส้นั 36
1.3.1 การคัดกรองเดก็ สมาธิสั้น
1.3.2 การตดิ ตามผลขา้ งเคียงจากการใชย้ าในเด็กสมาธสิ นั้ 42
1.3.3 แนวทางการช่วยเหลอื และส่งต่อเพ่ือการรักษา
43
แผนการสอนหนว่ ยท่ี 2 53
เทคนิคและกระบวนการปรับพฤตกิ รรมเดก็ ที่มีอาการสมาธสิ นั้ ที่บา้ น 63
2.1 เทคนคิ การจดั การอารมณแ์ ละการฝึกทักษะควบคุมอารมณ์เดก็ ทบี่ า้ น
2.2 การส่ือสารเพ่ือสร้างเงอ่ื นไขและขอ้ ตกลงให้เกดิ ความรว่ มมอื ในการปรบั พฤติกรรม
2.3 การใช้กจิ กรรมท่ีเป็นเรื่องราวตอ่ เน่ือง (Story) มาฝึกสมาธิและทาภารกจิ ให้สาเร็จ



หลกั สูตรฝึ กอบรมผปู้ กครองในการคดั กรอง
และปรบั พฤตกิ รรมเดก็ ทม่ี ีอาการสมาธิส้นั

ความสาํ คญั หลกั สูตร

ปจจุบันสถานการณเด็กสมาธิส้ันโรคสมาธิส้ันหรือ Attention Deficit Hyperactivity Disorder
(ADHD) เปน ภาวะผดิ ปกตดิ า นสขุ ภาพจติ ท่พี บบอ ยทสี่ ดุ ในวยั เดก็ สําหรบั ประเทศไทยมกี ารประมาณการความ
ชุกของโรคสมาธิส้ันในเด็กวัยเรียนรอยละ 5.1 ในกลุมประเทศตะวันตกพบวามีเด็กเปนโรคสมาธิส้ันประมาณ
รอยละ 2-8 มักพบในเด็กชายมากกวาเด็กหญิงเปนสัดสวน 3 ถึง 6 ตอ 1 และในการสํารวจเด็กสมาธิส้ันใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาพบวาในระหวางป 2003-2007 มีเด็กสมาธิสั้นเพ่ิมข้ึนจากเดิม 7.8% เปน 9.5% ซึ่ง
แสดงใหเ หน็ วา เด็กท่ีเปนโรคน้มี ีเพ่มิ ข้นึ ถึง 21.8% ในชวง 4 ป

ทวีศิลป วิษณุโยธินและคณะ ไดสํารวจความชุกโรคสมาธิสั้นในประเทศไทย พบวา ความชุกของโรค
สมาธิสั้นใน ประเทศไทยเทากับรอยละ 8.1 แยกเปนเพศชายรอยละ 12 และหญิงรอยละ 4.2 ดวยอัตราสวน
3:1 พบ สูงสุดที่ช้ันประถมศึกษาปที่ 1 เทากับ รอยละ 9.7 โดยพบความชุกโรคสมาธิส้ันสูงสุดในภาคใต
รอยละ 11.7 และต่ําสดุ ท่ีภาคเหนือ รอยละ 5.1 หรือประมาณการวามีเด็กนักเรียนไทยท่ีเปนโรค สมาธิส้ันอยู
1 ลานคน ประเทศไทย จําแนกตามกลุมยอยของโรคสมาธิสั้น พบสูงสุดคือ combined type รอยละ 3.8
inattentive type รอยละ 3.4 และต่ําสุด hyperactive/impulsive type รอยละ 0.9 (วารสารสุขภาพจิต
แหง ประเทศไทย ปท่ี 21 ฉบับท่ี 2 ป 2556)

โรคสมาธิสั้นเปนโรคที่เด็กมีความผิดปกติท่ีสําคัญ 3 ดาน คือ ความสนใจตํ่า พฤติกรรมหุนหันพลัน
แลน และอยูไมนิ่งหรือซนผิดปกติการปรับตัวเขากับผูอื่นไดไมดี และเกิดปญหาระหวางผูปกครองกับเด็กได
ปญ หาทีเ่ กดิ จากโรคสมาธสิ ั้นเปน ปญ หาระยะยาวและสามารถสง ผลดานลบตอพฒั นาการในวัยรุนและวัยผูใหญ
เชน ตอตานสังคม ติดยาเสพติด และเกิดภาวะซึมเศราได ดังนั้นเพื่อปองกันการสูญเสียทรัพยากรบุคคลของ
ประเทศจากโรคสมาธิสั้นในวัยเด็ก การใหการบําบัดและรักษาจึงมีความสําคัญอยางย่ิง การดูแลเด็กสมาธิส้ัน
ควรตองไดรบั การจากหลายภาคสวน ครเู ปนผมู ีบทบาทสาํ คญั ในการดูแลเด็กสมาธิส้ัน ดังนั้น หากครูไดรับการ
ฝกอบรมการดแู ลเดก็ สมาธสิ ั้นแลว จะทําใหการดแู ลเด็กสมาธิสนั้ มีประสทิ ธิภาพและตอ เนอ่ื ง

ดังนั้นจึงจําเปนตองมีหลักสูตรการฝกอบรมสําหรับครู ในเร่ือง ความเขาใจเกี่ยวกับสมาธิสั้น พ้ืนฐาน
และเทคนคิ ในการปรับพฤติกรรม ความรูเรื่องยาและการรักษาดวยยาสําหรับเด็กสมาธิส้ัน และการจัดการช้ัน
เรยี นและเทคนคิ การสอนสําหรับเดก็ สมาธสิ ั้น สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทรจึงตระหนักในเร่ืองดังกลาว
จึงไดมกี ารพัฒนาการฝก อบรมและเรียนรูดวยตนเองสําหรับครูโรงเรียนประถมใหเกิดความเขมแข็งของในการ
ดแู ลเด็กสมาธิ เพ่ือใหเกิดการพฒั นาคุณภาพชีวิตทด่ี สี าํ หรับเดก็ สมาธสิ ั้น ในโรงเรยี นตอไป

1

หลกั การของหลกั สูตร

1. เปน หลักสูตรฝก อบรมทตี่ อบสนองความตอ งการของผูดแู ลเด็กสมาธิสั้นเพื่อสามารถนําความรูไปใช
ในการพฒั นาคุณภาพชีวิตของเดก็ สมาธิสน้ั ได

2. เปนหลักสตู รฝกอบรมทีเ่ สรมิ สรา งความรู ทักษะ ในการดูแลเด็กสมาธิสั้นสําหรับครูในการดูแลเด็ก
สมาธสิ ั้น

จุดประสงคข์ องหลกั สูตร

1. เพอื่ ใหผูป กครองท่ีดูแลเดก็ สมาธิสน้ั มีความรคู วามเขา ใจในการดูแลเด็กสมาธสิ ้นั
2. เพอื่ ใหผูปกครองที่ดแู ลเดก็ สมาธิส้นั มที ักษะในการดแู ลเด็กสมาธิสั้น
3. เพือ่ ใหเ ดก็ สมาธิส้นั ไดรบั การดแู ลจากผูปกครองทบี่ านตามศักยภาพทเ่ี หมาะสม

กล่มุ เป้าหมาย

ผูป กครองเดก็ สมาธสิ ้นั ในในจังหวัดเชียงใหม และจงั หวดั ลาํ พนู

โครงสรา้ งหลกั สูตร

หลกั สูตรการดแู ลเด็กสมาธสิ ้นั ประกอบดวย 2 รายวชิ า
รายวชิ าที่ 1 ความรูความเขาใจเกีย่ วกับโรคสมาธสิ ัน้ และบทบาทของผปู กครองในการดแู ลเด็ก
สมาธสิ น้ั
จํานวน 1 ชั่วโมง 30 นาที
รายวิชาที่ 2 เทคนคิ และกระบวนการปรับพฤตกิ รรมเดก็ สมาธิส้ันทบ่ี า น
จํานวน 3 ชั่วโมง 30 นาที

กิจกรรมการเรียนรู้

1. ฝกทกั ษะและการทาํ กิจกรรมโดยเรยี นรรู วมกับการกระทําจากการฝกอบรม
2. การเรียนรจู ากการ ฟง บรรยาย และฝก ปฏิบัติ

เวลาเรียน

หลักสตู รการดูแลเด็กสมาธสิ ้นั ใชเ วลาเรียนท้งั หมด 5 ชวั่ โมง แบง เปน
1. รายวิชาภาคทฤษฎี 3 ช่ัวโมง
2. รายวชิ าภาคฝกปฏิบัติ 2 ชว่ั โมง

แหลง่ เรียนรูแ้ ละส่ือประกอบการเรียน

1. สือ่ สงิ พมิ พทเ่ี กย่ี วของ เชน คมู ือ
2. ส่อื อเิ ลคทอนิคส เชน วีซดี ี VDO

2

การวดั ผลและประเมินผลการเรียน

วธิ กี ารวัดผลและประเมินผลการเรยี น ประกอบดวย
1. แบบทดสอบวดั ความรู กอนเรียน ระหวางเรยี น หลังเรียน
2. ความพงึ พอใจในการฝกอบรม

การจบหลกั สูตร

ตองผา นคาคะแนนของผลการทดสอบหลงั เรยี นดีข้ึน ไมนอ ยกวา รอยละ 60

ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะไดร้ บั

1. ผูสําเร็จการศึกษาจะไดรับวุฒิบัตรรับรองความรูในนาม สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร
กรมสขุ ภาพจติ กระทรวงสาธารณสขุ

2. ผูเรียนที่สําเร็จการศึกษาสามารถนําความรู ทักษะ เพื่อนําไปพัฒนาศักยภาพในการดูแลเด็กสมาธิส้ัน
ทีบ่ าน

3

โครงสรา้ งหลกั สูตร

หลกั สตู รผูดแู ลเด็กสมาธิสนั้ ประกอบดว ย 2 รายวชิ า (5 ชั่วโมง)

รายละเอียดของหลกั สูตร

รายวชิ าท่ี 1 ความรูความเขาใจเกยี่ วกบั โรคสมาธิสัน้ และบทบาทของผปู กครอง
ในการดูแลเด็กทม่ี อี าการสมาธสิ ั้น

(จํานวน 1 ชั่วโมง 30 นาที) ประกอบดวย
เรอื่ งที่ 1.1 การเสริมสรางทศั นคตทิ ด่ี ขี องผปู กครองตอเด็กสมาธสิ ้นั
เรอ่ื งท่ี 1.2 ความรเู บ้ืองตนเกีย่ วกบั โรคสมาธสิ ัน้
เรื่องท่ี 1.3 บทบาทของผูป กครองในการดูแลเดก็ สมาธิสั้น

1.3.1 การคดั กรองเด็กสมาธิสน้ั
1.3.2 การติดตามอาการและผลขา งเคียงจากการใชยาเด็กโรคสมาธิสน้ั
1.3.3 แนวทางการชว ยเหลอื และสงตอ เพ่ือการรักษา
รายวชิ าท่ี 2 เทคนิคและกระบวนการปรับพฤติกรรมเดก็ ทมี่ ีอาการสมาธิส้นั ทีบ่ า น
(จาํ นวน 3 ช่ัวโมง 30 นาที) ประกอบดวย
เรอ่ื งที่ 2.1 เทคนคิ การจดั การอารมณแ ละการฝกทักษะควบคุมอารมณเด็กทบี่ าน
เรองที่ 2.2 การส่ือสารเพอื่ สรา งเงอ่ื นไขและขอตกลงใหเกิดความรว มมือในการปรบั พฤติกรรม
เรอ่ื งท่ี 2.3 การใชกิจกรรมทีเ่ ปนเรือ่ งราวตอเนอ่ื ง (Story) มาฝก สมาธิและทําภารกจิ ใหสําเร็จ

4

รายวชิ าท่ี 1 ความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับโรคสมาธิส้ัน และบทบาท
ของผูป กครองในการดูแลเดก็ ท่ีมีอาการสมาธสิ นั้

(จาํ นวน 1 ช่วั โมง 30 นาที)

สาระสาํ คญั

การเสริมสรางทัศนคติท่ีดีจะสนับสนุนใหผูปกครองมีแรงจูงใจและความรูสึกท่ีดี สงผลตอการปฏิบัติ
อยา งเหมาะสมในการชวยเหลอื เดก็ ทีม่ ีปญหาสมาธสิ ้ันได

โรคสมาธิส้ันหรือ Attention-deficit hyperactivity disorder (ADHD) คือกลุมอาการที่เปนความ
ผิดปกติของพัฒนาการ อนั เกดิ จากความบกพรองในการทาํ หนาทข่ี องสมอง ทําใหมีปญหาในการควบคุมตนเอง
ท้ังอาการ ซน อยูไมน่ิง (Hyperactivity) ขาดการยั้งคิดหรือหุนหันพลันแลน (Impulsivity) และขาดสมาธิที่
ตอ เน่ือง (Inattention) โดยพฤตกิ รรมเหลา นีม้ ีมากกวาพฤตกิ รรมปกตขิ องเด็กในวัยเดียวกัน ทําใหการดําเนิน
ชวี ติ ประจําวันหรือการเขาสังคมบกพรอง สมาธิสั้นมีความชุกรอยละ 6-10 เช่ือวาเกิดจากหลายสาเหตุท้ังจาก
พันธกุ รรมและความบกพรอ งผิดปกตทิ างสมอง

