44 44 สรัญญา และ กัญญาวดี (2566) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการใช้เกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยนำกระบวนการดำเนินงานวิจัยเชิง ปฏิบัติการตามแนวคิดของKurt Lewin กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1.แผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5 ขั้นร่วมกับการใช้เกม 2. แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน และ 3. แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน โดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนความเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยเทียบร้อยละ กับเกณฑ์ นำข้อมูลที่ได้จากแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนวิเคราะห์ ประมวลผล เรียบ เรียงและนำเสนอในรูปแบบความเรียงผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีคะแนนประเมินทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป จำนวน 8 คน คิดเป็น ร้อยละ 100 จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สรุปได้ว่าการพัฒนา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถทำได้โดยการจัดการเรียนการสอนรูปแบบการทำนาย การสังเกต การอธิบาย (POE) ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง และจากการศึกษาพบว่าเมื่อ ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติต่อ การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นในการนี้ผู้วิจัยจึงเลือกที่จะศึกษาการพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้รูปแบบการทำนาย การสังเกต การอธิบาย (POE) ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ต่อไป
45 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE) ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังขั้นตอนต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จังหวัดอุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 179 คน จาก 4 ห้องเรียน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จังหวัดอุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 46 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling)
46 46 แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) กลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและ หลังทดลอง One Group Pretest – Posttest Design (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540: 60-61) แบบแผนที่ใช้ในการทดลอง สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง T1 X T2 T1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X หมายถึง การจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE) เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ T2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน (Posttest) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบ POE เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เวลาเรียน 12 ชั่วโมง จำนวน 5 แผน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 เป็นแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 40 ข้อ การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบ Predict-0bserveExplain(POE) 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อ วิเคราะห์ ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด คำอธิบายรายวิชา ขอบข่ายของ เนื้อหาและเวลา สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 5 (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้น พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 4-32)
47 47 1.2 วิเคราะห์ความสอดคล้องของมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด เนื้อหาสาระจุดประสงค์การ เรียนรู้ และเวลาที่ใช้ในการจัดกิจกรรม 1.3 ศึกษาทฤษฎี หลักการและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบ Predict-Observe Explain (POE) เพื่อนำไปจัดทำโครงสร้างของแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์การ เรียนรู้ สาระสำคัญ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวัดประเมินผล และแบบฝึกหัด 1.4 นำสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 4 แผน รวมเวลา 12 ชั่วโมง ในแต่ละแผนประกอบด้วย 1) ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 2) ขั้นสอน ในแต่ละ ขั้น สอน มีขั้นทำนายหรือตั้งสมมติฐาน (Predict or Hypothesis) ขั้นสังเกตหรือทดลอง (Observe or Experimentation) และขั้นอธิบายหรือสรุป (Explain or Summerize) และ 3) ขั้นสรุปบทเรียน o แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การเกิดเมฆและหมอก 3 ชั่วโมง o แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การเกิดน้ำค้างและน้ำแข็ง 3 ชั่วโมง o แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การเกิดหยาดน้ำฟ้า 3 ชั่วโมง o แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง วัฏจักรน้ำ 3 ชั่วโมง 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณาเพื่อแนะนำ ปรับปรุงแก้ไข 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ประเมินคุณภาพของเครื่องมือ ตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสม โดยใช้เกณฑ์การกำหนดคะแนนความคิดเห็นไว้ ดังนี้ 1.7 ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่า ดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item - Objective Congruence หรือ IOC) แล้วคัดเลือกแผนการ จัดการ เรียนรู้ที่ได้ค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป แผนการจัดการเรียนรู้มีค่า IOC เท่ากับ 0.67-1.0 1.8 จากนั้นนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วไปใช้ในการ ทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง
48 48 2. แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก 2.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวัดและประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธี สร้างแบบทดสอบ และการเขียนข้อสอบตามกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2.2 วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา และกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ปรากฏการณ์ลม ฟ้าอากาศ จากนั้นสร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นแบบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์8 ทักษะ 2.4 นำแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไข ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลและพิจารณาให้ ข้อเสนอแนะ 2.5 นำแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ปรับปรุงแก้ไขตาม ข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการ สอนวิทยาศาสตร์ และการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความ สอดคล้อง (Index of item objective congruence : IOC) ระหว่างข้อคำถามและจุดประสงค์การ เรียนรู้โดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาตรวจสอบให้คะแนนดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสมและสอดคล้อง กัน ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสมและ สอดคล้องกัน
49 49 ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกัน แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบ โดยพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง ขององค์ประกอบตั้งแต่ 0.67 ขึ้นไป 2.6 ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำเสนออาจารย์ที่ปรึกษา แล้วนำไปทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ที่เคยเรียน เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ มาแล้ว จำนวน 46 คน แล้วนำคะแนนการทดสอบมาวิเคราะห์หาความยากง่าย (p) และอำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อ คัดเลือกข้อสอบโดยพิจารณาความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 และ อำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป 2.7 นำแบบทดสอบที่คัดเลือกไว้ มาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นทั้งฉบับ โดยคำนวณจากสูตร K-R20 โดย พิจารณาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตั้งแต่ 0.80 ขึ้นไป 2.8 นำแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่หาคุณภาพเรียบร้อยแล้ว ไปทดลองใช้กับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ก่อนการทดลอง ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำ คะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนนก่อนเรียน 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แผนการสอนเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE) จำนวน 5 แผน รวมเวลา 12 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 4 สัปดาห์ 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ทำการทดลองหลังเรียน โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ชุดเดิมกับทดสอบก่อนเรียน เพื่อนำคะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนนหลังเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล นำคะแนนแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน มาคิดคะแนนเป็นร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) แล้วนำคะแนนทั้งสองมาเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ t-test Dependent
50 50 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ 1.1 วิเคราะห์หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ของแผนการสอนเรียนรู้แบบ Predict Observe Explain (POE) และแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยการคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 1.2 หาความยากง่าย (p) และอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.3 หาความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยคำนวณจาก สูตร K-R20 2. สถิติพื้นฐาน 2.1 ค่าร้อยละ 2.2 ค่าเฉลี่ย 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบคะแนนแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ ttest Dependent
51 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ และศึกษาทักษะ กระบวนการวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบPREDICTOBSERVE-EXPLAIN (POE) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามความมุ่งหมายการวิจัย ดังนี้ ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ การสอนแบบ Predict-Observe-Explain (POE) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVEEXPLAIN (POE) เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 รายละเอียดปรากฏดังตาราง 4.2 ดังนี้ ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเป็น แบบปรนัย 4 ตัวเลือก มีจำนวนทั้งหมด 20 ข้อ ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) ผู้วิจัยได้นำคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน จากการ ทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คะแนนเต็ม 20 คะแนน มาวิเคราะห์เปรียบเทียบโดย การทดสอบ t-test for Dependent Sample ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแสดงผลดังตารางที่ 4.1 ตาราง 4.1 ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) ก่อนเรียนและหลังเรียน เลขที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 1 9 45 14 65 2 12 60 15 85 3 8 40 14 60 4 11 55 14 75 5 12 60 16 85 6 9 45 14 65
52 52 ตาราง 4.1 ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) ก่อนเรียนและหลังเรียน เลขที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 7 12 60 14 85 8 8 40 16 60 9 11 55 14 75 10 12 60 14 85 11 9 45 16 65 12 12 60 16 85 13 8 40 14 60 14 11 55 14 75 15 12 60 14 85 16 9 45 15 65 17 12 60 20 85 18 8 40 14 60 19 11 55 14 75 20 12 60 17 85 21 9 45 14 65 22 12 60 15 85 23 8 40 15 60 24 11 55 19 75 25 12 60 15 85 26 9 45 16 65 27 12 60 19 85 28 8 40 15 60 29 11 55 16 75 30 12 60 15 85
53 53 ตาราง 4.1 ผลการศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) ก่อนเรียนและหลังเรียน เลขที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 31 9 45 14 65 32 12 60 15 85 33 8 40 14 60 34 11 55 14 75 35 12 60 15 85 36 9 45 14 65 37 12 60 19 85 38 8 40 15 60 39 11 55 14 75 40 12 60 19 85 41 9 45 15 65 42 12 60 20 85 43 8 40 19 60 44 11 55 15 75 45 12 60 16 85 46 9 45 15 65 คะแนนเฉลี่ย 10.37 51.84 15.46 73.80 S.D. 1.64 - 1.82 -
