The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thiradasommanas, 2022-10-03 03:01:12

รากแก้ว ต้นกล้า ภูมิปัญญาท้องถิ่น 1

1-รากแก้วต้นกล้า2557-1

รากแก้วภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน

สาขาศิลปกรรม

ด้านหัตถกรรม ดนตรี นาฏศลิ ป์
และการละเลน่ พน้ื บา้ น

นายเล่ียม แกว้ ทมิ า

ชือ่ - นามสกลุ นายเลีย่ ม แก้วทิมา
วนั เดอื น ปีเกดิ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖
อาย ุ ๘๑ ปี
การศึกษา ส�ำเร็จการศกึ ษาระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๔
ทีอ่ ย่ ู บา้ นเลขท่ี ๑๐๖ หมู่ ๓ ต�ำบลโพหัก อำ� เภอบางแพ
จงั หวัดราชบุรี ๗๐๑๖๐
โทรศพั ท์ ๐๘-๖๘๐๖-๒๒๕๘

50 รากแก้วต้นกลา้

ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ิน

๑. ประวัติรากแก้วภูมิปัญญาและจุดเร่ิมต้นในการสืบทอด
ภมู ปิ ญั ญา

คุณลุงเลี่ยม แก้วทิมา มีนิสัยเป็นคนอยากรู้อยากเห็นมาตั้งแต่เด็ก
เวลาที่ปู่ ยา่ ตา ยาย หรอื ผใู้ หญ่ก�ำลังทำ� งานจกั สานอยู่ ท่านก็จะเขา้ ไปขอเรียนรู้
และรู้สึกชอบอยากจะท�ำบ้าง เมื่ออายุ ๑๐ ขวบ ก็ได้เริ่มฝึกจักสาน เริ่มจาก
ฝึกจักตอก มุงหลังคา เม่ือเวลาไปเล้ียงวัวก็จะน�ำไม้ไปจักตอกด้วย และได้ฝึก
ฟน่ั เชอื กผกู ววั ตอ่ มาคณุ พอ่ กไ็ ดส้ อนการทำ� กระบงุ หาบขา้ วสำ� หรบั ใสข่ า้ วไปหวา่ น
ในฤดูเพาะปลูก จากน้นั ได้บวชกอ่ นที่เข้ารับการเกณฑ์ทหาร ในชว่ งทีบ่ วชอย่นู ั้น
ได้ฝึกฝนการท�ำไม้พายเรือ หัดการสานพัด โดยมีพระอาจารย์ในวัดเป็นผู้สอน
และเพื่อใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ผลงานท่ีได้ก็จะมอบให้อุบาสิกาท่ีไปท�ำบุญ
ท่ีวัด ต่อมาก็เร่ิมหัดสานตะกร้า รวมระยะเวลาท่ีบวชประมาณ ๑ พรรษาคร่ึง
ก็สึกออกมาเพื่อไปรับราชการทหารเกณฑ์นาน ๑ ปี ๑๐ เดือน เม่ือกลับจาก
การไปรับราชการทหารแล้วก็ได้เริ่มท�ำงานจักสานอาสา เช่น กระบุง ตะกร้า
กระจาดหาบ กระโล่ ตะกร้าเช่ียนหมาก กระจาดกระเดียด งอบ ได้ฝึกฝน
จนมีความช�ำนาญอยู่ ๑ ปี จึงได้ท�ำจักสานอาสาเพ่ือประกอบพิธีแต่งงาน
เม่ือแตง่ งานแลว้ ไดท้ ำ� อาชพี เกษตรกรรม เชน่ ทำ� นา เลยี้ งเปด็ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐
ไดเ้ ปน็ แพทยป์ ระจำ� ตำ� บล ในระหวา่ งทว่ี า่ งเวน้ จากการทำ� เกษตรกรรม กจ็ ะทำ� งาน
จักสานเพ่ือใช้ในครัวเรือน จนกระทั่งปลดเกษียณจึงได้เปลี่ยนอาชีพมาเล้ียงกุ้ง
ก้ามกรามจนถงึ ปจั จุบัน แต่เม่อื มีเวลาว่างก็จะท�ำงานจักสานอย่เู นือง ๆ
ส�ำหรับการสืบทอดเพลงพ้ืนบ้านได้เร่ิมหัดร้องเพลงตอนอายุ ๑๕ ปี
แบบครูพักลักจ�ำมาจากคนอื่น เร่ิมแรกได้หัดร้องเพลงนวดข้าว เพลงร�ำวง และ
เพลงพวงมาลัย ต่อมาได้แสดงในงานวัดประจ�ำปีอยู่เป็นประจ�ำทุกปี ทุกวันน้ี
ได้ท�ำการขับร้องเพลงตามงานเทศกาลหรอื งานทีห่ นว่ ยงานราชการจดั

รากแกว้ ตน้ กล้า 51
ภมู ิปัญญาท้องถิน่

๒. รางวัลและความภาคภูมใิ จ

 ได้รบั โล่รางวัลชมเชย จากการประกวดผลงานการแสดงภมู ิปัญญา
และผลิตภัณฑ์พื้นบ้านของผู้สูงอายุ และส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ
เนอ่ื งในวนั ครบรอบ ๔ ปี สภาผสู้ งู อายแุ ละคลงั ปญั ญาจงั หวดั ราชบรุ ี
พ.ศ. ๒๕๔๙
 ได้รับเกียรติบัตร เป็นบุคคลดีเด่น ท่ีให้ความร่วมมือกับเทศบาล
ตำ� บลโพหกั และชมุ ชนเปน็ อย่างดี พ.ศ. ๒๕๕๑
 ได้รับใบเกียรติคุณ “เป็นผู้อนุรักษ์มรดกไทยดีเด่น พุทธศักราช
๒๕๕๖” จากคณะกรรมการอำ� นวยการวนั อนรุ กั ษ์มรดกไทย
 ได้รับพระราชทานโล่และเข็มเชิดชูเกียรติ ผู้ช�ำนาญการด้านศิลปะ
การแสดงของราชบุรี สาขาคีตศิลป์ (เพลงพ้ืนบ้าน) จากสมเด็จ
พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี
 ไดร้ ับรางวลั คุณพอ่ ดเี ด่นของจงั หวัดราชบรุ ี
 ไดร้ บั โล่เกียรติยศการท�ำความดจี ากกระทรวงยตุ ิธรรม
 วิทยากรเรื่องงานจกั สานพื้นฐาน
 ประธานกรรมการสภาผ้สู ูงอายุตำ� บลโพหัก
 กรรมการบริหารประถมศึกษาของโรงเรียนโพหัก “วงศ์สมบูรณ์
ราษฎรอ์ ปุ ถัมภ”์ และโรงเรยี นชมุ ชนวดั ใหญ่โพหกั
 กรรมการวดั ใหญโ่ พหักเก่ียวกบั การบ�ำเพ็ญประโยชน์
 ประธานสภาผู้สงู อายโุ พหกั อ�ำเภอบางแพ จงั หวดั ราชบรุ ี

52 รากแก้วต้นกลา้

ภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ

๓. ผลงานทีโ่ ดดเด่น

ลุงเลี่ยม แก้วทิมา ได้อนุรักษ์และสืบสานเพลงพ้ืนบ้านโพหักมาอย่าง
ตอ่ เนอ่ื ง และถา่ ยทอดใหก้ บั เยาวชน นกั เรยี นในชมุ ชนโพหกั รวมถงึ การรวมกลมุ่
ผู้สูงอายุเพื่อเล่นเพลงพ้ืนบ้านตามเทศกาล งานประเพณีต่าง ๆ จึงได้รับ
การเชิดชูเกียรติเป็น “ผู้อนุรักษ์มรดกไทยดีเด่น พุทธศักราช ๒๕๕๖” จาก
คณะกรรมการอ�ำนวยการวันอนุรักษ์มรดกไทย และได้รับพระราชทานเข็ม
เชิดชูเกียรติ ผู้ช�ำนาญการด้านศิลปะการแสดงของราชบุรี สาขาคีตศิลป์
(เพลงพื้นบ้าน) จากสมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี

รากแก้วต้นกล้า 53
ภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่

ส่วนหนึง่ ของผลงานดา้ นหตั ถกรรม

งอบอาสา ตะกร้าหิว้ อาสา

กระจาดหาบอาสาพรอ้ มกระโล่และไมค้ าน

54 รากแกว้ ต้นกลา้

ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น

ส่วนหนง่ึ ของผลงานดา้ นดนตรี นาฏศลิ ป์และการละเล่นพนื้ บ้าน
คุณลุงเลี่ยม ได้รวบรวมและอนุรักษ์เพลงพ้ืนบ้านของโพหักไว้เพ่ือ
ประกอบการถ่ายทอดให้กับผู้ท่ีสนใจ และเยาวชนชาวโพหัก เช่น เพลงลาน
นวดข้าวอาสา ซึ่งเป็นเพลงประจ�ำถ่ินไทยพ้ืนบ้านโพหัก เพลงพานฟาง
เพลงยอ่ งเข้าห้องนาง เพลงสงคอล�ำพวน เป็นต้น

ผู้สงู อายกุ ำ� ลงั รอ้ งเพลงพานฟางโดยมีลุงเลยี่ ม แก้วทมิ า เปน็ พ่อเพลง

รากแก้วตน้ กล้า 55
ภมู ิปญั ญาท้องถิน่

๔. องคค์ วามรู้เกีย่ วกับงานจกั สานอาสา

คุณลุงเลี่ยม แก้วทิมา เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ผ่านงานประเพณี
จักสานอาสา ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของงานจักสานและจักสานอาสาว่า
งานจักสานเริ่มแรกเป็นภูมิปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่บรรพบุรุษที่ต้องการให้มี
ส่วนร่วมระหว่างหนุ่ม-สาว และพ่อแม่ของฝ่ายหญิง โดยเม่ือชายและหญิง
ชอบพอกันหรือการสู่ขอจะเกิดจากความเหมาะสมที่เกิดจากการตกลงปลงใจ
ของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ก่อนหน้าน้ันฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะไม่มีโอกาสได้
ใกล้ชิดกัน จนกว่าจะได้สู่ขอ เม่ือผ่านการสู่ขอแล้วฝ่ายชายจะอาสามาช่วยงาน
ในบ้านของฝ่ายหญิงสาวทุกอย่าง เช่น งานเกษตรกรรม งานจักสาน ฯลฯ
เป็นเวลา ๑-๒ ปี จะเป็นช่วงดูใจกัน ฝึกความอดทนไม่ชิงสุกก่อนห่าม
การเตรียมความพร้อมในการเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นโอกาสที่พ่อแม่ของ
ฝ่ายหญิงได้ดูความประพฤติของว่าที่ลูกเขยด้วยว่า จะสามารถดูแลลูกสาว
ของตนให้มีความสุขได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงงานอาสาท่ีจะต้องท�ำเคร่ือง
จักสานไว้ใช้ในชีวิตประจ�ำวันให้กับบ้านของฝ่ายว่าที่เจ้าสาว เช่น สานกระบุง
ให้หญิงสาวใช้ใส่ของไปนา สานกระจาดให้หญิงสาวหาบไปท�ำบุญที่วัด และ
ส่ิงของเหล่าน้ียังน�ำไปใช้ในครอบครัวเม่ือแยกเรือนออกไปแล้ว จนกลาย
เป็นภูมปิ ญั ญางานจกั สานอาสาในทอ้ งถ่ินของบา้ นโพหกั
คณุ ลงุ เล่ยี มไดเ้ ลา่ ยอ้ นอดตี ไปเมื่อครง้ั ยงั เปน็ เด็กวา่ งานจักสานสว่ นใหญ่
ท�ำข้ึนเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคเกษตรกรรม เช่น สานกระบุงไว้ใส่ของหาบ
ไปปลูกข้าวท่ีท้องนา กระบุงใช้สานจากไม้ไผ่สีสุกซึ่งมีปลูกกันทั่วไปท่ีบ้านโพหัก
สาเหตุท่ีต้องเป็นไม้ไผ่สีสุกบ้านโพหักเท่านั้น เพราะดินบ้านโพหักเป็นดินดี
ท�ำให้ไม้ไผ่มีเน้ือเหนียวมันเป็นเงา น�ำมาจักสานจะทนทาน และสวยงาม
หากเลือกไผ่ที่มีอายุ ๒-๓ ปีมาใช้งานก็จะมีความยืดหยุ่น ไม่หักจักสานได้ง่าย
จึงเหมาะท่ีจะน�ำไปท�ำเครื่องจักสานประเภทของใช้ เฟอร์นิเจอร์และเคร่ืองมือ
ประมง และเล่าเพิ่มเติมอีกว่า การจักสาน เกิดจากการเรียนรู้ของบรรพบุรุษ
เช่น กระบุงตักน�้ำเป็นภาชนะท่ีท�ำด้วยมือโดยน�ำน�้ำมันยางชโลมอุดรูรั่ว
เพ่ือตักน�้ำใสโ่ อ่งไว้ใช้ในบา้ นเรอื น