เด็กสมาธิสั้นมักมีปญหาในเรื่องการเรียน และทักษะทางสังคม หากไมไดรับชวยเหลือที่เหมาะสม
จะทําใหเกิดผลกระทบทั้งในดานการเรียน อาชีพ ครอบครัวและสังคม ดังน้ันการคัดกรองโรคสมาธิสั้นเปน
บทบาทหนึ่งที่ผปู กครองจะชว ยใหค นพบเด็กสมาธสิ น้ั ไดเร็ว และพาเด็กไปรบั การรักษาท่ีเหมาะสมตอไป

จุดประสงค์

1. ผปู กครองมีทัศนคติท่ดี ีตอ เด็กท่ีมีปญหาพฤตกิ รรมและการเรยี น
2. ผูปกครองมีความรูความเขา ใจเก่ียวกบั โรคสมาธสิ ้นั อยา งถกู ตอง
3. ผูปกครองสามารถคัดกรองโรคสมาธสิ ้ันในเบื้องตน ได
4. ผูปกครองทราบแนวทางในการชวยเหลอื เพอื่ การรกั ษาเดก็ ท่ีสงสยั สมาธสิ ้ันได

สาระการเรียนรู้

เรอ่ื งที่ 1.1 การเสริมสรางทัศนคติทด่ี ขี องผปู กครองตอเด็กสมาธิสน้ั
เรอ่ื งท่ี 1.2 ความรูเ บอื้ งตนเกย่ี วกบั โรคสมาธิสัน้
เรอ่ื งที่ 1.3 บทบาทของผูปกครองในการดูแลเด็กสมาธิสัน้

1.3.1 การคดั กรองเดก็ สมาธิส้นั
1.3.2 การตดิ ตามอาการและผลขา งเคียงจากการใชยาเด็กโรคสมาธิส้นั
1.3.3 แนวทางการชวยเหลอื และสงตอ เพอ่ื การรกั ษา

5

กิจกรรมการเรียนรู้

1. ฟงการบรรยาย
2. ดูส่อื VDO
3. ทําใบงาน
4. แลกเปล่ยี นเรยี นรู

ระยะเวลาเรียน

จํานวน 1 ช่ัวโมง 30 นาที

สื่อ

1. เอกสารประกอบการสอน
2. สือ่ VDO
3. ส่อื Power Point

การวดั ผลและประเมินผล

1. ประเมนิ ผลจากการสอบถามผูปกครอง
2. ประเมนิ ผลจากการทาํ ใบงาน

6

รายวชิ าที่ 2 เทคนิคและกระบวนการปรบั พฤตกิ รรม
เดก็ ทม่ี อี าการสมาธิสนั้ ทบ่ี าน

(จํานวน 3 ชั่วโมง 30 นาที)

สาระสาํ คญั

พอแมผูปกครอง เปนผูมีบทบาทสําคัญในการปรับพฤติกรรมเด็กที่บาน เปนจุดเริ่มตนของการแกไข
ปญ หาและฝก ทกั ษะชวี ติ ใหเด็กสมาธสิ ้ันควบคุมตวั เอง เกดิ วินยั ในตวั เอง พอ แมผูป กครองมีแนวทางในการปรับ
พฤติกรรม และการสื่อสารที่เหมาะสม จะทําใหเด็กรวมมือปฏิบัติตามกิจกรรมตามขอตกลงไว รวมกับการ
รกั ษาโรคสมาธสิ ัน้ ดวยยาจะใหผลลัพธท ีด่ ี

ดังนั้นผูดูแลเด็กจึงมีความจําเปนอยางย่ิงที่จะตองเรียนรูวิธีการปรับพฤติกรรมของผูปวยเพื่อชวยให
สามารถดูแลเด็กไดด ยี ่ิงขึน้

จดุ ประสงค์ เพ่ือใหผ้ เู้ รียน

1. มีความรูความเขาใจในเทคนิคและกระบวนการปรับพฤติกรรม และสามารถนําทักษะไปใชใน
สถานการณตา งๆ ได
2. สามารถวิเคราะหสาเหตุของปญหาพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนของเด็กสมาธิส้ันท่ีบานและมีวิธีจัดการโดย
ใชห ลกั การปรบั พฤติกรรมไดอยางเหมาะสม
3. สามารถจัดการพฤติกรรมท่ไี มพงึ ประสงคทเี่ กดิ จากการบรู ณาการระบบประสาทรบั สัมผสั ได

สาระการเรียนรู้

2.1 เทคนคิ การจัดการอารมณและการฝก ทักษะควบคุมอารมณเด็กสมาธสิ ั้นท่บี าน
2.2 การสื่อสารเพอื่ สรางเง่ือนไขและขอตกลงใหเกดิ ความรว มมือในการปรบั พฤติกรรม
2.3 การใชกจิ กรรมทเี่ ปนเรอ่ื งราวตอเน่ือง(Story) มาฝก สมาธแิ ละทําภารกิจใหส าํ เรจ็

กิจกรรมการเรียนรู้

1. ศกึ ษาเอกสาร ใบความรูประกอบการอบรม
2. บรรยายประกอบการสาธิต และการฝกทักษะ
3. ฝกปฏบิ ัติ และประยุกตค วามรตู ามสถานการณจ ําลอง
4. อภปิ ราย ซักถามปญหา

ระยะเวลาในการเรียน

จาํ นวน 3 ช่วั โมง 30 นาที

7

สื่อ

1. ใบความรู และเอกสารประกอบการบรรยาย
2. VDO
3. ใบงาน

การวดั ผลประเมินผล

1. ประเมนิ ผลจากการทดสอบความรกู อนหลงั การเรียน
2. ประเมินผลจากทกั ษะ และการฝกปฏบิ ตั ิ
3. ประเมินผลการออกแบบกจิ กรรมและประยกุ ตความรูและทกั ษะในสถานการณตา งๆ

8

แผนการสอนหนว ยที่ 1

เร่อื ง ความรเู บอ้ื งตนเกย่ี วกับโรคสมาธสิ นั้ และบทบาท
ของผูปกครองในการดูแลเด็กทม่ี อี าการสมาธสิ น้ั

9

หนว ยการเรยี นรทู ี่ 1

ความรคู วามเขา ใจเก่ยี วกับโรคสมาธิส้ัน และบทบาทของผปู กครองในการดูแลเดก็
ที่มีอาการสมาธสิ ้นั

การเสริมสรางทัศนคติท่ีดีจะสนับสนุนใหผูปกครองมีแรงจูงใจและความรูสึกท่ีดี สงผลตอการปฏิบัติ
อยางเหมาะสมในการชวยเหลือเด็กที่มีปญหาสมาธิสัน้ ได

โรคสมาธิส้ันหรือ Attention-deficit hyperactivity disorder (ADHD) คือกลุมอาการท่ีเปนความ
ผดิ ปกตขิ องพัฒนาการ อนั เกิดจากความบกพรอ งในการทาํ หนา ที่ของสมอง ทาํ ใหมีปญหาในการควบคุมตนเอง
ทั้งอาการ ซน อยูไมนิ่ง (Hyperactivity) ขาดการย้ังคิดหรือหุนหันพลันแลน (Impulsivity) และขาดสมาธิท่ี
ตอเน่ือง (Inattention) โดยพฤติกรรมเหลาน้ีมีมากกวาพฤติกรรมปกติของเด็กในวัยเดียวกัน ทําใหการดําเนิน
ชีวิตประจําวันหรือการเขาสังคมบกพรองสมาธิสั้นมีความชุกรอยละ 6-10 เชื่อวาเกิดจากหลายสาเหตุทั้งจาก
พันธกุ รรมและความบกพรอ งผิดปกติทางสมอง

เด็กสมาธิส้ันมักมีปญหาในเรื่องการเรียน และทักษะทางสังคม หากไมไดรับชวยเหลือท่ีเหมาะสม
จะทําใหเกิดผลกระทบท้ังในดานการเรียน อาชีพครอบครัวและสังคม ดังนั้นการคัดกรองโรคสมาธิสั้นเปน
บทบาทหนง่ึ ท่ผี ูปกครองจะชว ยใหค น พบเด็กสมาธิส้ันไดเร็ว และพาเด็กไปรบั การรกั ษาที่เหมาะสมตอไป

ระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที

เน้ ือหา เวลา

หน่วยยอ่ ยของการเรียนรู้ 30 นาที
30 นาที
1.1 การเสริมสรา งทัศนคตทิ ีด่ ีของผปู กครองตอเดก็ สมาธสิ ้นั 30 นาที
1.2 ความรเู บ้ืองตน เก่ยี วกบั โรคสมาธสิ ้ัน
1.3 บทบาทของผปู กครองในการดูแลเด็กสมาธิสั้น

1.3.1 การคดั กรองเดก็ สมาธิสัน้ (10 นาที)
1.3.2 การตดิ ตามอาการและผลขางเคยี งจากการใชย าในเดก็ สมาธสิ ้ัน (10 นาที )
1.3.3 แนวทางการชวยเหลอื และสงตอเพื่อการรกั ษา (10นาที)

10

แผนการสอนหน่วยที่ 1

เรื่อง 1.1 การเสรมิ สรางทศั นคตทิ ดี่ ีของผูป กครองตอ เด็กสมาธิสนั้ เวลา 30 นาที

ความคิดรวบยอด

การเสรมิ สรา งทัศนคติที่ดจี ะสนับสนนุ ใหผปู กครองมแี รงจูงใจและความรูสึกที่ดี ซึ่งสงผลตอการปฏิบัติ
อยางเหมาะสมในการชวยเหลอื เด็กทม่ี ีปญหาสมาธิส้นั

จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม

ผูปกครองมีทัศนคติและความรูสึกทดี่ ีขึ้นตอเด็กท่ีมีปญ หาสมาธสิ นั้

เน้ ือหา

1. การนําเสนอปญหาของเด็กสมาธิสั้น เพื่อใหผูปกครองแสดงออกถึงทัศนคติที่มีตอเด็ก และแกไข
ความเขาใจท่ีถูกตอ งเก่ียวกับปญหาพฤติกรรมท่เี กิดขึน้

2. การนําเสนอความสําเร็จของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่มีปญหาสมาธิส้ันในวัยเด็ก สามารถเสริมสราง
ทัศนคตทิ ่ีดีและเสริมสรางแรงจูงใจในการชว ยเหลอื เด็กได

กิจกรรมการเรียนการสอน เวลาที่ใช้ ส่ือท่ีใช้
(นาที)
ลาํ ดบั กิจกรรม
2
1 - วทิ ยากรสอบถามผปู กครองถึงปญ หาพฤติกรรมของบุตรหลาน 12 - ใบงานที่ 1.1
2 - แจกใบงานท่ี 1.1ใหทําขอ 1 กอ นดู VDO
- VDO 1เด็กชายตน
- ใหดู VDO 1 เด็กชายตน (attitude) (attitude)
- ใหทาํ ใบงานที่ 1.1อีกครง้ั ในขอ 2. และ 3.
- วิทยากรเชื่อมโยงเนอ้ื หาใน VDO และเปด โอกาสใหผ ปู กครอง 12 - ใบงานที่ 1.1
แสดงความรสู กึ - VDO 2 บุคคลทมี่ ี
- ทาํ ใบงานที่ 1.1 ใหทาํ ขอ 1 หลัง ดู VDO ชอื่ เสยี ง
3 - ใหด ู VDO 2 บุคคลทีม่ ชี อ่ื เสยี ง
4 - VDO 3 การเสรมิ สรา ง
- ใหท ําใบงานท่ี 1.1อกี คร้ัง ในขอ 4. ทศั นคตทิ ดี่ ตี อเดก็ ท่ีมี
ปญ หาสมาธสิ ้นั
- วิทยากรสอบถาม แลกเปลีย่ น ความคดิ เหน็ เชอ่ื มโยงเน้ือหาและ
สรปุ ประเดน็ เสรมิ สรา งแรงจงู ใจในการชวยเหลอื เด็กได
4 - เกบ็ ใบงานท่ี 1.1
- วทิ ยากรสรุป
เดก็ สมาธสิ ้นั จําเปน ตองไดร ับความชวยเหลือจากครอบครัวหาก
ผปู กครองมีทศั นคตทิ ดี่ ี ชว ยลดผลกระทบจากจุดบกพรอง และ
พฒั นาจดุ เดนของเด็ก จะชว ยเดก็ สมาธสิ นั้ ใหส ามารถปรับตัวใน
สงั คม และประสบความสาํ เรจ็ ได

11

การประเมินผล

การสอบถามรว มกบั ประเมินความเขาใจและทัศนคติของผปู กครองตอ เด็กสมาธิส้นั จากใบงาน กอ น
และหลังการอบรมมีการเปลย่ี นแปลงไปในทางบวก

12

ใบงานท่ี 1.1

1. ทานมีความเขาใจเก่ียวกับเด็กสมาธสิ ้นั อยางไร ใหท าํ เครื่องหมาย × หนา ขอทผี่ ิด และ √ หนา ขอ ท่ีถูก

