The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง พันธะเคมี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mkpswu, 2020-12-21 02:51:56

เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง พันธะเคมี

เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง พันธะเคมี

C H EH A N D O U M I S T R Y
Chemical bond

ของ .................................................................................. ชน้ั ........................ เลขท่ี ..................

เอกสารประกอบการสอน วิชาเคมี 1 ว30221
ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2563
จัดท่าโดย ครมู าฆพันธ์ุ อ่านาคลิ

ตา่ แหน่ง ครูชา่ นาญการ โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

คำนำ

เอกสารประกอบการเรยี น เรอ่ื ง พนั ธะเคมี จดั ทาขน้ึ เพ่อื ใชป้ ระกอบการเรยี นรู้ วชิ าเคมี 1
ว30221 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 เพ่อื ใหน้ กั เรยี นสามารถคน้ พบความรู้
ดว้ ยตนเอง เกดิ ความเขา้ ใจอยา่ งถ่องแท้ เกดิ ทกั ษะและใชท้ กั ษะการเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ โดย
เน้นนกั เรยี นเป็นสาคญั มกี ารพฒั นาตนเองอยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ แสวงหาความรตู้ ่าง ๆ รวมทงั้ การเรยี นรู้
อยา่ งต่อเน่อื งตลอดชวี ติ

เน้อื หาของเอกสารประกอบการเรยี น เรอ่ื ง พนั ธะโคเวเลนต์ พนั ธะไอออนกิ และพนั ธะโลหะ
หวงั เป็นอยา่ งยง่ิ ว่า เอกสารประกอบการเรยี น เรอ่ื ง อะตอมและตารางธาตุ จะเป็นประโยชน์ใน
การพฒั นาการเรยี นการสอนสาหรบั ครู และการพฒั นาทางการเรยี นสาหรบั นกั เรยี น และเป็นแนวทางใน
การพฒั นางานแก่ผสู้ นใจไดเ้ ป็นอยา่ งดี

มาฆพนั ธุ์ อ่านาคลิ

สำรบญั

พนั ธะโคเวเลนต์ หน้า
พนั ธะไอออนิก
พนั ธะโลหะ 1
บรรณานุกรม 39
58
68

::: 1 :::

พนั ธะเคมี

ธาตุต่างๆทอ่ี ยใู่ นธรรมชาตสิ ามารถรวมตวั กนั กลายเป็นสารประกอบไดม้ ากมายหลายชนิดทม่ี สี มบตั ิ
แตกต่างกนั ออกไปโดยสาเหตุทท่ี าใหธ้ าตุต่างๆเหลา่ น้รี วมตวั กนั เป็นสารประกอบไดก้ เ็ น่อื งจากธาตุนนั้ ๆ
มแี รงยดึ เหน่ียวซง่ึ กนั และกนั ทเ่ี รยี กว่า พนั ธะเคมี

1. พนั ธะโคเวเลนต์ (Covalent bonding)

พนั ธะโคเวเลนต์ เป็นพนั ธะเคมชี นดิ หน่งึ ทเ่ี กดิ จากอะตอมของอโลหะมกี ารนาอเิ ลก็ ตรอนมาใชร้ ว่ มกนั
แลว้ เกดิ เป็นแรงดงึ ดดู ระหว่างอเิ ลก็ ตรอนกบั โปรตอนทอ่ี ยใู่ นนวิ เคลยี สของทงั้ สองอะตอม
ซง่ึ สารประกอบโคเวเลนตอ์ าจเกดิ จากอะตอมของอโลหะชนิดเดยี วกนั หรอื ต่างชนิดกนั กไ็ ด้
1.1 การเกิดพนั ธะโคเวเลนต์

การเกดิ พนั ธะโคเวเลนตส์ ามารถอธบิ ายไดโ้ ดยใชก้ ระบวนการของการเกดิ พนั ธะโคเวเลนตข์ อง
ไฮโดรเจนเป็นตน้ แบบ ดงั น้ี

1. อะตอมของธาตุไฮโดรเจนมอี เิ ลก็ ตรอนเคล่อื นทไ่ี ปรอบๆนิวเคลยี สซง่ึ มปี ระจไุ ฟฟ้า +1 อเิ ลก็ ตรอน
และนิวเคลยี สจะดงึ ดดู ซง่ึ กนั และกนั มลี กั ษณะเป็นกลุ่มหมอกรปู ทรงกลม

2. เมอ่ื อะตอมของไอโดรเจนเคลอ่ื นทเ่ี ขา้ ใกลก้ นั จะมแี รงเกย่ี วขอ้ งระหว่างอะตอมดงั น้ี
- แรงดงึ ดดู ระหวา่ งเวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนของอะตอมหน่งึ กบั นิวเคลยี สของอกี อะตอมหน่งึ
- แรงผลกั ระหว่างเวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนกบั เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนของทงั้ 2 อะตอม
- แรงผลกั ระหว่างนวิ เคลยี สกบั นิวเคลยี สของอะตอมทงั้ 2 อะตอม

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อ่านาคิล
โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

::: 2 :::

เมอ่ื ไฮโดรเจน 2 อะตอมกลายเป็นโมเลกุล (H2) จะเกดิ การเปลย่ี นแปลงพลงั งาน ดงั ภาพ

จากกราฟการเปลย่ี นแปลงพลงั งานของโมเลกุล H2 เป็นดงั น้ี

1. ไฮโดรเจน 2 อะตอมเมอ่ื อยไู่ กลกนั ยงั ไม่มแี รงดงึ ดดู เขา้ หากนั จะมพี ลงั งานศกั ยส์ งู จงึ ไมเ่ สถยี ร
2. เมอ่ื ไฮโดรเจน 2 อะตอมเขา้ ใกลก้ นั พลงั งานศกั ยจ์ ะลดลงเรอ่ื ย ๆ เพราะนิวเคลยี สของ ทงั้ 2 อะตอม

เกดิ แรงดงึ ดดู กบั อเิ ลก็ ตรอนของอกี อะตอมหน่งึ ได้
3. เมอ่ื นิวเคลยี สของไฮโดรเจน 2 อะตอมเขา้ มาอยใู่ กลก้ นั ในระยะทเ่ี หมาะสม คอื ระยะห่าง ระหว่างนิวเคลยี ส

ของไฮโดรเจนทงั้ 2 อะตอม ประมาณ 74 พโิ กเมตร (pm) ซง่ึ เป็นจดุ ทพ่ี ลงั งานศกั ยต์ ่าสุด เพราะมแี รงดงึ ดูด
ของระบบเท่ากบั แรงผลกั จงึ ทาใหร้ ะบบอยใู่ นภาวะสมดลุ ของพลงั งาน รวมทงั้ มกี ารใช้ อเิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั
เกดิ เป็นโมเลกุล เรยี กวา่ “การเกดิ พนั ธะโคเวเลนต์”
4. ถา้ ไฮโดรเจนทงั้ 2 อะตอมเคล่อื นทเ่ี ขา้ ใกลก้ นั มาก จะเกดิ แรงผลกั เพม่ิ ขน้ึ เพราะนิวเคลยี สของ ทงั้ 2 อะตอม
มปี ระจเุ ป็นบวกจงึ ผลกั กนั และอเิ ลก็ ตรอนทม่ี ปี ระจเุ ป็นลบกจ็ ะผลกั กนั มผี ลใหพ้ ลงั งานศกั ย์ สงู ขน้ึ อยา่ ง
รวดเรว็
ลองทาดู : เรื่อง การเกิดพนั ธะโคเวเลนต์

จงเคร่อื งหมาย  หรอื  หน้าสารทเ่ี หน็ ว่า “มหี รอื ไม่มรแรงยดึ เหน่ยี วกนั ดว้ ยพนั ธะ โคเวเลนต”์

ขอ้ สาร ขอ้ สาร ขอ้ สาร

1. ............ S8 4. ............ BaBr2 7. ............ KF

2. ............ CHCl3 5. ............ CCl4 8. ............ H2SO4

3. ............ CaF2 6. ............ I2 9. ............ BeCl2

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธ์ุ อ่านาคลิ
โรงเรียนชัยนาทพทิ ยาคม

::: 3 :::

1.2 ชนิดของพนั ธะโคเวเลนต์
พนั ธะโคเวเลนตเ์ กดิ จากแรงดงึ ดดู ระหว่างอะตอมของธาตุอโลหะกบั อโลหะ ซง่ึ อโลหะมพี ลงั งานไอออ

ไนเซชนั สงู จงึ เสยี อเิ ลก็ ตรอนไดย้ าก ดงั นนั้ การเกดิ พนั ธะโคเวเลนตจ์ งึ ไม่มอี ะตอมใดใหอ้ เิ ลก็ ตรอนแก่อกี
อะตอมหน่งึ แต่จะมกี ารใชเ้ วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั เพ่อื ใหแ้ ต่ละอะตอมมเี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนครบ 8 ตาม
กฎออกเตต

การทอ่ี ะตอมของธาตุต่างๆ พยายามทจ่ี ะทาใหเ้ วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน ครบ 8 ซง่ึ เป็นสภาพทเ่ี สถยี ร
ยกเวน้ ไอโดรเจนทม่ี เี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนแค่ 2 ซง่ึ นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดต้ งั้ เป็นกฎเรยี กว่า กฎออกเตต (Octet rule)

