วิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดง บทบาทสมมติ(Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 Developing English speaking skills for communication through Role play activity of Grade 3 students นายภาสกร ตงบุญชัย วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2564
วิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดง บทบาทสมมติ(Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 Developing English speaking skills for communication through Role play activity of Grade 3 students นายภาสกร ตงบุญชัย วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2564
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการ สอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัย นายภาสกร ตงบุญชัย อาจารย์ที่ปรึกษา อ. นิชตา ธนชิตดิษยา อ. พลวัฒน์ ไหลมนู ปริญญา ครุศาตรบัณฑิต (ภาษาอังกฤษ) ปีการศึกษา 2564 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษโดยการใช้กิจกรรม การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 33 คน ที่ ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ได้ทำการทดลองสอนด้วยการใช้แผนการ จัดการเรียนรู้จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง และได้ทำการบันทึกพัฒนาการในการ พูดภาษาอังกฤษโดยใช้แบบประเมินการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ผลคะแนนที่ได้จากแบบประเมินการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารก่อนและหลังการทดลอง พบว่าก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ย 7.21 และค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานก่อนการทดลอง มีค่าเท่ากับ 2.13 หลังการทดลอง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.67 และค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 2.68 ค่าเฉลี่ยหลังการทดลองมีค่าที่เพิ่มขึ้น 4.46 สรุปได้ว่านักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 มีทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารที่เพิ่มขึ้น คำสำคัญ: การแสดงบทบาทสมมติ
ข Thesis Title Developing English speaking skills for communication through Role play activity of Grade 3 students Author Mister Passakorn Tongboonchai Thesis Advisor Miss Nichata Thanachitditsaya Mister Ponlawat Laimanoo Degree Bachelor of Education (English major) Academic Year 2564 ABSTRACT The purpose of this research was to develop English speaking skills for communication by using Role play activity. The sample was 33 grade 3 students, using purposive sampling. The experiment was conducted using four lesson plans, 2 hours each, for a total of 8 hours. The researcher recorded the development of students by using an evaluation form for the development of English speaking skills for communication, and analyzed the data using mean and standard deviation. The research results were found that the results obtained from the development of students by using the evaluation form for the development of English speaking skills for communication before and after the experiment, showed the pre-test mean score at 7.21 and standard deviation at 2.13. The post-test mean score was 11.67 and the standard deviation was 2.68 which meant after the students had learned English through role play activity, their speaking skills for communication had improved as shown by the increase of student’s mean score for 4.46. Keyword: Role play
ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาจากอาจารย์นิชตา ธนชิตดิษยา และอาจารย์ พลวัฒน์ ไหลมนูอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยที่ได้ให้คำเสนอแนะ แนวคิด ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ มาโดยตลอด จนการวิจัยเล่มนี้เสร็จสมบูรณ์ ผู้ทำวิจัยจึงขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบคุณ เพื่อนๆ ที่ช่วยให้คำแนะนำต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และช่วยเหลือตลอดมา ขอบพระคุณบิดามารดาที่คอย ให้กำลังใจ และสนับสนุนในการทำวิจัยทุกอย่างจนสำเร็จลุล่วง และขอขอบพระคุณผู้ที่เป็นเจ้าของ แนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ของวิทยานิพนธ์ งานวิจัย วารสาร และบทความ ที่ผู้วิจัยได้นำมามอ้างอิงใน วิจัยครั้งนี้ด้วย สุดท้ายขอขอบใจนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ปฏิบัติตัวดีและร่วมทำกิจกรรมที่จัด ขึ้นทุกกิจกรรม จนการวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ ภาสกร ตงบุญชัย
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ....................................................................................................................... กิตติกรรมประกาศ ......................................................................................................... สารบัญ ........................................................................................................................... บทที่ 1 บทนำ ...................................................................................................................... ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ........................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย ................................................................................. สมมติฐานของการวิจัย ..................................................................................... ขอบเขตของการวิจัย ......................................................................................... นิยามศัพท์เฉพาะ .............................................................................................. ประโยชน์ที่จะได้รับ ......................................................................................... 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ............................................................................... หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ………………. มาตรฐานและตัวชี้วัด……………………………………………………………………………….. คุณภาพของผู้เรียน………………………………………………………………………………….. กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ………………………………………………….. ความหมาย…………………………………………………………………………………..……….. จุดมุ่งหมาย…………………………………………………………………………………..……….. ลักษณะสำคัญของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ……………………..……….. ประเภทของการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ…………………………..……….. ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ………..……….. เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ………………………………………………………..……….. ข้อดีและข้อจำกัด………………………………………………………………………..…………. ทักษะการพูดภาษาอังกฤษ…………………………………………………………..…………. ความหมาย…………………………………………………………..………….…………………… องค์ประกอบของทักษะการพูดภาษาอังกฤษ……………..………….…………………… สมรรถนะของการพูดเพื่อการสื่อสาร……………..………….……………………………… คุณลักษณะของผู้เรียน……………..………….…………………………………………………. ก ข ง 1 1 2 2 2 3 3 4 5 5 6 7 7 7 7 8 8 10 11 12 12 13 14 14
จ สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า หลักการสอนการพูด………………………………………………………………………………… ขั้นตอนการสอนพูด…………………………………………………………………………………. เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ…………………………………………………. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………………………………………………….. 3 วิธีดำเนินการวิจัย .................................................................................................... กลุ่มเป้าหมาย ................................................................................................... รูปแบบในการทดลอง ...................................................................................... เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................................................................... การเก็บรวบรวมข้อมูล ...................................................................................... การวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................... สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................................. 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ......................................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย ................................................................................. สรุปผลการวิจัย ................................................................................................. อภิปรายผล ....................................................................................................... ข้อเสนอแนะ ..................................................................................................... เอกสารอ้างอิง………………………………………………………………………………………………………. ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………….. ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ รายชื่อผู้ช่วยผู้วิจัย ............................................... ภาคผนวก ข ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้………….................................................. ภาคผนวก ค แบบแบบประเมินการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสาร........................................................................................... ภาคผนวก ง แบบทดสอบแบบทดสอบการพูดเพื่อการสื่อสาร…………...................... ภาคผนวก จ ผลการหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................ ประวัติย่อของผู้วิจัย ............................................................................................................. 15 19 20 21 23 23 23 23 26 26 26 27 29 29 29 29 30 31 33 34 36 44 49 51 56
บทที่1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ในสังคมโลกปัจจุบันการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่ใช้ในการ ติดต่อ สื่อสาร แลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ เศรษฐกิจ หรือด้าน อื่นๆ นับว่าเป็น Universal language ที่คนทั่วโลกนิยมใช้สื่อสารกันเป็นหลักมากที่สุด ข้อได้เปรียบของการที่ รู้ภาษาอังกฤษไม่ใช่แค่เพียงติดต่อสื่อสารเท่านั้น ยังสำคัญพ่วงไปถึงหน้าที่การงานที่มีอัตราก้าวหน้าที่มากขึ้น เพราะเราสามารถทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติ สามารถทำงานที่ต่างประเทศ และมีโอกาสได้ งานที่ดีกว่าหลายๆงานและยังสามารถพัฒนาชีวิตและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากคนทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยได้เรียนรู้มา ก่อนไม่ว่าจะเป็น ขนบธรรมเนียมของชาติต่างๆ วัฒนธรรมทางภาษา สังคม การเมืองการปกครอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ มีคุณค่าและยากที่จะหาได้ เหตุนี้จึงคิดว่าภาษาที่สำคัญและจำเป็นที่ไม่น้อยกว่าภาษาใดใดในโลกคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนไทย และคนทั่วโลกไปแล้ว มนุษยชาติทุกวันนี้สื่อสารกัน ด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง การใช้อินเตอร์เน็ต การดูทีวี การดูภาพยนตร์ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หนังสือคู่มือทางด้านวิชาการต่างๆ ฯลฯ การจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ ( ภาษาอังกฤษ) ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และ ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคม โลกและสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังประชาคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ ดังนั้นเพื่อให้ ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามที่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดไว้นั้นหลักสูตรได้เน้นให้มีการ จัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามแนวการจัดการศึกษาของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวด 4 มาตรา 22 ระบุว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ(ศึกษาธิการ, กระทรวง. (2546). พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 พร้อมกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องและ พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545. การจัดสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 แต่ในปัจจุบันจะเห็นว่าการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมักจะเน้นเป็นวิชาหลักที่สำคัญแต่ใ นทาง ตรงกันข้ามผู้เรียนกลับไม่มีความมั่นใจ ไม่มีความกล้าที่จะพูดหรือใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเลย เพราะฉะนั้นผู้วิจัยจึงอยากที่จะพัฒนาการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้นักเรียนได้เห็นประโยคต่างๆ และ ได้เข้าใจการใช้ประโยคต่างๆด้วยการแสดงบทบาทนั้นๆ ขึ้นมาเพื่อให้เด็กได้เห็นภาพชัดเจนและเพื่อให้เด็กได้ นำไปใช้จริงในชีวิตประจำวันได้ โดยการใช้กิจกรรมการสอนแบบการแสดงบทบาทสมมติ
