รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส โดย นายอัฟณัน เจ๊ะมุ รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอน ในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565
ชื่อวิจัย การพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ผู้วิจัย นายอัฟณัน เจ๊ะมุ สาขาวิชา ภาษาไทย คณะกรรมการที่ปรึกษา กรรมการ (นางสุรัสวดี นราพงศ์เกษม) (อาจารย์นิเทศประจ าหลักสูตร) กรรมการ (นายแวฮามะ เจะมะ) (ครูพี่เลี้ยง) รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา ๒565
ก ชื่อวิจัย การพัฒนาความสามารในการอ่าน คิด วิเคราะห์โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ผู้วิจัย นายอัฟณัน เจ๊ะมุ สาขาวิชา ภาษาไทย หลักสูตรครุศาตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะ เกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส จ านวน 15 คน ห้อง โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1. แบบฝึกทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป 2. แผนการจัดการเรียนรู้การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป จ านวน 3 แผน 3. แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์ จ านวน 20 ข้อ 4. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป จ านวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการสวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส หลัง เรียน สูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 10.00 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 1.36 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 13.27 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.88 มีค่าการทดสอบที (t - test) เท่ากับ 15.84 และมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนในหน่วยการเรียนรู้เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.45 , S.D. = 0.45) ค าส าคัญ : ความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ , แบบฝึกทักษะ , นิทานอีสป
ข Title Developing the ability to read, think and analyze using skills exercises of grade 6 students Ban Chokok School Cho Ai Rong District Narathiwat Province Author Mr. Afnan Chemu Program Bechelor of education in Thai Academic Year 2022 Abstract The objective of this research were 1) to develop reading, thinking and analytical abilities of Prathomsuksa 6 students 2) to study the satisfaction of Prathomsuksa 6 students on using the skills exercises. reading , thinking, analyzing, Aesop's fables. The target group of this research consisted of 15 students from the phathomsuksa 6 students Ban Chokok School Cho Ai Rong District Narathiwat Province province. Acquired with a simple random selection. The research instruments consisted of 1) reading, thinking, analyzing skills, Aesop's fables, 2) lesson plans, reading, thinking, analyzing Aesop's fables, 3) reading, thinking, analyzing ability test, and 4) satisfaction questionnaire. Students continue teaching in the unit on reading, thinking, analyzing Aesop's fables The statistics used to analyze the data include average, percentage, standard deviation The research finding was as follows Developing the ability to read, think and analyze by using the skills exercises of Prathomsuksa 6 students at Ban Chokok School Cho Ai Rong District Narathiwat Province, after learning, higher than before learning, students had a mean score of 10.00 with a standard deviation of 1.36 and after school had an average score of 13.27 with a standard deviation of 3.88 a t-test of 15.84 and a statistically significant that At the .05 level, the students were satisfied with teaching in the unit of reading, thinking, analyzing, Aesop's fables overall at a high level. ( = 4.45 , S.D. = 0.45) Keyword : Ability to read, think, analyze, skill exercises, Aesop's fables
ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลุล่วงไปด้วยความกรุณา ช่วยเหลือ แนะน าและให้ค าปรึกษาเป็นอย่างดี ยิ่งจาก อาจารย์สุรัสวดี นราพงษ์เกษม อาจารย์ประจ าหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมสาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญนายแวฮามะ เจะมะ นางสาวมาซีนะห์ ยูโซะ ครูโรงเรียนบ้าน เจาะเกาะ และนางสาวฟาดีละห์ แดเมาะ ครูโรงเรียนบ้านพรุ ที่กรุณาตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การวิจัย ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและให้ค าแนะน าในการสร้างเครื่องมือให้ถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งบุคคลที่ผู้วิจัยได้อ้างอิงทางวิชาการตามที่ปรากฏในบรรณานุกรม ขอขอบพระคุณผู้อ านวยการโรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ที่ให้ความอนุเคราะห์และอ านวยความสะดวกในการเก็บข้อมูลวิจัย ขอขอบคุณครูพี่เลี้ยงนายแวฮามะ เจะมะ ครูโรงเรียนบ้านเจาะเกาะ ที่คอยช่วยเหลือและให้ ค าปรึกษาเสมอมาและขอขอบใจนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บข้อมูลวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณครูอาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ตลอดจนขอบคุณ พี่ ๆ เพื่อน ๆ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ที่เป็นก าลังใจในการท าวิจัยจนเสร็จสมบูรณ์ สุดท้ายขอขอบพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ และบุคคลในครอบครัวที่ให้การสนับสนุน มอบความ รัก ความเมตตา ดูแล ห่วงใย และเป็นก าลังใจให้แก่ผู้วิจัยเสมอ ซึ่งส่งผลให้การวิจัยในครั้งนี้ส าเร็จ ตามที่มุ่งหวังไว้ทุกประการ นายอัฟณัน เจ๊ะมุ กันยายน 2565
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย บทคัดย่อภาษาอังกฤษ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญ (ต่อ) สารบัญตาราง สารบัญภาพ ที่มาและความส าคัญของปัญหา วัตถุประสงค์วิจัย ประโยชน์ของการวิจัย เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๑. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ๒. การอ่านและการสอนอ่าน คิด วิเคราะห์ ความหมายของการอ่าน 2.1 ความส าคัญของการอ่าน 2.2 ประเภทของการอ่าน 2.3 ความหมายของการคิดวิเคราะห์ 2.4 ลักษณะของการคิดวิเคราะห์ 2.5 ความส าคัญของการคิดวิเคราะห์ 2.6 การประเมินความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์ ๓. แบบฝึกทักษะ 3.1 ความหมายของแบบฝึกทักษะ 3.2 หลักในการสร้างแบบฝึกทักษะ 3.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิธีด าเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. ผลการวิจัย ก ข ค ง จ ฉ 1 2 2 3 3 6 6 8 9 10 11 14 16 16 16 17 18 19 19 19 19 20 20 21
จ สารบัญ (ต่อ) หน้า สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 1. สรุปผลการวิจัย 2. อภิปรายผลการวิจัย 3. ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ ภาคผนวก ค คุณภาพของเครื่องมือวิจัย ภาคผนวก ง ภาพแสดงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประวัติผู้วิจัย 27 75 77 83 85 25 23 23 24
ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1. เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการสอนโดยใช้หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป 2. การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอน ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป 3. แสดงการหาดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ (IOC) ของแบบทดสอบวัดความสามารด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป 4. แสดงการหาดัชนีความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์นิทานอีสป ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ 5. แสดงการหาดัชนีความสอดคล้องของแบบฝึกทักษะ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 6. แสดงการหาดัชนีความสอดคล้องความพึงพอใจของนักเรียน เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์นิทานอีสป ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ 21 22 78 80 81 83
ช สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1. ท าแบบทดสอบก่อนเรียน 2. ท าแบบทดสอบหลังเรียน 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5. ท าแบบฝึกทักษะ 6. ท าแบบฝึกทักษะ 84 84 84 84 84 84