กอนเรยี น หลงั เรียน ทัศนคตทิ ่มี ีตอ เดก็ สมาธสิ น้ั

1. เด็กสมาธิสั้นสวนใหญมีเจตนา สรางปญหาตางๆ เปนเด็กเกเร ไมเช่ือฟง ไม
รบั ผิดชอบ ไมตง้ั ใจเรยี น เพื่อเรยี กรอ งความสนใจ
2. เดก็ สมาธิสั้นควรจะมคี วามคิดและพฤติกรรมที่ดีเหมือนเด็กปกติคนอื่นๆ ได
โดยไมจ ําเปนตองสอนวาควรทาํ อยางไรบา ง
3. ทง้ั ครูและผปู กครอง ควรจะมงุ ดูแลจุดแข็งมากกวาคนหาจดุ ออ นและตอกยํา้
ความลมเหลวของเดก็
4. ปญหาพฤติกรรมที่เกิดขน้ึ เปนเรื่องของโรคที่เดก็ เปนและเกนิ ความสามารถ
ของเด็กในการการควบคมุ ตนเอง ซงึ่ ผูใหญตองรว มมือกันชว ยเหลอื เด็ก
5. เปนเร่ืองปกติของวัยเด็กที่จะซนมากๆ ไมมีปญหาอะไรทจี่ ะตองจดั การ หรือ
ไปพบแพทยเพ่ือรักษา

รวมคะแนน

2. ทา นรสู กึ อยา งไรกับเรื่องของเด็กชายตน
• ตัวเดก็

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

• ครอบครัว
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

• ครู
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

3. หากทานเปนผปู กครองของเดก็ ชายตน ทา นจะทาํ อยา งไร เหมือนหรอื ตา งจากพอ แมใ น VDO อยา งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

4. หากท่ีเด็กทา นดูแลอยูเ ปน โรคสมาธิสั้น ทานคดิ วา เขาจะมีโอกาสประสบความสําเร็จในชวี ติ เหมือนบุคคลท่ีมี
ชือ่ เสียงใน VDO บา งหรอื ไม อยางไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

13

แนวทางการตอบคาํ ถาม ใบงานท่ี 1.1

ทัศนคตทิ ม่ี ตี อเดก็ สมาธิสั้น
ขอที่ ถกู คอื ขอ 3 และ 4

ขอ ที่ ผิด คอื ขอ 1, 2 , 5

คําตอบทเ่ี ปนไปได แนวโนม คําตอบที่แสดงถึงทัศนคติทไ่ี มด ี

ทา นรูสึกอยางไรกับเร่ืองของเดก็ ชายตน
ตัวเด็ก : เปน เดก็ รา เรงิ อารมณด ี อยนู ่ิงได ตัวเดก็ : เปน เดก็ เกเร ไมรูกาลเทศะ ปว นชน้ั เรยี น เปน ท่ีนา
หากใหทําสิง่ ทีช่ อบ เชน การระบายสี รังเกยี จ ควรไดร ับการลงโทษ
ครอบครัว : ถาพอแมร ูจักวิธีการดแู ลท่ี ครอบครัว : พอแมไมสนใจ ไมม ีเวลา ไมฝ ก วินยั ครอบครัว
เหมาะสมก็จะชวยใหเ ดก็ มีอาการดีข้ึนได วนุ วาย
คร:ู ถาครูใหค วามสนใจเด็ก รูจดุ แขง็ และ คร:ู เอาแตต ําหนิ ลงโทษ เมื่อทําผดิ

มวี ิธกี ารจดั การท่ีเหมาะสมก็ชวยเด็กได

มาก

ทานจะทาํ อยางไร เหมือนหรือตา งจากครูใน VDO อยางไร
ประสานความรวมมอื กับครู ในการ จะทําโทษ ดุ ตาํ หนิเดก็ เหมือน VDO ตอนตน เร่ือง

ชว ยเหลอื เด็ก และมีเวลาใหเดก็ มากขึน้

เหมอื นใน VDOตอนทา ย ๆเรือ่ ง

เด็กสมาธสิ ัน้ มีโอกาสประสบความสาํ เร็จหรอื ไมอยางไร
1. มคี วามสนใจและความถนัดในเรือ่ งใด 1. ถาเดก็ ไมรวมมือกย็ ากท่จี ะสําเรจ็
หากไดร ับการสงเสรมิ จะทําใหประสบ 2. คงตอ งใชความพยายามอยางหนกั กวา จะสาํ เรจ็
3. คงไมป ระสบความสาํ เร็จเทาเดก็ ปกติ
ความสําเรจ็ ได

2. เดก็ จะมีแรงจูงใจในการสรา งสรรคส ง่ิ

ตา ง ๆ ท่จี ะสามารถพัฒนาใหเ ปน จดุ แข็ง

ของตนเอง เมื่อครอบครัวและโรงเรียน

เขา ใจและยอมรับในตัวเดก็

14

ใบความรู้ 1.1

เด็กสมาธิส้ัน จําเปนตองไดรับการชวยเหลือจากครอบครัวดวยเสมอ การที่ผูปกครองยอมรับจุดออน
ของเดก็ และชวยลดผลกระทบจากจุดออนนั้น รวมถึงการพัฒนาจุดเดน จะชวยพัฒนาใหเด็กสมาธิส้ันสามารถ
ปรับตัวในสังคม และประสบความสาํ เร็จได

การมที ศั นคติทไ่ี มถกู ตองจากความไมรูขอเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กสมาธิส้ัน ทําใหมีความคาดหวังท่ีไมเปน
จรงิ สง ผลใหม ีทศั นคติท่ีไมด ีตอครู และมีมุมมองท่ีไมดีตอตนเอง ดังน้ันการปรับเปลี่ยนไปสูมุมมองที่ถูกตองจะ
ชว ยใหม ีความเขา ใจเดก็ สมาธสิ ้ันได มากขึ้น อีกทัง้ ยังลดความคาดหวัง และมุงเปาหมายการดูแลเด็กตามความ
เปนจริง มองปญหาเดิมเปนเพียงการทําหนาที่บกพรองหรือความไมรู อันจะทําใหเกิดพลังที่จะจัดการปญหา
ดวยวธิ ใี หมๆ อยา งมปี ระสิทธภิ าพมากขึน้

ตวั อยา ง ทัศนคตทิ ่ไี มถ ูกตอง ตวั อยา ง ทัศนคติท่ถี ูกตอง

× เดก็ สมาธสิ ้ันเปน เดก็ เกเร ไมเชอ่ื ฟง ไม  ปญ หาพฤติกรรมท้ังหลายทเี่ กิดขนึ้ ไมใช
รบั ผิดชอบ ไมตง้ั ใจเรยี น ตั้งใจสรา งปญหา ความผิดของใครคนหนงึ่ คนใด แตเ ปนเรื่อง
ตา งๆ โดยเจตนาเพ่ือเรยี กรองความสนใจ ของโรคท่ีเดก็ เปน

× เด็กสมาธสิ ัน้ ควรจะมีพฤติกรรมเหมอื นเด็ก  ปญหาพฤติกรรมทง้ั หลายท่ีเกิดขึ้น เกนิ การ
ปกติคนอื่นๆ ได โดยไมจ ําเปนตอ งสอนวาเขา ควบคุมของเด็ก ไมค วรคาดหวังตอ พฤติกรรม
ควรประพฤตติ นอยางไร ของเด็ก แตเ ด็กจําเปน ตองไดรบั การสอนใหมี
พฤติกรรมท่เี หมาะสม ซึง่ ตอ งรว มมือกนั
× มองวา เปนเร่ืองปกตขิ องวยั เด็ก ไมมีปญ หา ชวยเหลือเดก็ ทง้ั ที่บานและท่ีโรงเรียน
อะไรทจ่ี ะตอ งไปพบแพทย ปฏเิ สธและไม
ยอมรับวาเดก็ เปนสมาธิส้ัน  ยอมรบั สง่ิ ที่เขาเปน มุงดูแลจุดแขง็ ไมสนใจ
จุดออ นและความลม เหลวของเดก็
× ครูไมมคี วามสามารถทจ่ี ะชวยเหลือเด็ก สอน ปรับเปลี่ยนวธิ กี ารเล้ยี งดใู หเ หมาะสม
ไมเกง ลงโทษเดก็ ไมเหมาะสม ละเลยไม
สนใจเด็ก จงเกลยี ดจงชังเด็ก  เปด ใจรบั ฟง ขอ มูลพฤติกรรมของเด็กจากครู
และรว มหาทางออกในการแกไขปญหาน้นั ๆ
× ตัวผูป กครองเอง ไมม ีเวลาใหเ ด็ก เล้ยี งลกู ไม อยางเหมาะสม เลกิ โทษผูอน่ื ใหอภยั ตัวเอง
ถูกวธิ ี ไมมีความสามารถในการจดั การปญหา ไดและพรอมเริ่มตนใหม
พฤติกรรมของเด็ก

15

แผนการสอนหน่วยท่ี 1

เรอื่ ง 1.2 ความรูเ บอ้ื งตนเก่ยี วกับโรคสมาธิส้นั เวลา 30 นาที

ความคิดรวบยอด

โรคสมาธิสั้น หรือ Attention-deficit hyperactivity disorder (ADHD) คือกลุมอาการที่เปนความ
ผิดปกตขิ องพัฒนาการ อนั เกิดจากความบกพรองในการทาํ หนา ที่ของสมอง ทําใหมีปญหาในการควบคุมตนเอง
ท้ังอาการ ซน อยูไมน่ิง (Hyperactivity) ขาดการยั้งคิดหรือหุนหันพลันแลน (Impulsivity) และขาดสมาธิที่
ตอเน่ือง (Inattention) โดยพฤติกรรมเหลานี้มีมากกวาพฤติกรรมปกติของเด็กในวัยเดียวกัน ทําใหเสียหนาที่
ในการดําเนนิ ชวี ิตประจาํ วันหรอื การเขาสงั คม

เปน โรคทพี่ บไดบอ ยทีส่ ุดในเด็กวัยเรยี น ปจ จุบันยังไมม ีการอธิบายสาเหตุการเกิดโรคสมาธิสั้นท่ีระบุได
ชัดเจน เชื่อวาเกิดจากหลายสาเหตุท้ังจากพันธุกรรมและความบกพรองทางสมอง สวนปจจัยแวดลอมอื่นๆ
ไมไดเ ปนสาเหตุโดยตรงแตเปน ปจจัยรว มทเี่ สย่ี งตอการเกิดโรคสมาธิสั้นไดม ากกวา ทั่วไป

ผูปวยโรคสมาธิส้ันประมาณ 2 ใน 3 มีโรครวมท่ีพบอยางนอย 1 โรค ซึ่งมักทําใหผลการรักษาโรค
สมาธิส้ันไมดีหากไมไดรับการรักษาโรครวม ปจจุบันการรักษาที่ใหผลดีที่สุดในผูปวยสมาธิสั้น คือ การรักษา
แบบผสมผสาน ระหวางการใชยา เพื่อชวยปรับการทํางานของสมอง รวมไปกับการปรับพฤติกรรมท้ังท่ีบาน
และการชวยเหลือดานการเรียนที่โรงเรียน โดยประมาณ 30 – 50% ของเด็กสมาธิส้ันมีโอกาสหายจากโรคน้ี
และสามารถเรียนหนังสือหรือทํางานไดตามปกติ สวนผูปวยท่ีไมไดรับการรักษาจะเกิดผลกระทบทั้งระยะส้ัน
และระยะยาวจากอาการของโรค และทาํ ใหม ีพยากรณโ รคท่ีแยลงได

จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม

1. ผปู กครองรจู ักโรคสมาธิส้ันมากขึ้น สามารถระบุอาการของโรคสมาธิสั้นไดท้ัง ดานการขาดสมาธิที่
ตอเนื่อง (Inattention) ซนมากกวาปกติหรืออยูไมน่ิง (Hyperactivity) และขาดการยั้งคิดหรือหุนหันพลัน
แลน (Impulsivity)

2. ผูปกครองมีความรูความเขาใจถึง สาเหตุ โรคท่ีพบรวม รวมถึงทราบวิธีการรักษาและผลกระทบ
ของโรคสมาธสิ นั้ ในเบ้ืองตน

เน้ ือหา

1. การนําเสนออาการของเด็กสมาธสิ นั้ รวมถึงอาการของโรคอื่น ๆ ท่ี คลา ยกบั โรคสมาธิสัน้
2. การนําเสนอสาเหตุของโรคสมาธิสั้นและโรคท่ีพบรวมกับโรคสมาธิส้ันไดบอย วิธีการรักษา
ผลกระทบ ของโรคสมาธสิ น้ั

16

กิจกรรมการเรยี นการสอน เวลาท่ีใช้ ส่ือท่ีใช้
(นาที)
ลาํ ดบั กิจกรรม
2
1 -วิทยากรสอบถามผปู กครองเก่ียวกับอาการและพฤติกรรมของเด็ก
สมาธสิ ัน้ เพื่อนาํ เขาสูบทเรียน 8 - ใบงานที่ 1.2.1
- VDO 4 การวินิจฉยั
2 - แจกใบงานที่ 1.2.1 โรคสมาธิสน้ั
- ดู VDO เด็กชายตน (อาการ)
10
3 -วิทยากรสรุปอาการสมาธสิ น้ั ตามเกณฑการวินจิ ฉยั ของ DSM-V
และอธิบายอาการของโรคอนื่ ๆ ทคี่ ลายกับโรคสมาธสิ น้ั 8 - VDO 5 ความรเู บื้องตน
- เกบ็ ใบงานท่ี 1.2.1 เกย่ี วกับโรคสมาธสิ ้นั
- ใบงานที่ 1.2.2
4 - แจกใบงานที่ 1.2.2
- วทิ ยากรบรรยาย สาเหตแุ ละโรคทพ่ี บรวมกบั โรคสมาธสิ น้ั ไดบอย 2
วิธีการรักษาและผลกระทบของโรคสมาธสิ ัน้
- เก็บใบงานท่ี 1.2.2