2 กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ(Role play) เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทสมมติ ตามเรื่องราวหรือสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการแสดงออก ทั้งจากการแสดงออกทางกาย และการเรียนรู้ความรู้สึกนึกคิดผ่านตัวละคร เรื่องราว สถานการณ์ ตามสภาพความเป็นจริง โดยมีจุดมุ่งหมาย ให้ผู้เรียนนั้นได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารผ่านเรื่องราว หรือสถานการณ์ต่างๆที่เสมือนจริงและยังมุ่งให้ ผู้เรียนฝึกการคิดวินิจฉัยแก้ปัญหา การควบคุมสถานการณ์ การตัดสินใจในสถานการณ์ที่ผู้เรียนอาจต้องพบใน ชีวิตจริง มุ่งฝึกการใช้ทักษะด้านต่างๆ ที่สำคัญ เช่น กระบวนการคิด การมีส่วนร่วมในการเรียน เป็นต้น และ ส่งเสริมให้กล้าแสดงออก กล้าคิดกล้าทำมากยิ่งขึ้น และเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่สถานการณ์จริง และรู้จักทำงานเป็นกลุ่ม ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ และฝึกความอดทน จากเหตุผลที่นำเสนอข้างต้น ผู้วิจัยจึงต้องการศึกษากิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ(Role play) ว่าจะส่งเสริมให้นักเรียนมีพัฒนาการทางด้านการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในรายวิชา ภาษาอังกฤษเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนหรือไม่อย่างไรและต้องการ เปรียบเทียบทักษะด้านการพูดของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ กิจกรรมแสดงบทบาทสมมติ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2. เพื่อเปรียบเทียบผลการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอน แบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน สมมุติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีพัฒนาการด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้ กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ดีขึ้น 2. ผลเปรียบเทียบการพัฒนาการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดง บทบาทสมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 3 จำนวน 474คน, กลุ่มตัวอย่างเป็น เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 3 ห้อง 7 จำนวน 33 คน 2. ตัวแปรในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีตัวแปรดังนี้ 2.1 ตัวแปรต้นคือ กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) 2.2 ตัวแปรตามคือ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ชั้นปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี
3 3. เนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระของการวิจัยครั้งนี้คือ การใช้กิจกรรมการสอนแบบการแสดงบทบาท สมมติในการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน อนุบาลอุดรธานี 4. ระยะเวลาในการวิจัยครั้งนี้ใช้เวลา 8 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวม 4 สัปดาห์ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) เป็นเทคนิคการสอนรูปแบบหนึ่งที่ช่วยให้ ผู้เรียนเข้าใจบทบาท สภาพความเป็นจริงจากสิ่งที่เกิดขึ้น ผ่านการแสดงออกต่าง ๆ ซึ่งเทคนิคการสอนรูปแบบ นี้ นับว่าเป็นการสอนที่สนับสนุนให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและได้ลงมือปฏิบัติร่วมกันระหว่างผู้เรียน ซึ่งสอดคล้องกับ แนวทางการเรียนรู้สมัยใหม่ ที่มุ่งเน้นตัวผู้เรียนเป็นสำคัญ 2. ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร หมายถึง ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษเพื่อ สื่อสารกับผู้รับสารในสถานการณ์ต่างๆ ที่กำหนดไว้และสามารถสื่อสารให้เข้าใจและยอมรับได้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ได้พัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2. ได้เปรียบเทียบผลการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาราโดยใช้กิจกรรมการสอน แบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน ว่ามี พัฒนาการที่ดีขึ้นตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษางานวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการ สอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลศึกษาการค้นคว้าและงานวิจัยต่างๆ สรุปสาระโดยนำเสนอจำแจกตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 1.1 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ พุทธศักราช 2551 1.2 มาตรฐานและตัวชี้วัด 1.3 คุณภาพของผู้เรียน 2. กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมุติ (Role play) 2.1 ความหมาย 2.2 จุดมุ่งหมายของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ 2.3 ลักษณะสำคัญของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ 2.4 ประเภทของการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ 2.5 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ 2.6 เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติให้มี ประสิทธิภาพ 2.7 ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีสอนโดยใช้บทบาทสมมติ 3. ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 3.1 ความหมาย 3.2 องค์ประกอบของทักษะการพูดภาษาอังกฤษ 3.3 สมรรถนะของการพูดเพื่อการสื่อสาร 3.4 คุณลักษณะของผู้เรียน 3.5 หลักการสอนการพูด 3.6 ขั้นตอนการสอนพูด 3.7 เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ
5 1. หลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 1.1 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ พุทธศักราช 2551 สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ พร้อม ทั้งแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะในการสื่อสารทางภาษาเพื่อการแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคิดเห็น อย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และ ความคิดเห็นใน เรื่องต่าง ๆ โดยการพูดและการเขียน สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษาที่มีผลกับวัฒนธรรมของเจ้าของ ภาษา และนำไปใช้ ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษา และ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษาที่มีความสัมพันธ์กับ ภาษาและ วัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับ กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็นพื้นฐานในการ พัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตน สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศที่มีความสัมพันธ์ในสถานการณ์ ต่าง ๆ ทั้งใน สถานศึกษา ชุมชน และสังคม มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อเป็นเครื่องมือพื้นฐานใน การศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก 1.2 มาตรฐานและตัวชี้วัด จากสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ข้างต้นดังกล่าวสอดคล้องกับตัวชี้วัดซึ่งวัดทักษะการพูดระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ดังต่อไปนี้ มาตรฐานต 1.1 เข้าใจและตีความเร่ืองที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความ คิดเห็นอย่างมีเหตุผล 1. (ต 1.1 ป.3/1) ปฏิบัติตามคำสั่ง และคำขอร้องที่ฟังหรืออ่าน
6 2. (ต 1.1 ป.3/4) ตอบคำถามจากการฟังหรืออ่านประโยคบทสนทนา หรือนิทานง่ายๆ มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะในการสื่อสารทางภาษาเพื่อการแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสาร แสดง ความรู้สึก และความคิดเห็น อย่างมีประสิทธิภาพ 1. (ต 1.2 ป.3/1) พูดโต้ตอบด้วยคำสั้นๆ ง่ายๆ ในการสื่อสารระหว่างบุคคลตามแบบที่ฟัง 2. (ต 1.2 ป.3/2) ใช้คำสั่งและคำขอร้องง่ายๆ ตามแบบที่ฟัง 3. (ต 1.2 ป.3/3) บอกความต้องการง่ายๆของตนเองตามแบบที่ฟัง 4. (ต 1.2 ป.3/4) พูดขอและให้ข้อมูลง่ายๆ เกี่ยวกับตนเองและเพื่อนตามแบบที่ฟัง 5. (ต 1.2 ป.3/5) บอกความรู้สึกของตนเองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆใกล้ตัว หรือกิจกรรมต่างๆตามแบบที่ฟัง มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และ ความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดย การพูดและการเขียน 1. (ต 1.3 ป.3/1) พูดให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและเรื่องใกล้ตัว 1.3 คุณภาพของผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 • ปฏิบัติตามคําสั่ง คําขอร้องที่ฟัง อ่านออกเสียงตัวอักษร คํา กลุ่มคํา ประโยคง่ายๆ และบท พูดเข้า จังหวะง่ายๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน บอกความหมายของคําและกลุ่มคําที่ฟังตรง ตามความหมายตอบ คําถามจากการฟังหรืออ่านประโยค บทสนทนาหรือนิทานง่ายๆ • พูดโต้ตอบด้วยคําสั้นๆ ง่ายๆ ในการสื่อสารระหว่างบุคคลตามแบบที่ฟัง ใช้คําสั่งและคํา ขอร้อง ง่ายๆบอกความต้องการง่ายๆ ของตนเอง พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและ เพื่อน บอกความรู้สึกของ ตนเองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ใกล้ตัวหรือกิจกรรมต่างๆ ตามแบบที่ฟัง • พูดให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและเรื่องใกล้ตัว จัดหมวดหมู่คําตามประเภทของบุคคล สัตว์ และ สิ่งของตามที่ฟังหรืออ่าน • พูดและทําท่าประกอบ ตามมารยาทสังคม/วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา บอกชื่อและคําศัพท์ ง่ายๆ เกี่ยวกับเทศกาล/วันสําคัญ/งานฉลอง และชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าของภาษา เข้าร่วม กิจกรรมทางภาษาและ วัฒนธรรมที่เหมาะกับวัย • บอกความแตกต่างของเสียงตัวอักษร คํา กลุ่มคํา และประโยคง่ายๆ ของภาษาต่างประเทศ และ ภาษาไทย • บอกคําศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น • ฟัง/พูดในสถานการณ์ง่ายๆ ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน • ใช้ภาษาต่างประเทศ เพื่อรวบรวมคําศัพท์ที่เกี่ยวข้องใกล้ตัว