๑ 1. ที่มาและความส าคัญของปัญหา การอ่านนอกจากเป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้วิชาต่าง ๆ แล้วการอ่านยังเป็นเครื่องมือ ในการแสวงหาความรู้ ท าให้ทันโลก ทันเหตุการณ์ ได้มีนักการศึกษาหลายท่านกล่าวถึงความส าคัญ ของการอ่านไว้ดังนี้ การเรียนรู้ที่จะอ่านออกได้อย่างแตกฉานเป็นเรื่องส าคัญ และไม่เป็นเพียงความส าคัญส าหรับ ตัวผู้เรียนเองเท่านั้น แต่ยังมีความส าคัญต่อผู้อื่นด้วย เพราะว่าการอ่านนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม หลายหลากกิจกรรมของการเรียนการสอนแบบบูรนาการ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการอ่านได้ อย่างแตกฉานจะเป็นทักษะที่มีความส าคัญอย่างยิ่งตลอดชีวิตของคนทุกคน เพราะว่าความสามารถใน การอ่านจะมีความสัมพันธ์กับความส าเร็จในการเรียนรู้ของผู้เรียนและน าไปสู่การขยายความรู้ตลอด ชีวิตของเขา (วันทนา เมืองจันทร์, 2547 : 25) การอ่านช่วยพัฒนาความคิด และจิตใจ การอ่านมากจะท าให้รู้จักน าความรู้ความคิด ประสบการณ์จากการอ่านมาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจ าวันได้เป็นอย่างดีการอ่าน เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความรู้ และความเข้าใจระหว่างมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา (สมชาย หอมยก ,2550 : 38) การอ่านมีความส าคัญและจ าเป็นต่อการด ารงชีวิตในปัจจุบันมาก สังคมเปลี่ยนแปลง เจริญก้าวหน้ามากเพียงไรการอ่านก็เป็นทักษะที่ส าคัญในการแสวงหาความรู้ให้ทันต่อเหตุการณ์มาก เท่านั้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพูนสติปัญญา ประสบการณ์ให้สามารถปรับตัวให้อยู่ในสังคมที่เปลี่ยนได้อย่าง เป็นสุข (ศุภรณ์ ภูวัด, 2553 : 10) การอ่านเป็นทักษะที่ส าคัญและจ าเป็นในการศึกษาหาความรู้และการพัฒนาคุณภาพชีวิต นอกจากการอ่านจะท า ให้เกิดความรู้แล้วยังก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และส่งเสริมให้มี ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ได้แนวคิดในการด าเนินชีวิต การอ่านจึงเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับ เป็นเครื่องมือที่ส าคัญในการแสวงหาความรู้เรื่องต่าง ๆ ตลอดจนเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ ให้ประสบความส าเร็จ ท าให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีคนที่มีความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพราะ เมื่ออ่านมากย่อมรู้มาก สามารถน าความรู้ไปใช้ในการด ารงชีวิต อย่างมีความสุข (จรัสกร เล็กตระกูล, 2553 : 24) การอ่าน คิดวิเคราะห์มีความส าคัญต่อสมรรถภาพของสมองที่ส าคัญมากของมนุษย์ มีคุณค่า ต่อชีวิตโดยตรงและเป็นที่ปรารถนาของการศึกษาทุกระดับชั้นและบุคคลที่ไม่เคยถูกฝึกฝนด้วย การ คิดวิเคราะห์ จะรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ เท่าที่ตาเห็นและตามที่ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัสเท่านั้นแล้วก็จะ หยุดอยู่เพียงเท่านั้น นั่นคือจะเห็นแต่สีสัน ทรวดทรงและพื้นผิวภายนอกของเรื่องเพียงประการเดียว เท่านั้น ไม่มีปัญหาและไร้ความสามารถที่จะมองเรื่องนั้นให้ทะลุลงไปในเนื้อหาสาระแก่นแท้ของเรื่อง จริงที่ซ่อนอยู่เบื้องใต้นั้นได้เลย (จุฬาลักษณ์ ดอกเข็ม, 2550 : 19) การอ่านวิเคราะห์เป็นการ ช่วยเหลือช่วยฝึกฝนให้ผู้เรียนได้อ่านเรื่องราวต่าง ๆ แล้วสามารถ บอกที่มา ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น สาระส าคัญ ประโยชน์ แนวคิด คุณค่าและองค์ประกอบของการใช้ ภาษาในการประพันธ์ได้อย่าง ละเอียดรอบคอบและที่ส าคัญให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์เพื่อแยก ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในเรื่องราวที่อ่านแล้วนาไปเป็นข้อมูลในการดารงชีวิตประจาวันได้
๒ แต่จากสภาพปัญหานักเรียนยังอ่านวิเคราะห์อยู่ในระดับต่ ากว่าเกณฑ์ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน ในส่วนของการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เทคนิค วิธีการสอนและการจัด กระบวนการเรียนรู้เพื่อนามาเป็นแนวทางในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ของนักเรียนซึ่งมุ่งให้ นักเรียนได้ฝึกทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ ฝึกการปฏิบัติ คิดเป็น ทาเป็น เรียนรู้ จากเรื่องราว ประสบการณ์จริง ปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545 : 3) ปัญหาการอ่าน การคิดและวิเคราะห์ นั้นเกิดมาจากกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของ ครูที่ยังไม่ได้เน้นกิจกรรมการอ่าน การคิดวิเคราะห์และการเขียน โดยเฉพาะการคิดวิเคราะห์ อาจกล่าวได้ว่า แม้แต่ตัวครูผู้สอนเองก็ยังไม่เข้าใจถึงหลักการคิดวิเคราะห์คิดแท้จริง ส่งผลให้การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ให้กับเด็กไม่ได้เน้นการคิดวิเคราะห์ (วีระ สุดสังข์, 2549 : 11) นอกจากนี้สาระการเรียนรู้ที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรมากเกินไปไม่สัมพันธ์กับเวลาส าหรับจัด กิจกรรมเพื่อฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ ครูซึ่งผู้ก าหนดให้ท าหน้าที่จัดการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ด้วยตนเองเปลี่ยนสถานะเป็นผู้บอก เล่า สอนให้เด็กรู้อย่างหมดจดเหมือนเอาข้อมูล เบ็ดเสร็จให้แก่นักเรียน ท าให้ผู้เรียนมีโอกาสน้อยมากที่ผู้เรียนจะเรียนรู้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งส่งผลให้ ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ กระบวนการเหล่านี้ถูกแทนที่ในแบบจ ามากกว่าเข้าใจ ท าให้ผู้เรียนเก่งในเนื้อหาและข้อสอบที่อาศัยการท่องเพื่อจ า มากกว่าความสามารถการอ่าน คิด วิเคราะห์ จากที่สังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส จะเห็นได้ว่า นักเรียนมีปัญหาในเรื่องการอ่าน คิด วิเคราะห์ ดังนั้นผู้วิจัยได้ออกแบบ ชุดแบบฝึกเพื่อใช้เสริมการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน ได้ฝึกทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ และมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์สูงขึ้นและสามารถน าทักษะการคิดวิเคราะห์ไปบูรณาการกับ วิชาอื่นและใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวันได้ 2. วัตถุประสงค์ของวิจัย 1. เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ 3. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัด นราธิวาส มีความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ 2. ได้พัฒนาชุดแบบฝึกทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส มีความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์
๓ 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ผู้วิจัย ได้รวบรวมเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. การอ่านและการสอนอ่าน คิด วิเคราะห์ 2.1 ความหมายของการอ่าน 2.2 ความส าคัญของการอ่าน 2.3 ประเภทของการอ่าน 2.4 ความหมายของการคิดวิเคราะห์ 2.5 ความส าคัญของการคิดวิเคราะห์ 2.6 ลักษณะของการคิดวิเคราะห์ 2.7 การประเมินความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์ 3. แบบฝึกทักษะ 3.1 ความหมายของแบบฝึกทักษะ 3.2 หลักในการสร้างแบบฝึกทักษะ 3.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานก าหนดสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้เป็น เกณฑ์ในการก าหนดคุณภาพของผู้เรียน เมื่อเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งก าหนดไว้เฉพาะ ส่วนที่จ าเป็น ส าหรับพื้นฐานในการด ารงชีวิตให้มีคุณภาพ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ตาม ความสามารถ ความ ถนัด และความสนใจของผู้เรียน สถานศึกษาสามารถพัฒนาเพิ่มเติมได้ ส าหรับสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยมี ๕ สาระ ดังนี้ สาระที่ ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อน าไปใช้ ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการด าเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียน เรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและ รายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณ
๔ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง ของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม ไทยอย่าง เห็นคุณค่าและน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง โดยในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มุ่งศึกษาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาระที่ ๑ การอ่าน อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและ บทร้อยกรองได้ถูกต้อง เข้าใจความหมายโดยตรงและ ความหมายโดยนัย แสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ได้ข้อคิดจากเรื่องที่ อ่าน สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผลและเรียงล าดับอย่างมีขั้นตอน ซึ่งสาระที่ ๑ ประกอบด้วยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ ดังนี้ มาตรฐาน ท ๑.๑ ตัวชี้วัด ๑. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยแก้วได้ถูกต้อง ๒. อธิบายความหมายของค า ประโยค และข้อความที่เป็นการบรรยายและ การพรรณนา ๓. อธิบายความหมายโดยนัยจากเรื่องที่อ่านอย่างหลากหลาย ๔. แยกข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน ๕. วิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน เพื่อน าไปใช้ในการ ด าเนินชีวิตประจ าวัน ๖. อ่านงานเขียนเชิงอธิบาย ค าสั่ง ข้อแนะน า และปฏิบัติตาม ๗. อ่านหนังสือที่มีคุณค่าตามความสนใจอย่างสม่ าเสมอและแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ๘. มีมารยาทในการอ่าน สาระการเรียนรู้ • การอ่านออกเสียงและการบอกความหมายของบทร้อยแก้วและร้อยกรองที่ประกอบด้วย - ค าที่มีพยัญชนะควบกล้ า - ค าที่มีอักษรน า - ค าที่มีตัวการันต์ - อักษรย่อและเครื่องหมายวรรคตอน - ข้อความที่เป็นการบรรยายและพรรณนา - ข้อความที่มีความหมายโดยนัย
๕ • การอ่านบทร้อยกรองเป็นท านองเสนาะ • การอ่านจับใจความจากสื่อต่าง ๆ เช่น - วรรณคดีในบทเรียน - บทความ - บทโฆษณา - งานเขียนประเภทโน้มน้าวใจ - ข่าวและเหตุการณ์ประจ าวัน • การอ่านงานเขียนเชิงอธิบาย ค าสั่ง ข้อแนะน า และปฏิบัติ เช่น - การใช้พจนานุกรม - การใช้วัสดุอุปกรณ์ - การอ่านฉลากยา - คู่มือและเอกสารของโรงเรียนที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน - ข่าวสารทางราชการ • การอ่านหนังสือตามความสนใจ เช่น - หนังสือที่นักเรียนสนใจและเหมาะสมกับวัย - หนังสือที่ครูและนักเรียนก าหนดร่วมกัน - มารยาทในการอ่าน สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน ๑. ความสามารถในการสื่อสาร ๒. ความสามารถในการคิด ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งมั่นในการท างาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ
๖ 2. การอ่านและการสอนอ่าน คิด วิเคราะห์ 2.1 ความหมายการอ่าน ได้มีนักวิชาการได้ให้ความหมายของการอ่านดังนี้ ธนู ทดแทนคุณ และกานต์รวี แพทย์พิทักษ์ (๒๕๕๒ : ๕๓) ได้ให้ความหมายของ การอ่านไว้ว่า การรับรู้และแปลความหมายของตัวอักษร เครื่องหมาย สัญลักษณ์ที่สื่อ ความหมายต่าง ๆ มาเป็นความคิดความรู้และความเข้าใจระหว่างผู้เรียนและผู้อ่าน เพื่อที่ผู้อ่านสามารถน าความรู้จากสารนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทิพย์วิมล พัวเจริญสิน (๒๕๕๒ : ๑๕) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า เป็นทักษะ พื้นฐานส าคัญในกระบวนการสื่อสารระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน โดยผู้อ่านต้องแปลความหมาย ท าความเข้าใจความหมายของค าหรือสัญลักษณ์ โดยแปลออกมาเป็นความหมายที่ใช้สื่อ ความคิดและความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน และผู้อ่านสามารถน าเอา ความหมายนั้น ๆ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ศุภรณ์ ภูวัด (๒๕๕๓ : ๘) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า เป็นกระบวนการทาง สมองในการแปลสัญลักษณ์ นั้น แล้วก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เกิดความคิดอย่างมีเหตุผล ถ่ายทอดความหมายของอักษร หรือสัญลักษณ์นั้นออกมาในรูปของความคิด แล้วจึงน า ความคิดเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป จรัสกร เล็กตระกูล (๒๕๕๓ : ๒๒) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่ า เป็นกระบวนการทางความคิดการท าความเข้าใจภาษาเขียน เพื่อสื่อสารกันระหว่างผู้ส่งสาร กับผู้รับสาร ผู้อ่านจะใช้การสังเกตการจ ารูปค าและประสบการณ์เดิมที่ส าคัญ จะต้องเข้าใจ ความหมายของค าเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ จากเรื่องที่อ่าน ผู้อ่านต้องมีความสามารถใน การจัดระบบข้อมูลความรู้ต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตีความเรื่องที่อ่าน ซึ่งท าให้ผู้อ่านได้รับ ความรู้ เจตคติ และทักษะ ทั้งนี้แล้วแต่จุดประสงค์ของการอ่านแต่ละคน จากความหมายของการอ่านดังกล่าว สรุปได้ว่า การอ่านเป็นกระบวนการทางสมอง ที่ใช้สายตาสัมผัสตัวอักษรเพื่อแปลความหมายของค า ข้อความ เรื่องราวต่าง ๆ รวมถึง ความคิดของผู้ที่อ่านเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของการอ่านแต่ละคน 2.2 ความส าคัญของการอ่าน สมชาย หอมยก (๒๕๕๐ : ๓๘) ได้กล่าวถึงความส าคัญของการอ่านว่าอยู่ที่ผู้อ่านมี ความสามารถหรือไม่ในด้านต่าง ๆ การอ่านช่วยพัฒนาความคิด และจิตใจ การอ่านมากจะ ท าให้รู้จักน าความรู้ ความคิด ประสบการณ์จากการอ่านมาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจ าวันได้เป็นอย่างดี การอ่านเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความรู้และความเข้าใจ ระหว่างมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ความส าคัญของการอ่านมีดังนี้ ๑. การอ่านช่วยเพิ่มเติมความรู้ ความคิด และประสบการณ์ ท าให้มีความงอก งามทั้งสติปัญญา อารมณ์ เป็นการพัฒนาจิตใจได้เป็นอย่างดี ๒. การอ่านช่วยส่งเสริมวิจารณญาณในการรับสาร
๗ ๓. สามารถติดตามความเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ของสังคม โลกได้ ๔. ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด ได้รับ ความเพลิดเพลิน ๕. ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพ การอ่านมากท าให้มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล การที่เรา รู้จักรับข้อคิดเห็นจากผู้อื่นจะท าให้เรากลายเป็นผู้ที่มีเสน่ห์ คนรอบ ๆ ข้างก็ อยากอยู่ใกล้ ทิพย์วิมล พัวเจริญสิน (๒๕๕๒ : ๑๗) ได้กล่าวถึงความส าคัญของการอ่านว่า การอ่านมีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์ปัจจุบันเนื่องจากการอ่านเป็นเครื่องมือ ส าคัญในการแสวงหาความรู้เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ท าให้บุคคลได้รับการพัฒนาทั้งทางด้าน สติปัญญา ความสามารถ ตลอดจนคุณธรรมและจริยธรรมต่าง ๆ เมื่อบุคคลมีความเข้าใจใน เรื่องที่อ่านอย่างแท้จริงย่อมสามารถน าความรู้ ความคิดไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และสังคมได้เป็นอย่างดีซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อการอ่านและมีนิสัยรักการอ่าน ศุภรณ์ ภูวัด ๒๕๕๓ : ๑๐) ได้กล่าวถึงความส าคัญของการอ่านว่า การอ่านมี ความส าคัญและจ าเป็นต่อการด ารงชีวิตในปัจจุบันมาก สังคม เปลี่ยนแปลงเจริญก้าวหน้า มากเพียงไร การอ่านก็เป็นทักษะที่ส าคัญในการแสวงหาความรู้ให้ทันต่อ เหตุการณ์มาก เท่านั้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพูนสติปัญญา ประสบการณ์ ให้สามารถปรับตัวให้อยู่ในสังคมที่ เปลี่ยนได้อย่างเป็นสุข จรัสกร เล็กตระกูล (๒๕๕๓ : ๒๔) ได้กล่าวถึงความส าคัญของการอ่านว่า การอ่านเป็นทักษะที่ส าคัญและจ าเป็นในการศึกษาหาความรู้และการพัฒนาคุณ ภาพชีวิต นอกจากการอ่านจะท าให้เกิดความรู้แล้วยังก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และส่งเสริมให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้แนวคิดในการด าเนินชีวิต การอ่านจึงเป็นหัวใจ ของการศึกษาทุกระดับและเป็นเครื่องมือที่ส าคัญในการแสวงหาความรู้เรื่องต่างๆ ตลอดจน เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพให้ประสบความส าเร็จ ท าให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี คนที่มี ความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพราะเมื่ออ่านมากย่อมรู้มาก สามารถน าความรู้ไปใช้ ในการด ารงชีวิตอย่างมีความสุข จากความส าคัญของการอ่านดังกล่าว สรุปได้ว่า การอ่านมีความส าคัญต่อมนุษย์เป็น อย่างมากเพราะเป็นบ่อของแหล่งเกิดความรู้ อ่านมากย่อมรู้มาก และที่ส าคัญเป็นทักษะที่ สร้างอาชีพต่าง ๆ ร่วมถึงเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้และพัฒนาสติปัญญาความสามารถ
๘ 2.3 ประเภทของการอ่าน ประเภทการอ่านได้มีนักการศึกษาหลายท่านกล่าวถึงประเภทการอ่านไว้ดังนี้ วิมล จิโรจพันธุ์ และคนอื่น ๆ (๒๕๔๖ : ๑-๓) ได้แบ่งประเภทการอ่าน เป็น ๓ ประเภท คือ ๑. การอ่านออกเสียง เป็นการถ่ายทอดตัวอักษรที่จะน าไปสู่ความรู้ ความ เข้าใจและความคิดออกมาเป็นเสียงได้ถูกต้องตามอักษรนั้น ๆ โดยมุ่งการได้ ยินได้ฟังเสียงนอกเหนือจากจะมุ่งเอาใจความหรือเนื้อหาสาระผู้อ่านออก เสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธีทั้งวรรณยุกต์ ตัวสะกดควบกล้ า จังหวะ ลีลา และวรรคตอน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ฟังมากยิ่งขึ้น ๒. การอ่านในใจ เป็นการแปลตัวอักษรออกมาเป็นความรู้ความเข้าใจและ ความคิดแล้วน าไปใช้อีกทอดหนึ่งอย่างไม่ผิดพลาด โดยทั่วไปมักอ่านเพื่อ ความรู้และความบันเทิง ๓. การอ่านท านองเสนาะ เป็นการอ่านออกเสียงประเภทหนึ่งที่มีจังหวะและ ท านองเพื่อให้เกิดความไพเราะ เพลิดเพลินและผู้ฟังพึงพอใจ โดยผู้อ่าน ต้องรู้ลักษณะบังคับของค าประพันธ์ แต่ละชนิดด้วยจึงจะอ่านได้ถูกต้อง และน่าฟัง ไพพรรณ อินทนิล (๒๕๔๖ : ๓๒-๕๑) ใช้วิธีการแบ่งประเภทการอ่าน ๓ วิธี คือ ๑. แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการอ่าน ๑.๑ อ่านเพื่อเก็บใจความส าคัญ ๑.๒ อ่านเพื่อทดสอบความเข้าใจ ๑.๓ อ่านเพื่อแสดงความคิดเห็น ๑.๔ อ่านเพื่อปฏิบัติตามค าแนะน า ๑.๕ อ่านเพื่อคลายเครียด หรือค่าเวลา ๒. แบ่งตามลักษณะของวัสดุการอ่าน ๒.๑ การอ่านวัสดุตีพิมพ์เป็นฉบับ ๒.๒ การอ่านป้าย ๒.๓ การอ่านกระดาษที่ท าเป็นแผ่นขนาดย่อย ๒.๔ การอ่านข้อความที่พิมพ์ไว้บนบรรจุภัณฑ์และยา ๓. แบ่งตามวิธีการประพันธ์ ๓.๑ ประเภทร้อยแก้ว แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๓.๑.๑ การอ่านหนังสือประเภทข่าวสาร ๓.๑.๒ การอ่านหนังสือประเภทผ่อนคลายอารมณ์ ๓.๑.๓ การอ่านหนังสือประเภทเกี่ยวกับการเรียนการสอน
๙ ๓.๒ ประเภทร้อยกรองหรือค าประพันธ์ ๓.๒.๑ การอ่านวรรณคดี ๓.๒.๒ การอ่านรูปประโยคของค าประพันธ์ ๓.๒.๓ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (๒๕๔๗ : ๑๙) ได้แบ่งการอ่านออกเป็น ๒ ประเภท คือ การ อ่านในใจ และการอ่านออกเสียง การอ่านออกเสียงนั้นหมายรวมเอาทั้งการออกเสียง ธรรมดาและการออกเสียงท านองเสนาะ จากประเภทของการอ่านดังกล่าว สรุปได้ว่า การอ่านมี ๒ ประเภท คืออ่านออก เสียงและการอ่านในใจ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีความส าคัญต่อการอ่านเป็นอย่างมาก การเลือก ประเภทการอ่านควรเลือกให้เหมาะสมและได้ประโยชน์นั้นควรต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ ในการอ่านเป็นส าคัญ 2.4 ความหมายของการคิดวิเคราะห์ บุญน า เที่ยงดี (2548 : 36) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า ความสามารถในการจ าแนกแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่อง หนึ่ง และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ของสิ่งที่เกิดขึ้น ลักขณา สริวัฒน์ (254 : 67) ) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า การ ความสามารถในการแยกแยะส่วนย่อยๆ ของเหตุการณ์เรื่องราวหรือเนื้อเรื่องต่าง ๆ ว่า ประกอบด้วยอะไร มีจุดมุ่งหมายหรือความประสงค์สิ่งใด และส่วนย่อยๆ ที่ส าคัญนั้นแต่ละ เหตุการณ์เกี่ยวพันธ์กันอย่างไรบ้าง และเกี่ยวพันกันโดยอาศัยหลักการใด เพื่อให้เกิดความ ชัดเจนและความเข้าใจจนสามารถน าไปสู่การตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2549 : 5) ได้ให้ความหมายของการคิด วิเคราะห์ไว้ว่า การระบุเรื่องหรือปัญหา จ าแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อมูลเพื่อจัดกลุ่มอย่าง เป็นระบบ ระบุเหตุผลหรือเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูล และตรวจสอบข้อมูลหรือหา ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอในการตัดสินใจ/แก้ปัญหาคิดสร้างสรรค์ ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ (2551 : 48) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า ความคิดในการจ าแนกแยกแยะข้อมูล องค์ประกอบของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ เรื่องราว เหตุการณ์ต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อค้นหาความจริง ความส าคัญ แก่นแท้ องค์ประกอบ หรือหลักการของเรื่องนั้น ๆ ทั้งที่อาจแฝงซ่อนอยู่ภายในสิ่งต่าง ๆ หรือปรากกฎได้อย่าง ชัดเจน รวมทั้งหาความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ ว่าเกี่ยวพันกันอย่างไร อาศัย หลักการใด จนได้ความคิดเพื่อน าไปสู่การสรุปการประยุกต์ใช้ การท านายหรือคาดการณ์สิ่ง ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง จากความหมายของการคิดวิเคราะห์ดังกล่าว สรุปได้ว่าว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจ าแนก แยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นวัตถุ สิ่งของ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ คิดพิจารณา ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง สามารถระบุปัญหาของสิ่ง
