The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

E-book หนังสือลายหน้าหมอนไทยทรงดำ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thiradasommanas, 2022-08-22 02:26:01

หนังสือลายหน้าหมอนไทยทรงดำ

E-book หนังสือลายหน้าหมอนไทยทรงดำ

ส�ำนกั ศลิ ปะและวัฒนธรรม มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั หมู่บ้ำนจอมบงึ

ปรัชญำ (Philosophy)
“อนรุ กั ษ์ สืบสานงานศลิ ปข์ องแผ่นดนิ เผยแพรภ่ มู ปิ ญั ญาท้องถิ่นสสู่ ากล”
นโยบำยด้ำนกำรทำ� นบุ ำ� รุงศิลปะและวฒั นธรรม
๑. พัฒนาแหล่งเรยี นรดู้ า้ นศลิ ปะและวฒั นธรรมของทอ้ งถ่นิ
๒. สรา้ งจิตสา� นกึ ดา้ นศลิ ปะและวัฒนธรรมของท้องถ่ินและของชาติ ใหก้ ับนกั ศกึ ษาและบคุ ลากร
๓. จดั กิจกรรมเพอื่ การอนุรักษ ์ สืบสาน ส่งเสริม และเผยแพรศ่ ลิ ปะและวัฒนธรรม
๔. พฒั นาศกั ยภาพบุคลากรในการด�าเนินงานดา้ นทา� นบุ า� รงุ ศลิ ปะและวัฒนธรรม
๕. สร้างสรรคผ์ ลงานดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรมให้เป็นทย่ี อมรับในระดับชาติและนานาชาติ
๖. ศกึ ษา คน้ ควา้ รวบรวมองคค์ วามรดู้ า้ นศลิ ปะและวฒั นธรรมของชมุ ชนและทอ้ งถน่ิ เพอ่ื การอนรุ กั ษแ์ ละเผยแพร่
๗. รว่ มมอื กบั องค์กรตา่ งๆ ในระดับทอ้ งถิ่น ระดับชาต ิ และนานาชาติ ทง้ั ภาครัฐ/เอกชน ในการจดั กจิ กรรม
อนรุ กั ษ์ ท�านบุ �ารุง ส่งเสรมิ และเผยแพรศ่ ลิ ปะและวัฒนธรรม
๘. ดา� เนนิ งานดา้ นทา� นบุ า� รงุ ศลิ ปะและวฒั นธรรม เพอ่ื ใหบ้ รรลตุ ามเกณฑม์ าตรฐานการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา
๙. พัฒนาสอื่ สารสนเทศเพื่อการเผยแพรง่ านด้านท�านบุ า� รงุ ศลิ ปะและวฒั นธรรมสูส่ ากล
ปณิธำน (Determination)
๑. สนับสนุนส่งเสริมมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ส่งเสริม สืบสาน อนุรักษ์
และเผยแพร่งานดา้ นศิลปะและวฒั นธรรมของชุมชนและทอ้ งถ่ินสู่สากล
๒. สรา้ งเครือขา่ ยและพฒั นาความรว่ มมอื เพอ่ื การด�าเนนิ งานด้านทา� นบุ า� รุงศิลปะและวฒั นธรรม
๓. ส่งเสริมให้เกิดการจัดกิจกรรมสร้างจิตส�านึกทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมให้กับนักศึกษาและบุคลากร
ของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบงึ ตลอดจนประชาชนทว่ั ไป
๔. พัฒนาศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โดยการสร้างสรรค์
ผลงานทางดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรมใหเ้ ปน็ ที่ยอมรับในระดับชาติ
๕. สง่ เสรมิ สนบั สนนุ พฒั นาการดา� เนนิ งานดา้ นทา� นบุ า� รงุ ศลิ ปะและวฒั นธรรมใหบ้ รรลตุ ามเกณฑม์ าตรฐาน
การประกันคณุ ภาพการศกึ ษา
๖. ส่งเสริม สนับสนุน และพฒั นาสอ่ื สารสนเทศเพอื่ การเผยแพรง่ านดา้ นท�านบุ �ารุงศลิ ปะและวัฒนธรรมสสู่ ากล
วิสัยทศั น์
“มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏหมูบ่ า้ นจอมบึงเป็นศนู ย์กลางแห่งการเรยี นรู้ อนุรักษ์ สบื สาน สง่ เสริม สร้างสรรค์ และ
เผยแพร่งานดา้ นศลิ ปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาทอ้ งถนิ่ สสู่ ากล”
พนั ธกิจ

๑. สง่ เสรมิ สบื สาน อนรุ กั ษ ์ สรา้ งเครอื ขา่ ย และเผยแพรง่ านดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรมของชมุ ชนและทอ้ งถน่ิ สสู่ ากล
๒. ดา� เนนิ งานดา้ นทา� นบุ า� รงุ ศลิ ปะและวฒั นธรรมใหบ้ รรลตุ ามเกณฑม์ าตรฐานการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา
เปำ้ ประสงค์
๑. มีผลงานดา้ นศิลปะและวัฒนธรรมเป็นท่ยี อมรบั ในระดบั ชาติและนานาชาติ
๒. เป็นหนว่ ยงานทด่ี �าเนินงานดา้ นท�านุบา� รงุ ศิลปะและวฒั นธรรมอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ

คํานํา

ตามทส่ี า� นกั ศลิ ปะและวฒั นธรรม ไดร้ บั งบประมาณโครงการยทุ ธศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาทอ้ งถน่ิ ตามยทุ ธศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏ ประจ�าปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น
ตามพระราโชบาย ระยะ ๒๐ ป พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ ซึง่ เชอื่ มโยงกบั แผนการพฒั นาท้องถ่ิน นา� มาจดั ท�าโครงการ
สรา้ งมูลคา่ เพมิ่ ให้ผลิตภัณฑท์ างวฒั นธรรมและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่นราชบรุ ี การนไ้ี ดร้ วบรวมองค์ความรูใ้ นการประดิษฐ์
ลายหน้าหมอนของชาวไทยทรงด�าจังหวัดราชบุรี เพื่อการอนุรักษ์และเผยแพร่ไปยังผู้ที่สนใจ ได้ศึกษาเรียนรู้ และ
กประดษิ ฐ ์ และนา� ไปพฒั นาตอ่ ยอดในการเพมิ่ มลู คา่ ใหก้ บั ผลติ ภณั ฑท์ างวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ราชบรุ ตี อ่ ไป
ส�านักศิลปะและวัฒนธรรมหวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์กับผู้ท่ีสนใจ เยาวชน และ
ชมุ ชนชาวไทยทรงด�า ได้ตระหนกั รถู้ ึงคณุ ค่าของภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ เพอื่ นา� ไปสู่การ “ น ู สืบสาน และเพมิ่ มลู คา่ ”
ภูมิปญั ญาการประดษิ ฐล์ ายหนา้ หมอนไทยทรงดา� สรา้ งเศรษฐกิจในชุมชนเพอื่ การพฒั นาท้องถน่ิ อย่างย่ังยืน

ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์เบญจา ลขิ ิตยิ่งวรา
ผอู้ า� นวยการสา� นกั ศิลปะและวฒั นธรรม
มหาวิทยาลยั ราชภัฏหมู่บา้ นจอมบึง

1

คํานยิ ม

พันธกิจท่ีส�าคัญประการหน่ึงของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในฐานะของสถาบันอุดมศึกษา
เพ่ือการพัฒนาท้องถนิ่ คือ การทา� นบุ า� รงุ ศลิ ปะและวัฒนธรรม โดยเ พาะอย่างย่งิ ศลิ ปะและวัฒนธรรมของทอ้ งถนิ่
ซงึ่ เกดิ จากภมู ปิ ญั ญา ควรไดร้ บั การอนรุ กั ษ ์ สง่ เสรมิ และเผยแพรใ่ หเ้ กดิ ความภาคภมู ใิ จในหมชู่ าตพิ นั ธไ์ุ ทยทรงดา� และ
คนไทยโดยทวั่ ไป โดยเ พาะอยา่ งยง่ิ เยาวชน เพอื่ ใหส้ งิ่ ทง่ี ดงามและแสดงถงึ ภมู ปิ ญั ญาอนั ลา�้ คา่ ของบรรพบรุ ษุ ทเ่ี ปน็ คน
ไทยทรงดา� ไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงาน “ลวดลายหนา้ หมอน” สา� หรบั การประดบั ตกแตง่ ขา้ วของเครอื่ งใชใ้ นชวี ติ ประจา� วนั
ซึ่งต้องใช้ มือและสอดแทรกงานศิลปะจนเกิดความงดงามและเกิดประโยชน์ใช้สอย ซ่ึงเราจะพบเห็นผลงาน
ประเภทน้ีได้โดยทั่วไปทุกบ้านเรือนในอดีต แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มาทดแทนส่งผลท�าให้งาน มือประเภทนี้
กา� ลังจะเลอื นหายไป
ดังนั้นการท่ีส�านักศิลปะและวัฒนธรรมได้รวบรวมองค์ความรู้ และน�ามาเผยแพร่ในรูปแบบของหนังสือ
“ลายหน้าหมอนไทยทรงด�า” เพ่ือเผยแพร่ความรู้เก่ียวกับงานหัตถกรรมการประดิษฐ์ลายหน้าหมอนไทยทรงด�า
จังหวัดราชบุรี ส�าหรับให้เยาวชน คนรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อๆ ไปได้ตระหนักรู้ถึงภูมิปัญญาอันล�้าค่าของบรรพบุรุษ
เพื่อจะได้น�ามาศึกษาต่อยอด และช่วยกันอนุรักษ์ไว้ หรือหากเป็นไปได้ ควรมีการพิจารณาสร้างมูลค่าเพิ่ม ท้ังด้าน
คณุ คา่ ทางจติ ใจ และการใชป้ ระโยชนข์ องผลติ ภณั ฑท์ างวฒั นธรรมน ี้ จงึ เปน็ สงิ่ ทคี่ วรชนื่ ชมอยา่ งยงิ่ เพราะมเิ ชน่ นนั้ แลว้
หากไมม่ กี ารรวบรวมองคค์ วามรนู้ ไ้ี ว ้ และเผยแพรใ่ หค้ นทว่ั ไปไดร้ จู้ กั เชอ่ื ไดว้ า่ อกี ไมน่ านสง่ิ นจี้ ะสญู หายไปตามกาลเวลา
ส�าหรับจังหวัดราชบุรี ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีผลงานด้านศิลปะและวัฒนธรรมอันล้�าค่ามากมาย
อนั เกดิ จากภมู ปิ ญั ญาของคนไทยพนื้ ถน่ิ หรอื แมแ้ ตภ่ มู ปิ ญั ญาของพน่ี อ้ งตา่ งชาตพิ นั ธท์ุ ไ่ี ดม้ าลงหลกั ปกั ฐาน ทา� สมั มาอาชพี
ในราชบุรี ซ่ึงส�านักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ได้มีบทบาทในการอนุรักษ์ พัฒนา
ส่งเสริมและเผยแพร่ไว้ในหลายรูปแบบผ่านข้อมูลออนไลน์ ศิลปะการแสดง และการจัดท�าในรูปแบบของเอกสาร
เชน่ หนงั สือ บับน้ี จึงขอเชิญชวนให้เยาวชน ผูท้ ี่สนใจทว่ั ไป และเจ้าของภูมิปญั ญาได้ตดิ ตาม และศึกษาองค์ความรู้
ที่มคี ณุ ค่าดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรมต่อไป

ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย ์ ดร.ชัยฤทธ ์ิ ศลิ าเดช
อธิการบดมี หาวิทยาลัยราชภัฏหมบู่ า้ นจอมบึง

2

สารบญั

คำ� นำ�
คำ� นยิ ม
สำรบัญ
สำรบัญภำพ
บทท่ี ชำวไทยลำวโ ่ง (ไทยทรงด�ำ)
ความเป็นมาของไทยทรงด�า ๑๑
แหลง่ ท่ีมาของการศกึ ษาลายหน้าหมอน ๑๒
๑. ชมุ ชนบ้านหวั เขาจนี ๑๓
๒. ชุมชนบ้านดอนคลงั ๑๕
๓. ชมุ ชนบา้ นตลาดควาย ๑๕
๔. ชุมชนบา้ นวังปลา ๑๖
บทที่ ลำยหนำ้ หมอนไทยทรงดำ�
๑. ลกั ษณะของหมอนไทยทรงดา� ๑๘
๒. ทม่ี าของลายหน้าหมอน ๑๙
๓. การประดิษฐล์ ายหน้าหมอนของชาวไทยทรงด�า ๒๓
๔. วสั ดอุ ุปกรณ์ และเทคนิควิธกี ารประดษิ ฐล์ ายหนา้ หมอนดว้ ยวิธกี าร
พับปะตดิ ๒๓
บทท่ี ลำยหน้ำหมอนไทยทรงดำ� นจังหวัดรำชบุรี
๑. ลายหนา้ หมอนบ้านดอนคลงั
ตา� บลดอนคลงั อา� เภอด�าเนนิ สะดวก จงั หวดั ราชบรุ ี ๒๕
๒. ลายหนา้ หมอนบา้ นหัวเขาจนี
ตา� บลหว้ ยยางโทน อ�าเภอปากทอ่ จังหวัดราชบรุ ี ๓๖
๓. ลายหนา้ หมอนบา้ นตลาดควาย
ตา� บลจอมบึง อา� เภอจอมบึง จังหวดั ราชบรุ ี ๕๗
๔. ลายหนา้ หมอนบ้านวงั ปลา
ต�าบลแกม้ อ้น อา� เภอจอมบงึ จงั หวดั ราชบุรี ๖๔
บทที่ ลำยหนำ้ หมอนแบบปกหรอลำยแ ่วด้วยเสน้ ไหม หรอดำ้ ยสี
๑. วสั ดอุ ปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นการปักลายหนา้ หมอน ๗๑
๒. ท่มี าของลวดลายปกั หรอื ลายแซ่ว ๗๓
๒.๑ ลวดลายปักที่จินตนาการจากพนั ธุ์พืช ๗๓
๒.๒ ลวดลายปักท่จี นิ ตนาการจากขอกดุ ๗๗

3

สารบญั (ต‹อ)

๒.๓ ลายหนา้ หมอนที่ได้รบั แรงบันดาลใจจากสตั ว์ ๗๙
๒.๔ ลวดลายปักทีจ่ นิ ตนาการจากอน่ื ๆ ๘๓
๙๕
บทที่ บทสรุปกำรประดษิ ล์ ำยหน้ำหมอน
บรรณำนุกรม ๙๙
ภำคผนวก
ผใู้ ห้ขอ้ มลู และสาธติ การประดิษฐ์ลายหนา้ หมอน
การลงพ้ืนที่เก็บข้อมลู และลายหนา้ หมอน

4

สารบญั ภาพ ๑๘
๑๘
ภาพท ี่ ๒.๑ เสือ้ ขี องชาย ๑๘
ภาพที่ ๒.๒ เสือ้ ขี องผู้หญงิ ๑๘
ภาพท ่ี ๒.๓ มหู่ รอื หมวกเด็ก ๑๘
ภาพที ่ ๒.๔ กระเปาคาดเอวของผชู้ าย ๑๘
ภาพที่ ๒.๕ ที่นอนยัดน่นุ กู เส่ือ ๑๘
ภาพที่ ๒.๖ ผา้ หยัน่ มงุ้ ๑๙
ภาพที่ ๒.๗ หมอนไทยทรงดา� ๑๙
ภาพท ่ี ๒.๘ ดอกน้า� เต้า ๒๐
ภาพท ่ี ๒.๙ ดอกจนั ทน ์ ๒๐
ภาพท ่ี ๒.๑๐ ดอกแก้ว ๒๐
ภาพท ่ี ๒.๑๑ ดอกผกั แวน่ ๒๑
ภาพที่ ๒.๑๒ ดอกพรม ๒๑
ภาพท ่ี ๒.๑๓ ดอกทานตะวนั ๒๑
ภาพท ่ี ๒.๑๔ ดอกมะลิ ๒๒
ภาพที่ ๒.๑๕ ผกั กูด ๒๒
ภาพที่ ๒.๑๖ ดอกพิกลุ ๒๓
ภาพที่ ๒.๑๗ ดอกบวั ๒๔
ภาพที่ ๒.๑๘ ภาพวัสดุอปุ กรณ ์ ๒๔
ภาพที่ ๒.๑๙ การใช้เขม็ หมุดปกั ยึดผ้าไมใ่ ห้เคลื่อน ๒๕
ภาพที่ ๒.๒๐ การวางผา้ ให้พอดีมมุ ทีต่ อ้ งการ ๒๖
ภาพท ่ี ๓.๑ การนา� สสี ะทอ้ นแสงมาใชใ้ นลายหนา้ หมอนบา้ นดอนคลงั ๒๖
ภาพท ่ี ๓.๒ ลายดอกมะละกอ ๒๗
ภาพท ่ี ๓.๓ ภาพแสดงขั้นตอนการทา� ลายดอกมะละกอ ๒๗
ภาพท ่ี ๓.๔ ลายดอกบวั ๒๘
ภาพท ่ี ๓.๕ ภาพแสดงขั้นตอนการทา� ลายดอกบัว ๒๘
ภาพที่ ๓.๖ ลายดอกแปด ๒๙
ภาพที่ ๓.๗ ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายดอกแปด ๒๙
ภาพที่ ๓.๘ ลายดอกดาวกระจาย ๓๐
ภาพที่ ๓.๙ ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายดอกดาวกระจาย
ภาพท่ ี ๓.๑๐ ลายดอกมะลลิ า

5

สารบัญภาพ (ตอ‹ )

ภาพท ่ี ๓.๑๑ ภาพแสดงขน้ั ตอนการท�าลายดอกมะลลิ า ๓๐
ภาพท ่ี ๓.๑๒ ลายดอกบวบ ๓๑
ภาพท ่ี ๓.๑๓ ภาพแสดงขน้ั ตอนการท�าลายดอกบวบ ๓๑
ภาพท ี่ ๓.๑๔ ลายดอกพกิ ุล ๓๒
ภาพที่ ๓.๑๕ ภาพแสดงขัน้ ตอนการท�าลายดอกพกิ ลุ ๓๒
ภาพที่ ๓.๑๖ ลายดอกดาวเรอื ง ๓๓
ภาพท ่ี ๓.๑๗ ภาพแสดงขั้นตอนการท�าดอกดาวเรือง ๓๓
ภาพท ่ี ๓.๑๘ ลายดอกชบา ๓๕
ภาพที่ ๓.๑๙ ภาพแสดงขัน้ ตอนการท�าลายดอกชบา ๓๕
ภาพที่ ๓.๒๐ ภาพแสดงวธิ ีการสนกระจก ๓๖
ภาพท ่ี ๓.๒๑ ภาพการตกแตง่ ลายหนา้ หมอนด้วยวิธสี นกระจก ๓๗
ภาพท ่ี ๓.๒๒ ภาพวธิ กี ารท�าคทั เวริ ค์ ut r ๓๗
ภาพท ่ี ๓.๒๓ ลายดอกพรม ๓๘
ภาพท ่ี ๓.๒๔ ภาพแสดงขั้นตอนการทา� ลายดอกพรม ๓๘
ภาพท ่ี ๓.๒๕ ลายดอกจกิ ๓๙
ภาพท ่ี ๓.๒๖ ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายดอกจิก ๓๙
ภาพท ่ี ๓.๒๗ ลายขาดอกบวั ๔๐
ภาพท ่ี ๓.๒๘ ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายขาดอกบวั ๔๐
ภาพที่ ๓.๒๙ ลายหวั แมงดา ๔๑
ภาพที่ ๓.๓๐ ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายหัวแมงดา ๔๑
ภาพที่ ๓.๓๑ ลายดอกน้�าเตา้ ๔๒
ภาพท ี่ ๓.๓๒ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกน้า� เต้า ๔๒
ภาพท ่ี ๓.๓๓ ลายดอกทานตะวนั ๔๒
ภาพที่ ๓.๓๔ ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายดอกทานตะวนั ๔๓
ภาพที่ ๓.๓๕ ลายดอกมะละกอประยุกต์ ๔๓
ภาพท ่ี ๓.๓๖ ภาพแสดงข้ันตอนการท�าลายดอกมะละกอประยุกต์ ๔๔
ภาพที่ ๓.๓๗ ลายดอกเบาะหยมุ้ ตนี หมาประยกุ ต์ ๔๔
ภาพท ่ี ๓.๓๘ ภาพแสดงขั้นตอนการทา� ลายดอกเบาะหยมุ้ ตีนหมาประยุกต ์ ๔๕
ภาพท ่ี ๓.๓๙ ลายดอกไมแ่ ลว้ หรอื ลายดอกไมร่ ูแ้ ลว้ หรือลายเบาะ ู้แลว้ ๔๕
ภาพที่ ๓.๔๐ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกไม่แลว้ หรอื ลายดอกไม่ร้แู ล้วหรือลายเบาะ ู้แล้ว ๔๖

