The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ilovepdf_merged (2)_merged

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phatchara Ann, 2022-11-28 01:39:02

;b0

ilovepdf_merged (2)_merged

รายงานการวจิ ัยในชั้นเรียน

เรอุ่ ง กฯรใชแ้ บบฟืกเสรมิ ถกั ผะอ่ฯนเขีฝนและออกเสีฝงภฯผฯองั กฤผ
โดฝใช้หลกั กฯรถอดรหสั เสฝี งและพสมตัวอักผร(Phonic)

พู้วจิ ฝั นฯงสฯวพัชรพรรณ ถฯคฯ
ตฯแหนง่ ครู

โรงเรีฝนบฯ้ นแมอ่ อกเหนอุ

สฯนักงฯนเขตพุ๊นถ่กี ฯรศึกผฯประถมศึกผฯแม่ฮอ่ งสอน เขต 2
สฯนักงฯนคณะกรรมกฯรศึกผฯขั๊นพุ๊น์ฯน
กระถรวงศึกผฯธกิ ฯร

ช่ืองานวจิ ัย การใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การ

ถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาองั กฤษ)

ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ

ชื่อผู้วจิ ยั นางสาวพชั รพรรณ ถาคา

กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ

บทคดั ย่อ

การศึกษาวิจยั ในคร้ังน้ี มีวตั ถุประสงค์เพ่ือให้นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 5 ได้มีความรู้
ความสามารถ ในการอ่านเขียน และออกเสียงคาศพั ทพ์ ้ืนฐานเป็ นภาษาองั กฤษจาก 50 % เป็ น 80 % โดยใช้
กิจกรรมการอ่านเขียนจากสื่อส่ิงพมิ พเ์ ช่น เกมหรือใบงานท่ีมีตวั เลขประกอบอยู่ มีการใชก้ ิจกรรมการเขียน
คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษพ้ืนฐาน รวมท้งั การลงมือทาแบบฝึกหดั เพื่อทดสอบความรู้ ความเขา้ ใจ และประเมิน
ผลสมั ฤทธ์ิทางการพฒั นาดา้ นการเรียนรู้คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษพ้นื ฐานตามทกั ษะกระบวน การอ่านและเขียน
โดยผวู้ จิ ยั ไดจ้ ดั ทาการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน รวมท้งั ทาการคิดวเิ คราะห์ผลคะแนนโดยใชว้ ธิ ีการ
หาคา่ เฉลี่ยและคา่ ร้อยละ

จากการศกึ ษาปรากฏวา่ จากการทดสอบจากทกั ษะการอ่านเขียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษพ้นื ฐาน และ
ทาแบบฝึกหดั ทุกชุดที่กาหนดใหน้ ้นั ทาใหน้ กั เรียนมีความรู้ ความจา และสามารถทาแบบทดสอบหลงั เรียน
ไดด้ ียง่ิ ข้นึ ดงั จะเห็นไดจ้ ากการเปรียบเทยี บผลการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนของนกั เรียนทีเ่ พมิ่ ข้นึ

บทท่ี 1
บทนา

ความสาคญั และทม่ี า

ปัจจุบนั น้ี ภาษาองั กฤษมีบทบาทอยา่ งยงิ่ เป็นตวั จกั รสาคญั ที่จะช่วยให้ประเทศไทยพฒั นาไดท้ นั ต่อ
การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก โดยมุ่งใชค้ วามกา้ วหน้าทนั ต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก โดยมุ่งใช้
ความกา้ วหนา้ ของสงั คมและความรู้ และนวตั กรรมทางเทคโนโลยสี ารสนเทศเป็ นปัจจยั ช้ีนาในการเพิ่มขีด
ความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ ดงั น้ัน การเตรียมความพร้อมของบุคลากรของประเทศเพ่ือให้มี
ทกั ษะภาษาองั กฤษในระดบั ที่สามารถติดต่อส่ือสาร แสวงหาความรู้ สร้างความร่วมมือ เจรจาต่อรอง และ
สร้างความสมั พนั ธ์อนั ดีได้ จึงมีความสาคญั เป็ นอยา่ งยงิ่ กระแสการเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ การเปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยี (technology) ท่ีทนั สมยั ทาให้โลกแคบลง เกิดการติดต่อส่ือสาร
อยา่ งไรพ้ รมแดน คนในทุกสังคมโลกจึงตอ้ งมีการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การ
เพิ่มขีดความสามารถในการศึกษาคน้ ควา้ เพ่อื ใหเ้ ขา้ ถึงแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ ภาษาองั กฤษจึงเขา้ มามีบทบาท
สาคญั ต่อการดาเนินชีวติ ของคนในสงั คม เพราะเป็ นภาษาที่คนทุกชาติ ทุกภาษายอมรับใหเ้ ป็ นภาษาสากล
การพดู การอ่าน การฟัง การเขยี นภาษาองั กฤษจึงมีความสาคญั ต่อการดารงชีวติ ในโลกยคุ ปัจจุบนั ดงั ที่ วรว
รรณ เปลี่ยนบญุ เลิศ (2540: 74) กล่าวไวว้ า่ ภาษาองั กฤษเขา้ มามีบทบาทมากในสงั คมไทยและเป็ นภาษาสากล
ท่ีมีผูน้ ิยมใชต้ ิดต่อระหว่างประเทศ ท้งั ในดา้ นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา ตลอดจน
ภาษาองั กฤษเป็นพน้ื ฐานท่ีจาเป็นในการศกึ ษาตอ่ ในระดบั สูง

ทกั ษะการเขยี นเป็นการเพม่ิ ทกั ษะในการเขียน ซ่ึงการเขียนตวั เลขก็เป็ นวิธีหน่ึงที่ทาใหน้ กั เรียนได้
ฝึกฝนดา้ นการเขียน ที่จะทาใหน้ ักเรียนเขียนไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง วารุณี สมั ฤทธ์ิ (2549: 18) ไดก้ ล่าวไวว้ ่า จาก
ประสบการณ์ที่สอนภาษาไทยมาประมาณ 25 ปี ทาใหร้ ู้ปัญหาของนกั เรียน คอื นกั เรียนอ่านไม่คล่อง เขียนไม่
ถูก ทาใหไ้ ม่สนใจเรียน เบือ่ หน่าย ไม่รักวชิ าภาษาองั กฤษในฐานะครูสอนวชิ าน้ี จึงคดิ เทคนิควธิ ีการต่าง ๆ ที่
ทาใหเ้ ด็กสนใจเรียน เป็ นวิธีที่ไม่ตอ้ งลงทุนอะไรและไดผ้ ลที่คุม้ ค่าและภาคภูมิใจและประทบั ใจ คือ การ
เขียนตวั เลขภาษาองั กฤษ วนั ละ 10 อยา่ งต่อเนื่องเนื่องจากการเรียนรู้วชิ าคณิตศาสตร์เป็ นภาษาองั กฤษน้นั มี
ความจาเป็ นอยา่ งยง่ิ ทีน่ ักเรียนจะตอ้ งมีพ้ืนฐานความรู้ทางดา้ นกระบวนการทกั ษะท้งั 4 คือ จะตอ้ งสามารถ
ฟัง พดู อ่าน และเขยี น ตวั เลขเป็ นภาษาองั กฤษได้ เพราะหากวา่ ถา้ นกั เรียนขาดทกั ษะกระบวนการทกั ษะดา้ น
ใดดา้ นหน่ึงแลว้ ก็จะเป็ นปัญหาที่สาคญั มากแก่ผูเ้ รียนและครูผสู้ อน เพราะจะทาให้การเรียนการสอนขาด
ประสิทธิภาพและผลสมั ฤทธ์ิทางการศกึ ษาวชิ าน้ีไม่ดีเท่าท่ีควร

จากการที่ไดส้ อนนักเรียนระดับช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5ไดพ้ บว่านักเรียนได้เรียนเน้ือหาเก่ียวกับ
ระบบจานวนเหมือนกัน และนักเรียนบางคนยงั ขาดทกั ษะกระบวนการเขียนอยู่ ดังน้ันจึงเห็นควรนา
นกั เรียนที่ยงั ขาดทกั ษะน้ีท้งั 2 ระดบั ช้นั มาทาการวจิ ยั ในช้นั เรียน

วตั ถุประสงค์การวิจัย

การศึกษาคร้งั น้ีมีวตั ถุประสงคใ์ นการศึกษาดงั น้ี
1. เพ่ือสร้างและหาประสิทธิภาพของการใช้แบบฝึ กเสริมทักษะอ่านเขียนและออกเสียง
ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) รหัสวชิ า อ
15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน
2. เพอื่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียนดว้ ยการใชแ้ บบฝึ กเสริมทกั ษะอ่าน
เขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใช้หลกั การถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั
แม่ฮ่องสอน
3. เพอื่ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนดว้ ยการใชแ้ บบฝึ กเสริมทกั ษะ
อ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั
แม่ฮ่องสอน

สมมติฐานของการศึกษา

1. ประสิทธิภาพของการใช้แบบฝึ กเสริมทักษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้
หลักการถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตัวอักษร (Phonics) รหัสวิชา อ15101 ช้ัน
ประถมศกึ ษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ท่ีผศู้ ึกษาสร้าง
ข้ึนเป็นไปตามเกณฑท์ ่ตี ้งั ไว้

2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียนดว้ ยการใช้แบบฝึ กเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออก
เสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101
ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน สูงกวา่ ก่อน
เรียน

3. นกั เรียนมีความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ีมีต่อการเรียนการสอนดว้ ยการใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะ
อ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั
แม่ฮ่องสอน อยใู่ นระดบั มากทีส่ ุด

ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รับ

1. ได้การใช้แบบฝึ กเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการ
ถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5
โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ที่มีประสิทธิภาพสามารถ
นามาใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนไดจ้ ริง

2. นักเรียนท่ีได้รับการสอนด้วยการใช้แบบฝึ กเสริมทักษะอ่านเขียนและออกเสียง
ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลักการถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตวั อักษร (Phonics) อ
15101 ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบ้านแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จังหวดั
แม่ฮ่องสอน มีพฒั นาการทกั ษะความสามารถในดา้ นการเขียนภาษาองั กฤษเพ่มิ มากข้ึน
ซ่ึงส่งผลใหส้ ามารถนาทกั ษะทไ่ี ดไ้ ปใชใ้ นการดาเนินชีวติ ตอ่ ไป

3. เป็ นแนวทางสาหรับครูสอนภาษาองั กฤษในการส่งเสริมและการพฒั นาการเรียนการ
สอนท่ีเหมาะสมกบั นกั เรียนในระดบั ช้นั ของตนเองและระดบั ช้นั ท่ีสูงข้ึนตอ่ ไป

ขอบเขตของการวจิ ัย
ในการศึกษาวจิ ยั ในคร้ังน้ีเป็นการใชแ้ บบฝึกอยา่ งงา่ ย ๆ เพอ่ื ช่วยฝึกและเพมิ่ พนู ทกั ษะกระบวนการ

อ่าน-เขยี นเป็นภาษาองั กฤษพน้ื ฐานและไดก้ าหนดขอบเขตการวจิ ยั ไวด้ งั น้ี
1. ประชากรทใี่ ช้ในการศึกษา คือ นกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ
ภาคเรียนท่ี 2 ประจาปี การศกึ ษา 2564 จานวน 10 คน
2. เนื้อหา / หลักวชิ า
เน้ือหาท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้งั น้ีคอื
แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหัสเสียงและการ
ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) รหัสวิชา อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออก
เหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน โดยได้พิจารณาถึงระดับความยากง่ายของเน้ือหา
คาศพั ท์ ตามตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรู้แกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุ่ม
สาระภาษาต่างประเทศ ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5และคานึงถึงประโยชน์ท่ีนักเรียนสามารถ
นาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั และประโยชนเ์ พอื่ การศึกษาต่อ การประกอบอาชีพต่อไปในอนาคต
ผูศ้ ึกษาจึงได้คดั เลือกเน้ือหาที่นามาใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ซ่ึงแบ่งเป็ นแบบฝึ กทักษะตาม
แผนการจดั การเรียนรู้ 1 หน่วยการเรียนรู้ดงั น้ี
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 My ABC
แบบฝึกท่ี 1 เรื่อง Short a sound.
แบบฝึกท่ี 2 เรื่อง Short e sound.
แบบฝึกที่ 3 เรื่อง Short i sound.

แบบฝึกที่ 4 เร่ือง Short o sound.
แบบฝึกที่ 5 เรื่อง Short u sound.

3. ระยะเวลาท่ีใช้ในการศึกษา

1. ระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาคอื ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 เป็ นระยะเวลา 5 สปั ดาห์ สัปดาห์
ละ 1 ชวั่ โมง รวมระยะเวลาเรียน 5 ชว่ั โมง ทาการทดสอบก่อนเรียน 1 ชว่ั โมง หลงั เรียน 1
ชวั่ โมง รวมท้งั ส้ิน 7 ชวั่ โมง

4. ตวั แปรทศี่ ึกษา
4.1 ตัวแปลต้น ไดแ้ ก่ การจดั การเรียนการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน

รหัสวิชา อ15101 ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั
แม่ฮ่องสอน
4.2 ตวั แปลตาม ไดแ้ ก่

4.2.1 ประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะการเขยี น ภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ 15101 ช้นั
ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน
4.2.2 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียนดว้ ยแบบฝึกเพอื่ พฒั นาทกั ษะการเขยี น
ภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั วชิ า อ 15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ
อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน
4.2.3 ระดบั ความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนการสอนดว้ ยแบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะ
การเขียน ภาษาองั กฤษพ้ืนฐาน รหัสวิชา อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออก
เหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

กรอบแนวคดิ ในการวิจยั
การวิจยั ในคร้ังน้ีมุ่งเน้นท่ีการส่งเสริมทกั ษะกระบวนการเขียนตวั เลขเป็ นภาษาอังกฤษสาหรับ

นกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5ผวู้ จิ ยั ไดจ้ ดั ทาแบบฝึกอยา่ งง่าย ๆ เพอื่ ใหน้ กั เรียนไม่เบื่อและสนุกสนาน
ในการเรียน ท้งั ยงั สามารถนาไปใชใ้ นการทาแบบฝึกหัดหรือขอ้ สอบที่ผูว้ ิจยั ได้จดั ทาข้ึน ผวู้ ิจยั ไดท้ าการ
เปรียบเทียบผลคะแนนก่อนเรียนและหลงั เรียน เพอ่ื ศึกษาการพฒั นาของนกั เรียนหลงั จากท่ีไดม้ ีการฝึกทกั ษะ
กระบวนการต่าง ๆ วา่ มีความแตกตา่ งหรือมีการเปลี่ยนแปลงโดยมีพฒั นาการท่ดี ีข้นึ หรือไม่อยา่ งไร

ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ ในการศึกษา ประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะการอ่าน

การจดั การเรียนการสอนโดยใชแ้ บบฝึก เขียน ภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ
เพอื่ พฒั นาทกั ษะการอ่านเขยี น 15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 โรงเรียนบา้ น
ภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 ช้นั แม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั
ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออก แม่ฮ่องสอน
เหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียน
ดว้ ยแบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการอ่านเขียน

ภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 ช้นั
ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออก
เหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

ความพงึ พอใจของนกั เรียนที่มีตอ่ การเรียน

การสอนดว้ ยแบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการ

อ่านเขยี น ภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า

อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5โรงเรียน

บา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั

นิยามศัพท์เฉพาะ แม่ฮ่องสอน

แบบฝึ กเพ่ือพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ หมายถึง แบบฝึกเพอื่ พฒั นาทกั ษะท่ีผศู้ ึกษาสร้าง

ข้ึนมา จานวน 5 ชุด เพื่อใชป้ ระกอบการเรียนการสอนรายวชิ าภาษาองั กฤษพ้นื ฐานรหัสวิชา อ15101 ช้ัน

ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย เพอื่ ฝึกใหน้ ักเรียนไดฝึ กปฏิบตั ิใหเ้ กิดความรู้

ความเขา้ ใจ และมีทกั ษะในดา้ นการเขียนภาษาองั กฤษเพม่ิ มากข้นึ

ประสิทธิภาพของแบบฝึ กทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ หมายถึง เกณฑ์ท่ีใช้ในการพฒั นาหา

ประสิทธิภาพของแบบฝึกเพอ่ื พฒั นาการเขียนภาษองั กฤษพ้ืนฐาน รหัสวิชา อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5

โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ดงั น้ี

80 ตัวแรก หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการจากการเรียนดว้ ยแบบฝึกหัดเพอ่ื พฒั นาทกั ษะ

การเขียนภาษาองั กฤษพ้ืนฐาน รหสั วชิ า อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอ

สบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยคิดคะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนทุกคนท่ีทาแบบฝึ กทกั ษะและ

แบบทดสอบยอ่ ยของแบบฝึกแต่ละเล่ม

80 ตัวหลงั หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการจากการเรียนดว้ ยแบบฝึกหดั เพอ่ื พฒั นาทกั ษะ
การเขียนภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอ
สบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน โดยคดิ คะแนนเฉลี่ยรอ้ ยละของนกั เรียนทกุ คนทไี่ ดจ้ ากการทาแบบทดสอบ
วดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน

ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน หมายถึง คะแนนทไ่ี ดจ้ ากการทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิดา้ ยการเขยี น

ภาษาองั กฤษทผ่ี ศู้ ึกษาสรา้ งข้นึ มาจานวน 10 ขอ้ 10 คะแนน เพอื่ ทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิดา้ นการเขยี นของ
นกั เรียนกลุ่มตวั อยา่ งก่อนและหลงั การทดลองสอนดว้ ยแบบฝึกทกั ษะการเขยี นภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั
วชิ า อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

ความพึงพอใจของนกั เรียน หมายถึง ความรู้สึกของนกั เรียนทพ่ี อใจตอ่ การเรียนการสอนดว้ ยแบบ
ฝึกเพอ่ื พฒั นาการเขยี นภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ
อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ ก่ยี วข้อง

การศกึ ษาคร้ังน้ีเป็ นการศึกษาการใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ15101
ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ผศู้ กึ ษาไดศ้ กึ ษาเอกสาร
แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง เพอื่ เป็ นพ้ืนฐานสาหรับกาดาเนินการศึกษาการดาเนินการศกึ ษา โดย
เสนอตามลาดบั หวั ขอ้ ดงั ตอ่ ไปน้ี

1. หลกั สูตรแกนกลางศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระภาษาตา่ งประเทศ
2. ทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษ
3. แนวคิดและหลกั การทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั แบบฝึกทกั ษะ

3.1 ความหมายของแบบฝึกทกั ษะ
3.2 ลกั ษณะสาคญั ของแบบฝึกทกั ษะทด่ี ี
3.3 ทฤษฎีท่เี ก่ียวขอ้ งกบั แบบฝึกทกั ษะ
3.4 ข้นั ตอนการสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ
3.5 การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะ
4. ความพงึ พอใจ
5. งานวจิ ยั ท่เี กี่ยวขอ้ ง
5.1 งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การสอนทกั ษะการเขยี น

หลักสูตรแกนกลางศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ

ในสงั คมโลกปัจจบุ นั การเรียนรูภ้ าษาต่างประเทศมีความสาคญั และจาเป็ นอยา่ งยงิ่
ในชีวติ ประจาวนั เน่ืองจากเป็ นเครื่องมือสาคญั ในการตดิ ตอ่ สื่อสาร การศกึ ษา การแสวงหาความรู้
การประกอบอาชีพ การสรา้ งความเขา้ ใจเกี่ยวกบั วฒั นธรรมและวสิ ยั ทศั น์ของชุมชนโลก และตระหนกั ถึง
ความหลากหลายทางวฒั นธรรมและมุมมองของสงั คมโลก นามาซ่ึงมิตรไมตรีและความร่วมมือกบั ประเทศ
ตา่ งๆ ช่วยพฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีความเขา้ ใจตนเองและผอู้ ่ืนดีข้นึ เรียนรู้และเขา้ ใจความแตกต่างของภาษาและ
วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคดิ สงั คม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติท่ีดีต่อ
การใชภ้ าษาต่างประเทศ และใชภ้ าษาต่างประเทศเพ่ือการส่ือสารได้ รวมท้งั เขา้ ถึงองคค์ วามรู้ต่างๆ ได้
งา่ ยและกวา้ งข้นึ และมีวสิ ยั ทศั นใ์ นการดาเนินชีวติ ภาษาต่างประเทศทีเ่ ป็นสาระการเรียนรูพ้ ้นื ฐาน ซ่ึง
กาหนดใหเ้ รียนตลอดหลกั สูตรการศึกษา

ข้นั พ้นื ฐาน คอื ภาษาองั กฤษ ส่วนภาษาต่างประเทศอ่ืน เช่น ภาษาฝรง่ั เศส เยอรมนั จีน ญปี่ ่ ุน อาหรบั บาลี
และภาษากลมุ่ ประเทศเพอ่ื นบา้ น หรือภาษาอ่ืนๆ ใหอ้ ยใู่ นดุลยพนิ ิจของสถานศึกษาท่ีจะจดั ทารายวชิ าและ
จดั การเรียนรูต้ ามความเหมาะสม ดงั น้นั กระทรวงศกึ ษาธิการ (2551:221) จึงไดก้ าหนดกรอบแนวคิดในกลุ่ม
สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โดยมุ่งหวงั ใหผ้ เู้ รียนมีเจตคตทิ ่ีดีต่อภาษาตา่ งประเทศ สามารถใช้
ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ประกอบอาชีพและศึกษาตอ่ รวมท้งั มีความรู้
ความเขา้ ใจในเร่ืองราวและวฒั นธรรมอนั หลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคดิ และ
วฒั นธรรมไทยไปยงั สงั คมโลกไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรคซ์ ่ึงประกอบดว้ ยสาระสาคญั ดงั น้ี

1. ภาษาเพ่ือการส่ือสาร การใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการฟัง-พดู -อ่าน-เขียน แลกเปล่ียนขอ้ มูล
ขา่ วสาร แสดงความรูส้ ึกและความคดิ เห็น ตีความ นาเสนอขอ้ มูล ความคดิ รวบยอดและความคดิ เห็นใน
เร่ืองตา่ งๆ และสร้างความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลอยา่ งเหมาะสม

2. ภาษาและวฒั นธรรม การใชภ้ าษาต่างประเทศตามวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษาความสมั พนั ธ์
ความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งภาษากบั วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา ภาษาและวฒั นธรรมของ
เจา้ ของภาษากบั วฒั นธรรมไทย และนาไปใชอ้ ยา่ งเหมาะสม

3. ภาษากับความสัมพนั ธ์กบั กล่มุ สาระการเรียนรู้อนื่ การใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการเชื่อมโยง
ความรู้กบั กล่มุ สาระการเรียนรูอ้ ื่น เป็ นพน้ื ฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และ
เปิ ดโลกทศั นข์ องตน

4. ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กับชุมชนและโลก การใชภ้ าษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ท้งั ใน
หอ้ งเรียนและนอกหอ้ งเรียน ชุมชน และสงั คมโลก เป็ นเครื่องมือพ้นื ฐานในการศึกษาตอ่
ประกอบอาชีพ และแลกเปล่ียนเรียนรูก้ บั สังคมโลก

องค์ประกอบของหลักสูตรภาษาต่างประเทศ
1. สาระการเรียนรู้

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่๑ภาษาเพอ่ื การสื่อสาร
มาตรฐาน ต ๑.๑เขา้ ใจและตีความเรื่องทฟี่ ังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเห็น
อยา่ งมีเหตุผล
มาตรฐานต๑.๒มีทกั ษะการส่ือสารทางภาษาในการแลกเปล่ียนขอ้ มลู ขา่ วสารแสดงความรูส้ ึก และ
ความคิดเห็นอยา่ งมีประสิทธิภาพ
มาตรฐานต๑.๓นาเสนอขอ้ มูลขา่ วสารความคดิ รวบยอดและความคดิ เห็นในเร่ืองตา่ งๆโดยการพดู
และการเขยี น
สาระท่ี๒ ภาษาและวฒั นธรรม

มาตรฐานต๒.๑เขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งภาษากบั วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษาและนาไปใช้ ได้
อยา่ งเหมาะสมกบั กาลเทศะ

มาตรฐานต๒.๒เขา้ ใจความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งภาษาและวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา
กบั ภาษาและวฒั นธรรมไทยและนามาใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม

สาระท่ี๓ ภาษากบั ความสมั พนั ธก์ บั กลุ่มสาระการเรียนรูอ้ ่ืน
มาตรฐานต๓.๑ ใชภ้ าษาต่างประเทศในการเช่ือมโยงความรูก้ บั กลุ่มสาระการเรียนรูอ้ ื่นและเป็ น
พ้นื ฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทศั น์ของตน
สาระที่๔ ภาษากบั ความสมั พนั ธก์ บั ชุมชนและโลก
มาตรฐานต๔.๑ใชภ้ าษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆท้งั ในสถานศึกษาชุมชนและสงั คม
มาตรฐานต๔.๒ใชภ้ าษาตา่ งประเทศเป็ นเครื่องมือพน้ื ฐานในการศึกษาตอ่ การประกอบอาชีพและ
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กบั สงั คมโลก

สมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดังนี้
1. ความสามารถในการส่ือสาร เป็ นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวฒั นธรรมในการใชภ้ าษา

ถ่ายทอดความคดิ ความรู้ความเขา้ ใจ ความรู้สึก และทศั นะของตนเองเพอ่ื แลกเปล่ียนขอ้ มูลข่าวสาร
และประสบการณ์อนั จะเป็ นประโยชนต์ ่อการพฒั นาตนเองและสงั คม รวมท้งั การเจรจาต่อรองเพ่ือ
ขจดั และลดปัญหาความขดั แยง้ ต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับขอ้ มูลข่าวสารดว้ ยหลักเหตุผลและ
ความถูกตอ้ งตลอดจนการเลือกใชว้ ิธีการส่ือสาร ท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต่อ
ตนเองและสงั คม
2. ความสามารถในการคิด เป็ นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอยา่ ง
สรา้ งสรรค์ การคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ และการคิดเป็ นระบบ เพอื่ นาไปสู่การสร้างองคค์ วามรู้หรือ
สารสนเทศเพอื่ การตดั สินใจเกี่ยวกบั ตนเองและสงั คมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็ นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้
อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสมั พนั ธแ์ ละการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ตา่ งๆ ในสงั คม แสวงหาความรู้ ประยกุ ตค์ วามรู้มา
ใชใ้ นการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหา และมีการตดั สินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบ ที่
เกิดข้นึ ตอ่ ตนเอง สงั คมและส่ิงแวดลอ้ ม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็ นความสามารถในการนากระบวนการต่างๆ ไปใชใ้ นการ
ดาเนินชีวติ ประจาวนั การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเน่ือง การทางาน และการอยรู่ ่วมกนั
ในสงั คมดว้ ยการสร้างเสริมความสมั พนั ธ์อนั ดีระหว่างบุคคล การจดั การปัญหาและความขดั แยง้
ต่างๆ อยา่ งเหมาะสม การปรับตวั ใหท้ นั กบั การเปลี่ยนแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ ม การรู้จกั
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พงึ ประสงคท์ ส่ี ่งผลกระทบตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืน

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็ นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยดี า้ นต่างๆ และ

มีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพอ่ื การพฒั นาตนเองและสงั คม ในดา้ นการเรียนรู้ การสื่อสาร

การทางาน การแกป้ ัญหา อยา่ งสร้างสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมีคุณธรรม

6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ดงั นี้

1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 5. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง

2. ซ่ือสตั ยส์ ุจริต 6. มุ่งมน่ั ในการทางาน

3. มีวนิ ยั 7. รักความเป็นไทย

4. ใฝ่เรียนรู้ 8. มีจิตสาธารณะ

คุณภาพผู้เรียน

กระทรวงศกึ ษาธิการ (2551: 222-227) ไดจ้ ดั ทาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 ที่
มุ่งพฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ดงั น้นั จึงไดก้ าหนดคุณภาพผเู้ รียนในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศใหบ้ รรลุมาตรฐานการเรียนรูไ้ ดด้ ้งั น้ี

1. จบช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๖
1.1 ผเู้ รียนสามารถปฏบิ ตั ิตามคาแนะนาในคู่มือการใชง้ านตา่ งๆ คาช้ีแจง คาอธิบาย และคาบรรยายท่ฟี ัง
และอ่าน อ่านออกเสียงขอ้ ความ ข่าว ประกาศ โฆษณา บทร้อยกรอง และบทละครส้นั ถูกตอ้ งตามหลกั การ
อ่าน อธิบายและเขียนประโยคและขอ้ ความสมั พนั ธก์ บั สื่อทไี่ ม่ใช่ความเรียงรูปแบบตา่ งๆ ท่ีอ่าน รวมท้งั
ระบแุ ละเขยี นส่ือทไ่ี ม่ใช่ความเรียงรูปแบบตา่ งๆ สมั พนั ธก์ บั ประโยคและขอ้ ความท่ีฟังหรืออ่าน จบั ใจความ
สาคญั วเิ คราะหค์ วาม สรุปความ ตคี วาม และแสดงความคิดเห็นจากการฟังและอ่านเร่ือง ทเ่ี ป็ นสารคดีและ
บนั เทงิ คดี พร้อมท้งั ใหเ้ หตุผลและยกตวั อยา่ งประกอบ
1.2 ผเู้ รียนสามารถสนทนาและเขยี นโตต้ อบขอ้ มูลเก่ียวกบั ตนเองและเรื่องต่างๆ ใกลต้ วั ประสบการณ์
สถานการณ์ ขา่ ว/เหตุการณ์ ประเดน็ ทีอ่ ยใู่ นความสนใจและส่ือสารอยา่ งต่อเน่ืองและเหมาะสม เลือกและ
ใชค้ าขอรอ้ ง คาช้ีแจง คาอธิบาย และใหค้ าแนะนา พดู และเขยี นแสดงความตอ้ งการ เสนอและใหค้ วาม
ช่วยเหลือ ตอบรับและปฏเิ สธการใหค้ วามช่วยเหลือในสถานการณ์จาลองหรือสถานการณ์จริงอยา่ ง
เหมาะสม พดู และเขยี นเพอ่ื ขอและใหข้ อ้ มลู บรรยาย อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั
เร่ือง/ประเด็น/ขา่ ว/เหตกุ ารณ์ทีฟ่ ังและอ่านอยา่ งเหมาะสม พดู และเขยี นบรรยายความรูส้ ึกและแสดงความ
คิดเห็นของตนเองเก่ียวกบั เร่ืองต่างๆ กิจกรรม ประสบการณ์ และข่าว/เหตกุ ารณ์อยา่ งมีเหตผุ ล
1.3 ผเู้ รียนสามารถพดู และเขยี นนาเสนอขอ้ มูลเกยี่ วกบั ตนเอง/ประสบการณ์ ข่าว/เหตกุ ารณ์ เรื่องและ
ประเด็นตา่ งๆ ตามความสนใจ พดู และเขียนสรุปใจความสาคญั แก่นสาระท่ไี ดจ้ ากการวเิ คราะห์เรื่อง
กิจกรรม ข่าว เหตกุ ารณ์ และสถานการณ์ตามความสนใจ พดู และเขยี นแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั กิจกรรม
ประสบการณ์ และเหตุการณ์ ท้งั ในทอ้ งถิ่น สงั คม และโลก พร้อมท้งั ใหเ้ หตุผลและยกตวั อยา่ งประกอบ

1.4 ผเู้ รียนสามารถเลือกใชภ้ าษา น้าเสียงและกิริยาทา่ ทางเหมาะกบั ระดบั ของบคุ คล เวลา โอกาสและ
สถานทต่ี ามมารยาทสงั คมและวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา อธิบาย/อภิปรายวถิ ีชีวติ ความคดิ ความเชื่อ และ
ท่ีมาของขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจา้ ของภาษา เขา้ ร่วม แนะนา และจดั กิจกรรมทางภาษาและ
วฒั นธรรมอยา่ งเหมาะสม

1.5 ผเู้ รียนสามารถอธิบาย/เปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งโครงสร้างประโยค ขอ้ ความ สานวน คา
พงั เพย สุภาษติ และบทกลอนของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย วเิ คราะห/์ อภิปรายความเหมือนและ
ความแตกต่างระหวา่ งวถิ ีชีวติ ความเชื่อ และวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษากบั ของไทย และนาไปใชอ้ ยา่ งมี
เหตุผล

1.6 ผเู้ รียนสามารถคน้ ควา้ /สืบคน้ บนั ทกึ สรุป และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ขอ้ มูลที่เก่ียวขอ้ งกบั กลุ่ม
สาระการเรียนรูอ้ ื่น จากแหล่งเรียนรูต้ า่ งๆ และนาเสนอดว้ ยการพดู และการเขียน

1.7 ผเู้ รียนสามารถใชภ้ าษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จาลองท่ีเกิดข้ึนในหอ้ งเรียน
สถานศกึ ษา ชุมชน และสงั คม

1.8 ผเู้ รียนสามารถใชภ้ าษาต่างประเทศในการสืบคน้ /คน้ ควา้ รวบรวม วเิ คราะห์ และสรุปความรู้/ขอ้ มลู
ต่างๆ จากสื่อและแหล่งการเรียนรู้ตา่ งๆในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เผยแพร่/ประชาสมั พนั ธ์ ขอ้ มูล
ข่าวสาร ของโรงเรียน ชุมชน และทอ้ งถ่ิน/ประเทศชาติ เป็ นภาษาตา่ งประเทศ

1.9 ผเู้ รียนมาสารถมีทกั ษะการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ (เนน้ การฟัง-พดู -อ่าน-เขยี น) ส่ือสารตามหวั เร่ือง
เก่ียวกบั ตนเอง ครอบครวั โรงเรียน ส่ิงแวดลอ้ ม อาหาร เคร่ืองด่ืม ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล เวลาวา่ งและ
นนั ทนาการ สุขภาพและสวสั ดิการ การซ้ือ-ขาย ลมฟ้าอากาศ การศึกษาและอาชีพ การเดินทางทอ่ งเทีย่ ว การ
บริการ สถานท่ี ภาษา และวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายในวงคาศพั ทป์ ระมาณ ๓,๖๐๐-๓,๗๕๐ คา
(คาศพั ทท์ ีม่ ีระดบั การใชแ้ ตกตา่ งกนั )

1.10 ผเู้ รียนสามารถใชป้ ระโยคผสมและประโยคซบั ซอ้ นส่ือความหมายตามบริบทตา่ งๆ ในการสนทนา
ท้งั ทีเ่ ป็นทางการและไม่เป็นทางการ

จบช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี ๓
1. ปฏบิ ตั ิตามคาขอรอ้ ง คาแนะนา คาช้ีแจง และคาอธิบายท่ีฟังและอ่าน อ่านออกเสียงขอ้ ความ ข่าว

โฆษณา นิทาน และบทรอ้ ยกรองส้นั ๆ ถูกตอ้ งตามหลกั การอ่าน ระบุ/เขียนสื่อท่ีไม่ใช่ความเรียง
รูปแบบต่างๆ สมั พนั ธก์ บั ประโยคและขอ้ ความทฟี่ ังหรืออ่านเลือก/ระบุหวั ขอ้ เรื่อง ใจความสาคญั
รายละเอียดสนบั สนุน และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั เรื่องท่ีฟังและอ่านจากส่ือประเภทตา่ งๆพรอ้ ม
ท้งั ใหเ้ หตุผลและยกตวั อยา่ งประกอบ
2. สนทนาและเขียนโตต้ อบขอ้ มูลเกี่ยวกบั ตนเองและเรื่องตา่ งๆ ใกลต้ วั สถานการณ์ ข่าว
เร่ืองที่อยใู่ นความสนใจของสงั คมและส่ือสารอยา่ งตอ่ เน่ืองและเหมาะสม ใชค้ าขอรอ้ ง คาช้ีแจง
และคาอธิบาย ใหค้ าแนะนาอยา่ งเหมาะสม พดู และเขียนแสดงความตอ้ งการ เสนอและใหค้ วาม
ช่วยเหลือ ตอบรบั และปฏิเสธการใหค้ วามช่วยเหลือ พดู และเขยี นเพอ่ื ขอและใหข้ อ้ มูล บรรยาย

อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองทฟี่ ังหรืออ่านอยา่ งเหมาะสม พดู และเขยี น
บรรยายความรู้สึกและความคิดเห็นของตนเองเก่ียวกบั เร่ืองตา่ งๆ กิจกรรม ประสบการณ์ และข่าว/
เหตกุ ารณ์ พร้อมท้งั ให้เหตุผลประกอบอยา่ งเหมาะสม
3. พดู และเขียนบรรยายเกี่ยวกบั ตนเอง ประสบการณ์ ขา่ ว/เหตุการณ์/เรื่อง/ประเด็นต่างๆ
ทีอ่ ยใู่ นความสนใจของสงั คม พดู และเขียนสรุปใจความสาคญั /แก่นสาระ หวั ขอ้ เรื่องท่ไี ดจ้ ากการ
วเิ คราะหเ์ รื่อง/ขา่ ว/เหตกุ ารณ์/สถานการณ์ทอ่ี ยใู่ นความสนใจ พดู และเขยี นแสดงความคดิ เห็น
เก่ียวกบั กิจกรรมประสบการณ์ และเหตุการณ์พร้อมใหเ้ หตผุ ลประกอบ
4. เลือกใชภ้ าษา น้าเสียง และกิริยาทา่ ทางเหมาะกบั บุคคลและโอกาส ตามมารยาทสงั คม
และวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษาอธิบายเก่ียวกบั ชีวติ ความเป็นอยขู่ นบธรรมเนียมและประเพณี
ของเจา้ ของภาษาเขา้ ร่วม/จดั กิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรมตามความสนใจ
5. เปรียบเทยี บ และอธิบายความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งการออกเสียงประโยคชนิดต่างๆ
และการลาดบั คาตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทยเปรียบเทียบและ
อธิบายความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งชีวติ ความเป็นอยแู่ ละวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษากบั
ของไทย และนาไปใชอ้ ยา่ งเหมาะสม
6. คน้ ควา้ รวบรวมและสรุปขอ้ มูล/ขอ้ เทจ็ จริงที่เกี่ยวขอ้ งกบั กลมุ่ สาระการเรียนรูอ้ ื่นจากแหล่งการ
เรียนรู้และนาเสนอดว้ ยการพดู และการเขียน
7. ใชภ้ าษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จาลองที่เกิดข้นึ ในหอ้ งเรียนสถานศกึ ษาชุมชน และ
สงั คม
8. ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการสืบคน้ /คน้ ควา้ รวบรวมและสรุปความรู/้ ขอ้ มูลตา่ งๆ จากส่ือและแหลง่
การเรียนรู้ต่างๆในการศึกษาตอ่ และประกอบอาชีพ เผยแพร่/ประชาสมั พนั ธข์ อ้ มูล ขา่ วสารของ
โรงเรียนชุมชน และทอ้ งถ่ิน เป็นภาษาต่างประเทศ
9. มีทกั ษะการใชภ้ าษาต่างประเทศ ) เนน้ การฟัง-พดู -อ่าน-เขยี น)สื่อสารตามหวั เรื่องเกี่ยวกบั ตนเอง
ครอบครวั โรงเรียน ส่ิงแวดลอ้ ม อาหาร เครื่องดื่ม เวลาวา่ งและนนั ทนาการ สุขภาพและสวสั ดิการ
การซ้ือ-ขาย ลมฟ้าอากาศ การศกึ ษาและอาชีพ การเดินทางท่องเท่ยี ว การบริการ สถานที่ ภาษา และ
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายในวงคาศพั ทป์ ระมาณ ๒,๑๐๐-๒,๒๕๐ คา (คาศพั ทท์ ี่เป็น
นามธรรมมากข้นึ )
10. ใชป้ ระโยคผสมและประโยคซบั ซอ้ น (Complex Sentences) ส่ือความหมายตามบริบทตา่ งๆ ในการ
สนทนาท้งั ที่เป็นทางการและไม่เป็ นทางการ
ทักษะการเขียนภาษาองั กฤษ