7 • มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เน้นการฟัง-พูด) สื่อสารตามหัวเรื่องเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว อาหาร เครื่องดื่ม และเวลาว่างและนันทนาการ ภายในวงคําศัพท์ประมาณ ๓๐๐-๔๕๐ คํา คําศัพท์ที่เป็นรูปธรรม) • ใช้ประโยคคําเดียว (One Word Sentence) ประโยคเดี่ยว (Simple Sentence) ในการ สนทนา โต้ตอบตามสถานการณ์ในชีวิตประจําวัน 2. กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) 2.1 ความหมาย วราภรณ์ ศุนาลัย (2536, หน้า 35 อ้างอิงใน กรมวิชาการ, 2543ข, หน้า 18) กล่าวว่า การสอน แบบแสดงบทบาทสมมติ เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนกำหนดหัวข้อเรื่อง ปัญหาต่างๆ หรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้ คล้ายกับสภาพความเป็นจริง แล้วให้ผู้เรียนได้เตรียมการล่วงหน้า แล้วจึงแสดงบทบาทตามที่สมมติขึ้นมาอัน เป็นแนวทางที่สามารถนำไปแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจจะประสบในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ผู้เรียนก็สามารถ แสดงบทบาทในชั้นเรียน โดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า วารี ถิรจิตร (2534, หน้า 186 อ้างอิงใน กรมวิชาการ, 2543ข, หน้า 18) กล่าวว่า บทบาทสมมติ หมายถึง การสมมติบทบาทและจัดสถานการณ์ให้ผู้แสดงบทบาทได้แสดงความรู้สึกนึกคิดอารมณ์จาก สถานการณ์ที่สมมติขึ้นซึ่งอาจจะเตรียมมาก่อน ภายหลังของการแสดงบทบาทสมมติ จะต้องมีการอภิปราย เกี่ยวกับการแสดงบทบาทความรู้สึกนึกคิดของผู้แสดง ผู้ดูและมีการสรุปผลของการแสดงบทบาทนั้นด้วย การ แสดงบทบาทสมมติเป็นการฝึกให้ผู้แสดงได้ประสบกับสถานการณ์จริงในสภาพของการสมมติขึ้นมา ทั้งนี้เพื่อ ฝึกให้ผู้เรียนได้ทดลองและเรียนรู้ที่จะปรับพฤติกรรมของตนอย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะต่างๆ สรุปได้ว่า วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทในสถานการณ์ซึ่งมีความใกล้เคียงกับความ เป็นจริง และแสดงออกมาตามความรู้สึกนึกคิดของตน และนำเอาการแสดงออกของผู้แสดง ทั้งทางด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมที่สังเกตพบว่าเป็นข้อมูลใน การอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนตาม วัตถุประสงค์ 2.2 จุดมุ่งหมายของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ทิศนา แขมมณี (2550 : 358) วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เกิดความเข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรมทั้งของตนเองและผู้อื่นหรือเกิด ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับบทบาทสมมติที่ตนแสดง 2.3 ลักษณะสำคัญของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2550 : 160-161) บทบาทสมมติที่ผู้เรียนแสดงออกแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1. การแสดงบทบาทสมมติแบบละคร เป็นการแสดงบทบาทตามเรื่องราวที่มีอยู่แล้ว ผู้แสดงจะได้ ทราบเรื่องราวทั้งหมด แต่จะไม่ได้รับบทที่กำหนดให้แสดงตามอย่างละเอียด ผู้แสดงจะต้องแสดงออกตาม ความคิดของตน และดำเนินเรื่องไปตามท้องเรื่องที่กำหนดไว้แล้วซึ่งมีลักษณะเหมือนละคร
8 2. การแสดงบทบาทสมมติแบบแก้ปัญหา เป็นการแสดงบทบาทสมมติที่ผู้เรียนได้รับทราบสถานการณ์ หรือเรื่องราวแต่เพียงเล็กน้อยเท่าที่จำเป็น ซึ่งมักเป็นสถานการณ์ที่เป็นปัญหาหรือมีความขัดแย้งแฝงอยู่ ผู้แสดงบทบาทจะใช้ความคิดของตนในการแสดงออกและแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างเสรี 2.4 ประเภทของการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ อินทิรา บุณยาทร (2542 : 98) การสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ(Role Play) คือ เทคนิคการ สอนที่ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทในสถานการณ์ที่สมมติขึ้น นั่นคือแสดงบทบาทที่กำหนดให้การแสดงบทบาท สมมติมี 2 ลักษณะ คือ 1. ผู้แสดงบทบาทสมมติจะต้องแสดงบทบาทของคนอื่น โดยละทิ้งแบบแผนพฤติกรรมของตนเอง หรือการเปลี่ยนบทบาทซึ่งกันและกันกับเพื่อนหรือเป็นบุคคลสมมติ 2. ผู้แสดงบทบาทจะยังคงรักษาบทบาทและแบบแผนพฤติกรรมของตน แต่ปฏิบัติอยู่ในสถานการณ์ ที่อาจพบในอนาคต บทบาทสมมติประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนทักษะเฉพาะ บทบาทสมมติที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนอยู่ในปัจจุบันนี้ แยกได้เป็น 3 วิธี ดังนี้ 1. การแสดงบทแสดงละคร วิธีนี้ผู้ที่จะแสดงต้องฝึกซ้อมแสดงท่าทางตามบทที่กำหนดขึ้นไว้แล้ว เช่น การแสดงละครเรื่องที่เกี่ยวกับบทเรียนในหนังสือเรียนภาษาไทย ผู้แสดงบทบาทสมมติแบบละคร จะต้อง พูดตามบทบาทที่ผู้เขียนกำหนดขึ้น 2. การแสดงบทบาทสมมติแบบไม่มีบทเตรียมไว้ ผู้แสดงต้องไม่ฝึกซ้อมมาก่อนเรียนไปถึงเรื่องใดตอน ใดก็ออกมาแสดงได้ทันที โดยแสดงไปตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เช่น แสดงเป็นบุคคลต่างๆ ในชุมนุมชน เป็นหมอ เป็นทหาร เป็นตำรวจ นักเรียนได้คิด ได้พูดและแสดงพฤติกรรมจากความรู้สึกนึกคิดของเขาเอง 3. การใช้บทบาทสมมติแบบเตรียมบทไว้พร้อม ผู้สอนได้เตรียมบทมาไว้ล้วงหน้าบอกความคิด รวบยอดให้ผู้แสดงทราบ ผู้แสดงอาจต้องแสดงตามบทบาทบ้าง คิดบทบาทขึ้นแสดงเองตามความพอใจบ้าง แต่ต้องตรงกับเนื้อเรื่องที่กำหนดให้ 2.5 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (วารี ถิรจิตร) การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ขั้นเตรียมการใช้บทบาทสมมติ แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ขั้นการกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ ผู้สอนควรศึกษาและทำความเข้าใจพื้นฐานเสียก่อน ว่า ต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้อะไรบ้างจากการแสดงและกรรมวิธีในการใช้บทบาทสมมตินำไป เพื่อต้องการให้เกิดอะไรขึ้น 1.2 ขั้นสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติ เมื่อผู้สอนได้ศึกษาและเข้าใจรายละเอียด เกี่ยวกับวัตถุประสงค์เฉพาะในการเตรียมใช้บทบาทสมมติแล้ว ก็จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์และ บทบาทสมมติให้สอดคล้องต้องกันกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว ซึ่งจำเป็นต้องเล็งเห็นถึงวัยของผู้เรียน เนื้อหาสาระ ปัญหา ความเป็นจริง ข้อโต้แข้ง ตลอดจนอุปสรรคที่จำเป็นต่างๆ ที่ผู้สอนต้องให้ ผู้เรียนได้รู้จักคิด ปฏิบัติและแก้ไขด้วยตนเอง 2. ขั้นแสดงบทบาทสมมติ แบ่งเป็น 7 ขั้นตอน ดังนี้
9 2.1 การนำเข้าสู่สถานการณ์ ผู้สอนเตรียมเรื่องหรือสถานการณ์ให้ผู้เรียน แล้วนำเรื่องราว มาเล่าให้ผู้เรียนฟัง เพื่อเป็นการเร้าความสนใจ เป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนอยากเรียนและ อยากติดตาม และควรให้ผู้เรียนได้เล็งเห็นประโยชน์ที่จะได้รับ จากการที่เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงบทบาทสมมติ นั้นๆ 2.2 การกำหนดตัวผู้แสดง การเลือกผู้แสดงขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการสอนและการแสดง สำหรับการเลือกตัวผู้แสดง ควรให้ผู้เรียนอาสาสมัครมาแสดงบทบาทด้วยความเต็มใจ 2.3 การจัดสถานที่ ผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้ร่วมมือในการจัดสถานที่สำหรับการแสดงบทบาท สมมติ ซึ่งควรจัดและดัดแปลงให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่กำหนดไว้ 2.4 การกำหนดตัวผู้สังเกตการณ์ โดยผู้สอนอาจจะกำหนดผู้เรียนกลุ่มหนึ่งให้เป็นผู้ สังเกตการณ์ในการแสดงบทบาท โดยฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตและรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมา วิเคราะห์ อภิปราย และแก้ปัญหาร่วมกัน หลังจากสิ้นสุดการแสดงบทบาทสมมติแล้ว 2.5 การเตรียมพร้อมก่อนการแสดง วิธีเตรียมความพร้อมนั้นผู้สอนต้องเป็นผู้ช่วยเหลือ ไม่ให้ผู้เรียนต้องมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแสดงให้มากเกินไป ควรชี้แจงให้ผู้แสดงทราบว่า การ แสดงก็เหมือนกับการพูด คุย และเล่นกันธรรมดา เพียงแต่ต้องแสดงบทบาทต่างๆ ตามที่ได้กำหนด ไว้เท่านั้น 2.6 การลงมือแสดง เมื่อผู้แสดงพร้อมแล้วก็เริ่มลงมือแสดงได้เลย ควรเปิดโอกาสให้ผู้แสดง ได้ใช้ความสามารถของตนได้เต็มที่ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นในขณะที่แสดง ผู้สอนควรมีส่วนร่วมในการแก้ไข สถานการณ์ เพื่อให้การแสดงเป็นไปตามธรรมชาติและราบรื่นต่อไป 2.7 การตัดบท ถ้าบังเอิญการแสดงของผู้เรียนยืดเยื้อและใช้เวลานานเกินความจำเป็นและ ผู้สอนที่ความคิดเห็นว่าได้ข้อมูลในการแสดงพอสมควรแล้ว ก็สามารถขอให้ยุติการแสดง เพื่อจะได้ นำข้อมูลมาวิเคราะห์และอภิปรายและแก้ไขปัญหาต่างๆ ต่อไป 3. ขั้นวิเคราะห์และอภิปรายผล การนำข้อมูลที่ได้จากการแสดงมาวิเคราะห์และอภิปราย ผู้สอนและผู้เรียนต้องร่วมมือกัน แต่ควรอภิปรายในรูปแบบของความมีเหตุมีผลเฉพาะการแสดงออกของ ผู้แสดงทางพฤติกรรมเท่านั้น แต่จะไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวผู้แสดง 4. ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุป เมื่อได้วิเคราะห์และอภิปรายผลของการแสดงแล้วผู้สอนจะ เป็นผู้เร้าและจูงใจให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ เพื่อให้มีแนวคิดกว้างขวางขึ้น โดยให้ข้อคิดว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้หรือประสบพบเห็นนั้นๆ จะเกี่ยวข้องกับความเป็น จริงทั้งสิ้น แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันให้แนวมโน ทัศน์และช่วยกันสรุปประเด็นให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติที่กำหนดไว้ บุญชม ศรีสะอาด (2541, หน้า 62 อ้างอิงใน กรมวิชาการ, 2543ข, หน้า 20) ได้เสนอแนะเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ไว้ดังนี้ 1. ผู้สอนควรชี้แจงจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติ และสิ่งที่ต้องการให้ผู้สังเกตศึกษาจาก การแสดงบทบาทสมมตินั้น
10 2. ผู้สอนต้องเตรียมสถานการณ์ และมีคำอธิบายสถานการณ์ให้ชัดเจนสำหรับผู้ที่จะแสดงบทบาท แต่ละคน ซึ่งจะต้องจดจำสถานการณ์ที่ตนจะต้องแสดงบทบาทไว้ให้แม่นยำ มีความเข้าใจในบทบาทของตน อย่างรู้แจ้ง สถานการณ์และบทบาทที่กำหนดมักพิมพ์ลงในแผ่นกระดาษเพื่อมอบให้ผู้แสดงได้ศึกษา 3. ควรให้เวลาในช่วงสั้นๆ สำหรับผู้ที่จะแสดงบทบาทสมมติได้ประมวลความคิดซักซ้อมและ เตรียมการ 4. ในการแสดงบทบาทสมมติ จะต้องมีบรรยากาศที่เสรีและความรู้สึกปลอดภัย 5. อาจมีการปรับปรุงและแสดงกิจกรรมบางตอนใหม่ 6. หลังจากการแสดงบทบาทสมมติควรมีการอภิปรายถึงพฤติกรรมที่แสดงและประเมินผลการปฏิบัติ ของผู้เรียน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 6.1 แต่ละคนแสดงบทบาทได้สมจริงเพียงใด 6.2 มีความแตกต่างของบทบาทที่แสดงในทางใด 6.3 การแสดงบทบาทเปลี่ยนแปลงแนวคิดของท่านเกี่ยวกับตัวละครที่แสดงอย่างไร 6.4 อะไรคือจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสำหรับบทเรียนนี้ 2.6 เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติให้มี ประสิทธิภาพ ทิศนา แขมมณี (2550 : 359-360) กล่าวถึงการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติว่ามีเทคนิคและ ข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. การเตรียมการ ผู้สอนกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะให้ชัดเจน และสร้างสถานการณ์และบทบาท สมมติที่จะช่วยสนองวัตถุประสงค์นั้น สถานการณ์และบทบาทสมมติที่กำหนดขึ้นควรมีความใกล้เคียงกับความ เป็นจริง ส่วนจะมีรายละเอียดมากน้อยเพียงใดขึ้นกับวัตถุประสงค์ ผู้สอนอาจใช้บทบาทสมมติแบบละคร ซึ่งจะ กำหนดเรื่องราวให้แสดงแต่ไม่มีบทให้ ผู้สวมบทบาทจะต้องคิดแสดงเอง หรืออาจใช้บทบาทสมมติแก้ปัญหา ซึ่งจะกำหนดสถานการณ์ที่มีปัญหาหรือความขัดแย้งและอาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมมากบ้าง น้อยบ้าง ซึ่งผู้สวม บทบาทจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการแสดงออกและแก้ปัญหาตามความคิดของตน 2. การเริ่มบทเรียน ผู้สอนสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนได้หลายวิธี เช่น โยงประสบการณ์ใกล้ ตัวผู้เรียน หรือประสบการณ์ที่ผู้เรียนไดรับจากการเรียนครั้งก่อน ๆ เข้าสู่เรื่องที่จะศึกษา หรืออาจใช้วิธีเล่า เรื่องราวหรือสถานการณ์สมมติที่เตรียมมาแล้วทิ้งท้ายด้วยปัญหา เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากคิด อยากติดตาม หรืออาจใช้วิธีชี้แจงให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์จาก การเข้าร่วมแสดง และช่วยกันคิดแก้ปัญหา 3. การเลือกผู้แสดง ควรเลือกให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการแสดง เช่น เลือก ผู้แสดงที่มีลักษณะ เหมาะสมกับบทบาท เพื่อช่วยให้การแสดงเป็นไปอย่างราบรื่นตามวัตถุประสงค์ได้อย่างรวดเร็ว หรือเลือกผู้ แสดงที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับบทบาทที่กำหนดให้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนคนนั้นได้รับประสบการณ์ใหม่ ได้ทดลอง แสดงพฤติกรรมใหม่ ๆ และเกิดความเข้าใจในความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้ที่มีลักษณะต่างไปจากตน หรือ อาจให้ผู้เรียนอาสาสมัคร หรือเจาะจงเลือกคนใดคนหนึ่ง ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการช่วยให้บุคคลนั้นเกิดการ เรียนรู้ เมื่อได้ ผู้แสดงแล้ว ควรให้เวลาผู้แสดงเตรียมการแสดง โดยอาจให้ฝึกซ้อมบ้างตามความจำเป็น