5 - วิทยากรสรุป
โรคสมาธสิ นั้ เกดิ จากความบกพรองในการทาํ งานของสมอง ทําใหมี
ปญ หาในการควบคมุ ตนเอง หากไมไดร ับการรกั ษาจะทาํ ใหเ กดิ ผล
กระทบมากมายตอตวั เด็กและครอบครัว

การประเมินผล

จากการสอบถาม และใบความรู โดยพบวาผูปกครองสามารถระบุอาการของโรคสมาธิส้ันและทราบ
อาการของโรคอ่นื ๆ ท่ีคลายกับโรคสมาธสิ น้ั ได

17

ใบงานที่ 1.2.1

อาการสมาธสิ ั้นมลี กั ษณะอยางไรบาง

อาการขาดสมาธิ ไดแ ก อาการซนไมน่ิง – หนุ หันพลนั แลน ไดแ ก

18

แนวทางการตอบคาํ ถาม ใบงานที่ 1.2.1

อาการขาดสมาธิ ไดแ ก อาการซนไมนิง่ – หุนหนั พลนั แลน ไดแก

• วอกแวก • ยกุ ยกิ อยไู มสุข
• ไมม สี มาธขิ ณะทาํ งาน • น่งั ไมติด เคลอ่ื นไหวตลอดเวลา
• ทาํ งานไมเ รียบรอ ย • เลน ไมเหมาะสมกับกาลเทศะ
• เหมอลอย
• ทํางานไมค รบ ไมเสร็จ ปนปายเกนิ ควร
• ขีล้ มื • เลนเสียงดงั
• ทําของหายบอย • พูดมาก
• หลกี เล่ยี งงานที่ตองใชส มาธิ • แทรก ขดั จังหวะ แยง เพอื่ นเลน
• สะเพรา ไมรอบคอบ • รอคอยไมเ ปน

19

ใบงานที่ 1.2.2

1. การรักษาโรคสมาธสิ นั้ ในปจจุบนั มีอะไรบาง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………

2. เดก็ สมาธิสน้ั ท่ีไมไดรบั การรกั ษา จะสงผลกระทบตอตวั เด็กและครอบครวั อยา งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………….

3. เด็กสมาธิสั้นมโี อกาสหายหรือไม อยา งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………….

20

ใบความรู้ 1.2

โรคสมาธิส้ันหรือ Attention-deficit hyperactivity disorder (ADHD) คือกลุมอาการท่ีเปนความ
ผิดปกติของพัฒนาการ อนั เกิดจากความบกพรอ งในการทําหนา ทข่ี องสมอง ทําใหมีปญหาในการควบคุมตนเอง
ทั้งอาการ ซน อยูไมน่ิง (Hyperactivity) ขาดการย้ังคิดหรือหุนหันพลันแลน (Impulsivity) และขาดสมาธิที่
ตอ เน่ือง (Inattention) โดยพฤติกรรมเหลานี้มีมากกวาพฤติกรรมปกติในเด็กวัยเดียวกัน ซึ่งสงผลทําใหใหการ
ทําหนาทใ่ี นการดําเนนิ ชวี ิตประจาํ วันหรือการเขา สงั คมบกพรองไป

การวินิจฉัยโรคสมาธิส้ัน ตามเกณฑการวินิจฉัยของ Diagnostic and Statistical Manual of
Mental Disorders, Fifth Edition (DSM-V) ซง่ึ เปนเกณฑใหมล า สดุ คอื

A. จะตองมีอาการตอไปนี้ อยางนอย 6 ขอข้ึนไป เปนเวลานานติดตอกันอยางนอย 6 เดือน ในกลุม
อาการขาดสมาธิ (inattention) และ/หรือ อาการอยูไมนิ่ง-หุนหันพลันแลน (hyperactivity-impulsivity)
ดงั น้ี

 กลุมอาการขาดสมาธิ (Inattention) ไดแก

1) ไมสามารถจดจํารายละเอียดของงานทท่ี าํ ได หรือ ขาดความรอบคอบ
2) ไมมสี มาธิในขณะทาํ งานหรือเลน
3) ดเู หมือนไมค อยฟงเวลาพูดดว ย ไมสนใจฟงคาํ พดู ของผอู ืน่
4) ไมสามารถตง้ั ใจฟง และเก็บรายละเอียดได ทํางานไมครบ ไมเสร็จ และผิดพลาดบอยๆ
5) ทาํ งานไมคอยเปน ระเบยี บ มีปญหาในการจัดระบบงานหรือกจิ กรรม
6) มีปญหาหรอื พยายามหลีกเล่ียงงานที่ตองใชค วามใสใจพยายาม หรอื ใชสมาธิ
7) วอกแวกงา ยจากส่ิงเราตาง ๆ
8) ทําของใชส วนตัว หรือของใชท ่ีจาํ เปนสําหรบั งานหรือการเรียน หายบอ ยๆ
9) ข้ีลมื บอ ยๆ ในกิจวัตรประจําวันท่ีตอ งทาํ เปน ประจํา

 กลุมอาการอยูไมน ่ิง-หุนหนั พลันแลน (hyperactivity-impulsivity) ไดแก

1) มกั ยกุ ยิก อยูไมส ขุ ชอบขยับมอื และเทาไปมา
2) นงั่ ไมต ิดท่ี ลุกเดินบอยๆ ขณะอยทู ีบ่ านหรือในหองเรยี น
3) ชอบวิ่ง หรอื ปนปา ยสงิ่ ตา งๆ โดยไมเหมาะสมกับกาลเทศะ
4) พูดมากเกนิ ควร พดู ไมห ยดุ
5) ไมส ามารถทาํ กจิ กรรมเงยี บๆ ได เลน เสยี งดงั
6) เคลือ่ นไหวหรอื ตน่ื ตวั อยตู ลอดเวลา เหมือนตดิ เครื่องยนต
7) มักชิงตอบคาํ ถามกอน โดยท่ียังฟงคําถามไมจบ
8) รอคอยไมได ไมช อบการเขาคิว
9) ชอบขัดจงั หวะหรือสอดแทรกเวลาผอู น่ื กาํ ลงั พดู อยู หรือแยงเพ่อื นเลน

21

B. อาการความบกพรองในบางขอเริ่มปรากฏตั้งแตก อนอายุ 12 ป
C. พบอาการเหลา นใี้ นสถานการณอยา งนอย 2 แหง ขนึ้ ไปเชน ทีโ่ รงเรยี น ทท่ี าํ งาน หรอื ท่บี าน
D. อาการ ดังกลา ว สง ผลกระทบตอการเขาสงั คม การเรียน หรอื การทาํ งานอยา งชดั เจน
E. ไมไ ดเ ปน จากโรคทางจติ เวชอืน่ ๆ
การจําแนกกลมุ อาการสมาธิสั้น มีทัง้ สน้ิ 3 แบบ ดังน้ี
1. Inattentive Subtype

- มีอาการในกลุมขาดสมาธิต้งั แต 6 ขอ ขน้ึ ไป
- มีอาการในกลุมอยูไมน ่งิ /หุนหันพลันแลนไมถงึ 6 ขอ
2. Hyperactive-Impulsive Subtype
- มีอาการในกลุมอยูไมน ง่ิ /หุนหันพลนั แลนตั้งแต 6 ขอ ข้ึนไป
- มีอาการในกลุมขาดสมาธิไมถ งึ 6 ขอ
3. Combined Subtype
- มอี าการในกลุมขาดสมาธิต้งั แต 6 ขอ ข้ึนไป
- มีอาการในกลุมอยูไมน งิ่ /หนุ หนั พลันแลนตง้ั แต 6 ขอข้ึนไป

อาการสมาธสิ ้ันในแตละชว งวัย วยั ประถมศึกษา วัยมธั ยมศกึ ษา
วยั อนบุ าล  สมาธสิ ัน้ วอกแวกงา ย  อาการไมนิ่งลดลง
 ไมส ามารถทาํ งานเสร็จรวด  ไมมีสมาธิมากขึ้น
 ขวบปแ รกมีลักษณะเลย้ี ง  ชอบความทา ทาย
ยาก เดยี ว  เบ่ืองา ย
 การควบคุมตนเองไมดี  เกิดพฤตกิ รรมเกเร
 พัฒนาการเรว็ เรม่ิ เดินก็  อาจมีกาวรา ว หงุดหงดิ งา ย  ไมมีความม่นั ใจ
จะซนไมน ิ่ง วง่ิ ปน ปา ยไม  ทนตอความคับของใจไมได
หยดุ  รบกวนช้นั เรียน
 ไมร ว มมือในการทําตามกฎ
 คนรอบขางมองเห็นความ  เขากับเพ่อื นไมได
ซนผดิ ปกติ มีอุบตั ิเหตุ
บอย ดือ้ มาก กาวรา ว

อยา งไรกต็ ามตองพึงระวังภาวะอื่นๆทีจ่ ะทําใหเขาใจผิดวาเปน อาการของโรคสมาธิส้ันซ่ึงจะมีอาการที่
คลายกันได แตไมครบตามเกณฑการวินิจฉัยขางตน ไดแก อาการวิตกกังวล หรือซึมเศรา , บกพรองทาง
สติปญญา หรือมีพัฒนาการลาชา, ออทิสติก, บกพรองทางการเรียนรู , การเล้ียงดูท่ีไมมีวินัย ขาดความเอาใจ
ใส ถกู ทํารายหรือถูกทอดท้งิ ฯลฯ ซึง่ การวินิจฉัยแยกโรคตองอาศัยการสังเกตและการวินิจฉัยจากแพทย

โรคสมาธิส้ันเปน โรคทีพ่ บไดบอยทสี่ ุดในเด็กวัยเรียน สําหรับประเทศไทยพบประมาณรอยละ 5 สวน
ใหญพบในเด็กผูชายมากกวาเด็กผูหญิง ในสัดสวน 3:1ปจจุบันยังไมมีการอธิบายสาเหตุการเกิดโรคสมาธิส้ันท่ี
ระบไุ ดชัดเจน ผลวิจัยปจจุบันพบวา เด็กที่เปนโรคสมาธิส้ันจะมีความบกพรองของสมองสวนหนา(Prefrontal
lobes) ท่ีไมสามารถทําหนาที่เก่ียวกับ การแกปญหา สรางสมาธิ การใชเหตุผล การวางแผน และการทํางาน
ตามข้ันตอนไดเหมือนสมองของเด็กปกติอีกท้ังยังพบวาผูท่ีเปนสมาธิสั้นยังมีขนาดของโครงสรางทางสมอง

22

แตกตางจากคนทั่วไป รวมถงึ มปี ริมาณสารเคมีท่ีสําคัญบางตัว (Dopamine , Norepinephrine) ในสมองนอย
กวาเด็กปกติ โดยมีการถายทอดทางกรรมพันธุเปนปจจัยท่ีสําคัญ ประมาณ 30-40 % ของเด็กสมาธิสั้นจะมี
สมาชิกในครอบครัวคนใดคนหนึ่งเปนโรคสมาธิสั้นหรือมีปญหาอยางเดียวกันดวย สวนปจจัยจากการเลี้ยงดู
หรือส่ิงแวดลอมเปน เพยี งปจจยั เสริมทท่ี าํ ใหอาการหรือความผิดปกติดีข้นึ หรือแยล งเทานั้น แตไมใชสาเหตุหลัก
เชน มารดาที่ขาดสารอาหาร ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือถูกสารพิษบางชนิด (เชน ตะกั่ว) ในระหวางตั้งครรภ จะมี
โอกาสมลี ูกเปน โรคสมาธิสน้ั สงู ขน้ึ การดทู ีวีหรือเลนเกมมากเกินไปกไ็ มใชสาเหตุที่ทําใหเด็กเปนโรคสมาธิสั้นแต
อาจจะทําอาการของโรคแยล ง

โรครวมทีพ่ บบอย
ผูปว ยสมาธิสน้ั ประมาณ 2 ใน 3 จะมโี รครวมทพี่ บอยางนอ ย 1 โรคซ่งึ มักทําใหผลการรักษาโรคสมาธิ
สน้ั ไมด ีหากไมไดรบั การรักษาโรครว มนน้ั ๆซ่ึงโรคทีม่ ักพบรวมไดบอย ไดแก

โรคทีพ่ บรว ม รอ ยละ
โรคด้อื ตอตาน ( Oppositional defiant disorder) 40
โรควิตกกงั วล ( Anxiety disorders) 20-30
โรคบกพรองการเรยี นรู ( Learning disorders ) 20-25
โรคทางอารมณ เชน ซึมเศรา อารมณแ ปรปรวน ( Mood disorder) 20-30
โรคเกเร ( Conduct disorder) 20-30
อาการทีเ่ กิดจากการใชส ารเสพตดิ ( Substance use disorder ) 10-20
โรคกลามเนอื้ กระตกุ ( Tic disorders) 5-10

ปจจุบันการรักษาท่ีใหผลดีที่สุดในผูปวยสมาธิสั้น คือ การรักษาแบบผสมผสานหลาย ๆ ดาน
ดังตอไปนีเ้ ขา ดวยกัน