6

สารบญั ภาพ (ตอ‹ ) ๔๗
๔๗
ภาพท ่ี ๓.๔๑ ลายดอกงว้ิ ๔๘
ภาพท ี่ ๓.๔๒ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกงว้ิ ๔๘
ภาพที่ ๓.๔๓ ลายดอกบวั ๔๙
ภาพท ่ี ๓.๔๔ ภาพแสดงขั้นตอนการทา� ลายดอกบวั ๔๙
ภาพที่ ๓.๔๕ ลายดอกจนั ทนป์ ระยุกต์ ๕๐
ภาพที่ ๓.๔๖ ภาพแสดงขั้นตอนการทา� ลายดอกจันทน์ประยกุ ต ์ ๕๐
ภาพท ่ี ๓.๔๗ ลายดอกบวั ประยุกต์ ๕๑
ภาพที่ ๓.๔๘ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกบัวประยุกต ์ ๕๒
ภาพที่ ๓.๔๙ ลายดอกมะลิซ้อน ๕๒
ภาพที่ ๓.๕๐ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกมะลซิ อ้ น ๕๓
ภาพที่ ๓.๕๑ ลายดอกมะลปิ ระยุกต ์ ๕๔
ภาพท่ี ๓.๕๒ ภาพแสดงขัน้ ตอนการท�าลายดอกมะลปิ ระยกุ ต์ ๕๔
ภาพที่ ๓.๕๓ ลายดอกทบั ทมิ ๕๕
ภาพท ่ี ๓.๕๔ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกทบั ทิม ๕๕
ภาพที่ ๓.๕๕ ลายดอกเบาะหยมุ้ ตีนหมา ๕๖
ภาพที่ ๓.๕๖ ภาพแสดงข้ันตอนการท�าลายดอกเบาะหยุม้ ตีนหมา ๕๖
ภาพท ี่ ๓.๕๗ ลายดอกทานตะวนั หัวเขาจีน ๕๗
ภาพที่ ๓.๕๘ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกทานตะวนั หวั เขาจนี ๕๘
ภาพท ่ี ๓.๕๙ ภาพรูปแบบของกระจกสเี่ หลย่ี มทีใ่ ชต้ กแตง่ ลายหนา้ หมอน ๕๘
ภาพท ่ี ๓.๖๐ ลายหน้าหมอนบ้านตลาดควาย ๕๘
ภาพท่ ี ๓.๖๑ ลายหนา้ หมอนบา้ นตลาดควาย ๕๙
ภาพท ่ี ๓.๖๒ ลายดอกบวั ๕๙
ภาพที่ ๓.๖๓ ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายดอกบวั ๖๐
ภาพที่ ๓.๖๔ ลายดอกแปด ๖๐
ภาพท ่ี ๓.๖๕ ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายดอกแปด ๖๑
ภาพที่ ๓.๖๖ ลายดอกมะลิ ๖๒
ภาพที่ ๓.๖๗ ภาพแสดงข้นั ตอนการท�าลายดอกมะล ิ ๖๒
ภาพที่ ๓.๖๘ ลายขาบวั ๖๓
ภาพที่ ๓.๖๙ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายขาบัว
ภาพท ่ี ๓.๗๐ ลายดอกพรม

7

สารบญั ภาพ (ต‹อ) ๖๔
๖๔
ภาพท ่ี ๓.๗๑ ภาพแสดงขนั้ ตอนการท�าลายดอกพรม ๖๔
ภาพท ่ี ๓.๗๒ ลายดอกจันทน์ ๖๔
ภาพท ่ี ๓.๗๓ ลายมะลิ ๖๔
ภาพท ่ี ๓.๗๔ ลายดอกพรม ๖๔
ภาพที่ ๓.๗๕ ลายดอกแปด ๖๕
ภาพที่ ๓.๗๖ ดอกพิกลุ ๖๕
ภาพที่ ๓.๗๗ ลายดอกจันทน ์ บา้ นวงั ปลา ๖๘
ภาพท ่ี ๓.๗๘ ภาพแสดงข้ันตอนการทา� ลายดอกจนั ทน์ ๖๘
ภาพท ่ี ๔.๑ การปกั ลวดลายดว้ ยไหมสีหรือด้ายสี ๖๘
ภาพท่ ี ๔.๒ ลวดลายขอเหลยี วดอกแปด ๖๘
ภาพที่ ๔.๓ ลวดลายขอเหลยี วขอกดุ ๖๙
ภาพที่ ๔.๔ ลวดลายขอกดุ ดอกแปด ๖๙
ภาพที่ ๔.๕ หญิงโพกศีรษะดว้ ยผ้าเปยว ๖๙
ภาพที่ ๔.๖ ผา้ โพกศีรษะปักลวดลายดว้ ยไหมหรือดา้ ยส ี ๖๙
ภาพท ่ี ๔.๗ ใช้ผา้ เปยวเป็นผา้ สไบพาดบา่ ๖๙
ภาพท ่ี ๔.๘ ใช้ผา้ เปยวเปน็ ผ้าสไบพาดบา่ ๗๐
ภาพท ี่ ๔.๙ ใชผ้ า้ เปยวเป็นผ้า า่ งนม ๗๐
ภาพท ่ี ๔.๑๐ ลวดลายปกั บนผ้าขันลาว ๗๐
ภาพท ่ี ๔.๑๑ ผา้ ขันลาวของหญิงสาวตกแต่งด้วยการปกั ด้วยไหมสหี รือดา้ ยสี ๗๐
ภาพที่ ๔.๑๒ ลวดลายปกั ทนี่ �ามาตกแตง่ เสอื้ หี ญิง ๗๐
ภาพที่ ๔.๑๓ ลวดลายปกั ทีน่ �ามาตกแตง่ เสอ้ื ีชาย ๗๐
ภาพที่ ๔.๑๔ ลวดลายปักที่นา� มาตกแต่งใตร้ กั แรเ้ สื้อ ีชาย ๗๑
ภาพที่ ๔.๑๕ ลวดลายปกั ทีน่ �ามาตกแต่งเสือ้ ชี าย ๗๑
ภาพที่ ๔.๑๖ ลวดลายปักทน่ี า� มาตกแตง่ สาบเสื้อ และชายเสอ้ื ี ๗๓
ภาพท ่ี ๔.๑๗ วสั ดุอปุ กรณ์ทีใ่ ช้ในการปกั ลายหนา้ หมอน ๗๔
ภาพท ่ี ๔.๑๘ ลายแซ่วดอกพกิ ลุ ๗๔
ภาพที่ ๔.๑๙ ลายแซ่วดอกพิกลุ ผสมลายแซว่ ตะวนั ๗๔
ภาพที่ ๔.๒๐ ลายแซ่วดอกพิกุล
ภาพที่ ๔.๒๑ ลายแซ่วดอกพิกุล

8

สารบัญภาพ (ตอ‹ ) ๗๔
๗๕
ภาพที่ ๔.๒๒ ลายแซว่ ดอกพิกลุ ๗๕
ภาพท ่ี ๔.๒๓ ลายแซว่ ดอกพกิ ลุ ประยุกต ์ ๗๕
ภาพท ่ี ๔.๒๔ ลายแซว่ ดอกพกิ ลุ ประยกุ ต์ ๗๕
ภาพที่ ๔.๒๕ ลายดอกตะวัน หรือดอกแปดกลีบ ๗๖
ภาพที่ ๔.๒๖ ลายดอกตะวนั ๗๖
ภาพที่ ๔.๒๗ ลายดอกตะวนั ๗๖
ภาพท ่ี ๔.๒๘ ลายดอกตะวันประยุกต ์ ผสมลายสะพานโค้งและเอ้ือวี ๗๖
ภาพที่ ๔.๒๙ ลายดอกตะวนั ประยุกต์ ผสมลายสะพานโคง้ และเอือ้ วี ๗๗
ภาพท ่ี ๔.๓๐ ลายดอกแก้วประยกุ ต์ ๗๗
ภาพที่ ๔.๓๑ ลายดอกตะวันประยกุ ต ์ ๗๗
ภาพที่ ๔.๓๒ ลายดอกตะวนั ประยุกต์ ๗๘
ภาพที่ ๔.๓๓ ลายต้นสน ๗๘
ภาพท ่ี ๔.๓๔ ลายขอเหลยี ว ๗๘
ภาพท ่ี ๔.๓๕ ลายขอเหลยี ว ๗๘
ภาพท ่ี ๔.๓๖ ลายขอเหลยี วประยุกต์ ๗๙
ภาพท่ ี ๔.๓๗ ลายเซียวขอ ๗๙
ภาพที่ ๔.๓๘ ลายขอเหลยี ว ๗๙
ภาพที่ ๔.๓๙ ลายขอเหลียว ๘๐
ภาพท ่ี ๔.๔๐ ลายขอเหลยี ว ๘๐
ภาพที่ ๔.๔๑ ลายม้า ๘๐
ภาพท ่ี ๔.๔๒ ลายผเี ส้ือ ๘๐
ภาพท ี่ ๔.๔๓ ลายไก ่ ๘๑
ภาพท ี่ ๔.๔๔ ลายหงส ์ ๘๑
ภาพท ่ี ๔.๔๕ ลายหมายา่� ๘๑
ภาพท ่ี ๔.๔๖ ลายหมาย�่า ๘๑
ภาพที่ ๔.๔๗ ลายหมาย่�า ๘๒
ภาพที่ ๔.๔๘ ลายตานกแกว้ หรือลายตาใหญ ่ ๘๒
ภาพที่ ๔.๔๙ ลายผสมลายหมายา่� และลายตานกแก้ว
ภาพท ่ี ๔.๕๐ ลายตานกแก้วประยกุ ต์

9

สารบัญภาพ (ต‹อ)

ภาพท ่ี ๔.๕๑ ลายตานกแก้วประยุกต ์ ๘๒
ภาพท ่ี ๔.๕๒ ลายตานกแก้วประยกุ ต์ ๘๒
ภาพท ่ี ๔.๕๓ ลายตานกแก้วประยุกต์ ๘๓
ภาพท ่ี ๔.๕๔ แมงส่ิงสาวหรือแมงมุม ๘๓
ภาพที่ ๔.๕๕ ลายปากนาค ๘๓
ภาพที่ ๔.๕๖ ลายสะพานโค้ง ๘๓
ภาพที่ ๔.๕๗ ลายสะพานโคง้ ๘๔
ภาพที่ ๔.๕๘ ลายสะพานโค้งประยกุ ต์ ๘๔
ภาพที่ ๔.๕๙ ลายสะพานโคง้ ประยุกต์ ๘๔
ภาพท ่ี ๔.๖๐ ลายพาน ๘๔
ภาพท ่ี ๔.๖๑ ลายเอ้ือประยกุ ต์ ๘๕
ภาพท ่ี ๔.๖๒ ลายเออ้ื ว ี ๘๕
ภาพที่ ๔.๖๓ ลายเออ้ื วีประยุกต์ ๘๕
ภาพที่ ๔.๖๔ ลายเออ้ื ใหม่ ๘๕
ภาพที่ ๔.๖๕ ลายเอ้ือแกน่ แตง ๘๖
ภาพที่ ๔.๖๖ ลายเอื้อแกน่ แตง ๘๖
ภาพท ่ี ๔.๖๗ ลายบายศร ี ๘๖
ภาพท ่ี ๔.๖๘ ลายบายศร ี ๘๖
ภาพท ่ี ๔.๖๙ ลายเออ้ื ลาย า ๘๗
ภาพท ่ี ๔.๗๐ ลายเออ้ื ลาย า ๘๗
ภาพที่ ๔.๗๑ ลายเอ้อื ลาย า ๘๗
ภาพที่ ๔.๗๒ ลายเออื้ ขา้ วหลามตัด ๘๗
ภาพที่ ๔.๗๓ ลายตาแหลว อ่ ๘๘
ภาพท ี่ ๔.๗๔ ลายแซ่วตาวนั ๘๘
ภาพที ่ ๔.๗๕ ลายแซ่วตาวนั ๘๘
ภาพท ่ี ๔.๗๖ ลายแซว่ ตาวนั ๘๘
ภาพท ่ี ๔.๗๗ ลายดอกดาว ๘๙
ภาพท่ ี ๔.๗๘ ลายแซ่วตาวนั ประยุกต ์ ๘๙
ภาพที่ ๔.๗๙ ลายแซว่ พานประยกุ ต ์ ๘๙
ภาพที่ ๔.๘๐ ลายดอกแปดประยุกต ์ ๘๙
ภาพที่ ๕.๑ ลวดลายหนา้ หมอนท่พี ัฒนาน�าลายหมอนแบบพับปะติดผสมกับลายปกั ๙๑

10

บทที ๑ า ย า ‹ ( ย ร าํ )

ความเปน มาของไทยทรงดาํ

ชำวไทยลำวโ ง่ (ไทยทรงดำ� ) เปน็ ชาตพิ นั ธก์ุ ลมุ่ หนงึ่ ทพี่ ดู ภาษาในตระกลู ไต เนอ่ื งจากถน่ิ ฐานเดมิ ของลาวโซง่
อยู่ระหว่างเมืองญวนกับหลวงพระบาง จึงท�าให้ลาวโซ่งหลีกเลี่ยงกับสงครามท่ีเกิดข้ึนบ่อยครั้งไม่ได้ ก่อให้เกิด
การอพยพโยกย้าย บางกลุ่มได้เข้าไปอยู่ในเขตญวน บางกลุ่มก็เข้าไปในเขตหลวงพระบาง ท้ังโดยสมัครใจ
และถกู กวาดตอ้ น แมแ้ ตก่ ารเขา้ มาในเขตไทยกม็ สี าเหตแุ ละลกั ษณะการโยกยา้ ยไมแ่ ตกตา่ งกนั โดยเ พาะการโยกยา้ ย
ด้วยเหตุผลทางสงครามมีจ�านวนมากที่สุด ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ การอพยพเข้ามาในเขตไทยของลาวโซ่ง
ท่ีส�าคญั มี ๓ ครง้ั ด้วยกัน คือ
คร้ังที่ ๑ ในสมัยกรุงธนบุรี ในป พ.ศ. ๒๓๒๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรด ให้พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอด าจุ าโลกมหาราช คร้ังนั้นด�ารงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์
ยกทพั ไปตหี วั เมอื งลาวและหวั เมอื งขน้ึ ทงั้ ปวงไวใ้ นอา� นาจ และไดก้ วาดตอ้ นชาวลาวกลมุ่ ตา่ งๆ รวมทง้ั ชาวลาวโซง่ ทอ่ี ยู่
บรเิ วณท่ีราบสงู พรวนพินทใ์ กลก้ ับเขตแดนญวนเขา้ มาดว้ ย และโปรด ใหต้ ัง้ บา้ นเรือนอยตู่ ามหวั เมืองต่างๆ สา� หรับ
ลาวโซ่งโปรด ใหต้ ้งั บ้านเรือนอยทู่ จี่ ังหวัดเพชรบรุ ี
ครั้งท่ี ๒ ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมยั ของพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอด าจุ าโลกมหาราช ทรงมนี โยบายให้
เมืองเวียงจันทน์เป็นศูนย์กลางการควบคุมหัวเมืองลาวท้ังหลาย จึงโปรดเกล้า แต่งต้ังเจ้านันทเสนราชบุตรองค์โต
ของเจ้าสริ ิบุญสาร เปน็ เจา้ เมอื งเวียงจันทนใ์ นป พ.ศ. ๒๓๓๕ เมอื งพวน เมอื งแถง เอาใจออกห่างจะขึน้ ไปกบั ญวน
เจ้านันทเสนจึงยกทัพไปตีได้ และกวาดต้อนครัวลาวพวน ลาวโซ่งส่งลงมากรุงเทพ เป็นบรรณาการจึงโปรด
ให้ลาวโซง่ ไปอยู่ท่ีเมืองเพชรบรุ ีตามพวกที่มาอยู่ก่อน ส่วนลาวพวน ใหอ้ ยูก่ รงุ เทพ
ครง้ั ท่ ี ๓ รัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกลา้ เจา้ อยู่หัวเกิดสงครามกบฏเจ้าอนวุ งศ ์ ระหว่างป พ.ศ. ๒๓๖๙-
๒๓๗๑ ขณะที่ไทยกา� ลังท�าสงครามอยนู่ ัน้ ญวนถือโอกาสยดึ หัวเมอื งลาวทอ่ี ยู่ใกล้เคยี งกบั ตน เชน่ หัวพนั ท้งั หา้ ทั้งหก
ประกอบดว้ ยเมอื งเหยมิ เมอื งเชยี งดอ เมอื งซา� เหนอื เมอื งซา� ใต ้ เมอื งไสย และเมอื งซอน ซง่ึ อยใู่ นเขตสบิ สองจไุ ท และ
เมืองพวน เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจา้ อยู่หวั จึงโปรด ให้เจา้ พระยาธรรมธบิ ดีเป็นแม่ทพั คุมกองทัพไปตี
เมอื งแถง และหัวพนั ทงั้ ห้าทง้ั หก ในป พ.ศ. ๒๓๗๖-๒๓๗๘ เม่อื ได้ชยั ชนะจึงไดก้ วาดตอ้ นครัวลาวพวนและลาวโซง่
ลงมากรุงเทพ อกี
เหตกุ ารณ์สงครามในหลายคร้ัง ทา� ใหม้ กี ารกวาดต้อนชาวลาวโซง่ เขา้ มาต้งั ในประเทศไทยอยู่หลายครัง้ แมจ้ ะ
ไม่มกี ารบันทึกจา� นวนท่แี นน่ อนไว้ แตก่ ็มจี �านวนนบั หม่นื แมว้ ่าระหว่างการเดินทางจะมีบางสว่ นเจบ็ ปวยล้มตาย และ
หลบหนีไปบา้ งก็ตาม

11

กำรตังถิน่ ำน
ส�าหรบั การต้ังถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยนั้นตงั้ แต่สมยั กรงุ ธนบุร ี สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช โปรดเกล้า
ใหไ้ ปตงั้ บา้ นเรอื นอยู่ท่จี งั หวดั เพชรบรุ ที ่บี า้ นท่าแรง้ อ�าเภอบา้ นแหลม แตบ่ ริเวณดังกล่าวเป็นทลี่ มุ่ ใกลท้ ะเล มสี ภาพ
ภมู ปิ ระเทศทไี่ มเ่ หมาะตอ่ การดา� รงชวี ติ ของลาวโซง่ จงึ ไดอ้ พยพมาอยบู่ รเิ วณสะพานยห่ี น อา� เภอเมอื งเพชรบรุ ี จนในสมยั
พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ โปรด ใหช้ าวลาวโซง่ ทอี่ พยพมาใหมต่ งั้ บา้ นเรอื นอยหู่ นองปรง อา� เภอเขายอ้ ย
จงั หวดั เพชรบรุ ี ดว้ ยทรงพจิ ารณาถงึ สภาพภมู ปิ ระเทศทเี่ ปน็ ปาเขา เปน็ ทร่ี าบสลบั ทสี่ งู มลี า� หว้ ยหลายแหง่ เหมาะตอ่
การดา� รงชวี ิต

ในระยะเวลา ๑๐๐ กวา่ ปทผี่ า่ นมา ชาวลาวโซง่ พากนั อพยพออกมาจากบรเิ วณจงั หวดั เพชรบรุ ไี ปตง้ั หลกั แหลง่ ใน
จงั หวดั ใกลเ้ คยี งและขยายพนื้ ทไี่ กลออกไป เหตผุ ลสา� คญั ทช่ี าวลาวโซง่ ออกไปตงั้ หลกั แหลง่ ในพน้ื ทตี่ า่ งๆ เพราะชาวลาวโซง่
รุ่นเก่ามีความปรารถนาจะกลับไปยังถิ่นฐานเดิมของตนท่ีเมืองแถงแคว้นสิบสองจุไท จึงพยายามท่ีจะเดินทางข้ึนไป
ทางตอนเหนือของประเทศไทย กระทั่งถึงฤดู นก็จะหยุดพัก ณ ท่ีใดที่หน่ึงเพ่ือเพาะปลูกหาเสบียงเก็บไว้ส�าหรับ
การเดินทาง จนกระทั่งคนเฒ่าคนแก่ตายไประหว่างการเดินทาง ลูกหลานที่เหลือจึงไม่สามารถเดินทางต่อไปได้
จึงตง้ั หลักแหลง่ ตามทางนน้ั เปน็ แห่งๆ ไป ไกลทส่ี ดุ คอื จังหวดั พจิ ิตร และพิษณุโลก นอกจากนี้แลว้ ยังมีเหตุผลอื่น
คือ การอพยพเพ่ือไปหาหลักแหล่งที่อยู่อาศัยที่สมบูรณ์กว่าหรือย้ายถ่ิน เพราะได้รับความล�าบากจากการถูกบังคับ
ต่างๆ ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีมาถึงสมเด็จ
กรมหมน่ื ดา� รงราชานุภาพ เมือ่ พ.ศ. ๒๔๓๘ ที่ทรงกล่าวถงึ ชาวลาวทรงดา� ยา้ ยจากเมอื งเพชรบุรี มาอยทู่ บี่ ้านโพหกั
และโคกคลัง แขวงเมอื งราชบุรีประมาณ ๗๐๐ คนเศษ สาเหตุเพราะเดอื ดร้อนตอ้ งเสียเงนิ ค่าราชการและถกู เกณฑ์
ท�านาหลวง เปน็ ตน้ พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตริ าชบรุ ี และจังหวดั ราชบุรี ๒๕๔๔ หนา้ ๑๗๗-๑๗๙