๑๐ ที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงโดยตัดสินใจแก้ปัญหาและเลือกวิธีการแก้ปัญหาได้อย่าง ละเอียดรอบคอบมีเหตุผล 2.5 ลักษณะการคิดวิเคราะห์ สุวิทย์ มูลค า (2547, หน้า 23-24) ได้กล่าวถึงลักษณะการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า การคิดวิเคราะห์ จ าแนกออกเป็น 3 ลักษณะดังนี้ 1. การวิเคราะห์ส่วนประกอบ เป็นความสามารถในการหาส่วนประกอบที่ ส าคัญของสิ่งของหรือเรื่องราวต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ส่วนประกอบของพืช สัตว์ ข่าว ข้อความหรือเหตุการณ์ เป็นต้น 2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการหาความ สัมพันธ์ ของส่วนส าคัญต่างๆ โดยการระบุความสัมพันธ์ระหว่างความคิด ความสัมพันธ์ในเชิง เหตุผลหรือความแตกต่างระหว่างข้อโต้แย้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง 3. การวิเคราะห์หลักการ เป็นความสามารถในการหาหลักความ สัมพันธ์ ส่วนส าคัญในเรื่องนั้นๆ ว่าสัมพันธ์กันอยู่โดยอาศัยหลักการใด เช่น การให้ผู้อ่าน และรูปแบบของภาษาที่ใช้ เป็นต้น ลักขณา สริวัฒน์ (2549 : 74) ได้กล่าวถึงลักษณะของการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า เป็น การก าหนดขอบเขตของสิ่งที่จะวิเคราะห์ก าหนดจุดมุ่งหมายว่าจะวิเคราะห์เพื่ออะไร โดยใช้ ทฤษฎีใดอ้างอิงในการวิเคราะห์ วิเคราะห์อย่างไร และต้องสรุปรายงานการวิเคราะห์ให้ ชัดเจนสรุปลักษณะของการคิดวิเคราะห์ ได้ว่าเป็นรูปแบบความสามารถในการแยกแยะเพื่อ หาส่วนย่อยของเหตุการณ์ เรื่องราวหรือเนื้อหาต่าง ๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีความส าคัญ อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล และที่เป็นเหตุอย่างนั้นอาศัยหลักการอะไร ไพรินทร์ เหมบุตร (2549 : 1) กล่าวถึง ลักษณะของการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วย 4 ประการ คือ 1. การมีความเข้าใจ และให้เหตุผลแก่สิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ เพื่อแปลความ สิ่งนั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้ ประสบการณ์ และค่านิยม 2. การตีความ ความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องที่จะวิเคราะห์ 3. การช่างสังเกต ช่างถาม ขอบเขตของค าถาม ยึดหลัก 5 W 1 H คือ ใคร (Who) อะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไร (When) อย่างไร (How) เพราะเหตุใด (Why) 4. ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ใช้ค าถามค้นหาค าตอบ หาสาเหตุ หาการ เชื่อมโยง ส่งผลกระทบ วิธีการ ขั้นตอน แนวทางแก้ปัญหา คาดการณ์ข้างหน้าใน อนาคตจากลักษณะของการคิดวิเคราะห์ดังกล่าว สรุปได้ว่า ลักษะการคิดวิเคราะห์ จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ สู่การตีความและยังรวมไปถึงการหาความสัมพันธ์ ของเรื่องนั้น ๆ
๑๑ 2.6 ความส าคัญของการคิดวิเคราะห์ ลักขณา สริวัฒน์ (2549 : 74-79) ได้ให้ความส าคัญของการคิดวิเคราะห์ไว้ว่าการ คิดวิเคราะห์นับว่ามีประโยชน์ต่อบุคคลทุกคนในการน าไปใช้เพื่อการด ารงชีวิตร่วมกับผู้อื่นใน สังคม เพื่อให้เกิดความสุข ความสมหวังดังที่ตนปรารถนา มีนักวิซาการได้เสนอแนวคิดใน เรื่องประโยชน์ของการคิดวิเคราะหมากมายหลายประการดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ช่วยส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญา โรเบิร์ต เจ.สเติร์นเบิร์ก (Robert J.Sternberg ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับความเฉลียวฉลาดในการประสบ ความส าเร็จ(Successful Intelligence) ไว้ว่า คนเราจะเฉลียวฉลาดนั้นต้อง ประกอบไปด้วยความฉลาด 3 ด้าน ได้แก่ ความฉลาดในการสร้างสรรค์ (Creative Intellignce) ความฉลาดในการคิดวิเคราะห์ (Analytical Intelligence) และความฉลาดในการปฏิบัติ (Practical Intelligence) โดยในส่วนของ ความฉลาด ในการวิเคราะห์นั้น สเติร์นเบิร์ก อธิบายว่าหมายถึง ความสามารถในการวิเคราะห์ และประเมินแนวคิดที่คิดขึ้น ความสามารถในการคิดน ามาใช้แก้ปัญหาและ ความสามารถในการตัดสินใจโดยธรรมชาติ คนเราจะมีจุดอ่อน ด้านความสามารถ ทางการคิดหลากประการการคิดเชิงวิเคราะห์ จะช่วยเสริมจุดอ่อนทางความคิด เหล่านี้ 2. ช่วยให้ค านึงถึงความสมเหตุสมผลของขนาดกลุ่มตัวอย่าง ในการสรุป เรื่องต่าง ๆ เรามักไม่ได้ค านึงถึงจ านวนข้อมูลที่สามารถบ่งชี้ความสมเหตุสมผลของ เรื่องนั้น แต่มักจะด่วนสรุปสิ่งต่างๆ ไปตามอารมณ์ความรู้สึก หรือเหตุผลที่ตนมีอยู่ ซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงของสิ่งนั้น เรามักจะเห็นตัวอย่างเพียง 2 - 3 ตัวอย่าง แล้วรีบด่วนสรุปโดยไม่ค านึงถึงจ านวนตัวอย่างว่ามีปริมาณเพียงพอในการ ที่จะน าไปสู่ข้อสรุปได้หรือไม่ ซึ่งท าให้เกิดการเข้าใจผิดได้ การสรุปเช่นนี้เรียกว่า การ สรุปแฝงด้วยความมีอคติ ดังนั้นควรสืบค้นตามหลักการและเหตุผลและข้อมูลที่เป็น จริงให้ชัดเจนก่อนจึงมีการสรุป 3. ช่วยลดการอ้างประสบการณ์ส่วนตัวเป็นข้อสรุปทั่วไป การสรุปเรื่อง ต่าง ๆ ในหลายเรื่องมีคนจ านวนไม่น้อยที่ใช้ประสบการณ์ที่เกิดกับตนเองเพียงคน เดียวมาสรุปเป็นเรื่องทั่วๆ ไป เช่น มีคนที่มีอายุยืนถึงร้อยปี มักเป็นที่ใช้อ้างกับใครๆ ว่าถ้ารับประทานอาหารตามแบบที่เขาทานแล้วจะมีอายุยืนเช่นเขา หรือนักธุรกิจที่ ประสบความส าเร็จมักอ้างวิธีการท างานที่ประสบความส าเร็จของเขา เป็นเหมือนหลักการปฏิบัติโดยทั่วไปและจะน าไปใช้ การอ้างเช่นนี้ก่อให้เกิดความ ผิดพลาดได้เพราะอาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอันเป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งนั้น ดังนั้นหากขาดปัจจัยเหล่านั้นหลักปฏิบัติเช่นที่เคยใช้ได้ผลในเหตุการณ์ของเขา อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับคนอื่นๆ 4. ช่วยขุดค้นสาระของความประทับใจครั้งแรก ถ้าเราเคยสังเกตเกี่ยวกับ ความรู้สึกในการกระท าสิ่งใดๆ เป็นครั้งแรก เรามักจะประทับใจในความรู้สึกนั้นไว้ ตลอดไปว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอ มีงานวิจัยของ ทเวอร์สกี และคาห์เนแมน
๑๒ (Tversky and Kahneman) ที่พบว่าบุคคลส่วนใหญ่จะมีความประทับใจครั้งแรก เมื่อเห็นความสอดคล้องของข้อมูลของตัวอย่างทั้งหมด แม้มีจ านวนเพียงเล็กน้อยก็ ตามจะเป็นเหตุให้ตีความว่าตัวอย่างเหล่านั้นน่าเชื่อถือมากกว่า เช่น การให้ความ เชื่อมั่นในข้อสรุปที่มีผู้เชี่ยวชาญจ านวนเพียง 3 คน ให้การสนับสนุนมากกว่าข้อสรุป ที่มีผู้เชี่ยวชาญจ านวน 10 คน จากจ านวนของเชี่ยวชาญทั้งหมด 12 คน สนับสนุน ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นเหตุผลอย่างน้อยหนึ่งประการที่ตอบค าถามว่า "เหตุใดความ ประทับใจครั้งแรกจึงมีความส าคัญมาก" ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าความประทับใจ ครั้งแรกที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะท าให้เรารู้สึกดีต่อสิ่งนั้นในอนาคต ยิ่งเมื่อถูกกระตุ้น ด้วยความประทับต่อ ๆ มาย่อมจะเป็นเหตุให้เรารู้สรุปว่าสิ่งนั้นจะเป็นเช่นนั้น ตลอดไป อันเป็นเหตุให้เกิดความล าเอียงในการให้เหตุผลกับสิ่งนั้นตามกาลเวลาและ บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป และการวิเคราะห์นี้เองที่จะช่วยในการพิจารณาสาระอื่น ๆ ที่ถูกบิดเบือนไปจากความประทับใจในครั้งแรก ท าให้เรามองอย่างครบถ้วนในแง่มุม อื่น ๆ 5. ช่วยตรวจสอบการคาดคะเนบนฐานความรู้เดิม ในหลายๆ เรื่องที่เราจะ สรุปตามความรู้ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการคาดการณ์ความน่าจะเป็นของสิ่งนั้น ในอนาคตมิใช่บนพื้นฐานข้อมูลที่ปรากฏต่อการคาดการณ์บนพื้นฐานความจริงที่รับรู เกี่ยวกับเรื่องนั้นตัวอย่างเช่น เราเคยได้ยินมานานแล้วว่า ภาคอีสานเป็นภาคที่แห้ง แล้งจนบางแห่งถึงกับกล่าวกันว่าไม่มีน้ าดื่มถึงขนาดต้องต าน้ ากิน ท าให้มีการคาด เดาว่าจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสานน่าจะมีแต่ความแห้งแล้ง ครั้นต่อมา มีข้อมูลที่ได้มา ใหม่คือปัจจุบันนี้มีค าว่า อีสานเขียว ย่อมแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของภาคอีสาน ว่าเต็มไปด้วยผักสด ผลไม้ หากไม่มีการคิดวิเคราะห์แล้วก็คงจะไม่เชื่อกับข้อมูลใหม่ นี้ ท าให้เกิดการเข้าใจผิดกับข้อเท็จจริงได้ การคิดวิเคราะห์จึงช่วยในการประมาณ การความน่าจะเป็นโดยสามารถใช้ข้อมูลพื้นฐานที่เรามีวิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ของสถานการณ์ ณ เวลานั้นอันจะช่วยให้เราคาดการณ์ความน่าจะเป็นได้อย่าง สมเหตุสมผลมากกว่า 6. ช่วยวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากประสบการณส่วนบุคคล ในการวินิจฉัยค า กล่าวของคนนั้นจ าเป็นต้องตระหนักให้ดีว่า ประสบการณ์ของแต่ละคนมีแนวโน้มที่ จะมีอคติเช่น มีบุคคล 2 คน คนหนึ่งเกิดมาในชุมชนแออัดซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่ เลวร้าย ต้องดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอดจากความทุกข์ยากล าบากตลอดมา ส่วนอีกคนเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นแวดล้อมด้วย ความรักความเอาใจใส่ จากพ่อแม่ พบแต่ความสุขความปรารถนาตามต้องการ คนทั้ง 2 คนย่อมมีการ พัฒนาความรู้สึกนึกคิด มีโลกทัศน์ในลักษณะที่แตกต่างกัน และก็จะใช้กรอบที่ แตกต่างกันนี้ในการมองโลกในการประเมินเรื่องต่างๆ จากกรอบโลกทัศน์ เราสรุป จากประสบการณ์ซ้ า ๆ กัน ซึ่งมีโอกาสที่จะมีอคติได้ง่าย ไม่เพียงแต่ประสบการณ์ สวนตัวของเราแต่ละคนเท่านั้นที่มีความล าเอียงแต่ความจ าของเรามีแนวโน้มที่จะ ล าเอียงในการถ่ายทอดประสบการณ์ เช่น เมื่อเราคิดถึงคนขับรถโดยสารประจ าทาง