1.) การปรบั เปลี่ยนพฤตกิ รรม
2.) การชว ยเหลือทางดา นจิตใจสําหรบั เด็กและครอบครัว
3.) การชว ยเหลอื ทางดา นการเรยี น
4.) การรกั ษาดว ยยา
ขอบงช้ีในการใชยา คือ เมื่อมีการวินิจฉัยที่แนชัดวาผูปวยเปนโรคสมาธิสั้นและมีอาการมากจนสงผล
กระทบตอการเรียนหรือการดําเนินชีวิตประจําวัน รวมถึงกรณีที่การปรับพฤติกรรมหรือปรับส่ิงแวดลอมไม
สามารถลดปญหาทเ่ี กิดจากอาการสมาธสิ น้ั ได ซง่ึ ไดแ ก

o เด็กไมสามารถเรยี นหนังสือไดเทาทีค่ วรทาํ ได
o กอความวนุ วายในชนั้ จนครูไมสามารถดแู ลได
o รบกวนเพ่ือนในหอง ดื้อมาก ดแู ลตนเองไมได
o มปี ญหาพฤตกิ รรมที่เส่ยี งตอการเกิดอันตรายตอ ตนเองและผูอน่ื
ปจจุบันยาท่ีไดผลดีท่ีสุดสําหรับโรคสมาธิส้ัน คือ ยาในกลุม Psychostimulants ยาจะออกฤทธ์ิ โดย
การไป “กระตุน” เซลลสมองใหเพิ่มสารเคมี ตัวที่เด็กมีนอยกวาเด็กปกติ ออกมา ชวยใหเด็กสามารถควบคุม
ตวั เองไดด ีขน้ึ มีสมาธิยาวนานขึ้น ซนนอยลง ดสู งบ และอาจชวยใหผลการเรียนดีขึ้น ผลท่ีตามมา เม่ือเด็กไดรับ

23

การรักษาอยางถูกวิธี คือ เด็กจะมีความรูสึกมีคุณคาในตัวเอง (self-esteem) เพ่ิมข้ึน และมีความสัมพันธกับ
เพือ่ นหรอื คนรอบขา งดขี ้ึน

เด็กบางคนทีอ่ าการไมรนุ แรง ไมมโี รคแทรกซอน พอ แม ครู เขาใจและใหความชวยเหลือเต็มท่ี อาจจะ
มีโอกาสหายจากโรคน้ีไดและไมจําเปนตองรับประทานยาตลอดชีวิต มีความเปนไปไดนอยท่ีเด็กจะหายจาก
สมาธิส้ันกอนอายุ 12 ป ดังน้ันเด็กในวัยประถมควรไดรับการรักษาดวยยาอยางตอเน่ือง แตจะมีเด็กอยู
ประมาณ 50% ที่มีอาการรุนแรง มีภาวะแทรกซอน เด็กกลุมนี้อาจมีอาการติดตัวจนกระทั่งเปนผูใหญ มี
งานวิจัยมากมายทีย่ นื ยันความปลอดภัยของยากลุมนี้ โดยพบวาเด็กสมาธิสั้นที่กินยากลุมน้ีติดตอกันไปนานๆมี
การเจริญเตบิ โตทางรางกายและมพี ัฒนาการทางสมองเปน ปกติ

ผลกระทบ
ผูปวยโรคสมาธสิ ้ัน หากไมไดร บั การรักษาจะเกิดผลกระทบแงลบในดานตาง ๆ มากมาย ท้ังตอตัวเด็ก
และครอบครวั
ผลกระทบตอตวั เด็ก มกั จะมีปญหาดานการเรยี น เรยี นไดไ มด ีอาจถูกใหเรียนซ้ําช้ัน อาจเรียนไมจบชั้น
มัธยม หรือตองเรยี นตอ สายอาชีพ มีปญหาพฤตกิ รรมในหอ งเรียน ทําใหถูกทําโทษบอย ๆ หรือถูกพักการเรียน
ความรูสึกมีคุณคาในตัวเองตํ่า (low self-esteem) เนื่องจากคนรอบขางมักจะคอยตําหนิ จับผิด ลงโทษเด็ก
อยูเสมอ มีปญหาการเขาสังคม ไมเปนที่ยอมรับของเพื่อนและคนรอบขาง ไมประสบความสําเร็จทางดาน
อาชพี การงานเม่อื โตขึน้ มีความเสยี่ งสูงทจ่ี ะติดสารเสพตดิ เนอื่ งจากชอบทดลองส่ิงท่ีตื่นเตนเราใจ เสี่ยงตอการ
ทาํ ผิดกฎหมาย มีความเส่ียงสงู ท่จี ะเกดิ อุบัติเหตุ เนื่องจากชอบกิจกรรมท่ีทาทาย เสี่ยงตออันตราย และปญหา
ทางจิตเวชอ่ืนๆ ซง่ึ เปนผลกระทบทีต่ ามมาเม่ือโตขึน้ เพราะโรคสมาธิส้ันไมใชโรคท่ีเกิดเฉพาะกับเด็กหรือพบได
เฉพาะในวัยเด็กเทานั้น ปจจุบันพบวามีผูใหญหลายๆคนท่ีมีปญหานี้และไมไดรับการรักษาท่ีเหมาะสม ทําให
ชีวติ ไมป ระสบความสําเร็จเทา ทีค่ วร
ผลกระทบตอครอบครัว ไดแก ทําใหเพ่ิมระดับความเครียด เกิดภาวะซึมเศราในครอบครัวสูงข้ึน ทํา
ใหเกิดปญหาหยาราง ครอบครัวขาดความสงบสุข ทําใหบุคคลในครอบครัวเสียโอกาสในอาชีพการงาน
เนอื่ งจากเสยี เวลาไปกับการดแู ลเด็กมาก
โอกาสหายของโรคสมาธิสน้ั
สําหรับพยากรณโรค เมื่อผานชวงวัยรุน ประมาณ 30 – 50% ของเด็กสมาธิส้ัน มีโอกาสหายจากโรค
นี้ และสามารถเรียนหนังสือหรือทํางานไดตามปกติ โดยไมตองรับประทานยา สวนใหญของเด็กสมาธิส้ันจะ
ยังคงมีความบกพรองของสมาธิอยูในระดับหนึ่ง ถึงแมวาเด็กดูเหมือนจะซนนอยลงและมีความสามารถในการ
ควบคุมตนเองดขี นึ้ เม่อื โตเปนผใู หญแ ลวบางคนหากสามารถปรับตัวและเลือกงานที่ไมจําเปนตองใชสมาธิมาก
นักก็จะมีโอกาสประสบความสําเร็จและดําเนินชีวิตไดตามปกติ บางคนอาจจะยังคงมีอาการของโรคสมาธิสั้น
อยูมาก ซึ่งจะเปนผลเสียตอการศึกษาตอ การงาน และการเขา สังคมกับผอู น่ื เด็กสมาธิส้ันท่ีอาการยังไมหายเม่ือ
โตขน้ึ จงึ จาํ เปน ตอ งไดรับการรักษาดว ยยาอยา งตอ เน่ือง

24

แผนการสอนหน่วยที่ 1

เรอ่ื ง 1.3 บทบาทของผูปกครองในการดแู ลเดก็ สมาธิสั้น เวลา 30 นาที
1.3.1 การคัดกรองเด็กสมาธิสั้น เวลา 10 นาที

ความคิดรวบยอด

การคัดกรองโรคสมาธิสั้นเปนบทบาทหนึ่งที่ผูปกครองจะชวยใหคนพบเด็กสมาธิส้ันไดเร็ว อันจะชวย
ใหสามารถจัดการดูแลเด็กไดดีขึ้น รวมท้ังเปนการปองกันปญหาที่เปนภาวะแทรกซอนอันจะตามมาในอนาคต
ไดอีกดวย อยางไรก็ตามการวินิจฉัยท่ีถูกตองยอมตองอาศัยการสัมภาษณทางคลินิกรวมกับการ สืบหาขอมูล
จากหลายแหลง เชน ครู ผูปกครอง ประวัติอดีต ประวัติครอบครัวและการเลี้ยงดู รวมท้ัง ขอมูลอ่ืนๆ ที่
เกี่ยวของรวมดวย

จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม

ผูปกครองสามารถคดั กรองอาการตา ง ๆและประเมินความรุนแรงของอาการเด็กสมาธิสนั้ ในเบื้องตนได

เน้ ือหา

1. การนําเสนอวธิ กี ารใชแ บบสอบถามSNAP-IV ท่ใี ชในการคัดกรองเด็กทีส่ งสัยสมาธสิ นั้ เบือ้ งตน
2. ใหผูปกครองไดฝกทกั ษะการคดั กรองและสังเกตเด็กจาก VDO

กจิ กรรมการเรียนการสอน กิจกรรม เวลาท่ีใช้ สื่อท่ีใช้
ลาํ ดบั (นาที) - VDO 6 การคดั กรองโรค
สมาธิสนั้ ดว ยแบบประเมิน
1. วทิ ยากรสอบถามเกริ่นนําถึงบทบาทของผูป กครองท่ีตอ งดแู ลเดก็ ท่ี 1 SNAP IV
บาน โดยการสังเกตพฤตกิ รรมมคี วามสาํ คญั ที่จะคดั กรองและใหการ
ชว ยเหลือเด็กสมาธสิ ้ันไดเร็วย่งิ ขึน้ 5

2. วิทยากรสอนการใชแ บบคดั กรอง SNAP-IV เชื่อมโยงกับเนื้อหา

3. - แจกแบบสอบถาม SNAP-IV (ใบงาน 1.3.1) ใหฝ กคัดกรอง 3 - ใบงาน 1.3.1
แบบสอบถาม SNAP-IV

25

ลาํ ดบั กิจกรรม เวลาท่ีใช้ สื่อท่ีใช้
4. วิทยากรสรุป (นาที)
การคัดกรองโรคสมาธิส้ันเปนบทบาทหนง่ึ ทผี่ ปู กครองจะชวยให
คนพบเดก็ สมาธิสน้ั ไดเ ร็ว อันจะชว ยใหส ามารถจดั การดแู ลเดก็ ไดด ี 1
ขน้ึ รวมท้งั เปน การปอ งกนั ปญหาทเ่ี ปน ภาวะแทรกซอนอันจะตามมา
ในอนาคตไดอกี ดวย

การประเมินผล

แบบสอบถาม SNAP-IV โดยพบวาผูป กครองสามารถคดั กรองอาการของเด็กสมาธิสน้ั ในเบอื้ งตน ได

26

ใบความรู้ 1.3.1

การสังเกตพฤติกรรมของเด็กในช้นั เรยี นและท่ีบานมีความสําคญั ท่ีจะเปนขอมลู พ้ืนฐานในการคัดกรอง
และใหก ารชว ยเหลอื เด็กไดเ ร็วยิ่งขึ้น แมว าแบบสอบถามที่ใชคัดกรองเดก็ สมาธิสน้ั จะมหี ลากหลาย เชน แบบ
ประเมินพฤติกรรมเด็ก (SDQ) , แบบคัดกรอง KUS-SI , Conners rating scale, THASS ฯลฯแตท่ใี ชไ ดงา ยใน
ครแู ละผูปกครอง สําหรับหลักสูตรนี้ ไดแ ก SNAP-IV ซึ่งมีขอ คําถามใกลเ คยี งกับเกณฑก ารวนิ จิ ฉัยโรค

โดยแบบสอบถาม SNAP-IV ท่ถี ูกพฒั นาข้นึ ในป 1992 โดย Swanson, Nolan และ Pelham เพ่อื ใช
ในการคัดกรองโรคสมาธสิ ัน้ และโรคดือ้ ตอตาน (Oppositional Defiant Disorder) ซงึ่ เปนโรครวมทพ่ี บได
บอยในเด็กสมาธสิ ั้น

แบบสอบถาม SNAP-IV ฉบับภาษาไทยมีการแปลโดย ผศ.นพ.ณัทธร พิทยรัตนเสถียร ประกอบดวย
ขอ คาํ ถาม 26 ขอ จาํ แนกเปน 3 ดา น ดังนี้

1) ดา นขาดสมาธิ 9 ขอ ไดแ ก ขอ 1-9 (SNAP-Inattention)
2) ดา นซน อยูไ มนิง่ /หนุ หันพลันแลน 9 ขอ ไดแก ขอ 10-18 (SNAP-Hyperactivity/Impulsivity)
3) ดา นด้อื /ตอตา น 8 ขอไดแ ก ขอ 19-26 (SNAP-ODD)
ดงั ตวั อยา ง

27

ใบงาน 1.3.1

แบบประเมินพฤติกรรม SNAP-IV (Short Form)

ขอ มลู ของเด็ก เพศ..............................อาย.ุ .......................ป ชนั้ เรียน.....................................................
ผตู อบแบบสอบถามมคี วามสัมพนั ธก ับเด็กเปน...........................................วันทป่ี ระเมนิ ............................
กรุณาทาํ เครอื่ งหมาย √ วา อาการในแตละขอน้ันตรงกับลักษณะของเดก็ ทท่ี า นประเมนิ เพียงใด