54 54 จากตารางที่ 4.1 พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ Predict-Observe-Explain(POE) ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 10.37 คิดเป็นร้อยละ 51.84 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 15.46 คิดเป็นร้อยละ 73.80 ซึ่งมีทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัย ตารางที่4.2 ผลการเปรียบเทียบกระบวนทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้Predict-Observe-Explain(POE) ก่อนเรียนและหลังเรียน การทดสอบ คะแนนเฉลี่ย S.D. ร้อยละ t-test sig ก่อนเรียน 10.37 1.64 51.85 60.35* <.001 หลังเรียน 14.76 2.06 73.80 ***มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากตารางที่ 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเปรียบเทียบผลทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 10.37 คิดเป็นร้อยละ 51.85 และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 14.76 คิดเป็นร้อยละ 73.80 ซึ่งคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้Predict-Observe-Explain(POE) มีผล ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
55 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัย เรื่องการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) เรื่อง ปรากฏการณ์ ลมฟ้าอากาศ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ จากการ เก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลสามารถสรุปผล อภิปรายผลและให้ข้อเสนอแนะ ดัง รายละเอียดต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพ (E1/E2) กำหนดเกณฑ์ 70/70 2.เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สมมติฐานของการวิจัย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVEEXPLAIN (POE) มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากร 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลศรีสุทโธ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 179 คน จาก 4 ห้องเรียน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาล ศรีสุทโธ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน นักเรียน 46 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling
56 56 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.2 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้เนื้อหาจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560 ) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์ ชั้ประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ ประกอบด้วย เนื้อหาย่อยดังนี้ 3.1 การเกิดเมฆและหมอก จำนวน 3 ชั่วโมง 3.2 การเกิดน้ำค้างและน้ำแข็ง จำนวน 3 ชั่วโมง 1.4 การเกิดหยาดน้ำ จำนวน 3 ชั่วโมง 3.4 วัฏจักรน้ำ จำนวน 3 ชั่วโมง 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลา ในการทดลอง 12 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 4 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 4 แผนๆ ละ 3 ชั่วโมง รวมจำนวนทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผน เท่ากับ 1 2. แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ เป็น แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1 และเมื่อนำ แบบทดสอบไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง มีค่าความยากง่าย เท่ากับ 0.31-0.75 ค่า อำนาจจำแนก เท่ากับ 0.21-0.05 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ0.83
57 57 สรุปผลการวิจัย ผลการศึกษาและเปรียบเทียบผลทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 10.37 คิดเป็นร้อยละ 51.85 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 14.76 คิดเป็นร้อยละ 73.80 ซึ่งไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 เป็นไปตามสมมติฐานที่กำหนด ไว้ และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน อภิปรายผล จากการวิจัยเรื่อง การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Predict-ObserveExplain(POE) เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประเด็นที่น่าสนใจ ควรนำมาอภิปรายผล ดังนี้ ผลการเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Predict-0bserveExplain(POE) พบว่า ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียน ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Predict-0bserveExplain(POE) มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.76 คิดเป็นร้อยละ 73.80 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง เกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียน ของนักเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปรากฏการณ์ลม ฟ้าอากาศ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 หลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ PredictObserve-Explain(POE) สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เนื่องมาจาก การสอนแบบทำนาย สังเกต อธิบาย (Predict Observe Explain) เป็น รูปแบบการเรียนการสอนที่ พัฒนาขึ้นโดย ไวท์และกันสโตน (White and Gunstone, 1992) โดยพี โออี เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพช่วยส่งเสริมนักเรียนให้แสดงความคิดเห็น และอภิปรายเกี่ยวกับ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์เป็นการนำเสนอสถานการณ์และให้นักเรียนทำนายว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามี การเปลี่ยนแปลงหลังจาก นักเรียนทำนายแล้วก็ให้นักเรียนสังเกตสถานการณ์ดังกล่าว จากนั้นก็ให้ นักเรียนบอกสิ่งที่สังเกตได้และอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ได้ทำนายไว้กับผลจากการสังเกต
58 58 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ 1.1 ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ การสอนแบบ Predict-Observe-Explain(POE) เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 เทียบกับเกณฑ์การผ่าน ร้อยละ 70 ขึ้นไป พบว่า ถ้าครูจัดกิจกรรมการทดลองโดย เน้นให้นักเรียนใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นักเรียนจะสามารถออกแบบกิจกรรมการ ทดลองเองได้ ดังนั้นควรพัฒนาแบบฝึกทักษะกระบวนทางวิทยาศาสตร์ โดยเพิ่มทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ที่ 14 คือทักษะการออกแบบ ให้นักเรียนได้ฝึกด้วย 2. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 2.1 สามารถเพิ่มทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่ 14 คือทักษะการออกแบบ โดยมีการ วิจัยระดับชั้นอื่น ๆ ด้วย 2.2 ในการส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สามารถใช้เทคนิคอื่น ๆ ร่วมกับการ สอน และสร้างแบบวัดพฤติกรรมของผู้เรียนเชิงคุณภาพจากการปฏิบัติเพิ่มหลาย ๆ ด้าน