พนั ธะโคเวเลนตแ์ บง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ชนดิ

My note

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อ่านาคิล
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

::: 4 :::

พนั ธะโคเวเลนตเ์ กดิ ดงั้ พนั ธะเดย่ี ว พนั ธะคู่ พนั ธะสาม การเกดิ พนั ธะโคเวเลนตส์ ามารถเขยี นแสดงได้
ดว้ ย โครงสร้างลิวอิส (Lewis structure) ซง่ึ แสดงอเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะดว้ ยจดุ หรอื เสน้ และแสดง
อเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี วของแต่ละอะตอมดว้ ยจดุ

◉ สูตรโครงสร้างแบบจดุ (electron dot formula) หรอื สญั ลกั ษณ์แบบจุดของลวิ อสิ
จะใช้จุดหรอื กากบาทเพ่อื แสดงจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนของธาตุนัน้ ๆ ซ่งึ เม่อื อะตอม 2 อะตอมมาใช้
อเิ ล็กตรอนร่วมกนั จะนาจุดมาวางใกล้กนั บรเิ วณตรงกลางระหว่างอะตอมทงั้ สอง โดยเรยี กอเิ ล็กตรอนทใ่ี ช้
รว่ มกนั น้ีว่า อิเลก็ ตรอนค่รู ่วมพนั ธะ (bond pair electron) ส่วนอเิ ลก็ ตรอนทเ่ี หลอื ใหก้ ระจายเป็นคู่ ๆ
อยรู่ อบอะตอม ซง่ึ เรยี กอเิ ลก็ ตรอนทเ่ี หลอื น้วี า่ อิเลก็ ตรอนค่โู ดดเดี่ยว (lone pair electron)

◉ สตู รโครงสรา้ งแบบเส้น (line structure formula) จะใชเ้ สน้ แทนพนั ธะโคเวเลนตห์ รอื
อเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะ 1 คู่ (สว่ นอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี วทเ่ี หลอื อาจจะเขยี นหรอื ไมก่ ไ็ ด)้ สตู รแบบเสน้ จงึ เป็น
การกาหนดขน้ึ มาเพ่อื ใหเ้ ขยี นสตู รโครงสรา้ งไดง้ า่ ยขน้ึ โดยใชเ้ สน้ ตรง 1 เสน้ แทน อเิ ลก็ ตรอนทใ่ี ช้
รว่ มกนั 1 คู่ ใชเ้ สน้ ตรง 2 เสน้ แทน อเิ ลก็ ตรอนทใ่ี ชร้ ว่ มกนั 2 คู่ และใชเ้ สน้ ตรง 3 เสน้
แทน อเิ ลก็ ตรอนทใ่ี ชร้ ว่ มกนั 3 คู่

การเขียนสูตรของโครงสรา้ งของสารประกอบโคเวเลนต์

1. เลอื กอะตอมกลาง (ธาตุทม่ี คี า่ EN น้อยทส่ี ดุ ) 2. เลอื กรปู แบบอะตอมกลางทเ่ี หมาะสม

3. เลอื กรปู แบบของอะตอมทอ่ี ยรู่ อบขา้ ง 4. รวมอะตอมกลางกบั อะตอมทร่ี อบขา้ งไวด้ ว้ ยกนั

5. เปลย่ี นจากจุดเป็นเสน้ โดยอเิ ลก็ ตรอน 2 ตวั จะมคี ่าเท่ากบั เสน้ ทส่ี รา้ งพนั ธะกนั 1 เสน้

** ตอ้ งการอเิ ลก็ ตรอนเทา่ ไร จะเลอื กรปู แบบทแ่ี ชรอ์ เิ ลก็ ตรอนท่านนั้ **

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อ่านาคลิ
โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

::: 5 :::

พนั ธะโคออรด์ ิเนตโคเวเลนต์ (Co-ordinate covalent bond)
เป็นพนั ธะโคเวเลนตอ์ กี ประเภทหน่งึ ซง่ึ แตกต่างไปจากพนั ธะโคเวเลนตท์ ก่ี ล่าวมาแลว้ จากสตู ร

โครงสรา้ งของพนั ธะโคเวเลนตจ์ ะเหน็ ไดว้ า่ เป็นพนั ธะทเ่ี กดิ จากการใชอ้ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั ระหว่างอะตอมค่สู รา้ ง
พนั ธะ โดยทอ่ี เิ ลก็ ตรอนทใ่ี ชร้ ว่ มกนั น้ีจะไดจ้ ากอะตอมคสู่ รา้ งพนั ธะ อยา่ งละเท่า ๆกนั เชน่ ในโมเลกุล
ของ O2 แต่ละอะตอมของ O จะใหอ้ เิ ลก็ ตรอน 2 ตวั มาใชร้ ว่ มกนั เกดิ เป็นพนั ธะคู่

กรณี HCN อะตอมของ H และ C จะใหอ้ เิ ลก็ ตรอน 1 ตวั มาใชร้ ว่ มกนั เกดิ เป็นพนั ธะเดย่ี วใน
ขณะทอ่ี ะตอมของ C และ N ต่างกใ็ ห้ 3 อเิ ลก็ ตรอนมาใชร้ ว่ มกนั เกดิ เป็นพนั ธะสาม

แต่ในกรณที เ่ี ป็นพนั ธะโคออรด์ เิ นตโคเวเลนตจ์ ะเป็นการใชอ้ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั อกี แบบหน่งึ โดยท่ี
อเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะทงั้ 2 ตวั จะไดม้ าจากอะตอมค่สู รา้ งพนั ธะเพยี งอะตอมเดยี ว อกี อะตอมหน่งึ เพยี งแต่
เขา้ มาใชอ้ เิ ลก็ ตรอนดว้ ยเพ่อื ใหค้ รบออกเตตเทา่ นนั้ ตวั อยา่ งเช่น

พจิ ารณาสตู รโครงสรา้ งของโมเลกุล SO2 เพอ่ื ใหเ้ หน็ ลกั ษณะของการจดั อเิ ลก็ ตรอนอยา่ งชดั เจน

S มี 6 เวเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอน สตู รแบบจดุ คอื

O มี 6 เวเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอน สตู รแบบจดุ คอื
เพ่อื ใหเ้ หน็ การรวมตวั กนั ของ S และ O ใน SO2 เป็นไปตามกฎออกเตต จะตอ้ งมกี ารใช้
อเิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั ซง่ึ เขยี นเป็นสตู รแบบจดุ ไดด้ งั น้ี

พจิ ารณาพนั ธะทเ่ี กดิ ขน้ึ ระหว่างอะตอมของ O ทางซา้ ยกบั S ซง่ึ มกี ารใชอ้ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั 2 คู่
โดยทอ่ี ะตอมทงั้ สองต่างกใ็ ห้ 2 อเิ ลก็ ตรอนมาใชร้ ว่ มกนั เป็นพนั ธะคู่

หลงั จากทเ่ี กดิ พนั ธะคู่ จะพบว่าทงั้ O และ S ต่างกค็ รบออกเตตแลว้ ซง่ึ ถา้ S ยงั คงเกดิ พนั ธะ
โคเวเลนตธ์ รรมดากบั อะตอมของ O ทางขวา ไมว่ า่ จะเป็นพนั ธะเดย่ี วหรอื คกู่ จ็ ะทาใหอ้ เิ ลก็ ตรอนของ S เกนิ
ออกเตตทนั ที เชน่ ถา้ เกดิ พนั ธะคจู่ ะทาให้ S มอี เิ ลก็ ตรอนถงึ 10 ตวั ซง่ึ ไมเ่ ป็นไปตามกฎออกเตต

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อ่านาคิล
โรงเรียนชยั นาทพทิ ยาคม

::: 6 :::

เพ่อื ใหส้ ตู รโครงสรา้ งเป็นไปตามกฎออกเตตทงั้ อะตอมของ S และอะตอมของ O ทเ่ี หลอื ทางขวาจงึ
ไดม้ กี ารใชอ้ เิ ลก็ ตรอนร่วมกนั 1 ค่แู บบใหม่ โดยทอ่ี เิ ลก็ ตรอนค่รู ่วมพนั ธะ 1 ค่นู ้ีไดจ้ ากอะตอมของ S เพยี ง
อะตอมเดยี ว ไมใ่ ช่ไดจ้ ากอะตอมของ S และ O รว่ มกนั เหมอื นพนั ธะโคเวเลนต์ โดยทวั่ ไปการท่ี S ให้
อเิ ลก็ ตรอน 1 ค่ใู ชร้ ว่ มกบั O ทางขวาทาให้ O ทางขวาครบออกเตตในขณะท่ี S กย็ งั คงครบออกเตต
เน่ืองจากเป็นการใช้อเิ ลก็ ตรอนร่วมกนั 1 คู่ พนั ธะดงั กล่าวน้ีจงึ เป็นพนั ธะโคเวเลนต์ชนิดพนั ธะเด่ยี ว
แต่เพราะลกั ษณะของการเกิดพนั ธะแตกต่างจากพนั ธะโคเวเลนต์ทวั่ ๆ ไป จงึ เรยี กพนั ธะท่เี กิดจากการใช้
อเิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั แบบน้วี า่ “พนั ธะโคออรด์ ิเนตโคเวเลนต”์