1. ความหมายของการเขียน
การเขียนเป็ นทกั ษะที่สาคญั ยงิ่ ทกั ษะหน่ึง เพราะการเขียนจะช่วยให้สามารถติดต่อการสื่อสารกบั
ผอู้ ่ืนได้ ช่วยจดบนั ทึกสิ่งต่าง ๆ ท่ีเรียนหรือทราบมา และยงั สามารถถ่ายทอดความรู้ของตนใหผ้ อู้ ่ืนทราบ

ดว้ ย ผทู้ ่ีใช้ภาษาเขียนตอ้ งมีความสามารถในการใชภ้ าษาให้ถูกตอ้ งตามระเบียบแบบแผนเพราะถา้ ผิดไป
ความหมายกจ็ ะผดิ หรือไม่มีความหมายเลยกไ็ ด้

เสนีย์ วิลาวรรณ (2544: 156) ใหค้ วามหมายของการเขียนไวว้ า่ หมายถึง การถ่ายทอดความรู้
ความรู้สึกนึกคิด เร่ืองราว ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ ไปสู่ผอู้ ่ืนโดยใชต้ วั อกั ษรเป็ นเครื่องมือในการ
ถ่ายทอด การเขียนเป็นวธิ ีการสื่อสารทส่ี าคญั ในการถ่ายทอดความรู้ความคิด และประสบการณ์ เพอื่ ส่ือไป
ยงั ผรู้ ับได้อย่างกวา้ งไกล นอกจากน้นั การเขียนยงั มีคุณค่าในการบนั ทึกเป็ นขอ้ มูลหลกั ฐานให้ศึกษาได้
ยาวนาน

ภาณุ หาญจริง, พฒั นชยั ถนัดคา้ , พนมวลั ย์ สุริยมณฑล (2553) การเขียน หมายถึง การถ่ายทอด

ความรูส้ ึกนึกคดิ และความตอ้ งการของบุคคลออกมาเป็นสญั ลกั ษณ์ คือ ตวั อกั ษรเพื่อสื่อความหมายให้ผอู้ ื่น
เขา้ ใจ จากความขา้ งตน้ ทาให้มองเห็นความหมายของการเขียนวา่ มีความจาเป็ นอยา่ งยง่ิ ต่อการส่ือสารใน
ชีวติ ประจาวนั เช่น นกั เรียนใชก้ ารเขยี นเขยี นบนั ทึกความรูส้ ึก ทาแบบฝึกหดั และตอบขอ้ สอบ บุคคลทว่ั ไป
ใชก้ ารเขยี นเขียนจดหมาย ทาสญั ญา พนิ ยั กรรมและคา้ ประกนั เป็นตน้ พอ่ คา้ ใชก้ ารเขียนเพือ่ โฆษณาสินคา้
ทาบญั ชี ทาใบสง่ั ของ ทาใบเสร็จรับเงิน แพทยใ์ ชบ้ นั ทกึ ประวตั ิคนไข้ เขยี นใบสง่ั ยาและอ่ืน ๆ เป็นตน้

ฟี นอคเธียโร (Finocchiaro. 1958:130) กล่าววา่ การเขียน คือความคิดท่ีแสดงออกในลกั ษณะของ
ตวั อกั ษร นักเรียนจะแสดงออกจากสิ่งท่ีมีอยใู่ นใจ ประสบการณ์ ความคิด และอารมณ์ ความรู้สึกที่แสดง
ออกมากบั การเขียนตวั อกั ษรเหล่าน้นั

แมคคริมอน ( McCrimon. 1978:3) กล่าววา่ การเขยี นท่ดี ีจะตอ้ งเป็ นสื่อความคิด ความรู้สึก ตลอดจน
เร่ืองราวตา่ ง ๆ ได้ และสามารถทาใหผ้ อู้ ื่นมีความเขา้ ใจไดต้ รงกบั ผเู้ ขียน

โอลิวา (Oliva. 1988:152) กล่าววา่ การเขียนเป็นภาษาของผพู้ ูดในการที่จะสื่อความคิดของตนไปสู่
คนอ่ืน ในการสื่อความหมายน้ีข้นึ อยกู่ บั สญั ลกั ษณ์ที่ใชจ้ ะแสดงออกมากบั การเขยี น

อจั จิมา เกิดผล (2533: 73) กล่าววา่ การเขียน คือการส่ือสารความหมายโดยมีตวั อกั ษรเป็ นเครื่องมือ
ในการส่งสารเพอื่ ใหผ้ อู้ ่ืนไดร้ ับทราบความรู้ ความคดิ และความรู้สึกของผเู้ ขยี น

สนิท ต้งั ทวี (2538: 21) กล่าวว่า การเขียนหมายถึงการแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกที่มีอยู่
ในใจออกมาใหผ้ อู้ ่ืนไดร้ บั รู้โดยใชว้ ธิ ีสญั ลกั ษณ์ท่ีเรียกวา่ ตวั อกั ษร เพอื่ ใหผ้ อู้ ่านไดเ้ ขา้ ใจในเจตนาของผเู้ ขยี น

2. องคป์ ระกอบของการเขยี น
แฮริส (Harris. 1969:68-69) กล่าววา่ การเขียนโดยทวั่ ไปจะตอ้ งมีองคป์ ระกอบดงั ต่อไปน้ี
1. เน้ือหา (Content) ไดแ้ ก่ เน้ือหาสาระทีใ่ ชใ้ นการเขียน
2. การวางรูปแบบ (Form) ไดแ้ ก่ การจดั เรียงลาดบั เน้ือหา
3. ไวยากรณ์ (Grammar) ไดแ้ ก่ การใชโ้ ครงสร้างตามหลกั ไวยากรณ์ท่ีถูกตอ้ ง และสื่อความหมาย
ได้
4. ลีลา (Style) ไดแ้ ก่ การเลือกโครงสร้าง การเลือกคา และสานวนต่าง ๆ ของภาษาท่ีใชใ้ นการ
เขียน เช่น การใชเ้ คร่ืองหมายวรรคตอนเฉพาะหรือเพอ่ื ทาใหเ้ กิดอรรถรส

5. กลไกการเขยี น (Mechanics) ไดแ้ ก่การใชส้ ญั ลกั ษณ์ตา่ งๆของภาษาท่ีใชใ้ นการเขียน เช่น การใช้
เครื่องหมายวรรคตอน และการใชต้ วั อกั ษรตวั ใหญ่ให้ถูกตอ้ งตามเกณฑข์ องภาษาน้นั ๆ ในการเขียนครู
จะตอ้ งใหน้ กั เรียนเขียนโดยใชค้ าทไี่ ดเ้ รียนมาแลว้ เพอ่ื ความคล่องแคล่ว และใชไ้ ดอ้ ยา่ งแม่นยา

อจั ฉรา ชีวพนั ธ์ (2538:1-2) กล่าววา่ การเขยี นเป็ นสิ่งสาคญั ตอ่ การส่ือสารในชีวติ ประจาวนั
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การสอนเขยี นในระดบั ประถมศึกษา มีจุดมุ่งหมายท่สี าคญั ดงั น้ี

1. เพ่ือให้ผูเ้ รียนสามารถเขียนด้วยลายมือท่ีมีระเบียบ และถูกตอ้ งตามลักษณะของอักษรไทย
ประเภทตา่ ง ๆ

2. เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถเขียนสะกดคาไดถ้ ูกตอ้ ง แม่นยา และรวดเร็ว เพ่ือใหผ้ เู้ รียนสามารถใช้
ภาษาเขียนไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสมกบั กาลเทศะและบคุ คล

3. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนสามารถใชจ้ ินตนาการและมีความคดิ ริเร่ิมสร้างสรรคใ์ นการถ่ายทอดความรู้สึกนึก
คิดของตน เพอื่ สื่อความหมายใหผ้ อู้ ่ืนเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ในการเขยี นไดอ้ ยา่ งมีเหตุผล

4. เพือ่ ใหผ้ ูเ้ รียนมีทกั ษะในการเขียนประเภทต่าง ๆ และสามารถนาหลกั เกณฑก์ ารเขียนไปใชใ้ น
ชีวติ ประจาวนั ได้

5. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเห็นคุณค่าและความสาคญั ของการเรียน สามารถสร้างสรรคง์ านเขียนไดด้ ว้ ยความ
สนุกสนานเพลิดเพลิน ตลอดจนรู้จกั ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็ นประโยชน์ดว้ ยการเขียน

สรุปได้ว่าการเขียนน้ันมีองค์ประกอบ เร่ิมต้ังแต่ต้องมีความรู้ดีในเรื่องท่ีเขียน ต้องทราบ
วตั ถุประสงค์ โครงสร้างทางไวยกรณ์และการเลือกใชศ้ พั ท์ สานวน กระบวนการเขียน การกาหนดผูอ้ ่าน
การลาดบั ความความ เน้ือหาและสามารถระบุวตั ุถุประสงคข์ องผเู้ ขยี นวา่ ตอ้ งการสื่อความในลกั ษณะใด

สรุปได้ว่าเน้ือหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มุ่งพฒั นาผเู้ รียนทุไดม้ ี
โอกาสฝึกฝนทกั ษะภาษาองั กฤษท้งั การฟัง พดู อ่านและเขียน โดยผูส้ อนตอ้ งจดั กิจกรรมมุ่งเนน้ ผูเ้ รียนเป็ น
สาคญั ทุกคนสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองได้เต็มตามศกั ยภาพรวมท้งั มี เจตคติ ที่ดีต่อการเรียนวิชา
ภาษาองั กฤษ ซ่ึงเป็นภาษาสากลทจี่ าเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ

3. เอกสารเก่ยี วกบั การสอนภาษาองั กฤษโดยใช้แบบฝึ กทกั ษะ
3.1 ความหมายและความสาคญั ของแบบฝึ กทักษะ
แบบฝึกหรือแบบฝึกหดั เป็นส่ือการเรียนการสอนประเภทหน่ึงทีใ่ หน้ กั เรียนไดฝ้ ึก

ปฏบิ ตั เิ พอื่ ใหเ้ กิดความรูค้ วามเขา้ ใจและทกั ษะเพมิ่ เติมข้นึ ส่วนใหญ่หนงั สือเรียนจะมีแบบฝึกหดั ทา้ ย
บทเรียน ในบางวชิ าแบบฝึกหดั จะมีลกั ษณะเป็นแบบฝึกปฏิบตั ิ (สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา
แห่งชาต,ิ 2537 : 147)

สนอง คาศรี (2537 : 147) กล่าววา่ แบบฝึกหดั เป็นสิ่งทช่ี ่วยใหน้ กั เรียนประสบ

ผลสาเร็จในการเรียนการสอน ดงั น้นั แบบฝึกหดั จะมีลกั ษณะทก่ี ่อใหเ้ กิดความสนุกสนาน ความพอใจ
ในการเรียนใหก้ บั นกั เรียน

ขจรี ัตน์ หงสป์ ระสงค์ (2534) กล่าววา่ แบบฝึ กเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน อยา่ งหน่ึง
ทค่ี รูใชฝ้ ึกทกั ษะ หลงั จากทีน่ กั เรียนไดเ้ รียนเน้ือหาจากบทเรียนแลว้ โดยสรา้ งข้ึนเพอ่ื เสริมทกั ษะใหแ้ ก่
นกั เรียน มีลกั ษณะเป็นแบบฝึกหดั ท่มี ีกิจกรรมใหน้ กั เรียนกระทา โดยมีจดุ มุ่งหมายเพอ่ื พฒั นาความสามารถ
ของนกั เรียน

วรสุดา บุญยไวโรจน์ (2536) กล่าวา่ แบบฝึกหดั เป็ นส่ือการสอนทจี่ ดั ทาข้นึ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียน
ไดศ้ ึกษา ทาความเขา้ ใจ ฝึกฝนจนเกิดแนวคดิ ที่ถูกตอ้ ง และเกิดทกั ษะในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง นอกจากน้นั
แบบฝึกหดั ยงั เป็นเคร่ืองบง่ ช้ีใหค้ รูทราบวา่ ผเู้ รียนหรือผใู้ ชแ้ บบฝึกหดั มีความรู้ ความเขา้ ใจในบทเรียนและ
สามารถนาความรู้น้นั ไปใชไ้ ดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด ผเู้ รียนมีจดุ เด่นท่ีควรส่งเสริมหรือจุดดอ้ ยท่คี วรปรบั ปรุง
แกไ้ ขตรงไหน อยา่ งไร แบบฝึกหดั จึงเป็นเครื่องมือสาคญั ทคี่ รูทุกคนใชใ้ นการตรวจสอบความรู้ ความ
เขา้ ใจ และพฒั นาทกั ษะของนกั เรียนในวชิ าต่างๆ

จากความเห็นของนกั วชิ าการดงั กล่าว เกี่ยวกบั ความหมายและความสาคญั ของ แบบฝึก
หรือแบบฝึกหดั จึงพอสรุปไดว้ า่ แบบฝึกหรือแบบฝึกหดั คือ สื่อการเรียนการสอนชนิดหน่ึงที่ใชฝ้ ึกทกั ษะ
ใหก้ บั ผเู้ รียนหลงั จากเรียนจบเน้ือหาในช่วงหน่ึงๆ เพอ่ื ฝึกฝนใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจ รวมท้งั เกิดความ
ชานาญในเรื่องน้นั ๆ อยา่ งกวา้ งขวางมากข้นึ ดงั น้นั แบบฝึกจึงมีความสาคญั ตอ่ ผเู้ รียนไม่นอ้ ยในการทีจ่ ะ
ช่วยเสริมสร้างทกั ษะใหก้ บั ผเู้ รียนไดเ้ กิดการเรียนรูแ้ ละเขา้ ใจไดเ้ ร็วข้นึ ชดั เจนข้ึน กวา้ งขวางข้นึ ทาใหก้ าร
สอนของครูและการเรียนของนกั เรียนประสบผลสาเร็จ อยา่ งมีประสิทธิภาพ

3.2 หลักการสร้างแบบฝึ กทักษะ
ส่ิงสาคญั ทคี่ วรคานึงถึงการสร้างแบบฝึกคอื ข้นั ตอนและหลกั ในการสรา้ งซ่ึง Seel &

Glasgow (1990) ไดเ้ สนอแนะไวว้ า่ ในการจดั สถานการณ์ทางการเรียนการสอนน้นั สามารถกาหนด
ขอบเขตเน้ือหาจากหลกั สูตร โดยกาหนดจากหน่วยการเรียนยอ่ ย ๆ ไปสู่หน่วยการเรียนใหญ่ แต่อยา่ งไรก็
ตามในการออกแบบการสอนหรือการสร้างแบบฝึกควรคานึงถึงองคป์ ระกอบดงั ตอ่ ไปน้ี

1. เน้ือหาทคี่ ดั เลือกมาสรา้ งแบบฝึกตอ้ งอิงจุดประสงคร์ ายงวิชา
2. กลวธิ ีที่ใชใ้ นการสอนตอ้ งอิงทฤษฎีและผลการวจิ ยั ทีม่ ีผทู้ าไวแ้ ลว้
3. การวดั ตอ้ งอิงพฤตกิ รรมการเรียนรู้
4. รูจ้ กั นาเทคโนโลยมี าใชป้ ระกอบเพอื่ ใหแ้ บบฝึกมีประสิทธิภาพและคุม้ คา่
นอกจากน้ี Bock (1993) ไดเ้ สนอหลกั ในการสรา้ งแบบฝึกดงั น้ี
1. ก่อนทจ่ี ะสรา้ งแบบฝึกจะตอ้ งกาหนดโครงร่างคร่าว ๆ ก่อนวา่ จะเขยี น
แบบฝึกเก่ียวกบั เรื่องอะไร มีจุดประสงคอ์ ยา่ งไร

2. ศกึ ษาเอกสารที่เกี่ยวขอ้ งกบั เรื่องที่จะใชส้ รา้ งแบบฝึก
3. เขยี นจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมและเน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกนั
4. จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมออกเป็นกิกรรมยอ่ ย โดยคานึงถึงความเหมาะสม
ของผเู้ รียน และเรียงกิจกรรมหรืองานทนี่ กั เรียนตอ้ งปฏิบตั จิ ากงา่ ยไปหายาก
5. กาหนดอุปกรณ์ทีจ่ ะใชใ้ นแตล่ ะตอนใหเ้ หมาะสมกบั แบบฝึก
6. กาหนดเวลาท่ีจะใชใ้ นแบบฝึกแต่ละตอนใหเ้ หมาะสม
7. ควรประเมินผลก่อนและหลงั
นิภา เล็กบารุง (2518 อา้ งถึงใน กุศยา แสงเดช, 2545) ไดก้ ล่าวถึงหลกั ในการสร้าง
แบบฝึกดงั น้ี
1. แบบฝึกตอ้ งแจม่ แจง้ และแน่น ครูจะตอ้ งอธิบายวธิ ีทาใหช้ ดั เจน นกั เรียน
เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และกาหนดขอบเขตใหแ้ น่นอนไม่กวา้ งเกินไป
2. ใชภ้ าษาทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย เหมาะสมกบั วยั และพ้นื ฐานความรูข้ องนกั เรียน
3. แบบฝึกควรเป็นเร่ืองทีน่ กั เรียนเคยเรียนมาแลว้ เพราะความรูห้ รือ
ประสบการณ์เดิม ยอ่ มเป็ นรากฐานของประสบการณ์ใหม่ ช่วยใหก้ ารเรียนรู้เป็ นไปไดง้ ่ายและสะดวกข้นึ

4. ช้ีแจงใหน้ กั เรียนเขา้ ใจความสาคญั ของแบบฝึก เพอื่ ใหน้ กั เรียนมองเห็น
คุณค่าอนั เป็ นเคร่ืองเรา้ ใจใหน้ กั เรียนทาสาเร็จลุล่วงไปดว้ ยดี