59 59 บรรณานุกรม กนิษฐา ภูดวงจิตร. (2561). แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ 5 ภาคเรียนที่ 1. ชัยภูมิ : โรงเรียนเพชรวิทยาคาร. กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). การจัดการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. จิรภา กองมา. (2559). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ POE ร่วมกับสื่อประสม เรื่อง ลม ฟ้า อากาศ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญา ชวลิต ชูก าแพง. (2551). การประเมินการเรียนรู้. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. นิภา เมธธาวิชัย. (2536). การประเมินผลการเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : พิศิษฐ์การพิมพ์. ประภาพร เทพไพทูรย์. (2549). การพัฒนาแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับปฐมวัย. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา การวัดผลการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณ. ปราณี โตยะบุตร. (2557). การพัฒนาแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุพรรณบุรี เขต 1. วิทยานิพนธ์ปริญญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี.
60 60 พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2530). การสร้างและพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์. กรุงเทพฯ : สำนักทดสอบ ทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. พัชรวรินทร์ เกลี้ยงนวล. (2556). ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบ Predict-Observe-Explain (POE) ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิกที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณ. วิชัย พะวงษ์. (2549). การพัฒนาแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 2. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สมโภชน์ นันบุญ. (2555). ผลของกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการท านาย-การสังเกต-การ อธิบาย เรื่อง การเคลื่อนที่แบบวงกลม ต่อการคิดวิเคราะห์และมโนมติของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น. อัครวิชช์ เชิญทอง. (2555). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องสารใน ชีวิตประจำวัน ด้วยกลวิธีทานาย : สังเกต : อธิบาย ร่วมกับกลวิธีเดินชมแลกเปลี่ยน เรียนรู้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตรศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร. อามีเนาะ ตารีตา. (2560). ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานร่วมกับกลวิธี POE ที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความพึง พอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ปริญญา ศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
61 61 ภาคผนวก
62 62 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญในการตรวจประเมินเครื่องมือวิจัย
63 63 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย8 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ที่ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้และ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์มีรายนามดังต่อไปนี้ 1. นางสาวจิญจุฑา ดุงศรีแก้ว ตำแหน่งครูวิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนอนุบาลศรีสุทโธ 2. นางสาวน้ำทิพย์ ชัยสุนทร ตำแหน่งครูวิทยฐานะ ครูชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนอนุบาลศรีสุทโธ 3. นางสาวประภาวรินทร์ ศรีแสง ตำแหน่งครูวิทยฐานะ ครูชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนอนุบาลศรีสุทโธ
64 64 ภาคผนวก ข ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้และ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์
6 65 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แผนการจัดการการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้า อากาศ รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้เชี่ยวชาญ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง การเกิดเมฆและหมอก จำนวน 3 ชั่วโมง ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 สาระสำคัญ 1.1 เขียนได้ใจความสำคัญของเรื่อง +1 +1 +1 3 1 1.2 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ถูกต้องครอบคลุมเนื้อหา +1 +1 +1 3 1 2.2 สามารถวัดและประเมินได้ +1 +1 +1 3 1 3 สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับตัวชี้วัด/ จุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4 กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตาม การจัดการเรียนรู้แบบ POE +1 +1 +1 3 1 4.2 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้และ เนื้อหา/สาระ การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4.3 กิจกรรมเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.4 กิจกรรมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง +1 +1 +1 3 1 4.5 กิจกรรมส่งเสริมผลการเรียนรู้ด้าน ความรู้ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.6 กิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1
66 66 ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 4.7 กิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดง ความคิด และนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1 4.8 เวลาที่ใช้เพียงพอต่อกิจกรรมการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 5 สื่อการเรียนรู้เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 6 การวัดและประเมินผล 6.1 การวัดและประเมินผลมีความ หลากหลาย +1 +1 +1 3 1 6.2 วิธีวัดและเครื่องมือวัด สามารถวัดได้ +1 +1 +1 3 1 6.3 ตรงและครบถ้วนตามจุดประสงค์การ เรียนรู้ +1 +1 +1 3 1