เมอื่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ าวโซง่ ไดเ้ ขา้ มาอาศยั กระจดั กระจายอยตู่ ามแหลง่ ตา่ งๆ โดยเ พาะพน้ื ทภ่ี าคกลางของประเทศไทยแลว้
ภายใตล้ กั ษณะทางภมู ศิ าสตรก์ ายภาพทเี่ หมอื นกบั ทอ่ี ยอู่ าศยั ดง้ั เดมิ กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทยโซง่ ทไี่ ดอ้ พยพเขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐาน
จงั หวดั ราชบรุ ี กต็ อ้ งพยายามปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธอ์ุ นื่ ๆ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความผสมผสานกลมกลนื กนั ทางวฒั นธรรม
ของชนกลุ่มใหญ่ แต่ก็ได้รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมประเพณี และความเช่ือของกลุ่มชนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ส�าหรบั ในจงั หวัดราชบุรีมีชุมชนลาวโซง่ อาศยั อยู่ที ่ บ้านดอนคลัง บ้านบัวงาม บา้ นโคกตบั เป็ด อา� เภอด�าเนนิ สะดวก
บา้ นดอนทราย บ้านดอนคา บา้ นตากแดด อ�าเภอบางแพ บา้ นเขาภูทอง ต�าบลทงุ่ หลวง และบา้ นหัวเขาจนี ต�าบล
ห้วยยางโทน อ�าเภอปากท่อ บา้ นตลาดควาย ต�าบลจอมบงึ บ้านวังปลา ตา� บลแก้มอน้ อา� เภอจอมบึง
แหลงทมี่ าของการศกึ ษาลายหนาหมอน
ส�านักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ได้เห็นถึงความงามของลายหน้าหมอน
และเหน็ ความสา� คญั ของภมู ปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ ของชาวไทยทรงดา� จงึ คดิ จะรวบรวมไวเ้ พอ่ื เปน็ การอนรุ กั ษ ์ และเผยแพร่
ให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความสวยงามของลายหน้าหมอน ได้ลงพ้ืนที่เพ่ือเก็บข้อมูล ภาพถ่ายและกระบวนการ
ประดิษฐ์ลวดลายหน้าหมอน จากชุมชนต่างๆ ท่ีเป็นชาวไทยทรงด�าและยังมีการประดิษฐ์ลายหน้าหมอนอยู่
สา� นักศิลปะและวัฒนธรรม ได้คดั เลอื ก ๔ ชมุ ชนตอ่ ไปนี้

12

๑. ชุมชนบานหวั เขาจีน
บ้านหัวเขาจีน อยู่ใน หมู่ท่ี ๑ ต�าบลห้วยยางโทน เขตอ�าเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ตรงเขตเชื่อมต่อกับ
จงั หวดั เพชรบรุ ี โดยบ้านหัวเขาจนี เปน็ นามเรียกขาน ถิ่นทีอ่ ยู่อาศยั ของกลุ่ม ชนชาติพันธุ์หนง่ึ เรยี กวา่ “ไทยทรงด�า”
ตามประวัติกล่าวว่า ชาวไทยทรงด�า ได้อพยพย้ายถ่ินฐานมาจากดินแดนท่ีห่างไกลและได้เข้ามาจับจองในขณะนั้น
เป็นพ้ืนที่ส่วนหนึ่งท่ีอยู่ใต้สุดของอ�าเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี สภาพพ้ืนท่ีเป็นที่ราบลุ่ม ท่ีเป็นผืนปา หนองน้�า
และภเู ขา ซงึ่ ยงั ไมม่ ผี คู้ นอาศยั อย ู่ จงึ ไดต้ ง้ั หลกั ปกั ฐาน ณ บรเิ วณน ้ี บา้ นหวั เขาจนี เปน็ หมบู่ า้ นทยี่ งั คงรกั ษา และอนรุ กั ษ ์
ประเพณี วัฒนธรรมการประกอบอาชีพ และการด�ารงชีวิต แบบดั้งเดิมของชาวบ้านไทยทรงด�าไว้อย่างเหนียวแน่น
จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้าน เพ่ือการท่องเท่ียว เชิงวัฒนธรรมของจังหวัดราชบุรี ห่างออกไปอีก
๑ กโิ ลเมตร จะเหน็ ภเู ขาหวั เขาจนี อยดู่ า้ นหลงั ซงึ่ เปน็ ทตี่ งั้ ของวดั ครี วี งก ์ อยใู่ นเขตรอยตอ่ จงั หวดั เพชรบรุ ี และอกี ดา้ นหนงึ่
ของเขาจะมีนกพิราบหลายพันตัวบินเขาออกจากรังในช่องเขาหัวเขาจีนเป็นภาพน่าแปลกที่มีนกรวมตัวกันได้
มากขนาดนี ้

บ้ำนหัวเขำจีน เล่าขานต�านานต่อกันมาว่า เนื่องจากบ้านหัวเขาจีนในอดีตจะมีทะเลล้อมรอบและได้มี
พ่อค้าชาวจีนน�าเรือส�าเภามาซ้ือขายและแลกเปล่ียนสินค้าบริเวณน้ี แต่ได้เกิดอุบัติเหตุเรือส�าเภาแตก หัวเรือมาติด
อยกู่ ับเขา จงึ เรยี กวา่ หวั เขาจนี ตอ่ มาไดใ้ ช้เป็นช่ือหม่บู า้ นวา่ “บ้านหวั เขาจนี ” มาจนถึงปจั จบุ ันน ้ี บ้านหวั เขาจีน มี
ความเปน็ อยแู่ บบชนบทประกอบอาชพี ทางเกษตรกรรม มคี วามรกั ความสามคั ค ี และเออ้ื อาทรตอ่ กนั โดยมวี ฒั นธรรม
และประเพณีที่งดงามเป็นศูนย์รวมจิตใจ ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและมีความเช่ือเกี่ยวกับการนับถือผี
โดยเ พาะผบี รรพบรุ ษุ ผบี า้ นผเี รอื น จะมกี ารเซน่ ไหวก้ นั ในเดอื นหก เดอื นแปด และเดอื นสบิ สองของทกุ ป ซง่ึ ชาวไทยทรงดา�
เรียกว่า เสนบ้าน เสนเรอื น สมาชกิ ในครอบครัวจะไดร้ บั การสอนให้รูจ้ ักและนับถอื ผบี รรพบรุ ุษประจ�าตระกูลของตน
ทุกครอบครัว สมัยอดีตก�าหนดให้ ครอบครัวท่ีเป็นต้นผี ผีตาว โดยมีการสืบทอดตามบรรพบุรุษ ถ้าผู้ท่ีได้รับการ
สบื ทอดเสยี ชวี ติ เรยี กวา่ ผผี ตู้ าว เวลาเซน่ ไหวต้ อ้ ง า่ ควายเซน่ ไหวเ้ ทา่ นนั้ แตถ่ า้ เปน็ คนลาวโซง่ ทว่ั ไป ถา้ เสยี ชวี ติ เรยี กวา่
ผผี ู้น้อย ่าหมเู วลาเซ่นไหว ้ ซึง่ จะเปน็ ผสู้ บื ทอดประเพณ ี และการกระท�าพธิ กี รรมตา่ งๆ เพือ่ ใหเ้ กดิ สิริมงคล โชคดี
และมคี วามสขุ ในครอบครัว ญาตพิ น่ี อ้ งท่ีอย่ไู กลหรอื ใกล ้ จะต้องกลับมารว่ มประกอบพิธ ี
ชุมชนบ้านหัวเขาจีน เป็นหมู่บ้านไทยเข้มแข็งในระดับ อยู่เย็น เป็นสุข ดีเด่นระดับจังหวัดประจ�าป
พ.ศ. ๒๕๕๕ และเปน็ หนงึ่ ในหมบู่ า้ นอตุ สาหกรรมสรา้ งสรรคท์ ไ่ี ดร้ บั การสง่ เสรมิ และพฒั นาจากกระทรวงอตุ สาหกรรม
ด้านการบริหารจัดการชุมชน จังหวัดราชบุรี ได้รับรางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ และภายในหมู่บ้าน
มีศนู ย์ทอ่ งเทย่ี วเชงิ วัฒนธรรมท่ใี หค้ นทว่ั ไปท่ีสนใจวิถีชวี ติ วฒั นธรรม ประเพณีของชาวไทยทรงด�า สามารถมาศึกษา
ดงู านได ้ นอกจากนน้ั ทน่ี ย่ี งั เปน็ หมบู่ า้ นเศรษฐกจิ พอเพยี งตน้ แบบ กองทนุ แมข่ องแผน่ ดนิ กองทนุ หมบู่ า้ น กลมุ่ ออมทรพั ย์
สัจจะและกล่มุ อาชีพเสรมิ สตรที อผ้า และกลุ่มวสิ าหกิจชุมชนผา้ ทอไทยทรงด�า บา้ นหวั เขาจนี ซ่ึงถอื วา่ เปน็ ศนู ยก์ ลาง
ของการพัฒนาชุมชน ยิ่งกว่านั้น ยังได้มีการน�าอัตลักษณ์มาผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถ่ิน เพ่ือเพ่ิมมูลค่า
ใหก้ ับผลิตภัณฑแ์ ละบรกิ ารของชุมชน

13

ภมู ปิ ญญำท้องถิ่น
ชาวไทยทรงด�ามีพ้ืนฐานการทอผ้าท่ีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษท่ีทอผ้าใช้ในครัวเรือน โดยมีผ้าซ่ินลายแตงโม
ที่เป็นเอกลักษณ์ส�าคัญของชนเผ่ามีการสืบทอดภูมิปัญญาสู่ชนรุ่นหลัง จึงเกิดการพัฒนาการทอผ้าที่เหมาะกับการ
ใช้ประโยชน์และความต้องการของผู้ท่ีสนใจ การทอผ้าขาวม้า คือ จุดเริ่มต้นของการพัฒนาการทอผ้าในชุมชน
เพอื่ ใชป้ ระโยชนใ์ นกจิ กรรมตา่ งๆ เชน่ ทา� เปลเดก็ คาดเอว โพกหวั เสา ตั รในพธิ ตี า่ งๆ ล ดงั นน้ั ชมุ ชนจงึ เกดิ ความคดิ
เพ่ือรวมกลุ่มในการทอผ้าเพ่ือเป็นอาชีพเสริมรายได้ให้กับครอบครัว ผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าทอมือได้รับความสนใจ
จากบคุ คลภายนอกเนื่องจากมสี สี นั ทส่ี วยสดงดงาม สีไม่ตก

กำรแต่งกำย
สมยั กอ่ นลาวโซง่ มกี ารแตง่ กายโดยนา� ผา้ ายมาปนั เปน็ เสน้ ายโดยนา� มาทอผา้ พนื้ สขี าวนา� สธี รรมชาตมิ ายอ้ ม
เชน่ เปลอื กไมต้ า่ งๆ ตน้ ประดู่ ตน้ คราม และลกู มะเกลอื นา� มายอ้ มเพอื่ ใหเ้ กดิ สสี นั บนผนื ผา้ อดตี ชาวไทยทรงดา� สว่ นใหญ่
จะแต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มที่มีสีด�า ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยทรงด�าก็ว่าได้ ชาวไทยทรงด�ายังนับถือ
ผีบรรพบุรุษ หรือผีประจ�าเรือนของตนเองอีกด้วยเชื่อว่า ผีเรือน คือผู้คุ้มครองปกปอง ผู้คนและบ้านเรือน
ให้อยรู่ ว่ มกนั ได ้ และยังมีประเพณีวฒั นธรรมท่ีเปน็ เอกลักษณ์

สินคำ้ หนงึ่ ต�ำบล หน่ึงผลติ ภณั ์
กลมุ่ สตรที อผา้ ไทยทรงดา� เกดิ ขนึ้ จากการรวมกลมุ่ ของสตรใี นหมบู่ า้ นทม่ี คี วามรแู้ ละความสามารถในการทอผา้
ซงึ่ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ของคนในชมุ ชน ซงึ่ การรวมกลมุ่ ทอผา้ ไทยทรงดา� จดั ตงั้ ขนึ้ ตงั้ แตป่ ๒๕๔๒ โดยความร ู้ ความสามารถ
ของสตรใี นหมบู่ า้ นในการพฒั นาการทอผา้ จากภมู ปิ ญั ญาพนื้ บา้ น เชน่ ผา้ ลายแตงโม ผา้ ขาวมา้ ผา้ เปยว เสอื้ ี เปน็ ผลติ ภณั ฑ์
ผ้าทอมือไทยทรงด�าท่ีมีความสวยงามและเป็นท่ียอมรับของคนทั่วไป จากวิถีชีวิตของชาวบ้านหัวเขาจีนได้น้อมน�า
ปรชั ญาแนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพยี ง ของพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร
รชั กาลท่ ี ๙ มาปรับใช้ในชวี ิตประจ�าวันอย่างเป็นรูปธรรมโดยเริม่ จากความพอประมาณ คอื ท�าบนพน้ื ฐานความรู้
ความสามารถ และเปน็ การผสมผสานภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ แบบความพอเพยี ง โดยเนน้ การใหค้ วามร ู้ ความสามารถทมี่ อี ยู่
อย่างมีเหตุผล คือ การรวมกลุ่มทอผ้าไทยทรงด�าเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวในการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจได้
เปน็ อย่างดี องค์การบริหารส่วนต�าบลหว้ ยยางโทน ๒๕๖๓ หน้า ๑
ส�านักศิลปะและวัฒนธรรม ได้จัดท�า “โครงการสร้างมูลค่าเพ่ิมให้ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
ทอ้ งถนิ่ ราชบรุ ”ี เพอ่ื การสรา้ งมลู คา่ เพม่ิ ใหผ้ ลติ ภณั ฑท์ างวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ใหก้ บั ชมุ ชน โดยทางสา� นกั
ได้ลงพ้ืนที่เพ่ือส�ารวจความต้องการของชุมชนในการท่ีจะน�าผลิตภัณฑ์ลายหน้าหมอนอันเกิดจากภูมิปัญญา
ของบรรพบรุ ษุ มาใหก้ ารอบรมกบั คนรนุ่ ใหม ่ เพอ่ื เปน็ การตอ่ ยอดและเปน็ การเพมิ่ มลู คา่ รวมทงั้ เปน็ การรว่ มกนั อนรุ กั ษ์
ศิลปหัตถกรรมอนั เปน็ เอกลักษณข์ องชุมชนให้สืบตอ่ ไปยังร่นุ ต่อๆ ไป รวมท้งั ผเู้ ข้ารับการอบรมจะไดน้ า� ความรูไ้ ปใช้
ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ตนเองและชมุ ชนตอ่ ไป
ลายดอกหมอน หรือลายหน้าหมอนของไทยทรงด�าหรือลาวโซ่ง ชุมชนบ้านหัวเขาจีน ที่ได้ท�าการรวบรวม
องค์ความรู้มานี้นับได้ว่ามีความเป็นเอกลักษณ์ ดอกหมอนแต่ละใบนั้นจะปะด้วยเศษผ้าสีสดใส และปักไหมสีต่างๆ
เป็นลวดลายงดงาม รวมท้ังมีการติดกระจกลงบนลวดลายต่างๆ ท่ีประดับหน้าหมอน ลายหน้าหมอนของชุมชน
บา้ นหวั เขาจนี มหี ลายแบบ ชอื่ ลายตา่ งๆ สว่ นใหญม่ าจากการสงั เกตจากสงิ่ แวดลอ้ มตามธรรมชาต ิ ซงึ่ มกั เปน็ ชอื่ ดอกไม้
ทีพ่ บเห็นโดยท่ัวไป เช่น ลายดอกจนั ทน์ ลายดอกบวั ลายดอกมะลิ ลายดอกพรม ลายดอกเต้า ลายดอกแปด เป็นต้น

14

๒. ชุมชนบา นดอนคลงั
ประวตั ชิ มุ ชนไทยทรงดา� บา้ นดอนคลงั ตา� บลดอนคลงั จากการสอบถามผสู้ งู อาย ุ ไดก้ ลา่ ววา่ เดมิ ตา� บลดอนคลงั
มีพื้นท่ีเป็นปารก ลุ่มๆ ดอนๆ ปกคลุมไปด้วยต้นไม้จ�านวนมาก ส่วนใหญ่เป็นต้นคลัง ชาวบ้านจึงเรียกพ้ืนท่ี
บริเวณน้ีว่า โคกคลัง ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็น ดอนคลัง ชาวต�าบลดอนคลัง ๙๐ เป็นชาวไทยทรงด�า
ทีม่ ีเชื้อสายมาจากเพชรบุร ี มปี ระเพณวี ัฒนธรรมเปน็ ของตนเอง เช่น การแตง่ กาย การร�าลาวโซ่ง ประเพณงี านบุญ
มพี น้ื ทต่ี ดิ ตอ่ กบั หลายอา� เภอในจงั หวดั ราชบรุ ี ดงั น ้ี ทศิ เหนอื ตดิ กบั ตา� บลหวั โพ อา� เภอบางแพ ทศิ ใตต้ ดิ กบั ตา� บลดอนไผ่
อ�าเภอด�าเนนิ สะดวก ทิศตะวันออก ตดิ กับ ต�าบลบัวงาม อ�าเภอด�าเนินสะดวก ทิศตะวันตก ติดกบั ต�าบลดอนกรวย
อ�าเภอดา� เนนิ สะดวก http :// e a .c m/ratcha ur / .html
ราวป พ.ศ. ๒๔๐๐ ในสมยั รชั กาลท ี่ ๓ ชาวไทยทรงดา� เมืองเพชรบุรีกล่มุ หนงึ่ นา� โดยเพียหุนและพรรคพวก
ต้องการท่ีจะกลบั บา้ นเกดิ จึงอพยพขนึ้ ทางเหนอื แต่เนอ่ื งจากเขา้ ฤดู นจึงตอ้ งแวะพักทบี่ า้ นดอนคลงั และพบว่าพ้นื ที่
บริเวณดอนคลังมคี วามอดุ มสมบูรณ ์ จึงพากนั ตง้ั บ้านเรอื นปกั หลักอยทู่ ่บี ริเวณต�าบลดอนคลงั ไดแ้ ก่ บ้านโคกตับเปด็
บ้านโคกกลาง และบ้านดอนคลัง ต่อมาเพียหุนได้รับเลือกตั้งเป็นก�านันคนแรกของต�าบลดอนคลัง โรงเรียนชุมชน
วดั ดอนคลังมติ รภาพที่ ๑๗๘ ๒๕๔๒
ด้านเครื่องแต่งกายของชาวไทยทรงด�าชุมชนดอนคลังนั้น ทั้งชายและหญิงสวมใส่เครื่องแต่งกายท่ีใช้ในชีวิต
ประจา� วันและท่ีใชใ้ นพธิ กี รรม คลา้ ยคลงึ กนั กบั ชาวไทยทรงด�าบ้านหัวเขาจีน รวมทงั้ ยังพบว่า มงี านหัตถกรรมปักผา้
เปยวและการตกแตง่ หนา้ หมอนของชาวไทยทรงดา� กลมุ่ นอี้ กี ดว้ ย ซง่ึ ทา� ใหส้ ามารถอธบิ ายถงึ การสบื ทอดทางวฒั นธรรม
ในเร่อื งของการเตรยี มตวั ของผูห้ ญิงไทยทรงด�า เพื่อใหพ้ รอ้ มในการออกเหยา้ ออกเรอื น นอกจากน้ยี งั แสดงให้เห็นวา่
ขา้ วของเคร่ืองใช้เหล่านี ้ มคี วามใกลเ้ คียงกบั ทีจ่ ะพบเหน็ ได้ที่บา้ นหัวเขาจีน
กลมุ่ ชาวไทยทรงดา� บา้ นดอนคลงั ตา� บลดอนคลงั เปน็ กลมุ่ ท ่ี ๒ ทส่ี า� นกั ศลิ ปะและวฒั นธรรม จดั ทา� “โครงการ
สรา้ งมลู คา่ เพมิ่ ใหผ้ ลติ ภณั ฑท์ างวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ราชบรุ ”ี ใหก้ บั ชมุ ชน โดยทางสา� นกั ไดท้ า� การศกึ ษา
ลายหน้าหมอนอนั เกดิ จากภูมปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ รวมทง้ั รวบรวมองคค์ วามรทู้ ี่ได้จากการอบรม ที่แสดงให้เหน็ ถงึ
ความคลา้ ยคลงึ กนั ของลายหนา้ หมอนบา้ นหวั เขาจนี และบา้ นดอนคลงั แตก่ ย็ งั ไดพ้ บลายทแี่ ตกตา่ งออกไป โดยสา� นกั
ไดร้ วบรวมเอาไวเ้ พอ่ื เปน็ การอนรุ กั ษศ์ ลิ ปหตั ถกรรมอนั เปน็ เอกลกั ษณข์ องชาวไทยทรงดา� ใหส้ บื ตอ่ ไปยงั รนุ่ ลกู รนุ่ หลาน
รวมทง้ั ผู้เขา้ รับการอบรมจะไดน้ �าความร้ ู ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนต์ อ่ การสรา้ งมลู ค่าเพ่มิ ใหผ้ ลิตภณั ฑข์ องชมุ ชนตอ่ ไป

๓. ชมุ ชนบานตลาดควาย
ความเป็นมาของไทยโซ่งบ้านตลาดควาย บ้านตลาดควายตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของต�าบลจอมบึง หมู่ ๕
บ้านตลาดควาย ต�าบลจอมบึง อ�าเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี โดยอยู่ห่างจากอ�าเภอจอมบึงประมาณ ๕ กิโลเมตร
บา้ นตลาดควายมอี ายปุ ระมาณ ๑๕๐ ป เมอ่ื ปู อด ลมื กลนื ออกจากการเกณฑท์ หารแลว้ ไดก้ ลบั มาอยทู่ บี่ า้ นดอนคลงั
อา� เภอด�าเนินสะดวก จงั หวดั ราชบุรี และท่องเที่ยวไปยงั พน้ื ที่ตา่ งๆ พร้อมกบั สะพายกรงนกเขามายังจอมบึง เพอื่ ท่ี
จะต่อนกเขาจนกระทั่งมาพบหนองน้�าตลาดควายที่อุดมสมบูรณ์ และไม่มีใครอยู่อาศัยเหมาะแก่การสร้างบ้านเรือน
จึงกลับไปชักชวนญาตพิ ีน่ ้องที่บา้ นดอนคลัง ใหอ้ พยพมาตง้ั บา้ นเรือน และท�ามาหากนิ ในทนี่ ้จี า� นวน ๒๐ ครอบครวั