๑๓ เรามักคิดว่าเป็นผู้ชายมากกว่าที่จะคิดว่าเป็นผู้หญิง สิ่งนี้จึงเป็นปัญหาเมื่อเรา ประเมินความน่าจะเป็น เพราะเรามีแนวโน้มที่จะไม่ท าการประเมินบนพื้นฐานของ จ านวนที่เป็นจริงแต่ประมาณการณ์ความน่าจะเป็นโดยเชื่อมโยงกบตัวอย่างในความ ทรงจ าของเรา ซึ่งในบางเรื่องก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของตัวอย่างที่เข้ามาในความคิดและ ความถี่ในการเห็นเหตุการณ์นั้น ๆ เพราะความถี่นี้จะเป็นตัวตัดสินที่ส าคัญในการท า ให้ง่ายต่อการทวนร าลึกถึง ดังนั้นการคิดวิเคราะห์ช่วยให้เราหาเหตุผลที่ สมเหตุสมผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ณ เวลานั้น โดยไม่มีอคติที่ก่อตัวในความทรงจ า และท าให้เราสามารถประเมินสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างสมจริง 7. เป็นพื้นฐานการคิดในมิติอื่น ๆ การคิดวิเคราะห์นับว่าเป็นปัจจัยที่ท า หน้าที่เป็นปัจจัยหลักส าหรับการคิดในมิติอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคิดเชิงวิพากษ์ การ คิดเชิงสร้างสรรค์ ฯลฯ ซึ่งการคิดวิเคราะห์ช่วยเสริมสร้างให้เกิดมุมมองเชิงลึก และ ครบถ้วนในเรื่องนั้นๆ ในอันที่จะน าไปสู่การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาได้ เช่น การ คิดเชิงวิพากษ์มักจะท าให้เรามีอาการขอคิดดูก่อน แล้วจึงเริ่มต้นคิด เป็นการใช้ กระบวนการคิดวิเคราะห์นั้นเองด้วยการใช้เหตุผลเพื่อสืบค้นหาความจริง 8. ช่วยในการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์เกี่ยวข้องกับการจ าแนกแยกแยะ องค์ประกอบต่างๆและการท าความเข้าในในสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงช่วยเราในเวลาที่ พบปัญหาใด ๆ ให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าปัญหานั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง เพราะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ซึ่งจะน าไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างตรงประเด็นปัญหา เนื่องจากการแก้ไขปัญหาใด ๆ จ าเป็นต้องมีการคิดวิเคราะห์ปัญหาเสียก่อน ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง แยกแยะว่ามีอยู่กี่ประเภท แต่ละประเภทมีรายละเอียดอย่างไร เพื่อให้สามารถคิดต่อไปว่าแต่ละประเภทจะป้องกันและแก้ไขได้อย่างไร 9. ช่วยในการประเมินและตัดสินในการวิเคราะห์ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริง หรือเหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้น ท าให้เกิดความเข้าใจ และที่ส าคัญคือช่วยให้ เราได้ข้อมูลเป็นฐานความรู้ในการน าไปใช้ให้เกิดประโยชน์ การวิเคราะห์ยังช่วยให้ เราสามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้แม่นย ากว่าการที่เรามี แต่เพียงข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์และท าให้เรารู้สาเหตุของปัญหา เห็น โอกาสของความน่าจะเป็นในอนาคต นอกจากนี้ยังช่วยให้มองเห็นโอกาสความ เป็นไปได้ของสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ช่วยให้เกิดการคาดการณ์อนาคต และหากเราลงมือ ปฏิบัติตามนั้นโอกาสแห่งความส าเร็จย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน 10. ช่วยให้คิดสร้างสรรค์สมเหตุสมผล การคิดวิเคราะห์ช่วยให้การคิด ต่าง ๆ ของเราอยู่บนฐานของตรรกะและความน่าจะเป็นไปได้อย่างมีเหตุผล มี หลักเกณฑ์ ส่งผลให้มีการคิด จินตนาการ หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้รับการ ตรวจสอบว่าความคิดใหม่นั้นใช้ได้จริงหรือไม่และถ้าจะใช้ได้จริงต้องเป็นเช่นใด แล้ว มีการเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่จินตนาการกับการน ามาใช้ในโลกแห่งความเป็น จริง สิ่งประดิษฐ์มากมายที่เราพบเห็นในปัจจุบันล้วนเป็นผลลัพธ์อันเกิดจากการ วิเคราะห์ว่าใช้การได้ก่อนที่จะน ามาใช้จริง
๑๔ 11. ช่วยให้เข้าใจกระจ่าง การคิดวิเคราะห์ช่วยให้เราประเมินและสรุปสิ่ง ต่าง ๆ บนข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ไม่ใช่สรุปตามอารมณ์ความรู้สึก หรือการคาดการณ์ ว่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ การคิดวิเคราะห์ท าให้ได้รับข้อมูลที่เป็นจริงซึ่งจะเป็น ประโยชน์ต่อการตัดสินใจที่ส าคัญคือช่วยให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเข้าใจ ลึกซึ้งมากขึ้น เพราะการคิดวิเคราะห์ท าให้สิ่งที่คลุมเครือเกิดความกระจ่างชัด โดย สามารถแยกแยะสิ่งดี - สิ่งไม่ดี สิงที่ถูกต้อง - หลอกลวงโดยการสังเกตความผิดปกติ ของเหตุการณ์ พฤติกรรม หากเราคิดใคร่ครวญถึงเหตุผลของสิ่งนั้นจนเพียงพอที่จะ สรุปได้ว่าเรื่องนั้นมีความเป็นมาอย่างไร เท็จจริงอย่างไร อะไรเป็นเหตุ เป็นผลกับสิ่ง ใด นอกจากนี้การคิดวิเคราะห์ช่วยน าไปสู่ความเข้าใจในเรื่องที่มีความซับซ้อน หากมี เครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์จะท าให้เราค้นพบความจริงที่เป็นประโยชน์ จากความส าคัญของการคิดวิเคราะห์ดังกล่าว สรุปได้ว่า การคิดวิเคราะห์มี ความส าคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก เพราะมนุษย์สามารถด ารงชีวิตได้อย่างมี คุณภาพนั้น ขึ้นอยู่กับการคิดที่มีคุณภาพของมนุษย์ เนื่องจากการคิด วิเคราะห์นั้น เป็นสิ่งที่ไปก าหนดการกระท า การแสดงออก การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และที่ส าคัญ การคิด วิเคราะห์เป็นพื้นฐานที่น าไปสู่การปรับปรุงวิธีคิดให้ดีขึ้นเรื่อยๆ น าไปสู่การ ติดต่อสื่อความหมายและเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.7 การประเมินความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์ ชาตรี ส าราญ (2548 : 40-41) ได้กล่าวถึง เทคนิคการปูพื้นฐานให้นักเรียนคิด วิเคราะห์ได้สามารถสรุปรายละเอียด ดังนี้ 1. ครูจะต้องฝึกให้เด็กหัดคิดตั้งค าถาม โดยยึดหลักสากลของค าถาม คือ ใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไร เพราะเหตุใด อย่างไร โดยการน าสถานการณ์มาให้ นักเรียนฝึกค้นคว้าจากเอกสารที่ใกล้ตัว หรือสิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้นักเรียนตั้ง ค าถามเอง โดยสอนวิธีตั้งค าถามแบบวิเคราะห์ในเบื้องต้น ฝึกท าบ่อย ๆ นักเรียนจะ ฝึกได้เอง 2. ฝึกหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล โดยอาศัยค าถามเจาะลึกเข้าไป โดยใช้ ค าถามที่ขี้บ่งถึงเหตุและผลกระทบที่จะเกิด ฝึกจากการตอบค าถามง่าย ๆ ที่ใกล้ตัว นักเรียนจะช่วยให้เด็ก ๆ น าตัวเองเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เหล่านั้นได้ดี ที่ส าคัญครู จะต้องกระตุ้นด้วยค าถามย่อยให้นักเรียนได้คิดบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย เป็นคนช่างคิด ช่างถาม ช่างสงสัยก่อน แล้วพฤติกรรมศึกษาวิเคราะห์ก็จะเกิดขึ้นแก่นักเรียน Bloom. (1961: 56 อ้างถึงใน ประทีป ยอดเกตุ, 2550 : 30 ได้จ าแนก จุดมุ่งหมายของการศึกษาด้านการคิดตอนต้น และได้เรียบเรียงล าดับพฤติกรรมที่ เกิดขึ้นง่ายไปสู่พฤติกรรมที่ซับซ้อนมีอยู่ 6 ระดับขั้น ดังนี้ ระดับความรู้ ความเข้าใจ การน าไปใช้ การคิดวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่าจากการศึกษา เทคนิคการสอนทางการคิดวิเคราะห์ สรุปได้ว่า เทคนิคในการสอนคิดวิเคราะห์ ครูผู้สอนจะต้องเข้าใจความคิดแบบวิเคราะห์
๑๕ จึงน าไปผสานเทคนิค ค าถาม "5W 1H" โดยการเปิดโอกาสให้เด็กตั้งค าถามตาม เทคนิคดังกล่าวบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย เป็นคนช่างคิด ช่างถามช่างสงสัย แล้วพฤติกรรม วิเคราะห์ก็จะเกิดขึ้นกับนักเรียน เพื่อน าไปสู่การค้นหาความจริงในเรื่อง ดิลก ดิลกานนท์ (2543: 64-65) ได้กล่าวไว้ว่า การฝึกให้คนมีพฤติกรรมที่บ่งชี้ ทักษะการคิดวิเคราะห์ควรมีลักษณะที่รู้จักคิดและตัดสินใจได้อย่างมีระบบ แนวทางการฝึก ท าได้โดยให้พิจารณาจากเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นเรื่องจริงและสมมติให้ผู้เรียน ได้มีโอกาสคิดวิเคราะห์ตามล าดับขั้นตอน 1. วิเคราะห์ว่าอะไรคือปัญหา ขั้นนี้ผู้เรียนต้องรวบรวมปัญหา หาข้อมูล พร้อมสาเหตุของปัญหาจากการคิด การถาม การอ่าน หรือพิจารณาจากข้อเท็จจริง นั้น ๆ 2. ก าหนดทางเลือก เพื่อหาสาเหตุของปัญหานั้นได้แล้ว ผู้เรียนจะต้องหา ทางเลือกที่จะแก้ปัญหา โดยพิจารณาความเป็นไปได้และข้อจ ากัดต่างๆ ทางเลือกที่ จะแก้ปัญหานั้นไม่จ าเป็นต้องมีทางเลือกทางเดียว อาจมีหลายๆ ทางเลือก 3. ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เป็นทางเลือกที่จะแก้ปัญหานั้น โดยมีเกณฑ์ การตัดสินใจที่ส าคัญ คือผลได้ ผลเสีย ที่จะเกิดขึ้นจากทางเลือกนั้นซึ่งจะเกิดขึ้นใน ด้านส่วนตัว สังคมและส่วนรวม 4. ตัดสินใจ เมื่อพิจารณาทางเลือกอย่างรอบคอบในขั้นที่ 3 แล้วตัดสินใจ เลือกทางเลือกที่ดีที่สุดหลังจากที่ผู้เรียนได้รับการฝึกคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจ เลือกที่จะแก้ปัญหาในสถานการณ์นั้น ๆ แล้วผู้เรียนได้มีโอกาสเสนอความคิดและมี การอภิปรายร่วมกันในกลุ่ม ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นซึ่งบางครั้งจะมีความชัด แย้งขึ้นผู้ที่จะประสานความเข้าใจในกลุ่มช่วงแรก ๆครูต้องแนะน า และสังเกตการณ์ อยู่ห่าง ๆ จะพบว่าผู้เรียนจะมีพฤติกรรมที่มีการท างานอย่างมีระบบและเป็นผู้ที่มี ความรอบคอบ มีเหตุมีผล แก้ปัญหา ตัดสินใจกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ การประเมินความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์ดังกล่าว สรุปได้ว่า การที่ปูพื้นฐาน ให้นักเรียนมีพฤติกรรมที่บ่งชี้ทักษะการคิดวิเคราะห์ ตั้งค าถาม ระบุใจความส าคัญ แสดง ความคิดเห็นต่อสิ่งที่อ่าน วัดความสามารถในการให้ตั้งค าถามตามเทคนิค 5W1H บ่อยๆ จน เกิดเป็นนิสัยเป็นคนช่างคิดช่างสังเกตและพฤติกรรมวิเคราะห์จะเกิดขึ้นกับนักเรียน