การเขยี นสตู รแบบเสน้ เพอ่ื แสดงพนั ธะโคออรด์ เิ นตโคเวเลนตอ์ าจจะใชเ้ สน้ ตรง 1 เสน้ ( - ) แทน 1 พนั ธะ
โคออรด์ เิ นตโคเวเลนตเ์ หมอื นกบั พนั ธะโคเวเลนตท์ วั่ ๆ ไป กไ็ ด้ หรอื อาจจะใชล้ กู ศร (® ) แทนกไ็ ด้ โดยทห่ี วั ของ
ลกู ศรจะชไ้ี ปยงั ทศิ ทางของอะตอมคสู่ รา้ งพนั ธะทเ่ี ขา้ มาใชอ้ เิ ลก็ ตรอนรว่ มดว้ ย การทใ่ี ชล้ กู ศรแทนพนั ธะโคออรด์ เิ นต
โคเวเลนตก์ เ็ พอ่ื ใหแ้ ตกต่างจากพนั ธะโคเวเลนตธ์ รรมดา เป็นการชเ้ี ฉพาะใหเ้ หน็ ถงึ การใชอ้ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั อกี
แบบหน่งึ

My note

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อา่ นาคลิ
โรงเรียนชัยนาทพทิ ยาคม

::: 7 :::

แบบฝึ กหดั
เรอ่ื ง การเขียนโครงสร้างของสารประกอบโคเวเลนต์

1. จงเขยี นสตู รลวิ อสิ ของสารประกอบต่อไปน้ี

สตู รเคมี โครงสรา้ งลวิ อสิ แบบจดุ โครงสรา้ งลวิ อสิ แบบเสน้
1. CO

2. CO2

3. H2O

4. NH3

5. HCN

6. BF3
7. NCS-

8. NO3-

9. SO2

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อ่านาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

::: 8 :::

สตู รเคมี โครงสรา้ งลวิ อสิ แบบจดุ โครงสรา้ งลวิ อสิ แบบเสน้
10.XeF4

11. SF6

12. ClF3

13. PF5
14. NH4+

15. CH3OH

16. C2H4

2. จงทาเครอ่ื งหมาย  ลงในชอ่ งว่างทเ่ี หน็ ว่าสารโคเวเลนต์ทก่ี าหนดใหม้ ชี นิดของพนั ธะตรงตามขอ้ ใด

สาร ชนิดของพนั ธะเคมี

พนั ธะเดย่ี ว พนั ธะคู่ พนั ธะสาม พนั ธะโคออดเิ นตโคเวเลนต์

1. H2

2. O2

3. H2O

4. CH4

5. CO2
6. SiO2
7. NH4+

8. N2

9. C2H6

10. BF3

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อา่ นาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

::: 9 :::

1.3 ธาตุกบั การเกิดพนั ธะโคเวเลนต์
ธาตุทม่ี าสรา้ งพนั ธะกนั เกดิ เป็นพนั ธะโคเวเลนต์ ดงั น้ี
1. ธาตอุ โลหะรวมตวั กบั ธาตอุ โลหะ จะสรา้ งพนั ธะโคเวเลนต์เสมอ เพราะอโลหะเป็นธาตุทม่ี ี

พลงั งานไอออไนเซชนั สงู ดงั นนั้ จงึ เสยี อเิ ลก็ ตรอนไดย้ าก เมอ่ื อโลหะรวมตวั กบั อโลหะจงึ ไมม่ อี ะตอมใดยอม
เสยี อเิ ลก็ ตรอน เพราะต่างฝ่ายต่างตอ้ งการรบั อเิ ลก็ ตรอนทงั้ คู่ ดงั นนั้ เพอ่ื ใหม้ อี เิ ลก็ ตรอนคบ 8 อะตอม
อโลหะจงึ ตอ้ งนาอเิ ลก็ ตรอนมาใชร้ ว่ มกนั เชน่ O2 H2O C6H12O6 เป็นตน้

2. ธาตกุ ่ึงโลหะรวมตวั กบั ธาตอุ โลหะ ธาตุกง่ึ โลหะ เช่น B Si As Sb และ Ge จดั เป้นธาตุทม่ี ี
พลงั งานไอออไนเซชนั สงู เชน่ กนั ดงั นนั้ จงึ สามารถสรา้ งพนั ธะโคเวเลนตก์ บั ธาตุอโลหะได้ เชน่ BF3 SiCl4 เป็นตน้

3. ธาตโุ ลหะรวมตวั กบั ธาตอุ โลหะ โลหะบางชนดิ ทม่ี พี ลงั งานไอออไนเซชนั สงู เช่น Be Sn และ
Hg กส็ ามารถสรา้ งพนั ธะโคเวเลนตก์ บั ธาตุอโลหะไดเ้ ชน่ กนั เช่น BeCl2 HgCl2 เป็นตน้

พนั ธะระหว่างโลหะแทรนซชิ นั กบั อโลหะในไอออนเชงิ ซอ้ นจะเกดิ พนั ธะโคเวเลนต์เช่นเดยี วกนั
เชน่ MnO42- Fe(CO)5

My note

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อา่ นาคิล
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

::: 10 :::

1.4 สตู รของสารประกอบโคเวเลนตท์ ี่ควรรจู้ กั

1. โมเลกลุ ท่ีเป็นไปตามกฎออกเตต

การเกดิ สารประกอบโคเวเลนตน์ นั้ ธาตุจะพยายามปรบั ตวั ใหม้ เี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนเท่ากบั 8
(สาหรบั H จะพยายามปรบั ตวั ใหม้ เี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนเทา่ กบั 2) ทเ่ี รยี กว่า กฎออกเตต ดงั นนั้ ธาตุต่างๆจงึ
พยายามรวมตวั กนั ใหเ้ ป็นไปตามกฎออกเตต ซง่ึ จะทาใหไ้ ดส้ ารประกอบหรอื โมเลกุลทเ่ี สถยี ร

สาหรบั การรวมตวั กนั ดว้ ยพนั ธะโคเวเลนตจ์ ะมกี ารใชเ้ วเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั ระหว่างอะตอมครู่ ว่ ม
พนั ธะ อเิ ลก็ ตรอนทใ่ี ชร้ ว่ มกนั ถอื ว่าเป็นอเิ ลก็ ตรอนของอะตอมครู่ ว่ มพนั ธะทงั้ สอง

เชน่ F2 มสี ตู รแบบจดุ เป็น อะตอมของ F มเี วเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอนเทา่ กบั 7

เมอ่ื เกดิ พนั ธะโคเวเลนตม์ กี ารใชอ้ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั 1 คู่ ซง่ึ อเิ ลก็ ตรอนทใ่ี ชร้ ว่ มกนั 1 คนู่ ้ีถอื ว่าเป็นของ
ฟลอู อรนี ทงั้ 2 อะตอม ทาใหฟ้ ลอู อรนี แต่ละอะตอมใน F2 มเี วเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอนเทา่ กบั 8

จานวนเวเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอนของธาตุแตล่ ะชนดิ อาจจะแสดงใหเ้ หน็ ไดช้ ดั เจนขน้ึ โดยการเขยี นวงกลมลอ้ มรอบแต่
ละอะตอม จานวนอเิ ลก็ ตรอนทอ่ี ยใู่ นวงกลมของธาตใุ ดกจ็ ดั ว่าเป็นของธาตุนนั้

ประโยชน์ของกฎออกเตต
กฎออกเตต นอกจากจะใชส้ าหรบั เขียนสตู รโครงสรา้ งสารแลว้ ยังสามารถใช้ช่วยทานายสดั สว่ นจานวนอะตอม
ของธาตทุ ท่ี าปฏกิ ริ ยิ ากนั และทานายสตู รของสารประกอบต่าง ๆ ได้ ตวั อยา่ งเชน่ ทานายวา่
สารประกอบระหวา่ งธาตุคลอรนี กบั ธาตฟุ ลอู อรนี ควรจะมสี ตู รเป็น ClF เน่ืองจากธาตุ Cl และ F ต่างก็
เป็นธาตหุ มทู่ ่ี 7 จงึ มเี วเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอนเทา่ กบั 7 ทงั้ Cl และ F ตา่ งกต็ อ้ งการอกี 1 อเิ ลก็ ตรอนจงึ
จะครบออกเตต ดงั นนั้ จงึ สรา้ งพนั ธะ 1 พนั ธะ แสดงวา่ Cl กบั F ควรจะรวมกนั เป็นสารประกอบโดย
ใชอ้ ยา่ งละ 1 อะตอม

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อา่ นาคิล
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

::: 11 :::

2. โมเลกลุ ที่ไม่เป็นไปตามกฎออกเตต
ตามทฤษฎสี ารประกอบของธาตุทอ่ี ยใู่ นคาบท่ี 3 ของตารางธาตุเป็นตน้ ไป สารมารถสรา้ ง