11 4. การเตรียมผู้สังเกตการณ์ หรือผู้ชม ผู้สอนควรเตรียมผู้ชม และทำความเข้าใจกับผู้ชมว่า การแสดง บทบาทสมมตินี้ จัดขึ้นมิใช่มุ่งที่ความสนุก แต่มุ่งที่จะให้เกิดการเรียนรู้เป็นสำคัญ ดังนั้นจึงควรชมด้วยความ สังเกต ผู้สอนควรให้คำแนะนำว่าควรสังเกตอะไรและควรบันทึกข้อมูลอย่างไร และผู้สอนอาจจัดทำแบบ สังเกตการณ์ให้ผู้ชมใช้ในการสังเกตด้วยก็ได้ 5. การแสดง ก่อนการแสดงอาจมีการจัดฉากการแสดงให้ดูสมจริง ฉากการแสดงอาจเป็นฉากง่าย ๆ หรืออาจจะจัดให้ดูสวยงาม แต่ไม่ควรจะใช้เวลามาก และควรคำนึงถึงความประหยัดด้วย เมื่อทุกฝ่ายพร้อม แล้ว ผู้สอนให้เริ่มการแสดง และสังเกตการแสดงอย่างใกล้ชิด ไม่ควรมีการขัดการแสดงกลางคัน นอกจากกรณี ที่มีปัญหาเมื่อการแสดงออกนอกทาง ผู้สอนอาจจำเป็นต้องให้คำแนะนำบ้าง เมื่อการแสดงดำเนินไปพอสมควร แล้ว ผู้สอนควรตัดบท ยุติ การแสดง ไม่ควรให้การแสดงยืดยาว เยิ่นเย้อจะทำให้ผู้ชมเกิดความเบื่อหน่ายการ ตัดบทควรทำเมื่อเห็นว่าการแสดงได้ให้ข้อมูลแก่กลุ่มเพียงพอที่จะนำมาวิเคราะห์และอภิปรายเพื่อให้เกิด การ เรียนรู้ตรงตามวัตถุประสงค์ หรือตัดบทเมื่อการแสดงเริ่มยืดเยื้อ หรือเมื่อผู้ชมพอจะเดาได้ว่า เรื่องราวจะ ดำเนินต่อไปอย่างไร หรือในกรณีที่ผู้แสดงเกิดอารมณ์สะเทือนใจมากเกินไปจนแสดงต่อไปไม่ได้ ควรตัดบท ทันที 6. การวิเคราะห์อภิปรายผลการแสดง ขั้นนี้เป็นขั้นสำคัญมาก เพราะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ที่ชัดเจนตามวัตถุประสงค์ เทคนิคที่จำเป็นสำหรับการอภิปรายในช่วงนี้มีหลายประการ ที่สำคัญ คือ การ สัมภาษณ์ความรู้สึกและความคิดของผู้แสดงและจดบันทึกไว้บนกระดานต่อจากนั้นจึงสัมภาษณ์ผู้ชมหรือผู้ สังเกตการณ์ถึงข้อมูลที่สังเกตได้ผู้สอนควรจดบันทึกข้อมูลเหล่านี้บนกระดาน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเห็นประเด็นใน การอภิปรายและสรุป ต่อจากนั้น จึงให้ทุกฝ่ายร่วมกันอภิปราย แสดงความคิดเห็น และสรุปประเด็นการเรียนรู้ สิ่งสำคัญมากที่ผู้สอนพึงคำนึงในการอภิปรายก็คือ การให้ผู้เรียนแสดงบทบาทสมมติเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะใช้ บทบาทเป็นเครื่องมือในการดึงความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ เจตคติ หรืออคติต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของผู้ แสดงออกมาเพื่อเป็นข้อมูลในการเรียนรู้ ดังนั้นการอภิปรายจึงต้องมุ่งเน้นและอภิปรายในเรื่องของพฤติกรรมที่ ผู้สวมบทบาทแสดงออก และความรู้สึกที่เป็นเหตุผลักดันให้เกิดการแสดงพฤติกรรมนั้นออกมา การซักถาม จึง ควรมุ่งประเด็นไปที่ว่าผู้แสดงได้แสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง ทำไมจึงแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น และพฤติกรรมนั้น ก่อให้เกิดผลอะไรตามมา การอภิปรายไม่ควรมุ่งประเด็นไปที่การแสดงของผู้สมบทบาทว่า แสดงได้ดี – ไม่ดี เพียงใด เพราะนอกจากจะเป็นการอภิปรายที่ผิดกับวัตถุประสงค์แล้ว ยังอาจทำให้ผู้แสดงเสียความรู้สึกได้ ในกรณีที่การอภิปรายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และผู้เรียนเสนอแนะแนวคิดและแนวทางอื่น ๆ เพิ่มเติมแตกต่างไปจากที่ผู้สวมบทบาทแสดง ผู้สอนอาจให้มีการแสดงและ การอภิปรายเพิ่มเติม และสรุป บทเรียนอีกครั้งหนึ่ง 2.7 ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีสอนโดยใช้บทบาทสมมติ ทิศนา แขมมณี (2550 : 361) อธิบายถึงข้อดีและข้อจำกัดของวิธีสอนโดยใช้บทบาทสมมติ ไว้ดังนี้ ข้อดี 1. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้อื่น ได้ เรียนรู้การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง
12 2. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ และเกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติและ พฤติกรรมของตน 3. เป็นวิธีสอนที่ช่วยพัฒนาทักษะในการเผชิญสถานการณ์ ตัดสินใจและแก้ปัญหา 4. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้การเรียนการสอนมีความใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริง 5. เป็นวิธีสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมาก ผู้เรียนได้เรียนรู้ อย่างสนุกสนาน และการเรียนรู้มีความหมายสำหรับผู้เรียน เพราะข้อมูลมาจากผู้เรียนโดยตรง ข้อจำกัด 1. เป็นวิธีสอนที่ใช้เวลามากพอสมควร 2. เป็นวิธีสอนที่ต้องอาศัยการเตรียมการและการจัดการอย่างรัดกุม หากจัดการไม่ พอดี อาจเกิดความยุ่งยากสับสนขึ้นได้ 3. เป็นวิธีสอนที่ต้องอาศัยความไวในการรับรู้ (sensitivity) ของผู้สอน หากผู้สอน ขาดคุณสมบัตินี้ไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนบางคน และไม่ได้แก้ปัญหาแต่ต้น อาจเกิดเป็นปัญหาต่อเนื่อง ไปได้ 4. เป็นการสอนที่ต้องอาศัยความสามารถของครูในการแก้ปัญหา เนื่องจากการ แสดงของผู้เรียนอาจไม่เป็นไปตามความคาดหมายของผู้สอน ผู้สอนจะต้องสามารถแก้ปัญหาหรือปรับ สถานการณ์และประเด็นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ นอกจากนี้ สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 :67) ยังได้กล่าวถึงข้อดีของการสอนโดยใช้บทบาท สมมติ ไว้คือ ข้อดี 1. ส่งเสริมบทเรียนให้สนุกสนานเพลิดเพลิน 2. ทำให้เข้าใจเรื่องราวรายละเอียดในเนื้อเรื่องได้ดี 3. ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม มีความรับผิดชอบร่วมกัน สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 111) กล่าวไว้เฉพาะข้อจำกัดของ การสอนโดยใช้บทบาทสมมติว่าการแสดงบทบาทบางครั้งใช้เวลามาก และครูต้องมีภาระเพิ่มขึ้น บางครั้งต้อง มีการฝึกซ้อมเรียนแสดง ผู้เรียนย่อมเข้าใจความต้องการ อารมณ์ ความรู้สึก ผลประโยชน์ตลอดจนความ ขัดแย้งของกลุ่มบุคคลที่เขาสวมบทบาทนั้น ๆ อยู่ 3. ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 3.1 ความหมาย การพูดภาษาอังกฤษมิใช่เพียงความสามารถทางการออกเสียงให้ถูกต้องตามโครงสร้างทาง ไวยากรณ์ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสื่อสารถ้อยคําไปยังผู้รับสารให้รับรู้ความรู้สึกนึกคิด สาระข่าวสาร ใช้ น้ำเสียงหรือ
13 กิริยาอาการ ผู้พูดต้องมีทักษะความรู้ด้านการออกเสียง คําศัพท์ กฎการใช้ทางไวยากรณ์ เข้าใจวัฒนธรรมทาง ภาษา และผู้พูดต้องมีทักษะการใช้กลวิธีการพูดเพื่อการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ William Litterwood ได้อธิบายว่า การพูดหมายถึงการแลกเปลี่ยนข่าวสารต่างๆ ระหว่าง บุคคล ตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยมีผู้พูดและผู้ฟัง ผู้พูดจําเป็นต้องพูดให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายที่ผู้พูดต้องการ จะสื่อ ดังนั้นจึงต้องพูดให้ถูกต้องตามหลักภาษา และใช้คําพูดที่เหมาะสมรวมถึงพูดได้ถูกต้องตาม สถานการณ์ นอกจากนั้นยังได้ให้ความหมายของการพูดเพื่อการสื่อสารว่ามิได้เป็นเพียงการออกเสียงคํา และการออก เสียง สูงต่ําในประโยคเท่านั้น แต่เป็นการพูดตามหน้าที่ของภาษา การทําให้ผู้อื่นเข้าใจ จุดประสงค์ในสิ่งที่ผู้ พูดพูด และการพูดของผู้ที่มีความสามารถในระดับที่สูงขึ้นไป ยังต้องมีการเลือกใช้ สํานวนภาษาที่ถูกต้อง เหมาะสม และเป็นที่ยอมรับของเจ้าของภาษาด้วยได้ให้ความหมายว่าทักษะการ พูดคือคําพูดที่เกิดจาก ความตั้งใจของผู้ พูดและก่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามแต่สถานการณ์ ในการสื่อสาร กล่าวโดยสรุปการพูดจึงหมายถึงการสนทนาระหว่างบุคคลสองคนขึ้นไป โดยถ่ายทอดความคิด แลกเปลี่ยนข่าวสารโดยใช้ภาษาและท่าทางที่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ ต้องมีองค์ประกอบแยกย่อย เช่น รู้คําศัพท์ที่เหมาะสม ใช้หลักไวยากรณ์และรูปแบบประโยคอย่างถูกต้อง ออกเสียงและเน้นเสียงได้ถูก และ เข้าใจวัฒนธรรมของการพูดหรือวัฒนธรรมทางภาษา 3.2 องค์ประกอบของทักษะการพูดภาษาอังกฤษ องค์ประกอบของการพูดที่จะประสบความสําเร็จได้ต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สําคัญ ๔ องค์ประกอบ ดังนี้ 1. ต้องมีความรู้ด้านไวยากรณ์หรือโครงสร้าง (grammatical competence) หมายถึง ความรู้ด้าน ภาษา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับคําศัพท์โครงสร้างของคํา ประโยค ตลอดจนการสะกดและการ ออกเสียง 2. ต้องมีความรู้ด้านสังคม (sociolinguistic Competence) หมายถึงการใช้คํา และโครงสร้าง ประโยคได้เหมาะสมตามบริบทของสังคม เช่น การขอโทษ การขอบคุณ การถามทิศทางและข้อมูล ต่าง ๆ และ การใช้ประโยคคําสั่ง เป็นต้น 3. ต้องมีความรู้ในการใช้โครงสร้างภาษาเพื่อสื่อความหมายด้านการพูด และเขียน ( discourse Competence) หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมระหว่างโครงสร้างภาษา (grammatical form) กับ ความหมาย (meaning) ในการพูดและเขียนตามรูปแบบ และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน 4. ต้องมีความรู้ในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (strategic Competence) หมายถึง การใช้ เทคนิคเพื่อให้การติดต่อสื่อสารประสบความสําเร็จ โดยเฉพาะการสื่อสารด้านการพูด เช่น การ ใช้ภาษาท่าทาง (body language) การขยายความโดยใช้คําศัพท์อื่นแทนคําที่ผู้พูดนึกไม่ออก เป็นต้น ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นจากความพยายาม ที่ ชาญฉลาด ทั้งนี้ผู้สอนภาษาอังกฤษจะต้องเข้าใจธรรมชาติและเข้าใจกลวิธีที่การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อ ใช้เป็นเครื่องมือสําคัญในการพัฒนาทักษะและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในระหว่างที่สื่อสารภาษา เป้าหมาย ได้
14 3.3 สมรรถนะของการพูดเพื่อการสื่อสาร Richards และ Rogers (1988 : 71) อ้างอิงจาก Canale และ Swain (1980) ว่าการสร้าง ความสามารถในการสื่อสาร (Communicative competence) สามารถแบ่งออกเป็น 4 มิติ ดังนี้ 1. ความสามารถด้านโครงสร้างของภาษา (Grammatical competence) หรือความสามารถด้าน ภาษาศาสตร์ (Linguistic competence) คือ ความสามารถที่เกี่ยวกับโครงสร้างและรูปแบบของประโยค 2. ความสามารถด้านภาษาศาสตร์เชิงสังคม (Sociolinguistic competence) คือ ความสามารถที่ เกี่ยวกับการเข้าใจบริบททางสังคมในขณะที่กำลังสื่อสาร รวมไปถึงการเข้าใจในความสัมพันธ์ของบทบาททาง สังคม ข้อมูลของคู่สนทนา และจุดประสงค์ของการสื่อสารระหว่างบุคคล 3. ความสามารถด้านความเข้าใจในระดับข้อความ (Discourse competence) คือ ความสามารถที่ เกี่ยวกับการเข้าใจในการตีความหมายของสารหรือข้อความ 4. ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (Pragmatic or Strategic competence) คือ ความสามารถที่ผู้สื่อสารใช้กลวิธีต่างๆในการเลือกใช้ภาษาเพื่อเริ่มและยุติการสื่อสาร ตลอดจนการรักษา การ แก้ไข และการพูดซ้ำขณะที่สื่อสาร 3.4 คุณลักษณะของผู้เรียน Bailey (2005 : 30 ) กล่าวว่า ในการสอนพูดนั้นแตกต่างกันตามระดับความสามารถของผู้เรียน ดังนั้นจึงมีการแบ่งผู้เรียนออกเป็น 3 ระดับ คือ ผู้เรียนระดับเริ่มต้น (Beginning level learner or Lowerlevel language learner) ผู้เรียนระดับกลาง ( Intermediate level learner) และผู้เรียนระดับสูง (Advanced level learner) Bailey (2005 : 30 ) กล่าวว่า สภาการสอนภาษาต่างประเทศของอเมริกา (American Council on the Teaching of Foreign Language – ACTFL) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของผู้เรียนระดับเริ่มต้น (Beginning level learner or Lower-level language learner) ว่ามีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. การเปล่งคำพูดประกอบด้วย คำ และวลี 2. คำศัพท์เพียงพอในการสื่อสารง่ายๆ เช่น ความต้องการทั่วไป และการแสดงมารยาทพื้นฐาน 3. คำพูดประกอบกันไม่เกินสองหรือสามคำ ขณะพูดมักหยุดและพูดซ้ำ บ่อยๆ 4. ผู้พูดอาจมีปัญหาในการเปล่งคำ แม้คำนั้นเป็นคำง่ายๆ Bailey (2005 : 90 ) กล่าวว่า สภาการสอนภาษาต่างประเทศของอเมริกา (American Council on the Teaching of Foreign Language – ACTFL) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะผู้เรียนระดับกลาง (Intermediate level learner) ว่ามีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. พูดสื่อสารได้หลากหลายไม่ซับซ้อน รวมถึงภาระงานพื้นฐานและการสื่อสาร และสถานการณ์ทาง สังคม 2. พูดเกี่ยวกับตนเอง และสมาชิกในครอบครัวได้ 3. ถาม-ตอบ และมีส่วนร่วมกับบทสนทนาง่ายๆ เช่น ประวัติส่วนบุคคล หรือ กิจกรรม ยามว่าง