56 รากแก้วตน้ กล้า

ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ

๕. การถา่ ยทอดองค์ความรู้

คุณลุงเล่ียมได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาด้านการจักสานให้กับครูและนักเรียน
โรงเรียนโพหัก “วงศ์สมบูรณ์ราษฎร์อุปถัมภ์” ถ่ายทอดการร้องเพลงพ้ืนบ้าน
ให้กับนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก และมีความยินดีที่จะถ่ายทอด
ให้กบั ผู้ท่ีสนใจต้องการจะศกึ ษา

คุณลุงเลี่ยมได้รับเชิญจากส�ำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏ
หมู่บ้านจอมบึงให้เป็นวิทยากรในโครงการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถ่ินประเภท
เคร่ืองจักสานบ้านโพหัก ณ โรงเรียนโพหัก “วงศ์สมบูรณ์ราษฎร์อุปถัมภ์” ระหว่างวันที่
๔-๖ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๖

รากแกว้ ต้นกลา้ 57
ภูมิปัญญาทอ้ งถิน่

รากแก้วภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน

สาขาศลิ ปกรรม

ด้านจติ รกรรม ดา้ นประติมากรรม
ด้านหตั ถกรรม

สาขาภาษาและวรรณกรรม

การแต่งกลอน

นายฉลวย บญุ แวดล้อม

ชื่อ - นามสกุล นายฉลวย บญุ แวดล้อม
วนั เดอื น ปเี กิด เกิด พ.ศ. ๒๔๙๒ (ปฉี ลู)
อายุ ๖๕ ปี
การศึกษา ส�ำเรจ็ การศกึ ษาระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ (มศ.๓)
พ.ศ. ๒๕๐๙
ท่ีอยู่ บา้ นเลขที่ ๕๒ หมู่ ๓ ตำ� บลโพหกั อ�ำเภอบางแพ
จังหวัดราชบรุ ี ๗๐๑๖๐
โทรศพั ท ์ ๐๘-๔๔๑๒-๗๕๔๕, ๐-๓๒๓๘-๗๑๐๗

58 รากแกว้ ตน้ กลา้

ภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน

๑. ประวัติรากแก้วภูมิปัญญาและจุดเร่ิมต้นในการสืบทอด
ภูมิปญั ญา

นายฉลวย บุญแวดล้อม เกิดเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๙๒ จบการศึกษาระดับชั้น
มัธยมศึกษาตอนต้น (มศ.๓) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ อาชีพเดิม คือ ท�ำนา
งานที่ท�ำควบคู่กับการเรียนหนังสือ อาทิ ตัดฉัตร พวงมโหตร จักสานพื้นฐาน
ช่วยแม่ท�ำบายศรี ปักอักษรย่อเส้ือนักเรียนเอง ปอกและแกะสลักมะพร้าวอ่อน
แบบพ้ืนฐานง่าย ๆ ช่วยพ่อต่อเรือแปะ และรวบรวมเชื้อสายวงศ์ตระกูล
จากค�ำบอกเล่าของผเู้ ฒ่าผแู้ กเ่ วลาไปเลีย้ งวัวต้ังแต่อายุ ๑๑ ขวบ
เม่อื เรียนจบ มศ. ๓ ก็อยู่บา้ นชว่ ยพอ่ แม่ทำ� นา ช่วงนีเ้ ป็นช่วงทไี่ ดท้ ำ� งาน
จักสานท่ีหลากหลายมากขึ้น เริ่มมีคนภายนอกมาให้ช่วยท�ำ เช่น การแกะสลัก
มะพร้าวอ่อน การท�ำพายคิ้วที่พระใช้พายเรือบท การท�ำสาแหรกไม้คาน
การฟ่ันเชอื กวัว
จากนั้นบวชพระ ระหว่างที่บวชมีงานอาสาเข้ามาให้ท�ำ ส่วนใหญ่
จะเปน็ งอบอาสา และงานตดั ฉตั ร พอเรม่ิ เขา้ พรรษาท่ี ๒ กเ็ รม่ิ ฝกึ วาดรปู (ฝกึ ดว้ ย
ตนเอง) ฝึกทำ� มงคลทดิ สกึ ใหม่ มงคลแฝดคบู่ า่ วสาว ฝกึ เทศนท์ ้ังธรรมมาสเด่ยี ว
และ ๔ ธรรมมาส บวชได้ ๒ พรรษาก็ลาสกิ ขา
ต่อมาก็ไปเรียนพิมพ์ดีดแบบปัตตาโชต ไทย อังกฤษ จบแล้วก็ไปท�ำงาน
บริษัทอยู่ ๒ ปีคร่ึง ท�ำหน้าท่ีเป็นยามหน้าประตูชั้นใน ช่วงนี้ได้มีโอกาสวาดรูป
ให้กับเพ่ือนร่วมงาน (วาดให้ฟรีไม่ได้คิดค่าจ้าง) พอว่างจากวาดรูปก็แต่งกลอน
ใหเ้ พอื่ น ๆ อา่ นเล่น
เม่ือออกจากบริษัทก็กลับมาท�ำนา ช่วงน้ีก็ได้ฝึกงานถักต่าง ๆ เช่น
หมวก เข็มขัด ได้ฝึกเย็บจักร จนกระทั่งถึงอายุ ๒๘ ปี ก็แต่งงาน ประกอบ
อาชีพท�ำนาอยู่ ๑๗ ปี และได้เปลี่ยนมาเพาะเล้ียงเห็ดท�ำได้ ๑ ปี ก็เปล่ียน
มาเลี้ยงวัวนม เล้ียงอยู่ประมาณ ๖ ปีก็เลิกท�ำ จากนั้นจึงมาเป็นช่างปลูกบ้าน
(เป็นลูกมือช่าง) ท�ำได้สักระยะก็เปลี่ยนมาท�ำสวนผัก และขายของตามตลาด

รากแก้วตน้ กล้า 59
ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ

นัดควบคู่ไปด้วย ท�ำอยู่ประมาณ ๓ ปี ก็เปล่ียนมาเลี้ยงกุ้ง ท�ำอาชีพเลี้ยงกุ้งอยู่
๗ ปี จากนั้นก็มาท�ำร้านอาหารคาราโอเกะ ท�ำอยู่ประมาณ ๓ ปี ปัจจุบัน
ได้ช่วยภรรยาขายขา้ วแกง ขายกว๋ ยเต๋ยี ว ทำ� เฟอร์นเิ จอร์ และงานประตมิ ากรรม
จากกะลามะพร้าว
ถึงแมจ้ ะมอี ปุ สรรคตา่ ง ๆ นานา ทำ� ใหต้ ้องเปลีย่ นงานบอ่ ยครั้งแตก่ ็ทำ� ให้
เห็นงานหลายอย่าง และก็ยังนับว่าโชคดีอยู่บ้างที่คุณลุงฉลวยสามารถส่งลูก
ให้เรียนจบปริญญาได้ทั้งหมด ๓ คน โดยคนโตเรียนจบปริญญาโท
คณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร คนที่ ๒
เรียนจบปริญญาตรี คณะมัณฑศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และคนที่ ๓
จบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปัจจุบันลูก ๆ ของ
คุณลุงฉลวยมีงานท�ำกันทุกคน โดยส่วนตัวคุณลุงฉลวยเป็นผู้ที่ใช้เวลาว่าง
ให้เกิดประโยชน์ มีแนวคิดว่าวัสดุ อุปกรณ์ท่ีเป็นของเหลือหรือคนอื่นทิ้งแล้ว
จะสามารถน�ำมาท�ำอะไรต่อได้บ้าง น�ำมาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อ และ
ทา่ นก็ยงั เปน็ บคุ คลท่พี ร้อมจะเรียนรสู้ งิ่ ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาเม่ือมโี อกาส

๒. รางวลั และความภาคภมู ใิ จ

คุณลุงฉลวย บุญแวดล้อม ได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็นบุคคล
ดีเด่นมีคุณธรรมดี-ศรีสังคม ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ของจังหวัดราชบุรี
นอกจากนี้ท่านเล่าให้ฟังว่า มีความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือสังคมโดยใช้ฝีมือ
ของตนเองสร้างสรรค์ผลงาน เช่น การแกะสลักมะพร้าวอ่อนในงานมงคลสมรส
งานบวช ถึงแม้บางคร้ังจะไม่ได้รับค่าตอบแทนเลยก็ตาม แต่ก็ท�ำให้เพราะ
มีใจรักในงาน รวมถึงการถ่ายทอดความรู้การวาดรูปให้กับบุตรชาย จนสามารถ
สอบเข้าเรียนคณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัย
ศิลปากร จนท�ำให้บุตรชายมีฝีมือในการวาดรูปและเป็นตัวแทนประเทศไทย
เข้าประกวดแข่งขันในต่างประเทศ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ ๑ จาก
การประกวดวาดภาพระดับอาเซยี น และทภี่ าคภมู ใิ จอีกอยา่ ง คือ การได้รบั เชิญ

60 รากแก้วตน้ กล้า

ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน

จากสถานศึกษาให้เป็นวิทยากรภูมิปัญญาท้องถ่ินด้านการจักสาน ได้ถ่ายทอด
ความรู้ให้กับครูและนักเรียน เช่น ส�ำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัย
ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง เชิญเป็นวิทยากรในโครงการอนุรักษ์และสืบสาน
ภูมิปัญญาท้องถ่ินประเภทเครื่องจักสานบ้านโพหัก ณ โรงเรียนโพหัก
“วงศ์สมบูรณ์ราษฎร์อุปถัมภ์” และโรงเรียนสายธรรมจันทร์เชิญเป็นวิทยากร
เร่ืองงานจักสานพ้ืนฐาน และเหนือสิ่งอื่นใดที่กล่าวมา คือ ความภาคภูมิใจ
ที่สามารถพ่ึงพาตนเองได้ โดยได้น้อมน�ำแนวทางการด�ำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจ
พอเพียงของในหลวงมาปรับใช้ รวมถงึ การด�ำเนนิ ชีวิตตามหลักพระพทุ ธศาสนา

บคุ คลดีเดน่ มีคณุ ธรรมด-ี ศรีสังคม ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๕๕

วทิ ยากรเรอ่ื งงานจักสานพน้ื ฐาน 61

รากแกว้ ต้นกล้า
ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่ิน

๓. ผลงานทีโ่ ดดเดน่

ส่วนหนึ่งของผลงานด้านจิตรกรรม
 จากการฝึกฝนการวาดภาพเหมือนให้กับเพื่อน ๆ ในช่วงที่ท�ำงาน
ท่ีบริษัทจึงมีความเชี่ยวชาญและมีเทคนิคในการวาดภาพท่ีค้นพบด้วยตนเอง
และไดถ้ า่ ยทอดเทคนคิ การวาดภาพนใี้ หก้ บั บตุ รชายจนสามารถสอบเขา้ เรยี นตอ่
คณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพมิ พ์ มหาวิทยาลัยศลิ ปากรได้
 การแกะสลกั มะพรา้ วเพ่อื ใชใ้ นงานบวช งานมงคลสมรส

ตัวอย่างผลงานดา้ นจติ รกรรม

การแกะสลักมะพรา้ ว

62 รากแกว้ ตน้ กล้า

ภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ

สว่ นหน่งึ ของผลงานดา้ นประติมากรรมจากกะลา
จุดเร่ิมต้นของการท�ำงานประติมากรรมจากกะลา สืบเนื่องจาก
คณุ ลงุ ยก รกั พงษอ์ รยิ กลุ นำ� กะลาตาเดยี วมาให้ จงึ มแี นวคดิ วา่ จะเอามาทำ� อะไรดี
ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ครง้ั แรกไดท้ ดลองทำ� พระสงั กจั จายน์ ตอ่ มาเมอื่ เกดิ ความชำ� นาญ
จึงประดิษฐ์เป็นข้าวของเครื่องใช้ เครื่องดนตรี ของท่ีระลึก เช่น กระต่าย
ขูดมะพร้าว ซออู้ เป็นตน้