5. ครูตอ้ งเร้าความสนใจของนกั เรียนใหม้ ีตอ่ แบบฝึกน้นั
6. ครูเป็นผตู้ ้งั ปัญหาข้นึ และเป็นปัญหาท่ไี ม่ยากเกินความสนใจของนกั เรียน
แต่เร้าความอยากรู้อยากเห็น และยวั่ ยใุ หน้ กั เรียนอยากแกป้ ัญหาน้นั
7. การใหน้ กั เรียนรูเ้ คา้ โครงก่อน จะเป็นเคร่ืองเรา้ ใจใหน้ กั เรียนทาตอ่ ไปจน
สาเร็จ
8. เน่ืองจากนกั เรียนแต่ละคนมีความแตกตา่ งกนั แบบฝึกที่กาหนดใหน้ กั เรียน
เก่ง นกั เรียนปานกลาง และนกั เรียนอ่อนน้นั ควรยากงา่ ยตา่ งกนั แตถ่ า้ หากใหแ้ บบฝึกอยา่ งเดียวกนั ก็ควร
พจิ ารณาดา้ นคุณภาพของแบบฝึกใหแ้ ตกตา่ งกนั หรือใหน้ กั เรียนท่ีเรียนอ่อนมีเวลาทามากกวา่
จากทก่ี ล่าวมาท้งั หมดหลกั การสรา้ งแบบฝึกน้นั ตอ้ งคานึงถึง หลกั สูตร จุดประสงคก์ าร
เรียนรู้ จงึ คดั เลือกเน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั สูตรและจุดประสงค์ เพอื่ นาไปสร้างแบบฝึก ซ่ึงจะตอ้ งมี
รูปแบบที่หลากหลาย และสามารถสรา้ งความเขา้ ใจใหก้ บั ผเู้ รียนและที่สาคญั อีกอยา่ งหน่ึงคือภาระงานและ
กิจกรรมทเ่ี ลือกใชใ้ นแบบฝึกตอ้ งสอดคลอ้ งกบั รูปแบบการสอน

3.3 รูปแบบของแบบฝึ กทกั ษะ

สมเดช สีแสง, สุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2543 อา้ งถึงใน กศุ ยา แสงเดช, 2545) กล่าว
วา่ รูปแบบของแบบฝึกควรมีความหลากหลายเพอื่ ป้องกนั ไม่ใหผ้ เู้ รียนเกิดความเบอื่ หน่าย ไม่อยากทา และ
ไดเ้ สนอรูปแบบของแบบฝึกไวด้ งั น้ี

1. แบบถูกผดิ เป็นแบบฝึกที่เป็ นประโยคบอกเล่าใหผ้ เู้ รียนอ่านแลว้ เลือกใส่
เครื่องหมายถูกหรือผดิ ตามดุลยพนิ ิจของผเู้ รียน

2. แบบจบั คู่ เป็ นแบบฝึกที่ประกอบดว้ ยคาถามหรือตวั ปัญหาซ่ึงเป็นตวั ยนื ไวใ้ น
สดมภซ์ า้ ยมือโดยมีทวี่ า่ งไวห้ นา้ ขอ้ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนเลือกหาคาตอบท่กี าหนดไวใ้ นสดมภข์ วามอื มาจบั คู่กบั
คาถามใหส้ อคลอ้ งกนั โดยใชห้ มายเลขคาตอบไปวางไวท้ ี่วา่ งหนา้ ขอ้ คาถาม หรือจะใชโ้ ยงเสน้

3. แบบเติมคาหรือแบบเตมิ ขอ้ ความ เป็นแบบฝึกที่มีขอ้ ความไวใ้ ห้ แต่จะเวน้
ช่องวา่ งไวใ้ หผ้ เู้ รียนเตมิ คาหรือขอ้ ความท่ขี าดหายไป ซ่ึงคาท่นี ามาเตมิ อาจใหเ้ ตมิ อยา่ งอิสระหรือกาหนด
ตวั เลือกใหเ้ ติมกไ็ ด้

4. แบบหลายตวั เลือก เป็นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบ โดยมี 2 ส่วน คือส่วนท่ีเป็ น
คาถาม ซ่ึงจะตอ้ งเป็นประโยคคาถามท่ีสมบูรณ์ชดั เจน ส่วนที่ 2 เป็นตวั เลือก คือคาตอบซ่ึงอาจมี
3-4 ตวั เลือกก็ได้ ตวั เลือกท้งั หมดจะมีตวั เลือกที่ถูกตอ้ งทีส่ ุดเพยี งตวั เดียวส่วนทเี่ หลือเป็ นตวั ลวง

5. แบบอตั นยั คอื ความเรียงเป็นแบบฝึกท่มี ีตวั คาถาม ผเู้ รียนเขียนบรรยายตอบ
อยา่ งเสรี ไม่จากดั คาตอบ แต่จากดั ในเร่ืองเวลา อาจใชใ้ นรูปคาถามทว่ั ไปหรือเป็ นคาสง่ั ใหเ้ ขยี นเรื่องราว
ต่างๆ กาหนดเวลาท่ีจะใชใ้ นแบบฝึกแต่ละตอนใหเ้ หมาะสมก็ได้

3.4 ลักษณะของแบบฝึ กทักษะที่ดี
กศุ ยา แสงเดช (2545) กล่าววา่ แบบฝึกที่ดีควรมีลกั ษณะดงั น้ี
1. เกี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองท่เี รียนมาแลว้
2. เหมาะสมกบั วยั ระดบั ช้นั ของผเู้ รียน
3. มีคาช้ีแจงส้นั ๆ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจง่าย
4. ใชเ้ วลาท่ีเหมาะสม
5. มีสิ่งทน่ี ่าสนใจและทา้ ทายใหแ้ สดงความสามารถ
6. ควรมีขอ้ เสนอแนะในการใช้
7. มีใหเ้ ลือกตอบอยา่ งจากดั และตอบอยา่ งเสรี
8. ถา้ เป็นแบบฝึกท่ีตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนศึกษาดว้ ยตนเองแบบฝึกควรมีหลาย
รูปแบบ
9. ควรใชภ้ าษางา่ ยๆ ฝึกใหค้ ิดและสนุกสนาน
นอกจากน้ี อารีย์ วาศน์อานวย (2545) ไดก้ ล่าววา่ แบบฝึกทีด่ ีควรมีลกั ษณะดงั น้ี

คือ การสร้างตอ้ งคานึงถึงหลกั จติ วทิ ยา ควรสรา้ งใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผเู้ รียนและควรจดั
เน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผเู้ รียนและควรจดั เน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกบั เน้ือหาบทเรียนทเ่ี รียน
มาแลว้ ท้งั น้ีตอ้ งคานึงถึงความเหมาะสมกบั วยั และความสามารถของผเู้ รียน โดยใชเ้ วลาอยา่ งเหมาะสมกบั
แบบฝึกน้นั ๆ ท้งั น้ีหากจะมีคาช้ีแจงกค็ วรส้นั ๆ และใชภ้ าษาที่งา่ ยตอ่ การทาความเขา้ ใจ แบบฝึกควรมี
ลกั ษณะทีท่ า้ ทายความสามารถ ดึงดูดความสนใจทีจ่ ะทา การสร้างแบบฝึกควรมีหลากหลายรูปแบบเพอื่
ไม่ใหผ้ เู้ รียนเกิดความเบอ่ื หน่าย ควรมีราคาถูกหางา่ ย สามารถนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้

วรสุดา บุญยไวโรจน์ (2536) กล่าวแนะนาใหผ้ สู้ ร้างแบบฝึกไดย้ ดึ ลกั ษณะของ
แบบฝึกทีด่ ี ไวด้ งั น้ี

1. แบบฝึกทีด่ ีควรมีความชดั เจนท้งั คาสง่ั และวธิ ีทา สงั่ หรือตวั อยา่ งแสดงวธิ ี
ทาท่ใี ชไ้ ม่ควรยาวเกินไป เพราะจะทาใหเ้ ขา้ ใจยาก ควรปรบั ปรุงไดง้ ่าย เหมาะสมกบั ผใู้ ช้ ท้งั น้ีเพอื่ ให้
นกั เรียนสามารถศกึ ษาไดด้ ว้ ยตนเองไดถ้ า้ ตอ้ งการ

2. แบบฝึกทด่ี ีควรมีความหมายต่อผเู้ รียนและตรงตามจดุ มุ่งหมายของการฝึก
ลงทนุ นอ้ ย ใชไ้ ดน้ านและทนั สมยั อยเู่ สมอ

3. ภาษาและภาพท่ีใชใ้ นแบบฝึกหดั ควรเหมาะสมกบั วยั และพน้ื ฐานความรู้
ของผเู้ รียน

4. แบบฝึกหดั ทด่ี ีควรแยกฝึกเป็นเร่ืองๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควร
มีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพอื่ เร้าใหน้ กั เรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการทา และเพอื่ ฝึกทกั ษะ
ใดทกั ษะหน่ึงจนเกิดความชานาญ

5. แบบฝึกที่ดีควรมีท้งั แบบกาหนดคาตอบให้ แบบใหต้ อบโดยเสรี
การเลือกใชค้ า ขอ้ ความ หรือรูปภาพในแบบฝึกหดั ควรเป็นสิ่งทีน่ กั เรียนคุน้ เคย และตรงกบั ความในใจ
ของนกั เรียน เพอ่ื วา่ แบบฝึกหดั ท่ีสร้างข้ึนจะไดก้ ่อใหเ้ กิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผใู้ ช้ ซ่ึงตรงกบั
หลกั การเรียนรูท้ ว่ี า่ เด็กมกั จะเรียนรู้ไดเ้ ร็วในการกระทาท่ีก่อใหเ้ กิดความพงึ พอใจ

6. แบบฝึกหดั ท่ดี ีควรเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษาดว้ ยตนเอง ใหร้ ู้จกั คน้ ควา้
รวบรวมสิ่งที่พบเห็นบอ่ ยๆหรือทตี่ วั เองเคยใช้ จะทาใหน้ กั เรียนเขา้ ใจเรื่องน้นั ๆมากยงิ่ ข้ึน และรูจ้ กั นา
ความรูไ้ ปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง มีหลกั เกณฑแ์ ละมองเห็นวา่ สิ่งทเ่ี ขาไดฝ้ ึกฝนน้นั มีความหมาย
ตอ่ เขาตลอดไป

7. แบบฝึกหดั ท่ดี ี ควรตอบสนองความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ผเู้ รียนแต่ละ
คนมีความแตกต่างในหลายๆ ดา้ น เช่น ความตอ้ งการ ความสนใจ ความพร้อม ระดบั สติปัญญาและ
ประสบการณ์ ฯลฯ ฉะน้นั การทาแบบฝึกหดั แต่ละเร่ืองควรจดั ทาใหม้ ากพอและมีทุกระดบั ต้งั แต่ง่าย ปาน
กลางจนถึงระดบั คอ่ นขา้ งยาก เพอ่ื วา่ ท้งั เด็กเก่ง กลางและอ่อน จะไดเ้ ลือกทาไดต้ ามความสามารถ ท้งั น้ี
เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ทุกคนประสบผลสาเร็จในการทาแบบฝึกหดั

8. แบบฝึกหดั ท่ีดี ควรสามารถเร้าความสนใจของนกั เรียนไดต้ ้งั แต่หนา้ ปกไป

จนถึงหนา้ สุดทา้ ย
9. แบบฝึกหดั ทดี่ ีควรไดร้ ับการปรบั ปรุงควบคูไ่ ปกบั หนงั สือเรียนอยเู่ สมอและ

ควรใชไ้ ดด้ ีท้งั ในและนอกหอ้ งเรียน
10. แบบฝึกหดั ท่ีดีควรเป็นแบบฝึกหดั ท่ีสามารถประเมิน และจาแนกความ

เจริญงอกงามของเดก็ ไดด้ ว้ ย
ขนั ธชยั มหาโพธ์ิ (2535 : 20) กล่าววา่ ลกั ษณะของแบบฝึกทด่ี ีควรประกอบดว้ ย
1. มีเน้ือหาทตี่ รงกบั จุดประสงค์
2. กิจกรรมเหมาะสมกบั ระดบั หรือความสามารถของนกั เรียน
3. มีภาพประกอบ มีการวางฟอร์มท่ดี ี
4. มีทวี่ า่ งเหมาะสมสาหรบั ฝึกเขียน
5. ใชเ้ วลาทเ่ี หมาะสม
6. ทา้ ทายความสามารถของผเู้ รียนและสามารถนาไปฝึกดว้ ยตนเองได้
บรู๊ค (Brook. 1964 : 212-215) ไดเ้ สนอรูปแบบฝึกไวห้ ลายชนิดที่เป็นประโยชน์

ในการฝึกทกั ษะทางภาษา มีดงั ตอ่ ไปน้ี
1. การเลียนคา (Repetition) ฝึกโดยใหน้ กั เรียนเลียนแบบครู
2. การเปล่ียนโครงสรา้ งของประโยค (Transformation)
3. การแทนที่ของคาโดยเปลี่ยนคานามเป็นสรรพนาม (Replacement)
4. แตง่ บทโตต้ อบ (Rejoinder) ใหน้ กั เรียนแตง่ ประโยคโตต้ อบประโยคที่

กาหนดให้
5. การเรียบเรียงขอ้ ความใหม่ (Restatement) หรือหาขอ้ ความมาเติม

จากรูปแบบลกั ษณะของแบบฝึกทก่ี ล่าวมาขา้ งตน้ จะเห็นวา่ มีหลากหลายลกั ษณะ ผสู้ ร้างแบบฝึ ก
เองจะตอ้ งเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกบั จดุ ประสงคใ์ นการสรา้ งแบบฝึกน้นั ๆวา่ เราตอ้ งการท่ีจะฝึกทกั ษะใด
กบั นกั เรียน เน้ือหาสาระสาคญั ของหลกั สูตร วยั ของผเู้ รียน ท้งั น้ีจะยดึ หลกั การพฒั นาการของผเู้ รียน
เพอ่ื ใหไ้ ดแ้ บบฝึกทกั ษะที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ

3. ความพงึ พอใจ เจตคตติ ่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
ความหมายของคาวา่ เจตคติ
เจตคติหรือ ทศั นคติมีความหมายตามคาอธิบายของนกั จิตวทิ ยาเช่นอลั พอร์ท (Allport, 2545 : 125) ไดใ้ ห้
ความหมายของเจตคติวา่ เป็ นสภาวะของความพรอ้ มทางจิตใจซ่ึงเกิดจากประสบการณ์สภาวะความพร้อมน้ี
เป็นแรงที่กาหนดทศิ ทางของปฏิกิริยาระหวา่ งบุคคลท่ีมีต่อบุคคลส่ิงของและสถานการณ์ท่ีเก่ียวขอ้ งเจตคติ
จงึ ก่อรูปไดด้ งั น้ี
1. เกิดจากการเรียนรูว้ ฒั นธรรมขนบธรรมเนียมในสงั คม
2. การสร้างความรูส้ ึกจากประสบการณ์ของตนเอง

3. ประสบการณ์เดิมมีท้งั ทางบวกและลบจะส่งผลถึงเจตคติตอ่ สิ่งใหม่ทค่ี ลา้ ยคลึง
4. การเลียนแบบบุคคลที่ตนเองใหค้ วามสาคญั และรบั เอาเจตคตนิ ้นั มาเป็ นของตน
เบลกินและสกายเดล (Belkin and Skydellอา้ งถึงในจุฑารัตนเ์ อ้ืออานวย, 2549 : 58) เป็ นแนวโน้มท่ีบุคคลจะ
ตอบสนองในทางทพี่ อใจหรือไม่พอใจตอ่ สถานการณ์ตา่ งๆเจตคตจิ งึ มีความหมายสรุปไดด้ งั น้ี
1. ความรู้สึกของบคุ คลทีม่ ีตอ่ ส่ิงตา่ งๆหลงั จากที่บุคคลไดม้ ีประสบการณ์ในสิ่งน้นั ความรู้สึกน้ีจึงแบ่งเป็ น3
ลกั ษณะคือ
1.1 ความรูส้ ึกในทางบวกการแสดงออกความพงึ พอใจเห็นชอบและสนบั สนุน
1.2 ความรูส้ ึกในทางลบการแสดงออกไม่พงึ พอใจไม่เห็นชอบและไม่สนบั สนุน
1.3 ความรู้สึกทเ่ี ป็นกลางคือไม่มีความรู้สึกใดๆ
2. บุคคลแสดงความรู้สึกทางดา้ นพฤติกรรมซ่ึงแบง่ พฤตกิ รรมเป็ น 2 ลกั ษณะคอื
2.1 พฤติกรรมภายนอกเป็นพฤติกรรมท่ีสงั เกตไดม้ ีการกล่าวถึงสนบั สนุน
ทา่ ทางหนา้ ตาบ่งบอกความพงึ พอใจ
2.2 พฤติกรรมภายในเป็นพฤติกรรมท่สี งั เกตไม่ไดช้ อบหรือไม่ชอบก็ไม่
แสดงออกเจตคติแบ่งเป็น 5 ประเภทไดแ้ ก่
1. เจตคติในดา้ นความรู้สึกหรืออารมณ์ (Affective Attitude) ประสบการณ์ท่ีคนไดส้ ร้างความพึงพอใจและ
ความสุขใจจนกระทาใหม้ ีเจตคตทิ ด่ี ีตอ่ สิ่งน้นั ตลอดจนเร่ืองอื่นๆท่คี ลา้ ยคลึงกนั
2. เจตคติทางปัญญา (Intellectual Attitude) เป็นเจตคติทปี่ ระกอบดว้ ยความคิดและความรูเ้ ป็นแกนบคุ คลอาจ
มีเจตคติต่อบางสิ่งบางอยา่ งโดยอาศยั การศึกษาความรู้จนเกิดความเขา้ ใจและมีความสัมพนั ธ์กบั จิตใจคือ
อารมณ์และความรู้สึกร่วมหมายถึงมีความรู้สึกจนเกิดความซาบซ้ึงเห็นดีเห็นงามดว้ ยเช่นเจตคติท่ีมีต่อ
ศาสนาเจตคติที่ไม่ดีต่อยาเสพติด
3. เจตคติทางการกระทา (Action-oriented Attitude) เป็ นเจตคติท่ีพร้อมจะนาไปปฏิบตั ิเพื่อสนองความ
ตอ้ งการของบคุ คลเช่นเจตคติทีด่ ีตอ่ การพดู จาไพเราะอ่อนหวานเพอ่ื ใหค้ นอ่ืนเกิดความนิยมเจตคตทิ ่มี ีต่องาน
ในสานกั งาน
4. เจตคติทางด้านความสมดุล (Balanced Attitude) ประกอบด้วยความสมั พนั ธ์ทางด้านความรู้สึกและ
อารมณ์เจตคติทางปัญญาและเจตคตทิ างการกระทาเป็นเจตคตทิ ี่สามารถตอบสนองต่อความพงึ พอใจในการ
ทางานทาใหบ้ ุคคลสามารถทางานตามเป้าหมายของตนเองและองคก์ ารได้
5. เจตคติในการป้องกนั ตวั เอง (Ego-defensive Attitude) เป็ นเจตคติเก่ียวกบั การป้องกนั ตนเองให้พน้ จาก
ความขดั แยง้ ภายในใจประกอบดว้ ยความสมั พนั ธ์ท้งั 3 ดา้ นคือความสัมพนั ธด์ ้านความรู้สึกอารมณ์ดา้ น
ปัญญาและดา้ นการกระทา

ประเภทและองคป์ ระกอบของเจตคตปิ ระกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 3 ประการคอื