15 4. สามารถเพิ่มคำได้เล็กน้อย แต่การพูดอาจจะยังมีการหยุดบ่อยๆ เนื่องจากการรวมกันของของคำ หรือ ประโยคในการสนทนาขั้นพื้นฐานยังติดขัดอยู่ 5. พัฒนาการการออกเสียงซึ่งอาจยังได้รับอิทธิพลจากภาษาแรกอยู่ และความความคล่องแคล่ว อาจจะยังไม่มาก Bailey (2005 : 120 ) กล่าวว่า สภาการสอนภาษาต่างประเทศของอเมริกา (American Council on the Teaching of Foreign Language – ACTFL) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะผู้เรียนระดับสูง (Advanced level learner) ว่ามีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. สามารถบอกความต้องการเกี่ยวกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน กิจวัตรในโรงเรียน และการ ทำงานได้ 2. พูดด้วยความมั่นใจแต่ยังไม่คล่องแคล่วกับภาระงานที่ซับซ้อนรวมถึงสถานการณ์ ทางสังคม เช่น การพูดขยายความ การร้องทุกข์ และการขอโทษ 3. เล่าและอธิบายรายละเอียดบางอย่างที่มีการเชื่อมโยงประโยคเข้าด้วยกันได้ อย่างราบรื่น 4. สื่อสารข้อเท็จจริงและพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อทั่วๆไปในปัจจุบัน และความสนใจส่วนบุคคล โดย เลือกใช้คำศัพท์พื้นฐานได้ 5. เข้าใจคู่สนทนาที่เป็นเจ้าของภาษาได้อย่างง่ายดาย 3.5 หลักการสอนการพูด Bailey (2005 : 36-40 ) กล่าวถึง การสอนพูดผู้เรียนระดับเริ่มต้น (Beginning level learner or Lower-level language learner) มีหลักการดังนี้ 1. จัดเตรียมสื่อเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกพูด การที่ผู้เรียนพูดหรือเล่าประสบการณ์ บอกความรู้สึก หรือสิ่งที่ตนชื่นชอบและสนใจ ให้ผู้อื่นฟัง ถือว่าเป็นความต้องการในการสื่อสารอย่างแท้จริง ดังนั้น ในการจัดเตรียมบางอย่างเพื่อให้ ผู้เรียนได้พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ ผู้สอนไม่เพียงแต่ยกหัวข้อ หรือประเด็นต่างๆขึ้นมาเท่านั้น แต่ผู้สอน ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกหัวข้อ หรือสิ่งที่สนใจเพื่อสนทนา และอภิปรายด้วย นอกจากนี้ รูปภาพและสิ่งที่จับต้องได้ เช่น รูปถ่าย ปฏิทิน ป้ายโฆษณา หรือนิตยสารยังถือว่าเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ ผู้เรียนต้องการพูดอีกด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรมที่ผู้เรียนเห็นภาพ จึงกระตุ้นผู้เรียนได้มากกว่า เรื่องที่เป็นนามธรรม 2. ใช้กิจกรรมคู่และกลุ่มเพื่อสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิสัมพันธ์ บางครั้งปัญหาของผู้เรียนระดับเริ่มต้นก็คือ ความวิตกกังวลในการพูดในห้องเรียน ดังนั้นงานกิจกรรมคู่และกลุ่มจึงมีบทบาทสำคัญในการลดความวิตกกังวล และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ ปฏิสัมพันธ์กัน นอกจากนี้ผู้เรียนยังจะได้ผลสะท้อนกลับทั้งจากเพื่อน และครู แม้ว่ากิจกรรมคู่และ กลุ่มจะเป็นอุปสรรคต่อผู้สอนในการควบคุมห้องเรียนให้อยู่ในความสงบ จากการวิจัย แสดงให้เห็นว่า
16 กิจกรรมคู่ทำให้ผู้เรียนมีเวลาในฝึกพูดมากกว่าผู้สอนยืนอยู่หน้าชั้นเรียนแล้วให้ผู้เรียนฝึกพูดพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ผู้สอนสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการจัดการห้องเรียน ดังต่อไปนี้ 1) ออกแบบภาระงานให้ชัดเจน อาจแจกขั้นตอนการปฏิบัติกรรมให้แก่นักเรียนหรือ เขียนไว้บนกระดานหรือแผ่นโปร่งใส 2) เริ่มจากกิจกรรมคู่ก่อน เมื่อผู้เรียนเริ่มคุ้นเคยกับการทำกิจกรรมคู่อย่างรวดเร็ว และสงบจึงเปลี่ยนเป็นกลุ่มละสามคน จากนั้นจึงเพิ่มจำนวนสมาชิกในกลุ่ม 3) บอกขั้นตอนการเข้ากลุ่ม เช่น ให้ผู้เรียนนับ 1, 2, 3 แล้วให้ผู้เรียนที่นับตัวเลข เหมือนกันอยู่กลุ่มด้วยกัน 4) กำหนดระยะเวลาในการทำกิจกรรมคู่และกลุ่มให้ชัดเจนและแน่นอน 5) ให้ความช่วยเหลือ และชี้แจงจุดประสงค์ในการทำกิจกรรม เช่น แต่ละกลุ่มส่ง ตัวแทนมาหนึ่งคนเพื่อเขียนรายการอาหารที่ตัวเองชื่นชอบลงบนกระดาน โดยที่สมาชิกในกลุ่มที่เหลือ สามารถช่วยเพื่อนสะกดคำศัพท์ให้ถูกต้อง ภายในเวลาห้านาที 3. การเปลี่ยนบรรยากาศทางกายภาพในห้องเรียน เพื่อส่งเสริมการฝึกพูด อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้สอนในการกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ ภาษาต่างประเทศสื่อสาร ทั้งนี้ วัฒนธรรมการจัดห้องเรียนแบบเดิม คือ การจัดโต๊ะเรียนให้หันหน้าไป ทางผู้สอน ดังนั้นการจัดบรรยากาศทางกายภาพใหม่จะเอื้อต่อกิจกรรมการพูด การจัดห้องเรียนมี หลายรูปแบบ ดังต่อไปนี้ 3.1 เทคนิควงกลมซ้อน (Inside-outside Circle) เป็นเทคนิคที่ผู้เรียนมีโอกาส สัมภาษณ์หรือสนทนากับผู้เรียนคนอื่นๆซ้ำๆ เป็นการสร้างความมั่นใจและความคล่องในการพูด วิธีการคือ แบ่งผู้เรียนออกเป็นสองกลุ่มเท่าๆกัน จากนั้นให้ผู้เรียนทั้งสองกลุ่มยืนเป็นวงกลมซ้อนกัน สองวง ผู้เรียนที่อยู่ในวงนอกและวงในหันหน้าเข้าหากัน ดังนั้นผู้เรียนแต่ละคนก็จะมีคู่ ให้เวลาผู้เรียน สนทนาหรือสัมภาษณ์กันเป็นเวลาสองหรือสามนาที จากนั้นให้ผู้เรียนเปลี่ยนคู่สนทนา โดยให้ผู้เรียนที่ อยู่วงนอกก้าวไปทางซ้ายหนึ่งก้าว และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ 3.2 กิจกรรมการนั่งแบบแทงโก้ (Tango Seating) เป็นกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อให้ ผู้เรียนใช้วาจาในการสื่อสารระหว่างที่ทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งเกี่ยวกับการวาดภาพ ตามด้วย การสร้างผังความคิด การออกแบบหรือธิบายผ่านวาจา โดยให้ผู้เรียนนั่งหันหลังชนกัน จากนั้นผู้เรียน คนใดคนหนึ่งอธิบายสิ่งที่ตนเห็นให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัง โดยที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นรูปภาพหรือสิ่งที่ฝ่ายตรง ข้ามกำลังอธิบาย 3.3 เทคนิคค็อกเทลปาร์ตี้ (Cocktail party Technique) เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้สนทนากับเพื่อนร่วมชั้นหลายๆคน เหมือนการสนทนาในงานเลี้ยง และยังเป็นการหยุดพัก ระหว่างที่เรียน กิจกรรมผู้สอนสามารถทำได้โดยออกแบบภาระงานให้ชัดเจน และสั้นกระชับ อาจ เขียนขั้นตอนการปฏิบัติงานลงบนกระบาน หรือแผ่นใส ในระหว่างการทำกิจกรรม ผู้เรียนจะได้ สนทนากับผู้เรียนคนอื่นๆหลายๆคน และเปลี่ยนไปสนทนากับคนอื่น หากผู้เรียนคนใดทำภาระงาน
17 เสร็จตามที่กำหนด สามารถนั่งลงได้ กิจกรรมนี้ง่ายต่อผู้สอนในการตรวจสอบว่าผู้เรียนคนใดทำภาระ เสร็จหรือไม่เสร็จ Bailey (2005 : 96-98 ) กล่าวถึง การสอนผู้เรียนระดับกลาง (Intermediate Level Learner) มี หลักการดังนี้ 1. การต่อรองด้านความหมาย (Negotiation for Meaning) กระบวนการต่อรองด้านความหมาย จะส่งผลให้ผู้เรียนปรับปรุงระดับความสามารถใน การใช้ภาษาในการสื่อความหมายให้เป็นที่เข้าใจมากขึ้น ซึ่งผู้เรียนจะคำนึงถึงความถูกต้อง โดยการ เลือกใช้คำศัพท์ที่ถูกต้องเหมาะสม การประยุกต์ใช้โครงสร้างไวยากรณ์ หรือการออกเสียงคำอย่าง ระมัดระวัง ระหว่างนั้นผู้เรียนจะสังเกตเห็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่ตนต้องการพูดกับสิ่งที่ตนสามารถพูด หรือสิ่งที่ตนพูดกับสิ่งที่ผู้อื่นพูด กิจกรรมที่ผู้สอนสามารถใช้ในการเพื่อให้ผู้เรียนได้ต่อรองด้าน ความหมายเพื่อฝึกและพัฒนาทักษะทางภาษา ได้แก่ กิจกรรมแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และ กิจกรรมจิ๊กซอว์ และผู้สอนอาจใช้กิจกรรมคู่และกลุ่มเพื่อให้ผู้เรียนสรุปและแก้ปัญหาร่วมกัน 2. การพูดแบบสัมพันธ์ (Transactional Speech) และปฏิสัมพันธ์ (Interactional Speech) การพูดแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือการสื่อสารเพื่อจุดประสงค์ทางสังคม รวมถึง การสร้างและการรักษาไว้ซึ่งสัมพันธภาพทางสังคม ส่วนการพูดแบบสัมพันธ์ คือการสื่อสารเพื่อ ต้องการบรรลุจุดประสงค์บางอย่าง เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในการจัดกิจกรรมการพูด แบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ผู้สอนควรให้ผู้เรียนพูดได้ตามอิสระ โดยไม่มีการกำหนดรูปแบบของ การพูด ผู้เรียนสามารถพูดในหัวข้อต่างหรือประเด็นๆได้ และสลับบทบาทระหว่างผู้พูดและพูดฟัง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่ฟังได้อย่างอิสระ สำหรับการจัดกิจกรรมการพูดแบบสัมพันธ์ ผู้สอนควรกำหนดหัวข้อต่างหรือประเด็นๆ และมีรูปแบบการพูดไว้อย่างชัดเจน เช่น การโทรเรียกรถ แท็กซี่ เป็นต้น ปกติการพูดแบบสัมพันธ์เป็นบทสนทนาที่บุคคลทั้งสองฝ่ายไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว จึงทำให้มีแบบแผนในการพูด เช่น การเลือกใช้คำศัพท์ และโครงสร้างไวยากรณ์ที่ค่อนข้าง เฉพาะเจาะจง แม้ว่าการพูดแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะทำให้ผู้เรียนพูดได้ลื่นไหลกว่า แต่การจัด กิจกรรมการพูดทั้งสองแบบนั้นมีความสำคัญต่อนักเรียน ในแง่ของการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารทั้ง ในและนอกห้องเรียน 3. เนื้อหาของกิจกรรมการพูดควรเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวผู้เรียน การเชื่อมโยงเนื้อหาของกิจกรรมการพูดให้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวผู้เรียน คือ กระบวนการ ทำให้กิจกรรมตรงตามกับสภาพแวดล้อม ความสนใจ และเป้าหมายของผู้เรียน ในขณะที่ผู้เรียนทำ แบบฝึกหัด ผู้สอนสามารถเชื่อมโยงแบบฝึกหัดให้เป็นเรื่องใกล้ตัวผู้เรียนได้ โดยการใช้ชื่อ สาขา เมือง หรือแม้แต่อาชีพในกิจกรรมการพูดได้ หรือผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกสถานการณ์ที่ตนใจในการ แสดงบทบาทสมมติ เลือกเนื้อเพลงหรือบทความที่ตนสนในในการทำกิจกรรมเกมส์ปริศนาและ กิจกรรมรูปภาพได้
18 Bailey (2005: 124-126) กล่าวถึง การสอนผู้เรียนระดับสูง (Advanced Level Learner) มีหลักการดังนี้ 1. ช่วยผู้เรียนให้เกิดทั้งความคล่องและความถูกต้องในการพูด ผู้เรียนระดับสูง (Advanced Level Learner) สามารถใช้ภาษาในการสื่อสารในบท สนทนาทั่วๆไปอย่างเป็นธรรมชาติ คือ พูดได้ดีและลื่นไหล ขณะเดียวกันยังต้องคงความถูกต้อง คือ ความสามารถในการควบคุมการถอดภาษา โดยการเลือกใช้กฎเกณฑ์ทางภาษา ผู้สอนสามารถgลือก ใช้กิจกรรมการสนทนาและปฏิสัมพันธ์ เช่น กิจกรรมจิ๊กซอว์หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน กิจกรรมรูปภาพ การพูดฉับพลัน และกิจกรรมบทบาทสมมติและสถานการณ์จำลอง เพราะกิจกรรม เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการพูดอย่างสร้างสรรค์และเป็นธรรมชาติ ขณะเดียวกันผู้เรียนยังได้ฝึกใช้ความ คล่องและความถูกต้องในการพูดในเวลาเดียวกัน 2. กระตุ้นให้ผู้เรียนกล้าเสี่ยงที่จะใช้ภาษาอังกฤษ บางครั้งผู้เรียนระดับสูง (Advanced Level Learner) พึงพอใจในระดับศักยภาพของ ตัวเองและหยุดพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ผู้เรียนระดับนี้สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้อื่น เข้าใจ สามารถใช้รูปแบบโครงสร้างของประโยคได้อย่างหลากหลาย บางครั้งยังพัฒนากลวิธีที่ใช้ใน การสื่อสาร ซึ่งส่งผลให้การสนทนายังคงดำเนินต่อไปได้ แม้จะมีการใช้คำศัพท์และโครงสร้างไวยากรณ์ ผิดบางเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มีกลวิธีที่หลากหลายที่สามารถเพิ่มศักยภาพของผู้เรียนระดับสูง โดยการ กระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามทำในสิ่งใหม่ๆ และกล้าที่จะเสี่ยงในการพูดภาษาอังกฤษ Bailey กล่าวว่า ขณะที่เขาได้ทำงานกับนักศึกษาในสหรัฐอเมริกา เขาพบว่านักศึกษาลังเลที่จะถามอาจารย์ในขณะฟัง บรรยายและอภิปรายสัมมนา บางครั้งเกิดจากนักศึกษาอายที่จะต้องพูดต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นที่เป็น เจ้าของภาษาและอายครูที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา หรือบางครั้งอาจเกิดจากที่จะต้องพูดต่อหน้าเพื่อนร่วม ชั้นที่เป็นเจ้าของภาษาและอายอาจารย์ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา หรือบางครั้งอาจเกิดจากวัฒนธรรมที่ กล่าวว่าการถามคำถามอาจารย์เป็นเรื่องที่ไม่สุภาพ ดังนั้นผู้สอนจึงควรฝึกให้ผู้เรียนถามคำถามใน ห้องเรียน หรืออาจให้ผู้เรียนได้คุยกับคนแปลกหน้า ร่วมงานเลี้ยง เข้ารับการสัมภาษณ์งาน และร่วม สนทนากับองค์กรทางสังคมโดยใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร เพื่อเป็นประสบการณ์ที่จะช่วยให้ผู้เรียน ได้เตรียมตัวและฝึกซ้อมในการพัฒนาทักษะความถูกต้องและความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษ 3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสังเกตช่องว่างระหว่างภาษา การสังเกตช่องว่างระหว่างภาษา คือ การที่ผู้เรียนตระหนักถึงความแตกต่างระหว่าง ภาษาที่ตนเองและเจ้าของภาษาหรือผู้เชี่ยวชาญใช้ในระหว่างการปฏิสัมพันธ์ ผู้เรียนจะได้สังเกตการณ์ ใช้คำ กฎไวยากรณ์ สำนวน สุภาษิต วลี และการออกเสียงซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบของภาษา ซึ่งข้อ ควรระวังเหล่านี้จะทำให้ผู้เรียนปรับตัวในการพัฒนาศักยภาพของตนเอง