๑๖ 3. แบบฝึกทักษะ 3.1 ความหมายของแบบฝึกทักษะ แบบฝึกทักษะในภาษาไทยได้มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปหลายอย่าง เช่น ชุดการ ฝึก ชุดแบบฝึก แบบฝึกทักษะ และแบบฝึกหัด เป็นต้น ซึ่งได้มีผู้ให้ความหมายเกี่ยวกับแบบ ฝึกทักษะไว้ดังนี้ จิรเดช เหมือนสมาน (2551 : 8) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่าเป็นงาน หรือกิจกรรมที่ครูผู้สอนมอบหมายให้นักเรียนท าเพื่อฝึกทักษะการคิด-กระบวนการเรียนรู้ และทบทวนความรู้ที่ได้เรียนไปแล้วให้เกิดความช านาญ ถูกต้อง คล่องแคล่ว จนสามารถน า ความรู้ที่ได้ไปแก้ปัญหาได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้น สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะเป็นการที่ครูผู้สอนได้ สร้างขึ้นมาเพื่อน ามาใช้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องที่เรียนมากยิ่งขึ้น ปราณี จิณฤทธิ์ (2552) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกหมายถึง งานที่ครูมอบหมายให้นักเรียนท าด้วยตนเองภายหลังจากได้เรียนบทเรียนเพื่อเป็นการ ทบทวนและฝึกทักษะในเรื่องที่เรียนผ่านมาแล้ว ประภาพร ถิ่นอ่อง (2553) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึงสื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น โดยกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติในแบบฝึกนั้นจะครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว ท าให้นักเรียนมีความรู้และทักษะมากขึ้น เพราะมีรูปแบบหรือลักษณะที่หลากหลาย คณิศร ศรีประไพ (2555) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึก แบบฝึกหัด หรือชุดการฝึก เป็นค าที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน คืองานหรือกิจกรรมทีผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนกระท าเพื่อฝึกทักษะและทบทวนความรู้ ที่ได้ เรียนไปแล้วให้เกิดความช านาญ ถูกต้อง คล่องแคล่ว จนสามารถน าความรู้ไปแก้ปัญหาได้โดย อัตโนมัติ จากความหมายของแบบฝึกทักษะดังกล่าว สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ เป็นสื่อ ประกอบการสอนเป็นงานที่ผู้สอนสร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในเรื่องที่เรียน เพื่อให้ ผู้เรียนได้ทบทวนท าความเข้าใจในเรื่องที่เรียน และผู้สอนสามารถน ามาเป็นเครื่องในกรวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนอีกด้วย 3.2 หลักในการสร้างแบบฝึกทักษะ หลักในการสร้างแบบฝึกทักษะได้มีผู้รู้กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ จิรเดช เหมือนสมาน (2551: 11) ได้สรุปหลักในการสร้างแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ 1. ควรสร้างให้ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการฝึกตามความเหมาะสมกับ พัฒนาการของเด็ก 2. สนองความสนใจของเด็ก 3. ค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 4. จัดท าให้จบเป็นเรื่อง ๆ 5. การประเมินผลความก้าวหน้าในการฝึกควรให้นักเรียนทราบผลทันที
๑๗ สมพร ตอยยีบี (2554) ได้กล่าวไว้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะต้องมีหลักการและ แนวทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการก าหนดแบบฝึกที่ชัดเจน แน่นอน และภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับวัย ควรมีความยากง่ายแตกต่าง และต้องมีหลายรูปแบบ เพื่อให้นักเรียนมี โอกาส ในการใช้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ และแบบฝึกนั้นมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอน มากไม่ว่า จะเป็นด้านผู้เรียนท าให้เด็กเกิดความเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น และในด้าน ครูผู้สอนเกี่ยวกับ เนื้อหาวิชาที่สอนและกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะของนักเรียนให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คณิศร ศรีประไพ (2555) ได้กล่าวไว้ว่า หลักในการสร้างแบบฝึกควรสร้างให้ตรง กับ จุดประสงค์ที่ต้องการฝึกมีความเหมาะสมต่อพัฒนาการของผู้เรียน สนองความสนใจและ ค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล จัดท าให้จบเป็นเรื่อง ๆ การประเมินผลแจ้งผล ความก้าวหน้าในการฝึกให้ผู้เรียนทราบทันทีทุกครั้ง บุญน า เกษี (2556) ได้กล่าวไว้ว่า การสร้างแบบฝึกต้องค านึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล แบบฝึกต้องมีหลายๆ รูปแบบ ควรมีเนื้อหาที่สรุปไว้มีลักษณะย่อ ๆ สร้างเริ่มจากง่ายไปหายากและจะต้องถูกต้อง ค าสั่งในแบบฝึกต้องสั้นกะทัดรัดและเข้าใจง่าย ควรมีการ สอดแทรกทักษะด้านอื่น ๆ เข้าไปด้วย จากหลักการสร้างแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่า ครูผู้สอนต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการ สร้างแบบฝึกและต้องสร้างให้เหมาะสมกับผู้เรียน ค านึงถึงความแตกต่างของระหว่างบุคคล ความยากง่ายของเนื้อหาแบบฝึก 3.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ แบบฝึกทักษะมีประโยชน์เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางภาษา และสามารถที่จะทบทวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ปาริชาติ สุพรรณกลาง (2550) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกเป็นสื่อ การเรียนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และทักษะทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระครูผู้สอน ซึ่ง ประโยชน์ของแบบฝึกท าให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนได้มากขึ้น มีความเชื่อมั่นฝึกท างานด้วย ตนเอง ท าให้มีความรับผิดชอบ และท าให้ครูทราบปัญหาและข้อบกพร่องของนักเรียนใน เรื่องที่เรียนท าให้สามารถแก้ปัญหาได้ทันที นอกจากนี้แบบฝึกยังเปิดโอกาสให้เด็กฝึกทักษะ อย่างเต็มที่ทั้งยังช่วยให้คงอยู่ได้นาน และเป็นเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจบ บทเรียน แต่ละครั้งอีกด้วย อุษณีย์ เสือจันทร์ (2553) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกช่วยในการ ฝึกเสริมเพิ่มทักษะท าให้จดจ าเนื้อหาได้คงทน มีเจตคติที่ดีต่อวิชาที่เรียน สามารถน ามา แก้ปัญหาเป็นรายบุคคลและรายกลุ่มได้ดี ผู้เรียนสามารถน ามาทบทวนเนื้อหาได้ด้วยตนเอง ท าให้ผู้เรียนทราบความก้าวหน้าของตน เป็นเครื่องมือที่ครูผู้สอนใช้ประเมินผลการเรียนรู้ได้ เป็นอย่างดีว่านักเรียนเข้าใจมากน้อยเพียงใด สมพร ตอยยีบี (2554) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกมีความส าคัญ ต่อการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆ เพราะจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาบทเรียนและยัง สามารถทบทวนเนื้อหาได้ด้วยตนเอง
๑๘ คณิศร ศรีประไพ (2555) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกมีประโยชน์ เป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ สามารถที่จะทบทวนได้ด้วยตนเองและเห็น ความก้าวหน้าของ ตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดภาระของครูผู้สอนอีกด้วย บุญน า เกษี (2556) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกมีความส าคัญท า ให้เกิดทักษะความช านาญหากแต่ต้องการได้รับการฝึกหลาย ๆ ครั้ง หลายรูปแบบเมื่อผู้เรียน ได้รับการฝึกแล้ว อย่างน้อยผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้แน่นอน แบบฝึกมีประโยชน์ต่อ ครูผู้สอนในการแก้ปัญหาของนักเรียนที่มีปัญหามากได้ด ี จากประโยชน์ของแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่า แบบฝึกมีประโยชน์เป็นเครื่องมือที่ ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ สามารถที่จะทบทวนด้วยตนเองและเห็นความก้าวหน้าของตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดภาวะของครูผู้สอนอีกด้วย 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ บรรจง แสงนภาวรรณ (2556) ศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยประยุกต์ใช้เทคนิคการสอน KWL Plus ผลการศึกษา พบว่า 1. นักเรียนมีทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ หลังการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้ เทคนิคการสอน KWL Plus สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้เทคนิคการสอน KWL Plus อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยประยุกต์ใช้เทคนิคการสอน KWL Plus โดย ภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับเห็นด้วย มากทุกด้าน เรียงตามล าดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการจัดกิจกรรม ด้าน ประโยชน์ที่ได้รับ และด้านบรรยากาศตามล าดับ สุรีรัตน์ พะจุไทย (2558) ศึกษาการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยใช้วิธีการ สอนแบบสืบสอบ 7E ร่วมกับเทคนิคการตั้งค าถาม 5W1H ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ผลการศึกษาพบว่า 1. ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบสืบสอบ 7E ร่วมกับเทคนิคการตั้งค าถาม 5W1H รายวิชาวิทยาศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนจัดการเรียนรู้ มีวาม แตกต่างกัน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบปกติ รายวิชาวิทยาศาสตร์ มีคะแนนหลังการ จัดการเรียนรู้สูงขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติระดับ .05 3. ทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยใช้ วิธีการสอนแบบสืบสอบ 7E ร่วมกับเทคนิคการตั้งค าถาม 5W1H มีคะแนนสูงกว่านักเรียนที่ เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ปกติ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติระดับ .05 เพ็ญพักตร์ ทดลา (2559) ศึกษาการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ โดยใช้การเรียนรู้เทคนิค STAD ประกอบแบบฝึกทักษะ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผล การศึกษาพบว่า 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้พัฒนาความสามารถด้านการอ่านคิด วิเคราะห์ โดยใช้เทคนิค STAD ประกอบแบบฝึกทักษะระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มี ประสิทธิภาพ 80.94/81.46 เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2. ดัชนีประสิทธิผลของ