ไมเ ลย เลก็ นอ ย คอนขางมาก มาก

01 23

1. มักไมล ะเอยี ดรอบคอบหรือสะเพราในการทํางานตาง ๆ เชน
การบาน
2. ทําอะไรนาน ๆ ไมไ ด
3. ดูเหมือนไมค อ ยฟง เวลามคี นพดู ดวย
4. มักทําการบา นไมเ สรจ็ หรอื ทํางานทไี่ ดร ับมอบหมายไมส าํ เร็จ
5. จดั ระเบยี บงานและกจิ กรรมตางๆ ไมเ ปน
6. มกั หลกี เลยี่ งกจิ กรรมที่ตอ งใชความอดทนในการทาํ ใหสําเร็จ
7. ทาํ ของหายบอย ๆ (เชน ของเลน สมดุ จดงาน เครอื่ งเขียน )
8. วอกแวกงา ย
9. ข้ีลมื
Total อาการขาดสมาธิ (Inattentive symptom) =………..คะแนน
10. มอื เทายกุ ยกิ นัง่ บิดไปมา
11. น่งั ไมติดท่ี ชอบลุกจากท่ีนัง่ ในชัน้ เรียน หรอื จากท่ที ค่ี วรจะนั่ง
เรียบรอย
12. ว่ิงหรือปน ปา ยมากเกินควรอยา งไมร ูก าลเทศะ
13. เลน หรือทาํ กิจกรรมเงยี บ ๆ ไมเ ปน
14. พรอ มจะเคล่ือนไหวอยูเ สมอเหมือนติดเครอ่ื งอยูต ลอดเวลา
15. พูดมาก
16. มักโพลงคําตอบออกมากอ นจะฟงคําถามจบ
17.ไมช อบรอควิ
18. ชอบสอดแทรกผอู ื่น เชน ชอบพดู แทรกขณะผูใหญก ําลังสนทนากัน
Total อาการซน อยไู มนงิ่ /หุนหนั พลันแลน (Hyperactivity/impulsivity symptoms)=……….คะแนน
19. อารมณเ สียงา ย
20. ชอบโตเถียงกับผูใหญ
21. ไมยอมทาํ ตามส่ิงที่ผใู หญส งั่ หรือวางกฎเกณฑไ ว
22. จงใจกอ กวนผูอน่ื
23. มกั ตําหนิผอู ื่นในสิง่ ท่ตี นเองทาํ ผดิ
24. ขร้ี ําคาญ
25. โกรธบ้งึ ตึงเปนประจาํ
26. เจาคิดเจาแคน
Total อาการด้ือ / ตอตา น (Oppositional defiant disorder)=………..คะแนน

28

วิธีการแปลผลดังน้ี
แตล ะขอคดิ คะแนนเปน 4 ระดับ
0 = ไมเลย
1 = เลก็ นอย
2 = คอ นขา งมาก
3 = มาก

แลวรวมคะแนนของแตละดา นเปรยี บเทียบกับ คะแนนมาตรฐานของผูปกครอง หากมีคะแนนมากกวาหรือ
เทา กับคะแนนมาตรฐาน ใหส งสัยวาเด็กมปี ญ หาในดา นนนั้ ๆ กอนพาเด็กไปพบแพทยเพื่อไดร บั การตรวจ
เพ่ิมเติมตอไป
หมายเหต:ุ ผปู กครองอาจใหครชู วยประเมินดวย แบบประเมนิ เดียวกนั เพ่ือยนื ยันวา เดก็ มีความเสีย่ งกอนไป
พบแพทย เพ่ือใหการตรวจวนิ จิ ฉยั เปน ไปอยา งมปี ระสิทธภิ าพ

ดานขาดสมาธิ คะแนนมาตรฐาน คะแนนมาตรฐาน
ดา นซน อยูไ มน ่ิงหนุ หันพลนั แลน สําหรบั ครู สําหรบั ผูป กครอง
ดา นดือ้ /ตอตา น
23 16
16 13
11 15

29

แผนการสอนหน่วยที่ 1

เรอ่ื ง 1.3 บทบาทของผูปกครองในการดแู ลเดก็ สมาธสิ ้ัน เวลา 30 นาที
1.3.2 การติดตามผลขางเคียงจากการใชย าในเด็กสมาธิสน้ั เวลา 10 นาที

ความคดิ รวบยอด

เดก็ สมาธสิ ัน้ มกั มปี ญ หาในเรอื่ งการเรยี น และทกั ษะทางสังคม แมวาอาการของเด็กสมาธิสั้นบางอยาง
จะมีการเปล่ียนแปลงไปตามวัย เชน พฤติกรรมอยูไมนิ่งจะลดลงเม่ือโตข้ึน แตทั้งน้ีหากไมไดรับชวยเหลือท่ี
เหมาะสม จะทําใหเกิดผลกระทบท้ังในดานการเรียน อาชีพ ครอบครัวและสังคม ผูปกครองจึงเปนผูมีบทบาท
สําคัญยิง่ ในการชว ยเหลอื และพัฒนาเด็กสมาธิสน้ั ใหเตบิ โตเปน ผใู หญท ่ีดี มีคุณภาพของประเทศตอ ไป

จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม

ผปู กครองสามารถใหการชวยเหลอื เด็กสมาธิส้นั ไดอยา งเหมาะสม

เน้ ือหา

การนําเสนอแนวทางการชวยเหลือเด็กสมาธิส้ันทําใหผูปกครองสามารถนําไปประยุกตใช และใหการ
ชว ยเหลอื เดก็ ไดอยางเหมาะสม

กิจกรรมการเรียนการสอน เวลาท่ีใช้ ส่ือท่ีใช้
(นาที) - วทิ ยากร
ลาํ ดบั กิจกรรม
2 - VDO 7 อาการขา งเคียง
1. วิทยากรเกร่นิ นาํ ความครอบคลุมของเนื้อหาและความคาดหวังใน จากยารกั ษาโรคสมาธสิ ั้น
การชว ยติดตามประเมนิ อาการหลงั จากเด็กรับประทานยาได 4 - แบบประเมนิ อาการ
แลกเปลยี่ นประสบการณของผปู กครอง2-3 คน 2 ขางเคียงจากการใชย า
เมททิลเฟนนเิ ดท
2. วทิ ยากรเปดวดิ ีโอบรรยายอาการขา งเคยี งทีพ่ บบอ ยและอาการ 2 - 1. แบบประเมนิ อาการ
ขางเคียงที่รุนแรงและการแกไขเบอื้ งตน ขา งเคียงจากการใชย า
เมททิลเฟนนิเดท
3. วิทยากรนาํ เสนอวาผูปกครองมีบทบาทสําคัญท่ีจะชวยตดิ ตามอาการ - 2. flowchart การสง
ขางเคยี งของเด็กหลังจากใชย ารกั ษาโรคสมาธิส้ัน และแนะนาํ ตอเม่อื ประเมนิ อาการแลว
ประเมินอาการขา งเคียงของยา

4. วิทยากรแนะนําวธิ ีการประเมนิ การใหขอ มลู ผูเกีย่ วของ (เชน คร)ู
และการสงตอแสดงใหเห็น flowchart ในเอกสาร และเปด โอกาสให
ผูเขา รวมฝก อบรมซกั ถาม

30

การประเมินผล

ผเู ขาอบรมมีความรูเรื่องการตดิ ตามและประเมนิ อาการขางเคียงท่ีอาจเกิดข้ึนเมื่อใชยารักษาโรคสมาธิ
ส้นั ในเดก็ ไดอ ยา งไร

31

ใบความรูท้ ่ี 1.3.2

การตดิ ตามอาการขา้ งเคียงของยารกั ษาโรคสมาธสิ ้นั

อาการขางเคยี งของยารกั ษาโรคสมาธสิ ั้น
อาการขางเคียงหรืออาการไมพ ึงประสงคของยาเมททิลเฟนนิเดทที่พบไดบอยไดแก อาการเบ่ืออาหาร

น้ําหนักตัวลด ปวดศีรษะ และนอนไมหลับ ซึ่งอาการเหลานี้สวนใหญมักไมรุนแรงและจะลดลงหรือหายไปได
หลงั จากใชย าไประยะหนึง่

อาการขางเคยี งของยาอะโทมอกซิทนี สวนใหญค ลา ยกบั ยาเมททิลเฟนนิเดท แตตางกันตรงท่ีทําใหเกิด
อาการเบ่ืออาหารไดนอยกวา แตอาการปวดทองและอาเจยี นพบไดบอยกวา และอาจทาํ ใหมีอาการงว งนอนได

ยาท่ีใชท ุกชนดิ ไมทาํ ใหต ิดแมจ ะกินตดิ ตอกนั เปน เวลานาน เน่ืองจากฤทธิ์ของยาไมทําใหเกิดความ
พอใจเหมือนยาเสพติด แพทยมีขอมูลยืนยันไดจากการรักษาเด็กจํานวนมากเปนเวลานานหลายปแลว
พบวายานปี้ ลอดภัยไมต ดิ ยา ไมมผี ลเสยี หายตออวัยวะตา งๆของรางกายในระยะยาว
การแกไขอาการขา งเคียงของยารักษาโรคสมาธสิ ้ันในเบือ้ งตน

1. เบื่ออาหารโดยเฉพาะในม้ือเท่ียง ซึ่งอาจทําใหนํ้าหนักลด แกไขไดโดย อาจใหเด็กกินชดเชยในมื้อ
อืน่ ๆ เชน มื้อเย็น มอื้ ดกึ หรอื มื้อเชา กอนรับประทานยา

2. ปวดศรี ษะ ปวดทอง อาจเกดิ ในระยะแรกๆ ทีร่ ับประทานยา เมอ่ื ใหกินยาตอไปจะดีขึ้น และอาการ
จะหายไดเอง เน่ืองจากรางกายมีการปรับตัวตอยาได ซ่ึงไมมีอันตรายและไมตองหยุดยา แตหากปวดมากควร
รบี แจงแพทย

3. นอนไมหลับโดยเฉพาะเมอ่ื กินยาหลังเวลา 17.00 น. ถาแพทยใหกินยาม้ือบายหรือเย็นควรกินกอน
เวลา 17.00 น.

อาการขา งเคียงของยานไี้ มไ ดเกิดทกุ คน โดยอาการขางเคียงท่ีพบเหลาน้ีจะพบในสัปดาหแรกของ
การรับประทานยาซง่ึ เปนอาการขางเคียงทไี่ มร ุนแรง หลังจากนนั้ เด็กจะสามารถปรับตวั ไดเ อง

หากเด็กมีกลามเนื้อกระตุก กลามเนื้อแขนขาเคลื่อนไหวผิดปกติอยางรุนแรง ใจเตนเร็ว หงุดหงิด
มาก กาวราว อยูไมนิ่งมากข้ึน เปนอาการขางเคียงที่รุนแรง ใหแนะนําใหหยุดยาทันที แลวรีบปรึกษา
แพทยห รือเภสัชกรตอ ไป
การตดิ ตามและประเมนิ อาการขางเคยี งของยารกั ษาโรคสมาธิสน้ั

หากพบอาการไมพึงประสงคหรือผลขางเคียงเม่ือเด็กรับประทานยาเมททิลเฟนนิเดทหรือสังเกตเห็น
วาเม่ือเด็กท่ีกินยาสมาธิสั้นอยูเปนประจําแลวเร่ิมไมนิ่งสามารถชวยเหลือไดโดยสงตอขอมูลใหแพทยผูรักษา
เพื่อใชประกอบการพิจารณาปรับแผนการรักษาตอไปโดยใชแบบประเมินอาการขางเคียงจากการใชยาเมท
ทิลเฟนนิเดท และแนวทางการติดตามอาการขางเคียงจากการใชยาในเด็กโรคสมาธิส้ัน สําหรับยาเมท
ทลิ เฟนนิเดท

32

แบบประเมินอาการขา้ งเคยี งจากการใชย้ าเมททลิ เฟนนิเดท

คาํ ช้แี จงในการใชแบบประเมนิ
แบบประเมินน้ีใชส ําหรับประเมนิ อาการขางเคยี งและตดิ ตามผลการตอบสนองตอการรักษาดวยยาใน

เดก็ โรคสมาธิส้นั ได
การประเมนิ อาการขางเคียงและตดิ ตามผลการตอบสนองตอ การรักษาดวยยาควรจะทาํ เม่ือ

 เดก็ ไดรับยารักษาสมาธิสั้นครั้งแรก
 เม่อื เด็กตองใชย าเพ่ิมขึน้ ตามขนาดทีแ่ พทยสัง่ เชนเพ่มิ ยามื้อเที่ยง หรอื เพม่ิ ยาจากครึ่งเม็ดเปน หน่ึงเมด็

เปน ตน
วธิ กี ารประเมนิ

การประเมินทาํ ไดโดย การสงั เกตพฤตกิ รรมเด็กทุกวันหรอื อาจนัง่ คยุ กับเด็กเพือ่ สอบถามขอมลู
เพม่ิ เติม
การนําขอ มูลจากการประเมินไปใช

เม่ือผูป กครองประเมนิ แลว ควรสือ่ สารใหผเู ก่ียวขอ ง (เชน ครู) ใหเ ขา ใจ เพื่อชวยสังเกตและแจง
อาการขา งเคียงท่ีพบทโ่ี รงเรยี น เพ่ือใหผูปกครองสงตอขอมูลนใี้ หแกแ พทยผูรกั ษาเมื่อพาเด็กไปพบแพทยใ น
คร้ังถดั ไป

33

แบบประเมินอาการขา้ งเคยี งจากการใชย้ าเมททิลเฟนนิเดท

ช่อื เด็ก........................................…………………………………………………… วันที่ ……………………………………….
ประเมนิ จากการสงั เกตพฤตกิ รรมในชีวติ ประจําวัน หรือนง่ั คุยกับเด็กเพ่ือสอบถามขอมูลเพิ่มเตมิ กรอกขอมลู
โดยการใสเครือ่ งหมาย ในชอง