67 67 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แผนการจัดการการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้า อากาศ รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้เชี่ยวชาญ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การเกิดน้ำค้างและน้ำค้างแข็ง จำนวน 3 ชั่วโมง ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 สาระสำคัญ 1.1 เขียนได้ใจความสำคัญของเรื่อง +1 +1 +1 3 1 1.2 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ถูกต้องครอบคลุมเนื้อหา +1 +1 +1 3 1 2.2 สามารถวัดและประเมินได้ +1 +1 +1 3 1 3 สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับตัวชี้วัด/ จุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4 กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตาม การจัดการเรียนรู้แบบ POE +1 +1 +1 3 1 4.2 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้และ เนื้อหา/สาระ การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4.3 กิจกรรมเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.4 กิจกรรมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง +1 +1 +1 3 1 4.5 กิจกรรมส่งเสริมผลการเรียนรู้ด้าน ความรู้ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.6 กิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1
68 68 ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 4.7 กิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดง ความคิด และนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1 4.8 เวลาที่ใช้เพียงพอต่อกิจกรรมการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 5 สื่อการเรียนรู้เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 6 การวัดและประเมินผล 6.1 การวัดและประเมินผลมีความ หลากหลาย +1 +1 +1 3 1 6.2 วิธีวัดและเครื่องมือวัด สามารถวัดได้ +1 +1 +1 3 1 6.3 ตรงและครบถ้วนตามจุดประสงค์การ เรียนรู้ +1 +1 +1 3 1
69 69 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แผนการจัดการการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้า อากาศ รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้เชี่ยวชาญ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10 เรื่อง การเกิดหยาดน้ำฟ้า จำนวน 3 ชั่วโมง ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 สาระสำคัญ 1.1 เขียนได้ใจความสำคัญของเรื่อง +1 +1 +1 3 1 1.2 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ถูกต้องครอบคลุมเนื้อหา +1 +1 +1 3 1 2.2 สามารถวัดและประเมินได้ +1 +1 +1 3 1 3 สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับตัวชี้วัด/ จุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4 กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตาม การจัดการเรียนรู้แบบ POE +1 +1 +1 3 1 4.2 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้และ เนื้อหา/สาระ การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4.3 กิจกรรมเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.4 กิจกรรมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง +1 +1 +1 3 1 4.5 กิจกรรมส่งเสริมผลการเรียนรู้ด้าน ความรู้ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.6 กิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1
70 70 ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 4.7 กิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดง ความคิด และนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1 4.8 เวลาที่ใช้เพียงพอต่อกิจกรรมการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 5 สื่อการเรียนรู้เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 6 การวัดและประเมินผล 6.1 การวัดและประเมินผลมีความ หลากหลาย +1 +1 +1 3 1 6.2 วิธีวัดและเครื่องมือวัด สามารถวัดได้ +1 +1 +1 3 1 6.3 ตรงและครบถ้วนตามจุดประสงค์การ เรียนรู้ +1 +1 +1 3 1
71 71 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แผนการจัดการการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE) เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้า อากาศ รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้เชี่ยวชาญ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 เรื่อง วัฏจักรน้ำ จำนวน 3 ชั่วโมง ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 สาระสำคัญ 1.1 เขียนได้ใจความสำคัญของเรื่อง +1 +1 +1 3 1 1.2 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ถูกต้องครอบคลุมเนื้อหา +1 +1 +1 3 1 2.2 สามารถวัดและประเมินได้ +1 +1 +1 3 1 3 สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับตัวชี้วัด/ จุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4 กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตาม การจัดการเรียนรู้แบบ POE +1 +1 +1 3 1 4.2 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้และ เนื้อหา/สาระ การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4.3 กิจกรรมเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.4 กิจกรรมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง +1 +1 +1 3 1 4.5 กิจกรรมส่งเสริมผลการเรียนรู้ด้าน ความรู้ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.6 กิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1
72 72 ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 4.7 กิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดง ความคิด และนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1 4.8 เวลาที่ใช้เพียงพอต่อกิจกรรมการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 5 สื่อการเรียนรู้เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 6 การวัดและประเมินผล 6.1 การวัดและประเมินผลมีความ หลากหลาย +1 +1 +1 3 1 6.2 วิธีวัดและเครื่องมือวัด สามารถวัดได้ +1 +1 +1 3 1 6.3 ตรงและครบถ้วนตามจุดประสงค์การ เรียนรู้ +1 +1 +1 3 1
73 73 ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) เรื่อง ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้เชี่ยวชาญ ข้อที่ คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ รวม ค่า IOC แปลผล หมาย คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 เหตุ 1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 3 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 4 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 6 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 8 +1 +1 0 3 1 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 10 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 11 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 12 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 13 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 14 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 15 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 16 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 17 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 18 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 19 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 20 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