19 การสังเกตช่องว่างระหว่างภาษาต่างจากการตรวจสอบตนเอง เพราะการตรวจสอบ ตนเองเป็นการตรวจสอบสิ่งที่พูดหรือเขียน ให้ถูกต้องตามกฎที่ตนเรียนมา การตรวจสอบตนเอง ก่อให้เกิดการสังเกตช่องว่างระหว่างภาษา เพราะเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องรู้กฎ ต่างๆมาก่อน 3.6 ขั้นตอนการสอนพูด 1. Carter และ Nunan (2009 : 18) แบ่งขั้นตอนการสอนพูดตามวงจรของการปฏิบัติงานที่ เน้นภาระงานเป็นศูนย์กลาง ประกอบด้วย 1.1 ขั้นป้อน (Input Phase) อันดับแรกผู้เรียนต้องฟังเสียงบันทึกของเจ้าของภาษา ซึ่งเสียงที่ฟังจะสอดคล้องกับภาระงานที่ผู้เรียนจะได้ลงมือปฏิบัติ 1.2 ขั้นฝึกปฏิบัติ (Rehearsal Phase) ผู้เรียนทำภาระงานเป็นกลุ่ม ระหว่างนี้ผู้เรียน สามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อผิดพลาด ผู้สอนมีหน้าที่สังเกตและให้ ความช่วยเหลือ 1.3 ขั้นใช้ภาษา (Performance Phase) ผู้เรียนทำภาระงานหน้าชั้นเรียน 2 Richards และ Rogers (1988 : 41) อ้างใน Davies และคณะ ยังได้เสนอว่า การสอน ภาษาโดยใช้สถานการณ์ (Situational Language Teaching Method) เป็นการสอนทักษะทาง ภาษาทั้งสี่ผ่านการปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งความถูกต้องในการออกเสียงและการใช้ไวยากรณ์ถือเป็นสิ่ง สำคัญที่สุด หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด การควบคุมการใช้โครงสร้างพื้นฐานและรูปแบบประโยคเป็น พื้นฐานในทักษะการอ่านและเขียน และสิ้นสุดที่การปฏิบัติงานโดยการพูด การสอน รูปแบบนี้มี แนวคิดที่ว่าการพูดเป็นปัจจัยพื้นฐานของภาษา และโครงสร้างทางภาษาถือเป็นหัวใจหลักของ ความสามารถในการพูด ซึ่งมีขั้นตอนการสอนดังนี้ 2.1 ให้นักเรียนฝึกฟัง และพูดตามตามตัวอย่างรูปแบบประโยคหรือคำให้ชัดเจน และ พูดตามหลายๆครั้ง ครูอาจพาพูดช้าๆเป็นคำๆ เช่น Where…is…the…pencil? 2.2 พูดเลียนเสียงพร้อมกัน (Choral Imitation) นักเรียนทุกคน หรือแบ่งนักเรียน ออกเป็นกลุ่มใหญ่แล้วให้พูดตามครู และครูอาจชี้แจงคำสั่งให้ชัดเจน เช่น “Repeat” และให้สัญญาณ มือเพื่อบอกเวลาหรือหากต้องการเน้นเสียง 2.3 พูดเลียนเสียงทีละคน (Individual Imitation) ครูให้นักเรียนออกเสียงประโยค หรือคำตามที่ได้ยินทีละคนเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง 2.4 ครูแยกเสียง คำ หรือกลุ่มคำที่นักเรียนออกเสียงไม่ถูกต้อง จากนั้นครูพานักเรียน ออกเสียงอีกครั้ง และสุ่มถาม และนำคำเหล่านี้ไปใส่ไว้ในบริบทใหม่ 2.5 สร้างต่อเติมประโยค (Building Up) ครูให้นักเรียนถามและตอบโดยสร้างประโยค ต่อเติมจากประโยคที่กำหนดให้เป็นการให้นักเรียนนำข้อมูลที่จำเป็นออกมาใช้ เพื่อต่อยอดในการ สร้างสิ่งใหม่
20 2.6 ดึงความรู้ของนักเรียนออกมา (Elicitation) ครูใช้ท่าทางใบ้ บอกคำศัพท์โดยทันที หรือลักษณะท่าทางเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนถามคำถาม สร้างคำปราศรัย หรือสร้างตัวอย่างขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยรูปแบบประโยคเดิม 2.7 ฝึกซ้ำประโยค (Substitution Drill) ครูจัดลำดับนักเรียนโดยใช้คำต่างๆ เช่น คำศัพท์ รูปภาพ ตัวเลข และชื่อ เป็นต้น เพื่อให้นักเรียนแต่ละคนได้นำตัวอย่างประโยคที่สร้างต่อเติม มารวมกันเพื่อสร้างเป็นประโยคใหม่ 2.8 พูดถามตอบตามรูปแบบของประโยคที่กำหนดให้ (Question-Answer Drill) ครู ให้นักเรียนคนหนึ่งเป็นคนถาม ส่วนนักเรียนอีกคนหนึ่งเป็นคนตอบ ทำแบบนี้ไปจนกระทั่งนักเรียนทุก คนได้ฝึกถามและตอบเกี่ยวกับประโยคที่สร้างขึ้นมาใหม่ 2.9 การแก้ไข (Correction) หากนักเรียนพูดผิด ครูอาจให้สัญญาณโดยการส่ายหัว หรือพูดซ้ำคำผิด หรืออาจให้นักเรียนคนอื่นแก้ไขให้ เพราะเป็นวิธีที่ครูสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดของ นักเรียนได้ง่าย และยังเป็นการทำให้นักเรียนคนอื่นๆตั้งใจฟังเพื่อนร่วมชั้นอย่างตั้งใจ 3.7 เทคนิคการสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ การสอนภาษาทุกภาษา มีธรรมชาติของการเรียนรู้เช่นเดียวกัน คือ เริ่มจากการฟัง และการ พูด แล้วจึงไปสู่การอ่านและการเขียน ตามลำดับ การสอนทักษะการพูดภาษาอังกฤษในเบื้องต้น มุ่งเน้นความถูกต้องของการใช้ภาษา ( Accuracy) ในเรื่องของเสียง คำศัพท์ ( Vocabulary) ไวยากรณ์ (Grammar) กระสวนประโยค (Patterns) ดัง นั้น กิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนระดับต้นได้ฝึก ทักษะการพูด จึงเน้นกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องฝึกปฏิบัติตามแบบ หรือ ตามโครงสร้างประโยคที่ กำหนดให้พูดเป็นส่วนใหญ่ สำหรับผู้เรียนระดับสูง กิจกรรมฝึกทักษะการพูด จึงจะเน้นที่ความ คล่องแคล่วของการใช้ภาษา (Fluency) และ จะเป็นการพูดแบบอิสระมากขึ้น เพราะจุดมุ่งหมายที่ แท้จริงของการพูด คือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการพูดอย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว ครูผู้สอนจึง ควรมีความรู้และความสามารถอย่างไร จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการพูดให้แก่ผู้เรียน ได้อย่างสอด คล้องกับระดับและศักยภาพของผู้เรียน 1. เทคนิควิธีปฎิบัติ กิจกรรมการฝึกทักษะการพูด มี 3 รูปแบบ คือ 1.1 การฝึกพูดระดับกลไก (Mechanical Drills) เป็นการฝึกตามตัวแบบที่กำหนดให้ใน หลายลักษณะ เช่น พูดเปลี่ยนคำศัพท์ในประโยค (Multiple Substitution Drill) พูดตั้งคำถามจากสถานการณ์ในประโยคบอกเล่า (Transformation Drill) พูดถามตอบตามรูปแบบของประโยคที่กำหนดให้ (Yes/No Question-Answer Drill) พูดสร้างประโยคต่อเติมจากประโยคที่กำหนดให้ (Sentence Building) พูดคำศัพท์ สำนวนในประโยคที่ถูกลบไปทีละส่วน (Rub out and Remember)
21 พูดเรียงประโยคจากบทสนทนา (Ordering dialogues) พูดทายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในบทสนทนา (Predicting dialogue) พูดต่อเติมส่วนที่หายไปจากประโยค ( Completing Sentences ) พูดให้เพื่อนเขียนตามคำบอก (Split Dictation) เป็นต้น 1.2 การฝึกพูดอย่างมีความหมาย ( Meaningful Drills) เป็นการฝึกตามตัวแบบที่เน้น ความหมายมากขึ้น มีหลายลักษณะ เช่น พูดสร้างประโยคเปรียบเทียบโดยใช้รูปภาพ พูดสร้างประโยคจากภาพที่กำหนดให้ พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ ในห้องเรียน ฯลฯ 1.3 การฝึกพูดเพื่อการสื่อสาร (Communicative Drills) เป็นการฝึกเพื่อมุ่งเน้นการ สื่อสาร เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างคำตอบตามจินตนาการ เช่น พูดประโยคตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ( Situation) พูดตามสถานการณ์ที่กำหนดให้ ( Imaginary Situation) พูดบรรยายภาพหรือสถานการณ์แล้วให้เพื่อนวาดภาพตามที่พูด ( Describe and Draw) เป็นต้น 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (ศันสนะ มูลทาดี, ทวีศักดิ์ ขันยศ และ ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์, 2557) การพัฒนาทักษะการพูด ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยวิธีแสดงบทบาทสมมุติ การวิจัยพบว่าทักษะในการพูด ภาษาอังกฤษด้วยวิธีแสดงบทบาทสมมุติของผู้เรียน หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 (ณัฐชญา บุปผาชาต, 2561) การใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อ การสื่อสารสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์อาเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารหลังเรียนโดยใช้ กิจกรรมบทบาทสมมติ สูงขึ้นกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนมี ความพึงพอใจต่อบทบาทสมมติ เพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารอยู่ในระดับพึง พอใจมากที่สุด (Mean = 4.75, S.D. = 0.42) (อิงอร แสนทวีสุข, 2560) การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับชั้น ประกาศสนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงปีที่ 2/1 สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยวโดยการใช้บทบาทสมมติผลการวิจัย พบว่า นักเรียนในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 2 สาขาการ โรงแรมและการท่องเที่ยว วิทยาลัย อาชีวศึกษาสันติราษฎร์ ในพระอุปถัมภ์ 1. มีคะแนนอยู่ในเกณฑ์ เฉลี่ยร้อยละ82.50-85.00 มีจํานวน 3 คน
22 แสดงว่าอยู่ในระดับ การพัฒนาที่ดี 2. คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 50.00-75.00 มีจํานวน 10 คน อยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ 3 คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 37.50-45.00 มีจํานวน 9 คน อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องปรับปรุงพัฒนา (ปาริษา คำบุรี และ นภธีรา จวอรรถ, 2561) การจัดการเรียนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติเพื่อ พัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดช่องลม) จังหวัด ราชบุรีผลของการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถและทักษะการพูดภาษาอังกฤษก่อนและหลังการ เรียนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมุติ สูงแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ p <0.01 โดยพบว่า ความสามารถและทักษะการพูดภาษาอังกฤษ หลังจัด กิจกรรมสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม 2) ความสามารถและ ทักษะการพูดของนักเรียนพัฒนาสูงขึ้นมาทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการออกเสียง ด้านคําศัพท์ ด้าน ไวยากรณ์ ด้านความคล่องแคล่ว และ ด้านการสื่อสาร โดยส่วนใหญ่พบว่าการแสดงบทบาทสมมุติ สามารถ ช่วยนักเรียนให้ฝึกพูดด้วยสถานการณ์จําลองที่เสมือนจริง ได้มีโอกาสพูดคุยกันเป็นกลุ่ม ทําให้การสื่อสารมี ความหมายมากขึ้น (อรรณพ บุญจันทร์, 2559) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติผ่านวีดีโอบล็อกเพื่อ พัฒนา ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาสาขาวิชาการท่องเที่ยว ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการพูดภาษาอังกฤษด้วยปากเปล่าของนักศึกษาหลังการเรียน โดยใช้ บทเรียนบทบาทสมมติผ่านวีดีโอ บล็อก สูงกว่าผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนมีการใช้บทเรียน ดังกล่าวอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงให้เห็นว่า บทเรียนบทบาทสมมติผ่านวีดีโอ บล็อกที่พัฒนาขึ้นช่วยพัฒนาทักษะการพูดสื่อสาร ภาษาอังกฤษด้วยปากเปล่าของนักศึกษา (พิชญาภา กล้าวิจารณ์, 2560) การพัฒนาการทักษะพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ (Role play) ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ด้านการพูดภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการใช้ กิจกรรมบทบาทสมมติ สูงกว่าก่อนการใช้กิจกรรม อย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 (ปวริศา เกษมสุข, 2559) การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของบุคลากรสาย สนับสนุน มหาวิทยาลัยราชภัฏ พิบูลสงคราม โดยใช้ชุดฝึกอบรมด้วยกิจกรรมบทบาทสมมติผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกอบรม ด้วยกิจกรรมบทบาทสมมติประกอบด้วย 5 หน่วยคือ Greetings, Introducing Oneself and Others, Asking for and Giving Directions, Invitation, Telephone Communication บุคลากร ที่เข้ารับ การฝึกอบรมโดยใช้ชุดฝึกอบรมด้วยกิจกรรมบทบาทสมมติ มีการพัฒนาทักษะการพูด ภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น อย่างมีนัยสําคัญ จากคะแนนก่อนฝึกร้อยละ 57.61 เป็นคะแนนหลังฝึก ร้อยละ 74.46 และยังมีความพึงพอใจ ต่อการฝึกอบรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการ สอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) ในรายวิชาภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยได้นำเสนอวิธีดำเนินการศึกษาตาม หัวข้อต่อไปนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 ห้องเรียน จำนวน 474 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งการจัดนักเรียนในห้องเรียนเป็นแบบคละความสามารถ (เก่ง ปานกลาง อ่อน) 2. กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ห้อง จำนวน 33 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) แบบแผนการทดลอง การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการ ทดลอง One Group Pretest - Posttest (รองศาตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล,2555:128) กลุ่ม ก่อนทดสอบ ทดสอบ หลังทดสอบ E T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนกราฟทดลอง E แทน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน กิจกรรมการสอนแบบบทบาทสมมติ T1 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ (Role play) จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 2. แบบประเมินการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ
24 ผู้ศึกษากำหนดรายละเอียดของการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือฯ ดังนี้ 1.แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการสร้างดังนี้ 1.1 ศึกษาและวิเคราะห์ ทฤษฎี และการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดง บทบาทสมมติ 1.2 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ คู่มือครู หนังสือเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่จัดทำโดย สามารถ สัมพันธารักษ์, อาจิณ มารีประสิทธิ์ 1.3 เลือกเนื้อหาที่จะนํามาสอน ได้แก่ เนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง Asking permission 1.4 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหา หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง Asking permission 1.5 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ จำนวน 4 แผน รวม 8 ชั่วโมง ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ขั้นนำ (Introduction) คือ ขั้นที่ผู้สอนสอนเนื้อหาโดยทำกิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียน 2. ขั้นสอน (Presentation) คือ ขั้นสอนคำศัพท์และประโยค และจัดกิจกรรมแบบแสดง บทบาทสมมติตามเนื้อหาในสถานการณ์นั้นๆ 3. ขั้นสรุป (Conclusion) คือ ขั้นทบทวนคำศัพท์และประโยคที่ได้เรียนและได้ทดลองใช้ไป 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการ สอน วิชาภาษาอังกฤษ ด้านหลักสูตรและการสอน การวิจัย และการวัดผลประเมินผลตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผล ประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ตรวจสอบ ให้คะแนนดังนี้ - ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อ แน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นเหมาะสมและสอดคล้อง - ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบเหมาะสม และสอดคล้อง - ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นไม่เหมาะสมและสอดคล้อง แล้วนำคะแนนที่ ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence : IOC) ระหว่าง องค์ประกอบ ของแผนการจัดการเรียนรู้ จะต้องได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของทุกองค์ประกอบตั้งแต่ 0.67 ขึ้นไป 1.7 ปรับปรุงและแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีปีการศึกษา 2564 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย และได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 4 คน (ทดลองเดี่ยว) ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนที่มีความสามารถอยู่ใน ระดับ สูง 1 คน ปานกลาง 2 คน และต่ำ 1 คน เพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องและปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับการออก เสียงคำศัพท์ในประโยคผิดหรือไม่ชัด 1.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีปีการศึกษา 2564 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย
25 และได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 12 คน (ทดลองกลุ่มเล็ก) ประกอบด้วยนักเรียนที่มีความสามารถอยู่ใน ระดับสูง 3 คน ปานกลาง 6 คน และ ต่ำ 3 คน เพื่อหาข้อบกพร่องเกี่ยวกับเวลา สื่อการสอน ปริมาณเนื้อหา และกิจกรรมในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ 1.10 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบและ ปรับปรุงแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์ที่ใช้ในการทดลองภาคสนาม 2. แบบประเมินการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยกิจกรรมการ สอนแบบแสดงบทบาทสมมติ(Role play) จิตติรัตน์ แสงเลิศอุทัย (2558: 15) แบบสังเกต (observation form) คือ เครื่องมือที่ใช้ประกอบการ สังเกตเป็นชุดของพฤติกรรมที่ผู้วิจัยต้องการ ศึกษา แบบสังเกตมีหลายชนิด เช่น ระเบียนพฤติกรรม แบบ ตรวจสอบรายการ (checklist) และแบบจัดอันดับคุณภาพ (rating scale) การสังเกตเป็นวิธีการซึ่งใช้ประสาท สัมผัสของผู้สังเกต โดยเฉพาะตา และหู เพื่อติดตามศึกษาพฤติกรรมที่บุคคลที่ แสดงออกได้ทุกด้าน แบบ สังเกตเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยที่ผู้วิจัยสามารถใช้ได้ตลอดเวลา หลักในการสร้างแบบสังเกต 2.1 ศึกษาพฤติกรรมที่จะสังเกต โดยการศึกษาพฤติกรรมย่อยที่ต้องการสังเกตให้ชัดเจนว่ามีกี่ พฤติกรรม อะไรบ้าง โดยการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่จะสังเกต วัด แล้วสรุปเป็น นิยามตัวแปรในเชิงปฏิบัติการ 2.2 นิยามหรือให้ความหมายพฤติกรรมย่อยเหล่านั้น ซึ่งเป็นการนิยามแบบวัดได้เป็นพฤติกรรมที่ สังเกตเห็น ได้อย่างชัดเจน เช่น การเข้าห้องเรียนตรงเวลา 2.3 เขียนโครงร่างพฤติกรรมย่อยและส่วนประกอบของแบบสังเกตและกำหนดว่าจะเก็บข้อมูลเชิง คุณภาพ หรือเชิงปริมาณ 2.4 ตรวจสอบแบบสังเกตด้านความเที่ยงตรง โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ซึ่งให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณา ตรวจสอบ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้สอดคล้องกับ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้ คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดไม่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ด้วยตนเองและผู้เชี่ยวชาญ และ นำผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไข 2.5 ทดลองใช้เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น โดยการนำแบบสังเกตไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีปีการศึกษา 2564 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มที่จะ นำแบบสังเกตไปใช้จริงและนำผลที่ได้มาคำนวณหาค่าความเชื่อมั่นโดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (AlphaCoefficient) 2.6 ปรับปรุงแก้ไข พิมพ์แบบสังเกตฉบับจริง แล้วนำไปเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ วิจัย
26 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทาง สถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ตามขั้นตอนดังนี้ 1. ก่อนการทดลองผู้วิจัยสังเกตและบันทึกแบบประเมินการพัฒนาการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจำนวน 4 แผน โดยให้ นักเรียนเรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดง บทบาทสมมติ (Role play) 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลองผู้วิจัยสังเกตและบันทึกแบบประเมินการพัฒนาการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อีกครั้งเพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทาง สถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ตามขั้นตอนดังนี้ 1. การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีโดยการหา ค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทาง สถิติสำหรับ ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป Test Analysis Program (TAP) 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ 2.1.1 หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 2.2 แบบสังเกตการพัฒนาการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2.2.1 หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 2.2.2 หาค่าความเชื่อมั่นโดยหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟารอนบาช (Cronbach’s alpha)
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติ(Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 1.ผลการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติ (Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นรายบุคคลและภาพรวม ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียน คนที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ คะแนนที่เพิ่ม 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 8 7 9 10 5 6 7 9 4 5 3 7 8 9 6 8 6 5 8 14 40 35 45 50 25 30 35 45 20 25 15 35 40 45 30 40 30 25 40 70 12 12 11 15 9 9 11 13 9 10 8 12 11 14 10 12 14 9 12 20 60 60 55 75 45 45 55 65 45 50 40 60 55 70 50 60 70 45 60 100 4 5 2 5 4 3 4 4 5 5 5 5 3 5 4 4 8 4 4 6
28 ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนและหลังเรียน (ต่อ) คนที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ คะแนนที่เพิ่ม 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 7 5 7 8 9 10 5 8 7 5 6 8 9 35 25 35 40 45 50 25 40 35 25 30 40 45 11 9 10 13 13 19 11 12 10 9 10 11 14 55 45 50 65 65 95 55 60 50 45 50 55 70 4 4 3 5 4 9 6 4 3 4 4 3 5 คะแนนเฉลี่ย 7.21 36.06 11.67 58.33 4.46 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.13 10.66 2.68 13.39 1.37 จากตารางที่ 1 ผลคะแนนที่ได้จากแบบประเมินทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารก่อนและหลังการ ทดลอง พบว่าก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ย 7.21 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการทดลอง มีค่าเท่ากับ 2.13 หลังการทดลอง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.67 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.68 จากข้อมูลในตารางจะเห็นได้ ว่า มีนักเรียนที่ได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนสูงสุดที่ 9 คะแนน และต่ำสุดที่ 2 คะแนน โดยรวมแล้วนักเรียน มีผลคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนเฉลี่ย 4.46 คะแนน จึงสรุปได้ว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีทักษะ การพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารที่เพิ่มขึ้น
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยนำเสนอการสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีพัฒนาการด้านการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรม การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ(Role play) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สรุปผลการวิจัย ผลคะแนนที่ได้จากแบบประเมินพัฒนาการในการพูดภาษาอังกฤษก่อนและหลังการทดลอง พบว่า ก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ย 7.21และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนการทดลอง มีค่าเท่ากับ 2.13 หลังการทดลอง มี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.67 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.68 ค่าเฉลี่ยหลังการทดลองมีค่าที่เพิ่มขึ้น 4.46 ว่า มีนักเรียนที่ได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนสูงสุดที่ 9 คะแนน และต่ำสุดที่ 2 คะแนน โดยรวมแล้วนักเรียนมี ผลคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนเฉลี่ย 4.45 คะแนน จึงสรุปได้ว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีทักษะการ พูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารที่เพิ่มขึ้น อภิปรายผลการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีประเด็นที่จะอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ ผลการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาท สมมติ(Role play) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า คะแนนพัฒนาการการพูดภาษาอังกฤษเพื่อ การสื่อสารของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้เป็นเพราะการเรียนโดยใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดง บทบาทสมมติเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการออกเสียง และทำให้เด็กเห็นภาพของการใช้ภาษากับสถานการณ์ต่างๆ ที่มากขึ้น จึงทำให้เด็กกล้าที่จะพูด กล้าที่จะถามหรือตอบเป็นภาษาอังกฤษ โดยวิธีการนี้เหมาะกับกลุ่มทดลอง นี้ แต่ถ้าหากว่ากลุ่มทดลองที่นำมาทดลองอยู่ในระดับมัธยมศึกษาหรืออุดมศึกษาจะพัฒนาโดยใช้วิธีการนี้ได้ดี ยิ่งกว่า สรุปแล้ววิธีการนี้สามารถช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านทักษะการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการใช้ กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมตินี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ (ณัฐชญา บุปผาชาต, 2561)ได้ทำวิจัย เรื่องการใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์อาเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ทักษะ การพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารหลังเรียนโดยใช้ กิจกรรมบทบาทสมมติสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนมี ความพึงพอใจต่อบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูด ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารอยู่ในระดับพึง พอใจมากที่สุด (Mean = 4.75, S.D. = 0.42)