ตัวอย่างผลงานดา้ นประติมากรรมจากกะลา

ส่วนหน่ึงของผลงานประติมากรรมจากะลามะพร้าว

รากแกว้ ตน้ กล้า 63
ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ

สว่ นหนึ่งของผลงานดา้ นหัตถกรรม
คุณลุงฉลวยได้สืบทอดและเรียนรู้การจักสานมาต้ังแต่เด็ก จึงมีความ
เชี่ยวชาญในการจักสาน สามารถดัดแปลงลวดลายให้เป็นข้อความสะดุดตา
และมคี วามสวยงาม นอกจากน้จี ะน�ำวัสดุท่ีไม่ใช้แลว้ มาสรา้ งสรรคใ์ หเ้ ป็นผลงาน
ท่ีมมี ูลคา่ เพ่มิ ขึ้น และสามารถน�ำไปใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ รงิ

ตัวอย่างผลงานดา้ นหัตถกรรม

ตะกร้า “หวิ้ หนูไปดว้ ย”

เข็มขดั จากพลาสตกิ รัดของ

64 รากแกว้ ตน้ กล้า

ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่น

ของใชจ้ ากกะลา ของใช้จากไม้ไผ่

ส่วนหน่งึ ของผลงานดา้ นการแต่งกลอน
คุณลุงฉลวยจะมีมุมมองการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย น�ำหลักธรรมของ
พระพุทธเจ้ามาสอดแทรกลงในบทกลอน และสะท้อนข้อคิดในการใช้ชีวิต
ในลักษณะต่าง ๆ ท่ีสามารถน�ำไปเป็นข้อคิดเตือนใจแก่ผู้พบเห็นหรือผู้ท่ีได้อ่าน
โดยจะใช้นามปากกวา่ ฉ.ฉงิ่ ตีดงั อาทิ

มองชวี ิต
สายสร้อยทองมองดีต้องมพี ระ ผงขยะจะดีต้องมีถงั
กระเปา๋ หรูดดู ตี อ้ งมีตงั ค์ คนจะดงั เดน่ ดีตอ้ งมเี ชาว์
ซ้ืออาหารทานอม่ิ หรือชิมรส ควรจ่ายสดงดเวน้ เชอ่ื เซน็ เขา
อย่างท�ำบญุ บอกให้ใครก็เอา คนแบง่ เบาบาปไปทไ่ี หนมี

คนทรพั ย์นอ้ ย
มที รัพยน์ อ้ ยหนึ่งสลงึ จา่ ยถงึ บาท เป็นเหตอุ าจอดตายในภายหลัง
มหี น่งึ บาทฟาดเกลี้ยงกเ็ สีย่ งพงั มนั ก็ยังยากเข็ญอยู่เชน่ เดมิ
มหี น่ึงบาทแบ่งได้ไว้สลงึ บอ่ ยครั้งจึงจะดมี ากมีเพิ่ม
หลายหลายครง้ั ตงั้ มน่ั แลว้ หม่นั เติม รูจ้ ักเสรมิ ทรัพยม์ ีเศรษฐีรอ

รากแก้วต้นกล้า 65
ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ

ทรัพย์อันใดใครท�ำแต่กำ� เนดิ จะก่อเกดิ ก็แต่พอ่ แม่หนอ
ทุกข์หนกั หนาหาไดแ้ ลว้ ไมพ่ อ กู้ยืมก็ต่อไปต้องใชค้ นื
มีดอกเบ้ยี เสียไปต้องใช้เขา อดออมเอาอายคนกท็ นฝนื
ย่ิงขาดทนุ ทกุ คร้งั ลม้ ทง้ั ยืน เงินจะคนื เขาไปกไ็ มม่ ี
ต้องทนทกุ ข์บุกบ่นั กัดฟันสู้ ถึงความรู้เลก็ นอ้ ยไมถ่ อยหนี
หวงั สักวนั ฉนั ได้ก�ำไรด ี จะหาท่ที างท�ำให้ร�่ำรวย
ปญั ญามแี มน้ อ้ ยหากบ่อยคิด วันละนดิ นกึ ไวจ้ ะไปสวย
สมองคนคน้ ดไี มม่ ซี วย จงรบี ฉวยฉับไวอยา่ ใหน้ าน
มสี มองต้องคดิ คน้ ผิดถกู อบรมลูกปลกู ฝงั ไปยงั หลาน
มวั นอนนิ่งน่งั ฟังจนหนังยาน จึงเริ่มการกไ็ ปไมไ่ ดไ้ กล
สมองมีหมน่ั ใช้แต่วยั เด็ก เอาเลก็ เล็กเริม่ ต้นพอทนไหว
ไม่ลดละสะสมก็ถมไป จะเข้าใจจบั งานทุกดา้ นเลย
อย่ามัวหลงลืมตนเปน็ คนเขลา หลงมวั เมาหมดกันนะท่านเอย๋
เกดิ ก่ชี าติขาดทนุ เพราะค้นุ เคย จติ จะเลยหลุดพน้ ต้องคนดี
หลงมวั เมาเผาผลาญสนั ดานจติ ลำ� บากนิดหนกั หน่อยก็ถอยหนี
ได้อดกลั้นมนั บา้ งหนทางม ี ตอ้ งเรานนี้ ึกเอาจงึ เข้าใจ
กายของเราเผาไฟอะไรเกดิ จิตเตลิดหลุดรา่ งไปทางไหน
ถา้ จิตดมี ที างสวา่ งไป มีจติ ใสส่องทางสวา่ งงาม
หากคดิ เลวหลงผิดเพราะจิตบาป วิญญาณหยาบยมิ้ ใส่ไม่ไตถ่ าม
ชวนไปอยคู่ ู่ทกุ ขเ์ จอคุกคาม เพราะเวรตามติดตนต้องทนไป
โอกาสมเี มอื่ ฟงั จงยั้งคดิ จะให้จติ จากรา่ งไปทางไหน
ทกุ สง่ิ อย่างร่างเผาไม่เอาไป แต่ยังไม่หมดส้นิ เหลอื วญิ ญาณ
เรอื่ งดีชั่วตวั ท�ำใครก�ำหนด เราท้ังหมดมองวา่ มหาศาล
ถ้าใหจ้ บครบถว้ นควรประมาณ เรื่องนิพพานพน้ ไดจ้ รงิ ไหมเอย

66 รากแกว้ ต้นกลา้

ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ

ประตูบา้ น เรอ่ื งของประตู ไมแ่ ปลผัน
รจู้ ักกนั ผา่ นแน ่ จะปราศรัย
เรอ่ื งประต ู เกินกวา่ ทุกบา้ นไป
จำ� แนกไว้ ตอ้ งผา่ น หลายทีม่ า
ประตูธรรม ว่ามี สว่างจิตร
ใช่แตค่ ิด นำ� ทาง ศาสนา
ประตทู อง แค่พระ ขันหมากมา
ทงั้ สรุ า จองดกั กอ่ นเดนิ ไป
ประตลู ม นาคเงิน เทถา่ ยธาตุ
ประตูปราชญ์ อมคาย รไู้ ฉน
ประตูกล ขาดคร ู เกง่ ทางใน
ประตใู จ คนสร้าง ส่ิงตอ้ งการ
ประตูสว้ ม จบั จอ้ ง บรรเทาทุกข์
ประตคู กุ รว่ มเขา้ ดดั สังขาร
ประตูโบสถ ์ คุมขงั มปี ระธาน
ประตมู าร บวชพระ พระยายม
ก่อนจะผ่าน มงุ่ หา ขอให้คิด
เอาดวงจติ ด้านใด ที่เหมาะสม
เอาสติ จดเจาะ ในอารมณ์
กอ่ นจะกม้ ตั้งมา ประตไู ป
ก้าวส ู่

ผลงานทีโ่ ดดเด่น
๑. งานประติมากรรมจากกะลามะพร้าวเป็นองค์เหมือนเจ้าอาวาส
รูปแรกของวัดโพหัก ซึ่งปัจจุบันน�ำไปประดิษฐานภายในโบสถ์วัดโพหัก
อ�ำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ผลงานชิ้นนี้คุณลุงฉลวยใช้เวลาสร้างสรรค์นานถึง
๗ เดือน เนอื่ งในโอกาสอายุครบ ๖๐ ปี จงึ เปน็ แรงบันดาลใจสรา้ งพระถวายวดั
ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒

รากแกว้ ตน้ กล้า 67
ภูมิปญั ญาท้องถิ่น

๒. งานประตมิ ากรรมจากกะลามะพรา้ วเปน็ ม้าเท่าขนาดจริง ปจั จบุ นั
ดดั แปลงเปน็ รถมา้ ใชใ้ นขบวนแห่งานส�ำคญั ของอำ� เภอบางแพ

เจา้ อาวาสรปู แรกของวัดโพหกั รถมา้

๔. องค์ความรู้การสร้างงานประติมากรรมจากกะลามะพร้าว
และหลักการสร้างสรรคผ์ ลงาน

อปุ กรณ์การสร้างงานประตมิ ากรรมที่สำ� คัญมดี ังนี้
๑. เลอ่ื ยเหล็ก ใช้สำ� หรบั เลอื่ ยกะลามะพร้าวให้เป็นชิ้นเลก็ ๆ
๒. ลกู หมู ใช้สำ� หรบั เจยี ผิวกะลามะพร้าว

68 รากแก้วตน้ กลา้

ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่น

๓. ค้อน ใชส้ ำ� หรบั เคาะกาวใหก้ ระจายตวั
๔. กาวรอ้ น และกาวลาเทก็ ซ์ ใชส้ ำ� หรบั ผสมขเี้ ลอ่ื ยกะลาในการยาแนว
ใหค้ งทนอย่นู าน
กรณกี ารสร้างงานประติมากรรมมา้ จากกะลามะพร้าว จะเร่มิ จากการทำ�
โครงของม้าโดยใช้เหล็กเพื่อความแข็งแรง จากน้ันจะฉาบปูนให้เรียบ น�ำกะลา
มะพรา้ วท่ีตัดเปน็ ชนิ้ เลก็ ๆ มาติดโดยใช้กาวรอ้ นผสมกับกาวลาเทก็ ซ์ แลว้ เจียผิว
กะลามะพร้าวให้เข้ารปู ตามท่ีตอ้ งการ ใช้เวลาในการประดิษฐ์ประมาณ ๓ เดอื น
ซึ่งคณุ ลงุ ฉลวยจะใชเ้ วลาทีว่ ่างจากการทำ� งาน คอ่ ย ๆ ทำ� และต้องใจเยน็
หลักการสร้างสรรค์ผลงานของคุณลุงฉลวย คือ พยายามท�ำให้มากที่สุด
ต้องท�ำให้เป็นหลาย ๆ อย่าง และต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ต้องมีความใจเย็น
ถ้าท�ำผิดก็เริ่มใหม่ ฝึกฝนจนสามารถท�ำได้อย่างช�ำนาญ ซ่ึงคุณลุงฉลวย
มีงานอดิเรกท่ีท�ำอยู่เป็นประจ�ำเม่ือมีเวลาว่าง คือ การแกะสลักมะพร้าวอ่อน
การวาดรูป การประดิษฐส์ ิ่งของจากวัสดเุ หลือใช้ การจักสาน งานประติมากรรม
จากกะลามะพร้าว การเย็บปกั ถักรอ้ ย ช่างตัดผม และการแตง่ กลอน ท่านไดใ้ ช้
ความสามารถเหล่าน้ีมาช่วยเหลือสังคมโดยไม่หวังผลตอบแทน จนได้รับ
ประกาศเกียรติคุณยกย่องให้เป็นบุคคลดีเด่นมีคุณธรรมดี-ศรีสังคม ประจ�ำปี
พ.ศ. ๒๕๕๕ ของจังหวัดราชบุรี นับว่าท่านเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินท่ีมี
ความสามารถหลากหลายดา้ น

๕. การถ่ายทอดองค์ความรู้

คุณลุงฉลวยได้ถ่ายทอดเทคนิคการวาดภาพให้กับบุตรชาย จนสามารถ
สอบเข้าเรียนคณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัย
ศลิ ปากร และไดถ้ า่ ยทอดภมู ปิ ญั ญาดา้ นการจกั สานใหก้ บั ครแู ละนกั เรยี นโรงเรยี น
โพหกั “วงศส์ มบรู ณ์ราษฎร์อปุ ถมั ภ”์ และโรงเรยี นสายธรรมจนั ทร์ รวมทัง้ ยินดี
ทจี่ ะถา่ ยทอดให้กบั ผูท้ ่สี นใจตอ้ งการจะศกึ ษา