1. องคป์ ระกอบดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ (Cognitive Component) เป็ นองคป์ ระกอบดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ
ของบคุ คลทีม่ ีตอ่ ส่ิงเรา้ น้นั ๆเพอ่ื เป็นเหตุผลทีจ่ ะสรุปความและรวมเป็ นความเช่ือหรือช่วยในการประเมินค่า
สิ่งเรา้ น้นั ๆ
2. องคป์ ระกอบดา้ นความรู้สึกและอารมณ์ (Affective Component) เป็ นองคป์ ระกอบดา้ นความรู้สึกหรือ
อารมณ์ของบุคคลที่มีความสัมพนั ธ์กบั ส่ิงเร้าต่างเป็ นผลต่อเนื่องมาจากที่บุคคลประเมินค่าสิ่งเร้าน้นั แลว้
พบวา่ พอใจหรือไม่พอใจตอ้ งการหรือไม่ตอ้ งการดีหรือเลว
องคป์ ระกอบท้งั สองอย่างมีความสัมพนั ธ์กนั เจคติบางอย่างจะประกอบด้วยความรู้ความเขา้ ใจมากแต่
ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบดา้ นความรู้สึกและอารมณ์นอ้ ยเช่นเจตคติทม่ี ีตอ่ งานที่ทาส่วนเจตคตทิ ี่มีต่อแฟชนั่
เส้ือผา้ จะมีองคป์ ระกอบดา้ นความรูส้ ึกและอารมณ์สูงแตม่ ีองคป์ ระกอบดา้ นความรู้ความเขา้ ใจต่า
3. องคป์ ระกอบดา้ นพฤติกรรม (Behavioural Component) เป็นองคป์ ระกอบทางดา้ นความพร้อมหรือความ
โนม้ เอียงที่บคุ คลประพฤตปิ ฏิบตั ิหรือตอบสนองต่อส่ิงเร้าในทิศทางที่จะสนับสนุนหรือคดั คา้ นท้งั น้ีข้ึนอยู่
กบั ความเชื่อหรือความรูส้ ึกของบุคคลท่ีไดร้ ับจากการประเมินค่าใหส้ อดคลอ้ งกบั ความรู้สึกที่มีอยเู่ จตคติท่ี
บุคคลมีตอ่ ส่ิงหน่ึงส่ิงใดหรือบคุ คลหน่ึงบุคคลใดตอ้ งประกอบดว้ ยท้งั สามองคป์ ระกอบเสมอแตจ่ ะมีปริมาณ
มากนอ้ ยแตกตา่ งกนั ไปโดยปรกติบุคคลมกั แสดงพฤติกรรมในทิศทางที่สอดคลอ้ งกบั เจตคติท่ีมีอยแู่ ต่ก็ไม่
เสมอไปทุกกรณีในบางคร้งั เรามีเจตคติอยา่ งหน่ึงแต่กไ็ ม่ไดแ้ สดงพฤติกรรมตามเจตคติท่ีมีอยกู่ ็มี
คุณลกั ษณะของเจตคติ
1. เจตคติเกิดจากประสบการณ์สิ่งเร้าตา่ งๆรอบตวั บุคคลการอบรมเล้ียงดูการเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี
และวฒั นธรรมเป็ นส่ิงที่ก่อใหเ้ กิดเจตคติแมว้ า่ จะมีประสบการณ์ที่เหมือนกนั ก็เป็ นเจตคติที่แตกต่างกนั ได้
ดว้ ยสาเหตุหลายประการเช่นสติปัญญาอายเุ ป็ นตน้
2. เจตคติเป็ นการเตรียมหรือความพร้อมในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเป็ นการเตรียมความพร้อมภายในของ
จิตใจมากกวา่ ภายนอกที่สงั เกตไดส้ ภาวะความพร้อมที่จะตอบสนองมีลกั ษณะที่ซบั ซ้อนของบุคคลว่าชอบ
หรือไม่ชอบยอมรับหรือไม่ยอมรบั เก่ียวขอ้ งกบั อารมณ์ดว้ ย
3. เจตคติมีทศิ ทางของการประเมินทศิ ทางของการประเมินคอื ลกั ษณะความรู้สึกหรืออารมณ์ท่ีเกิดข้ึนถา้ เป็ น
ความรูส้ ึกหรือประเมินวา่ ชอบพอใจเห็นดว้ ยก็คอื เป็ นทิศทางในทางท่ดี ีเรียกวา่ เป็ นทศิ ทางในทางบวกและถา้
ประเมินออกมาในทางไม่ดีเช่นไม่ชอบไม่พอใจก็มีทิศทางในทางลบเจตคติทางลบไม่ไดห้ มายความว่าไม่
ควรมีเจตคติน้นั เป็นเพยี งความรูส้ ึกทไี่ ม่ดีต่อสิ่งน้นั
4. เจตคติมีความเขม้ คือมีปริมาณมากน้อยของความรู้สึกถา้ ชอบมากหรือไม่เห็นดว้ ยอยา่ งมากก็แสดงวา่ มี
ความเขม้ สูงถา้ ไม่ชอบเลยหรือเกลียดที่สุดก็แสดงวา่ มีความเขม้ สูงไปอีกทางหน่ึง
5. เจตคตมิ ีความคงทนเจตคติเป็ นส่ิงท่ีบุคคลยดึ มน่ั ถือมนั่ และมีส่วนในการกาหนดพฤติกรรมของคนน้ันการ
ยดึ มนั่ ในเจตคติตอ่ สิ่งใดทาใหก้ ารเปลี่ยนแปลงเจตคตเิ กิดข้ึนไดย้ าก

6. เจตคติมีท้งั พฤตกิ รรมภายในและพฤติกรรมภายนอกพฤติกรรมภายในเป็ นสภาวะทางจิตใจซ่ึงหากไม่ได้
แสดงออกกไ็ ม่สามารถรูไ้ ดว้ า่ บคุ คลน้นั มีเจตคตอิ ยา่ งไรในเรื่องน้นั เจตคตเิ ป็ นพฤติกรรมภายนอกแสดงออก
เนื่องจากถูกกระตนุ้ และการกระตุน้ ยงั มีสาเหตอุ ื่นๆร่วมอยดู่ ว้ ย
7. เจตคติต้องมีสิ่งเร้าจึงมีการตอบสนองข้ึนไม่จาเป็ นว่าเจตคติที่แสดงออกจากพฤติกรรมภายในและ
พฤติกรรมภายนอกจะตอ้ งตรงกนั เพราะก่อนแสดงออกน้นั ก็จะปรบั ปรุงใหเ้ หมาะกบั สภาพของสงั คมแลว้ จึง
แสดงออกเป็นพฤตกิ รรมภายนอก
การเกิดและการเปลี่ยนแปลงเจตคติ
เจตคติเกิดจากการมีประสบการณ์ท้งั ทางตรงและทางออ้ มหากประสบการณ์ที่ไดร้ ับเพ่ิมเติมแตกต่างจาก
ประสบการณ์เดิมอาจเปลี่ยนแปลงเจตคติไดก้ ารเปลี่ยนแปลงเจตคติมี 2 ทาง
1. การเปล่ียนแปลงในทางเดียวกนั (Congruent Change) หมายถึงเจตคติเดิมของบุคคลที่เป็ นไปในทางบวก
จะเพม่ิ มากข้นึ ในทางบวกแตถ่ า้ เจตคตเิ ป็ นไปทางลบกเ็ พม่ิ มากข้นึ ในทางลบดว้ ย
2. การเปลี่ยนแปลงไปคนละทาง (Incongruent Change) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงเจตคติเดิมของบุคคลท่ี
เป็นไปในทางบวกจะลดลงและไปเพม่ิ ทางลบ

จากการที่กล่าวมาท้ังหมดน้ี การสร้างเจตคติท่ีดีต่อการเรียนการสอนน้ัน ถ้าสร้างแรงจูงใจใน
ทางบวกจะช่วยใหน้ กั เรียนมีเจตคติท่ีดีต่อการเรียนการสอนวชิ าภาษาองั กฤษมากกวา่ การสรา้ งเจตคติทางลบ

งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ งกบั การสอนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ

ม.ปัณณวฒั น์ เทียนสวสั ด์ิ (2547) วิจยั เรื่องการส่งเสริมการท่องคาศพั ทใ์ นรายวชิ า Social Studies
ในเร่ืองอาชีพและสถานท่ีต่างๆในชุมชน ได้กล่าวว่าการศึกษาวิจยั น้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อพฒั นาการท่อง
คาศพั ทแ์ ละการส่งเสริมการทอ่ งคาศพั ทข์ องนกั เรียนโดยใชก้ ิจกรรมแบบฝึกหดั เกี่ยวกบั คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ
ในรายวชิ า Social Studies โดยกลุ่มทดลองเป็ นนกั เรียนช้นั ม.2/6 จานวน 35 คน โดยให้นกั เรียนทดสอบ
เก่ียวกบั คาศพั ทก์ ่อนเรียน แลว้ หลงั จากน้ันให้นักเรียนทาแบบฝึ กหัดเกี่ยวกับคาศพั ท์ที่ผูว้ ิจยั ไดส้ ร้างข้ึน
จานวน 3 ฉบบั จากน้ันจึงทาการทดลองหลงั เรียนและวิเคราะห์ผลคะแนนโดยใชว้ ธิ ีการหาค่าเฉล่ียและค่า
ร้อยละ ผลปรากฏวา่ การใชก้ ิจกรรมการเขยี นคาศพั ทแ์ ละทาแบบฝึ กหัดเกี่ยวกบั คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ทาให้
นกั เรียนมีความรู้และความจาในการนาคาศพั ทท์ ี่เรียนมาใชแ้ ละทาแบบฝึ กหัดหลงั เรียนไดค้ ะแนนเพ่ิมข้ึน
จากเดิม ดงั จะเห็นไดจ้ ากการเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนของนกั เรียนท่ีเพิ่มข้ึนโดย
เฉล่ียรอ้ ยละ 17

พรเพญ็ จารุกิตติยนตร์(2545) วจิ ยั ผเู้ รียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ในงานวจิ ยั เร่ืองการใชเ้ กมเพอ่ื
พฒั นาทักษะการสะกด การอ่านคา การคน้ หาตวั สะกดและความหมายของคาในวิชาภาษาอังกฤษ
ผลการวิจยั สรุปไดว้ ่า นกั เรียนเรียนมีความสามารถในการสะกดคา การอ่านคา การคน้ หาตวั สะกด และ
ความหมายของคาในวชิ าภาษาองั กฤษเพม่ิ ข้ึนจากเดิม แมว้ า่ นกั เรียนบางคนอาจจะมีระดบั คะแนนหลงั การ

พฒั นาไม่ถึง 60% ของคะแนนท้งั หมดก็ตาม ถา้ พจิ ารณาดูโดยรวมแลว้ จะพบวา่ ผเู้ รียนมีระดบั คะแนนเพมิ่ ข้ึน
ในช่วงหลงั การทดลองทกุ คน

เตอื นใจ อรชร (2547) วิจยั เร่ือง ผลของการใชแ้ บบฝึ กทกั ษะและการเสริมแรงที่มีความต้งั ใจเรียน
วชิ าภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 6 กล่าวไวว้ า่ จากการวเิ คราะห์ขอ้ มูลสรุปไดว้ า่ นกั เรียนท่ี
ไม่ต้งั ใจเรียน เม่ือได้ทากิจกรรมท่ีครูจดั ให้อย่างเป็ นลาดับข้นั ตอนมีความยากง่ายเหมาะสมกับระดับ
ความสามารถ และไดร้ ับคาชมเชยในความสาเร็จ นกั เรียนก็จะมีกาลงั ใจ มีความต้งั ใจเรียนและมีผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียนวชิ าอ่ืนๆ ดว้ ยวชิ าภาษาองั กฤษเป็นวชิ าทกั ษะ ดงั น้นั จงึ ควรจดั กิจกรรมใหน้ กั เรียน ไดฝ้ ึ กปฏิบตั ิ
บ่อยๆ ตามลาดบั ข้นั ตอนจึงจะทาให้ นกั เรียนเกิดทกั ษะการฟัง การพดู การอ่านและการเขยี น

วไิ ลรตั น์ วสุรีย์ (2545) ศกึ ษาการพฒั นาแบบฝึกเสริมทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใชเ้ อกสารจริง
เก่ียวกับทอ้ งถ่ิน ในรายวชิ า อ 0112 สาหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จงั หวดั
ลพบุรี กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 45 คน ผลการวจิ ยั พบวา่
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึ กทกั ษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้เอกสารจริงเก่ียวกบั ทอ้ งถิ่น มีค่าเท่ากับ
87.80/80.50
2. ความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษของนักเรียนหลงั การใชแ้ บบฝึ กเสริมทกั ษะ การอ่านสูงกว่าก่อน
การใชแ้ บบฝึกอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั 0.05 และ 3. นกั เรียนมีความคดิ เห็นท่ดี ีต่อแบบฝึ กทกั ษะการ
อ่านภาษาองั กฤษโดยใชเ้ อกสารจริงเก่ียวกบั ทอ้ งถ่ินทผ่ี วู้ จิ ยั สร้างข้ึน

วไิ ลลกั ษณ์ ลาจนั ทกึ (2548) ไดศ้ กึ ษาการพฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใชห้ นงั สือการ์ตูน
ประกอบบทเรียนสาหรับนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โดยใช้รูปแบบการวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการผลการวิจยั
พบวา่ การจดั การเรียนรู้โดยใชห้ นงั สือการ์ตูนประกอบบทเรียนส่งเสริมให้นกั เรียนไดเ้ รียนรู้และฝึกทกั ษะ
การอ่านภาษาองั กฤษดว้ ยตนเอง มีปฏิสมั พนั ธใ์ นการช่วยเหลือกนั ในการเรียนรู้ และหนงั สือการ์ตูนไดช้ ่วย
กระตุน้ ความสนใจของนกั เรียนใหเ้ กิดความกระตอื รือรน้ และเขา้ ใจบทเรียนมากยง่ิ ข้ึนผลการทดสอบผูเ้ รียน
พบวา่ นกั เรียนมีการพฒั นาทางดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษในดา้ นทกั ษะการอ่านออกเสียงคิดเป็ นร้อยละ 68
ของจานวนนกั เรียนท้งั หมดและดา้ นทกั ษะการอ่านในใจ นกั เรียนทุกคนผา่ นเกณฑม์ าตรฐานท่ีกาหนด ดา้ น
ความคดิ เห็นพบวา่ นกั เรียนมีความคดิ เห็นสอดคลอ้ งกบั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการอ่าน
ภาษาองั กฤษโดยใชห้ นงั สือการ์ตนู ประกอบบทเรียนในทกุ ๆ ดา้ น

นนั ทพร คชศิริพงษ์ (2541 : 169) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิและความคงทนในการเรียนรู้
คาศพั ทว์ ชิ าภาษาองั กฤษ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5จากการสอนโดยใชแ้ บบฝึกหดั ท่ีมีเกมและไม่มีเกมประกอบ
กลุ่มตวั อยา่ งที่ใชใ้ นการทดลอง ไดแ้ ก่ นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5จานวน 60 คน โรงเรียนวเิ ชียรกลิ่น
สุคนธ์อุปถมั ภ์ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา แบ่งเป็ นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองเรียนจากการ
สอนโดยใชแ้ บบฝึกหดั ท่มี ีเกมประกอบ กลุ่มควบคุมเรียนจากการสอนโดยใชแ้ บบฝึกหดั ที่ไม่มีเกมประกอบ
ผลการทดลองปรากฏวา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรู้คาศพั ทว์ ชิ าภาษาองั กฤษแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทาง
สถิตทิ ่ีระดบั .05 แตเ่ ม่ือท้ิงช่วงไป 2 สปั ดาห์

ความคงทนในการเรียนรู้คาศพั ท์ไม่แตกต่างกันสันติ แสงสุก (2542 a : บทคดั ย่อ) ไดท้ าการ
เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิและความคงทนในการเรียนรูค้ าศพั ทว์ ชิ าภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษา
ปี ท่ี 5 ระหวา่ งการสอนโดยใชเ้ กมกบั การสอนปกติ พบวา่ นกั เรียนท่ไี ดร้ ับการสอนโดยใชเ้ กมมีผลสัมฤทธ์ิc
ละความคงทนทางการเรียนรู้สูงกวา่ นกั เรียนท่ีไดร้ บั การสอนตามปกติอยา่ ง

4. แนวคดิ และทฤษฎที ่ีเก่ียวกับการสอนทกั ษะการเขยี นวชิ าภาษาองั กฤษโดยใช้แบบฝึ กทักษะ

การสอนเขียนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ผวู้ จิ ยั ไดย้ ดึ ทฤษฎีการเรียนรูแ้ ละหลกั การเรียนรู้ ดงั น้ี

1. ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Thorndike
Thorndike ไดเ้ ป็ นผใู้ หก้ าเนิดทฤษฎีการเรียนรูท้ เี่ นน้ ความสมั พนั ธเ์ ชื่อมโยงระหวา่ งส่ิงเรา้

(S) กบั การตอบสนอง (R) เขาเชื่อวา่ การเรียนรู้จะเกิดข้นึ ไดตอ้ งสรา้ งสิ่งเช่ือมโยงหรือพนั ธะระหวา่ งส่ิงเร้า
กบั การตอบสนอง ซ่ึงทฤษฎีการเรียนรูข้ อง Thorndike มีอยู่ 3 ขอ้ คือ

1) กฎแห่งความพร้อม (Law of readiness) กล่าวถึงความพร้อมของผเู้ รียนท้งั ร่างกาย
จิตใจ ทางร่างกาย หมายถึงความพร้อมทางวฒุ ิภาวะและอวยั วะของร่างกาย เช่น หูและตา ทางจิตใจ
หมายถึงความพร้อมทเี่ กิดจากความพงึ พอใจเป็นสาคญั คือถา้ เกิดความพอใจจะนาไปสู่การเรียนรู้ ถา้ ไม่เกิด
ความพอใจจะทาใหก้ ารเรียนรู้หยดุ ชะงกั ไปได้

2) กฎแห่งการฝึกหดั (Law of exercise) กล่าวถึงความมนั่ คงของการเชื่อมโยงระหวา่ ง
สิ่งเร้ากบั ตอบสนองที่ถูกตอ้ ง โดยการฝึกหดั ทาซ้าบอ่ ยๆ ยอ่ มทาใหเ้ กิดการเรียนรูไ้ ดน้ านและคงทาถาวร

3) กฎแห่งผล (Law of effect) กล่าวถึงผลที่ไดร้ บั เมื่อแสดงพฤตกิ รรมการเรียนรู้แลว้ วา่
ถา้ ไดร้ บั ผลท่พี อใจ อินทรียก์ ็อยากจะเรียนรู้ต่อไป แตถ่ า้ ไดร้ ับผลท่ีไม่พอใจ อินทรียก์ ไ็ มอ่ ยากเรียนรู้ หรือ
เกิดความเบ่ือหน่ายต่อการเรียนรู้

จากทฤษฎีการเรียนรูข้ อง Thorndike ท้งั 3 ขอ้ ดงั ทกี่ ล่าวมาน้ี ผวู้ จิ ยั ไดน้ ามาประยกุ ตใ์ ช้
ท้งั 3 ขอ้ กล่าวคือ จากกฎขอ้ ท่ี 3.1 ของ Thorndike กล่าวถึง กฎแห่งความพร้อม ผวู้ จิ ยั ไดน้ าไปใชท้ กุ
ข้นั ตอนของการสอนเพราะผวู้ จิ ยั เองเช่ือวา่ เดก็ จะเรียนรู้ไดด้ ีจะตอ้ งมีความพร้อมก่อน ซ่ึงเป็ นประเดน็ สาคญั
ทผี่ สู้ อนทกุ คนกต็ อ้ งตระหนกั กล่าวคือไม่วา่ จะเป็ นข้นั นา ข้นั สอน ข้นั สรุป และข้นั วดั ผลและ
ประเมินผล ผเู้ รียนจะตอ้ งมีความพรอ้ มท้งั สิ้น ส่วนกฎขอ้ ที่ 3.2 กฎแห่งการปฏบิ ตั ิ ผวู้ จิ ยั ก็ไดน้ ามา
ประยกุ ตใ์ ชก้ บั ข้นั สอนในข้นั ตอนการฝึกปฏิบตั ิ จากกฎขอ้ ท่ี 3.3 กฎแห่งผล ผวู้ จิ ยั ไดน้ าไปใช้
เช่นกนั คือ ไดน้ าไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นข้นั สรุปการสอน

ไพบูลย์ เทวรกั ษ์ (2540) ไดก้ ลา่ วถึงกฎการฝึกหดั ไวว้ า่ การฝึกหดั ใหบ้ คุ คลทากิจกรรม
ต่างๆ น้นั ผฝู้ ึกจะตอ้ งควบคุมและจดั สภาพการใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องตนเอง บุคคลจะถูก
กาหนดลกั ษณะพฤตกิ รรมทแี่ สดงออก