อาการขา้ งเคียง พบ ไม่พบ ขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ
คลืน่ ไส
ไมอ ยากอาหาร
ปวดทอง
ปวดศรี ษะ
นํ้ามูกไหล หายใจไมออก
ใจสนั่
กระสบั กระสาย หงุดหงดิ
นิ่งเกนิ ไป ซมึ
อาการผดิ ปกติอนื่ ๆ เชน น้ําหนกั ลด*
นอนไมหลบั

อาการขา้ งเคียงท่ีรุนแรง
อาการแพยา คนั หรอื เปนผ่นื ลมพษิ
ใบหนา ปาก คอ บวม
ปวดศรี ษะอยางรนุ แรง
ตาพรา อาเจยี น มอื สน่ั
ซึม สบั สน กลามเน้อื กระตกุ
หวั ใจเตน ผิดจังหวะ
แนน หนาอก หายใจติดขัด
ชักหรอื หมดสติ

หมายเหตุ: แบบฟอรมนี้อาจใชไ ดในกรณีทเี่ ดก็ ไดรบั ยาอน่ื ท่ีใชร ักษาโรคสมาธิสั้น แตอาจไมครอบคลุม หากพบ
อาการหรือพฤตกิ รรมอื่น ๆ ท่ีสาํ คญั กรณุ าใสข อมลู เพ่ิมเติมทชี่ อง “อาการผดิ ปกติอื่น ๆ”;
*ผูปกครองควรบันทกึ น้ําหนักและสวนสูงของเดก็ เพอื่ ใชเปรยี บเทยี บการเจริญเติบโต ในแตล ะสปั ดาห

แนวทางการตดิ ตามอาการขา้ งเคียงจากการใชย้ าในเดก็ โรคสมาธิส้นั สาํ หรบั ยาเมททิลเฟนนิเดท

34

เด็กเรมิ่ รกั ษาโรคสมาธสิ ้นั ดวยยา
ใชแบบประเมนิ อาการขางเคียง
ประเมนิ อาการของเดก็ ในวันแรกที่

เด็กกนิ ยา

ผลการประเมิน

พบอาการขา งเคยี งท่รี นุ แรง พบอาการขางเคยี งทีไ่ มร ุนแรง ไมพ บอาการขา งเคยี ง

ใหหยดุ ใชย าทันที ปฏิบัตติ ามแนวทางแกไขเบอ้ื งตน แจงครใู หทราบและเพ่อื ชว ยสงั เกต
สงเดก็ ไปยงั โรงพยาบาลที่ใกลที่สดุ อาการขา งเคยี งทีอ่ าจเกดิ ขึ้นได
แพทยใ ห
หยุดยา ่่

แจง ใหค รูทราบเพ่ือชวยสงั เกตและ
แจง อาการขา งเคียงทีพ่ บท่โี รงเรยี น
เพือ่ ใหผปู กครอบสงตอ ขอ มูลนี้ใหแ กแ พทยผรู ักษาตอไป

แพทยพจิ ารณาลดขนาดยา ปรึกษาแพทย
เปลยี่ นชนดิ ยา แพทยอ าจพจิ ารณาปรับยา

เดก็ ใชย าตอเนื่อง

ประเมินอาการขางเคยี งซ้าํ
ทุกสัปดาห หรือเม่ือทราบวา
 แพทยเปลยี่ นชนดิ ของยาหรอื
 แพทยเ พ่มิ หรอื ลดขนาดยาหรือ
 แพทยเพม่ิ จํานวนชนดิ ยาใหเด็ก

35

แผนการสอนหน่วยที่ 1

เรื่อง 1.3 บทบาทของผปู กครองในการดแู ลเด็กสมาธสิ ้ัน เวลา 30 นาที
1.3.3 แนวทางการชว ยเหลือและสง ตอเพ่อื การรกั ษา เวลา 10 นาที

ความคดิ รวบยอด

เดก็ สมาธิสั้นมกั มีปญ หาในเรอ่ื งการเรยี น และทกั ษะทางสงั คม แมวาอาการของเด็กสมาธิส้ันบางอยาง
จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เชน พฤติกรรมอยูไมน่ิงจะลดลงเมื่อโตขึ้น แตท้ังน้ีหากไมไดรับชวยเหลือที่
เหมาะสม จะทําใหเ กิดผลกระทบทั้งในดานการเรียน อาชีพ ครอบครัวและสังคม ผูปกครองจึงเปนผูมีบทบาท
สําคญั ย่งิ ในการชว ยเหลอื และพฒั นาเด็กสมาธสิ น้ั ใหเติบโตเปน ผูใหญท ดี่ ี มคี ณุ ภาพของประเทศตอ ไป

จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
ผูปกครองสามารถใหก ารชว ยเหลอื เดก็ สมาธิส้ันไดอยางเหมาะสม

เน้ ือหา

การนําเสนอแนวทางการชวยเหลือเด็กสมาธิสั้นทําใหผูปกครองสามารถนําไปประยุกตใช และใหการ
ชวยเหลือเดก็ ไดอยา งเหมาะสม

กจิ กรรมการเรียนการสอน เวลาท่ีใช้ สื่อที่ใช้
(นาที)
ลาํ ดบั กิจกรรม - VDO 8 แนวทางการ
1. - แจกใบงานที่ 1.3.3 2 ชว ยเหลือเดก็ สมาธสิ น้ั
- วิทยากรสอบถามประสบการณการชว ยเหลือเด็กสมาธสิ น้ั กอนการ สาํ หรบั ผปู กครอง
อบรม 5 - ใบงานที่ 1.3.3
2. - วิทยากรนําเสนอแนวทางการชวยเหลือเด็กสมาธสิ น้ั
2 -
3. - วทิ ยากรสอบถามแนวทางการชว ยเหลือเดก็ สมาธสิ น้ั ทผี่ ปู กครอง
ไดร บั เพิม่ เตมิ จาก การอบรม 1
- เก็บใบงานท่ี 1.3.3

4. วทิ ยากรสรปุ แนวทางการสงตอเพอ่ื การรักษาเดก็ สมาธสิ ้ัน

การประเมินผล

การสอบถามผูป กครองและใบงาน โดยพบวาผูปกครองมีแนวทางท่ีเหมาะสมมากขึ้นในการชวยเหลือ
เดก็ สมาธสิ นั้

36

ใบงานที่ 1.3.3

1. โปรดบอก วิธกี ารชวยเหลอื เดก็ สมาธิสั้นท่ที านเคยปฏบิ ัติหรอื ทราบมากอนเขารบั การอบรมครัง้ นี้

..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2. โปรดบอก ส่งิ ทีไ่ ดเ รยี นรเู พิ่มเตมิ เกี่ยวกับวธิ กี ารชว ยเหลอื ดูแลเดก็ สมาธิสนั้ หลงั การอบรมคร้งั นี้

..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

37

ใบความรู 1.3.3

สิ่งสาํ คญั ในการช่วยเหลือเด็ก มี 6 ประการคอื
1) มีการคนหาขอ มูลเก่ยี วกับโรคสมาธิส้นั

Websites ท่ีแนะนาํ สาํ หรบั การคน ควา หาขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคสมาธสิ ้ัน
1. www.nimh.nih.gov/publicat/adhd.cfm
2. www.aacap.org/publications/factsfam/noattent.htm
3. www.chadd.org
4. www.add.org
5. www.adders.org
6. www.addhelpline.org
7. www.adhd.com
8. www.concerta.net

2) พาเดก็ ไปประเมนิ กบั แพทยก รณที ไ่ี มแ นใ จ

3) ทําใจยอมรับในส่ิงทเี่ ดก็ เปน

 ปรับทศั นคติทมี่ ตี อเด็กใหเปน บวก พอแมตองเขาใจกอนวา โรคสมาธสิ ั้นเปน ความผดิ ปกติของ
การทํางานของสมอง พฤติกรรมทีก่ อปญ หาของเด็กไมไ ดเกิดข้นึ จากความตง้ั ใจทจ่ี ะกอ กวน
ใหเ กิดปญ หา แตเกิดขนึ้ เนื่องจากเดก็ ไมสามารถควบคุมตนเองได

 พยายามมองหาขอดี จดุ เดนของเด็ก และพดู ยํ้าใหเ ด็กเห็นขอดีของตัวเองเพ่ือใหเ ด็กเกดิ
กาํ ลงั ใจทจ่ี ะประพฤติตัวดี และเกดิ ความรูส ึกมีคณุ คา ในตัวเอง

4) มีการปรับเปล่ียนพฤติกรรมอยางสมํ่าเสมอ

ควรใชเทคนคิ การปรับพฤตกิ รรมทไี่ มทําลายความรูสึกมีคุณคา ในตัวเองของเด็กใหลดลง มหี ลกั สําคัญ
คอื

 ลด ส่งิ เรา
o จดั หาสถานท่ที ี่เด็กสามารถใชทาํ งาน ทาํ การบาน อา นหนังสอื โดยไมม ใี ครรบกวน
และไมม สี ่ิงทจี่ ะมาทําใหเ ด็กเสยี สมาธิ เชน ทีวี วดี โี อเกม หรอื ของเลนอยใู กล ๆ
o หัดใหเ ดก็ มีกิจกรรมเงียบ ๆ ไปพักผอนในท่ีสงบ ลดการไปเท่ียวหา งทค่ี นพลุกพลาน
จํากดั การดูทีวี หรือเลนคอมพิวเตอร

 เพม่ิ สมาธิ
o อาจอาจจาํ เปน ที่เด็กตองมผี ูใหญน งั่ ประกบอยูด ว ยระหวางทํางานหรือทาํ การบาน
เพอ่ื ใหง านเสรจ็ เรียบรอย
o กาํ หนดชว งเวลาในแตล ะวันท่ีจะฝกใหเด็กทําอะไรเงียบ ๆ ทต่ี วั เองชอบอยาง “จดจอ
และมีสมาธิ” โดยในวันแรกอาจเริ่มท่ี 15 นาทีกอน แลว จึงเพิ่มเวลาใหน านขน้ึ เรอ่ื ยๆ
ใหค ําชม และรางวัลเมื่อเด็กทําไดส ําเรจ็

38

 เพิม่ การควบคมุ ตนเอง
o ทําตัวเองใหเปน ตัวอยา งท่ดี แี กเ ด็ก เชน ความมรี ะเบียบ รูจักรอคอย ความสภุ าพ
รูจกั กาลเทศะ หลีกเลี่ยงการใชความรนุ แรงตา ง ๆ และควบคมุ อารมณเปน เปน ตน
o มีระเบียบวินยั ที่แนนอน จดั ทําตารางเวลาใหช ัดเจนวา กิจกรรมในแตล ะวันทเ่ี ด็กตอง
ทํา มอี ะไรบา งต้งั แตต่ืนนอนจนกระทั่งเขา นอน
o ควรมกี ารตงั้ กฎเกณฑไ วลว งหนา วาเมอ่ื เด็กทาํ ผิดจะมกี ารลงโทษอยางไรบา ง พอ แม
ควรเดด็ ขาด เอาจริง คําไหนคําน้ัน ลงโทษเดก็ ตามท่ีไดต กลงกนั ไวโ ดยไมใจออน มี
ความคงเสน คงวาในการปรบั พฤติกรรม
o การเปล่ยี นกิจกรรม หากจะใหเ ปลีย่ นจากกจิ กรรมที่สนุกสนานมาทํากิจกรรมทไ่ี ม
ชอบ ควรเตอื นเด็กลว งหนาอยา งนอย 5 นาที เพ่ือใหเด็กพยายามควบคุมตนเอง
o การลงโทษ ควรใชวธิ จี าํ กัดสทิ ธิตาง ๆ เชน งดดทู ีวี งดเทยี่ วนอกบา น งดขจ่ี กั รยาน
หักคา ขนม เปนตน แตการใชค วามรนุ แรงกบั เดก็ สมาธิสัน้ จะมโี อกาสทาํ ใหเ ด็กสมาธิ
ส้นั เตบิ โตขึ้นมาเปน เด็กทกี่ า วรา วและใชความรุนแรงในการแกป ญ หา
o มกี ารประเมนิ ความกาวหนาของเดก็ สนใจพฤติกรรม “ ถูก ” มากวา ตาํ หนิ ดวุ า ใน
พฤติกรรม “ ผิด ” ควรใหคาํ ชม รางวัลเลก็ นอย ๆ เวลาทเ่ี ดก็ ทําพฤติกรรมที่พึง
ประสงคเ พอื่ เปน การสรา งแรงจูงใจใหเดก็ ทําพฤติกรรมทด่ี ีตอไป