รากแก้วตน้ กล้า 69
ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิน่

70 รากแก้วตน้ กลา้

ภูมปิ ัญญาท้องถิ่น

ตน้ กลา้ ภูมิปัญญาท้องถ่นิ

รากแกว้ ต้นกล้า 71
ภูมิปญั ญาท้องถิน่

ต้นกล้าภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน

สาขาศลิ ปกรรม

ด้านดนตรี นาฏศิลป์
และการละเลน่ พน้ื บ้าน : การรำ� มโนราห์

นางสาวนฤมล แก้วโต

ชอ่ื - นามสกลุ นางสาวนฤมล แกว้ โต
วนั เดือน ปเี กิด ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๖
อาย ุ ๒๑ ปี
การศึกษา กำ� ลงั ศกึ ษาชนั้ ปที ่ี ๓ สาขาวชิ าภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์
และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมบู่ ้านจอมบึง
ทีอ่ ยู่ บา้ นเลขท่ี ๒๖ หมู่ ๑๒ ตำ� บลสไุ หงปาดี อำ� เภอสุไหงปาดี
จงั หวดั นราธวิ าส ๙๖๑๔๐
โทรศพั ท ์ ๐๘-๖๒๘๙-๘๘๒๘

72 รากแกว้ ต้นกล้า

ภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ

๑. แรงบนั ดาลใจและจุดเริม่ ตน้ ในการสบื ทอดการร�ำมโนราห์

นางสาวนฤมล แก้วโต เป็นหลานของคุณป้าเสง่ียม ตึงโหล ซ่ึง
มีคณะมโนราห์ ทุกเย็นจะมีการซ้อมร�ำที่บ้านคุณป้า เมื่ออายุประมาณ ๕ ขวบ
นฤมลจะไปดพู ่ี ๆ ซอ้ มร�ำกันทุกวัน เพราะบ้านอยลู่ ะแวกเดยี วกนั จึงเป็นสาเหตุ
ให้นฤมลเกิดความชื่นชอบอยากร�ำมโนราห์บ้าง ไปดูอยู่ประมาณ ๒ ปี เม่ือ
อายุ ๗ ขวบ ได้ท�ำพิธีขอเป็นลูกศิษย์และเริ่มฝึกหัดต้ังแต่ท่าง่าย ๆ คือ แม่ท่า
ทั้ง ๑๒ ท่า จนถึงการขับกลอนท�ำบท ใช้เวลาในการฝึกซ้อมอยู่ประมาณ
สองเดือน ก็มีโอกาสได้แสดงในวันเด็กแห่งชาติปี ๒๕๔๔ เป็นครั้งแรก และ
หลังจากนั้นมาก็แสดงตามงานต่าง ๆ เร่ือยมา เช่น งานประจ�ำปีของต�ำบล
งานวนั ลอยกระทง งานวนั สงกรานต์ เป็นต้น

๒. รางวลั และความภาคภูมใิ จ

นางสาวนฤมล แกว้ โต ไดร้ บั รางวลั จากการประกวดรำ� มโนราห์ ทภี่ าคภมู ใิ จ
คือ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ จากการเข้าประกวดการร�ำมโนราห์ใน
โครงการพนมของจงั หวัดนราธวิ าส ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒
นฤมล กล่าวว่า “ดิฉันมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งท่ีได้เป็นส่วนหนึ่ง
ในการสืบทอดการร�ำมโนราห์ ศิลปวัฒนธรรมของภาคใต้ซึ่งในปัจจุบันน้ีก�ำลัง
จะสูญหายไปหากไม่มีผู้ใดมาสืบทอดเอาไว้ การร�ำมโนราห์เป็นการแสดงของ
ชาวภาคใต้ท่ีถ่ายทอดความเป็นคนใต้ได้ดี ท้ังท่าทางการขับกลอนท�ำบท ซึ่ง
ทุกอย่างจะแสดงออกถึงเอกลกั ษณค์ วามเปน็ คนใต้ออกมาไดอ้ ยา่ งชัดเจน”
นฤมล ยังกล่าวอีกว่า “การร�ำมโนราห์ในปัจจุบันก�ำลังจะสูญหายไป
แต่ดิฉันเป็นลูกหลานคนใต้คนหนึ่งท่ีจะไม่ยอมให้มโนราห์สูญหายไป ดิฉันจะ
สบื ทอดศลิ ปะการรำ� มโนราหน์ เ้ี อาไว้ เพอ่ื ทจ่ี ะไดถ้ า่ ยทอดใหแ้ กค่ นรนุ่ หลงั ทสี่ นใจ
การร�ำมโนราห์ และเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของภาคใต้เอาไว้ ถึงแม้
จะเป็นแคส่ ่วนเลก็ ๆ กต็ าม ดีกวา่ ท่ไี ม่ไดท้ ำ� อะไรเลย”

รากแกว้ ต้นกล้า 73
ภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ

๓. ผลงานการเผยแพรศ่ ลิ ปะการแสดงมโนราห์

 พ.ศ. ๒๕๕๐ แสดงมโนราห์ในงานประเพณีวันสงกรานต์ของ
จงั หวัดนราธิวาส
 พ.ศ. ๒๕๕๑ แสดงมโนราห์ในงานประเพณีลอยกระทงของ
องค์การบรหิ ารส่วนต�ำบลสุไหงปาดี
 พ.ศ. ๒๕๕๒ ประกวดการร�ำมโนราห์ในโครงการพนมของ
จงั หวัดนราธวิ าส ไดร้ างวัลรองชนะเลศิ อนั ดับ ๑
 พ.ศ. ๒๕๕๔ แสดงมโนราห์ในงานสมโภชหลวงปู่ทวดที่ใหญ่ท่ีสุด
ในภาคใตท้ ี่อำ� เภอสคุ ิรนิ จังหวดั นราธิวาส
 พ.ศ. ๒๕๕๖ ไดแ้ สดงมโนราหใ์ นงานสำ� คญั ของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั
หมู่บ้านจอมบึง ดงั นี้
๑. พธิ ไี หวค้ รู ประจำ� ปกี ารศกึ ษา ๒๕๕๖ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ กรกฎาคม
๒๕๕๖
๒. งานเฉลิมพระเกียรติ ๑๒ สิงหา “มหาราชินี” เม่ือวันที่
๙ สงิ หาคม ๒๕๕๖
๓. งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เน่ืองใน
“วันพอ่ แหง่ ชาต”ิ วันท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๖
 พ.ศ. ๒๕๕๗ ไดแ้ สดงมโนราหแ์ ละรำ� ในงานสำ� คญั ของมหาวทิ ยาลยั
ราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบึง และงานเครอื ข่ายวฒั นธรรมสมั พันธ์ ดังนี้
๑. การแสดงชุด “จอมบึงสืบสานศักดิ์ศรีไทด�ำ” ในงาน
ศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศกึ ษา ครงั้ ท่ี ๑๔ “ฮตี ฮอยศลิ ป์ ถนิ่ ตกั สลิ า”
ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ ณ มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม
๒. การแสดงชุด “มโหระทึกไทย เฉลิมชัย ๖ ทศวรรษ
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบงึ ” ในงานครบรอบ ๖๐ ปี ของ
มหาวิทยาลยั ราชภัฏหมู่บา้ นจอมบึง วนั ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗

74 รากแก้วตน้ กล้า

ภมู ิปัญญาท้องถนิ่

๓. การแสดงมโนราห์ในงาน ๑๒ สิงหา เทิดไท้ “มหาราชินี”
วันท่ี ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ณ ส�ำนักศิลปะและวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบงึ
๔. การแสดงวงโปงลางสายสัมพันธ์หมู่บ้านจอมบึงในงาน
หอการคา้ แฟร์ ๒๐๑๔ วนั ท่ี ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๗ ณ ตลาด
เมอื งทองเซ็นเตอรพ์ อยท์ จงั หวัดราชบรุ ี

งานสมโภชหลวงปู่ทวดที่ใหญ่ทสี่ ุดในภาคใต้ พธิ ีไหว้ครูมหาวิทยาลัยราชภัฏหมบู่ า้ นจอมบงึ
ณ อำ� เภอสุคิรนิ จงั หวัดนราธวิ าส ประจำ� ปกี ารศกึ ษา ๒๕๕๖

งานเฉลมิ พระเกยี รติ งานเฉลมิ พระเกยี รติ ๑๒ สิงหา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว “มหาราชนิ ี” ปี ๒๕๕๗
เน่อื งใน “วนั พอ่ แหง่ ชาต”ิ ปี ๒๕๕๖

รากแก้วต้นกล้า 75
ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ

๔. องคค์ วามรูเ้ กย่ี วกับโนรา (มโนราห์)

๔.๑ ประวตั คิ วามเปน็ มา
โนรา หรือ มโนห์รา (เขียนเป็น มโนห์รา หรือ มโนราห์ ก็ได้) เป็น
การละเล่นพ้ืนเมืองที่สืบทอดกันมานานและนิยมกันอย่างแพร่หลายในภาคใต้
เป็นการละเล่นท่ีมีท้ังการร้อง การร�ำ บางส่วนเล่นเป็นเรื่อง และบางโอกาส
มีบางส่วนแสดงตามคติความเช่ือท่ีเป็นพิธีกรรมโนรา เป็นศิลปะพื้นเมือง
ภาคใต้ เรียกว่า โนรา แต่ค�ำว่า มโนราห์ หรือ มโนห์รา น้ันเป็นค�ำที่เกิดขึ้นมา
เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการน�ำเอาเร่ือง พระสุธน-มโนราห์ มาแสดงเป็น
ละครชาตรี จึงมีค�ำเรียกว่า มโนราห์ ส่วนก�ำเนิดของโนราน้ัน สันนิษฐานกันว่า
ได้รับอิทธิพลจากการร่ายร�ำของอินเดียโบราณก่อนสมัยศรีวิชัย ที่มาจากพ่อค้า
ชาวอินเดีย สังเกตได้จากเคร่ืองดนตรีที่เรียกว่า เบ็ญจสังคีต ซ่ึงประกอบด้วย
โหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโนรา และท่าร�ำของโนราอีกหลายท่า
ทล่ี ะมา้ ยคลา้ ยคลงึ กบั การรา่ ยรำ� ของทางอนิ เดยี  และเรม่ิ มโี นราเปน็ กจิ จะลกั ษณะ
ขึ้น เม่ือประมาณปีพุทธศักราชท่ี ๑๘๒๐ ซ่ึงตรงกับสมัยสุโขทัยตอนต้น
เชอื่ กนั วา่ โนราเกดิ ขน้ึ ครงั้ แรกทห่ี วั เมอื งพทั ลงุ  ปจั จบุ นั คอื  ตำ� บลบางแกว้  จงั หวดั
พัทลุง แล้วแพร่ขยายไปยังหัวเมืองอ่ืน ๆ ของภาคใต้จนไปถึงภาคกลาง และ
กลายเป็นละครชาตรีกับจังหวะตะลุงที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดนี้ โนรา
เกิดขึ้นในราชส�ำนักของพัทลุงซึ่งมีต�ำนานเล่ากันมาว่า พระยาสายฟ้าฟาด
เป็นกษัตริย์ครองเมืองพัทลุง มีมเหสีทรงพระนามว่า พระนางศรีมาลา ทั้งสอง
พระองค์มีพระธิดาด้วยกันหนึ่งพระองค์ มีพระนามว่า พระนางนวลทองส�ำลี
วันหน่ึงพระนางนวลทองส�ำลีทรงสุบินว่า มีเทพธิดามาร่ายร�ำให้ดู การร่ายร�ำ
นั้นร�ำท้ังหมด ๑๒ ท่า เป็นท่าร�ำที่สวยงามมากน่าชม มีเครื่องประโคมดนตรี
คือ กลอง ทับ โหม่ง ฉิ่ง ปี่ และแตร การประโคมดนตรีลงกับท่าร�ำเป็นจังหวะ
และบดั น้พี ระนางก็ยงั จำ� ท่าตา่ ง ๆ เหลา่ น้ันได้ อยู่มาวนั หน่งึ พระนางอยากเสวย
เกสรดอกบัวที่ในสระหน้าพระราชวัง จึงรับส่ังให้นางสนมไปหักเอามาให้ เม่ือ
พระนางไดด้ อกบวั แล้วก็ไดเ้ สวยดอกบัวนน้ั จนหมด