๑๙ การวัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ โดยใช้ เทคนิค STAD ประกอบแบบฝึกทักษะ มีค่าเท่ากับ 0.6931 หรือร้อยละ 69.31 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ โดยใช้เทคนิค STAD ประกอบแบบฝึกทักษะ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติระดับ .05 4. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ โดย ใช้เทคนิค STAD ประกอบแบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก แขไข จันทร์บวร (2561) ศึกษาการพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก ผลการศึกษาพบว่า 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการ จัดการเรียนการสอนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิกวิชา ภาษาไทยมีคะแนนความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนด้วยแบบฝึก ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิกกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่2 มีเจตคติที่ดีต่อการจัดการเรียนการสอนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ชนกพร สุริโย (2562) ศึกษาการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิค 5W1H ประกอบแบบฝึก กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ผลการศึกษาพบว่า 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โยใช้เทคนิค 5W1H ประกอบ แบบฝึกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.01/82.44 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2.ประสิทธิผลของการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีค่าเท่ากับ 0.7151 คิด เป็นร้อยละ 71.51 3. นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H ประกอบแบบฝึก มีความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์หลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 80.02 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 4.นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค 5W1H ประกอบแบบฝึกภาพรวมอยู่ในระดับมาก 5.วิธีด าเนินการวิจัย 5.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัด นราธิวาส จ านวน 30 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้ท าการเลือกตัวอย่างจากนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 จ านวน 15 คน 5.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การ อ่าน คิด วิเคราะห์นิทานอีสป
๒๐ 5.2.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาผลการเรียนรู้ ได้แก่ ชุดแบบฝึกทักษะการอ่านคิด วิเคราะห์นิทานอีสป แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป จ านวน 20 ข้อ 20 คะแนน 5.2.3 เครื่องมือที่ใช้สะท้อนผลการเรียนรู้ ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนของ นักเรียน แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินความเหมาะสมของ แบบทดสอและแบบประเมินผลความพึงพอใจของนักเรียน 5.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป 2. ประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทาน อีสป 3. ทดลองการจัดการเรียนการสอนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัด นราธิวาส 5.3 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยน าข้อมูลที่ได้จากการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ การอ่าน คิด วิเคราะห์ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ไป วิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. วิเคราะห์ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยน าคะแนนจากแบบประเมินในแต่ละข้อมารวมกันหารด้วยจ านวนข้อ จึงได้ค่าเฉลี่ย แล้วน ามาเทียบกับเกณฑ์คุณภาพที่ก าหนดไว้ จากนั้นจึงน าคะแนน เฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน มาวิเคราะห์แยกเป็นรายด้าน 2. เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการเรียนด้วยแผนการจัดการ เรียนรู้ การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป 3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอ ร้อง จังหวัดนราธิวาส
๒๑ 6. ผลการวิจัย การพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ผู้วิจัยน าเสนอ ผลการวิจัยตามล าดับ ดังนี้ ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทาน อีสป ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป สัญลักษณ์ทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล n แทน จ านวนนักเรียน แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทาน อีสป ปรากฏดังตารางที่ 1 ตารางที่ ๑ เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการสอนโดยใช้หน่วยการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป ** มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากตารางที่ 1 พบว่า ความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ ของ นักเรียนก่อนและหลังเรียน ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป การทดสอบ N คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) t ก่อนเรียน หลังเรียน 15 15 10.00 13.27 1.36 3.88 15.84*
๒๒ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 10.00 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 1.36 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 13.27 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.88 มีค่าการทดสอบที (t - test) เท่ากับ 15.84 และมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ สอนในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป ปรากฏดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ สอนในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย S.D ระดับความ พึงพอใจ 1. เนื้อหาที่เรียนเข้าใจง่าย เป็นเนื้อหาตามความสนใจ 4.33 0.47 มาก 2. เนื้อหาที่เรียนไม่ยาวเกินไป ให้ความรู้และน าไปใช้ได้ 3.93 0.44 มาก 3. วิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่เรียนแล้วสนุก 4.07 0.68 มาก 4. มีความสุขเมื่อได้ท างานร่วมกับเพื่อน 4.67 0.47 มากที่สุด 5. ชอบการเรียนแบบกิจกรรมกลุ่ม 4.80 0.40 มากที่สุด 6. กิจกรรมช่วยกระตุ้นสมองให้รู้จักคิด ได้เคลื่อนไหว 4.73 0.44 มากที่สุด 7. สื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการจดจ าและเข้าใจง่าย 3.93 0.57 มาก 8. สื่อมีความแปลกใหม่น่าสนใจ 4.13 0.72 มาก 9. ฉันมีความสุข สนุกในการท ากิจกรรม และการท าแบบฝึกหัด 4.87 0.34 มากที่สุด 10. ฉันภูมิใจที่ครูชมเชยและให้รางวัล 5.00 0.00 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวม 4.45 0.45 มาก ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในตารางที่ 2 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนใน หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.45 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.45 เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่าข้อที่มีผลเฉลี่ยมากที่สุดคือ ฉันภูมิใจที่ครูชมเชยและให้รางวัล ( = 5.00 และ S.D. = 0.00 ) รองลงมาได้แก่ ฉันมีความสุข สนุกในการท ากิจกรรม และการท าแบบฝึกหัด
๒๓ ( = 4.87 และ S.D. = 0.34 ) ชอบการเรียนแบบกิจกรรมกลุ่ม ( = 4.80 และ S.D. = 0.40 ) กิจกรรมช่วยกระตุ้นสมองให้รู้จักคิด ได้เคลื่อนไหว ( = 4.73 และ S.D. = 0.44 ) มีค ว ามสุ ขเมื่อได้ท าง าน ร่ ว มกับเพื่ อน ( = 4.63 แ ล ะ S.D. = 0.47 ) เนื้อหาที่เรียนเข้าใจง่าย เป็นเนื้อหาตามความสนใจ ( = 4.33 และ S.D. = 0.47 ) สื่อมีความแปลกใหม่น่าสนใจ ( = 4.13 และ S.D. = 0.72 ) วิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่ เรียนแล้วสนุก ( = 4.07 และ S.D. = 0.68 ) สื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการจดจ าและเข้าใจ ง่าย ( = 3.93 และ S.D. = 0.57) เนื้อหาที่เรียนไม่ยาวเกินไป ให้ความรู้และน าไปใช้ได้ ( = 3.93 และ S.D. = 0.44 ) 7. สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 7.1 สรุปผลการวิจัย 1. การพัฒนาทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 7.2 อภิปรายผลการวิจัย การพัฒนาความสามรถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้นิทานอีสปประกอบการสอน โรงเรียนบ้านเจาะเกาะ อ าเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส อภิปรายผลได้ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในหน่วยการ เรียนรู้เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ในหน่วยการเรียนรู้เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบาโงย ซิแน อ าเภอยะหา จังหวัดยะลา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อน เรียนนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 10.00 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.36 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 13.27 คะแนน มีส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.88 มีค่าการทดสอบ (t - test) เท่ากับ 15.84 และมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับ งานวิจัยของ จีราพรรณ ยี่หร่า (2552 ) ศึกษาการพัฒนาทักษะการ อ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรียนวัดอมรญาติสมาคม จังหวัดราชบุรี โดยใช้นิทานคุณธรรม กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนจ านวน 35 คน ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียนภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05