พนั ธะแลว้ ทาใหอ้ เิ ลก็ ตรอนเกนิ 8 ได้ (ตามกฎการจดั อเิ ลก็ ตรอน 2n2 ในคาบท่ี 3 สามารถมอี เิ ลก็ ตรอนได้
เตม็ ทถ่ี งึ 18 อเิ ลก็ ตรอน) แต่อยา่ งไรกต็ ามพวกทเ่ี กนิ ออกเตตมกั จะพบในสารประกอบบางตวั ของ P , S
และโลหะทรานซชิ นั เช่นใน PCl5 , SF6 , Fe(CN)63- , Co(NH3)62+ , SiF62- และ Icl3 เป็นตน้

- ใน PCl5 ธาตุ P เกดิ พนั ธะกบั Cl รวม 5 พนั ธะจงึ มเี วเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอนเท่ากบั 10
ซง่ึ เกนิ ออกเตต ( 1 พนั ธะหรอื 1 เสน้ ประกอบดว้ ย 2 อเิ ลก็ ตรอน) สาหรบั PCl3 หรอื สารประกอบอ่นื ๆ
ของธาตุ P ส่วนมากเป็นไปตามกฎออกเตต

- ใน SF6 ธาตุ S เกดิ พนั ธะกบั F รวม 6 พนั ธะจงึ มเี วเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอนเทา่ กบั 12
ซง่ึ เกนิ ออกเตต แต่ใน SF2 หรอื สารประกอบอ่นื ๆ ของธาตุ S สว่ นมากเป็นไปตามกฎออกเตต

- ใน Co(NH3)62+ ธาตุ Co เกดิ พนั ธะกบั N ใน NH3 รวม 6 พนั ธะจงึ มเี วเลนต์
อเิ ลก็ ตรอนเทา่ กบั 12 ซง่ึ เกนิ ออกเตต

- ใน NO2 ธาตุ N เกดิ พนั ธะกบั ธาตุ O แต่มอี เิ ลก็ ตรอนเพยี ง 7 ซง่ึ ไมค่ รบออกเตต
- ใน ClO2 ธาตุ Cl เกดิ พนั ธะกบั ธาตุ O แต่มอี เิ ลก็ ตรอนเพยี ง 7 ซง่ึ ไมค่ รบออกเตต

ลองทาดู : เร่ือง สตู รของสารประกอบโคเวเลนต์ท่ีควรรู้จกั
จงเครอ่ื งหมาย  หรอื  หน้าสารทเ่ี หน็ วา่ สารโคเวเลนตท์ ก่ี าหนดใหม้ พี นั ธะการสรา้ งโคเวเลนตเ์ ป็นไป
ตามกฎออกเตตหรอื ไมเ่ ป็นไปตามกฎออกเตต

สาร การสร้างพนั ธะ
เป็นตามกฎออกเตด ไม่เป็นตามกฎออกเตด
1. BeCl2
2. BF3
3. SiO2
4. CH4
5. XeF4
6. CO
7. CCl4
8. PCl5
9. HCl
10. CO2

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อา่ นาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

::: 12 :::

1.5 การเขียนสตู รและเรยี กช่ือสารประกอบโคเวเลนต์
◉ หลกั การเขียนสตู รสารประกอบโคเวเลนต์
1. ใหเ้ รยี งลาดบั ธาตุตามคา่ อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ จี ากต่าไปสงู ตามหลกั สากลดงั น้คี อื Si ,C ,Sb, As, P, N,

H, Te, Se, S, At , I , Br , Cl , O , F ตามลาดบั
2. ในสารประกอบโคเวเลนตถ์ า้ อะตอมของธาตุมจี านวนอะตอมมากกวา่ หน่งึ ใหเ้ ขยี นจานวนอะตอม ดว้ ย

ตวั เลขแสดงไวม้ มุ ล่างทางขวา ในกรณที ธ่ี าตุในสารประกอบนนั้ มเี พยี งอะตอมเดยี วไมต่ อ้ งเขยี นตวั เลข
แสดงจานวนอะตอม

3. หลกั การเขยี นสตู รสารประกอบโคเวเลนตท์ ม่ี อี ะตอมของธาตุจดั เวเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอน เป็นไปตามกฎ
ออกเตต ใชจ้ านวนอเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะของแต่ละอะตอมของธาตุคณู ไขว้ เชน่ สตู รของสารประกอบของธาตุ
H กบั O; H และ O มเี วเลนตอ์ เิ ลก็ ตรอน 1 และ 6 ตามลาดบั ดงั นนั้ H และ O ตอ้ งการอเิ ลก็ ตรอนค่รู ว่ มพนั ธะ
จานวน 1 และ 2 ตามลาดบั เพ่อื ใหแ้ ต่ละอะตอมของธาตุ มกี ารจดั อเิ ลก็ ตรอนแบบแก๊สเฉ่อื ย

My note

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อ่านาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

::: 13 :::

◉ การเรยี กช่ือสารประกอบโคเวเลนต์

1. ระบุจานวนอะตอมทเ่ี ป็นภาษากรกี ของธาตุตวั แรกทางซา้ ยมอื ก่อน(ถา้ มหี น่งึ อะตอม ไมต่ อ้ งระบุ

จานวนอะตอม) ภาษากรกี หรอื ภาษาละตนิ ทน่ี ยิ มใช้

1 = mono-(มอนอ) 2 = di-(ได)

3 = tri-(ไตร) 4 = tetra-(เตตระ)

5 = penta-(เพนตะ) 6 = hexa-(เฮกซะ)

7 = hepta-(เฮปตะ) 8 = octa-(ออกตะ)

9 = Mona-(โมนะ) 10 = deca-(เดคะ)

2. อ่านช่อื ธาตุตวั แรกทอ่ี ยทู่ างซา้ ยมอื

3. ระบุจานวนอะตอมธาตุตวั หลงั ทอ่ี ยทู่ างขวามอื (เลขหน่งึ กต็ อ้ งอ่าน)

4. อ่านชอ่ื ธาตุทอ่ี ย่ทู างขวามอื ต่อไปน้ี โดยเปลย่ี นพยางคท์ า้ ยเป็น ไ-ด์ (-ide) เชน่ ออกซเิ จน เป็น

ออกไซด์ ไนโตรเจน เป็น ไนไตรด์ ไอโอดนี เป็น ไอโอไดด์ ฟลอู อรนี เป็น ฟลอู อไรด์ คารบ์ อน เป็น คารไ์ บด์

คลอรนี เป็น คลอไรด์ โบรมนี เป็น โบรไมด์ ซลั เฟอร์ เป็น ซลั ไฟด์ ไฮโดรเจน เป็น ไฮไดรด์

5. ถา้ สารทเ่ี กดิ กบั ไฮโดรเจนและธาตุหมู่ VIA หรอื VIIA ไมอ่ ่านเลขจานวนอะตอมของไฮโดรเจน

เชน่ H2S อ่านวา่ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์
H2Se อ่านวา่ ไฮโดรเจนซลี ไิ นด์
HCl อ่านวา่ ไฮโดรเจนคลอไรด์

My note

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อ่านาคิล
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

::: 14 :::

แบบฝึ กหดั
เรื่อง การเขียนสตู รและเรยี กชื่อสารประกอบโคเวเลนต์

1. จงตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถกู ต้อง

ข้อ ธาตุ การจดั เรียงอเิ ล็กตรอน จานวนเวเลนต์ จานวนอเิ ล็กตรอนร่วม สูตร
อิเลก็ ตรอน พนั ธะเพอ่ื ให้มีเวเลนต์ สารประกอบ
อเิ ล็กตรอนครบออกเตต โคเวเลนต์

1 N
Cl

2 C
Cl

3 Si
H

4 N
H

5 P
Cl

6 H
S

7 C
H

8 Cl
O

9 O
F

10 C
O

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อ่านาคลิ
โรงเรยี นชยั นาทพิทยาคม

::: 15 :::

2. จงเติมขอ้ มลู ในตารางให้ถูกต้อง

ขอ้ สตู รโมเลกลุ ช่ือสารประกอบ ข้อ ช่อื สารประกอบ โมเลกุล
1 คารบ์ อนไดออกไซด์
1 N2O5 2 ซิลิคอนเตตระฟลูออไรด์
3 ฟอสฟอรสั ไตรคลอไรด์
2 Cl2 4 โบรอนไตรฟลูออไรด์
3 O2 5 ไดไนโตรเจนเพนตะออกไซด์
6 เบริเลียมไดฟลูออไรด์
4 Cl2O 7 ซลิ คิ อนไดซัลไฟด์
5 N2O4 8 แก๊สมีเทน
9 ซัลเฟอรเ์ ฮกซะฟูลออไรด์
6 PCl3 10 คารบ์ อนเตตระคลอไรด์

7 P4O10

8 NO

9 SO2

10 Cl2O7

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อ่านาคิล
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

::: 16 :::

1.6 พลงั งานพนั ธะและความยาวพนั ธะ
โมเลกุลของสารทม่ี าสรา้ งพนั ธะโคเวเลนตต์ อ้ งมพี ลงั งานพนั ธะและความยาวพนั ธะทเ่ี หมาะสมจงึ จะเกดิ

เป็นสารประกอบโคเวเลนต์
1. พลงั งานพนั ธะ หมายถงึ พลงั งานทน่ี ้อยทส่ี ุดทใ่ี ชเ้ พอ่ื สลายพนั ธะทย่ี ดึ เหน่ยี วระหวา่ งอะตอมคู่