76 รากแกว้ ตน้ กล้า

ภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ

กาลต่อมาพระนางก็ทรงครรภ์ พระยาสายฟ้าฟาดรู้เข้าว่าพระนางทรง
ครรภ์ จึงลอยแพพระนางและสนมทั้ง ๓๐ ไปในทะเล ขณะท่ีแพลอยไปน้ัน
ลมได้พัดแพไปติดที่เกาะกะชัง จึงยึดเกาะกะชังนั้นเป็นที่อยู่ ส่วนพระนาง
นวลทองส�ำลีครรภ์ก็ยิ่งแก่ข้ึน ๆ ทุกวัน จนประสูติพระโอรสและให้นามว่า
เทพสิงหร
พระนางและพวกสนมอยู่ท่ีน่ันจนกระท่ังเทพสิงหรมีอายุ ๑๐ ปี ระยะ
เวลา ๑๐ ปีนั้น เทพสิงหร ได้หัดการร่ายร�ำโนราจนเป็นท่ีช�ำนาญดี และ
พระนางนวลทองส�ำลีก็เล่าเรื่องแต่หนหลังให้ฟัง เทพสิงหรจึงอาศัยเรือพ่อค้า
เดินทางไปเมอื งของพระอัยกา
เมื่อไปถึงท่าเรือ เทพสิงหรก็ได้เท่ียวร�ำโนราไปเร่ือย เน่ืองจากโนรา
เป็นของแปลกและไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน กอปรด้วยการร�ำก็ชดช้อยน่าดู
คนจึงไปดูกันมาก จนข่าวนี้เลื่องลือไปถึงพระราชวัง พระยาสายฟ้าฟาด
ทรงทราบแล้ว ก็ทรงปลอมพระองค์ไปในกลุ่มชนเพ่ือไปทอดพระเนตรโนรา
จากการที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรน้ันสังเกตเห็นว่า เทพสิงหรมีหน้าตาละม้าย
คล้ายคลึงกับพระธิดา ซึ่งได้ลอยแพไปเมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว จึงรับส่ังให้หา
พระองค์ตรัสถามว่า เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เทพสิงหรจึงเล่าให้ฟัง ท�ำให้
พระยาสายฟ้าฟาดทรงทราบวา่ เทพสิงหรคือหลานหรือพระราชนดั ดา
เมื่อถึงพระราชวัง พระยาสายฟ้าฟาดก็ทรงให้อ�ำมาตย์ไปเชิญให้
พระนางนวลทองส�ำลีเสด็จกลับพระนครตามเดิม เมื่อพวกอ�ำมาตย์ไปถึง
เกาะกะชังและได้เชิญเสด็จกลับ แต่พระนางไม่ยอมกลับ พวกอ�ำมาตย์ก็จับ
พระนางมดั ขน้ึ เรอื (ตอนนใี้ นการเลน่ โนราในสมยั หลงั จงึ มกี ารรำ� เรยี กวา่ คลอ้ งหงส์
คือร�ำเพ่ือจับพระนางนวลทองส�ำลี เป็นการร่ายร�ำท่ีน่าชมมาก) แล้วพามาเฝ้า
พระราชบิดา

รากแก้วตน้ กล้า 77
ภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่

จากน้ันก็ท�ำขวัญ และจัดให้มีมหรสพ ๗ วัน ๗ คืน ในการมหรสพนี้
ก็ได้จัดให้มีการร�ำโนราด้วย พระยาสายฟ้าฟาดได้พระราชทานเครื่องทรง
ซึ่งคล้ายคลึงกับของกษัตริย์ให้กับพระราชนัดดา เพื่อร�ำทรงเคร่ืองในงานนี้
พระยาสายฟ้าฟาดก็ได้พระราชทานบรรดาศักด์ิให้เทพสิงหร เป็น ขุนศรีศรัทธา
เครื่องต้นที่พระราชทานคอื เทรดิ ก�ำไลแขน ปั้นเหน่ง สังวาล พาดเฉียง ๒ ข้าง
ปีกนกแอ่น หางหงส์ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องทรงของกษัตริย์ท้ังส้ิน จะเห็น
ได้ว่าโนราแต่เดิมก็เป็นเช้ือพระวงศ์ ขุนศรีศรัทธาได้สอนร�ำโนราให้ผู้อ่ืน
เป็นการถ่ายทอดนาฏศิลป์แบบโนราไปเรื่อย ๆ ท้ังน้ีในพระบรมราชูปถัมภ์ของ
สมเด็จพระอยั กา โนราจึงได้แพรห่ ลายตอ่ มาหลายชั่วคน จนบัดน้ี
๔.๒ เครื่องแตง่ กาย
๑. เทริด เป็นเคร่ืองประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่
หรือตัวยืนเครื่อง (โบราณไม่นิยมให้นางร�ำใช้) ท�ำเป็นรูปมงกุฎอย่างเต้ีย
มีกรอบหนา้ มดี า้ ยมงคลประกอบ
๒. เครื่องลูกปัด จะร้อยด้วยลูกปัดสีเป็นลายมีดอกดวง ใช้
สำ� หรบั สวมลำ� ตัวท่อนบนแทนเสอ้ื ประกอบดว้ ยชนิ้ สำ� คัญ ๕ ชน้ิ คอื บา่ ส�ำหรับ
สวมทับบนบ่าซ้าย-ขวา รวม ๒ ชิ้น ปิ้งคอ ส�ำหรับสวมห้อยคอหน้า-หลัง
คล้ายกรองคอหน้า-หลัง รวม ๒ ชิ้น พานอก ร้อยลูกปัดเป็นรูปสี่เหล่ียม
ผืนผ้า ใช้พันรอบตัวตรงระดับอก บางถ่ินเรียกว่า “พานโครง” บางถ่ินเรียกว่า
“รอบอก” ๑ ชิ้น
๓. ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง มักท�ำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้าย
นกนางแอ่นก�ำลังกางปีก ใช้ส�ำหรับโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง สวมติดกับ
สังวาลอยทู่ ี่ระดบั เหนอื สะเอวด้านซ้ายและขวา คลา้ ยตาบทิศของละคร
๔. ซับทรวง หรือทับทรวง หรือตาบ ส�ำหรับสวมห้อยไว้ตรง
ทรวงอก นิยมท�ำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายขนมเปียกปูนสลักเป็นลวดลาย
และอาจฝังเพชรพลอยเป็นดอกดวงหรืออาจร้อยด้วยลูกปัด นิยมใช้เฉพาะ
ตวั โนราใหญห่ รอื ตวั ยืนเครื่อง ตัวนางไมใ่ ชซ้ ับทรวง

78 รากแก้วตน้ กล้า

ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น

เทรดิ

ปงิ้ คอ บา่
เล็บ ซับทรวง
พานอก กำ� ไล
หน้าผา้ ผ้านุ่ง
ผ้าห้อย หน้าเพลา

หนา้ พราน ปีก
หนา้ ทาสี หรือ
หาง
หรอื
หางหงส์

รากแกว้ ต้นกล้า 79
ภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ

๕. ปีก หรอื ท่ชี าวบา้ นเรียกวา่ หาง หรือ หางหงส์ นยิ มท�ำดว้ ย
เขาควายหรือโลหะเป็นรูปคล้ายปีกนก ๑ คู่ ซ้าย-ขวาประกอบกัน ปลายปีก
เชิดงอนข้ึนและผูกรวมกันไว้ มีพู่ท�ำด้วยด้ายสีติดไว้เหนือปลายปีกใช้ลูกปัด
ร้อยห้อยเป็นดอกดวง รายตลอดท้ังข้างซ้ายและขวาให้ดูคล้ายขนของนก
ใช้ส�ำหรับสวมคาดทับผ้านุ่งตรงระดับสะเอว ปล่อยปลายปีกย่ืนไปด้านหลัง
คลา้ ยหางกนิ รี
๖. ผ้านุ่ง เป็นผ้ายาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า นุ่งทับชายแล้วร้ังไปเหน็บ
ไว้ข้างหลัง ปล่อยปลายชายให้ห้อยลงเช่นเดียวกับหางกระเบน เรียกปลายชาย
ที่พบั แล้วหอ้ ยลงน้ีว่า “หางหงส์” การนงุ่ ผ้าของโนราจะร้ังสงู และรัดรปู แน่นกว่า
นุ่งโจงกระเบน
๗. หน้าเพลา เหน็บเพลา หนับเพลา ก็ว่า คือสนับเพลา
ส�ำหรับสวมแล้วนุ่งผ้าทับ ปลายขาใช้ลูกปัดร้อยทับหรือร้อยทาบ ท�ำเป็น
ลวดลายดอกดวง เช่น ลายกรวยเชงิ รักรอ้ ย
๘. ผ้าห้อย คือ ผ้าสีต่าง ๆ ที่คาดห้อยคล้ายชายแครงแต่อาจ
มีมากกว่า โดยปกติจะใช้ผ้าท่ีโปร่งผ้าบางสีสดแต่ละผืนจะเหน็บห้อยลง
ทงั้ ดา้ นซ้ายและด้านขวาของหน้าผา้
๙. หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้าเป็นของโนราใหญ่
หรือนายโรงมักท�ำด้วยผ้าแล้วร้อยลูกปัดทาบเป็นลวดลายที่ท�ำเป็นผ้า ๓ แถบ
คล้ายชายไหวล้อมด้วยชายแครงก็มี ถ้าเป็นของนางร�ำ อาจใช้ผ้าพ้ืนสีต่าง ๆ
ส�ำหรับคาดห้อยเชน่ เดยี วกบั ชายไหว
๑๐. ก�ำไลต้นแขนและปลายแขน ก�ำไลสวมต้นแขนเพื่อขบรัด
กลา้ มเนอ้ื ใหด้ ทู ะมัดทะแมงและเพม่ิ ให้สง่างามย่งิ ขึ้น
๑๑. กำ� ไล ขอ้ มอื และข้อเทา้ กำ� ไลของโนรามกั ท�ำดว้ ยทองเหลือง
ทำ� เปน็ วงแหวน ใชส้ วมมอื และเทา้ ขา้ งละหลาย ๆ วง เชน่ แขนแตล่ ะขา้ งอาจสวม
๕-๑๐ วงซอ้ นกนั เพ่อื เวลาปรบั เปลยี่ นท่าจะไดม้ ีเสียงดังเป็นจังหวะเรา้ ใจย่ิงขึน้

80 รากแกว้ ต้นกลา้

ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่น

๑๒. เล็บ เป็นเครื่องสวมน้ิวมือให้โค้งงามคล้ายเล็บกินรี ท�ำด้วย
ทองเหลืองหรือเงินอาจต่อปลายด้วยหวายท่ีมีลูกปัดร้อยสอดสีไว้พองาม นิยม
สวมมอื ละ ๔ นิ้ว (ยกเว้นหัวแมม่ อื )
เคร่ืองแต่งกายโนราตามรายการที่ (๑) ถึง (๑๒) รวมเรียกว่า
“เคร่ืองใหญ่” เป็นเครื่องแต่งกายของตัวยืนเคร่ืองหรือโนราใหญ่ ส่วน
เครื่องแต่งกายของตัวนางหรือนางร�ำเรียกว่า “เคร่ืองนาง” จะตัดเคร่ือง
แต่งกายออก ๔ อย่างคือ เทริด (ใช้ผ้าแถบสีสดหรือผ้าเช็ดหน้าคาดรัดแทน)
กำ� ไลตน้ แขน ซบั ทรวงและปกี นกแอน่ (ปจั จุบนั นางรำ� ทุกคนนยิ มสวมเทรดิ ดว้ ย)
๑๓. หน้าพราน เป็นหน้ากากส�ำหรับตัว “พราน” ซึ่งเป็นตัวตลก
ใช้ไม้แกะเป็นรูปใบหน้า ไม่มีส่วนที่เป็นคาง ท�ำจมูกยื่นยาว ปลายจมูกงุ้ม
เล็กน้อย เจาะรูตรงส่วนที่เป็นตาด�ำ ให้ผู้สวมมองเห็นได้ถนัด ทาสีแดงท้ังหมด
เวน้ แตส่ ว่ นทเี่ ปน็ ฟนั ทำ� ดว้ ยโลหะสขี าว หรอื ทาสขี าว หรอื อาจเลยี่ มฟนั (มเี ฉพาะ
ฟันบน) สว่ นบนตอ่ จากหนา้ ผากใชข้ นเปด็ หรอื หา่ นสขี าวติดทาบไวต้ า่ งผมหงอก
๑๔. หน้าทาสี เป็นหน้ากากของตัวตลกหญิง ท�ำเป็นหน้าผู้หญิง
มกั ทาสขี าวหรอื สเี น้อื
๔.๓ เครื่องดนตรีมโนราห์
เคร่ืองดนตรขี องโนรา สว่ นใหญเ่ ปน็ เครื่องตีใหจ้ งั หวะ ไดแ้ ก่
๑. ทับ (โทนหรือทับโนรา) เป็นคู่ เสียงต่างกันเล็กน้อย ใช้คนตี
เพยี งคนเดยี ว เปน็ เครอ่ื งตที ส่ี ำ� คญั ทสี่ ดุ เพราะทำ� หนา้ ทคี่ มุ จงั หวะ และเปน็ ตวั นำ�
ในการเปล่ียนจังหวะท�ำนอง (แต่จะต้องเปล่ียนตามผู้ร�ำ ไม่ใช่ผู้ร�ำเปลี่ยน
จังหวะลีลาตามดนตรี ผู้ท�ำหน้าที่ตีทับจึงต้องนั่งให้มองเห็นผู้ร�ำตลอดเวลา
และตอ้ งรเู้ ชิงของผรู้ �ำ)
๒. กลอง เป็นกลองทัดขนาดเล็ก (โตกว่ากลองของหนังตะลุง
เล็กน้อย) ๑ ใบ ทำ� หน้าที่เสริมเนน้ จงั หวะและล้อเสียงทับ
๓. ปี่ เป็นเคร่ืองเป่าเพียงช้ินเดียวของวง นิยมใช้ปี่ใน หรือ
บางคณะอาจใช้ปี่นอก ใช้เพียง ๑ เลา ปี่มีวิธีเป่าท่ีคล้ายคลึงกับขลุ่ย ปี่มี ๗ รู
แตส่ ามารถกำ� เนดิ เสยี งได้ถึง ๒๑ เสยี งซง่ึ คล้ายคลงึ กบั เสียงพดู มากทสี่ ุด