๒๔ 2. การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ สอนในหน่วยการเรียนรู้เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่าน คิด วิเคราะห์ นิทานอีสป ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.45 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.45 สอดคล้องกับ ค ากล่าวของ จีราพรรณ ยี่หร่า (2552) กล่าวว่า การสอนโดยใช้นิทาน จะท าให้นักเรียนมีความสนใจในการอ่าน เกิดความเพลิดเพลิน และ ได้รับความรู้ในหลายด้าน เช่น ครูผู้สอนสามารถฝึก ให้นักเรียนอ่าน สรุปใจความส าคัญ วิเคราะห์เหตุการณ์ ลักษณะของตัวละคร องค์ประกอบ ข้อคิดในนิทาน ครูตั้งค าถามและ นักเรียนตอบค าถาม ร่วมกันสรุปอภิปรายหลังการอ่านนิทาน นอกจากนั้นนิทานสอดแทรก วัฒนธรรมประเพณีได้รับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม การใช้ จินตนาการและการพัฒนา ทักษะทางภาษาของนักเรียนได้ดียิ่งขึ้น ๗.๓ ข้อเสนอแนะ 1. ควรวิจัยเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาในระดับช่วงชั้นอื่นต่อไป 2. ควรวิจัยเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ โดยใช้วิธีการสอนใน รูปแบบอื่น ๆ
๒๕ บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. องค์กรรับส่ง สินค้าและพัสดุภัณฑ์. จุฬาลักษณ์ ดอกเข็ม.(2550). ผลสัมฤทธิ์และทักษะการอ่านเชิงวิเคราะห์กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยรูปแบบการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้. [วิทยานิพนธ์ มหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยขอนแก่น. จรัสกร เล็กตระกูล. (2553). การศึกษาความสามารถอ่านค าและความสนใจในการอ่าน ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินจากการใช้ชุดพัฒนาทักษะการอ่าน. [ปริญญา นิพนธ์ มหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. จีราพรรณ ยี่หร่า. (2552) การพัฒนาทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนภาษาไทยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดอมรญาติสมาคม จังหวัดราชบุรี โดยใช้นิทานคุณธรรม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช DOI : https://doi.nrct.go.th/ListDoi/listDetail?Resolve_DOI= ฐะปะนีย์ นาครทรรพ. (2547). การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). เมธีทิปส์. ทิพย์วิมล พัวเจริญสิน. (2552). การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาราชบุรีเขต 2 ที่มีเพศ และระดับการ รับรู้ความสามารถของตนเองด้านการเรียนแตกต่างกัน. [ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ธนู ทดแทนคุณ และกานต์รวี แพทย์พิทักษ์. (2552). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. โอเดียนสโตร์. บุญน า เที่ยงดี (2548). การเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนกลุ่มสาระการ้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ร่างกายมนุษย์แลสัตว์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่าง นักเรียนที่เรียนรู้โดยใช้กลุ่มร่วมมือแบบ STAD. [วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ. (2551). การพัฒนาการคิด. 9119 เทคนิคพริ้นติ้ง. ไพพรรณ อินทนิล. (2546). การส่งเสริมการอ่าน. ชลบุรีการพิมพ์. ลักขณา สริวัฒน์ (2549). การคิด. โอเดียนสโตร์. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 5). สุวีรียาสส์น. วันทนา เมืองจันทร์. (2547). การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กวัยเรียน . วิทยาจารย์. วิมล จิโรจพันธุ์ และคนอื่น ๆ. (2546). กรอบมาตรฐานการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ หมวดวิชา ภาษาไทย. บรรณกิจ1991. วิลาวัลย์ เจริญพงศ์. (2547). ความสัมพันธ์ระหว่างการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การคิด วิพากษ์กับความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. [วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก. วีระ สุดสังข์. (2549). การคิด. ใน สนิท บุญฤทธิ์ (บรรณาธิการ), การคิดวิเคราะห์คิดอย่างมี วิจารณญาณ และคิดสร้างสรค์ชมรมเด็ก.
๒๖ ศุภรณ์ ภูวัด. (2553). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ส าหรับนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนมัธยมนาคนาวาอุปถัมภ์ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร. [สารนิพนธ์ มหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์].มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สมชาย หอมหยก. (2550). ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร. โครงการต ารามหาวิทยาลัยราชภัฏวไลย อลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์. สุวิทย์ มูลค า (2547). กลยุทธ์การสอนสังเคราะห์. (พิมพ์ครั้งที่ 2). ภาพพิมพ์. Bloom, Benjamin S. (1956). Taxonamy of Educational Objective Handbook Conginitive Domain. New York : David Mckey Company inc. Good, carter V. (1973). Dictionary of Education. New York : McGraw Hill.
๒๗ ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
๒๘
๒๙
๓๐
๓๑
๓๒ 11.08
๓๓
๓๔
๓๕
๓๖ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย รายวิชา ท 16101 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านคิดวิเคราะห์ นิทานอีสป จ านวน 6 ชั่วโมง หน่วยย่อยที่ 1 นิทานอีสป หมาป่ากับลูกแกะ ลูกกระพรวนกับหนู จ านวน 2 ชั่วโมง มาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อน าไปใช้ ตัดสินใจแก้ปัญหาในการด าเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ท 1.1 ป.6/3 อ่านเรื่องสั้น ๆ อย่างหลากหลาย โดยจับเวลาแล้วถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ท 1.1 ป.6/8 อ่านหนังสือตามความสนใจ และ อธิบายคุณค่าที่ได้รับ สาระส าคัญ การอ่านนิทานอย่างคิดวิเคราะห์ จะท าให้ผู้อ่านเกิดความสนุกสนานและเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ดี ยิ่งขึ้นและสามารถน าข้อคิดที่ได้จากนิทานประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวันได้ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของนิทานได้ (K) 2. นักเรียนสามารถตอบค าถามจากเรื่องที่อ่านได้ (P) 3. นักเรียนอธิบายคุณค่าจากเรื่องที่อ่านได้(P) 4. นักเรียนเห็นความส าคัญของการอ่าน (A) สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายนิทาน 2. นิทานเรื่อง หมาป่ากับลูกแกะ 3. นิทานเรื่อง ลูกกระพรวนกับหนู สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร - มีความสามารถในการส่งสาร-รับสาร 2. ความสามารถในการคิด - มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์
๓๗ 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต - เรียนรู้ด้วยตนเองได้เหมาะสมตามวัย - สามารถท างานกลุ่มร่วมกับผู้อื่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน 2. มุ่งมั่นในการท างาน การจัดกระบวนการเรียนรู้ ขั้นน าเข้าสู่บทเรียน 1. ครูสนทนากับนักเรียนว่า นักเรียนเคยฟังนิทานเรื่องอะไรบ้าง มีใครอยากเล่านิทาน ให้เพื่อน ๆ และครูฟังบ้าง เพื่อเป็นกระตุ้นความจ าของนักเรียนและฝึกทักษะการ สื่อสารของนักเรียน ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูอธิบายความรู้เรื่องความหมายนิทาน โดยขึ้นจอโทรทัศน์ให้นักเรียนอ่านพร้อม ๆ กัน 2. ครูสอบถามนักเรียน นิทานคืออะไร จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น 3. ครูให้นักเรียนอ่านนิทาน เรื่อง หมาป่ากับลูกแกะ ในแบบฝึกทักษะที่ 1.1 4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหาของนิทาน และครูอธิบายค าศัพท์จากนิทานที่ นักเรียนไม่เข้าใจเพิ่มเติม 5. ครูให้นักเรียนท าแบบฝึกทักษะที่ 1.1 เรื่อง หมาป่ากับลูกแกะ 6. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ท ากิจกรรม “วิเคราะห์นิทาน” โดยรายละเอียดกิจกรรมมีดังนี้ 6.1 ครูแจกแบบฝึกทักษะที่ 1.2 เนื้อหานิทาน เรื่อง ลูกกรพรวนกับหนู ให้ นักเรียนแต่ละกลุ่ม 6.2 ครูชี้แจงกิจกรรมกลุ่มโดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันตั้งค าถามและ ช่วยกันตอบและสรุปข้อคิดที่ได้จากนิทาน 6.3 ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาน าเสนอหน้าชั้นเรียนและผลัดกันถามตอบกับเพื่อนกลุ่มอื่น ขั้นสรุปบทเรียน ครูอธิบายเพิ่มเติมและให้นักเรียนถามประเด็นข้อสงสัย สื่อการเรียนรู้ 1. นิทานเรื่อง ลูกกระพรวนกับหนู และ หมาป่ากับลูกแกะ 2. Power Point ประกอบการสอน เรื่อง นิทาน 3. แบบฝึกทักษะ เรื่อง หมาป่ากับลูกแกะ ลูกกระพรวนกับหนู
๓๘ ชิ้นงาน/ภาระงาน 1. แบบฝึกทักษะ หมาป่ากับลูกแกะ 2. แบบฝึกทักษะ ลูกกระพรวนกับหนูกิจกรรม “วิเคราะห์นิทาน” เป็นกิจกรรมกลุ่ม เพื่อให้นักเรียนฝึกการท างานเป็นกลุ่ม การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินผล เครื่องมือการวัดและประเมินผล เกณฑ์การวัดและ ประเมินผล ด้านความรู้ (K) นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของนิทานได้ แบบสังเกตพฤติกรรม การตอบค าถามในชั้นเรียน ร้อยละ 50 ผ่าน เกณฑ์ ด้านทักษะกระบวนการ (P) นักเรียนตอบค าถามจากเรื่องที่อ่านได้ นักเรียนอธิบายคุณค่าจากเรื่องที่อ่านได้ แบบฝึกทักษะ กิจกรรมกลุ่ม วิเคราะห์นิทาน ร้อยละ 50 ผ่าน เกณฑ์ ด้านคุณลักษณะอันพึงปะสงค์ (A) สังเกตพฤติกรรมนักเรียน แบบประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ร้อยละ 50 ผ่าน เกณฑ์
๓๙ บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ผลการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหา/อุปสรรค ............................................................................................................ .................................................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแก้ไข ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…………………………..ผู้สอน (นายอัฟณัน เจ๊ะมุ) .……/……./.…..
๔๐ ภาคผนวก ก การวัดและประเมินผล
๔๑ แบบประเมินแบบฝึกหัด จ านวน 5 ข้อ (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) ที่ ชื่อ-นามสกุล จ านวนข้อ ที่ตอบถูก ผลการ ประเมิน *หมายเหตุ ตอบถูก 1 ข้อ = 2 คะแนน เกณฑ์การผ่าน ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ คะแนนร้อยละ 50 - 100 คะแนนร้อยละ 0 - 49 ผ่าน ไม่ผ่าน