15

ซึง่ ทัง้ หมดเป็นกลุ่มชาตพิ ันธไุ์ ทยโซง่ เหมือนกนั โดยสรา้ งบ้านเรอื นอย่ใู กล้กับริมหนองน�า้ ตลาดควาย ต่อมาได้มญี าติ
พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ไทยโซ่งจากหมู่บ้านอ่ืนๆ ย้ายตามมาเพ่ิมข้ึนเรื่อยๆ พร้อมกับการเพ่ิมข้ึนของประชากรภายใน
ชุมชนเองท�าให้บ้านตลาดควายเป็นชุมชนขนาดใหญ่และมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมประเพณีเป็นของตนเองเรียกว่า
“ไทยโซง่ บ้านตลาดควาย” สรณา อนสุ รทรางกรู ๒๕๔๕ หนา้ ๒๓
สว่ นทม่ี าของคา� วา่ บา้ นตลาดควายนน้ั เลา่ สบื ตอ่ กนั มาวา่ เดมิ พน้ื ทบี่ รเิ วณน ี้ เปน็ หนองนา�้ ทกี่ ลมุ่ พอ่ คา้ ววั คา้ ควายใช้
เปน็ สถานทต่ี ดิ ตอ่ ซอ้ื คา้ ขายกนั โดยพอ่ คา้ จะกวาดตอ้ นควายมาแลว้ ปลอ่ ยใหล้ งเลน่ นา�้ ในหนองนา�้ แหง่ นช้ี ว่ ยทา� ใหเ้ ลอื ก
ดคู วายไดส้ ะดวก พอ่ คา้ และผตู้ อ้ งการจะไดค้ วายไปเลยี้ งกจ็ ะทา� การตกลงราคากนั เมอื่ ตกลงราคาไดเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ กจ็ ะ
จงู ควายกลบั บา้ นตนเองจงึ เปน็ ทมี่ าของคา� วา่ “บา้ นตลาดควาย” นอกจากนนั้ ควายยงั เปน็ สตั วท์ เ่ี ปน็ สญั ลกั ษณอ์ ยา่ งหนง่ึ
ของไทยโซ่งในด้านการดา� เนินชีวติ ที่เรียกวา่ “ขอกดุ ” หมายถึงการนา� เอาไมข้ วางหรอื สร้างเปน็ เขาควายมรี ูปรา่ งโค้ง
โดยจะตดิ ไวท้ ่ดี ้านบนของหลังคาบา้ นเรือนของไทยโซ่ง

๔. ชุมชนบา นวังปลา
บ้านวังปลา หมู่ที่ ๕ ต�าบลแก้มอ้น อ�าเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี สภาพภูมิศาสตร์เป็นท่ีดอนสลับท่ีลุ่ม
มนี า้� ทว่ มถงึ บา้ นเลก็ นอ้ ย ประวตั กิ ารเกดิ ชมุ ชน คนกลมุ่ แรกทเี่ ขา้ มาอาศยั อย ู่ประกอบดว้ ย ๔ ครอบครวั คอื ครอบครวั ของ
นายขุนทึง ทองดอนจุย นายห่วง ทองแอม นายเซ้ียง ทองยอด และนายน้อง กรุงศรี เข้ามาบุกเบิกท่ีท�ากินใน
พ.ศ. ๒๕๑๒ และต่อมาก็มปี ระชาชนอพยพเขา้ มาอยูเ่ พ่ิมข้ึน และตอ่ มาไดย้ กฐานะเป็นหม่บู ้าน “วังปลา” หมูท่ ี ่ ๕
ซ่ึงมีเนื้อที่ประมาณ ๕ ๐๐๐ ไร ่ เหตผุ ลท่ีชอื่ วา่ บา้ นวงั ปลา เพราะในสมัยกอ่ นน�้าลา� ภาชไี หลผา่ นหมู่บา้ นและในล�าน�้า
ภาชีมีวังปลาท่ีลึกมาก และมีปลาชุกชุม ปัจจุบันเส้นทางล�าน�้าภาชีเปล่ียนไปและบริเวณวังน�้าท่ีเคยมีปลาชุกชุม
กไ็ มม่ แี ลว้ เพราะนา�้ แหง้ ชาตพิ นั ธใ์ุ นชมุ ชน เปน็ กลมุ่ คนเชอื้ สายลาวโซง่ หรอื ไทยทรงดา� และไทยจนี ประชากรสว่ นใหญ่
ประกอบอาชพี ทา� ไร ่ ทา� นา ทา� สวน ศลิ ปวฒั นธรรมพนื้ บา้ น ประเพณขี องลาวโซง่ เชน่ เครอื่ งแตง่ กาย ภาษาทแี่ ตกตา่ ง
อุปกรณ์ในพิธีกรรมต่างๆ มนี ายทวน แปนโก เปน็ ผูใ้ หญบ่ ้าน http://mculture. .th/al um/

16

บทที ๒ าย นา มอน ย ร ํา

ชำวไทยทรงด�ำ จะมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สังเกตได้ชัดเจนจากการใช้ผ้าทอ และเคร่ืองแต่งกาย
ในการด�ารงชีวิตประจ�าวัน คือ การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีด�าทั้งชายและหญิง นอกจากน้ี ข้าวของเคร่ืองใช้ของ
ชาวไทยทรงดา� ยงั สงั เกตความเปน็ เอกลกั ษณไ์ ดอ้ ยา่ งชดั เจนจากการใชส้ แี ละลวดลาย การปกั และปะผา้ สตี า่ งๆ เชน่ สแี ดง
สีสม้ สเี ขียว สีเหลือง และสีขาว เป็นตน้ รวมทง้ั ลวดลายทที่ �าเปน็ ลายเ พาะของกลุ่ม เช่น ลายดอกจนั ลายขอกุด
หรอื ลายดอกแปด เป็นต้น สพุ รรณ สมไทย และคณะ ๒๕๔๙ ส่วนการตกแตง่ จะท�าเปน็ ลวดลายรูปทรงเรขาคณิต
ดว้ ยวธิ กี ารปกั ดว้ ยไหมส ี และการปะผา้ สที ม่ี สี ตี ดั กนั อนั เปน็ เอกลกั ษณเ์ ดน่ ของไทยทรงดา� การแซว่ หรอื การปกั ลวดลาย
ตา่ งๆ นน้ั จะแตกต่างกันไปในแต่ละหมู่บา้ น อาจใชล้ วดลายเดมิ ทีม่ ีรปู แบบเรขาคณิตซ�้ากันแตล่ ายอาจมแี ตกตา่ งกัน
ออกไปบ้าง รวมทง้ั วัสดกุ ็อาจจะเปลี่ยนไปตามสภาพแวดลอ้ มแตล่ ะท้องท ่ี บางทอ้ งที่ มีวิธกี ารเพมิ่ ขน้ึ เช่น บางท้องที่
จะใช้เล่ือมแทนการคัดเวิร์คกระจกติดกับผ้า แต่ลายท่ีเป็นพ้ืนฐาน คือ ลายดอกพรม จากน้ัน ตัดผ้าเป็นรูปทรง
เรขาคณิต เช่น เป็นรูปสามเหลี่ยม รูปส่ีเหล่ียมจัตุรัสและรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้ผ้าไหมหรือผ้า าย ๔ สี คือ สีแดง
สสี ม้ สเี ขยี ว และสขี าว ในการจดั วางใหเ้ กดิ ลายดอกลกั ษณะตา่ งๆ เชน่ ลายดอกบวั ขาแกว้ เบาะบวั ขาแกว้ ลายดอกงา
ลายหัวแมงดา ลายดอกแปด ลายดอกตะวัน หรือลายกลีบมะเ อง ลายดอกมะลิซ้อน ลายดอกจนั ชาวไทยทรงด�า
จะน�าดอกแต่ละดอกมาประกอบท�าหน้าหมอน ซึ่งเรียกว่า “หมอนลาว” เป็นหมอนลูกเหลี่ยมผืนผ้า เรียกว่า
หมอนตะพาบนา้� นอกจากน ี้ ยงั ใชล้ ายดงั กลา่ วในการตกแตง่ ขอบทน่ี อน เรยี กวา่ ขอบ กู และทา� ขอบมงุ้ ดา� ผา้ หยนั
เพอื่ ใชใ้ นพิธแี ต่งงานโดย ายเจา้ สาวจะตอ้ งทา� ใหเ้ สรจ็ ภายในวันเดียว และใช้ตกแต่งเส้อื ผ้าเคร่อื งแต่งกาย เช่น เส้ือ ี
กระเปาคาดเอวผูช้ าย ตกแต่งมงุ้ สา� หรบั คู่บ่าวสาวอีกดว้ ย ณัฐพล ซอฐานานศุ กั ด์ิ ๒๕๕๙

ลำยดอกหมอน หรือลายหน้าหมอนของไทยทรงด�ามีความเป็นเอกลักษณ์ ดอกหมอนแต่ละใบน้ันจะใช้การ
ปะด้วยเศษผ้าสีสดใส และปักไหมสีต่างๆ สีสันก็จะใช้สีท่ีเป็นเอกลักษณ์เ พาะกลุ่ม คือ แดง เขียว ส้ม น้�าเงิน
เหลือง และขาว เป็นลวดลายท่ีงดงาม มีการตกแต่งด้วยการติดกระจก การปักด้วยเล่ือมลงบนกึ่งกลางลวดลาย
ต่างๆ ที่ประดับหน้าหมอน ลายหน้าหมอนของไทยทรงด�าจึงมีหลายรูปแบบ ชื่อลายต่างกัน ส่วนใหญ่จะได้มา
จากการสังเกตส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติท่ีอยู่รอบตัว ซ่ึงมักเป็นชื่อดอกไม้ท่ีพบเห็นโดยทั่วไป เช่น ลายดอกจันทน์
ลายดอกบวั ลายดอกมะลิ ลายดอกพรม ลายดอกเต้า ลายดอกพิกุล เปน็ ต้น การน�าลายหน้าหมอนไปประดับตกแต่ง
เครื่องนุ่งห่ม ข้าวของเคร่ืองใช้เพื่อให้เกิดความสวยงามและโดดเด่น มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ท�าให้ได้เห็นถึง
ความชาญ ลาดของช่างประดิษฐ์และสร้างสรรค์งาน มือของหญิงสาวไทยทรงด�า ดังพระราชด�ารัสของสมเด็จ
พระนางเจ้าสริ กิ ติ ติ ์ พระบรมราชินีนาถ ในรชั กาลที ่ ๙ “ข้าพเจ้าน้ันภูมใิ จเสมอมาวา่ คนไทยมีสายเลอื ดของช่าง มือ
อยทู่ กุ คน ไมว่ า่ จะเปน็ ชาวไรช่ าวนา หรอื มอี าชพี ใดอยสู่ ารทศิ ใดคนไทยมคี วามละเอยี ดออ่ น และ บั ไวตอ่ การรบั ศลิ ปะ
ทุกชนดิ ขอเพยี งแตใ่ หเ้ ขามโี อกาสได้เรียนร้แู ละ ก น เขาก็จะแสดงความสามารถออกมาให้เหน็ ได.้ ..” พระราชทาน
แก่คณะบุคคลต่างๆ ท่ีเข้าเ าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสวันเ ลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดสุ ดิ าลัย สวนจิตรลดา วนั ที ่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๒ สา� นกั งานเสรมิ สร้างเอกลักษณข์ องชาติ ๒๕๕๘

17

ตัวอยา งเสอ้ื ผา ของใช หรือผลิตภณั ฑของชาวไทยทรงดํา
ที่ใชล ายหนาหมอนไปประดบั ตกแตง

ภำพที่ เสอ้ื ขี องชาย ภำพท่ี เส้ือ ขี องผู้หญิง ภำพท่ี มหู่ รอื หมวกเดก็
ภำพถำ่ ยโดย เบญจา ลิขิตยิ่งวรา

ภำพที่ กระเปาคาดเอว ภำพท่ี ทน่ี อนยดั นุน่ ภำพที่ ผา้ หยนั่ ม้งุ
ของผชู้ าย กู เสือ่

ภำพถ่ำยโดย เบญจา ลิขติ ยิง่ วรา

๑. ลักษณะของหมอนไทยทรงดํา

ภำพที่ หมอนไทยทรงด�า หมอน ชาวไทยทรงดา� นยิ มทา� หมอนไวใ้ ชเ้ อง ลกั ษณะของหมอน
ภำพถำ่ ยโดย เบญจา ลขิ ิตย่งิ วรา คลา้ ยกบั หมอนขดิ ทางภาคอสี าน หมอนของชาวไทยทรงดา� มลี กั ษณะ
เปน็ สเี่ หลยี่ มผนื ผา้ ขนาดประมาณ ๓๐ ๑๘ ๑๒ เซนตเิ มตร โครงสรา้ ง
ของหมอนแบง่ เปน็ ชอ่ งๆ ๔-๖ ชอ่ งเพอ่ื บรรจนุ นุ่ ใหม้ คี วามแนน่ และแขง็
ไมเ่ หลวเวลาหนนุ และเมอื่ ใสน่ นุ่ จนเตม็ และแนน่ แลว้ จะเยบ็ ปดชอ่ ง และ
จะตกแต่งหน้าหมอนด้วยผ้าสีต่างๆ ลวดลายสีสดใสหรือปักด้วยไหมสี
อย่างสวยงาม เรียกว่า ลายหน้าหมอน เวลาว่างหญิงชาวไทยทรงด�า
นยิ มทา� หมอนไวใ้ ชเ้ องในครอบครวั หรอื เตรยี มไวส้ า� หรบั เปน็ เครอื่ งเรอื น

18

ของตนเองก่อนแต่งงานท�าไว้มากๆ เพ่ือมอบให้ลูกให้หลานไว้ใช้และเม่ือแขกมาเยือน ก็จะได้มีหมอนให้ใช้
อย่างเพียงพอ ซึ่งจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงภูมิปัญญาท่ีบ้านดอนคลังท่านหนึ่งท่านกล่าวไว้ว่า “เม่ือแขกมาเยือนบ้าน
ถ้าไม่มีหมอนให้เขาใช้ เขาก็จะเก็บเอาไปนินทาเอา ยายก็จะต้องท�าหมอนเป็นจ�านวนมากมายไว้ใช้อย่างเพียงพอ
ไว้ใชใ้ นบา้ น”

๒. ท่มี าของลายหนาหมอน
แนวคิดการประดิษฐ์ลายหน้าหมอนมีที่มาจากหลายแหล่งด้วยกัน นอกจากแหล่งท่ีมาแล้วยังรวมถึงการสื่อ
ความหมายของลวดลาย คติความเชอ่ื วัฒนธรรมประเพณีที่มคี วามสา� คัญเป็นแรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรค์ ได้แก่
๒.๑ ลวดลายท่มี าจากพนั ธุ์พืช ซ่ึงเปน็ สิง่ แวดล้อมทีอ่ ย่รู อบๆ ตวั ตามหัวไรป่ ลายนาส่วนใหญ่ลายทีป่ ระดิษฐ์
ขนึ้ มาจะมรี ปู แบบมาจากดอกไมเ้ ปน็ สว่ นใหญเ่ พราะดอกไมม้ รี ปู ทรงทส่ี วยงามมคี วามกลมกลนื ลงตวั หญงิ ไทยทรงดา�
กจ็ ะคิดประดษิ ฐ์ลายขึ้นมาด้วยวิธีต่างๆ เช่น การปะติดดว้ ยผา้ สี การปกั หรือการแซ่วด้วยไหมสตี า่ งๆ บรรจงแต่งแต้ม
ใหเ้ กดิ ความงาม ซึ่งบญุ เสรมิ ตินตะสวุ รรณ ๒๕๔๕ หน้า ๔๗-๕๖ ไดก้ ล่าวถงึ ทีม่ าไว้ดังนี้

) ลำยดอกเตำ้ (ดอกนำ� เต้ำ) น้า� เต้าเปน็ พืชประเภทไมเ้ ลอื้ ยท่ีขนึ้ ได้
อยู่ทั่วไป ลา� ต้นมีลักษณะเป็นเครือยาวออกไปอย่างไม่รู้จกั จบส้ิน และ
ออกผลไม่รู้จักหมด ชาวไทยทรงด�าจึงเปรียบเทียบความไม่รู้จักจบสิ้น
ของน้�าเต้ากับต้นตระกูลของพวกตนท่ีไม่มีวันสูญส้ินลงได้ ซ่ึงมีความ
เชอ่ื ตามตา� นานไทดา� ไดก้ ลา่ วไว้วา่ พวกตนเกดิ มาจากการอธษิ ฐานจติ
ของเทวดาชายหญิง ๑๐ องค์ ท่ีจุติไปเป็นต้นก�าเนิดของมนุษย์ จึงได้
อธษิ ฐานจติ สรา้ งนา้� เตา้ และเขา้ ไปอยใู่ นนา้� เตา้ เมอ่ื นา�้ เตา้ ลอยไปตกบนเขา
ภำพท่ี ดอกนา้� เต้า แล้วแตกออก คนชาติพันธุ์ต่างๆ ออกมาตามล�าดับ คือ ข่า ไทด�า
ภำพถ่ำยโดย ปนัดดา คงสมัย ลาวพงุ ขาว อ่ และแกว ประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔ ๒๕๐๗ หนา้ ๒๙๔

เพราะนา้� เตา้ มลี กั ษณะในเชงิ สญั ลกั ษณค์ ลา้ ยอวยั วะเพศหญงิ ลายดอกเตา้ จงึ นยิ มนา� มาประดษิ ฐผ์ า้ ทใ่ี ชใ้ นวนั แตง่ งาน
เพราะเชอ่ื ว่าการแตง่ งานเป็นจดุ เร่ิมต้นของการใหก้ า� เนดิ เพอ่ื ขยายเผา่ พนั ธ์ุ

ภำพท่ี ดอกจนั ทน์ ) ลำยดอกจนั ทน ์ ตน้ จนั ทนเ์ ปน็ ไมย้ นื ตน้ สงู ไดถ้ งึ ๒๐ เมตร ดอกตวั ผู้
ทม่ี ำ http :// t.l / h เปน็ ชอ่ กลบี เชอ่ื มตดิ กนั เปน็ รปู คนโทสขี าวนวล ดอกตวั เมยี เปน็ ดอกเดยี่ ว
ลักษณะคล้ายดอกตัวผู้แต่มีขนาดใหญ่กว่า ชาวไทยทรงด�าเชื่อว่า
ดอกจันทน์เปน็ ตา� นานรักอมตะของชาวไทดา� ในเวียดนาม เนอื่ งจากเกดิ จาก
ความรักของหนุ่มสาวคู่หน่ึงซ่ึงรักกันมาก แต่แม่ของผู้หญิงไม่ชอบใจ
ชายหนุ่ม จึงบังคับให้ลูกสาวแต่งงานกับเศรษฐี หนุ่มสาวคู่น้ีจึงพากัน
า่ ตวั ตายในปาแหง่ หนงึ่ ในคนื วนั พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวง เมอื่ หนมุ่ สาวตายลง
กก็ ลายเปน็ ดอกจนั ทนบ์ านสะพรง่ั อย ู่ณ ทน่ี นั้ เมอื่ ถงึ วนั พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวง
กลิ่นหอมของดอกจันทน์จะส่งกลิ่นไปทั่วบริเวณปา ท�าให้ชาวไทด�า

19

สงสยั วา่ เป็นดอกอะไร เมือ่ เข้าปาจงึ พบว่าเป็นดอกจันทน์จงึ ยกยอ่ งใหส้ ีขาวของดอกจนั ทนน์ ้แี ทนความรักอันบรสิ ทุ ธิ์
มนั่ คง ชาวไทยทรงดา� ในประเทศไทย จงึ นยิ มประดษิ ฐล์ ายนเี้ พอ่ื มอบใหแ้ กเ่ จา้ บา่ วและเจา้ สาว หรอื ผอู้ าวโุ สในหมบู่ า้ น

) ลำยดอกแกว้ ตน้ แกว้ เปน็ ไมพ้ มุ่ ขนาดเล็ก ดอกมกี ล่ินหอม ผู้หญงิ
ชาวไทยทรงดา� ทเ่ี รมิ่ เรยี นรกู้ ารขดิ และปกั ตอ้ งผา่ นลายนเี้ ปน็ ลา� ดบั แรก
เน่ืองจากมีความเชื่อว่า ดอกแก้วเป็นดอกไม้ท่ีมีกลิ่นหอมเยือกเย็นใน
ยามคา่� คืน ผูใ้ ดจะขิดหรอื ปกั จะต้องมีความอดทน และเยอื กเยน็ จึงจะ
สามารถทา� ลายน้ไี ดส้ �าเรจ็
ภำพท่ี ดอกแกว้
ภำพถำ่ ยโดย เบญจา ลขิ ติ ยิ่งวรา