รากแก้วต้นกลา้ 81
ภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ

๔. โหมง่ คอื ฆอ้ งคเู่ สยี งตา่ งกนั ทเี่ สยี งแหลม เรยี กวา่ “เสยี งโหมง้ ”
ท่ีเสียงทุ้มเรียกว่า “เสียงหมุ่ง” หรือบางคร้ังอาจจะเรียกว่าลูกเอกและลูกทุ้ม
ซึง่ มเี สียงแตกตา่ งกนั เปน็ ค่แู ปดแตด่ ้ังเดิมแล้วจะใชค้ ูห่ ้า
๕. ฉ่ิง หล่อด้วยโลหะหนารูปฝาชีมีรูตรงกลางส�ำหรับร้อยเชือก
สำ� รับหนึ่งมี ๒ อัน เรยี กวา่ ๑ คู่ เปน็ เคร่ืองตีเสริมแตง่ และเนน้ จงั หวะ ซึ่งการตี
จะแตกต่างกับการตฉี ิง่ ในการก�ำกบั จังหวะของดนตรีไทย
๖. แตระ หรือ แกระ คือ กรับ มีทั้งกรับอันเดียวที่ใช้ตีกระทบ
กับรางโหม่ง หรือกรับคู่ และมีที่ร้อยเป็นพวงอย่างกรับพวง หรือใช้เรียวไม้
หรอื ลวด เหลก็ หลาย ๆ อันมดั เขา้ ด้วยกนั ตีใหป้ ลายกระทบกนั

82 รากแก้วตน้ กลา้

ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่

๔.๔ ท่าร�ำมโนราห์
ท่าร�ำของโนราไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าทุกคนหรือทุกคณะจะต้อง
ร�ำเหมือนกัน เพราะการร�ำโนรา คนร�ำจะบังคับเครื่องดนตรี หมายถึง คนร�ำ
จะร�ำไปอย่างไรก็ได้แล้วแต่ลีลา หรือความถนัดของแต่ละคน เคร่ืองดนตรี
จะบรรเลงตามท่าร�ำ เม่ือผู้ร�ำจะเปล่ียนท่าร�ำจากท่าหน่ึงไปยังอีกท่าหนึ่ง
เครื่องดนตรีจะต้องสามารถเปลี่ยนเพลงได้ตามคนร�ำ ความจริงแล้วท่าร�ำที่มีมา
แต่ก�ำเนิดนั้น มีแบบแผนแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าร�ำในบทครูสอน
สอนร�ำ และบทประถม ท่าร�ำเมื่อได้รับการถ่ายทอดมาเป็นช่วง ๆ ท�ำให้ท่าร�ำ
ที่เป็นแบบแผนด้ังเดิมเปล่ียนแปลงไป เพราะหากจะประมวลท่าร�ำต่าง ๆ
ของโนราแล้ว จะเห็นว่าเป็นการร�ำตีท่าตามบทที่ร้องแต่ละบท การตีท่าร�ำตาม
บทร้องน้ีเองท่ีเป็นประเด็นหนึ่งท่ีท�ำให้ท่าร�ำเปล่ียนแปลงและแตกต่างกัน
ออกไป เพราะท่าร�ำท่ีตีออกมานั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ร�ำว่าบทอย่างนี้
จะตีท่าอย่างไร ท่าร�ำท่ีค่อนข้างจะแน่นอนว่าเป็นแบบแผนมาแต่เดิมอันเป็น
ทีย่ อมรับของผรู้ �ำโนราจะตอ้ งมีพ้ืนฐานเบือ้ งตน้ ดงั นี้
การทรงตวั ของผรู้ ำ� ผทู้ จี่ ะรำ� โนราไดส้ วยงามและมสี ว่ นถกู ตอ้ งอยมู่ ากนน้ั
จะตอ้ งมีพ้ืนฐานการทรงตวั ดังน้ี
 ช่วงล�ำตัว จะต้องแอ่นอกอยู่เสมอ หลังจะต้องแอ่นและล�ำตัว
ย่ืนไปข้างหน้า ไม่ว่าจะร�ำท่าไหน หลังจะต้องมีพื้นฐานการวางตัว
แบบนเี้ สมอ
 ช่วงวงหน้า หมายถึง ส่วนล�ำคอจนถึงศีรษะ จะต้องเชิดหน้าหรือ
แหงนข้นึ เลก็ นอ้ ยในขณะรำ�
 การย่อตัว เป็นส่ิงส�ำคัญอย่างยิ่ง การร�ำโนราน้ันล�ำตัวหรือทุกส่วน
จะตอ้ งยอ่ ลงเลก็ นอ้ ย นอกจากยอ่ ลำ� ตวั แลว้ เข่ากจ็ ะตอ้ งย่อลงด้วย
 ส่วนก้น จะตอ้ งงอนเล็กนอ้ ย ชว่ งสะเอวจะตอ้ งหัก จงึ จะท�ำให้แลดู
แลว้ สวยงาม

รากแกว้ ตน้ กล้า 83
ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ิน

การเคลอ่ื นไหว นบั วา่ เปน็ สง่ิ จำ� เปน็ อกี อยา่ ง เพราะการรำ� โนราจะดไี ดน้ น้ั
ในขณะทเ่ี คล่อื นไหวลำ� ตัว หรอื จะเคลื่อนไหวสว่ นใดสว่ นหนึ่งก็ดี เชน่ การเดินรำ�
ถ้าหากสว่ นเทา้ เคลอ่ื นไหว ชว่ งลำ� ตัวจะต้องนง่ิ สว่ นบนมือและวงหนา้ จะไปตาม
ลลี าทา่ รำ�
ท่าร�ำของโนราท่ีเป็นท่าแบบ หรือท่าหลัก สืบได้ไม่ลงรอยกัน เพราะ
ต่างครูต่างต�ำรากัน และเน่ืองจากสมัยก่อนผู้ประดิษฐ์ท่าเพิ่มเติมอยู่เร่ือย ๆ
ท่าร�ำของโนราที่ต่างสายตระกูลและต่างสมัยกันจึงผิดแปลกแตกต่างกัน
แม้บางท่าท่ีช่ืออย่างเดียวกัน บางครูบางต�ำราก็ก�ำหนดท่าร�ำต่างกันไป
ท่าร�ำท่ีสมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงรวบรวมได้จากค�ำชี้แจงของ
นายจง ภักดี (ขาว) ผู้เคยเล่นละครชาตรีอยู่ที่เมืองตรังในบทพระนิพนธ์
ตำ� นานละครอิเหนา ว่ามี ๑๒ ท่าดงั น้ี

๑. ทา่ เทพพนม ๒. ทา่ พรหมสี่หน้า ๓. ทา่ เขาควาย (แมล่ าย)

๔. ท่าพระจนั ทร์ทรงกลด ๕. ท่าพระนารายณแ์ ปลงศร ๖. ท่าผาลา (ผาหลา)

84 รากแกว้ ตน้ กลา้

ภูมปิ ัญญาท้องถิ่น

๗. ท่าขหี้ นอนเก่ยี วกา้ น ๘. ทา่ สอดสรอ้ ยมาลา ๙. ทา่ จีบพก

๑๐. ทา่ บวั คว่ำ� บัวหงาย ๑๑. ทา่ ชกู า้ นมาลา ๑๒. ท่าพิสมัยเรยี งหมอน

๕. การถา่ ยทอดศลิ ปะการแสดงมโนราห์

นฤมลไดถ้ า่ ยทอดศลิ ปะการแสดงมโนราห์ โดยเปน็ ครฝู กึ สอนใหก้ บั นอ้ ง ๆ
ทีม่ ีความสนใจในการร�ำมโนราหใ์ ห้กับคณะมโนราหข์ องคณุ ป้าเสง่ียม ตึงโหล ซ่งึ
ได้สอนมาหลายรุ่นแล้ว นอกจากนี้ยังได้ถ่ายทอดและฝึกซ้อมการแสดงมโนราห์
ใหก้ บั เพือ่ น ๆ นกั ศึกษาของชมรมศลิ ปะและวฒั นธรรม รวมทัง้ ไดค้ ดิ สร้างสรรค์
ทา่ รำ� ใหม่ ๆ เพอื่ ปรบั ประยกุ ตท์ า่ รำ� ใหน้ า่ ชมนา่ สนใจมากยงิ่ ขน้ึ และสรา้ งสรรคใ์ ห้
เขา้ กับยคุ ปจั จบุ นั

รากแกว้ ต้นกลา้ 85
ภูมิปัญญาทอ้ งถ่นิ

ตน้ กล้าภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่

สาขาศลิ ปกรรม

ด้านหตั ถกรรม
งานชา่ งฝีมอื เครอื่ งจกั สานและการทอผา้

นายสมพงษ์ ผิวละมลุ

ชื่อ - นามสกุล นายสมพงษ์ ผวิ ละมุล
วนั เดือน ปเี กดิ ๒๔ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๓๕
อาย ุ ๒๑ ปี
การศึกษา กำ� ลังศึกษาชั้นปที ี่ ๔ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
คณะครศุ าสตร ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบงึ
ทอี่ ยู่ บา้ นเลขที่ ๑๐๒/๑ หมู่ ๔ บ้านกกตาล ต�ำบลกกตาล
อ�ำเภอกฉุ นิ ารายณ์ จังหวดั กาฬสนิ ธุ์ ๔๖๑๑๐
โทรศัพท ์ ๐๘-๐๐๐๗-๗๑๖๗