หน่งึ ๆในโมเลกุลในสถานะแก๊ส พลงั งานพนั ธะสามารถบอกถงึ ความแขง็ แรงของพนั ธะเคมไี ด้ โดยพนั ธะท่ี
แขง็ แรงมากจะมพี ลงั งานพนั ธะมาก และพนั ธะทแ่ี ขง็ แรงน้อยจะมพี ลงั งานพนั ธะน้อย

พลงั งานพนั ธะเฉล่ีย หมายถงึ ค่าพลงั งานเฉลย่ี ของพลงั งานสลายพนั ธะ ของอะตอมค่หู น่งึ ๆ ซง่ึ
เฉลย่ี จากสารหลายชนดิ เช่น การสลายโมเลกุลมเี ทน (CH4) ใหก้ ลายเป็นอะตอมคารบ์ อนและไฮโดรเจน มี
สมการและค่าพลงั งานทเ่ี กย่ี วขอ้ งดงั น้ี

CH4(g) + 435 kJ → CH3(g) + H(g)
CH3(g) + 453 kJ → CH2(g) + H(g)
CH2(g) + 425 kJ → CH(g) + H(g)
CH(g) + 339 kJ → C(g) + H(g)
เมอ่ื รวมทงั้ 4 สมการเขา้ ดว้ ยกนั จะไดว้ า่
CH4(g) + 1,660 kJ → C (g) + 4H(g)
จะเหน็ ไดว้ ่าการสลายพนั ธะระหว่าง C-H ในแต่ละพนั ธะของโมเลกุลมเี ทน (CH4) จะใชพ้ ลงั งานไม่
เทา่ กนั ดงั นนั้ เมอ่ื นาค่าพลงั งานทกุ คา่ มาเฉลย่ี กจ็ ะไดเ้ ป็นคา่ พลงั งานพนั ธะเฉลย่ี นนั่ เอง ดงั แสดงในตาราง

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อา่ นาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

::: 17 :::

การคานวณพลงั งานท่ีเก่ียวข้องกบั พลงั งานพนั ธะ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 กรณี ดงั น้ี
1. การคานวณเกย่ี วกบั การสรา้ งหรอื การสลายพนั ธะ มกี ารคานวณ ดงั น้ี

ขนั้ ท่ี 1 วาดโครงสรา้ งของโมเลกุลทโ่ี จทยถ์ าม
ขนั้ ท่ี 2 สงั เกตพนั ธะทม่ี ใี นโครงสรา้ งของโมเลกุลนนั้
ขนั้ ท่ี 3 รวมพลงั งานพนั ธะของโมเลกุล

My note

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อา่ นาคิล
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

::: 18 :::

2. การคานวณเกย่ี วกบั พลงั งานในปฏกิ ริ ยิ าเคมี ซง่ึ จะประกอบดว้ ยสารตงั้ ตน้ และผลติ ภณั ฑ์ โดยในการ
คานวณจะตอ้ งคานวณพลงั งานทด่ี ดู เขา้ ไปเพ่อื ใชใ้ นการสลายพนั ธะในสารตงั้ ตน้ ใหเ้ ป็นอะตอมเดย่ี วๆ
และคานวณพลงั งานทค่ี ายออกมาจากการสรา้ งพนั ธะในผลติ ภณั ฑ์ ซง่ึ ผลต่างของพลงั งานทงั้ สองจะ
เป็นพลงั งานการเปลย่ี นแปลงในปฏกิ ริ ยิ าเคมนี นั้ ๆ โดยการคานวณพลงั งานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
มขี นั้ ตอน ดงั น้ี
ขนั้ ท่ี 1 เขยี นสมการเคมขี องปฏกิ ริ ยิ า พรอ้ มดุลสมการเคมี
ขนั้ ท่ี 2 สงั เกตพนั ธะทม่ี ใี นโครงสรา้ งของสารตงั้ ตน้ และผลติ ภณั ฑ์
ขนั้ ท่ี 3 เปรยี บเทยี บและหาผลต่างของพลงั งาน ดงั น้ี

H = ผลรวมของพลงั งานดา้ นสารตงั้ ตน้ - ผลรวมของพลงั งานดา้ นสารผลติ ภณั ฑ์
ถา้ H มคี า่ เป็นลบ แสดงวา่ ปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ป็นแบบคายพลงั งาน
H มคี า่ เป็นบวก แสดงวา่ ปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ป็นแบบดดู พลงั งาน

My note

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อา่ นาคลิ
โรงเรยี นชยั นาทพทิ ยาคม

::: 19 :::

3. ความยาวพนั ธะ หมายถงึ ระยะระหวา่ งจดุ ศนู ยก์ ลางของนวิ เคลยี สของอะตอมทงั้ สองทเ่ี กดิ พนั ธะกนั
(หน่วยเป็น Angstrom , 10-10 m , A0 )

(ทม่ี า : www.chem.ufl.edu/~chm2040/Notes/Chapter_11/covalent.html)

จากหวั ขอ้ การเกดิ พนั ธะโคเวเลนต์ จะทาใหท้ ราบแลว้ ว่าอะตอมไฮโดรเจน 2 อะตอมเขา้ ใกลก้ นั เป็น
ระยะทาง 0.74 องั สตรอม (หรอื 74 พโิ คเมตร) ซง่ึ เป็นระยะทางทเ่ี หมาะสมในการเกดิ พนั ธะโคเวเลนตร์ ะหวา่ ง
ไฮโดรเจน โดยระยะน้เี รยี กวา่ "ความยาวพนั ธะ" โดยปกตแิ ลว้ เราสามารถหาความยาวพนั ธะของสารไดจ้ าก
การศกึ ษาการเลย้ี วเบนของรงั สเี อก็ ซ์ (X-ray diffraction ; XRD) ผา่ นผลกึ ของสาร ทงั้ น้คี วามยาวพนั ธะระหวา่ ง
อะตอมคเู่ ดยี วกนั ในโมเลกุลของสารต่างชนิดกนั จะมคี ่าไมเ่ ทา่ กนั เชน่

ดงั นนั้ ความยาวพนั ธะระหว่างอะตอมคหู่ น่งึ จงึ หาไดจ้ ากคา่ เฉลย่ี ของความยาวพนั ธะระหว่างอะตอมคูj
เดยี วกนั ในโมเลกุลต่างๆ เมอ่ื กลา่ วถงึ ความยาวพนั ธะ โดยทวั่ ไปจงึ หมายถงึ “ความยาวพนั ธะเฉลี่ย”

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อ่านาคิล
โรงเรยี นชยั นาทพทิ ยาคม

::: 20 :::

ความสมั พนั ธ์ระหว่างความยาวพนั ธะกบั พลงั งานพนั ธะ

ความยาวพันธะและพลังงานพันธะ จะสามารถเปรียบเทียบกันได้ก็ต่อเม่ือเป็ นพันธะท่ีเกิด
จากอะตอมของธาตุคู่เดียวกัน ถ้าเป็ นอะตอมต่างคู่กันเทียบกันไม่ได้ เช่น

ความสมั พนั ธร์ ะหว่างพลงั งานพนั ธะ ความยาวพนั ธะ ความแขง็ แรง และความเสถยี ร

ของพนั ธะ

1. พลงั งานพนั ธะ พนั ธะสาม > พนั ธะคู่ > พนั ธะเดย่ี ว

2. ความแขง็ แรงของพนั ธะ พนั ธะสาม > พนั ธะคู่ > พนั ธะเดย่ี ว

3. ความยาวพนั ธะ พนั ธะเดย่ี ว > พนั ธะคู่ > พนั ธะสาม

4. ความเสถยี รพนั ธะ พนั ธะเดย่ี ว > พนั ธะคู่ > พนั ธะสาม

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธ์ุ อา่ นาคิล
โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

::: 21 :::

แบบฝึ กหดั
เรอ่ื ง พลงั งานพนั ธะ

จงเติมข้อความให้ได้ใจความสมบรู ณ์

1. จงคานวณหาพลงั งานพนั ธะ พรอ้ มทงั้ บอกประเภทของพลงั งาน (H – H = 430 kJ/mol ) ( H – F = 560

kJ/mol ) ( F –F = 160 kJ/mol ) ในปฏกิ ริ ยิ า H2 (g) + F2 (g)  HF(g)
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………….
2. จงคานวณหาพลงั งานพนั ธะ พรอ้ มทงั้ บอกประเภทของพลงั งาน ( C – H = 413 kJ/mol ) ( H – O = 463

kJ/mol ) ( O=O = 498kJ/mol ) ( C=O = 745 kJ/mol )

ในปฏกิ ริ ยิ า C5H10(g) + O2 (g)  H2O(g) + CO2 (g)
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อ่านาคิล
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

::: 22 :::

3. จงคานวณการเปลย่ี นแปลงของพลงั งานความรอ้ นของปฏกิ ริ ยิ าต่อไปน้ี
H2 (g) + Br2 (g)  2HBr(g) กาหนดใหพ้ ลงั งานพนั ธะ H-H = 431 kJ/mol, H-Br = 366 kJ/mol และ
Br-Br = 193 kJ/mol ปฏกิ ริ ยิ าน้ีเป็นแบบดดู ความรอ้ นหรอื คายความรอ้ นออกมาเท่าใด