ภำพที่ ดอกผักแว่น ) ลำยดอกผักแว่น ผักแว่นเป็นผักพ้ืนบ้านประเภทไม้ล้มลุกจ�าพวก
ที่มำ http :// . ace .c m/ เ ร์นล�าต้นเป็นเหง้าเรียงยาว ใบหนาแน่นช่วงฤดู น เป็นพืชท่ีอยู่
ตามชาย ังของล�าน�้า ห้วยหนอง คลอง บึง ใช้เป็นผักจ้ิมกับน�้าพริก
. a ealth r u/ ลกั ษณะของดอกผกั แวน่ เปน็ ดอกเลก็ ๆ สวยงาม เกดิ เปน็ กลมุ่ และโตเรว็
p t/ ชาวไทยทรงดา� มคี วามเชอื่ วา่ รปู รา่ งของดอกทมี่ ขี นาดเลก็ เกดิ เปน็ กลมุ่
ภำพที่ ดอกพรม และโตเร็วนี้ ถ้าใครสามารถปกั ลายผักแวน่ ไดก้ จ็ ะแสดงถงึ ความอดทน
ความเอื้อเ อ ประณีตละเอียดอ่อนเจริญงอกงาม และสร้างความ
ท่มี ำ กลมเกลยี วใหค้ รอบครวั เปน็ ปกแผน่ ได ้ ดงั นน้ั ผา้ ลายดอกผกั แวน่ จงึ นยิ ม
http :// .tech l cha a .c m มอบใหแ้ กค่ บู่ า่ วสาวในวันแตง่ งาน หรอื ผใู้ หญ่ทน่ี บั ถอื
) ลำยดอกพรม ต้นพรมเป็นไมย้ นื ตน้ มีหนามที่กง่ิ ก้าน ดอกช่อออก
ที่ปลายก่ิงกลีบดอกเช่อื มตดิ กนั เป็นหลอดสขี าว มีกลิน่ หอม การปะผา้
ของชาวไทยทรงด�า นิยมใช้วิธีการประดิษฐ์ลายดอกพรมเป็นส่วนมาก
เน่อื งจากผ้หู ญงิ ไทยทรงดา� เมื่อไปท�านา เล้ยี งววั เลยี้ วควาย จะพบเห็น
ดอกพรมอยู่เคียงคู่กับทุ่งนาเสมอ เมื่อว่างจากการท�างาน ก็มักจะ
น�าผ้าข้ึนมาประดิษฐ์ โดยใช้ลายดอกพรมเป็นต้นแบบ เน่ืองจากเป็น
ลายท่ีง่ายและไม่ซับซ้อน โดยมีความเชื่อเก่ียวกับดอกพรมว่า “ถึงแม้
จะมีกลิ่นหอม แต่ก็หนามแหลมคมรอบตัว” คนสมัยก่อนจึงสอนหญิงสาว
โดยเปรียบเทียบกับดอกพรมไว้ว่า ความสวยความงามน้ันไม่คงทน
แตก่ ารเปน็ แมบ่ า้ นแมเ่ รอื นจะทา� ใหช้ วี ติ การครองคมู่ คี วามสขุ และยงั่ ยนื
ได้เป็นคนดี

20

ภำพที่ ดอกทานตะวัน ) ดอกทำนตะวัน ดอกทานตะวันเป็นดอกไม้สีเหลือง ดอกใหญ่
ภำพถำ่ ยโดย เบญจา ลิขติ ยง่ิ วรา เปน็ ทสี่ ะดดุ ตามาก ตรงกลางดอกมเี กสรเปน็ วงเกอื บเทา่ ตวั ดอก กลบี ดอก
บานแผ่เป็นวงกลมท�าให้เกสรดอกเด่นชัดขึ้น นิยมปลูกเป็นแปลง
ภำพที่ ดอกมะลิ เป็นไม้ท่ีปลูกง่ายและโตเร็ว ปลูกได้ท่ัวไปเม่ือออกดอกแล้วดอกจะหัน
ภำพถำ่ ยโดย เบญจา ลิขิตยิ่งวรา ไปทางทศิ ตะวนั ออก เปน็ การทานตะวนั ไมห่ นั ไปทางทศิ อนื่ จงึ ไดช้ อ่ื วา่
ดอกทานตะวัน
ภำพที่ ผกั กูด
ภำพถำ่ ยโดย เบญจา ลขิ ติ ยงิ่ วรา ) ลำยดอกมะลิ มะลิมลี กั ษณะต้นเป็นไม้พุ่ม ไม้เลอ้ื ย และไม้รอเลือ้ ย
ดอกมสี ขี าว มที ง้ั ชน้ั เดยี วและหลายชนั้ กลีบดอกม ี ๔-๙ กลีบ โดยปกติ
จะเริ่มบานในเวลาบ่ายและร่วงโรยในวันรุ่งข้ึน ชาวไทยทรงด�าเช่ือว่า
ดว้ ยลกั ษณะของดอกมะล ิเปรยี บเหมอื นผหู้ ญงิ ๔ วยั คอื วยั เดก็ วยั รนุ่ วยั ผใู้ หญ่
และวัยชรา ดอกตูมของมะลิเปรียบเหมือนวัยเด็กที่ยังอยู่ในกรอบ
ของครอบครัว ดอกแรกแย้ม เปรียบเหมือนวัยรุ่น ซ่ึงเป็นวัยท่ีเริ่มมี
การเปล่ียนแปลงสิ่งต่างๆ ในร่างกาย เม่ือดอกมะลิบานเต็มที่จะเร่ิม
สง่ กลน่ิ หอมเปรยี บไดก้ บั วยั ผใู้ หญท่ พี่ รอ้ มจะแตง่ งานมคี รอบครวั เมอื่ ดอก
เร่ิมร่วง เปรียบได้กับวัยชรา แต่จะเห็นเพียงดอกมะลิท่ีแห้งท่ีร่วงลงสู่
พนื้ ดนิ เทา่ นนั้ ดอกมะลจิ งึ เปน็ เครอ่ื งเตอื นใจชาวไทยทรงดา� ใหต้ ระหนกั
ถึงคุณค่าของความเป็นลูกผู้หญิงท่ีจะไม่ประพฤตินอกลู่นอกทาง
เพราะเมอื่ วัยลว่ งเลยไป ทุกสง่ิ กย็ ่อมโรยราตามกาลเวลาด้วย
) ลำยขอกดุ ไดร้ ูปแบบมำจำกผักกูด ซ่งึ ขนึ้ ท่วั ไปตามนาตามชายปา
ทม่ี ีแหล่งน้�าหรือบริเวณชน้ื ๆ มแี ดดส่องถงึ ผกั กดู มใี บหยัก ปลายยอด
อ่อนม้วน ผักกูดมีความเก่ียวพนั กับวิถชี ีวิตชาวไทยทรงดา� ค่อนข้างมาก
ไม่ว่าจะเป็นดินแดนในเวียดนามจนเข้ามาต้ังถ่ินฐานในประเทศ โดยมี
เร่ืองเล่าเกี่ยวกับต�านานผักกูดไว้ว่าชาวไทยทรงด�าในเวียดนาม
มีอาชีพท�าไร่ท�านาและปลูกผักกูดไว้ท่ีปลายไร่เป็นธรรมเนียมที่ลูกและ
หลานจะต้องไปเก็บผักกูดให้พ่อแม่น�ามาเป็นอาหาร วันหน่ึงลูกสาว
ออกไปเก็บผักกูดเพ่ือจะน�ามาให้พ่อแม่กิน หาไปจนทั่วปาก็ไม่พบ
ผักกูดแม้แต่ต้นเดียว จึงเสียใจอย่างมากกลัวพ่อแม่จะไม่มีอาหารกิน
นั่งร้องไห้อยู่ในปานั้น ายผักกูดเห็นนางร้องไห้จนน้�าตาตกลง
บนพื้นดินจึงเห็นใจในความกตัญ ูของนางย่ิงนักต่างพากันแข่งยอด
ขน้ึ มาอยา่ งมากมายใหน้ างไดเ้ กบ็ ไปใหพ้ อ่ แม ่ เมอ่ื นางกลบั มาถงึ บา้ นนางก็
รา� ลกึ บญุ คณุ ของผกั กดู จงึ นา� รปู ลกั ษณข์ องผกั กดู มาทอเปน็ ลาย “ผกั กดู ”
หรอื “ลายขอกดู ” ขน้ึ บนผนื ผา้ ทกุ ชนิ้ ของตน ความหมายของขอกดุ มอี ยู่

21

๒ ความหมาย ความหมายแรก คอื ลายผา้ ของชาวไทยทรงดา� ในเวยี ดนาม มที ง้ั ขอกดุ หลวงหรอื ขอกดุ ใหญแ่ ละขอกดุ นอ้ ย
ซ่ึงมักจะใช้ทอผ้าหรือปักผ้าเปยว ผ้าห่มและเส้ือ ีของชาวไทยทรงด�า ความหมายท่ีสอง คือ ลายท่ีอยู่เหนือหน้าจ่ัว
ลกั ษณะเรอื นที่มลี กั ษณะคลา้ ยกาแลของเรอื นทางลา้ นนา บญุ เสริม ตนิ ตะสุวรรณ ๒๕๔๕ หน้า ๕๐

ภำพท่ี ดอกพิกุล ) ลำยดอกพิกุล ดอกพิกุลเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ดอกเล็กกลีบ
ภำพถ่ำยโดย วฒุ ิกาล เคางาม เป็นแ กปลายแหลมเล็กออกเป็นช่อๆ ละ ๒-๖ ดอก กลีบดอกสี
ขาวนวล กลบี รองดอกสีน�า้ ตาล มขี นนุม่ กลิ่นหอม ลายดอกพิกลุ นิยม
ภำพท่ี ดอกบัว ปักไว้บนหน้าหมอน สาบเสื้อ ี และเชิงเสื้อ ี เนื่องจากมีความเช่ือว่า
ภำพถ่ำยโดย เบญจา ลขิ ิตย่งิ วรา ผใู้ ดสามารถปกั ลายดอกพกิ ลุ ได ้ จะแสดงถงึ ความอดทน และการหลดุ พน้
เพราะว่าเป็นลายท่ีมีความละเอียดต้องใช้เวลาในการปักค่อนข้างนาน
หญิงสาวผู้ใดสามารถปักลายพิกุลได้จะบ่งบอกให้ทราบถึงคุณสมบัติ
พร้อมที่จะออกเรือนได้

) ลำยขำบวั (ดอกบวั ) บวั เปน็ พนั ธไ์ุ มน้ า้� ชนดิ หนงึ่ มเี หงา้ หรอื หวั อยู่
ในเลน ดอกบวั ชดู อกและออกดอกในยามนา�้ เปยม งั กลบี เรมิ่ บานแยม้
ในยาม าสาง และหบุ กลบี ในยามค่า� การแยม้ บานและหุบกลบี ของบัว
เกดิ ขนึ้ พรอ้ มกบั เวลาขนึ้ และตกของดวงอาทติ ย ์ ดว้ ยเหตนุ ช้ี าวไทยทรงดา�
เช่ือว่า ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์เวลาเช้าและเย็น นอกจากน้ีดอกบัวยัง
ตรงกบั ความเชอื่ ของชาวไทยทรงดา� อกี ดา้ นหนงึ่ ทเ่ี ปรยี บเทยี บดอกบวั
ไว้ว่าเกิดจากตมอันสกปรกและตกตะกอนในท้องน้�า แต่บัวก็พยายาม
ยืดสามารถโผล่ใบและดอกขึ้นมาเหนือผิวน้�า ก�าเนิดของบัวจึงเป็นสิ่ง
เปรยี บเทยี บเรอื่ งการประพฤตผิ ดิ พลาดเพยี งใด แตก่ ย็ งั มโี อกาสทจ่ี ะเปน็
คนดไี ดท้ ุกคน ถ้าผนู้ ้นั มคี วามตัง้ ใจจรงิ ชาวไทยทรงด�าจงึ น�าลายขาบัว
หรือดอกบัวตามจินตนาการน้ีมาเป็นการขอขมาหรือถวายพระ
เพอ่ื เป็นการแสดงถงึ ความส�านกึ ในความผิดเพื่อเรมิ่ ต้นกลับเป็นคนดี

) ลำยดอกแปด ดอกแปดเป็นลายท่ีเกิดจากจินตนาการของชาวไทยทรงด�าโดยอัญเชิญแถนท้ัง ๘ มาประดิษฐ์
เปน็ ลายผา้ ซงึ่ ประกอบดว้ ยแถนหลวงเปน็ หวั หนา้ ของแถนทงั้ ปวง มหี นา้ ทตี่ ดั สนิ ขอ้ พพิ าทตา่ งๆ ใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรม
แถนสิงเป็นแถนประจ�าตระกูลมีหน้าท่ีรักษาสมาชิกทุกคนที่อยู่วงศ์วานให้อยู่เย็นเป็นสุข แถนแนนมีหน้าท่ีควบคุม
ไมใ่ หข้ วญั ของคนหลดุ หายไป แถนชาตมหี นา้ ทก่ี า� หนดชะตาชวี ติ และสง่ มนษุ ยม์ าเกดิ ในโลก แถนแมน่ างมหี นา้ ทบี่ นั ดาล
ใหแ้ มม่ นี า�้ นมไวเ้ ลยี้ งทารก แถนปวั กา่ ลาวมี หี นา้ ทด่ี แู ลทกุ ขส์ ขุ ความอดุ มสมบรู ณข์ องมนษุ ย ์ และควบคมุ ดนิ าอากาศ
ทา� ให้ นตกตอ้ งตามฤดกู าล แถนนงุ่ ขาวมหี นา้ ทบ่ี นั ดาลใหค้ นมคี วามสวยงามและแถนบญุ มหี นา้ ทบี่ นั ดาลความมง่ั คงั่
และความอดุ มสมบรู ณใ์ หเ้ กดิ แกม่ นษุ ย ์ แถนทง้ั ๘ องคน์ ้ี ชาวไทยทรงดา� เชอ่ื วา่ ถา้ ผใู้ ดใชเ้ สอ้ื ผา้ และเครอ่ื งนงุ่ หม่ ลายนี้
จะไดร้ บั การดแู ลจากแถน เมอ่ื เสยี ชวี ติ ลงวญิ ญาณของผตู้ ายจะไดร้ บั ความคมุ้ ครองจากแถนชาตเพราะสวมเครอ่ื งแตง่ กาย
ทเี่ ปน็ ลายน้ ี โดยเ พาะเส้ือ ที สี่ วมและคลมุ โลงศพส่วนมากจะใชล้ ายนี้ทอ ทา� ใหช้ าวไทยทรงดา� นิยมปะผา้ ดอกแปด
บนผ้าและเครอ่ื งนุ่งห่ม เพ่อื ไว้ใชใ้ นงานพธิ กี รรมเปน็ สว่ นใหญ่

22

๓. การประดษิ ฐล ายหนา หมอนของชาวไทยทรงดํา
การประดิษฐ์ลายหน้าหมอนของชาวไทยทรงด�า พบว่าลวดลายหน้าหมอน จะมีวิธีการประดิษฐ์ลวดลาย
เปน็ ๒ ลักษณะ คอื
๓.๑ การประดิษฐ์ลายหน้าหมอนด้วยวิธีการพับปะติด วิธีการนี้น�าผ้าสีมาตัดเป็นส่ีเหลี่ยม สามเหลี่ยมแล้ว
น�ามาพับ วางซ้อนทับกันให้เป็นรูปแบบลวดลายตามต้องการ แล้วยึดติดกันด้วยด้าย การประดิษฐ์ลวดลายจะซ้อน
ทับกันหลายชั้น บางลายอาจจะซ้อนทับกันถึง ๘ ชั้น ลายหน้าหมอนท่ีส�าเร็จจะมีความสวยงามและโดดเด่นมาก
ท้ังน้ีเกิดจากการน�าผ้าสีสดใสมาใช้ท�าลวดลาย แต่ดั้งเดิมสีท่ีนิยมใช้ ได้แก่ สีส้ม สีแดง สีเขียว และสีขาว เมื่อน�า
ลวดลายมาประกอบกับหมอนและผ้าท่ีสวมใส่เป็นสีด�า ซึ่งสีด�าเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยทรงด�าจะท�าให้งดงาม
และโดดเดน่ ย่งิ ขน้ึ
๓.๒ การประดิษฐ์ลายหน้าหมอนด้วยวิธีการปักหรือแซ่วด้วยด้ายสีและไหมสี การประดิษฐ์ลายหน้าหมอน
ดว้ ยวธิ นี ก้ี เ็ ปน็ อกี วธิ หี นง่ึ ทมี่ คี วามงดงามไมแ่ พก้ ารประดษิ ฐล์ ายหนา้ หมอนแบบพบั ปะตดิ การประดษิ ฐล์ ายหนา้ หมอน
แบบปัก จะใช้กบั ลวดลายทตี่ อ้ งการความละเอยี ด เชน่ ลวดลายที่เกดิ จากจนิ ตนาการ ได้แก ่ ลายดอกพิกลุ ลายแซว่
ดอกตะวัน ลายขอกุด ลายเอื้อ ลายเซียวขอ ลายต้นสน ลายพาน และการปักเป็นรูปสัตว์ ลายนาค ลายผีเส้ือ
ลายมา้ เปน็ ต้น

๔. วสั ดุอุปกรณ และเทคนิควิธกี ารประดษิ ฐลายหนาหมอนดวยวธิ ีการพบั ปะติด
การประดิษฐ์ลายหน้าหมอนด้วยวิธีการพับปะติดเป็นการน�าเศษผ้าที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วพับเป็น
รปู สามเหลย่ี ม หรอื สเี่ หลยี่ มวางซอ้ นกนั เยบ็ เปน็ ลวดลายแบบเรขาคณติ ทา� ใหเ้ กดิ เปน็ ลวดลายตา่ งๆ โดยมวี สั ดอุ ปุ กรณ ์
และเทคนคิ วิธกี ารประดษิ ฐ์ลวดลายเพ่ือให้เกดิ ความสวยงามดังน้ี

ภำพท่ี ภาพวัสดุอปุ กรณท์ �าลายหนา้ หมอนแบบพบั ปะติด
ภำพถำ่ ยโดย เบญจา ลิขิตยิ่งวรา

๑ วัสดุอุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการประดษิ ฐล์ ายผา้ หนา้ หมอนมีดงั น้ี
๑.๑ ผา้ พื้นสตี ่างๆ เช่น สขี าว สเี ขยี ว สีเหลอื ง สีแดง สีส้ม เป็นต้น
๑.๒ เขม็ เบอร์ ๑๑ หรือทช่ี าวบ้านเรยี กวา่ เข็มลวด
๑.๓ วสั ดุตกแต่ง เช่น กระจกกลม กระจกเหล่ยี ม เลอ่ื ม

23

๑.๔ ดา้ ย
๑.๕ กรรไกร
๑.๖ เข็มหมดุ
๑.๗ กาวลาเท็กซ์

๒ เทคนิคในการประดิษฐ์ลายหนา้ หมอนใหส้ วยงาม
๒.๑ การเลือกผ้าในการประดิษฐ์ลายหน้าหมอน ผู้ประดิษฐ์จะมีวิธีการเลือกผ้า
เพื่อให้ได้ลวดลายที่สวยงามและโดดเด่น คือ ควรเป็นสีสดใส มีสีขาวหรือสีด�าเป็นพื้นจะท�าให้ลวดลายเด่น
น่ามอง ผ้าท่ีใช้ต้องเป็นผ้า าย เน้ือผ้าบางแต่แข็งเพื่อพับและกรีดให้เรียบได้ง่ายเวลารีด หรือพับแล้ว
ผ้าจะอยู่ตัวไม่เด้งออก เวลาพับมุมจะได้มุมท่ีแหลมสวย สีของผ้าแต่เดิมจะใช้สีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยทรงด�า
แต่มาสมัยปัจจุบันผู้ประดิษฐ์ลวดลายจะต้องเลือกสีท่ีสดใส หรือ สีสะท้อนแสง จะท�าให้ลวดลายมีความสดใส
สวยงาม โดดเด่นย่ิงข้ึน เช่น สีเหลือง สี า สีม่วง สีน�้าเงิน และสีชมพู เป็นต้น ลวดลายท่ีส�าเร็จจะถูกน�าไป
ตกแตง่ หน้าหมอน และตกแตง่ บนเคร่อื งนุ่งหม่ และขา้ วของเครอ่ื งใชต้ ่างๆ
๒.๒ เลือกสีของด้ายตามสีผ้า หรือสีที่ใกล้เคียงกัน เช่น ผ้าสีขาวควรใช้ด้ายสีขาว
หรือ ผา้ สเี หลอื งออ่ น อาจจะใช้ดา้ ยสีขาวไดเ้ ช่นกัน
๒.๓ ต้องพับผ้าให้เรียบ อาจต้องใช้เตารีดกดทับให้เรียบ เป็นเหลี่ยมหรือมุมที่สมมาตร
และวางผ้าให้ตรงต�าแหนง่
๒.๔ ขณะเยบ็ ตอ้ งระวังไม่ให้มุมผา้ เล่อื น อาจใชเ้ ขด็ หมุดปกั ยึดไวก้ อ่ นก็ได้

๒.๕ การประดิษฐ์ลายผ้าหน้าหมอนให้งดงามน้ัน ผู้ท�าต้องมีเทคนิคในการวางผ้า
ใหต้ รง วางผา้ ให้พอดีมมุ ทต่ี อ้ งการ

ภำพท่ี การใชเ้ ขม็ หมดุ ปกั ยดึ ผา้ ไมใ่ หเ้ คลอ่ื น ภำพท่ี ภำพ การวางผา้ ใหพ้ อดมี มุ ทต่ี อ้ งการ