86 รากแกว้ ต้นกล้า

ภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่นิ

๑. แรงบันดาลใจและจุดเริ่มต้นในการสืบทอดภูมิปัญญา
การจกั สานและการทอผา้

เม่ือคร้ังสมพงษ์เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๑ ได้เห็นผู้สูงวัยสานกระติบ
ข้าวและรู้สึกชอบมาก คิดอยากจะท�ำให้ได้ จึงไปตัดไม้มาท�ำตอก และเริ่มสาน
โดยการสังเกตลายจากตัวอย่าง แต่ถึงแม้จะสานจนเป็นลายที่ถูกต้องแต่ก็ยัง
ผิดกระบวนการสานที่แท้จริง จากน้ันได้รับค�ำแนะน�ำด้านเทคนิคการสานจาก
คุณยาย ก็ลองผิดลองถูกไปเร่ือย ๆ จนเกิดความช�ำนาญในการดูลาย แต่ก็
ยังสานไม่ส�ำเร็จจึงไปขอค�ำแนะน�ำจากภูมิปัญญาจักสานท่านหน่ึง ท่านได้สาธิต
เพียงท�ำเร่ิมต้นให้ดูก็สามารถเข้าใจได้โดยง่ายจนได้รับค�ำชมว่าเรียนรู้ได้เร็ว
แลว้ กลบั มาทำ� เองทบ่ี า้ นจนเปน็ กระตบิ ขา้ วอยา่ งสมบรู ณ์ กระทง่ั เกดิ ความชำ� นาญ
สามารถท�ำได้วันละ ๑ ลกู กแ็ จกใหป้ ู่ย่าไปใช้ พอเพอ่ื นบา้ นเหน็ กอ็ ยากจะได้บ้าง
กเ็ ลยทำ� ขาย จากนน้ั กพ็ ยายามสานอยา่ งอน่ื บา้ ง เชน่ พดั ลายขดิ มวยสำ� หรบั นง่ึ ขา้ ว
เหนยี ว สานกระหยงั ชะลอม และออกแบบลวดลายขดิ ไปเรอ่ื ย ๆ ในขณะนน้ั เอง
คณุ ยายกน็ งั่ ทอผา้ อยู่ใกล้ ๆ เวลาท่คี ณุ ยายหยุดพัก สมพงษก์ ็จะไปนงั่ ทอผา้ แทน
คุณยาย แต่มักจะถูกคุณยายห้ามอยู่เสมอ จึงท�ำเฉพาะงานจักสาน และ
จะท�ำเองทุกข้ันตอนตั้งแต่เลือกไม้ท�ำเส้นตอก สมพงษ์จะใช้เวลาในช่วง
หลงั เลกิ เรยี น วนั หยดุ เสาร-์ อาทติ ย์ และหยดุ ภาคเรยี น สรา้ งสรรคผ์ ลงานจกั สาน
ขายเพ่ือหารายไดช้ ่วยครอบครัวอยเู่ ปน็ ประจำ� ท�ำงานประดษิ ฐ์ประเภทใบตอง
จนกระท่ังสมพงษ์เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ ได้เรียนวิชาภูมิปัญญา
ทอ้ งถ่นิ อาจารยม์ อบหมายใหท้ �ำโครงงานเกีย่ วกบั ภูมิปัญญาในทอ้ งถิน่ เป็นกลุม่
สมพงษ์และเพื่อน ๆ ได้ตัดสินใจไปเรียนรู้และศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ี
บ้านเหล่าใหญ่ ซึ่งเป็นหมู่บา้ นของเพอ่ื น และทน่ี นั่ สมพงษไ์ ดเ้ รียนร้กู ระบวนการ
ท�ำงานจักสานและงานทอผ้าแพรวา ผ้าลายขิด ท�ำให้สมพงษ์รู้สึกประทับใจ
ชนื่ ชอบงานจกั สานและงานทอผา้ เพมิ่ มากขนึ้ จงึ ใหค้ ณุ ปา้ (ภมู ปิ ญั ญาการทอผา้ )
สาธิตการทอผ้าให้ดู สมพงษ์มักเป็นคนช่างสังเกตและจดจ�ำวิธีการ ท�ำให้คิดว่า
การทอผ้าน้ันง่ายมากและตนเองสามารถท�ำได้ จึงเป็นแรงบันดาลใจท�ำให้
เกดิ ความสนใจการทอผา้

รากแกว้ ตน้ กล้า 87
ภมู ิปัญญาท้องถิน่

เม่ือกลับมาบ้าน สมพงษ์ได้เก็บรวบรวมอุปกรณ์การทอผ้าทั้งหมด
ทคี่ ณุ ยายเลกิ ทอแลว้ นำ� มาซอ่ ม พรอ้ มกบั แอบไปซอ้ื ฝา้ ยมาเพอ่ื ทอผา้ พอคณุ ยาย
เห็นก็ดุแต่ก็ไม่ล้มเลิกความพยายามและความตั้งใจ จึงถามข้ันตอนคุณยายว่า
เราตอ้ งทำ� อยา่ งไรกอ่ น คณุ ยายกอ็ ธบิ ายขน้ั ตอนกระบวนการทอผา้ ใหฟ้ งั จากนน้ั
สมพงษ์ก็ลงมือท�ำจนคุณยายทึ่งในความสามารถ เพียงอธิบายแค่ครั้งเดียว
ก็สามารถท�ำได้ เม่ือเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมก็เร่ิมลงมือทอผ้า ผ้าผืนแรก
ท่ีทอคือ ผ้าสไบลายขิด เริ่มลงมือเก็บลาย ในช่วงแรก ๆ ก็มีผิดบ้าง แต่ด้วย
ความท่ีชอบท�ำ ย่ิงท�ำก็ย่ิงสนุก จนบางคร้ังลืมทานข้าวกลางวันเพราะมัวแต่
ทอผ้าอย่างเพลิดเพลินสนุกสนาน ในขณะเดียวกันก็จะสานกระติบข้าวไปด้วย
บางคร้ังคนในหมู่บ้านก็ดูถูกว่า จะท�ำได้หรือ แต่สมพงษ์ก็ไม่สนใจ กลับท�ำให้
เป็นพลังท�ำส่ิงท่ีชื่นชอบให้ส�ำเร็จ และก็ท�ำไปเร่ือย ๆ จนเกิดความช�ำนาญ
ในการทอผ้า เมื่อทอผ้าเสร็จก็น�ำไปขายเพื่อน�ำเงินมาเป็นทุนในการทอผ้า
คร้ังตอ่ ไป
เม่ือเร่ิมมีความช�ำนาญในการทอผ้ามากข้ึน ก็เปล่ียนจากการทอสไบ
ลายขิดมาเป็นผ้าแพรวาซ่ึงยากกว่าผ้าลายขิด และเปลี่ยนเป็นผ้าอย่างอ่ืน
ไปเร่ือย ๆ เช่น ผ้าซิ่นมัดหมี่ ตีนซิ่น หัวซิ่น ซิ่นทิว ผ้าพ้ืนส�ำหรับตัดเสื้อภูไท
ผ้าแพรฟ้อย ผ้าแซว (แม่ลายผ้าแพรวา) แถบเส้ือ จนได้รับการสนับสนุนจาก
คุณแม่และคุณยาย ซึ่งเม่ือก่อนมักจะห้ามไม่ให้ท�ำ และได้เรียนรู้จากต้นแบบทั้ง
ผ้าและเสื้อส�ำเร็จรูป ฝึกท�ำจนช�ำนาญ ท�ำมาเรื่อย ๆ ในช่วงปิดภาคเรียนบ้าง
เสาร์-อาทิตย์บ้าง ทีแรกก็ท�ำให้คนในครอบครัวท้ังพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา และ
ยาย เมอื่ เพอื่ นบา้ นเหน็ กอ็ ยากไดบ้ า้ ง จงึ ทำ� ขายจนเปน็ รายไดเ้ สรมิ ของครอบครวั
และเป็นทุนการศึกษา

88 รากแกว้ ต้นกลา้

ภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ

๒. ความภาคภมู ิใจ

สมพงษม์ คี วามภาคภมู ใิ จทไ่ี ดส้ บื สานภมู ปิ ญั ญาการจกั สานและการทอผา้
โดยเฉพาะการสานกระติบข้าวและการทอผ้าแพรวา ซึ่งเป็นมรดกภูมิปัญญา
ทางวัฒนธรรมของปู่ ย่า ตา ยาย ที่สร้างสรรค์ศิลปะอย่างสวยงาม มีคุณค่า
และถ่ายทอดมายังลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากนี้สมพงษ์ยังได้ใช้เวลาว่าง
ให้เกิดประโยชน์ในการต่อยอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ได้อาชีพเสริมที่สร้าง
รายได้ และยงั ไดอ้ นรุ กั ษ์ สบื สานสง่ิ ดี ๆ ใหค้ งอยคู่ กู่ บั วถิ ชี วี ติ ของคนไทยภาคอสี าน
ตอ่ ไป
หากมีท่านใดสนใจท่ีจะศึกษาและเรียนรู้ภูมิปัญญาการจักสานและ
การทอผ้า สมพงษ์มีความยินดีเป็นอย่างย่ิงที่จะถ่ายทอดความรู้ให้ หรือหาก
สนใจผลิตภัณฑ์เครื่องจกั สานและผ้าทอสามารถตดิ ตอ่ สมพงษไ์ ด้

๓. ตวั อยา่ งผลงานทโ่ี ดดเดน่

สว่ นหนึง่ ของผลงานจักสาน

กระหยัง กระเตาะลายขิด
หรือกระเป๋าถือ
ก่องข้าวขวัญภูไท
แบบโบราณ

รากแก้วตน้ กล้า 89
ภูมิปญั ญาท้องถิน่

สว่ นหนง่ึ ของผลงานผา้ ทอแพรวาและอน่ื ๆ

ผา้ แส่ว (แมล่ ายผา้ แพรวา) ผ้าแพรวา

ยา่ มขดิ ผ้าแพรฟอ้ ย (ผ้ามดั มวยผม)

ตนี ซน่ิ ขดิ หวั ซ่ิน

90 รากแก้วต้นกล้า

ภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน

หมอนขดิ ผา้ ตุ้มขดิ โบราณ

๔. องคค์ วามรู้ภมู ปิ ัญญาการจักสานและการทอผ้าแพรวา

วิธีการและข้ันตอนการสานกระตบิ ขา้ ว
๑. การเลอื กไมไ้ ผใ่ นการสานกระตบิ ข้าว
การเลือกไม้ไผ่น�ำมาสานกระติบข้าวน้ันขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ไผ่
มีวิธีการเลือก คือ ไม้ไผ่ต้องมีอายุประมาณ ๑ ปีขึ้นไป มีลักษณะปล้องยาว
เรียบ ตรง ไม่คดงอ มขี นาดใหญ่ และต้องสวยงาม ไมเ่ หีย่ วแห้ง
๒. การจักตอกและเหลาตอก
วสั ดอุ ปุ กรณ์ ได้แก่ ๑) มดี ๒) ไม้ไผ่ และ ๓) ผ้ารองนิ้วมอื
วิธกี ารจักตอก
๑) หลังจากเลอื กไม้ไผ่แลว้ น�ำมาตัดหวั -ท้าย ตามความตอ้ งการ
๒) น�ำไม้ไผ่มาผ่าคร่ึง แล้วผ่าเป็นซีก ๆ ซีกละประมาณ
๑ เซนติเมตร
๓) เหลาเปลือกเขียว และเหลาข้างในที่ไม่ต้องการออก ไม้ไผ่
จะหนาประมาณ ๓ มลิ ลิเมตร
๔) จักตอกเป็นเสน้ บางๆ
๕) เหลาให้สวยงามและเรียบรอ้ ย ให้ได้จำ� นวนตามท่ีตอ้ งการ

รากแกว้ ตน้ กลา้ 91
ภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ

๓. วิธีการสานกระตบิ ข้าว
วัสดอุ ุปกรณ์ ได้แก่ ๑) ตอกไมไ้ ผ่ ๑๔๔ เสน้ ๒) ภาชนะใสน่ ำ�้ และ
นำ้� สำ� หรบั พรมตอกให้นมิ่
ขน้ั ตอน
๑) การเร่ิมสาน ให้พับครึง่ ตอกเป็นทีส่ งั เกตได้ จำ� นวน ๑๒ เสน้
๒) วางตอกในแนวตง้ั ชดิ กนั จำ� นวน ๖ เสน้ การนบั เสน้ ตอกใหน้ บั
จากเส้นทางซา้ ยไปทางขวามอื
๓) เร่ิมสานโดยใชต้ อก ๖ เส้นที่เหลอื เป็นสายสอง ดังนี้
๓.๑) ตอกเสน้ ที่ ๗ ให้ยกเส้นที่ ๓, ๔ ขม่ เสน้ ๑, ๒, ๕, ๖
๓.๒) ตอกเส้นที่ ๘ ใหย้ กเส้นที่ ๒, ๓, ๖ ข่มเสน้ ๑, ๔, ๕
๓.๓) ตอกเส้นท่ี ๙ ให้ยกเส้นที่ ๑, ๒, ๕, ๖ ขม่ เส้น ๓, ๔
๓.๔) ตอกเส้นท่ี ๑๐ ใหย้ กเส้นท่ี ๑, ๔, ๕ ขม่ เสน้ ๒, ๓, ๖
๓.๕) ตอกเส้นที่ ๑๑ ใหย้ กเส้นท่ี ๓, ๔ ขม่ เส้น ๑, ๒, ๕, ๖
๓.๖) ตอกเส้นท่ี ๑๒ ให้ยกเสน้ ที่ ๒, ๓, ๖ ขม่ เส้น ๑, ๔, ๕
๔) เม่ือครบท้ัง ๖ เส้นแล้วให้หมุนตอกจากซ้ายไปขวาหรือ
ตามเขม็ นาฬกิ าจะไดล้ กั ษณะคลา้ ยเครอื่ งหมาย x สานจนครบ
ตามจ�ำนวนตอกที่ก�ำหนดไว้ จากน้ันม้วนแผ่นท่ีสานแล้ว
เข้าเปน็ วง สานใหเ้ ชือ่ มกัน