30 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนําผลการวิจัยไปใช้ ครูควรคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้ 1.1 ควรจัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทำให้นักเรียนรู้สึกผ่อนคลาย 1.2 ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียน ทำให้นักเรียนเชื่อใจและเคารพในตัวครู นักเรียนจึง จะยอมรับในสิ่งที่ครูสอน 1.3 ควรกำจัดความไม่กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนออกไปจากใจของพวกเขาให้ได้ 1.4 ควรเป็นแรงบันดาลใจและให้กำลังใจผู้เรียนที่ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ 1.5 ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างทั่วถึง โดยเน้นให้ นักเรียนเรียนรู้การเห็นคุณค่าของตนเอง 1.6 ควรให้ผู้เรียนได้ขจัดความกลัวในตัวนักเรียนที่จะพูดภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจ 2. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรศึกษาการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติที่จะทำให้การสอนภาษาอังกฤษน่าดึงดูด และเป็นที่สนใจของนักเรียนมากกว่านี้ 2.2 ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้านการฟังและการพูดควบคู่ไป ด้วยกัน ซึ่งทั้ง 2 ทักษะมีความสำคัญพอๆกัน 2.3 ควรศึกษาผลการวิจัยที่พบหลังการใช้กิจกรรมการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติในการ พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารมาทำการศึกษาต่อยอด
เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. 2551. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรง พิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. ศันสนะ มูลทาดี, ทวีศักดิ์ ขันยศ และ ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์. (2557). การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยวิธีแสดงบทบาทสมมุติ. วารสารมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม. ชลิดา ไชยเอีย. ม.ป.ป. การใช้การแสดงบทบาทสมมติ. http://chalida003.blogspot.com/p/blog-page_2164.html. ณัฐชญา บุปผาชาต. (2561). การใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสารสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์อาเภอสามพราน จังหวัด นครปฐม. สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ แผน ข ระดับปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาหลักสูตรและ วิธีสอนบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. พิชญาภา กล้าวิจารณ์. (2560). การพัฒนาการทักษะพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้กิจกรรมบทบาทสมมติ (Role play). วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในงานอาชีพ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. ทิศนา แขมมณี. (2553). วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ. https://sites.google.com/site/prapasara/f4-1. บุญชม ศรีสะอาด. (2555). ประสิทธิภาพของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ. https://www.gotoknow.org/posts/506108. ปวริศา เกษมสุข. (2559). การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของบุคลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยราชภัฏ พิบูลสงคราม โดยใช้ชุดฝึกอบรมด้วยกิจกรรมบทบาทสมมติ. ศิลปศาสตรม หาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาศาสตร์ประยุกต์การสอนภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม. ปาริษา คำบุรี และ นภธีรา จวอรรถ. (2561). การจัดการเรียนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติเพื่อพัฒนา ทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดช่องลม) จังหวัดราชบุรี. มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง. วราภรณ์ ศุนาลัย. (2555). การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ. https://www.gotoknow.org/posts/506108. วารี ถิรจิตร. (2555). บทบาทสมมติ. https://www.gotoknow.org/posts/506108. สมชาย วรกิจเกษมสกุล. 2555. ระเบียบวิธีวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3 อุดรธานี : โรงพิมพ์อักษรศิลป์. สิน นุ่มพรม. 2555. การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing). https://www.gotoknow.org/posts/506108.
32 สุพิน บุญชูวงศ์. (2553). ข้อดีของการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ. https://sites.google.com/site/prapasaramlm/f4-1. สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข. ม.ป.ป. วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ(Role Playing). https://n9.cl/1w6pz. อิงอร แสนทวีสุข. (2560). การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับชั้นประกาศสนียบัตร วิชาชีพชั้นสูงปีที่2/1 สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยวโดยการใช้บทบาทสมมติ. ปริญญาโท หลักสูตรการแปลเพื่อการสื่อสารและธุรกิจ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. อินทิรา บุณยาทร. (2553). วิธีการสอนด้วยบทบาทสมมติ. https://sites.google.com/site/prapasara/f4-1. อรรณพ บุญจันทร์. (2559). รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติผ่านวีดีโอบล็อกเพื่อ พัฒนา ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาสาขาวิชาการท่องเที่ยว. มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีสุรนารี. อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2561). วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing). http://fahgan555.blogspot.com/2018/01/role-playing.html. Bailey. K.M. (2005). Practical English Language Teaching:Speaking. New York: McGraw-Hill. Canale & Swain. (2560). การสอนภาษาแบบสื่อสาร. http://oknation.nationtv.tv/blog/jib/2017/05/04/entry-1. Littlewood William. (1995). Communicative Language Teaching. https://shorturl.asia/1vT4f.
33 ภาคผนวก
34 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ รายชื่อผู้ช่วยผู้วิจัย
35 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ 1. นางสาวนริศรา ทองสุขุม ตำแหน่ง ครู 2. นางวีรียา มาตะรักษ์ ตำแหน่ง ครู 3. นางสาวนาตยา บุญสิทธิ์ ตำแหน่ง ครู รายชื่อผู้ช่วยผู้วิจัย 1. อาจารย์นิชตา ธนชิตดิษยา ตำแหน่ง อาจารย์ 2. อาจารย์พลวัฒน์ ไหลมนู ตำแหน่ง อาจารย์
36 ภาคผนวก ข ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้
37 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรม Role play Lesson plan Foreign language department (English) Anubanudonthani School Subject: English for communication (อ13201) Class: Grade 3 Unit 6: Asking permission Time: 8 hours Topic: Asking permission Time: 2 hours Credit: 1 Teacher: Passakorn Tongboonchai Trainer Teacher: Narisara Thongsukhum 1. STANDARD AND GRADE LEVEL INDICATOR Standard F1.1: Understanding of and capacity to interpret what has been heard and read from various types of media, and ability to express opinions with proper reasoning Indicator 1.1 Grade 3/1: Act in compliance with orders and requests heard or read. Indicator 1.1 Grade 3/2: Pronounce and spell words; accurately read aloud groups of words, sentences and simple chants by observing the principles of reading. Indicator 1.1 Grade 3/3: Choose/ specify the images or symbols corresponding to the meanings of groups of words and sentences heard. Standard F1.2: Endowment with language communication skills for exchange of data and information; efficient expression of feelings and opinions Indicator 1.2 Grade 3/2: Use orders and simple requests by following the models heard. Indicator 1.2 Grade 3/3: Express their own simple needs by following the models heard. 2. LEARNING OUTCOME 1. Reading aloud word and simple sentence about things around us. 2. Telling a meaning of word and answering a question from listening and reading. 3. Using English for communicating, talking, greeting and introducing yourself and using body language.
38 4. Giving information about yourself and describing things around us by using English easily. 5. Using English with social manners and culture of native speakers. 3. CONCEPT This lesson is going to show about asking permission for using in various situations. 4. OBJECTIVE Terminal objective Students are able to use asking permission correctly. Behavioral objectives 1. Students are able to use asking permission in the right situation. (K) 2. Students are able to demonstrate about asking permission correctly. (P) 3. Students have participated actively. (A) 5. CONTENT 5.1 vocabulary Use Borrow Telephone Look for Help Toilet 5.3 Structure Ex. May I come in? Yes, you may No, you may not 5.2 Skill: speaking 6. Procedure Warm up 1. Teacher greets students in the class. 2. Teacher leads students in the lessons by telling them what we will learn today. 3. Teacher tells the objectives of this lesson to them.
39 Presentation 4. Teacher reads the sentences of question aloud, then students say after the teacher. 5. Teacher tells them how to answer the question. Practice 6. Students say the sentences by themselves. 7.Students practice in pairs about asking permission. Production 9. Students demonstrate (Role play) in front of the classroom in the right situation, it is set by the teacher. 10. Students do the speaking test in next week. (review) Wrap up 11. Teacher asks students what we have learnt today and how to ask permission and answer it. 7. Materials Pictures Student’s book Speaking test
40 8. Evaluation Objectives Measurements Tools Criteria 1. Students are able to use asking permission in the right situation. (K) Use asking permission in the right situation. Speaking test Use asking permission in the right situation correctly. 2. Students are able to demonstrate about asking permission correctly. (P) Demonstrate about asking permission correctly. Demonstration Demonstrate about asking permission correctly. 3. Students Have participated actively. (A) Have participated actively. Observation Have participated every activity.
41 9. INSTRUCTIONAL REPORT What happened during my lesson? ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... How will I improve my lesson next time? ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... (Passakorn Tongboonchai) Student Teacher .........../........../............ 10. TRAINER’S COMMENT AND SUGGESTION ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... Signature (Ms. Narisara Thongsukhum) Trainer Teacher .........../........../.................
42 12. THE ADMINISTRATOR’S COMMENT AND SUGGESTION ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………….…………………………………………………………………………………………………………………………………… Signature (Mr. Suchat Khemthong) Assistant Principal .........../........../.................
43 สาธิตแล้วมาทดสอบพูด Week1 1. ขออนุญาตเข้าห้อง 2. ขออนุญาตนั่ง 3. ขออนุญาตไปห้องน้ำ 4. ขออนุญาตออกไปข้างนอกตอนนี้ หลักการพิจารณาให้ผ่านคือ พูดได้ถูกต้องตามสถานการณ์ที่ครูกำหนดโดยต้องสาธิตการขออนุญาตให้ถูก 3 สถานการณ์ขึ้นไป