ดงั น้นั ผสู้ รา้ งแบบฝึกจึงจะตอ้ งกาหนดกิจกรรมตลอดจนคาสงั่ ต่างๆ ในแบบฝึกใหผ้ ฝู้ ึกได้
แสดงพฤติกรรมสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคท์ ผี่ สู้ รา้ งตอ้ งการ

2. ทฤษฎีพฤติกรรมนยิ มของสกินเนอร์

ซ่ึงมีความเชื่อวา่ สามารถควบคุมบคุ คลใหท้ าตามความประสงค์ หรือแนวทางที่
กาหนดไดโ้ ดยไม่ตอ้ งคานึงถึงความรู้สึกทางจติ ใจของบุคคลผนู้ ้นั วา่ จะรูส้ ึกนึกคิดอยา่ งไร โดยมีการ
เสริมแรงเป็นตวั การเม่ือบคุ คลตอบสนองการเร้าของส่ิงเรา้ ควบคูก่ นั ในช่วงเวลาท่ีเหมาะสม ส่ิงเร้าน้นั จะ
รกั ษาระดบั หรือเพมิ่ การตอบสนองใหเ้ ขม้ ข้ึน

3. วธิ ีการสอนของกาเย่

ซ่ึงมีความเห็นวา่ การเรียนรูม้ ีลาดบั ข้นั และผเู้ รียนจะตอ้ งเรียนรู้เน้ือหาทง่ี ่ายไปหายาก
พรรณี ช.เจนจติ (2538) ไดก้ ล่าวถึงแนวคดิ ของกาเย่ ไวด้ งั น้ี
การเรียนรู้มีลาดบั ข้นั ดงั น้นั ก่อนที่จะสอนเด็กแกป้ ัญหาไดน้ ้นั เดก็ จะตอ้ งเรียนรู้ความคิด
รวบยอด หรือกฎเกณฑม์ าก่อน ซ่ึงในการสอนใหเ้ ดก็ ไดค้ วามคิดรวบยอดหรือกฎเกณฑน์ ้นั จะทาใหเ้ ด็ก
เป็นผสู้ รุปความคิดรวบยอดดว้ ยตนเองแทนท่คี รูจะเป็นผบู้ อก การสรา้ งแบบฝึกจึงควรคานึงถึงการฝึก
ตามลาดบั ข้นั จากงา่ ยไปหายาก
โดยสรุปแลว้ ผวู้ จิ ยั ก็ไดน้ าแนวคิดของทฤษฎีตา่ งๆ ที่ไดก้ ล่าวมาไปใชใ้ นทุกข้นั ตอน
ท้งั ข้นั นา ข้นั สอน ข้นั สรุปและข้นั วดั ผลและประเมินผล ท้งั น้ีก็เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ กิดการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง
และมีแรงกระตุน้ ในการทจี่ ะรกั การอ่านใหม้ ากทส่ี ุด

5. งายวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้อง

5.1 งานวิจัยในประเทศ

วไิ ลรัตน์ วสุรีย์ (2545) ศึกษาการพฒั นาแบบฝึกเสริมทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใช้
เอกสารจริงเก่ียวกบั ทอ้ งถ่ิน ในรายวชิ า อ 0112 สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนพบิ ลู
วทิ ยาลยั จงั หวดั ลพบุรี กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 45 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะ
การอ่านภาษาองั กฤษโดยใชเ้ อกสารจริงเกี่ยวกบั ทอ้ งถ่ิน มีค่าเท่ากบั 87.80/80.50 2. ความสามารถในการ
อ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียนหลงั การใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะ การอ่านสูงกวา่ ก่อนการใชแ้ บบฝึกอยา่ งมี
นยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.05 และ 3. นกั เรียนมีความคดิ เห็นท่ีดีตอ่ แบบฝึกทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษ
โดยใชเ้ อกสารจริงเกี่ยวกบั ทอ้ งถ่ินที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน

อรชร วงษษ์ า (2548) ไดศ้ ึกษาการพฒั นากิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระ การ
เรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (วชิ าภาษาองั กฤษ) โดยใชน้ ิทานพน้ื บา้ นอีสานเป็ นสื่อ สาหรับนกั เรียนช่วงช้นั ที่
3 (ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 2) กลุ่มเป้าหมาย จานวน 35 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
ภาษาองั กฤษของนกั เรียนหลงั สิ้นสุดการทดลองวงจรตามแผนการจดั การเรียนรู้ โดยใชน้ ิทานพ้นื บา้ น
อีสานเป็นสื่อ มีจานวนนกั เรียนทส่ี อบผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 ของคะแนนเตม็ จานวน 27 คน คดิ เป็นรอ้ ย
ละ 77.14

สุจติ รา ศาสตรวาหา (2541 อา้ งถึงใน รุ่งวนา สุดจิตต,์ 2545) ไดท้ าการศกึ ษา
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ในช้นั เรียนทีม่ ีการสอนแบบ
สื่อสารโดยมีนิทานเป็ นองคป์ ระกอบ กลุ่มตวั อยา่ งคอื นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 จานวน 30 คน

แบ่งเป็ นกลุ่มทดลอง 15 คน กลุ่มควบคุม 15 คน ทาการสอนแบบส่ือสารทีม่ ีนิทานเป็นองคป์ ระกอบ
จานวน 3 เรื่อง ในกลุ่มทดลองส่วนกลุ่มควบคมุ ทาการสอนตามคู่มอื ครู นิทานที่เลือกใชเ้ ป็ นนิทานของชน
ชาตอิ ่ืน มีการสงั เกตพฤติกรรมระหวา่ งเรียนท้งั 2 กลุ่ม ผลการวจิ ยั สรุปไดว้ า่ นกั เรียนในกลุ่มทดลองมี
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงกวา่ กลุ่มควบคุม ซ่ึงมีความแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .05
แสดงใหเ้ ห็นวา่ แนวทางการเรียนการสอนแบบสื่อสารโดยมีนิทานเป็ นองคป์ ระกอบ เป็ นแนวการสอนทีด่ ี
มีประสิทธิภาพ ส่งผลใหน้ กั เรียนมีความกา้ วหนา้ และพฒั นาทกั ษะทางภาษาท้งั 4 ดา้ น จากการสงั เกต
พฤตกิ รรมในขณะท่ีเรียนพบวา่ นกั เรียนในกลุ่มทดลองมีการแสดงพฤติกรรมท่อี ยใู่ นเกณฑท์ ่สี ูงกวา่ นกั เรียน
ในกลุ่มควบคุม ท้งั น้ีเพราะนกั เรียนในกลุ่มทดลองมีความสนใจช่ืนชอบทาใหส้ ามารถทาความเขา้ ใจเน้ือหา
ทเี่ รียนไดด้ ี

วไิ ลลกั ษณ์ ลาจนั ทกึ (2548) ไดศ้ กึ ษาการพฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใช้
หนงั สือการ์ตูนประกอบบทเรียนสาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โดยใชร้ ูปแบบการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ าร
ผลการวจิ ยั พบวา่ การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชห้ นงั สือการ์ตนู ประกอบบทเรียนส่งเสริมใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรู้และ
ฝึกทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษดว้ ยตนเอง มีปฏิสมั พนั ธใ์ นการช่วยเหลือกนั ในการเรียนรู้ และหนงั สือ
การ์ตูนไดช้ ่วยกระตุน้ ความสนใจของนกั เรียนให้เกิดความกระตือรือร้นและเขา้ ใจบทเรียนมากยงิ่ ข้ึน ผล
การทดสอบผเู้ รียนพบวา่ นกั เรียนมีการพฒั นาทางดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษในดา้ นทกั ษะการอ่านออกเสียง
คดิ เป็นร้อยละ 68 ของจานวนนกั เรียนท้งั หมดและดา้ นทกั ษะการอ่านในใจ นกั เรียนทุกคนผา่ นเกณฑ์
มาตรฐานทกี่ าหนด ดา้ นความคิดเห็นพบวา่ นกั เรียนมีความคิดเห็นสอดคลอ้ งกบั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้
เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใชห้ นงั สือการ์ตนู ประกอบบทเรียนในทุกๆ ดา้ น

5.2 งานวิจยั ต่างประเทศ
ลอเรย์ (Lawrey. 1978 : 817-A) ไดศ้ กึ ษาผลสมั ฤทธ์ิของการใชแ้ บบฝึกทกั ษะกบั นกั เรียน

ระดบั 1 ถึงระดบั 3 จานวน 87 คน พบวา่ นกั เรียนท่ไี ดร้ ับการฝึกโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ มีคะแนนหลงั
การทาแบบฝึกมากกวา่ คะแนนการทดสอบก่อนการทาแบบฝึกทกั ษะ

แมคพคิ (Mcpeake. 1979 : 7199-A) ไดศ้ กึ ษาผลการเรียนจากแบบฝึกอยา่ งเป็ นระบบ
ต้งั แต่เริ่มศึกษาจนถึงความในการอ่านและเพศที่มีตอ่ ความสามารถในการสะกดคาของนกั เรียนช้นั
ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 พบวา่ แบบฝึกช่วยปรบั ปรุงความสามารถในการสะกดคาของนกั เรียนทกุ คน แต่เวลา
12 สปั ดาหไ์ ม่เพยี งพอที่จะทาให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ ในการสะกดคาไปสู่คาใหม่ที่ยงั ไม่ไดศ้ ึกษา
และคะแนนนกั เรียนหญงิ สูงกวา่ นกั เรียนชายอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ นอกจากน้ีการอ่านยงั มีความสมั พนั ธ์
กบั ความสามารถในการสะกดคา

จากการศกึ ษางานวจิ ยั ท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศสรุปไดว้ า่ แบบฝึกทกั ษะเป็ นสื่อการ
เรียนการสอนทส่ี าคญั สาหรับนกั เรียน ทาใหน้ กั เรียนสนใจบทเรียน เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ช่วย

ใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้และเขา้ ใจบทเรียนไดเ้ ร็ว ทาใหก้ ารสอนของครู การเรียนของนกั เรียนมีประสิทธิภาพและ
นกั เรียนมีพฒั นาการทกั ษะทางภาษาไดด้ ียงิ่ ข้นึ

บทที่ 3

วธิ ีดาเนินการวจิ ยั
การศกึ ษาคร้ังน้ี เป็นการใชแ้ บบฝึกทกั ษะท่ีใชเ้ พอ่ื พฒั นาการเขียนตวั เลขเป็ นภาษาองั กฤษ รหสั วชิ า
อ 31101 ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน โดยมี
วตั ถุประสงคเ์ พอื่ สรา้ งและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั วชิ า อ
31101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน เพอื่ เปรียบเทียบ
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียนดว้ ยแบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเขียน ภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั
วชิ า อ31101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน และความ
พงึ พอใจของนกั เรียนทม่ี ีต่อการเรียนการสอนดว้ ยแบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเขยี น ภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน
รหสั วิชา อ31101 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน โดยผู้
ศกึ ษาไดด้ าเนินการศกึ ษาตามลาดบั ข้นั ตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. แผนแบบการทดลอง
2. ระยะเวลาในการดาเนินงาน
3. ประชากรกลุ่มตวั อยา่ ง
4. เครื่องมือทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
5. วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
6. การจดั ทาขอ้ มูลและวเิ คราะห์ขอ้ มลู

แผนการทดลอง
การศกึ ษาคร้ังน้ี เป็นการศกึ ษาเชิงทดลอง ผศุ้ ึกษาจงึ ไดใ้ ชแ้ ผนทดลอง One Group Pretest-Posttest

Design โดยมีการจดั ใหม้ ีการทดสอบก่อนเรียนและทดสอบหลงั เรียน ดงั ต่อไปน้ี

O1 X O2

O1 หมายถึง ทดสอบก่อนการทากิจกรรมการเรียนรู้โดยใชแ้ บบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะ

X หมายถึง การจดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใชแ้ บบฝึ กเพอื่ พฒั นาทกั ษะ

O2 หมายถึง ทดสอบหลงั การจดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใชแ้ บบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะ

ระยะเวลาในการดาเนินงาน

3 สิงหาคม 2563 – 12 ตลุ าคม 2563 (มีเวลา 2 ชว่ั โมง / สปั ดาห์ รวมระยะเวลาท้งั สิ้น 16 ชวั่ โมง

ตลอด 1 เดือน 20 วนั ในการวจิ ยั คร้ังน้ี)

วนั เดือน ปี กจิ กรรม หมายเหตุ

3 สิงหาคม 2563 -ศึกษาสภาพปัญหาและวเิ คราะหแ์ นวทางแกป้ ัญหา

3-10 สิงหาคม 2563 -เขยี นเคา้ โครงงานวจิ ยั ในช้นั เรียน

-ศึกษาหลกั สูตรเก่ียวกบั วชิ า Mathematics ของนกั เรียน

ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ

-วเิ คราะหผ์ เู้ รียนและวเิ คราะห์เน้ือหา

-ออกแบบเครื่องมือท่จี ะใชใ้ นการวจิ ยั

11-20 สิงหาคม 2563 -นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน ผวู้ จิ ยั บนั ทึกคะแนน

21 สิงหาคม 2563 -สอนเก่ียวกบั จานวน 1-100 เป็นภาษาองั กฤษ

-4 กนั ยายน 2563 -นัก เ รี ย น ท า แ บ บ ฝึ ก หัด ก า ร เ ขี ย น ตัว เ ล ข เ ป็ น ผวู้ จิ ยั บนั ทกึ คะแนน

ภาษาองั กฤษ ฉบบั ท่ี 1 และฉบบั ท่ี 2

5-9 กนั ยายน 2563 -สอนเกี่ยวกบั จานวน 100-100,000เป็นภาษาองั กฤษ

-นัก เ รี ย น ท า แ บ บ ฝึ ก หัด ก า ร เ ขี ย น ตัว เ ล ข เ ป็ น ผวู้ จิ ยั บนั ทกึ คะแนน

ภาษาองั กฤษ ฉบบั ที่ 3 และ 4

10-12 กนั ยายน 2563 -นกั เรียนทาแบบฝึกหดั หลงั เรียน ผวู้ จิ ยั บนั ทึกคะแนน

14-20 กนั ยายน 2563 -เกบ็ รวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มูล

21 กนั ยายน 2563 – -สรุปและอภิปรายผล

12 ตุลาคม 2563 -จดั ทารูปเล่ม

ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง

ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี เป็ นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 5ที่ศึกษาภาคเรียนท่ี 1 ปี
การศกึ ษา 2563 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน จานวน 8 คน จาก 1 หอ้ งเรียน

กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี คือ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5ห้อง 1 ที่ใชใ้ นการศึกษาใน
ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2563 โรงเรียนสนั วทิ ยา อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน จานวน 8 คน ซ่ึงไดม้ า
จากการสุ่มตวั อยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เน่ืองจากเป็ นห้องท่ีอ่อนในด้านทกั ษะการเขียน
ภาษาองั กฤษ

เครื่องมือท่ีใช้ในการวจิ ยั
1. แบบทดสอบวดั ความรู้ก่อนเรียน (Pre-Test)
2. แบบฝึกหดั เก่ียวกบั กระบวนการทกั ษะการเขียน
3. แบบทดสอบวดั ความรูห้ ลงั เรียน (Post-Test)

ข้นั ตอนการดาเนินการ

ในการดาเนินการศึกษาวจิ ยั ในคร้งั น้ีมีการดาเนินการและรายละเอียดเป็ นข้นั ตอนดงั น้ี

1. ข้นั วเิ คราะห์

1.1 วิเคราะห์ผู้เรียน การวเิ คราะหผ์ เู้ รียนไดก้ าหนดไวด้ งั น้ี

ประชากร คือ นกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ

ประจาปี การศกึ ษา 2563 จานวน 8 คน

1.2 วิเคราะห์เนื้อหา ข้นั ตอนดาเนินการมีดงั น้ี

เน้ือหาท่ีจะใชส้ รา้ งแบบทดสอบ และแบบฝึกหดั คอื เน้ือหาวชิ า ภาษาไทย

ตารางเทียบพยญั ชนะไทย-องั กฤษ

อกั ษรไทย อกั ษรโรมนั

พยญั ชนะตน้ พยญั ชนะสะกด

กk k

ข kh k

ฃ kh k

ค kh k

ฅ kh k

ฆ kh k

ง ng ng

จ ch t

ฉ ch t

ช ch t

ซs t

ฌ ch t

ญy n

ฎd t

ฏt t

ฐ th t

ฑ d หรือ th t

ฒ th t

ณn n

ดd t

ตt t
ถ th t
ท th t
ธ th t
นn n
บb p
ปp p
ผ ph p
ฝf p
พ ph p
ฟf p
ภ ph p
มm m
ยy –
รr n
ฤ rue, ri, roe –
ฤๅ rue –
ลl n
ฦ lue –
ฦๅ lue –
วw –
ศs t
ษs t
สs t
หh –
ฬl n
ฮh –

ตารางเทียบสระภาษาไทย – องั กฤษ อกั ษรโรมนั
a
อกั ษรไทย an
อะ, อ,ั รร (มีตวั อกั ษรอ่ืนตาม), อา
รร (ไม่มีตวั อกั ษรตาม)

อา am

อิ, อี i

อึ, อือ ue

อุ, อู u

เอะ, เอ็, เอ e

แอะ, แอ ae

โอะ, – (โอะลดรูป) โอ, เอาะ, ออ o

เออะ, เอิ, เออ oe

เอียะ, เอีย ia

เอือะ, เอือ uea

อวั ะ, อวั -ว- (อวั ลดรูป) ua

ใอ, ไอ, อยั , ไอย, อาย ai

เอา, อาว ao

อุย ui

โอย, ออย oi

เอย oei

เอือย ueai

อวย uai

อิว io

เอ็ว, เอว eo

แอว็ , แอว aeo

เอียว iao

1.ข้นั ออกแบบ

ข้นั ออกแบบแบบทดสอบ และแบบฝึกหดั มีข้นั ตอนดงั น้ี

1.1 แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-Test) จานวน 10 ขอ้ ตามหมวดหมู่คาศพั ทท์ ี่กาหนดไวโ้ ดยเป็ น

ขอ้ สอบเขียนท้งั หมด

1.2 แบบฝึกหัดเก่ียวกบั คาศพั ท์ เป็ นแบบฝึกที่จะใชใ้ นการพฒั นาทกั ษะกระบวนการเขียน โดย

แบง่ วธิ ีการเขยี นออกเป็ น 4 ฉบบั แต่ละฉบบั ประกอบไปดว้ ยคาศพั ท์ จานวน 10- 20 คา ท่ีผวู้ จิ ยั ไดค้ ดั เลือก

ไว้

1.3 แบบทดสอบหลงั เรียน (Post-Test) จานวน 10 ขอ้ ตามหมวดหมู่คาศพั ทท์ ี่กาหนดไวโ้ ดยเป็ น

ขอ้ สอบเขียนท้งั หมด โดยเป็นขอ้ สอบชุดเดียวกบั แบบทดสอบก่อนเรียน หากแตส่ ลบั ขอ้ ไปมา

2. ข้นั ดาเนินการ
มีการดาเนินการดงั น้ี

2.1 ทาการทดลองกบั นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน
และทาการบนั ทกึ ผลคะแนน

2.2 ดาเนินการพฒั นาทกั ษะกระบวนการเขียนคาศพั ท์ตวั เลขเป็ นภาษาอังกฤษ โดยการเขียน
คาศพั ทก์ ่อนเรียน และทาแบบฝึกหดั ทผี่ วู้ จิ ยั นามาทดสอบ 2 สปั ดาห์ / 1 คร้ังและทาการบนั ทกึ คะแนน