74 74 ภาคผนวก ค ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
75 75 ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตารางค่าความยากง่าย (p) ค่าอ านาจจ า (r) ข้อสอบที่ ค่าความยากง่าย (p) ค่าอ านาจจ าแนก (r) 1 .44 .38 2 .56 .35 3 .44 .38 4 .50 .34 5 .75 .25 6 .75 .25 7 .31 .21 8 .38 .50 9 .69 .38 10 .56 .38 11 .63 .50 12 .75 .25 13 .63 .25 14 .56 .23 15 .75 .34 16 .56 .38 17 .31 .25 18 .63 .50 19 .69 .23 20 .75 .50 ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Reliability Cronbach’s Alpha Coefficient) = .83
76 76 ภาคผนวก ง แผนการจัดการเรียนรู้และแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ PREDICT-OBSERVE-EXPLAIN (POE)
77 77 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว15101 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำและลมฟ้าอากาศ เวลา 15 ชั่วโมง เรื่อง การเกิดเมฆและหมอก เวลา 3 ชั่วโมง ครูผู้สอน นางสาวกันตพร สุดาทิพย์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ว 3.2 ป.5/4 เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง และน้ำค้างแข็ง จากแบบจำลอง 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายการเกิดเมฆและหมอกได้ (K) 2. เปรียบเทียบการเกิดเมฆและหมอกได้ (K) 3. ปฏิบัติกิจกรรมการเกิดเมฆและหมอกได้อย่างถูกต้องและเป็นลำดับขั้นตอน (P) 4. ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมกลุ่มและมีความรับผิดชอบในการส่งงานตรงเวลา (A) 3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณู ของดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ำ จำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้ พื้นดิน เรียกว่า หมอก ส่วนไอน้ำที่ควบแน่นเป็น ละอองน้ำเกาะอยู่บนพื้นผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้ำค้าง ถ้าอุณหภูมิใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำค้างก็จะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง พิจารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษา
78 78 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด เมฆ เกิดจากไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณูของดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจาก พื้นดินมาก แต่ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า หมอก 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการวัด 2) ทักษะการสังเกต 3) ทักษะการทดลอง 4) ทักษะการตั้งสมมติฐาน 5) ทักษะการสร้างแบบจำลอง 6) ทักษะการทำงานร่วมกัน 7) ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร 8) ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 1. มีวินัย รับผิดชอบ 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. ซื่อสัตย์ สุจริต 4. มุ่งมั่นในการทำงาน
79 79 6. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แผนที่ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ เวลา (ชั่วโมง) แนวคิด POE 8 ขั้นที่ 1 การแนะนำและสร้างแรงกระตุ้น (orientation and motivation) 1.ครูทักทายกับนักเรียน แล้วแจ้งจุดประสงค์การเรียนให้ นักเรียนทราบ 2.นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนของหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำและลมฟ้าอากาศ เพื่อเป็นการวัดความรู้ก่อนเรียนของ นักเรียน 3.ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับ เรื่อง เมฆและหมอก จากนั้น ครูให้นักเรียนแต่ละคนสังเกตเมฆบนท้องฟ้า แล้วตั้งประเด็น คำถามกระตุ้นความสนใจนักเรียน โดยให้นักเรียนแต่ละคน ร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลย ว่าถูกหรือผิด ดังนี้ - นักเรียนคิดว่า เมฆและหมอกต่างกันอย่างไร (แนวตอบ : เมฆจะลอยอยู่สูงจากพื้นดินมากและมีลักษณะเป็น กลุ่มก้อนสีขาว ส่วนหมอกจะลอยอยู่ใกล้พื้นดิน และมี ลักษณะคล้ายควันสีขาว) 4.นักเรียนทุกกลุ่มร่วมกันศึกษาข้อมูลและภาพเกี่ยวกับเมฆ หมอก น้ำค้าง และน้ำค้างแข็ง จากหนังสือเรียน จากนั้นให้ ช่วยกันตอบคำถามจากปรากฏการณ์ต่างๆเกิดจึ้นได้อย่างไร 5.นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันศึกษาขั้นตอนการทำกิจกรรมที่ 1 เรื่องกระบวนการเกิดเมฆและหมอก โดยศึกษาขั้นตอนการทำ กิจกรรม จากหนังสือเรียน หน้า 66-67 3 P O E
80 80 ขั้นที่ 2 แนะนำการทดลอง (Introducing the experiment) 6.ครูจัดเตรียมและแนะนำวัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมที่ 1 กระบวนการเกิดเมฆและหมอก จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 มาวางไว้หน้าชั้นเรียน ดังนี้ - น้ำแข็ง 1 แก้ว - น้ำร้อน 200 มิลลิลิตร - ธูป 2 ดอก - ไม้ขีดไฟ 1 กลัก - บีกเกอร์ขนาด 250 มิลลิลิตร 2 ใบ - กระบอกตวงขนาด 100 มิลลิลิตร 1 ใบ - จานกระเบื้องหรือกระจกนาฬิกา (ขนาดปิดปากบีกเกอร์ได้) 2 ใบ 5.ครูอธิบายการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน โดยสร้าง แบบจำลองเพื่อเปรียบเทียบการเกิดเมฆและหมอก โดยปฏิบัติ ดังนี้ 6.1) ตวงน้ำร้อนลงในบีกเกอร์ 2 ใบ ใบละ100 มิลลิลิตร 6.2) ให้จุดธูปแล้วดับไฟ จากนั้นจ่อธูปลงไปในบีกเกอร์ทั้ง 2 ใบ แล้วใช้จานกระเบื้องหรือกระจกนาฬิกาปิดปากบีกเกอร์ และรอจนควันธูปลอยเต็มบีกเกอร์ จากนั้นจุ่มธูปลงในน้ำและ เอาธูปออก สังเกตด้านในบีกเกอร์และบันทึกผล 6.3) วางน้ำแข็งลงในภาชนะที่ใช้ปิดปากบีกเกอร์ 1 ใบ จากนั้นสังเกตการเปลี่ยนแปลง แล้วบันทึกผล