การกอ่ กระตบิ ขา้ วและม้วนแผน่

๕) จากน้นั สานลายสองตงั้ ใหไ้ ด้ความสูงพอประมาณ

92 รากแกว้ ตน้ กล้า

ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิน่

๖) แลว้ สานลายสองนอนและพบั มว้ นปากเพอื่ เกบ็ ปลายเสน้ ตอก

พบั ม้วนปากเพือ่ เก็บปลายเสน้ ตอก

๗) จากนน้ั ดงึ กระตบิ ขา้ วเขา้ ไปขา้ งในใหไ้ ดค้ รง่ึ หนงึ่ แลว้ พบั ปากไว้
๘) สานใหค้ รบท้งั ตวั และฝากระติบข้าว
๙) สานส่วนแผ่นฝากระติบข้าวโดยสานลายเฉลียวฮ่อแล้ววัด
ตามกระตบิ ขา้ วทส่ี านไวแ้ ละสานใหเ้ ปน็ สองชน้ั โดยชน้ั ในเปน็
ลายขดั และตดั ให้เปน็ วงกลม

ตวั กระติบข้าว ฝากระตบิ ขา้ ว แผน่ รองฝากระตบิ ขา้ ว

๑๐) ท�ำการเย็บโดยใช้หวายเหลาเป็นเส้นๆ และเย็บใหแ้ นน่
๑๑) จากน้ันเช่ือมตัวกระติบข้าวและตีนเข้าด้วยกันเป็นอันเสร็จ
(เพ่ือความทนทานและป้องกนั มอดควรรมควนั แกลบ)

กระติบข้าวท่ีเยบ็ เสร็จแลว้ 93

รากแกว้ ต้นกลา้
ภูมิปญั ญาท้องถ่นิ

วธิ กี ารและข้นั ตอนการทอผา้ แพรวา
๑. วัสดอุ ุปกรณ์
๑) ก่ีทอผ้ามีเสาสต่ี ้นทำ� ด้วยไมเ้ น้ือแข็ง
๒) ไม้เก็บขิด เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้ในการเก็บลวดลายมีความกว้าง
ประมาณสองนิว้
๓) ไมข้ ดิ เปน็ ไมไ้ ผเ่ หลามเี สน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 0.5 เซนตเิ มตร
ใช้ส�ำหรบั ตีลาย
๔) กระบอกและอัก เป็นอุปกรณ์ใช้สำ� หรบั การกรอดา้ ยหรอื ฝา้ ย
เพื่อที่จะน�ำไปทำ� เครอื หูก
๕) หางเหน็ เปน็ อปุ กรณท์ ใ่ี ชร้ ว่ มกบั อกั และกระบอกเวลากรอดา้ ย
เพอ่ื เป็นแกนหมนุ
๖) กง เป็นอุปกรณ์แยกฝ้ายจากใจฝ้ายมาใส่กระบอกและ
หลอดฝา้ ยทใี่ ช้กบั กระสวยส�ำหรับทอผ้า
๗) ฟืม เป็นอุปกรณ์ส�ำคัญของหูก เรียกว่า ดาง ขอบของฟืม
หรือตัวฟืมท�ำด้วยไม้เนื้อแข็ง ส่วนฟันฟืมท�ำด้วยไม้ไผ่ให้เป็น
ระยะห่างเท่ากันเหมือนตะแกรงลวด ฟืมมีหลายขนาด ฟืม
มีหลายชนิด เรียกตามจ�ำนวนหลบโดยคิดตามจ�ำนวนของ
เส้นด้ายท่ีสอดใส่เข้าไปในฟันของฟืมเป็นเกณฑ์ คือ ๔ เส้น
เปน็ ๑ ควบ ๑๐ ควบเปน็ ๑ หลบ
ชนดิ ของฟืมมดี ังนี้
ฟมื ๔-๖ หลบ เปน็ ฟมื ทส่ี นั้ ทส่ี ดุ ใชท้ อผา้ แคบๆ เชน่ ตนี ซนิ่
ฟมื ๘ หลบ เป็นฟืมขนาดยาวขึ้น ใช้ทอผ้าหน้ากว้าง
เช่น หวั ซิ่น ผ้าสไบ
ฟืม ๙-๑๐ ใช้สำ� หรับทอผ้าหม่ เชน่ ผ้านวม หมอน
ฟืม ๑๒-๑๕ ใชท้ อแถบเส้อื ผา้ ขาวมา้ ผ้าแพรฟ้อย
ฟมื ๒๐-๒๑ ใชท้ อผา้ ตดั เสอ้ื ตดั กางเกง ผา้ สเ่ี ขา (ตะกอ)
ฟมื ๒๕-๓๐ ใชส้ ำ� หรับทอผ้าซ่ิน โสร่ง ผ้าไหม

94 รากแกว้ ต้นกลา้

ภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ

๘) กระสวย เป็นอุปกรณ์ใส่หลอดฝ้ายใชใ้ นการทอผ้า
๙) หลา เป็นอุปกรณ์ในการเข็นฝ้ายให้เป็นเส้นใยหรืออุปกรณ์
ในการปน่ั ฝ้ายใส่หลอด
๑๐) ไมห้ าบ คอื ไมท้ ่ีใชส้ ำ� หรับผกู เขาหูกไว้ ไม้หาบจะยึดกบั เชือก
บนกีท่ �ำใหฟ้ มื และเขาหูกย้อยลงมา
๑๑) ไม้เหยียบ คือ ไม้ท่ีสอดเข้ากับเชือกสายเขาหูกท่ีต่อลงไป
ข้างลา่ งส�ำหรบั เท้าเหยียบ
๑๒) ไมเ้ พลา เป็นอปุ กรณใ์ ช้สำ� หรบั ยกเสน้ ด้ายเพอ่ื ทำ� ลวดลายผ้า
๑๓) เหาลาย (ตะกอแนวด่งิ ) ใช้ส�ำหรบั เก็บลายและยกลาย
๑๔) เปยี ฝ้าย เปน็ อปุ กรณ์ส�ำหรบั เปียฝา้ ยออกจากการเข็น
๑๕) กระดานและไม้ล้อฝ้าย เป็นอุปกรณ์ส�ำหรับท�ำให้ฝ้ายเป็น
เสน้ ยาวประมาณนิว้ ชี้
๑๖) กระเพยี ด เปน็ อปุ กรณส์ ำ� หรบั ดดี ฝา้ ยเพอื่ ใหฝ้ า้ ยแตกละเอยี ด
เป็นปุย
๑๗) อ้ิวฝา้ ย เป็นอุปกรณส์ ำ� หรับแยกเมล็ดออกจากปุยฝ้าย

ไมเ้ ก็บขดิ ไม้ขิด

กระบอกและอัก หางเห็น

รากแกว้ ต้นกลา้ 95
ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่น

กง หลอดด้าย
ฟมื ไมเ้ พลา

หลา กระสวย

เหาลายหรอื ตะกอแนวดง่ิ เปียฝา้ ย

96 รากแกว้ ตน้ กล้า

ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ

กระดานและไม้ล้อฝา้ ย กระเพยี ด

อว้ิ ฝา้ ย

๒. วธิ กี ารทอผ้าแพรวา
๒.๑ การเตรยี มเสน้ ฝา้ ย
นำ� ปยุ ฝ้ายทีไ่ ด้มาผ่งึ แดดประมาณ ๔-๕ วนั แล้วน�ำมาอ้วิ (การน�ำ
ปยุ ฝา้ ยมาผา่ นขัน้ ตอนการแยกเมลด็ และปุยฝ้ายออกจากกัน) จากนั้นน�ำปุยฝ้าย
ทผี่ ่านการแยกมาดดี (การท�ำให้ปุยฝา้ ยแตกตัวละเอยี ดฟขู ึ้นดว้ ยแรงสน่ั สะเทือน
ของ “สายดีด”) และน�ำปุยฝ้ายท่ีดีดเป็นปุยละเอียดอ่อนดีแล้ว น�ำมา “ล้อ”
ด้วยไม้ล้อให้เป็นก้อนกลม ๆ ยาว ๆ น�ำไปเข็นด้วยหลาให้เป็นเส้นใยน�ำฝ้าย
ที่เข็นได้เปียใส่เปียฝ้ายเพื่อท�ำเป็นปอย แล้วน�ำไปแช่น้�ำให้เปียกหมาด และ
น�ำไปย้อม จากนั้นฆ่าฝ้ายด้วยน้�ำแช่ข้าวเหนียวเพื่อให้ฝ้ายมีความเหนียว
ไมข่ าดงา่ ยและนำ� ไปผง่ึ ใหแ้ หง้

รากแก้วตน้ กลา้ 97
ภูมิปญั ญาทอ้ งถนิ่

๒.๒ การทำ� เส้นยืน
๑) น�ำปอยฝ้ายใส่กงแล้วกวักฝ้ายใส่กระบอกจ�ำนวน
สองกระบอกเพื่อท�ำเส้นยืน
๒) ป่นั ฝ้ายใสห่ ลอดเพอื่ ท�ำเส้นลว้ งและเกาะลาย
๓) น�ำฝ้ายทีไ่ ดไ้ ปค้นใส่หลกั เฝือ และนับตามจ�ำนวนหลบ
ของฟืม
๔) เมื่อค้นเสร็จน�ำฝ้ายท่ีได้มาสืบ (ต่อเส้นฝ้าย) จนครบ
ทกุ เสน้
๕) นำ� ไปกางบนก่ใี ส่ไมเ้ หยียบไม้หาบให้เรียบรอ้ ย
๒.๓ การทอและเกบ็ ลาย
๖) เกบ็ ลายโดยใชไ้ ม้เกบ็ ขิด เมือ่ เก็บได้แต่ละไมก้ ใ็ ส่ไม้ขดิ
ไว้บนเส้นยืน
๗) ตีไมข้ ิดใสเ่ หายาว (ตะกอแนวดิ่ง)
๘) เริ่มทอโดยทอลายเชิงก่อนซ่ึงเป็นลายแรกเร่ิมของ
การทอผา้ แพรวา
๙) ตีลายแล้วยกเหาแล้วใช้ไม้เพลาสอดและยกข้ึน
๑๐) แล้วมัดฝ้ายสีต่าง ๆ ตามลายและสีท่ีชอบจากน้ัน
ท�ำการเกาะลาย (ปักลาย)
๑๑) เอาไม้เพลาลงแล้วทอเส้นล้วงสีแดง ๑ ครั้ง และ
ท�ำการเกาะลายอีกคร้ังหนึ่ง (ไม้ขิด ๑ ไม้เกาะลาย
๒ ครัง้ )
๑๒) จากน้ันตีลายไม้ขิดไม้ต่อไปท�ำอย่างน้ีไปเร่ือย ๆ
จนเตม็ ลายและทอลายขน้ึ ตามโครงสร้างผา้ แพรวา

98 รากแกว้ ตน้ กลา้

ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่ิน

๕. การถา่ ยทอดองคค์ วามรู้

สมพงษ์ได้รับเชิญเป็นวิทยากร เรื่องเทคนิคการเก็บลายผ้าแพรวาให้กับ
ชาวบ้านชาด ต�ำบลนาโก อ�ำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จึงมีโอกาสน�ำ
องค์ความรู้ท่ีได้รับมาถ่ายทอดต่อให้กับผู้ท่ีสนใจ และหากมีท่านใดสนใจ
ท่ีจะศึกษาและเรียนรู้ภูมิปัญญาการจักสานและการทอผ้า สมพงษ์ยินดี
ท่ีจะถ่ายทอดให้ หรือหากสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานและผ้าทอสามารถ
ตดิ ตอ่ ไดท้ ี่บา้ นเลขที่ ๒๕๘ หมู่ ๓ บ้านกุดคา้ ว ต�ำบลกดุ คา้ ว อ�ำเภอกุฉนิ ารายณ์
จงั หวัดกาฬสินธุ์

รากแกว้ ตน้ กลา้ 99
ภมู ปิ ญั ญาท้องถนิ่


Click to View FlipBook Version