…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………

4. จงคานวณการเปลย่ี นแปลงของพลงั งานความรอ้ นของปฏกิ ริ ยิ าต่อไปน้ี
CH4 (g) + 2Cl2 (g)  CCl4 (g) + 2H2 (g) กาหนดให้ พลงั งานพนั ธะ C-H = 413 kJ/mol, C-Cl = 339
kJ/mol, H-H = 431 kJ/molและ Cl-Cl = 242 kJ/mol ปฏกิ ริ ยิ าน้ีเป็นแบบดดู ความรอ้ นหรอื คายความ
รอ้ นออกมาเท่าใด

…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธ์ุ อ่านาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

::: 23 :::

1.7 ปรากฏการณ์เรโซแนนซ์ (Resonance)
เรโซแนนซ์ เป็นปรากฏการณ์ทสี่ ามารถเขยี นสูตรโครงสรา้ งได้มากกว่า 1 แบบ โดยทกุ แบบจะมตี าแหนง่

ของอะตอมในโมเลกลุ เหมือนกัน ต่างกนั ทกี่ ารจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนรอบๆ อะตอม หรอื ตา่ งกันทลี่ ักษณะของพันธะในโมเลกลุ
กล่าวคอื อเิ ลก็ ตรอนทอ่ี ย่รู อบ ๆ อะตอม หรืออเิ ล็กตรอนทใี่ ชใ้ นการสรา้ งพันธะสามารถเคลอื่ นทยี่ า้ ยจากอะตอมหนึ่งไปยัง
อีกอะตอมหนึง่ ทาใหล้ กั ษณะของพันธะในโมเลกุลแตกตา่ งกนั เกดิ เปน็ สตู รโครงสรา้ งทไ่ี มเ่ หมอื นกนั จงึ ทาใหม้ ีความยาว
พนั ธะเท่ากนั ทุกพันธะ พลังงานพนั ธะเทา่ กนั ทุกพนั ธะและอเิ ลก็ ตรอนท่ใี ช้รว่ มกันเท่ากนั ทุกพันธะ เชน่ โมเลกลุ โอโซน
พนั ธะโคเวเลนต์ที่เกดิ ระหว่างอะตอมของออกซเิ จนกับออกซิเจนอกี 2 อะตอม ตามกฎออกเตตแสดงได้ดงั นี้

จากโครงสรา้ งลิวอสิ ทั้งสองนีแ้ สดงวา่ ออกซิเจนอะตอมกลางสรา้ งพนั ธะเดยี่ วกบั ออกซเิ จนอะตอมหนงึ่ และ
สรา้ งพันธะค่กู ับออกซเิ จนอกี อะตอมหนึ่ง ซงึ่ หมายความวา่ พันธะทง้ั สองในโมเลกุลนม้ี ีความยาวไมเ่ ทา่ กนั แตจ่ ากการศึกษา
พบวา่ ความยาวพันธะระหว่างอะตอมออกซิเจนทัง้ สองพนั ธะมคี ่า 128 พโิ กเมตรเท่ากันซง่ึ เปน็ ค่าความยาวพนั ธะระหวา่ ง
พันธะเดยี วกับพนั ธะคู่ของออกซเิ จน (ความยาวพันธะของO – O และO = O เท่ากบั 148 และ 121 พิโกเมตร ตามลาดบั )
แสดงว่าพนั ธะทงั้ สองในโมเลกุลเปน็ พนั ธะชนิดเดยี วกัน ดงั นั้นโครงสร้างลิวอิส (ก) หรือ (ข) แบบใดแบบหนงึ่ ท่แี สดงไว้ตอนแรก
ใช้แทนโมเลกลุ O 3 ไมไ่ ดจ้ งึ เขียนแทนดว้ ยโครงสรา้ งเรโซแนนซ์ต่อไปนี้

การท่พี นั ธะระหวา่ งออกซเิ จนกับออกซเิ จนทงั้ 2 พันธะเหมือนกนั นัน้ เกิดจากการทอ่ี ิเลก็ ตรอน 1 คู่ จะเคล่ือนท่ีไปมา
ระหว่างอะตอมทงั้ สาม อาจกลา่ วไดว้ า่ ออกซเิ จนแตล่ ะคูใ่ ชอ้ เิ ล็กตรอนรว่ มกนั คู่ และเขียนแทนด้วยโครงสรา้ งดังต่อไปนี้

พนั ธะทเ่ี กดิ เรโซแนนซจ์ ะมคี วามเหมอื นกนั เทา่ เทยี มกนั และไมแ่ ตกต่างกนั ดงั นนั้ พนั ธะท่ี

เกดิ จาดปรากฏการณ์เรโซแนนซจ์ งึ ไมจ่ ดั เป็นพนั ธะเดย่ี ว พนั ธะคู่ หรอื พนั ธะสาม แต่อาจจดั เป็นอนั ดบั

ของพนั ธะ 3/2 หรอื 4/3 ซง่ึ เป็นพนั ธะทอ่ี ยรู่ ะหว่างพนั ธะเดย่ี วกบั พนั ธะคู่ ซง่ึ การคานวณอนั ดบั พนั ธะใน

สารประกอบทม่ี เี รโซแนนซ์ ทาไดโ้ ดยใชส้ ตู ร

อนั ดบั ของพนั ธะ = จานวนพนั ธะ

จานวนอะตอมทส่ี รา้ งพนั ธะ

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธ์ุ อา่ นาคลิ
โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

::: 24 :::

1.8 รปู รา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์
◉ การจดั เรยี งอะตอมต่างๆ ในโมเลกุลโคเวเลนตแ์ ต่ละชนดิ จะมลี กั ษณะและตาแหน่งทแ่ี น่นอน ทาให้

โมเลกุลโคเวเลนตม์ รี ปู รา่ งทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป ซง่ึ จะมคี วามสมั พนั ธก์ บั สมบตั ขิ องสารประกอบ ดงั นนั้
การศกึ ษารปู รา่ งของโมเลกุลโคเวเลนตก์ เ็ พอ่ื ใชใ้ นการอธบิ ายสมบตั ขิ องสารโคเวเลนตน์ นั้ เอง

◉ การบอกรปู รา่ งของโมเลกุลโคเวเลนตต์ อ้ งอาศยั ปัจจยั ทส่ี าคญั 2 ปัจจยั ดงั น้ี
1. ความยาวพนั ธะ (bond length) คือ ระยะทางระหว่างนิวเคลยี สของอะตอมคทู่ ส่ี รา้ งพนั ธะโคเว
เลนตร์ ะหวา่ งกนั
2. มุมพนั ธะ (bond angle) คือ มมุ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เมอ่ื อะตอม 2 อะตอม มาสรา้ งพนั ธะกบั อะตอมกลาง
โดยมมุ ระหว่างพนั ธะจะกวา้ งหรอื แคบนนั้ ขน้ึ อยกู่ บั แรงผลกั ระหวา่ งอเิ ลก็ ตรอนทอ่ี ย่รู อบๆอะตอมกลาง

มมุ พนั ธะตอ้ งเป็นมมุ ทท่ี าใหโ้ มเลกุลนนั้ เสถยี รหรอื มพี ลงั งานต่าหรอื มแี รง
ผลกั ของอเิ ลก็ ตรอนระหว่างอะตอมน้อยทส่ี ดุ เรยี กทฤษฏนี ้วี ่า แบบจาลองแรงผลกั ของคู่
อิเลก็ ตรอนชนั้ นอกสดุ (Valence Shell Electron Pair Repulsion) (VSEPR)

◉ การทานายรปู รา่ งของโมเลกุลโคเวเลนตส์ ามารถทาได้ ดงั น้ี
1. เลอื กอะตอมกลาง ซง่ึ เป็นอะตอมทส่ี รา้ งพนั ธะมากทส่ี ุด
2. นบั จานวนพนั ธะทอ่ี ะตอมกลางสรา้ งได้
3. นบั จานวนอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี วทอ่ี ยลู่ อ้ มรอบอะตอมกลางนนั้
4. แรงจากอเิ ลก็ ตรอนทส่ี รา้ งพนั ธะและไมไ่ ดส้ รา้ งพนั ธะ

◉ รปู รา่ งโมเลกุลโคเวเลนตจ์ ะแบ่งออกเป็น 2 กล่มุ ตามการมหี รอื ไมม่ อี เิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว
ของอะตอม

1. กลุม่ ทอ่ี ะตอมกลางไมม่ อี เิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว
2. กลุ่มทอ่ี ะตอมกลางมอี เิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว

My note

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อ่านาคิล
โรงเรยี นชยั นาทพิทยาคม

::: 25 :::

1. กล่มุ ที่อะตอมกลางไม่มอี ิเลก็ ตรอนค่โู ดดเด่ียว
สตู รโมเลกุลของสารประกอบ คอื AXn โดยท่ี n เป็นจานวนอะตอมทอ่ี ยลู่ อ้ มรอบอะตอมกลาง

และ n มคี ่าตงั้ แต่ 2 ถงึ 6 ดงั นนั้ รปู ร่างของสารประกอบโคเวเลนต์ กลุ่มทอ่ี ะตอมกลางไม่มอี เิ ลก็ ตรอนคู่
โดดเดย่ี วทเ่ี ป็นไปไดจ้ ะมอี ยู่ 5 แบบ AX2 AX3 AX4 AX5 และ AX6 (A คอื อะตอมกลาง , X คอื
อะตอมทล่ี อ้ มรอบอะตอมกลาง)