2.3 ทาการทดสอบอีกคร้ัง โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน และทาการบนั ทึกผล
คะแนน

3. ข้นั วเิ คราะห์ข้อมูล
3.1 วิเคราะห์ข้อมูล
- วเิ คราะหผ์ ลจากคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน
- วเิ คราะหผ์ ลจากคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการทาแบบฝึกหดั
- วเิ คราะห์ผลจากคะแนนท่ีไดจ้ ากการทาแบบทดสอบหลงั เรียน
3.2 สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

1.1.1 การหาคา่ เฉลี่ย = X

N

X = คะแนนทไ่ี ด้
N = จานวนนกั เรียนท้งั หมด

= ผลรวมของคะแนนท้งั หมด

1.1.2 การหาคา่ รอ้ ยละ =

บทที่ 4

ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
การศึกษาคร้ังน้ี เป็นการศึกษาการใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การ
ถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ(ภาษาองั กฤษ)
ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๕ โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ โดยศึกษากลุ่มตวั อยา่ ง คือนกั เรียนช้นั
ประถมศึกษาปี ท่ี 5 ทีศ่ ึกษาในภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2564 จานวน 10 คน ผศู้ ึกษาไดน้ าเสนอผลการ
วเิ คราะห์ขอ้ มูลตามวตั ถุประสงคข์ องการศึกษา ดงั น้ี

ตอนท่ี 1 ผลการสรา้ งและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียง
ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) รหสั วชิ า อ21101 ช้นั
ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

ตอนท่ี 2 ผลการเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียนดว้ ยแบบฝึกเสริมทกั ษะ
อ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics)
รหสั วิชา อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

ตอนที่ 3 ผลการศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ีมีการเรียนการสอนดว้ ยแบบฝึกเสริมทกั ษะ
อ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics)
รหสั วชิ า อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

ตอนท่ี 1 ผลการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึ กพฒั นาทักษะการเขยี นภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน รหัสวชิ า
อ 15101 ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบ้านแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จังหวดั แม่ฮ่องสอนจากการ
ศึกษาวจิ ยั ในช้ันเรียนคร้ังนี้ สามารถวเิ คราะห์ผลได้ดังนี้

ผลการวเิ คราะห์จากคะแนนแบบฝึ กหัดท้งั 4 ฉบบั ประสิทธิภาพของ
ตารางท่ี 1 แสดงผลคะแนนแบบฝึกหดั ท้งั 4 ฉบบั ผลลพั ธ์ (E2) จากการ
ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) วดั ผลสัมฤทธ์ิทางการ

ช้ัน ช่ือ-นามสกลุ เรียน 10 ข้อ
แบบ ึฝก ัหดท่ี1(%) (10 คะแนน)
แบบ ึฝก ัหดที่2 %)
แบบ ึฝก ัหดที่3(%) 6
แบบ ึฝก ัหดที่4(%) 8
แบบ ึฝก ัหดที่4(%) 7
7
รวมกระบวนการ 6
(400คะแนน) 6
7
ป.5 เดก็ ชายกฤตนัย ธนชัยโสภณ 20 60 40 50 50 220 8
ป.5 เดก็ ชายบัญจพล เทพีบุปผาบาน 50 70 40 60 60 280 8
ป.5 เด็กชายณัฐกรณ์ สกุลไกรทอง 30 70 50 60 60 270 8
ป.5 เด็กชายณฐั วัฒน์ ไพรพาสขุ 40 70 60 60 60 290
ป.5 เดก็ ชายนชยั ขนุ วนารกั ษ์ 30 50 20 50 50 200 390
ป.5 เดก็ ชายปภาวนิ ส่องปลายชีวี 40 70 50 70 70 300
ป.5 เด็กชายศวิ ชั เจริญธัญญาพร 20 60 50 60 60 250 6.39
ป.5 เดก็ หญิงฐานติ า คงท่ีคุณ 30 70 60 70 70 300
ป.5 เดก็ หญิงฐิตภิ า แก้ววิเชยี รกุล 30 70 60 70 70 300 1.04
ป.5 เด็กหญิงวธิ ินา ชาติอุดมคติ 30 70 60 70 70 300
39.00
รวม 1930 3760 2890 3640 3640 12220

ค่าเฉลย่ี 31.64 61.64 47.38 59.67 59.67 200.33
ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน
10.03 8.40 11.82 6.57 6.57 28.40
ร้อยละ
19.30 37.60 28.90 36.40 36.40 122.20

จากตารางที่ 1 แบบฝึ กหัดท้งั 5 ประกอบไปด้วย
แบบฝึกที่ 1 เร่ือง Short a sound.
แบบฝึกที่ 2 เร่ือง Short e sound.
แบบฝึกท่ี 3 เร่ือง Short i sound.
แบบฝึกท่ี 4 เร่ือง Short o sound.

แบบฝึกที่ 5 เรื่อง Short u sound.

กราฟท่ี 1 แสดงผลคะแนนแบบฝึ กหัดท้งั 4 ฉบับ
จากกราฟท่ี 1 แสดงให้เห็นว่าหลังจากท่ีนักเรียนท้งั 10 คน ไดท้ าแบบฝึ กหัดท้งั 5 ฉบบั แล้ว

นักเรียนแต่ละคนจะมีผลคะแนนแตกต่างกันไปเมื่อเปรียบเทียบคะแนนของแต่ละฉบบั คะแนนการทา
แบบฝึ กหัดท้ัง 5 ดีข้ึนตามลาดับ คะแนนของนักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ท่ีน่าพอใจแม้จะมีการ
เปล่ียนแปลงน้อยก็ตาม แต่ถา้ สังเกตจะพบวา่ นกั เรียนบางคนทาแบบฝึ กหัดเรื่องหน่ึงไดด้ ีแต่ในขณะที่อีก
เรื่องหน่ึงคะแนนไม่ค่อยดีเทา่ ทคี่ วร

ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึ กเพื่อพัฒนาทักษะการ

80 บญั จพล
70 วิธินา
60 กฤตนยั
50 ฐานิตา
40 ฐิติภา
30 นชยั
20 ปภาวิน
10
0

แบบฝึกหดั ที่ 1 แบบฝึกหดั ที่ 2 แบบฝึกหดั ท่ี 3 แบบฝึกหดั ท่ี 4 แบบฝึกหดั ท่ี5

เขยี นภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน รหัสวชิ า อ31101 ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบ้านแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย

จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ผศู้ ึกษาไดด้ าเนินการวเิ คราะห์ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบก่อนเรียนและ

หลงั เรียนดว้ ยแบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหัสเสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) รหสั วชิ า อ 15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบ
เมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ผลการวเิ คราะห์แสดงในตางรางที่ 2 ดงั ต่อไปน้ี

ตารางที่ 2 ผลการวเิ คราะห์รอ้ ยละ คา่ เฉล่ีย และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ทดสอบก่อนเรียนและหลงั

เรียนดว้ ยแบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหัสเสียงและ
การผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) รหัสวิชา อ 15101 ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออก
เหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

ช้ัน ชื่อ-นามสกลุ แบบทดสอบ ร้อยละ แบบทดสอบ ร้อยละ
ก่อนเรียน หลังเรียน
ป.5 เด็กชายกฤตนยั ธนชัยโสภณ
ป.5 เดก็ ชายบญั จพล เทพีบุปผาบาน 2 20 6 60
ป.5 เดก็ ชายณฐั กรณ์ สกลุ ไกรทอง
ป.5 เด็กชายณัฐวัฒน์ ไพรพาสขุ 3 30 8 80
ป.5 เด็กชายนชัย ขนุ วนารกั ษ์
ป.5 เด็กชายปภาวนิ สอ่ งปลายชีวี 2 20 7 70
ป.5 เด็กชายศิวัช เจริญธญั ญาพร
ป.5 เด็กหญิงฐานติ า คงทีค่ ุณ 2 20 7 70
ป.5 เดก็ หญงิ ฐิตภิ า แกว้ วเิ ชยี รกุล
ป.5 เด็กหญงิ วธิ ินา ชาตอิ ุดมคติ 1 10 6 60

รวม 2 20 6 60
ค่าเฉลี่ย
ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 2 20 7 70

3 30 8 80

3 30 8 80

3 30 8 80

130 1300 390 3900

2.13 21.31 6.39 63.93

0.64 6.45 1.04 10.37

จากตารางเรียนท่ี 2 พบวา่ นกั เรียน นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ ทา
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิก่อนเรียนวชิ าภาษาองั กฤษ เร่ือง My ABC โดยใชว้ ธิ ีการสอนใชแ้ บบฝึกเสริม
ทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) มีคะแนนก่อนเรียนโดยคิดเป็นร้อยละ 13.00 มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากบั 2.13 และส่วนเบย่ี งเบน
มาตรฐานเท่ากบั 0.64 ส่วนคะแนนการทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิหลงั เรียนวชิ าภาษาองั กฤษ เร่ือง
Ordinal number โดยใชว้ ธิ ีการสอนใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขยี น มีคะแนนหลงั เรียนโดยคดิ เป็นร้อยละ 63.93 มี
ค่าเฉล่ียรวมเทา่ กบั 1.04 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กบั

ผศู้ ึกษาไดศ้ ึกษาดาเนินการวเิ คราะห์ผลเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั ดว้ ยแบบ
ฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics)รหสั วชิ า อ 31101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดี เชียงราย
ผลารวเิ คราะห์ดงั แสดงในตารางที่ 3 ดงั ตอ่ ไปน้ี

ตารางที่ 3 ผลการเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาองั กฤษ ก่อนเรียนและหลงั เรียน

แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียง
ตวั อกั ษร (Phonics)รหสั วชิ า อ 31101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย
จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

คะแนน N X S.D. Df t Sig.
หลังเรียน 40 16.07 1.47 39 19.657 0.000
ก่อนเรียน 40 7.6 2.58

จากตารางท่ี 3 พบวา่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย
จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ท่เี รียนวชิ าภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ 15101 ทเี่ รียนดว้ ยการใชแ้ บบฝึกเสริม
ทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) มีคะแนนเฉลี่ยหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั 0.5

ตอนที่ 3 ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจ เจตคตขิ องนกั เรียนทมี่ ีต่อการเรียนการสอนดว้ ยแบบฝึกเสริม

ทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร

(Phonics)รหสั วชิ า อ 15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั

แม่ฮ่องสอน

ตารางท่ี 4 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ของระดบั ความพงึ พอใจ เจตคติของนกั เรียนทมี่ ีตอ่ การ

เรียนวชิ าภาษาองั กฤษดว้ ยแบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั

เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics)รหสั วชิ า อ 15101นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่

ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน

ข้อที่ รายการประเมนิ x S.D. ระดบั เจตคติ

1 แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียง 4.48 0.75 มาก

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) เร้าความสนใจ และ

สร้างความกระตอื รือร้นในการเรียน

2 นกั เรียนไดร้ บั ความรูแ้ ละความเขา้ ใจเน้ือหาท่เี รียนใน 4.76 0.44 มากทส่ี ุด

แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียง

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics)

3 นกั เรียนไดร้ ับความรูค้ วามเขา้ ใจเช่นเดียวกนั กบั เรียน 4.57 0.51 มากที่สุด

จากครู

4 แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง 4.52 0.75 มากที่สุด

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) ช่วยใหน้ กั เรียนชอบ

ภาษาองั กฤษเพมิ่ มากข้ึน

5 นกั เรียนรู้สึกสนุกกบั การเรียนวชิ าภาษาองั กฤษดว้ ย 4.48 0.75 มาก

แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics)

6 นกั เรียนชอบรูปแบบ ขนาดของตวั อกั ษร และ 4.62 0.50 มากทส่ี ุด

ภาพประกอบ ในแบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเขียน

7 แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง 4.67 0.58 มากที่สุด

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics)ช่วยใหน้ กั เรียนเกิด

ความคดิ สร้างสรรค์

8 แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียง 4.62 0.50 มากทส่ี ุด

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) ช่วยใหน้ กั เรียนเกิด

ความมนั่ ใจ และช่วยเหลือตนเองในการเรียนมากข้นึ

9 แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง 4.71 0.46 มากทส่ี ุด

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics)ช่วยใหน้ กั เรียนมีทกั ษะ

การเขียนภาษาองั กฤษดีข้ึน

10 แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง 4.71 0.46 มากท่ีสุด

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics)ช่วยใหน้ กั เรียนได้

เรียนรู้คาศพั ทเ์ พม่ิ มากข้ึน

11 แบบฝึกทกั ษะช่วยใหเ้ รียนไดเ้ รียนรู้คาศพั ทเ์ กี่ยวกบั 4.52 0.75 มากท่ีสุด
0.44 มากท่สี ุด
ตวั เลขเพม่ิ มากข้ึน
0.35 มาก
12 แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง 4.56 0.58 มากที่สุด

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ 0.50 มากที่สุด

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) ช่วยใหน้ กั เรียนรู้ไดเ้ ร็ว 0.55 มากที่สุด

กวา่ การเรียนจากตารา

13 นกั เรียนพอใจเม่ือตอบคาถามไดถ้ ูกตอ้ ง และไดร้ บั คา 4.35

ชมเชย

14 แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง 4.67

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics)ช่วยให้เรียนสามารถ

ทางานไดส้ าเร็จตามทค่ี รูมอบหมาย

15 แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง 4.62

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการ

ผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) ช่วยใหน้ กั เรียนเกิด

ทกั ษะการส่ือสารในการทางานร่วมกบั เพอ่ื น

รวมเฉลยี่ 4.59

จากตารางท่ี 4 พบว่า นกั เรียนมีเจตคติทีด่ ีตอ่ การเรียนวชิ าภาษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั
ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน อยใู่ นระดบั มากทีส่ ุด มี
คา่ เฉล่ียเทา่ กบั 4.59 เมื่อพจิ ารณาเป็ นรายขอ้ พบวา่ ขอ้ ท่มี ีคะแนนเฉลี่ยระดบั เจตคตทิ ่ีมากท่ีสุด คอื นกั เรียน
ไดร้ บั ความรูแ้ ละความเขา้ ใจเน้ือหาท่เี รียนในแบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใช้
หลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) มีค่าเฉล่ียเท่ากบั 4.76 รองลงมา คอื แบบฝึก
เสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) ช่วยใหน้ กั เรียนมีทกั ษะการเขยี น แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใช้
หลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) ช่วยใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรูค้ าศพั ทเ์ พม่ิ มากข้ึน มี
ค่าเฉลี่ยเทา่ กบั 4.71 และอนั ดบั สาม คือ แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใช้
หลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) ช่วยใหน้ กั เรียนเกิดความคดิ สร้างสรรค์ แบบ
ฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) ช่วยใหเ้ รียนสามารถทางานไดส้ าเร็จตามที่ครูมอบหมาย มีค่าเฉล่ีย 4.67 ตามลาดบั



บทท่ี 5

สรุปผลการวจิ ัย

การศกึ ษาคร้งั น้ี เป็นการศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน แบบฝึกเสริมทกั ษะ
อ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) ของ
นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ มีวตั ถุประสงคเ์ พอื่ สร้างและหาประสิทธิภาพของ
แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียง
ตวั อกั ษร (Phonics) ภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ
อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน เพอื่ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั เรียนดว้ ยแบบฝึก
เสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน เพอ่ื
ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ีมีต่อการเรียนการสอนดว้ ยแบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียง
ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี
ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน กล่มุ ตวั อยา่ งทีศ่ กึ ษา ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั
ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 หอ้ ง 1 มีนกั เรียนท้งั หมด 10 คน ศึกษาอยใู่ นภาคเรียนที่ 2 ปี การศกึ ษา 2564 โรงเรียน
บา้ นแม่ออกเหนือ ตาบลแม่คะตวน อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษา
ศกึ ษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอนเขต 2 สงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ จานวน 10 คน ซ่ึงไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) เน่ืองจากเป็น
หอ้ งที่อ่อนในรายวชิ าภาษาองั กฤษ เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการศึกษาประกอบดว้ ย แผนการจดั การเรียนรู้วชิ า
ภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 เรื่อง My ABC นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออก
เหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน จานวน 1 แผนการจดั การเรียนรู้ 5 ชวั่ โมง แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่าน
เขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101
ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน จานวน 1 เล่ม
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษโดยใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง
ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) เร่ือง My ABC รหสั วิชา อ
15101 ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอนชนิด
แบบปรนยั 4 ตวั เลือก จานวน 10 ขอ้ 10 คะแนน และแบบวดั เจตคตินกั เรียนตอ่ การเรียนวชิ าภาษาองั กฤษ
โดยใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสม
เสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั
แม่ฮ่องสอน จานวน 1 ชุด 15 ขอ้ คาถาม วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยการใชค้ ่าสถิตริ ้อยละ คา่ เฉลี่ย(X) ส่วนเบยี่ งเบน
มาตรฐาน(S.D.) และค่าPaired-sample t-Test วเิ คราะห์เน้ือหา(Content Analysis) แลว้ นาเสนอในรูปแบบ
ตารางประกอบความเรียงแลว้ สรุปผลโดยการพรรณนาความ

ผศู้ กึ ษาไดด้ าเนินการศกึ ษา คือ ทาการทดสอบก่อนเรียนกบั นกั เรียน โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผล
สมั ฤทธ์ิทางการเรียนโดยใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การ
ถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) วชิ าภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั วชิ า อ 15101 เรื่อง My
ABC ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ ชนิดแบบปรนยั 4 ตวั เลือก จานวน 10
ขอ้ 10 คะแนน ที่ผศู้ กึ ษาไดส้ ร้างข้ึน เพอื่ วดั ความรูข้ องนกั เรียน แลว้ บนั ทึกผลเป็ นคะแนนก่อนเรียน ดว้ ยการ
เรียนวิชาภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5โดยใชว้ ธิ ีการสอนการใช้
แบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียง
ตวั อกั ษร (Phonics) จากน้นั ดาเนินการจดั การเรียนการสอนตามแผนการจดั การเรียนรู้ วชิ าภาษาองั กฤษ
พ้นื ฐาน รหสั วิชา อ15101 เร่ือง My ABC ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โดยใชว้ ธิ ีการสอน Active
learning จากน้นั ดาเนินการจดั การเรียนการสอนตามแผนการจดั การเรียนรู้ วชิ าภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั
วชิ า อ15101 แลว้ ประเมินผลการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะเรื่อง Short vowel sound เป็น
รายบคุ คล เพอื่ บนั ทึกคะแนนทไ่ี ดเ้ ป็นคะแนนกระบวนการเรียนรู้ และทดสอบหลงั เรียนของนกั เรียนดว้ ย
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วิชาภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 เรื่อง My ABC ของ
นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โดยใชว้ ธิ ีการสอนการใชแ้ บบฝึกเพอื่ พฒั นาทกั ษะการเขยี น โรงเรียนบา้ นแม่
ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน จากน้นั ดาเนินการจดั การเรียนการสอนตามแผนการจดั การ
เรียนรู้ วชิ าภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 ซ่ึงเป็ นชุดเดียวกนั กบั ทใี่ ชท้ ดสอบก่อนเรียน เพอื่ บนั ทกึ
ผลคะแนนเป็ นผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ แลว้ นามาหาค่าประสิทธิภาพของของแบบฝึกวชิ าภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน
เร่ือง My ABC ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั
แม่ฮ่องสอน ตามเกณฑท์ ต่ี ้งั ไว้ 80/80 แลว้ จงึ นาคะแนนจากการทาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิท้งั ก่อนเรียน
และหลงั เรียน วิชาภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 เร่ือง My ABC ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี
5โดยใชว้ ธิ ีการสอนการใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั
เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอ
สบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอนมาเปรียบเทยี บกนั โดยมีการประเมินระหวา่ งเรียนในดา้ นความรู้ ดา้ นทกั ษะ