81 81 ขั้นที่ 3 การทำนาย (ล้วงเอาแนวคิดของผู้เรียน) [Prediction: the elicitation of students' ideas] 7. ครูนำบัตรข้อความเกี่ยวกับเมฆและหมอก ใส่ไว้ในกล่อง แล้วนำมาวางไว้หน้าชั้นเรียน จากนั้นครูแบ่งนักเรียนออกเป็น สองฝ่าย โดยให้แต่ละฝ่ายส่งตัวแทนออกมากลุ่มละ 1 คน แล้ว เลือกว่าฝ่ายใดจะได้ทายก่อน 8. ตัวแทนฝ่ายที่ได้เล่นก่อน หยิบบัตรข้อความในกล่อง อ่าน ข้อความให้เพื่อนฟัง แล้วให้เพื่อนทาย ถ้าทายถูกจะได้ข้อละ 2 คะแนน ถ้าทายผิดจะไม่ได้คะแนน สลับกันเล่นจนหมดบัตร ข้อความที่ครูเตรียมไว้ ซึ่งตัวอย่างบัตรข้อความ มีดังนี้ - เมฆเกิดขึ้นได้อย่างไร (แนวตอบ : เมฆเกิดจากไอน้ำใน อากาศควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูง จากพื้นดินมาก) - เมฆ แบ่งออกเป็นกี่ระดับ ใช้เกณฑ์อะไรบ้างในการ แบ่งเมฆ (แนวตอบ : เมฆ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดย พิจารณาจากความสูง) - เมฆคิวมูลัส มีลักษณะอย่างไร (แนวตอบ : มีลักษณะ เป็นก้อนขนาดคล้ายภูเขาหรือดอกกะหล่ำ มีสีขาว) - ถ้าพบเมฆคิวมูลัส แสดงว่าสภาวะอากาศเป็นอย่างไร (แนวตอบ : สภาวะอากาศดี ท้องฟ้ามีสีน้ำเงินเข้ม พบ ในฤดูร้อน) - หมอกเกิดขึ้นได้อย่างไร (แนวตอบ : หมอกเกิดจากไอ น้ำในอากาศควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็กจำนวน มาก เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอย อยู่ใกล้พื้นดิน) - หมอกทำให้เกิดอันตรายหรือไม่อย่างไร (แนวตอบ : หากมีละอองน้ำมาก หมอกจะยิ่งหนามาก ทำให้การ มองเห็นของเราลดลง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิด อุบัติเหตุในการเดินทาง)
82 82 ขั้นที่ 4 อภิปรายผลการทำนาย (discussing their prediction) 9. ครูสุ่มเลขที่นักเรียน จำนวน 3 คน ให้ยกตัวอย่างเมฆในแต่ ละชั้น ดังนี้ - คนที่ 1 ให้ยกตัวอย่างเมฆชั้นสูง - คนที่ 2 ให้ยกตัวอย่างเมฆชั้นกลาง - คนที่ 3 ให้ยกตัวอย่างเมฆชั้นต่ำ 10. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามเนื้อหาเกี่ยวกับ เรื่อง การ เกิดเมฆและหมอก และให้ความรู้เพิ่มเติมจากคำถามของ นักเรียน โดยครูใช้ PowerPoint เรื่อง การเกิดเมฆและหมอก ในการอธิบายเพิ่มเติม 11. นักเรียนแต่ละคนทำใบงานที่ 6.3.1 เรื่อง เมฆและหมอก จากนั้นครูสุ่มนักเรียน 4 คน ออกมานำเสนอคำตอบของตนเอง โดยครูให้นักเรียนร่วมกันพิจารณาว่าคำตอบใดถูกต้อง จากนั้นครูเฉลยคำตอบที่ถูกต้องให้นักเรียน ขั้นที่ 5 สังเกตการณ์ (observation) 12. นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมที่ 1 กระบวนการเกิดเมฆ และหมอก จากนั้นบันทึกผลการทำกิจกรรมลงตาราง 13. นำความรู้ที่ได้จากการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดเมฆ และหมอก และจากการสร้างแบบจำลองมาเปรียบเทียบการ เกิดเมฆและหมอก แล้วบันทึกผล 14. นำเสนอผลการทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน จากนั้นร่วมกัน อภิปรายและสรุปผลเกี่ยวกับกระบวนการเกิดเมฆและหมอก
83 83 ขั้นที่ 6 อธิบาย (Explanation) 15. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ กิจกรรมที่ 1 กระบวนการเกิดเมฆและหมอก 16. นักเรียนแต่ละคนทำกิจกรรมหนูตอบได้ จากหนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 โดยตอบคำถามลงในสมุดประจำตัว นักเรียน หรือแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 ขั้นที่ 7 เสนอการอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ (Providing the scientific explanation) 17. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม หน้าชั้นเรียน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดจนครบทุกกลุ่ม ใน ระหว่างที่นักเรียนนำเสนอครูคอยให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ขั้นที่ 8 ติดตามผล (Follow-up) 18. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงานรายบุคคล พฤติกรรมการทำงานกลุ่ม และจากการนำเสนอผลการทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน 19. ครูตรวจสอบผลการทำแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการ เรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำและลมฟ้าอากาศ เพื่อตรวจสอบความ เข้าใจหลังเรียนของนักเรียน 20. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรมที่ 1 กระบวนการเกิด เมฆและหมอก ในสมุดประจำตัวนักเรียน หรือแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 21. ครูตรวจสอบผลการทำกิจกรรมหนูตอบได้ ในสมุด ประจำตัวนักเรียน หรือแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 22. ครูตรวจสอบผลการทำใบงานที่ 6.3.1 เรื่อง เมฆและหมอก 23. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการเกิดเมฆและหมอก ซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันว่า “ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละออง น้ำเล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณู ของดอกไม้เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ำจำนวนมาก เกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า หมอก”
84 84 การวัดและประเมินผล รายการวัด วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน 1) ผลบันทึกการ ปฏิบัติกิจกรรมที่ 1 กระบวนการเกิด เมฆและหมอก - ตรวจสมุดประจำตัว หรือแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 - ตรวจสมุดประจำตัว หรือแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 2) กิจกรรมหนูตอบได้ - ตรวจสมุดประจำตัว หรือแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 - สมุดประจำตัว หรือ แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 3) เมฆและหมอก - ตรวจใบงานที่ 6.3.1 - ใบงานที่ 6.3.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 4) การนำเสนอผลการ ปฏิบัติกิจกรรม - ประเมินการนำเสนอ ผลปฏิบัติกิจกรรม - แบบประเมินการ นำเสนอผลงาน - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 5) พฤติกรรมการ ทำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 6) พฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม - สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 7) คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - สังเกตความมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการ ทำงาน - แบบประเมิน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 9. แบบทดสอบ ก่อนเรียน หน่วยการ เรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน หน่วยการ เรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำ และลมฟ้าอากาศ - แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำและลมฟ้า อากาศ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
85 85 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำและลมฟ้าอากาศ 2) แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 แหล่งน้ำและลมฟ้าอากาศ 3) ใบงานที่ 6.3.1 เรื่อง เมฆและหมอก 4) วัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมที่ 1 กระบวนการเกิดเมฆและหมอก 5) PowerPoint เรื่อง การเกิดเมฆและหมอก 6) บัตรข้อความเกี่ยวกับเมฆและหมอก 7) สมุดประจำตัวนักเรียน 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องเรียน 2) อินเทอร์เน็ต