My note

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธ์ุ อา่ นาคิล
โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

::: 26 :::

2. กล่มุ ท่ีอะตอมกลางมอี ิเลก็ ตรอนค่โู ดดเด่ียว
ในโมเลกุลโคเวเลนตบ์ างโมเลกุลทอ่ี ะตอมกลางยงั มอี เิ ลก็ ตรอนทย่ี งั ไมส่ รา้ งพนั ธะเหลอื อยู่ เรยี ก

อเิ ลก็ ตรอนน้วี า่ อเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว (lone pair electron) โดยอเิ ลก็ ตรอนจะสง่ แรงผลกั ระหว่างกนั โดย
เรยี งลาดบั ความแรงของแรงผลกั ได้ ดงั น้ี

สตู รโมเลกุลของสารประกอบ คอื AXnEm โดยท่ี n เป็นจานวนอะตอมทอ่ี ยลู่ อ้ มรอบอะตอมกลาง
และ n มคี า่ ตงั้ แต่ 2 ถงึ 5 (A คอื อะตอมกลาง , X คอื อะตอมทล่ี อ้ มรอบอะตอมกลาง ,
E คอื อเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี วของอะตอมกลาง , m คอื จานวนอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี วของอะตอมกลาง )

โครงสรา้ งของสารประกอบโคเวเลนตใ์ นกลุ่มทม่ี อี เิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี วของอะตอมกลาง ทส่ี ามารถ
เป็นไปได้ มอี ยู่ 8 ลกั ษณะ

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธ์ุ อา่ นาคิล
โรงเรยี นชยั นาทพิทยาคม

::: 27 :::

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อ่านาคิล
โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

::: 28 :::

1.9 มมุ ระหว่างพนั ธะในโมเลกลุ โคเวเลนต์
หลกั เกณฑใ์ นการพจิ ารณามมุ พนั ธะในโมเลกุลโคเวเลนตท์ าได้ ดงั น้ี
1. โมเลกุลโคเวเลนตท์ อ่ี ะตอมกลางไม่มอี เิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว มแี ต่อเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะ

ใหพ้ จิ ารณาจากจานวนพนั ธะ หากโมเลกุลใดมจี านวนพนั ธะทล่ี อ้ มรอบอะตอมกลางมาก โมเลกุลนนั้ จะมมี มุ
พนั ธะน้อย

2. โมเลกุลโคเวเลนตท์ อ่ี ะตอมกลางไม่มอี เิ ลก็ ตรอนค่โู ดดเดย่ี ว มรี ปู รา่ งแบบเดยี วกนั และมพี นั ธะรอบ
อะตอมเหมอื นกนั โมเลกุลของสารเหลา่ น้จี ะมมี มุ พนั ธะเท่ากนั เสมอ

3. โมเลกุลโคเวเลนตท์ อ่ี ะตอมกลางไม่มอี เิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว มรี ปู รา่ งแบบเดยี วกนั แต่มพี นั ธะรอบ
อะตอมแตกต่างกนั โมเลกุลของสารเหล่าน้จี ะมมี มุ พนั ธะเท่ากนั เสมอ

4. โมเลกุลโคเวเลนตท์ อ่ี ะตอมกลางมอี เิ ลก็ ตรอนค่โู ดดเดย่ี ว ใหพ้ จิ ารณาจานวนอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว
โดยในโมเลกุลใดมจี านวนอเิ ลก็ ตรอนค่โู ดดเดย่ี วทอ่ี ยลู่ อ้ มรอบอะตอมกลางมาก โมเลกุลนนั้ จะมมี มุ พนั ธะน้อย

5. โมเลกุลโคเวเลนตท์ ม่ี รี ปู รา่ งเหมอื นกนั โดยอะตอมกลางมอี เิ ลก็ ตรอนค่โู ดดเดย่ี วเหลอื เทา่ กนั
แต่มอี ะตอมกลางไมเ่ หมอื นกนั หรอื อะตอมทม่ี าสรา้ งพนั ธะดว้ ยไมเ่ หมอื นกนั โมเลกุลเหล่าน้จี ะมมี มุ พนั ธะ
ต่างกนั แบ่งออก เป็น 2 กรณี

5.1 โมเลกุลโคเวนตม์ รี ปู ร่างเหมอื นกนั แต่มอี ะตอมกลางไมเ่ หมอื นกนั โมเลกุลทอ่ี ะตอมกลาง
มคี ่าอเิ ลก็ ตรอนเนกาตวิ ติ สี งู จะมกี ารดงึ อเิ ลก็ ตรอนเขา้ หามาก ทาใหม้ มุ มขี นาดใหญ่

5.2 โมเลกุลโคเวนตม์ รี ปู ร่างเหมอื นกนั แต่มอี ะตอมทล่ี อ้ มรอบไมเ่ หมอื นกนั ใหพ้ จิ ารณาค่า
คา่ อเิ ลก็ ตรอนเนกาตวิ ติ ขี องอะตอมทม่ี าลอ้ มรอบ โดยอะตอมทม่ี าลอ้ มรอบทม่ี คี ่าอเิ ลก็ ตรอนเนกาตวิ ติ สี งู กวา่
โมเลกุลนนั้ จะดงึ ดดู อเิ ลก็ ตรอนออกมาจากอะตอมกลางไดม้ ากกว่าทาใหม้ มุ มขี นาดเลก็

My note

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อา่ นาคิล
โรงเรยี นชยั นาทพทิ ยาคม

แบบฝึ กหดั ::: 29 :::
เร่อื ง รปู ร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์
รปู ร่างโมเลกลุ
จงทานายรปู รง่ ของโมเลกลุ โคเวเลนตจ์ ากสตู รโมเลกลุ ท่ีกาหนดให้

สตู รโมเลกลุ สตู รโครงสร้าง
1. AsH3

2. C2H2

3. PCl5

4. SBr2
5. NH4+
6. NO3-
7. ClO4-

8. XeF4

9. BrF3

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อา่ นาคลิ
โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

สตู รโมเลกลุ สตู รโครงสร้าง ::: 30 :::
10. CH2Cl2
11. SO42- รปู ร่างโมเลกลุ
12. O3
13. PCl5
14. PF6+
15. TeBr2
16. ICl4
17. NO2
18. HCN

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อ่านาคลิ
โรงเรยี นชยั นาทพทิ ยาคม

::: 31 :::

1.10 สภาพขวั้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์
เมอ่ื อะตอม 2 อะตอมมาสรา้ งพนั ธะโคเวเลนตก์ นั จะมกี ารนาอเิ ลก็ ตรอนมาใชร้ ว่ มกนั แต่เน่อื งจาก

ความสามารถในการดงึ ดดู อเิ ลก็ ตรอนของธาตุแต่ละชนิดอาจเท่ากนั หรอื ไมเ่ ท่ากนั กไ็ ด้ ดงั นนั้ การกระจายตวั
ของอเิ ลก็ ตรอนจงึ ไมเ่ ท่ากนั เรยี กว่า ไดโพลโมเมนต์ (Dipole Moments)

การกระจายตวั ของอเิ ลก็ ตรอนในโมเลกลุ โคเวเลนต์
คา่ ทบ่ี อกถงึ ความสามารถในการดงึ ดดู อเิ ลก็ ตรอนของธาตุในรปู สารประกอบ เรยี กวา่ ค่าอเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ี (EN)
ซง่ึ ค่า EN จะมคี ่ามากหรอื น้อยขน้ึ อย่กู บั ประจุทอ่ี ย่ใู นนวิ เคลยี ส และระยะระหว่างนวิ เคลยี สกบั เวลเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อา่ นาคลิ
โรงเรยี นชยั นาทพิทยาคม

::: 32 :::

สภาพขวั้ ท่ีพบในโมเลกลุ โคเวเลนตส์ ามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลกั ษณะ คือ สภาพขวั้ ของ
พนั ธะ และสภาพขวั้ ของโมเลกลุ

1. สภาพขวั้ ของพนั ธะ เป็นการพจิ ารณาสภาพขวั้ เฉพาะค่ขู องธาตุทม่ี าสรา้ งพนั ธะกนั โดยแบ่งสภาพ
ขวั้ ของพนั ธะ ออกเป็น 2 แบบ ดงั น้ี

1.1 พนั ธะไม่มขี วั้ (Non polar covalent bond) เป็นพนั ธะทเ่ี กดิ จากการทธ่ี าตุเดยี วกนั สรา้ ง
พนั ธะกนั เพราะมคี ่า EN เท่ากนั ทาใหอ้ เิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะมโี อกาสโคจรอย่รู ะหว่างอะตอมทงั้ สองเท่ากนั
จงึ ไมเ่ กดิ ความแตกต่างของขวั้ ไฟฟ้า จงึ เป็นพนั ธะไมม่ ขี วั้ ดงั รปู