ภำพถำ่ ยโดย ถิรดา ประจวบสขุ

24

บทที ๓ าย นา มอน ย ร ํา น ั ั รา บร

ลายหน้าหมอนแบบพับปะผ้าเป็นลวดลายที่นิยมกันมาก ชาวไทยทรงด�าจะเรียกลายท่ีเกิด
จากการพับปะผา้ วา่ ลายหน้าหมอน คอื เปน็ การเรียกชือ่ ลายโดยรวมทใ่ี ช้ในการตกแต่งหน้าหมอน ลวดลายเหล่าน้ี
ส่วนใหญ่จะเป็นลายท่ีมีรูปทรงมาจากเรขาคณิต การเรียกช่ือลายส่วนใหญ่จะมาจากพืชพันธุ์ในธรรมชาติ
ที่พบเห็นในสภาพแวดล้อม เช่น ลายดอกมะลิ ลายดอกมะลิประยุกต์ ลายดอกจันทน์ประยุกต์ ลายดอกแปด
ลายดอกจิก ลายขาบวั หรอื ดอกบวั ลายมะลิซอ้ น ลายดอกพรม เป็นต้น การรวบรวมลายหนา้ หมอนจากชุมชนตา่ งๆ
ในจงั หวัดราชบรุ ซี ่งึ มีชาวไทยทรงดา� อาศัยอยูแ่ ละยงั มกี ารทา� ลายหน้าหมอนอย่โู ดยคัดเลอื กจาก ๔ ชุมชนคอื
๑. ลายหนา้ หมอนบา้ นดอนคลงั ต�าบลดอนคลัง อ�าเภอดา� เนนิ สะดวก
๒. ลายหนา้ หมอนบ้านหัวเขาจีน ตา� บลหว้ ยยางโทน อา� เภอปากท่อ
๓. ลายหน้าหมอนบ้านตลาดควาย ต�าบลจอมบงึ อา� เภอจอมบึง
๔. ลวดลายหนา้ หมอนบ้านวังปลา ตา� บลแก้มอน้ อา� เภอจอมบงึ
ในบทน้ีจะกล่าวถึงการประดิษฐ์ลายหน้าหมอนด้วยวิธีการพับปะติดของแต่ละชุมชนจะแสดงให้เห็นลวดลาย
ทมี่ เี อกลกั ษณเ์ ปน็ ของตนเองซง่ึ แสดงขน้ั ตอนวธิ กี ารประดษิ ฐล์ วดลายอยา่ งละเอยี ด เพอื่ เปน็ แนวทางในการประดษิ ฐ์
ลายหนา้ หมอนแบบพบั ปะตดิ โดยมีรายละเอียดใหผ้ สู้ นใจสามารถนา� ไปปฏิบตั ไิ ด้ดงั น้ี

๑. ลายหนาหมอนบานดอนคลงั ตําบลดอนคลัง อําเภอดําเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
ลายหน้าหมอนของบ้านดอนคลังจะมีการประยุกต์ท้ังสีและการตกแต่ง สีมักจะเป็นสีสดใสสะดุดตาโดยน�า
สสี ะทอ้ นแสงมาใชเ้ พอื่ ความโดดเดน่ การตกแตง่ จดุ กง่ึ กลางดอกจะใชเ้ ลอ่ื มปกั แทนวธิ กี ารสนกระจกทมี่ มี าแตโ่ บราณ
ลวดลายและขน้ั ตอนวธิ ีการท�ามีรายละเอยี ดดงั น้ี

ภำพที่ การนา� สีสะท้อนแสง
มาใชใ้ นลายหนา้ หมอนบ้านดอนคลัง
ภำพถำ่ ยโดย เบญจา ลขิ ิตยิ่งวรา

25

ขันตอนกำรท�ำ

๑. ตดั ผา้ สดี �าขนาดกว้าง ๕ เซนตเิ มตร ยาว ๕ เซนติเมตร
๒. น�าผ้าสีขาวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร
จ�านวน ๔ ชิ้น พับ ๒ ด้านให้เป็นสี่เหลี่ยมขนาดเล็กลง เย็บลงบนผ้าสีด�า
โดยยดึ ไว้ ๓ จดุ ใหค้ รบทัง้ ๔ ชน้ิ
๓. น�าผ้าสีเขียวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร
จ�านวน ๔ ช้ิน พับ ๒ ด้านให้เป็นส่ีเหลี่ยมขนาดเล็กลง เย็บลงบนผ้าสีขาว
ภำพ ที่ ลา ยดอกมะล ะกอ โดยยึดไว้ ๓ จุด ใหค้ รบทั้ง ๔ ช้ิน
๔. น�าผา้ สเี หลอื งขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ชนิ้ พบั ๒ ด้านใหเ้ ปน็ สีเ่ หลี่ยม
ขนาดเล็กลง เยบ็ ลงบนผา้ สีขาว ระหว่างผา้ สเี ขยี วทัง้ ๒ ชน้ิ โดยเยบ็ ไว้ ๓ จดุ ใหค้ รบท้งั ๔ ช้ิน
๕. นา� ผ้าสีขาวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จ�านวน ๔ ชิ้น พบั ๑ ดา้ น เย็บทับเปน็ กรอบ
สเี่ หลี่ยมท้งั ส่ีดา้ น ให้เหน็ ลายหนา้ หมอน โดยเยบ็ ไว้ ๓ จดุ ให้ครบทัง้ ๔ ช้นิ
๖. ท�าปกลาย โดยน�าผ้าสีชมพูและสีเขียว ขนาดกว้าง ๗ เซนติเมตร ยาว ๗ เซนติเมตร น�ามาตัดแบ่งครึ่ง
เปน็ รปู สามเหลย่ี ม อยา่ งละ ๒ ชน้ิ พบั ๑ ดา้ น ดา้ นตรงขา้ มมมุ สามเหลย่ี ม นา� ไปเยบ็ ทบั ผา้ กรอบสขี าวใหเ้ หลอ่ื มกนั เลก็ นอ้ ย
โดยเยบ็ สลบั สกี นั ใหค้ รบทง้ั ๔ ดา้ น จากนนั้ ปกั เลอ่ื มใสต่ รงกลางดอก จะไดล้ ายดอกมะละกอ ดงั ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา�

ภำพที่ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกมะละกอ
ภำพถำ่ ยโดย ถิรดา ประจวบสขุ

ขน้ั ตอนท ่ี ๑ ขั้นตอนท่ ี ๒ ข้นั ตอนท่ ี ๓

ขัน้ ตอนที่ ๔ ข้ันตอนท ่ี ๕ ข้ันตอนท ี่ ๖

26

ขันตอนกำรทำ�

ภำพท่ี ลายดอกบวั ๑. ตดั ผ้าสดี า� ขนาดกวา้ ง ๕ เซนตเิ มตร ยาว ๕ เซนติเมตร
๒. นา� ผา้ สขี าวขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชนิ้
พับ ๒ ด้านให้เป็นสี่เหล่ียมขนาดเล็กลง เย็บลงบนผ้าสีด�า โดยยึดไว้ ๓ จุด
ให้ครบทัง้ ๔ ชิน้
๓. น�าผ้าสีเหลืองและสีชมพูขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕
เซนติเมตร อย่างละ ๒ ช้นิ พบั ๒ ดา้ น

๔. น�าผ้าสีขาวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ช้ิน พับ ๑ ด้าน เย็บทับเป็น
กรอบส่เี หล่ยี มทัง้ ส่ีดา้ น ใหเ้ หน็ ลายหน้าหมอน โดยเยบ็ ไว้ ๓ จุด ให้ครบทั้ง ๔ ชิ้น
๕. นา� ผา้ สมี ว่ งขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จ�านวน ๔ ชนิ้ พบั ๒ ด้าน เย็บทบั ไปท่ีมุม
ทงั้ สดี่ ้านของกรอบสเ่ี หลยี่ มเป็นกรอบส่เี หลย่ี มท้งั สดี่ ้าน โดยเย็บไว ้ ๓ จุด ใหค้ รบทง้ั ๔ ช้ิน
๖. น�าผา้ สสี ม้ และสีแดงขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร อยา่ งละ ๒ ชนิ้ พับ ๒ ด้าน เย็บทบั
บนผา้ สขี าวระหว่างผ้าสีมว่ ง สลับสีกนั
๗. น�าผ้าสีขาวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ชิ้น พับ ๑ ด้าน เย็บทับเป็น
กรอบส่ีเหลีย่ มทั้งสี่ด้าน ให้เหน็ ลายหน้าหมอน โดยเยบ็ ไว้ ๓ จุด ใหค้ รบทง้ั ๔ ช้นิ
๘. ทา� ปกลาย โดยน�าผ้าสเี หลอื งและสีเขียว ขนาดกว้าง ๗ เซนติเมตร ยาว ๗ เซนติเมตร น�ามาตัดแบง่ ครง่ึ
เปน็ รูปสามเหลีย่ ม อยา่ งละ ๒ ชน้ิ พับ ๑ ด้าน ดา้ นตรงข้ามมมุ สามเหลย่ี ม น�าไปเย็บทับผา้ กรอบสีขาวให้เหล่ือม
กนั เลก็ นอ้ ย โดยเยบ็ สลบั สกี นั ใหค้ รบทง้ั ๔ ดา้ น จากนน้ั ปกั เลอ่ื มใสต่ รงกลางดอก จะไดล้ ายดอกบวั ดงั ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา�

ภำพที่ ภาพแสดงข้นั ตอนการทา� ลายดอกบัว
ภำพถ่ำยโดย ถริ ดา ประจวบสขุ

ขั้นตอนที่ ๑ ข้ันตอนท ี่ ๒ ขัน้ ตอนที่ ๓

ขน้ั ตอนท ี่ ๔ ข้ันตอนท ่ี ๕ ขน้ั ตอนที่ ๖

27

ขน้ั ตอนที ่ ๗ ขน้ั ตอนที ่ ๘

ภำพท่ี ลายดอกแปด

ขันตอนกำรทำ�
๑. ตดั ผา้ เปน็ รปู สามเหลย่ี ม ขนาดฐาน ๗ เซนตเิ มตร สงู ๗ เซนตเิ มตร ผา้ สเี ขยี ว
๑ ช้นิ ผา้ สขี าว ๑ ชนิ้ ผ้าสีเหลอื ง ๒ ชน้ิ และผ้าสแี ดง ๔ ช้นิ
๒. นา� ผา้ มาเยบ็ ตอ่ กนั โดยเยบ็ สขี าวกบั สแี ดงกอ่ น จากนนั้ เยบ็ ผา้ สแี ดงกบั
ผา้ สีเขยี ว และเย็บผ้าสีแดงกบั สเี หลือง ๒ ชิน้
๓. นา� ผา้ แตล่ ะสว่ นมาเยบ็ ตอ่ กนั โดยใหม้ มุ ชนกนั ตรงกลาง ใหผ้ า้ สเี ขยี วอยตู่ รงขา้ มกบั ผา้ สขี าว ใหผ้ า้ สเี หลอื ง ๒ ชน้ิ
อยู่ขา้ มกนั และให้ผ้าสแี ดงทัง้ ๔ ชิน้ อยตู่ รงข้ามกัน
๔. ปกั เลอ่ื มใส่ตรงกลางดอก จะไดล้ ายดอกแปดทสี่ วยงาม ดงั ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา�
ภำพท่ี ภาพแสดงขั้นตอนการทา� ลายดอกแปด

ภำพถ่ำยโดย ถริ ดา ประจวบสขุ

ขั้นตอนท ี่ ๑ ขั้นตอนท่ ี ๒

ข้นั ตอนท ี่ ๓ ขน้ั ตอนท ่ี ๔

28

ภำพที่ ลายดอกดาวกระจาย

ขันตอนกำรท�ำ
๑. ตดั ผ้าสดี า� ขนาดกว้าง ๕ เซนตเิ มตร ยาว ๕ เซนติเมตร
๒. นา� ผา้ สขี าวขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชน้ิ
พบั ๑ ดา้ นใหเ้ ปน็ สเ่ี หลยี่ มผนื ผา้ เยบ็ ลงบนผา้ สดี า� โดยยดึ ไว ้ ๓ จดุ ใหค้ รบทง้ั ๔ ชน้ิ
โดยเว้นช่องตรงกลางให้เป็นส่ีเหลี่ยมจตั ุรัส
๓. น�าผ้าสมี ว่ งขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ชน้ิ พับ ๑ ดา้ น ใหเ้ ป็นสี่เหล่ียม
ขนาดเล็กลง เย็บลงบนผา้ สีขาว โดยยึดไว้ ๓ จุด ให้ครบทง้ั ๔ ชน้ิ
๔. น�าผา้ สแี ดงขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ชิ้น พับ ๒ ดา้ น ให้เปน็ สี่เหลีย่ ม
ขนาดเลก็ ลง เย็บลงบนผา้ สีมว่ งตามมุมสีเ่ หลี่ยม โดยยดึ ไว ้ ๓ จุด ให้ครบท้ัง ๔ ชน้ิ
๕. น�าผ้าสีเหลืองขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชนิ้ พบั ๒ ดา้ น ใหเ้ ป็นส่เี หล่ียม
ขนาดเลก็ ลง เย็บลงบนผา้ ระหว่างผา้ สีมว่ งและแดง โดยยดึ ไว้ ๓ จุด ใหค้ รบทัง้ ๔ ชิน้
๖. น�าผา้ สีเขียวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จ�านวน ๔ ชิน้ พับ ๒ ดา้ น ให้เป็นสเี่ หลย่ี ม
ขนาดเลก็ ลง เย็บลงบนผา้ สแี ดง ใหเ้ หลอ่ื มกันเล็กนอ้ ย โดยยึดไว ้ ๓ จดุ ให้ครบทัง้ ๔ ช้ิน
๗. นา� ผ้าสีชมพขู นาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ชน้ิ พับ ๒ ดา้ น ใหเ้ ปน็ สเ่ี หล่ยี ม
ขนาดเล็กลง เยบ็ ลงบนผา้ สีเหลอื งใหม้ ุมเหลือ่ มกันเล็กน้อย โดยยดึ ไว้ ๓ จุด ใหค้ รบท้ัง ๔ ช้ิน
๘. นา� ผา้ สีขาวขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ช้นิ พับตามแนวยาว ๑ ดา้ น เยบ็
ทบั เปน็ กรอบสี่เหลยี่ มทง้ั สี่ด้าน ใหเ้ ห็นลายหนา้ หมอน โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จดุ ให้ครบท้ัง ๔ ช้นิ
๙. ท�าปกลาย โดยน�าผ้าสีแดงและสีเขียว ขนาดกว้าง ๗ เซนติเมตร ยาว ๗ เซนติเมตร น�ามาตัดแบ่งคร่ึง
เปน็ รปู สามเหลย่ี ม อยา่ งละ ๒ ชนิ้ พบั ๑ ดา้ น ดา้ นตรงขา้ มมมุ สามเหลย่ี ม นา� ไปเยบ็ ทบั ผา้ กรอบสขี าวใหเ้ หลอ่ื มกนั เลก็ นอ้ ย
โดยเย็บสลบั สกี นั ใหค้ รบท้ัง ๔ ด้าน ปกั เล่อื มใสต่ รงกลางดอก จะได้ลายดอกดาวกระจาย ดังภาพแสดงขนั้ ตอนการท�า

ภำพที่ ภาพแสดงขั้นตอนการทา� ลายดอกดาวกระจาย
ภำพถ่ำยโดย ถริ ดา ประจวบสุข

ขัน้ ตอนท่ี ๑ ข้ันตอนที่ ๒ ขั้นตอนท ่ี ๓ ข้นั ตอนท ่ี ๔

ขน้ั ตอนที ่ ๕ ขั้นตอนท่ ี ๖ ขนั้ ตอนท ่ี ๗ ข้ันตอนที ่ ๘ ขัน้ ตอนท ี่ ๙

29

ภำพที่ ลายดอกมะลิลา
ขันตอนกำรท�ำ
๑. ตัดผ้าสีด�าขนาดกวา้ ง ๕ เซนติเมตร ยาว ๕ เซนติเมตร
๒. นา� ผ้าสขี าวขนาด ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๘
ชิ้น พับให้เป็นรูปสามเหลี่ยมและพับครึ่งสามเหล่ียมอีกคร้ัง น�ามาเย็บให้มุม
สามเหล่ียมชนกนั ตรงกลางให้ครบทง้ั ๘ ช้นิ โดยยึดไว ้ ๓ จดุ
๓. นา� ผา้ สมี ว่ งขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จ�านวน ๔ ชิ้น พบั ๒ ด้าน ใหเ้ ปน็ สเ่ี หลีย่ ม
ขนาดเลก็ ลง เย็บลงบนผ้าสีขาว โดยยึดไว ้ ๓ จุด ให้ครบท้งั ๔ ช้ิน
๔. น�าผ้าสีเขียวและแดง ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวนสลี ะ ๔ ชน้ิ พบั ๒ ด้าน
ให้เป็นสเ่ี หล่ียมขนาดเลก็ ลง เย็บลงบนผ้าสขี าวระหวา่ งสีม่วง โดยเย็บสลบั สกี นั ใหย้ ึดไว้ ๓ จุด ใหค้ รบท้งั ๔ ช้ิน
๕. น�าผ้าสีขาวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๔ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ช้ิน พับตามด้านยาว ๑ ด้าน
เยบ็ ทบั บนผ้าทั้งสี่ดา้ นเป็นกรอบให้เห็นลายดอก โดยยึดไว ้ ๓ จุด ใหค้ รบทงั้ ๔ ชน้ิ
๖. ท�าปกลาย โดยน�าผ้าสีแดงและเหลือง ขนาดกว้าง ๗ เซนติเมตร ยาว ๗ เซนติเมตร น�ามาตัดแบ่งคร่ึง
เป็นรปู สามเหล่ียม อยา่ งละ ๒ ช้นิ พับ ๑ ดา้ น ดา้ นตรงข้ามมุมสามเหล่ียม น�าไปเยบ็ ทบั ผา้ กรอบสีขาวให้เหล่อื มกนั
เลก็ นอ้ ย โดยเยบ็ สลบั สกี นั ใหค้ รบทงั้ ๔ ดา้ น จากนน้ั ปกั เลอื่ มใสต่ รงกลางดอก จะไดล้ ายดอกมะล ิ ดงั ภาพขน้ั ตอนการทา�

ภำพที่ ภาพแสดงข้ันตอนการทา� ลายดอกมะลลิ า
ภำพถำ่ ยโดย ถริ ดา ประจวบสุข

ขัน้ ตอนท ี่ ๑ ขน้ั ตอนที ่ ๒ ขน้ั ตอนท่ ี ๓

ข้ันตอนท ่ี ๔ ขัน้ ตอนที ่ ๕ ข้ันตอนที ่ ๖

30

ภำพที่ ลายดอกบวบ
ขนั ตอนกำรทำ�
๑. นา� ผา้ สสี ม้ และสแี ดง ขนาด ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน
สลี ะ ๒ ช้นิ นา� มาเย็บต่อกนั โดยเยบ็ สลบั สี ใหเ้ ป็นฐานของลายดอกบวบ
๒. นา� ผา้ สีขาวขนาด ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ช้ิน
พบั ด้าน น�ามาเยบ็ ทบั บนผ้าสสี ้มและสแี ดง โดยยึดไว ้ ๓ จุด ให้ครบทั้ง ๔ ชนิ้
๓. นา� ผา้ สเี หลืองขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จ�านวน ๔ ชน้ิ พบั ๑ ดา้ น เย็บลงบนผ้า
สีขาวตามมุมส่ีเหล่ียม โดยยดึ ไว ้ ๓ จดุ ใหค้ รบทง้ั ๔ ชนิ้
๔. นา� ผา้ สเี ขยี ว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวนสลี ะ ๔ ชนิ้ พบั ๒ ดา้ น ใหเ้ ปน็ สเี่ หลย่ี ม
ขนาดเลก็ ลง น�ามาเยบ็ ลงบนผา้ สเี หลืองตรงมุมสีเ่ หล่ยี ม โดยยึดไว้ ๓ จุด ใหค้ รบท้งั ๔ ชิน้
๕. น�าผ้าสขี าวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๔ เซนตเิ มตร จ�านวน ๔ ชิ้น พบั ๒ ด้าน ให้เป็นส่ีเหลย่ี ม
ขนาดเล็กลง น�ามาเย็บทบั บนผ้าสเี ขยี วให้เหลอ่ื มกนั เลก็ นอ้ ย โดยยดึ ไว้ ๓ จุด ให้ครบทง้ั ๔ ชิน้
๖. น�าผ้าสีส้มขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ชนิ้ พับ ๒ ดา้ น ใหเ้ ป็นส่ีเหลี่ยม
ขนาดเลก็ ลง น�ามาเย็บทบั บนผา้ สีเหลอื งตรงมุมสเ่ี หลยี่ ม โดยยดึ ไว ้ ๓ จุด ให้ครบทงั้ ๔ ชนิ้
๗. น�าผ้าสีส้ม ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๔ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ช้ิน พับตามด้านยาว ๑ ด้าน
เย็บทับบนผ้าทง้ั สดี่ ้านเป็นกรอบให้เหน็ ลายดอก โดยยดึ ไว ้ ๓ จุด ให้ครบทง้ั ๔ ชน้ิ
๘. ท�าปกลาย โดยนา� ผา้ สขี าวและสีเหลือง ขนาดกว้าง ๗ เซนติเมตร ยาว ๗ เซนตเิ มตร นา� มาตดั แบง่ คร่งึ
เปน็ รปู สามเหลยี่ ม อยา่ งละ ๒ ชิน้ พบั ๑ ด้าน ด้านตรงข้ามมมุ สามเหลย่ี ม นา� ไปเย็บทบั ผา้ กรอบสีขาวให้เหลอ่ื มกนั
เลก็ น้อย โดยเย็บสลบั สีกนั ให้ครบทงั้ ๔ ดา้ น ดงั ภาพแสดงข้นั ตอนการท�า