 การออกคําสง่ั สําหรบั เดก็ สมาธสิ นั้

คาํ สงั่ ควรทาํ ไมควรทาํ
งายและส้ัน
สั่งทีละคําส่ัง เม่ือทําเสร็จคอย ส่ังหลายคําสั่งเพราะเด็กมักมี
ชดั เจน ออกคาํ สั่งเพม่ิ ปญหาในการจํา
“เกบ็ ของใสก ลอ งใหหมด” “ เก็บของใสกลองแลวมาเอาเสื้อ
ไมใชก ารขอรอง แขวนใหเรียบรอ ย”
บอกส่ิงท่ีเด็กตองทําใหตรงกับ บอกไมตรงตามความตองการ
เด็กตอ งมีสมาธฟิ งคําสั่ง ความตอ งการ “ ลกู เก็บของเลน “นา เบ่อื จรงิ ๆ เลนแลวไมเคยเก็บ
ทางบวก ทัง้ หมดใสกลอ งดว ยจะ ” เลย”
“แมต อ งการใหล กู เกบ็ รองเทาไว “ลูกจา หนูนาจะเก็บรองเทา
บนชัน้ วางหนอ ยจะ” หนอยนะ”เพราะเด็กจะถือโอกาส
ไมทาํ เพราะไมใ ชคาํ สงั่
ยืนตรงหนา จับมือ จองตา แลว ส่งั ตอนทีเ่ ด็กกําลงั ทาํ อยางอ่นื อยู
สง่ั งาน
บอกวาเด็กควรทําอะไร บอกวาไมควรทําอะไร
“แมอยากใหหนพู ูดเบา ๆ” “หยุดตะโกนเสียที ”

39

5) มกี ารฝกฝนทักษะท่ีสําคัญ
ไดแก สรางสมาธิ ฝกวางแผนลวงหนา ฝกระเบียบวินัย ฝกการแกปญหาเฉพาะหนา ฝกความ
รับผิดชอบ ฝกการควบคมุ ยับยง้ั ตนเอง สอนการเลนอยา งถกู วิธี

6) มกี ารสอ่ื สารประสานงานกับครแู ละแพทย
 การสอื่ สารประสานงานกับครูมปี ระเดน็ ดงั นี้
o การเรียนการบาน ควรสอบถามเนือ้ หาทีเ่ รียน สง่ิ ทีต่ อ งการใหผ ูปกครองชว ยดูและ
เพม่ิ เติมที่บาน รวมทัง้ การเรียนพิเศษ
o การปรบั พฤตกิ รรมเปนไปในทางเดียวกนั ท้งั ทบี่ านและโรงเรียน
o การรับประทานยามื้อกลางวัน
 การสื่อสารประสานงานกับแพทย มปี ระเดน็ ดงั นี้
o พาเด็กไปพบแพทยสม่าํ เสมอ
o ดูแลเรอื่ งการปรบั ประทานยาตามคําสั่งแพทยอยา งเครงครัด

เม่ือผูปกครองไดประเมินอาการและ/หรือคัดกรองอาการสมาธิส้ันในเบื้องตน รวมกับการปรับ
พฤติกรรมตามคําแนะนําแลว สามารถพาเด็กไปรับการตรวจวินิจฉัยและประเมินเพิ่มเติมไดที่โรงพยาบาลทุก
แหง ท่ีมแี พทยผ ูเชี่ยวชาญ
หนว ยงานเฉพาะทางในสงั กัดกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ภาคกลาง (กรุงเทพมหานคร และปรมิ ณฑล)

1. สถาบันจิตเวชศาสตรสมเดจ็ เจา พระยา เขตคลองสาน กทม. 10600
โทรศพั ท 02 - 442-2500-2599

2. สถาบนั ราชานกุ ูล แขวงดนิ แดง เขตดินแดง กทม. 10400
โทรศพั ท 02 - 248-8900

3. สถาบนั กลั ยาณร าชนครนิ ทร แขวงทววี ัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม. 10170
โทรศัพท 02 - 441-6100

4. สถาบนั สุขภาพจติ เดก็ และวัยรุนราชนครนิ ทร แขวงพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400
โทรศพั ท 02 - 248-8999

5. โรงพยาบาลศรีธัญญา ตาํ บลตลาดขวญั อําเภอเมือง จังหวัดนนทบรุ ี 11000
โทรศัพท 02 - 528-7800

6. โรงพยาบาลยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ ตาํ บลปากน้ํา อาํ เภอเมือง จงั หวดั สมทุ รปราการ 10270
โทรศัพท 02 - 384-3381 - 3

40

ภาคเหนอื
1. โรงพยาบาลสวนปรงุ อําเภอเมือง จังหวดั เชียงใหม 50100
โทรศัพท 053 - 908500
2. สถาบนั พัฒนาการเดก็ ราชนครินทร อาํ เภอแมริม จังหวัดเชยี งใหม 50180
โทรศพั ท 053 - 908300
3. โรงพยาบาลจติ เวชนครสวรรคราชนครินทร อาํ เภอพยหุ คีรี จังหวัดนครสวรรค
โทรศพั ท 056 – 219444

ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
1. โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครนิ ทร อําเภอเมือง จงั หวัดนครราชสีมา 30000
โทรศัพท 044 - 233999
2. โรงพยาบาลจิตเวชขอนแกนราชนครินทร อาํ เภอเมือง จงั หวดั ขอนแกน 40000
โทรศัพท 043 - 209999
3. โรงพยาบาลจติ เวชเลยราชนครินทร อําเภอเมือง จังหวัดเลย
โทรศพั ท 042 - 808100
4. โรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครนิ ทร อาํ เภอเมือง จังหวัดนครพนม 48000
โทรศพั ท 042 - 539000
5. โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ อาํ เภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000
โทรศพั ท 045 - 352500
6. สถาบันพฒั นาการเดก็ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ อาํ เภอเมอื ง จังหวดั ขอนแกน 40000
โทรศัพท 043 - 910770-1

ภาคตะวันออก
โรงพยาบาลจติ เวชสระแกว ราชนครินทร อาํ เภอวัฒนานคร จังหวัดสระแกว 27160
โทรศพั ท 037- 262994-8

ภาคใต
1. โรงพยาบาลสวนสราญรมย อาํ เภอพุนพนิ จงั หวดั สุราษฎรธานี 84310
โทรศัพท 077 - 916500
2. โรงพยาบาลจติ เวชสงขลาราชนครนิ ทร อาํ เภอเมือง จงั หวดั สงขลา 90000
โทรศพั ท 074 – 317400

41

แผนการสอนหนว ยท่ี 2

เรอ่ื ง เทคนิคและกระบวนการปรบั
พฤติกรรมเดก็ ท่ีมอี าการสมาธสิ ัน้ ที่บา น

42

แผนการสอนหน่วยที่ 2

เรือ่ ง 2.1 เทคนิคการจัดการอารมณและการฝก ทกั ษะควบคุมอารมณเด็กท่ีบาน เวลา 30 นาที

ความคดิ รวบยอด

เด็กสมาธิส้ันมีความตองการบางส่ิงบางอยางแลวมาขอกับพอแมผูปกครองเมื่อถูกขัดใจ จะแสดง
พฤติกรรมทางอารมณท่ีรุนแรง ด้ือตอตาน และกาวราว ทําใหเด็กมีปญหาการควบคุมอารมณเปนอยางมาก
พอแมผูปกครองมักจะใชวิธีการแกไขปญหาดวยการดุ หรือลงโทษ หรือบางครั้งก็ยอมทําตามท่ีเด็กตองการ
เพราะวา สงสาร หรอื ทนพฤติกรรมปญ หาของเดก็ ไมไหว สง ผลใหเกิดปญ หาพฤตกิ รรมท่รี นุ แรงมากข้นึ

ดังนั้นการจัดการอารมณและการฝกทักษะการควบคุมอารมณเด็กสมาธิส้ันถึงเปนเร่ืองสําคัญอันดับ
แรกที่จะตอ งเรียนรูในการปรับพฤตกิ รรม เพราะถาไมสามารถควบคุมอารมณเด็กได ก็ยากที่จะปรับพฤติกรรม
ดว ยเหตุผลและการสรา งเงอ่ื นไขอื่นๆ ตามมา

จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม

1. พอแมผูปกครองสามารถแบง ระดับความรุนแรงของพฤติกรรมทเี่ กิดจากอารมณเด็กได
2. พอ แมผ ูปกครองมที ักษะในการจดั การอารมณเ ด็กสมาธิส้ันอยา งเหมาะสมตามระดับความรุนแรง

เน้ ือหา

1. สถานการณท่กี ระตนุ ใหเกดิ อารมณร นุ แรง และระดับความรุนแรงของพฤตกิ รรม
2. วิธีการจัดการอารมณ การควบคมุ อารมณเ ดก็ ในแตละระดับ

กิจกรรมการเรียนการสอน เวลาที่ใช้ สื่อที่ใช้
(นาที) - Power point
ลาํ ดบั กิจกรรม - ใบงาน 2.1
5 - VDO 1
1 วทิ ยากรสอบถามพอแมผูปกครอง ถงึ เด็กสมาธสิ ้นั มี - ใบความรู 2.1.1
พฤติกรรมทางอารมณอยา งไรบา ง ทาํ ใบงานการแยกระดับ 9 - ใบงาน 2.1
ของพฤติกรรมทางอารมณท ี่แสดงออก
2 - VDO 2
2 วทิ ยากรบรรยายเรอื่ งการจัดระดบั ความรนุ แรงของ
พฤติกรรมทางอารมณ และใบความรู การแยกระดับของ
พฤติกรรมทางอารมณท ี่แสดงออก ใหผ ูเ ขา อบรมฝกแยก
ระดับความรนุ แรงของพฤติกรรมทางอารมณเ ด็ก

3 วทิ ยากรบรรยายระดบั พฤตกิ รรมระดบั รุนแรงนอย (Mild)
พรอ มเฉลย VDO 1 พฤตกิ รรมระดับรนุ แรงนอย (Mild)

43

ลาํ ดบั กิจกรรม เวลาที่ใช้ ส่ือที่ใช้
(นาที) - VDO 3
- VDO 4
4 วิทยากรบรรยายระดับพฤติกรรมระดบั รุนแรงปานกลาง 2 - ใบความรู 2.1.2

(Moderate) พรอมเฉลย VDO 2 พฤติกรรมระดับรนุ แรง - VDO 4
- VDO 5
ปานกลาง (Moderate) - VDO 6
- สาธติ ประกอบ
5 วทิ ยากรบรรยายระดับพฤติกรรมระดบั รุนแรงมาก 2

(Severe) พรอมเฉลย VDO 3 พฤตกิ รรมระดับรุนแรงมาก

(Severe)

6 วทิ ยากรบรรยายเทคนิควิธกี ารจดั การปญ หาพฤติกรรมทาง 6

อารมณ และการฝกทักษะการควบคมุ อารมณเ ด็กในแตละ

ระดับ ตาม VDO และใบความรู วิธีการจัดการปญ หา

พฤติกรรมทางอารมณ และการฝกทกั ษะการควบคุมอารมณ

เดก็ ในแตละระดับ

7 วิทยากรเปด VDO 4 เทคนิคการจัดการพฤติกรรม ระดับ 3

รุนแรงนอ ย (Mild) ใหผ เู ขาอบรมดู

8 วิทยากรเปด VDO 5 เทคนิคการจัดการพฤติกรรม ระดับ 3
รุนแรงปานกลาง (Moderate) ใหผ ูเขาอบรมดู

9 วิทยากรเปด VDO 6 เทคนคิ การจัดการพฤติกรรม ระดับ 3
รนุ แรงมาก (Severe) ใหผ ูเขาอบรมดู

10 แบง กลุม 3 กลมุ เพ่ือฝก จําลองสถานการณการควบคุม 20
อารมณเ ด็ก ในแตล ะระดบั 20

11 วิทยากรใหขอเสนอแนะ และสรุปประเด็นท่ีสําคัญในการ
ควบคุมอารมณเดก็

การประเมินผล

การสอบถามผูปกครองถึงความเขาใจตอระดับความรุนแรงของพฤติกรรมทางอารมณเด็กสมาธิส้ัน
และเทคนิควธิ ีการจัดการปญ หาพฤตกิ รรมทางอารมณและฝกทักษะการควบคุมอารมณเด็กสมาธิส้นั

44

ใบงาน 2.1

การแยกระดบั ของพฤติกรรมทางอารมณท์ ีแ่ สดงออก

ตวั อยาง เชน พฤติกรรมตอรอง / เรียกรอ ง / รองไห / ดา / พดู คาํ หยาบ / ทาํ ลายขาวของ

ลําดับ พฤติกรรมทางอารมณทีแ่ สดงออก ระดับความรนุ แรง
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25

45

ใบความรู้ 2.1.1

ระดบั ความรุนแรงของพฤตกิ รรมทางอารมณเ์ ด็กสมาธสิ ้นั

การแบงระดับความรุนแรงของพฤติกรรมทางอารมณของเด็กสมาธิส้ันนั้น มีวัตถุประสงคเพ่ือการ
ชวยเหลือพอแมผูปกครองใหสามารถเลือกวิธีการควบคุมอารมณและการจัดการปญหา ไดเหมาะสมกับ
สถานการณและระดบั ความรนุ แรงของเด็กทีแ่ ตกตางกัน มีรายละเอยี ดดังนี้

ระดบั 1 รุนแรงนอ้ ย (Mild) เปน การแสดงพฤติกรรมไมพอใจของเด็ก

ตวั อยา ง
• การแสดงออกทางสีหนา ทาํ สีหนาไมพอใจ หนา บ้ึง
• พดู เซาซี้ พดู ซา้ํ ๆ พูดตอรอง
• พดู ตอ ตานพูดตรงขา มกับคาํ พูดของพอแม
• การโตเ ถียงเพ่อื เอาชนะดว ยเสียงดัง
• ตอ ตานคําสั่งผปู กครอง ไมยอมรบั ฟง พอแมพูด
• ปฏเิ สธความรว มมือในการทาํ งานหรือกจิ กรรมท่ีมอบหมาย

46


Click to View FlipBook Version