กระบวนการ และดา้ นคุณธรรม จริยธรรมและคณุ ลกั ษณะองั พงึ ประสงค์ ตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เพอื่ นา
ผลการะประเมินมาวเิ คราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั แลว้ ใหน้ ักเรียนตอบแบบวดั เจตคติต่อการเรียนวชิ า
ภาษาองั กฤษ โดยใชว้ ิธีการสอนการใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใช้
หลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่
ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ที่สร้างข้ึนภายหลงั การจดั การเรียนรูเ้ รียบรอ้ ยแลว้ จากน้นั
รวบรวมขอ้ มูลและนามาวเิ คราะหผ์ ลดว้ ยวธิ ีการทางสถิติ ทาการสรุปผลและอภปิ รายผล แลว้ นาเสนอแบบ
พรรณนาความ

สรุปผลการศึกษาวจิ ัย

ผศู้ ึกษาเป็นผดู้ าเนินการศกึ ษาดว้ ยตนเอง โดยดาเนินการเกบ็ ขอ้ มูลจากการทดลองกิจกรรมการเรียน
การสอนกบั กลุ่มตวั อยา่ งที่ศกึ ษา ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 มีนกั เรียนท้งั หมด 10 คน ศกึ ษาอยใู่ น
ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ ตาบลแม่คะตวน อาเภอสบเมย จงั หวดั
แม่ฮ่องสอน สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาแม่ฮอ่ งสอน เขต 2 จานวน 10 คน ซ่ึงไดม้ า
โดยการเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling)เนื่องจากเป็ นหอ้ งทอ่ี ่อนในรายวชิ าภาษาองั กฤษ ใชเ้ วลาใน
การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้ วิชาภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั วชิ า อ15101
เร่ือง My ABC ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โดยใชว้ ธิ ีการสอนแบบใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี น
และออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้นั
ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน รวมท้งั หมด 5 ชวั่ โมง เวลา
ทดสอบก่อนเรียน 1 ชว่ั โมง และเวลาทดสอบหลงั เรียน 1 ชวั่ โมง รวมเป็ น 7 ชวั่ โมง สามารถสรุปผล
การศกึ ษาไดด้ งั น้ี

1ผลการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดย
ใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 เรื่อง My
ABC ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน โดย
ใชว้ ิธีการสอนแบบใชแ้ บบฝึกทกั ษะเพอ่ื พฒั นาการเขยี น ซ่ึงไดส้ รา้ งแบบฝึกข้นึ จานวน 1 เล่ม ท่ีนามาใชใ้ น
การจดั การเรียนการสอนกบั นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 และสามารถพฒั นาทกั ษะดา้ นคาศพั ทแ์ ละ
ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษไดด้ ียงิ่ ข้ึน โดยมีคา่ ประสิทธิภาพเทา่ กบั 94.77/80.37 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑท์ ตี่ ้งั ไว้ 80/80

2 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนหลงั สูงกว่าก่อนเรียนดว้ ยแบบฝึกเพอื่ พฒั นาทกั ษะการเขยี น
ภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน รหสั วชิ า อ 15101 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย
จงั หวดั แม่ฮ่องสอน อยา่ งมีนยั ทางสถิติท่ีระดบั .05 โดยผลจากการทาแบบทดสอบหลงั เรียนดว้ ยการทาแบบ
ฝึกทกั ษะการเขยี น วชิ าภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ
อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน นกั เรียนมีคะแนนโดยรวม คิดเป็นมีคะแนนหลงั เรียนโดยคิดเป็ นรอ้ ยละ
80.37 มีค่าเฉล่ียรวมเทา่ กบั 16.07 และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเท่ากบั 1.47

3 ความพงึ พอใจตอ่ แบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเขียนตวั เลขภาษาองั กฤษ วชิ าภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน
นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน มีคะแนนเฉล่ีย
รวม เท่ากบั 4.59 เม่ือพจิ ารณาเป็นรายขอ้ พบวา่ ขอ้ ทม่ี ีคะแนนเฉลี่ยระดบั เจตคติทีม่ ากทส่ี ุด คอื นกั เรียน
ไดร้ บั ความรูแ้ ละความเขา้ ใจเน้ือหาทเี่ รียนในแบบฝึกเพอื่ พฒั นาการเขียนภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน มคี า่ เฉล่ีย
เท่ากบั 4.76 รองลงมา คอื แบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน ช่วยใหน้ กั เรียนมีทกั ษะ
การเขยี น แบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน ช่วยใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรูค้ าศพั ทเ์ พมิ่ มาก
ข้นึ มีคา่ เฉลี่ยเทา่ กบั 4.71 และอนั ดบั สาม คอื แบบฝึกทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน ช่วยให้นกั เรียน

เกิดความคิดสร้างสรรค์ แบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเขยี นภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน ช่วยใหเ้ รียนสามารถทางาน
ไดส้ าเร็จตามท่คี รูมอบหมาย มีคา่ เฉล่ีย 4.67 ตามลาดบั

อภปิ รายผลจากการศึกษา

จากผลการศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดย
ใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 รหสั วชิ า อ
15101 ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน
สามารถนามาอภปิ รายผลตามวตั ถุประสงคข์ องการศึกษา ดงั น้ีผลการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึก
เพอื่ พฒั นาทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษ วชิ าภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5
โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ซ่ึงไดส้ ร้างแบบฝึกข้ึนจานวน 1 เล่ม ทีน่ ามาใช้
ในการจดั การเรียนการสอนกบั นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5และสามารถพฒั นาทกั ษะการเขยี นลาดบั เลข
ภาษาองั กฤษไดด้ ียง่ิ ข้นึ โดยมีค่าประสิทธิภาพเท่ากบั 94.77/80.37 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑท์ ่ตี ้งั ไว้ 80/80 ท้งั น้ีอาจ
เป็นเพราะผศู้ ึกษา1 ศกึ ษาหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั สาระการ
เรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ เทคนิคและวธิ ีการสอนภาษาเพอื่ การสื่อสาร ในเร่ืองลาดบั เลขที่และการเขยี น
ภาษาองั กฤษจากเอกสารและงานวจิ ยั ต่างๆ เพอื่ เป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเขียน
วเิ คราะหแ์ ละเลือกรูปแบบการจดั การเรียนการสอนทสี่ อดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ สมรรถนะท่สี าคญั ของผเู้ รียน และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผเู้ รียน ตาม
จดุ มุ่งหมายในกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ เพอ่ื วางกรอบการจดั กิจกรรมการพฒั นาผเู้ รียนในแบบฝึกเสริม
ทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ ซ่ึงในการศึกษาคร้งั น้ี ผศู้ ึกษาไดจ้ ดั
กิจกรรมการเรียนรูอ้ อกเป็ น 5 ข้นั ไดแ้ ก่ ข้นั การนาเขา้ สู่บทเรียน (Warm up/Lead in)ข้นั การนาเสนอ
(Presentation) ข้นั การฝึก(Practice) ข้นั การใชภ้ าษา(Production) ข้นั สรุป(Wrap up) เพอ่ื พฒั นาแบบฝึกเสริม
ทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 5 วชิ าภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน รหสั วชิ า อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5
โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ ใหเ้ ป็นไปตามแผนการจดั การเรียนรู้ และกาหนดเน้ือหาและกิจกรรมในแบบฝึก
ผศู้ ึกษายดึ หลกั แนวคดิ ของ

สนอง คาศรี (2537 : 147) กล่าววา่ แบบฝึกหดั เป็ นสิ่งท่ีช่วยใหน้ กั เรียนประสบ
ผลสาเร็จในการเรียนการสอน ดงั น้นั แบบฝึกหดั จะมีลกั ษณะทก่ี ่อใหเ้ กิดความสนุกสนาน ความพอใจในการ
เรียนใหก้ บั นกั เรียน

ขจีรัตน์ หงส์ประสงค์ (2534) กล่าววา่ แบบฝึกเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน อยา่ งหน่ึงทีค่ รูใชฝ้ ึก
ทกั ษะ หลงั จากท่ีนกั เรียนไดเ้ รียนเน้ือหาจากบทเรียนแลว้ โดยสรา้ งข้ึนเพอ่ื เสริมทกั ษะใหแ้ ก่นกั เรียน มี
ลกั ษณะเป็นแบบฝึกหดั ท่มี ีกิจกรรมใหน้ กั เรียนกระทาโดยมีจุดมุ่งหมายเพอ่ื พฒั นาความสามารถของนกั เรียน

วรสุดา บุญยไวโรจน์ (2536) กล่าวา่ แบบฝึกหัดเป็ นส่ือการสอนทจี่ ดั ทาข้นึ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนไดศ้ กึ ษา
ทาความเขา้ ใจ ฝึกฝนจนเกิดแนวคดิ ท่ีถูกตอ้ ง และเกิดทกั ษะในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง นอกจากน้นั แบบฝึกหดั ยงั
เป็นเคร่ืองบง่ ช้ีใหค้ รูทราบวา่ ผเู้ รียนหรือผใู้ ชแ้ บบฝึกหดั มีความรู้ ความเขา้ ใจในบทเรียนและสามารถนา
ความรู้น้นั ไปใชไ้ ดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด ผเู้ รียนมีจดุ เด่นที่ควรส่งเสริมหรือจุดดอ้ ยทค่ี วรปรับปรุง แกไ้ ข
ตรงไหน อยา่ งไร แบบฝึกหดั จึงเป็นเครื่องมือสาคญั ท่ีครูทุกคนใชใ้ นการตรวจสอบความรู้ ความเขา้ ใจ
และพฒั นาทกั ษะของนกั เรียนในวชิ าตา่ งๆ

ม.ปัณณวฒั น์ เทียนสวสั ด์ิ (2547) วจิ ยั เร่ืองการส่งเสริมการทอ่ งคาศพั ทใ์ นรายวิชา Social Studies
ในเรื่องอาชีพและสถานทีต่ า่ งๆในชุมชน ไดก้ ล่าววา่ การศึกษาวจิ ยั น้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื พฒั นาการท่อง
คาศพั ทแ์ ละการส่งเสริมการท่องคาศพั ทข์ องนกั เรียนโดยใชก้ ิจกรรมแบบฝึกหดั เก่ียวกบั คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ
ในรายวิชา Social Studies โดยกลุ่มทดลองเป็ นนกั เรียนช้นั ม.2/6 จานวน 35 คน โดยใหน้ กั เรียนทดสอบ
เก่ียวกบั คาศพั ทก์ ่อนเรียน แลว้ หลงั จากน้นั ใหน้ กั เรียนทาแบบฝึกหดั เกี่ยวกบั คาศพั ทท์ ่ีผวู้ ิจยั ไดส้ ร้างข้ึน
จานวน 3 ฉบบั จากน้นั จึงทาการทดลองหลงั เรียนและวเิ คราะหผ์ ลคะแนนโดยใชว้ ธิ ีการหาค่าเฉลี่ยและคา่
ร้อยละ ผลปรากฏวา่ การใชก้ ิจกรรมการเขยี นคาศพั ทแ์ ละทาแบบฝึกหดั เกี่ยวกบั คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ทาให้
นกั เรียนมีความรู้และความจาในการนาคาศพั ทท์ ่เี รียนมาใชแ้ ละทาแบบฝึกหดั หลงั เรียนไดค้ ะแนนเพมิ่ ข้นึ
จากเดิม ดงั จะเห็นไดจ้ ากการเปรียบเทยี บผลการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนของนกั เรียนทเี่ พมิ่ ข้นึ โดย
เฉลี่ยรอ้ ยละ 17

ข้อเสนอแนะ
การศึกษาในคร้งั น้ีเป็ นการศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง

ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศกึ ษาปี
ที่ 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ผศู้ กึ ษามีขอ้ เสนอแนะในการนาผล
การศกึ ษาไปใชป้ ระโยชนต์ ่อการจดั การเรียนการสอน ดงั น้ี

1.ครูผสู้ อนวชิ าภาษาองั กฤษ ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5สามารถนาไปเป็นแนวทางในการจดั การเรียน
การสอนเพอ่ื พฒั นาทกั ษะทางภาษาองั กฤษ ท้งั ทกั ษะการฟัง พดู อ่านและเขยี น

2.ครูผสู้ อนท่จี ะนาวจิ ยั การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะอ่านเขียนและออกเสียง
ภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร (Phonics) อ15101 ช้นั ประถมศึกษาปี
ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ไปเป็นแนวทางในการจดั การเรียนการ
สอนควรคานึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล ใหค้ าแนะนาในการปฏิบตั อิ ยา่ งถูกข้นั ตอนทกี่ าหนด และทา
ความเขา้ ใจในเน้ือหาของบทเรียนดว้ ย

3.จากการเรียนการสอนภาษาองั กฤษในปัจจบุ นั นกั เรียนขาดพ้นื ฐานทางดา้ นการอ่านออกเสียงใน
ภาษาองั กฤษ ไม่มีโอกาสไดฝ้ ึกฝน จงึ ทาใหก้ ารสอนเน้ือหาที่ตอ้ งใชเ้ วลาในการอธิบายเป็ นส่วนมากและยงั
ทาใหก้ ารทาแบบฝึกล่าชา้ ครูผสู้ อนควรนาสื่อการสอนทที่ นั สมยั และเหมาะสมกบั เน้ือหาทจี่ ะสอน

4.ครูผสู้ อน ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา และผมู้ ีส่วนเก่ียวขอ้ งในการพฒั นาคุณภาพการศกึ ษาควรส่งเสริม
สนบั สนุนใหม้ ีการผลิตและใชแ้ บบฝึกทกั ษะมากข้นึ เพอื่ ช่วยพฒั นากระบวนการเรียนการสอน ใหผ้ เู้ รียน
เกิดการเรียนรู้ตามวตั ถุประสงค์ และเนน้ การฝึกทกั ษะการฟัง พดู อ่าน เขยี นใหม้ ีประสิทธิภาพมากข้นึ

ข้อเสนอแนะการศึกษาคร้ังต่อไป

1.ควรนารูปแบบการเรียนการสอนวชิ าภาษาองั กฤษพ้นื ฐาน เร่ือง My ABC ของนกั เรียนช้นั
ประถมศกึ ษาปี ที่ 5โรงเรียนบา้ นแม่ออกเหนือ อาเภอสบเมย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน โดยใชว้ ธิ ีการใชแ้ บบฝึก
เสริมทกั ษะอ่านเขยี นและออกเสียงภาษาองั กฤษโดยใชห้ ลกั การถอดรหสั เสียงและการผสมเสียงตวั อกั ษร
(Phonics) ไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั วเิ รียนภาษาอื่นๆ เพ่ือการเรียนรูท้ หี่ ลากหลายและช่วยใหม้ ีประสิทธิภาพการ
เรียนการสอนสูงข้ึน

2.ควรมีการจดั กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบอื่นๆดว้ ย นอกเหนือจากการสอน โดยใชว้ ธิ ีการสอนแบบ
ใชแ้ บบฝึกเพอื่ พฒั นาทกั ษะการเขยี นภาษาองั กฤษพน้ื ฐาน เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รียนไดค้ น้ หาวธิ ีการเรียนท่เี หมาะสมกบั
ตนเองและผสู้ อนยงั เรียนรู้จากประสบการณ์สอน แลว้ นาไปพฒั นา ปรบั ปรุงแกไ้ ขใหด้ ีข้นึ ตอ่ ไป

บรรณานุกรม

กระทรวงศกึ ษาธิการ, กรมวชิ าการ. (2545ก). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพทุ ธศักราช
2551. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรับส่งสินคา้ และพสั ดุ
ภณั ฑ.์

กระทรวงศึกษาธิการ, กรมวชิ าการ. (2545ข). การวจิ ยั เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลกั สูตร
การศึกษาข้นั พืน้ ฐาน. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั ส่งสินคา้ และพสั ดุ
ภณั ฑ.์

กระทรวงศกึ ษาธิการ, กรมวชิ าการ. (2545ค). คู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั ส่งสินคา้ และพสั ดุ
ภณั ฑ.์

วฒั นาพร ระงบั ทกุ ข.์ (2545). เทคนิคและกจิ กรรมการเรียนรู้ทเ่ี น้นผู้เรียนเป็ น
สาคญั ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พ.ศ. 2551. กรุงเทพมหานคร:
พริกหวานกราฟฟิ ก.

ทิพพดี อ่อนแสงคุณ. ส่ือการสอนภาษาอังกฤษระดบั ประถมศึกษาในกิจกรรมและสื่อการสอน
ภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสารระดับประถมศึกษา หนา้ 6-8 , ประนอม สุรัสวดี.
กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2539..

ภาวนิ ี ทอนสูงเนิน. การพัฒนาผลสัมฤทธ์กิ ารเรียนคาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึ กเสริมทักษะ
คาศัพท์ภาษาองั กฤษสาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนบ้านหนองหมาก
จังหวัดนครราชสีมา. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาศกึ ษาศาสตร์มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตร
และการสอน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2543.

มานิต บุญประเสริฐ. “การสอนภาษาองั กฤษ”. จนั ทรเกษม. 17 (4) : 9 ; กนั ยายน 2540.
รัตติกาล สุทธิสวสั ด์ิกุล. การพฒั นาทกั ษะด้านคาศัพท์ภาษาองั กฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 5 โดย

ใช้การสอนแบบโครงงาน. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินวโิ รฒ : ถ่ายเอกสาร, 2545.
สุภทั รา อกั ษรานุเคราะห์. การสอนทักษะภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ : ภาควชิ ามธั ยมศกึ ษา

คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2529.
________. การสอนภาษาองั กฤษในโรงเรียนมธั ยมศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาควชิ าหลกั สูตรและ

การสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2532.

สุมิตรา องั วฒั นากลุ . การสอนภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสาร. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , 2535.

________. วธิ ีสอนภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2537.

________. วิธีสอนภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2540.
วนิ ยั พฒั นรฐั . แบบเรียนมาตรฐานภาษาองั กฤษ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 กรุงเทพฯ : ประสานมิตร, 2541.
อรพนิ พจนานนท.์ การสอนภาษาอังกฤษเป็ นภาษาต่างประเทศในระดบั ประถมศึกษา.

คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2537.
อุบลวณั ณา รอนยทุ ธ.์ การสร้างและประเมินประสิทธิภาพชุดเสริมทักษะภาษาอังกฤษสาหรับ

นักเรียนช้ันมัธยมศึกษา. วทิ ยานิพนธศ์ ึกษาศาสตร์มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตร
และการสอน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2535.
Carroll, Brendan J. Testing Communicative Performance. Oxford : Oxford Performance
Press, 1982.
Drune Donn. Teaching oral English. Essex : Longman Group UK. Ltd., 1987.
Mcpeake. Poyce Guinta. TheEffects of Oricmal syatcmatit Study Worksteets, Reading

Level and Sex on The Spelling Aehievement of Sixth Grads Students,
Disscrtation Abstracts International. 39 ( 12 ) : 1799 – A; June, 1979.
Schwendinger. James Rea, “ A Study of Modality of Inferences and Their Relationship
to Spelling Achievement of Sixth Grads Students,” Resoures in Education. 12
( 12 ) : 51; December. 1977.
Scott, Roger. “Speaking” Communication in the Classroom. ed. By Keith Johnson and
Keith Morrow : Longman Group Ltd., 1980.
Widdowson. H. Teaching Language Communication. Oxford : Oxford University Press, 1983.


Click to View FlipBook Version