86 86 ความคิดเห็น / ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ………………………………………………. (นางสาวน้ำทิพย์ ชัยสุนทร) ตำแหน่ง ครู ความคิดเห็น / ข้อเสนอแนะของสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ……………………………………………….. (นายสังคม สุวรรณชาตรี) ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน
87 87 บันทึกหลังการสอน ผลการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ปัญหาและอุปสรรค .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ………………………………………………. (นางสาวกันตพร สุดาทิพย์) นักศึกษาฝึกประสบการณ์
88 88 กิจกรรมที่ 1 เรื่อง กระบวนการเกิดเมฆและหมอก จุดประสงค์ สร้างแบบจำลองและใช้แบบจำลองอธิบายและเปรียบเทียบการเกิดเมฆและหมอก ต้องเตรียมต้องใช้ 1. น้ำแข็ง 1 แก้ว 2. น้ำร้อน 200 มิลลิลิตร 3. บีกเกอร์ขนาด 250 มิลลิลิตร 2 ใบ 4. กระบวกตวงขนาด 100 มิลลิลิตร 1 ใบ 5. แหล่งข้อมูล เช่น หนังสือ อินหร์เน็ต 6. จานกระเบื้องหรือกระจกนาฬิกา (ขนาดปิดปากบีกเกอร์ได้) 2 ใบ 7. ธูป 2 ดอก 8. ไม้ขีดไฟ 1 กลัก ลองทำดู 1. แบ่งกลุ่ม จากนั้นร่วมกันตั้งสมมติฐานว่า การเกิดเมฆและหมอกแตกต่างกันหรือไม่แล้วบันทึกลงใน สมุด 2. สืบคันข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเกิดเมฆและหมอกจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ แล้วร่วมกันออกแบบ แบบจำลองการเกิดเมฆและหมอก โดยใช้อุปกรณ์ที่ครูกำหนดให้ จากนั้นร่วมกันแสดงความคิดเห็น ดังนี้ 2.1 สิ่งใดบ้างที่มีผลทำให้เกิดเมฆและหมอก (ตัวแปรต้น) 2.2 สิ่งใดบ้างที่เราจะต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงตลอดการทดลอง โดยใช้อุปกรณ์ข้างต้น (ตัวแปร ตาม) 2.3 นอกจากตัวแปรต้นแล้วสิ่งใดบ้างที่จะมีผลกระทบต่อการทดลอง ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน จึงต้องควบคุมให้เหมือนกัน (ตัวแปรควบคุม) 3. ทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน โดยสร้างแบบจำลองเพื่อเปรียบเทียบการเกิดเมฆและหมอก โดย ปฏิบัติ ดังนี้
89 89 3.1 ตวงน้ำร้อนลงในบีกเก่อร์ 2 ใบ ใบละ 100 มิลลิลิตร 3.2 ให้จุดธูปแล้วดับไฟ จากนั้นจ่อธูปลงไปในบีกเกอร์ทั้ง 2 ใบ แล้วใช้จานกระเบื้องหรือกระจก นาฬิกาปิดปากบีกเกอร์ และรอจนควันธูปลอยเต็มบีกเกอร์ จากนั้นจุ่มธูปลงในน้ำและเอาธูปออก สังเกตด้านในบีกเกอร์และบันทึกผล 3.3 วางน้ำแข็งลงในภาชนะที่ใช้ปิดปากบีกเกอร์ 1 ใบ จากนั้นสังเกตการเปลี่ยนแปลงแล้วบันทึกผล 4. นำความรู้ที่ได้จากการสืบคันข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดเมฆและหมอก และจากการสร้างแบบจำลองมา เปรียบเทียบการเกิดเมฆและหมอก แล้วบันทึกผล 5. นำเสนอผลการทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน จากนั้นร่วมกันอภิปรายและสรุปผลเกี่ยวกับกระบวนการเกิด เมฆและหมอก
90 90 ใบบันทึกผลการทำกิจกรรมที่ 1 เรื่อง กระบวนการเกิดเมฆและหมอก ตารางบันทึกผลการทำกิจกรรม การทดลอง ผลการสังเกต 1. เทน้ำร้อนลงในบีกเกอร์ 2. จุดธูปลงในบีกเกอร์ แล้วนำกระจก นาฬิกามาปิดฝาบีกเกอร์ 3. นำน้ำแข็งมาวางบนกระจกนาฬิกา เปรียบเทียบการเกิดเมฆและหมอก การเกิดเมฆ การเกิดหมอก
91 91 เฉลย ใบบันทึกผลการทำกิจกรรมที่ 1 เรื่อง กระบวนการเกิดเมฆและหมอก ตารางบันทึกผลการทำกิจกรรม การทดลอง ผลการสังเกต 1. เทน้ำร้อนลงในบีกเกอร์ มีไอน้ำระเหยขึ้นมาจากน้ำร้อน 2. จุดธูปลงในบีกเกอร์ แล้วนำกระจก นาฬิกามาปิดฝาบีกเกอร์ ควันลอยเต็มบีกเกอร์ 3. นำน้ำแข็งมาวางบนกระจกนาฬิกา มีหยดน้ำขนาดเล็กเกาะบริเวณ กันกระจกนาฬิกา เปรียบเทียบการเกิดเมฆและหมอก การเกิดเมฆ การเกิดหมอก เมฆ เกิดจากไอน้ำที่อยู่ในอากาศ ควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก เกาะกลุ่มกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก หมอก เกิดจากไอน้ำในอากาศ ควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก เกาะกลุ่มกันลอยอยู่ใกล้พื้นดิน
92 92 ใบงานที่ 6.3.1 เรื่อง เมฆและหมอก คำชี้แจง : ให้นักเรียนพิจารณาข้อความที่กำหนดให้แล้วทำเครื่องหมาย หน้าข้อความที่ถูกต้อง ทำเครื่องหมายผิด หน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง 1. ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณูของดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง 2. เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า หมอก 3. ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า เมฆ 4. เมฆแบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดยพิจารณาจากความสูงของฐานเมฆ 5. เมฆอัลโตคิวมูลัส เป็นเมฆชั้นต่ำ 6. เมฆที่ทำให้ฝนตกพร่ำ คือ เมฆนิมโบสเตรตัส 7. เมฆที่ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนอง คือ เมฆคิวมูโลนิมบัส 8. เมฆที่มีลักษณะแผ่นคล้ายผ้าห่ม คือ เมฆสเตรตัส 9. ในวันอากาศดีมองเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม มองเห็นเมฆเป็นริ้วคล้ายขนนก คือ เมฆซีร์รัส 10. หากมีละอองน้ำมาก หมอกจะยิ่งหนามาก ทำให้การมองเห็นของเราลดลง อาจเป็น สาเหตุหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุในการเดินทาง
93 93 เฉลย ใบงานที่ 6.3.1 เรื่อง เมฆและหมอก คำชี้แจง : ให้นักเรียนพิจารณาข้อความที่กำหนดให้แล้วทำเครื่องหมาย หน้าข้อความที่ถูกต้อง ทำเครื่องหมายผิด หน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง 1. ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณูของดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง 2. เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า หมอก 3. ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า เมฆ 4. เมฆแบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดยพิจารณาจากความสูงของฐานเมฆ 5. เมฆอัลโตคิวมูลัส เป็นเมฆชั้นต่ำ 6. เมฆที่ทำให้ฝนตกพร่ำ คือ เมฆนิมโบสเตรตัส 7. เมฆที่ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนอง คือ เมฆคิวมูโลนิมบัส 8. เมฆที่มีลักษณะแผ่นคล้ายผ้าห่ม คือ เมฆสเตรตัส 9. ในวันอากาศดีมองเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม มองเห็นเมฆเป็นริ้วคล้ายขนนก คือ เมฆซีร์รัส 10. หากมีละอองน้ำมาก หมอกจะยิ่งหนามาก ทำให้การมองเห็นของเราลดลง อาจเป็น สาเหตุหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุในการเดินทาง หมอก เมฆ เมฆชั้นกลาง