ภำพที่ ภาพแสดงข้ันตอนการท�าลายดอกบวบ
ภำพถ่ำยโดย ถิรดา ประจวบสุข

ข้ันตอนท ่ี ๑ หนา้ ข้ันตอนท ี่ ๑ หลัง ข้นั ตอนท ่ี ๒ ขนั้ ตอนท ่ี ๓

ขัน้ ตอนท่ี ๔ ขนั้ ตอนที่ ๕ ขน้ั ตอนท่ ี ๖ ขนั้ ตอนที่ ๗ ขนั้ ตอนท่ ี ๘

31

ภำพที่ ลายดอกพิกุล
ขนั ตอนกำรทำ�
๑. ตัดผา้ สดี �าขนาดกว้าง ๕ เซนตเิ มตร ยาว ๕ เซนตเิ มตร
๒. นา� ผ้าสีขาวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน
๔ ชน้ิ พบั ๑ ดา้ นให้เปน็ ส่ีเหลีย่ มผืนผา้ เยบ็ ลงบนผ้าสดี �า โดยยดึ ไว้ ๓ จดุ ใหค้ รบ
ทั้ง ๔ ชิน้ โดยเว้นชอ่ งตรงกลางให้เป็นส่ีเหลี่ยมจัตรุ ัส
๓. น�าผ้าสีม่วงและสีแดงขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวนสีละ ๔ ช้ิน พับให้เป็น
รปู สามเหล่ียม ๓ ครั้ง นา� มาเยบ็ ลงบนผา้ สีขาวตามมมุ สเ่ี หล่ียมสลับสกี ัน โดยยดึ ไว้ ๓ จุด ให้ครบทง้ั ๘ ชิ้น
๔. นา� ผา้ สเี หลือง ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๘ ช้ิน พับ ๒ ดา้ น ให้เปน็ ส่ีเหล่ียม
ขนาดเลก็ ลง นา� มาเย็บทบั ระหว่างผา้ สมี ่วงและสีแดง โดยยึดไว้ ๓ จุด ให้ครบทงั้ ๔ ชิ้น
๕. น�าผา้ สีสม้ ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๔ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชนิ้ พับตามด้านยาว ๑ ด้าน เยบ็ ทบั
บนผ้าสเี หลอื งทั้งสดี่ า้ นเป็นกรอบให้เหน็ ลายดอก โดยยดึ ไว้ ๓ จดุ ให้ครบทงั้ ๔ ช้นิ
๖. ทา� ปกลาย โดยน�าผา้ สขี าวและสเี ขยี ว ขนาดกว้าง ๗ เซนตเิ มตร ยาว ๗ เซนตเิ มตร น�ามาตัดแบง่ ครงึ่ เปน็
รปู สามเหลยี่ ม อยา่ งละ ๒ ชน้ิ พบั ๑ ดา้ น ดา้ นตรงขา้ มมมุ สามเหลย่ี ม นา� ไปเยบ็ ทบั ผา้ กรอบสสี ม้ ใหเ้ หลอ่ื มกนั เลก็ นอ้ ย
โดยเยบ็ สลับสีให้ครบทง้ั ๔ ดา้ น จากนัน้ ปักเลื่อมใสต่ รงกลางดอก จะได้ลายดอกพกิ ลุ ดงั ภาพแสดงขน้ั ตอนการท�า

ภำพท่ี ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายดอกพิกุล
ภำพถำ่ ยโดย ถริ ดา ประจวบสุข

ข้นั ตอนท่ี ๑ ขน้ั ตอนท ี่ ๒ ข้นั ตอนที ่ ๓

ขน้ั ตอนท่ี ๔ ข้ันตอนที ่ ๕ ขนั้ ตอนที่ ๖

32

ภำพที่ ลายดอกดาวเรอื ง

ขันตอนกำรท�ำ
๑. ตัดผ้าสีดา� ขนาดกว้าง ๕ เซนตเิ มตร ยาว ๕ เซนตเิ มตร
๒. นา� ผา้ สขี าวขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชน้ิ
พับ ๑ ดา้ นให้เปน็ สเ่ี หลย่ี มผืนผ้า เยบ็ ลงบนผ้าสดี �า โดยยดึ ไว ้ ๓ จดุ ให้ครบ
ทั้ง ๔ ช้นิ โดยเวน้ ช่องตรงกลางใหเ้ ปน็ สเ่ี หลยี่ มจัตรุ ัส
๓. น�าผ้าสีสม้ ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ชน้ิ พับคร่ึง นา� มาเยบ็ ลงบนผ้าสขี าว
ตามมมุ สีเ่ หลย่ี มสลบั สกี ัน โดยยึดไว้ ๓ จดุ ให้ครบทั้ง ๔ ช้ิน
๔. น�าผา้ สขี าว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๘ ชิน้ พับ ๒ ด้าน ให้เป็นสเี่ หลีย่ ม
ขนาดเลก็ ลง น�ามาเยบ็ ทับผา้ สสี ้มตรงกลางดา้ นส่ีเหลยี่ มแต่ละด้านและมุมส่เี หลี่ยม โดยยดึ ไว้ ๓ จุด ใหค้ รบท้งั ๘ ชน้ิ
๕. นา� ผา้ สีสม้ ๒ ช้ิน สีแดง ๔ ชิน้ และสเี ขยี ว ๒ ชน้ิ ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร พับครึ่ง
เย็บทับผ้าสีขาวให้มุมเหล่ือมกันเล็กน้อย โดยเย็บผ้าสีเขียวให้อยู่ตรงข้ามกัน สีแดงด้านละ ๑ ชิ้น และสีส้มให้อยู่
ตรงข้ามกัน ตามลา� ดบั โดยยึดไว ้ ๓ จุด
๖. นา� ผา้ สขี าวขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๔ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชน้ิ พบั ตามดา้ นยาว ๑ ดา้ น เยบ็ ทบั บนผา้
ทัง้ ส่ดี า้ นเป็นกรอบใหเ้ หน็ ลายดอก โดยยึดไว ้ ๓ จุด ให้ครบท้ัง ๔ ชิ้น
๗. ทา� ปกลาย โดยน�าผา้ สเี หลอื งและสเี ขียว ขนาดกวา้ ง ๗ เซนตเิ มตร ยาว ๗ เซนติเมตร นา� มาตดั แบง่ ครง่ึ
เปน็ รปู สามเหลยี่ ม อยา่ งละ ๒ ชน้ิ พบั ๑ ดา้ น ดา้ นตรงขา้ มมมุ สามเหลยี่ ม นา� ไปเยบ็ ทบั ผา้ กรอบสขี าวใหเ้ หลอื่ มกนั เลก็ นอ้ ย
โดยเยบ็ สลับสีใหค้ รบท้งั ๔ ดา้ น จากนน้ั ปักเลือ่ มใส่ตรงกลางดอก จะไดล้ ายดอกดาวเรอื ง ดังภาพแสดงข้ันตอนการทา�

ภำพท่ี ภาพแสดงข้ันตอนการทา� ดอกดาวเรือง
ภำพถ่ำยโดย ถริ ดา ประจวบสุข

ข้ันตอนท่ี ๑ ขั้นตอนท ่ี ๒

33

ขัน้ ตอนท่ี ๓

ข้ันตอนที่ ๔ ขั้นตอนท่ ี ๕

ขั้นตอนที่ ๖ ข้ันตอนท่ี ๗

34

ภำพที่ ลายดอกชบา

ขนั ตอนกำรท�ำ
๑. ตัดผ้าสีดา� ขนาดกวา้ ง ๕ เซนตเิ มตร ยาว ๕ เซนตเิ มตร
๒. นา� ผา้ สเี ขยี วขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชน้ิ
พบั ๑ ดา้ นใหเ้ ปน็ สเี่ หลย่ี มผนื ผา้ เยบ็ ลงบนผา้ สดี า� โดยยดึ ไว ้ ๓ จดุ ใหค้ รบทง้ั ๔ ชนิ้
โดยเวน้ ช่องตรงกลางใหเ้ ปน็ สเ่ี หลี่ยมจตั รุ สั ดงั รปู
๓. น�าผา้ สแี ดงขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชิน้ พบั ๒ ด้าน ให้เป็นสเ่ี หลย่ี ม
ขนาดเลด็ ลง นา� มาเยบ็ ลงบนผา้ สเี ขียว ให้มุมสามเหลยี่ มอยู่ตรงมมุ สีเ่ หลยี่ มของผา้ สเี ขียว โดยยดึ ไว้ ๓ จุด
๔. นา� ผา้ สีเหลือง ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชิ้น พับ ๒ ดา้ น ให้เป็นส่เี หลยี่ ม
ขนาดเลก็ ลง นา� มาเย็บทบั ผา้ สแี ดง โดยยดึ ไว้ ๓ จดุ ให้ครบทง้ั ๔ ชนิ้
๕. น�าผา้ สมี ่วง ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ชนิ้ พบั ๒ ด้าน ใหเ้ ป็นส่เี หลี่ยม
ขนาดเล็กลง น�ามาเยบ็ ทับผา้ สีเหลือง โดยยดึ ไว ้ ๓ จดุ ใหค้ รบทง้ั ๔ ชนิ้
๖. น�าผา้ สขี าว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ชิน้ พบั ใหเ้ ป็นรูปสามเหลยี่ ม
๓ ครง้ั นา� มาเย็บลงบนผา้ สเี ขียว โดยยึดไว ้ ๓ จุด ให้ครบท้ัง ๔ ช้นิ
๗. น�าผา้ สีขาวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๔ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ชิน้ พบั ตามดา้ นยาว ๑ ด้าน เย็บทบั
บนผ้าท้งั ส่ดี ้านเป็นกรอบให้เหน็ ลายดอก โดยยดึ ไว้ ๓ จุด ให้ครบท้ัง ๔ ชนิ้
๘. ทา� ปกลาย โดยนา� ผา้ สเี หลอื งและสชี มพ ู ขนาดกวา้ ง ๗ เซนตเิ มตร ยาว ๗ เซนตเิ มตร นา� มาตัดแบ่งครึง่
เป็นรปู สามเหลีย่ ม อยา่ งละ ๒ ช้ิน พับ ๑ ด้าน ด้านตรงข้ามมุมสามเหลย่ี ม นา� ไปเยบ็ ทบั ผา้ กรอบสีขาวใหเ้ หล่ือมกนั
เล็กน้อย โดยเยบ็ สลบั สีให้ครบทง้ั ๔ ด้าน ดังภาพแสดงข้นั ตอนการทา�

ภำพท่ี ภาพแสดงข้นั ตอนการทา� ลายดอกชบา
ภำพถ่ำยโดย ถิรดา ประจวบสขุ

ข้ันตอนที ่ ๑ ข้นั ตอนท่ี ๒ ขนั้ ตอนท ่ี ๓ ขนั้ ตอนท ี่ ๔

ขัน้ ตอนที่ ๕ ข้นั ตอนท่ี ๖ ขนั้ ตอนท่ ี ๗ ขนั้ ตอนท ่ี ๘

35

๒. ลายหนา หมอนบา นหัวเขาจนี ตาํ บลหวยยางโทน อาํ เภอปากทอ จังหวัดราชบุรี
ลำยดอกหมอน หรือลายหน้าหมอนของไทยทรงด�าหรือลาวโซ่ง ชุมชนบ้านหัวเขาจีน ท่ีส�านักศิลปะ
และวัฒนธรรมรวบรวมองค์ความรู้มาน้ีนับได้ว่ามีความเป็นเอกลักษณ์เ พาะตัว ดอกหมอนแต่ละใบนั้นจะปะ
ดว้ ยเศษผา้ สสี ดใสสว่ นใหญจ่ ะเปน็ สดี ง้ั เดมิ ทน่ี ยิ มกนั มาแตโ่ บราณซงึ่ ไดแ้ ก ่ สแี ดงเลอื ดหม ู สเี ขยี ว สขี าว สสี ม้ และปกั ดว้ ย
ไหมสีต่างๆ เป็นลวดลายงดงาม รวมท้ังการประดับหน้าหมอนด้วยการติดกระจกลงบนกึ่งกลางลวดลายต่างๆ และ
ถกั คทั เวริ ค์ เพอื่ ใหก้ ระจกตดิ แนน่ เรยี กวา่ วธิ สี นกระจก ซง่ึ เปน็ วธิ ที ท่ี า� มาแตโ่ บราณกาล และเปน็ เอกลกั ษณล์ ายหนา้ หมอน
ของชมุ ชนบา้ นหวั เขาจนี มหี ลายแบบ การเรยี กชอ่ื ลายตา่ งๆ สว่ นใหญม่ าจากการสงั เกตจากสง่ิ แวดลอ้ มตามธรรมชาต ิ
ซงึ่ มักเปน็ ช่ือดอกไม้ทีพ่ บเห็นโดยท่วั ไป เช่น ลายดอกจนั ทน ์ ลายดอกบัว ลายดอกมะลิ ลายดอกพรม ลายดอกเตา้
ลายดอกพิกุล เป็นตน้ โดยแสดงลวดลายและขั้นตอนวิธกี ารท�ามรี ายละเอียดดงั นี ้
๒.๑ วิธีการสนกระจก
๑ ตัดผ้าเป็นวงกลม
๒ น�ากระจกมาตดิ ด้วยกาวลาเทก็ ซล์ งบนก่ึงกลางผ้า
๓ ถกั คทั เวิร์ค ๓ ชนั้ เพ่อื ใหก้ ระจกแนน่ ไม่หลุด

ขัน้ ตอนท่ ี ๑ ขนั้ ตอนท ี่ ๒ ขั้นตอนท่ ี ๓

ภำพที่ ภาพแสดงวิธกี ารสนกระจก
ภำพถ่ำยโดย เบญจา ลขิ ติ ย่ิงวรา

36

ภำพท่ี ภาพการตกแตง่ ลายหนา้ หมอนดว้ ยวธิ ีสนกระจก
ภำพถำ่ ยโดย เบญจา ลขิ ิตยงิ่ วรา

๒.๒ วธิ กี ารทําคทั เวิรค (Cutwork)
การทา� คัทเวริ ์ค เป็นการปักริมผา้ หรือใช้ปกั เป็นกรอบรอบๆ ลายปัก ใหส้ วยงาม ลายหน่งึ เพือ่ ใหเ้ กดิ ลวดลาย
ท่ีเด่นชัดข้ึน การท�าคัทเวิร์คในงาน มือที่มีการน�าลวดลายมาวางแล้วเย็บติดกับผ้าหลักท�าให้เกิดลวดลายที่สวยงาม
อกี วธิ หี นงึ่ หรอื ปกั รมิ ผา้ เพอื่ กนั ลยุ่ กไ็ ด ้ การสนกระจกบนลายหนา้ หมอนของชาวไทยทรงดา� ตอ้ งอาศยั การทา� คทั เวริ ค์
เพอื่ ใหก้ ระจกตดิ กบั ผ้าไม่หลุดออก การทา� คัทเวริ ์คมีวิธที �าดังนี้
๑ เรม่ิ จากจุดท่ ี ๑ แทงเข็มขน้ึ มาจากดา้ นลา่ งท่ีขมวดปมปลายด้ายไว ้ ดงึ ด้ายตวดั ปลายเข็ม
๒ แทงเข็มลงทีจ่ ดุ ๒ ใหข้ นึ้ มาทจี่ ุด ๓
๓ ทา� แบบเดมิ ไปเรอ่ื ยๆ จนสดุ ผ้าหรือบนงานตามทีเ่ ราตอ้ งการ

ภำพท่ี ภาพวิธกี ารท�าคัทเวิร์ค ut r
ภำพวำดโดย เบญจา ลิขิตยง่ิ วรา

37

ลายหนาหมอนแบบพับปะติดบา นหัวเขาจีน

ภำพที่ ลายดอกพรม
ขนั ตอนกำรทำ�
๑. ตดั ผา้ สดี า� เปน็ วงกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๕-๖ เซนตเิ มตร
๒. ตดิ กระจกกบั ผ้าสีด�าดว้ ยกาวลาเท็กซ ์ สนกระจกดว้ ยด้ายสีเหลอื ง
ใหร้ อบกระจก ๓ รอบ ใชว้ ธิ กี ารเยบ็ แบบคทั เวริ ค์ เพอ่ื ลอ็ กกระจกใหต้ ดิ กบั ผา้
๓. นา� ผ้าสเี หลอื งขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร
จ�านวน ๔ ชนิ้ พบั ๑ ดา้ น เย็บรอบกระจก โดยเย็บไว ้ ๓ จดุ ใหค้ รบท้งั ๔ ชิน้
๔. น�าผ้าสีเขียวและสีส้ม ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร อย่างละ ๒ ช้ิน พับ ๑ ด้าน
เย็บขวางตามมุมส่ีเหลี่ยม สลบั สกี ัน โดยเยบ็ ไว้ ๓ จุด
๕. นา� ผา้ สขี าว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร ๔ ชน้ิ พบั ๑ ดา้ น เยบ็ ทบั ผา้ สขี าว โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จดุ
๖. นา� ผ้าสสี ้มและสีเขยี ว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๔ เซนติเมตร อย่างละ ๒ ชน้ิ พบั ๒ ดา้ น เย็บตาม
มุมของกรอบสเ่ี หล่ียมสีขาว สลับสกี ัน โดยเยบ็ ไว้ ๓ จุด
๗. นา� ผา้ สแี ดง ขนาดกวา้ ง ๔ เซนตเิ มตร ยาว ๔ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ชิ้น พบั ๒ ด้าน เย็บตามมุมของ
กรอบส่ีเหลี่ยมของผา้ สเี หลืองทีอ่ ยูร่ อบกระจก
๘. นา� ผา้ สขี าวกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ขนาดยาวตามลายดอก พบั ๑ ดา้ น เยบ็ เปน็ กรอบสเี่ หลยี่ มใหเ้ หน็ ลายดอก
๙. ท�าปกลาย น�าผ้าสีแดงและสีส้ม อย่างละ ๒ ชิ้น พับ ๑ ด้าน เย็บทับผ้าสีขาวให้เหล่ือมกันเล็กน้อย
เยบ็ สลับสกี ัน ดังภาพแสดงขั้นตอนการทา�
ภำพท่ี ภาพแสดงขัน้ ตอนการท�าลายดอกพรม

ภำพถ่ำยโดย ถิรดา ประจวบสขุ

ข้ันตอนท ่ี ๑ ขนั้ ตอนที่ ๒ ข้นั ตอนท่ ี ๓ ขั้นตอนท่ ี ๔

ขน้ั ตอนท ่ี ๕ ขน้ั ตอนที่ ๖ ขัน้ ตอนที่ ๗ ขั้นตอนท่ ี ๘ ข้ันตอนท ่ี ๙

38

ภำพที่ ลายดอกจกิ
ขนั ตอนกำรทำ�
๑. ตดั ผา้ สดี า� เปน็ วงกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๕-๖ เซนตเิ มตร
๒. ตดิ กระจกกับผา้ สีด�าดว้ ยกาวลาเทก็ ซ ์ สนกระจกด้วยดา้ ยสีเหลือง
ใหร้ อบกระจก ๓ รอบ ใชว้ ธิ กี ารเยบ็ แบบคทั เวริ ค์ เพอื่ ลอ็ คกระจกใหต้ ดิ กบั ผา้
๓. น�าผา้ สีขาวขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ช้นิ พับ ๑ ดา้ น เยบ็ รอบกระจก
โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จุด ให้ครบทงั้ ๔ ช้ิน
๔. นา� ผา้ สสี ม้ ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร ๔ ชน้ิ พบั ๑ ดา้ น เยบ็ ทบั ผา้ สขี าว โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จดุ
๕. นา� ผา้ สขี าว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๔ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชน้ิ พบั ๑ ดา้ น เยบ็ ทบั ผา้ รอบลายดอก
เปน็ กรอบสเี่ หลยี่ ม โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จดุ
๖. นา� ผ้าสแี ดง ขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร ยาว ๔ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ช้นิ พับ ๒ ดา้ น เย็บทบั ผ้าสีขาว
ให้เหล่อื มกันเล็กนอ้ ย โดยเย็บไว้ ๓ จดุ
๗. น�าผา้ สเี ขยี ว ขนาดกว้าง ๔ เซนตเิ มตร ยาว ๔ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชิ้น พบั ๒ ด้าน เย็บทับผ้าสสี ม้ ตาม
มมุ กรอบส่ีเหล่ยี มผ้าสขี าว
๘. นา� ผา้ สขี าวกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ขนาดยาวตามลายดอก พบั ๑ ดา้ น เยบ็ เปน็ กรอบสเ่ี หลยี่ มใหเ้ หน็ ลายดอก
๙. ท�าปกลาย น�าผ้าสีแดงและสีส้ม อย่างละ ๒ ชิ้น พับ ๑ ด้าน เย็บทับผ้าสีขาวให้เหลื่อมกันเล็กน้อย
เย็บสลับสีกนั ดังภาพแสดงขนั้ ตอนการทา�

ภำพท่ี ภาพแสดงขัน้ ตอนการทา� ลายดอกจกิ
ภำพถำ่ ยโดย ถริ ดา ประจวบสขุ

ขนั้ ตอนที ่ ๑ ขน้ั ตอนท่ี ๒ ข้นั ตอนท ่ี ๓ ขั้นตอนท ่ี ๔

ขนั้ ตอนที่ ๕ ขัน้ ตอนท่ี ๖ ขน้ั ตอนท่ี ๗ ขนั้ ตอนท ี่ ๘ ขนั้ ตอนท่ี ๙

39

ภำพท่ี ลายขาดอกบวั

ขนั ตอนกำรท�ำ
๑. ตดั ผา้ สดี า� เปน็ วงกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๕-๖ เซนตเิ มตร
ตดิ กระจกกบั ผา้ สดี า� ดว้ ยกาวลาเทก็ ซ ์ สนกระจกดว้ ยดา้ ยสเี หลอื งใหร้ อบกระจก
๓ รอบ ใช้วิธกี ารเยบ็ แบบคทั เวริ ค์ เพือ่ ลอ็ คกระจก
๒. ตดั ผา้ ท่ีทอสีขาวบนแถบสีด�า ผา้ ถงุ ลายแตงโม น�ามาทา� เปน็ ขาดอกบัว เยบ็ รอบกระจก
๓. น�าผ้าสามเหลี่ยมสีเขียวเย็บติดกันกับผ้าสามเหลี่ยมสีแดง และน�าผ้าสามเหล่ียมสีแดงเย็บติดกัน
กับผา้ สามเหล่ยี มสสี ้ม จากนัน้ น�ามาเย็บทบั ผ้าสดี า� ตามแนวผ้าสขี าวทีจ่ ะท�าเปน็ ขาดอกบัว สลบั สีกัน
๔. น�าผ้าสีขาว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ขนาดความยาวตามลายดอก พบั ๑ ดา้ น เย็บเป็นกรอบสเ่ี หลยี่ ม
ให้เห็นลายดอก
๕. ท�าปกลาย น�าผ้าสีส้มและสีเขียว อย่างละ ๒ ชิ้น พับ ๑ ด้าน เย็บทับผ้าสีขาวให้เหล่ือมกันเล็กน้อย
เย็บสลบั สีกนั ดงั ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา�

ภำพท่ี ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายขาดอกบวั
ภำพถ่ำยโดย ถิรดา ประจวบสุข

ข้ันตอนที ่ ๑ ขน้ั ตอนที่ ๒ ขนั้ ตอนที ่ ๓

ขัน้ ตอนที่ ๔ ขนั้ ตอนท ่ี ๕

40

ภำพท่ี ลายหวั แมงดา
ขันตอนกำรท�ำ
๑. ตดั ผา้ เป็นสี่เหล่ียมจตั ุรสั ๓ สี คอื สแี ดง สีสม้ และสีเขียวและตัดผา้
เปน็ สามเหลี่ยมสเี ขียว ๒ ชิ้น สีส้ม ๒ ช้ิน และสีแดง ๔ ชนิ้
๒. นา� ผา้ สีเขยี วเย็บตดิ กับผา้ สีแดง และเยบ็ ผ้าสแี ดงติดกบั ผา้ สีส้ม
๓. นา� ผา้ ทเ่ี ยบ็ ตดิ กนั แลว้ ในขอ้ ๒ มาเยบ็ ตอ่ กนั ดงั รปู ซง่ึ สามารถเยบ็ ตอ่ ไปไดเ้ รอื่ ยๆ ตามทต่ี อ้ งการจะนา� ไปใชง้ าน
ดงั ภาพขัน้ ตอนการทา�
ภำพที่ ภาพแสดงขน้ั ตอนการท�าลายหวั แมงดา

ภำพถ่ำยโดย ถิรดา ประจวบสขุ

ขน้ั ตอนท่ี ๑ ข้นั ตอนท่ ี ๒

ขน้ั ตอนท ่ี ๓

41

ภำพที่ ลายดอกนา�้ เตา้

ขนั ตอนกำรท�ำ
๑. ตดั ผ้าสขี าวและสสี ม้ เป็นรูปสีเ่ หล่ยี มจัตุรสั
๒. ตดั แบ่งครึง่ เปน็ รูปสามเหลย่ี ม อยา่ งละ ๒ ชนิ้
๓. นา� มาเยบ็ ตดิ กนั โดยเยบ็ สขี าวตดิ กบั สสี ม้ แลว้ นา� มาตอ่ กนั ใหส้ ลบั สกี นั
๔. ท�าปกลาย โดยนา� ผา้ สีเขยี วและสีแดง ตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมตามขนาดของลาย อย่างละ ๒ ชนิ้ เย็บทับ
เว้นใหเ้ หน็ ลาย เยบ็ สลบั สกี นั ดงั ภาพขน้ั ตอนการทา�
ภำพที่ ภาพแสดงข้ันตอนการท�าลายดอกนา้� เต้า

ภำพถำ่ ยโดย ถริ ดา ประจวบสขุ

ข้ันตอนท ่ี ๑ ขั้นตอนท ่ี ๒

ข้นั ตอนท่ ี ๓ ขัน้ ตอนท่ี ๔

ภำพท่ี ลายดอกทานตะวัน
ขนั ตอนกำรท�ำ
๑. ตดั ผา้ สดี า� เปน็ วงกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๕-๖ เซนตเิ มตร
ติดกระจกกับผ้าสีด�าด้วยกาวลาเท็กซ์ สนกระจกด้วยด้ายสีเหลืองให้รอบ
กระจก ๓ รอบ ใช้วิธีการเย็บแบบคัทเวิรค์ เพื่อล็อคกระจกให้ติดกับผา้
๒. น�าผา้ สขี าว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ชิน้ พับ ๑ ดา้ น เย็บรอบกระจก
โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จุด ให้ครบทั้ง ๔ ชิ้น

42

๓. นา� ผ้าสีเขียว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ช้ิน พับ ๑ ดา้ น เยบ็ ทับผ้าสขี าว
ตามมมุ สเ่ี หลย่ี ม โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จดุ
๔. นา� ผ้าสสี ้ม ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๘ ช้นิ พบั ๒ ดา้ น เย็บทับผ้าสีเขยี ว
รอบกรอบส่ีเหลี่ยมของผา้ สีขาว โดยเยบ็ ไว้ ๓ จดุ ให้ครบท้ัง ๘ ช้ิน
๕. นา� ผา้ ขาว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จ�านวน ๘ ชิ้น พับ ๒ ดา้ น เยบ็ ทับผา้ สีสม้
ให้มุมเหลื่อมกันเล็กน้อย จะท�าให้มองเห็นเป็นลายดอกทานตะวัน โดยเย็บไว้ ๓ จุด จากน้ันใช้ด้ายสีส้มปักเป็น
แนวยาวตามมุมผา้ สีขาว
๖. ทา� ปกลาย นา� ผา้ สแี ดงและสเี ขยี ว อยา่ งละ ๒ ชนิ้ พบั ๑ ดา้ น เยบ็ ทบั ทง้ั สด่ี า้ นเวน้ ใหเ้ หน็ ลายดอกทานตะวนั
เย็บสลบั สกี นั ดังภาพข้ันตอนการท�า

ภำพที่ ภาพแสดงข้ันตอนการทา� ลายดอกทานตะวนั
ภำพถ่ำยโดย ถริ ดา ประจวบสขุ

ขนั้ ตอนท ่ี ๑ ขั้นตอนท่ ี ๒ ขน้ั ตอนที ่ ๓

ขั้นตอนท ่ี ๔ ขนั้ ตอนท่ี ๕ ข้ันตอนที่ ๖

ภำพที่ ลายดอกมะละกอประยุกต์
ขนั ตอนกำรทำ�
๑. ตดั ผา้ สดี า� เปน็ วงกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๕-๖ เซนตเิ มตร
ยาว ๕ เซนติเมตร ติดกระจกกับผ้าสีด�าด้วยกาวลาเท็กซ์ แล้วสนกระจก
ด้วยด้ายสีเหลืองให้รอบกระจก ๓ รอบ ใช้วิธีการเย็บแบบถักคัทเวิร์ค
เพอ่ื ล็อคกระจกให้ตดิ กับผา้

43

๒. นา� ผ้าสีขาวขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จ�านวน ๔ ชนิ้ พบั ๒ ดา้ น เป็นมมุ สามเหลย่ี ม
เย็บรอบกระจก โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จุด ให้ครบท้งั ๔ ชน้ิ
๓. น�าผา้ สเี ขียว และสีส้ม ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร สีละ ๒ ช้ิน พบั ๒ ดา้ น ให้เปน็
มมุ สามเหลย่ี ม เย็บทบั ผ้าสีขาวใหม้ ุมเหล่อื มกันเลก็ น้อย โดยเย็บไว้ ๓ จุด
๔. นา� ผ้าสแี ดง ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ชน้ิ พับ ๒ ด้าน เย็บทับบนผ้าสดี �า
ให้ตดิ กับขอบกระจก โดยเย็บไว้ ๓ จุด
๕. น�าผ้าสีขาว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๔ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ช้ิน พับ ๑ ด้าน เย็บทับเป็น
กรอบส่เี หล่ยี มใหเ้ ห็นลายดอก โดยเย็บไว้ ๓ จดุ
๖. ทา� ปกลาย นา� ผ้าสีเขยี วและสสี ม้ อย่างละ ๒ ชิ้น พบั ๑ ดา้ น เย็บทบั ทัง้ สี่ดา้ นเว้นให้เห็นลายดอกทานตะวนั
เยบ็ สลับสกี นั ดังภาพขน้ั ตอนการทา�

ภำพที่ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกมะละกอประยุกต์
ภำพถ่ำยโดย ถิรดา ประจวบสุข

ข้ันตอนที่ ๑ ข้ันตอนท ี่ ๒ ขนั้ ตอนท ่ี ๓

ขั้นตอนที ่ ๔ ข้นั ตอนที่ ๕ ขน้ั ตอนท ่ี ๖

ภำพท่ี ลายดอกเบาะหยุ้มตีนหมาประยกุ ต์
ขันตอนกำรทำ�
๑. ตัดผ้าสีด�าเป็นวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๕-๖
เซนตเิ มตร ตดิ กระจกกบั ผา้ สดี า� ดว้ ยกาวลาเทก็ ซ ์ สนกระจกดว้ ยดา้ ยสเี หลอื ง
ใหร้ อบกระจก ๓ รอบ ใชว้ ธิ กี ารเยบ็ แบบคทั เวริ ค์ เพอื่ ลอ็ คกระจกใหต้ ดิ กบั ผา้
๒. นา� ผา้ สสี ม้ ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน
๔ ชน้ิ พบั ๑ ด้าน เยบ็ รอบกระจก โดยเยบ็ ไว้ ๓ จดุ ใหค้ รบทงั้ ๔ ชนิ้

44

๓. น�าผ้าสีเหลือง ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ช้ิน พับ ๒ ด้าน ให้เป็น
มมุ สามเหล่ียม เย็บทับผ้าสสี ้มตรงมุมสเ่ี หลย่ี ม โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จุด
๔. นา� ผ้าสีเขยี ว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชน้ิ พับ ๒ ดา้ น เย็บทบั บนผา้ สีส้ม
โดยเยบ็ ไว้ ๓ จดุ ใหค้ รบ ๔ ชนิ้
๕. น�าผ้าขาว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๔ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ชิ้น พับ ๑ ด้าน เย็บทับเป็น
กรอบส่เี หลี่ยมใหเ้ ห็นลายดอก โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จุด
๖. ทา� ปกลาย นา� ผา้ สามเหลยี่ มสแี ดงและสเี ขยี ว อยา่ งละ ๒ ชน้ิ พบั ๑ ดา้ น เยบ็ ทบั ทงั้ สด่ี า้ นเวน้ ใหเ้ หน็ ลายดอก
เยบ็ สลับสกี ัน ดังภาพข้นั ตอนการทา�

ภำพท่ี ภาพแสดงขั้นตอนการท�าลายดอกเบาะหยุ้มตีนหมาประยุกต์
ภำพถ่ำยโดย ถิรดา ประจวบสขุ

ข้นั ตอนท ่ี ๑ ขนั้ ตอนท่ี ๒ ขนั้ ตอนท ่ี ๓

ขน้ั ตอนท ่ี ๔ ขน้ั ตอนที่ ๕ ขั้นตอนท ่ี ๖

ภำพที่ ลายดอกไมแ่ ลว้ หรอื ลายดอกไมร่ แู้ ลว้ หรอื ลายเบาะ แู้ ลว้
ขนั ตอนกำรท�ำ
๑. ตดั ผา้ สดี า� เปน็ วงกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๕-๖ เซนตเิ มตร
นา� กระจกตดิ กับผ้าสดี า� ด้วยกาวลาเท็กซ ์ สนกระจกด้วยด้ายสีเหลอื งให้รอบ
กระจก ๓ รอบ ใชว้ ธิ ีการเย็บแบบคัทเวิรค์ เพือ่ ลอ็ คกระจกใหต้ ดิ กบั ผ้า
๒. น�าผ้าสีขาว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร
จ�านวน ๔ ชิ้น พับ ๑ ด้าน เยบ็ รอบกระจก โดยเย็บไว้ ๓ จุด ใหค้ รบทง้ั ๔ ชิน้
๓. น�าผ้าสสี ้ม ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ชนิ้ พบั ๑ ดา้ น ใหเ้ ป็นมุม
สามเหลี่ยม เย็บทบั ผา้ สสี ้มตรงมุมส่เี หล่ยี ม โดยเย็บไว้ ๓ จุด

45

๔. นา� ผ้าสีขาว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ชนิ้ พับ ๑ ด้าน เย็บทบั บนผา้ สีสม้
โดยเยบ็ ไว้ ๓ จดุ ใหค้ รบ ๔ ช้นิ
๕. นา� ผ้าสีส้ม ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชิน้ พับ ๒ ด้าน เยบ็ ทับตาม
แนวกรอบของผ้าสขี าว โดยเยบ็ ไว้ ๓ จุด จากนั้น ใช้ผา้ สแี ดง และสีเขียว ขนาดกวา้ ง ๔ เซนตเิ มตร ยาว ๔ เซนติเมตร
อย่างละ ๒ ชิน้ เย็บทับระหวา่ งผา้ สสี ้ม โดยใหม้ ุมสามเหลี่ยมชดิ กระจก เยบ็ สลบั สกี นั
๖. น�าผ้าขาว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๔ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ชิ้น พับ ๑ ด้าน เย็บทับเป็น
กรอบสี่เหลีย่ มให้เหน็ ลายดอก โดยเย็บไว ้ ๓ จุด
๗. ท�าปกลาย น�าผ้าสามเหลี่ยมสีแดงและสีเขียว อย่างละ ๒ ชิ้น พับ ๑ ด้าน เย็บทับท้ังสี่ด้านเว้นให้เห็น
ลายดอก เยบ็ สลับสกี นั ดังภาพข้ันตอนการท�า

ภำพท่ี ภาพแสดงข้นั ตอนการท�าลายดอกไม่แล้วหรือลายดอกไมร่ แู้ ลว้ หรอื ลายเบาะ แู้ ล้ว
ภำพถำ่ ยโดย ถิรดา ประจวบสขุ

ขน้ั ตอนที ่ ๑ ขนั้ ตอนท ่ี ๒ ขั้นตอนที่ ๓

ขน้ั ตอนท่ี ๔ ขั้นตอนที่ ๕ ขัน้ ตอนท ่ี ๖

ข้นั ตอนท ่ี ๗

46

ภำพท่ี ลายดอกงิว้
ขันตอนกำรท�ำ
๑. ตัดผ้าสีด�าเป็นส่ีเหล่ียมจัตุรัสหรือวงกลม ยาว ๕ เซนติเมตร
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๕-๖ เซนติเมตร ติดกระจกกับผ้าสีด�า
ดว้ ยกาวลาเทก็ ซ์ สนกระจกด้วยดา้ ยสีเขียวให้รอบกระจก ๓ รอบ ใช้วธิ ีการ
เยบ็ แบบคัทเวิร์คเพ่อื ล็อคกระจกใหต้ ิดกับผ้า
๒. นา� ผ้าสีเขยี ว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ชน้ิ พบั ๑ ด้าน เยบ็ รอบกระจก
โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จดุ ใหค้ รบทั้ง ๔ ชิ้น
๓. นา� ผา้ สขี าว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชน้ิ พบั ๒ ดา้ น ใหเ้ ปน็ มมุ สามเหลยี่ ม
เยบ็ ทับผา้ สเี ขยี วใหช้ ดิ กระจก โดยเย็บไว ้ ๓ จดุ
๔. นา� ผา้ สีเขียวและสสี ม้ ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวนอย่างละ ๒ ช้นิ พบั ๒ ดา้ น
เย็บทบั บนผ้าสีขาวใหเ้ หลอื่ มกนั เลก็ นอ้ ย โดยเยบ็ ไว ้ ๓ จุด ใหค้ รบ ๔ ชน้ิ สลับสีกนั
๕. นา� ผ้าสแี ดง ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จ�านวน ๔ ชิ้น พับ ๒ ด้าน เยบ็ ทับผา้ สเี ขยี ว
และสีสม้ โดยใหม้ ุมสามเหลีย่ มชดิ กระจก แลว้ ใช้ด้ายสีด�าคาดผ้าสีขาว
๖. น�าผ้าสีขาว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๔ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ช้ิน พับ ๑ ด้าน เย็บทับเป็น
กรอบสเ่ี หล่ียมใหเ้ หน็ ลายดอก โดยเย็บไว้ ๓ จดุ
๗. ท�าปกลาย น�าผ้าสามเหลี่ยมสีส้มและสีเขียว อย่างละ ๒ ชิ้น พับ ๑ ด้าน เย็บทับท้ังส่ีด้านเว้นให้เห็น
ลายดอก เย็บสลับสกี นั ดงั ภาพขั้นตอนการทา�
ภำพท่ี ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกง้ิว
ภำพถ่ำยโดย ถิรดา ประจวบสุข

ขนั้ ตอนที ่ ๑ ขั้นตอนท ่ี ๒ ข้นั ตอนท ี่ ๓

ขน้ั ตอนท ี่ ๔ ข้นั ตอนท่ี ๕ ขั้นตอนท ่ี ๖ ขน้ั ตอนที่ ๗

47

ภำพที่ ลายดอกบวั

ขนั ตอนกำรทำ�
๑. ตดั ผา้ สดี า� เปน็ วงกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๕-๖ เซนตเิ มตร
ติดกระจกกับผ้าสีด�าด้วยกาวลาเท็กซ์ สนกระจกด้วยด้ายสีเหลืองให้รอบ
กระจก ๓ รอบ ใชว้ ิธกี ารเย็บแบบถักเพอื่ ล็อคกระจกให้ตดิ กบั ผ้า
๒. นา� ผ้าสีเขยี ว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จา� นวน ๔ ช้ิน พบั ริม ๑ ดา้ น เยบ็ รอบกระจก
โดยเยบ็ ไว้ ๓ จดุ ใหค้ รบทงั้ ๔ ช้นิ
๓. นา� ผา้ สสี ม้ ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชน้ิ พบั ๒ ดา้ น ใหเ้ ปน็ มมุ สามเหลย่ี ม
เย็บทับผา้ สีเขียวใหช้ ดิ กระจกตรงมุมส่ีเหลย่ี มของผ้าสีเขียว โดยเยบ็ ไว้ ๓ จุด
๔. น�าผ้าสีขาว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร จ�านวนอย่างละ ๔ ช้ิน พับ ๑ ด้าน
เย็บทบั บนผ้าสสี ้มใหเ้ ว้นเปน็ กรอบส่ีเหลีย่ ม โดยเย็บไว ้ ๓ จดุ ใหค้ รบ ๔ ชิน้
๕. นา� ผ้าสเี ขียว ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนตเิ มตร จ�านวน ๔ ชน้ิ พบั ๒ ดา้ น เย็บทบั ผ้าสขี าว
๖. นา� ผา้ สแี ดง ขนาดกวา้ ง ๒.๕ เซนตเิ มตร ยาว ๔ เซนตเิ มตร จา� นวน ๔ ชน้ิ พบั ๒ ดา้ น เยบ็ ทบั ผา้ สขี าว โดยเยบ็ ไว ้๓ จดุ
๗. น�าผ้าสีขาว ขนาดกว้าง ๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๔ เซนติเมตร จ�านวน ๔ ช้ิน พับ ๑ ด้าน เย็บทับ
เป็นกรอบสีเ่ หล่ียมใหเ้ ห็นลายดอก โดยเยบ็ ไว้ ๓ จดุ
๘. ท�าปกลาย น�าผ้าสามเหล่ียมสีส้มและสีเขียว อย่างละ ๒ ช้ิน พับ ๑ ด้าน เย็บทับท้ังสี่ด้านเว้นให้เห็น
ลายดอก เยบ็ สลับสกี ัน ดังภาพแสดงข้นั ตอนการท�า

ภำพที่ ภาพแสดงขน้ั ตอนการทา� ลายดอกบัว
ภำพถ่ำยโดย ถริ ดา ประจวบสขุ

ขั้นตอนท ี่ ๑ ขนั้ ตอนท ่ี ๒ ขั้นตอนท่ี ๓ ขัน้ ตอนท ี่ ๔

ข้ันตอนท ่ี ๕ ขนั้ ตอนท่ี ๖ ขั้นตอนท ่ี ๗ ข้ันตอนท ่ี ๘

48


Click to View FlipBook Version