แต่อยา่ งไรกต็ ามแมบ้ างครงั้ จะเป็นการสรา้ ง
พนั ธะของธาตตุ ่างชนิด แต่คา่ EN ใกลเ้ คยี งกนั
ต่างกนั น้อยกวา่ 0.4 กย็ งั อนุโลมว่าเป็นพนั ธะไมม่ ี
ขวั้ แต่ไม่แทจ้ รงิ เพราะความจรงิ มขี วั้ เลก็ น้อยแต่ไม่
แสดงความมขี วั้ ทช่ี ดั เจน

1.2 พนั ธะมขี วั้ (Polar covalent bond) เป็นพนั ธะโคเวเลนตท์ เ่ี กดิ จากอะตอมของธาตุต่าง
ชนดิ ซง่ึ มคี ่า EN ต่างกนั ตงั้ แต่ 0.4 แต่น้อยกวา่ 1.7 อะตอมทม่ี คี ่า EN มากกวา่ จะดงึ ดดู อเิ ลก็ ตรอนค่รู ว่ ม
พนั ธะไปไดม้ ากกวา่ ทาใหค้ วามหนาแน่นของอเิ ลก็ ตรอนทางดา้ นตะตอมทม่ี คี ่า EN มาก มมี ากกว่าทางดา้ น
อะตอมทม่ี คี ่า EN น้อย จงึ ทาใหแ้ สดงขวั้ ลบขน้ึ มาเลก็ น้อย เขยี นแสดงดว้ ยเครอ่ื งหมาย (อ่านวา่ เดลตา้ ลบ)
ในขณะทท่ี างดา้ นอะตอมทม่ี คี ่า EN น้อยกวา่ จะแสดงขวั้ บวกขน้ึ มาเลก็ น้อย เขยี นเช่นกนั แสดงดว้ ย
เครอ่ื งหมาย (อ่านวา่ เดลตา้ บวก) ดงั รปู

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อ่านาคิล
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

การเขยี นแสดงขวั้ ของพนั ธะนอยมเขยี นเครอ่ื งหมาย ::: 33 :::
ดา้ นทแ่ี ทนประจลุ บ ส่วนอกี ดา้ นหน่งึ แทนประจบุ วก
โดยทด่ี า้ นหวั ลกู ศรเป็น

2. สภาพขวั้ ของโมเลกลุ เป็นผลรวมของสภาพขวั้ ของพนั ธะ ซึ่งในการพิจารณาว่า โมเลกลุ ใด
เป็นโมเลกลุ โคเวเลนตแ์ บบมขี วั้ หรอื ไมม่ ีขวั้ นัน้ สามารถพิจารณาได้ 2 กรณี ดงั นี้

กรณที ่ี 1 โมเลกุลทม่ี เี พยี ง 2 อะตอม การพจิ ารณาสภาพขวั้ ของโมเลกุลทาได้ ดงั น้ี
- ถา้ โมเลกุลโคเวเลนตท์ ม่ี พี จิ ารณามเี พยี ง 2 อะตอม และทงั้ 2 อะตอมนนั้ เป็นธาตุ

ชนดิ เดยี วกนั โมเลกุลนนั้ จะเป็นโมเลกลุ ไมม่ ขี วั้ เชน่ Cl2 O2 N2 เป็นตน้
- ถา้ โมเลกุลโคเวเลนตท์ พ่ี จิ ารณามเี พยี ง 2 อะตอม และทงั้ 2 อะตอมนนั้ เป็นต่าง

ต่างชนิดกนั โมเลกุลนนั้ จะเป็นโมเลกลุ มขี วั้ เช่น HF HCl HBr เป็นตน้
กรณที ่ี 2 โมเลกุลทม่ี ตี งั้ แต่ 3 อะตอมขน้ึ ไป พจิ ารณาสภาพขวั้ ของโมเลกุลได้ ดงั น้ี
1. วาดรปู รา่ งของโมเลกุลโคเวเลนตท์ ต่ี อ้ งการพจิ ารณาใหถ้ ูกตอ้ ง
2. เขยี นลกู ศรแสดงสภาพขวั้ ของพนั ธะ
3. หาแรงลพั ธข์ องสภาพขวั้ แบบเวกเตอร์ โดย

ถา้ แรงลพั ธ์  0 แสดงวา่ โมเลกุลนนั้ เป็นโมเลกุลมขี วั้
ถา้ แรงลพั ธ์  0 แสดงว่า โมเลกุลนนั้ เป็นโมเลกุลไม่มขี วั้

ในโมเลกุลโคเวเลนตบ์ างโมเลกุลอาจเป็นไดท้ งั้ โมเลกลุ ทม่ี ขี วั้ หรอื ไมม่ ขี วั้ กไ็ ด้ ซง่ึ ขน้ึ อยกู่ บั การเขยี นสตู รโครงสรา้ ง
เช่น C2H2Cl2

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธ์ุ อา่ นาคิล
โรงเรียนชยั นาทพทิ ยาคม

::: 34 :::

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อ่านาคิล
โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

::: 35 :::

แบบฝึ กหดั
เรื่อง สภาพขวั้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์

จงเขียนข้อมลู ลงในตารางให้ถกู ต้อง

สตู รโมเลกุล สตู รโครงสรา้ งแบบเสน้ /ขวั้ รปู รา่ งโมเลกุล สภาพขวั้ ทศิ ทางขวั้
NF3 พนั ธะ โมเลกุล

CO2

PCl5

SiCl4

NH2Cl

BFCl2

SnCl2

SF6

CH3Cl

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อ่านาคิล
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

::: 36 :::

1.11 แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ และสมบั ติของสารโคเวเลนต์
การเปลย่ี นสถานะของสารตอ้ งมกี ารใหค้ วามรอ้ นแก่สาร เพอ่ื ใหอ้ นุภาคของสารมพี ลงั งานจลน์

สงู พอทจ่ี ะหลดุ ออกจากกนั แสดงว่าสารแต่ละสถานะมแี รงยดึ เหน่ยี วระหว่างโมเลกุล ซง่ึ เรยี งลาดบั จากมากไป
น้อยดงั น้ี ของแขง็ > ของเหลว > แก๊ส

การเปลย่ี นสถานะของสารโคเวเลนต์ มกี ารทาลายแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างโมเลกุลเท่านนั้ ไมม่ ี
การทาลายพนั ธะเคมี ดงั นนั้ สารทม่ี จี ดุ เดอื ดจดุ หลอมเหลวสงู แสดงวา่ แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลสงู
ประเภทของแรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ มดี งั น้ี

1. แรงลอนดอน ( london foece ) เป็นแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกุล ยดึ เหน่ียวกนั ดว้ ยแรงอ่อนๆ ซง่ึ
เกดิ ขน้ึ ในสารทวั่ ไป และจะมคี ่าเพม่ิ ขน้ึ ตามมวลโมเลกุลของสาร

2. แรงดงึ ดดู ระหวา่ งขวั้ ( dipole – dipole force ) เป็นแรงดงึ ดดู ทางไฟฟ้าอนั เน่อื งมาจากแรงกระทา
ระหว่างขวั้ บวกกบั ขวั้ ลบของโมเลกุลทม่ี ขี วั้

สารโคเวเลนตท์ มี่ ขี วั้ มแี รงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งโมเลกุล 2 ชนิดรวมอยดู่ ว้ ยกนั คอื แรงลอนดอนกบั แรง
ดงึ ดดู ระหว่างขวั้ และเรยี กแรง 2 แรงรวมกนั ว่า แรงแวนเดอรว์ าลส์

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อา่ นาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

::: 37 :::

3. พนั ธะไฮโดรเจน (hydrogen bond , H – bond ) คอื แรงดงึ ดดู ระหวา่ งโมเลกุลทเ่ี กดิ จากไฮโดรเจน
อะตอมสรา้ งพนั ธะโคเวเลนต์ กบั อะตอมทม่ี คี า่ อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ สี งู ๆและมขี นาดเลก็ ไดแ้ ก่ F , O และ N แลว้
เกดิ พนั ธะโคเวเลนตม์ ขี วั้ ชนิดมสี ภาพขวั้ แรงมาก ทงั้ น้เี น่ืองจากพนั ธะทเ่ี กดิ ขน้ึ น้อี เิ ลก็ ตรอนครู่ วมพนั ธะจะถูกดงึ
เขา้ มาใกลอ้ ะตอมของธาตุทม่ี คี ่าอเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ สี งู มากกว่าทางดา้ นอะตอมของไฮโดรเจนมาก และอะตอม
ของธาตุทม่ี คี า่ อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ สี งู ยงั มอี เิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว จงึ เกดิ ดงึ ดดู กนั ระหวา่ งอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดย่ี ว
กบั อะตอมของไฮโดรเจนซง่ึ มอี านาจไฟฟ้าบวกสงู ของอกี โมเลกุลหน่งึ ทาใหเ้ กดิ เป็นพนั ธะไฮโดรเจน

แรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งโมเลกุลทงั้ 3 ชนดิ น้ี พนั ธะไฮโดรเจนจดั เป็นแรงยดึ เหน่ยี วทแ่ี ขง็ แรงทส่ี ดุ ขณะทแ่ี รงลอนดอน
จดั เป็นแรงยดึ เหน่ยี วทแ่ี ขง็ แรงนอ้ ยทส่ี ดุ และทงั้ 3 แรงน้ีแขง็ แรงน้อยกว่าพนั ธะโคเวเลนต์ พนั ธะไออนิก และพนั ธะโลหะมาก

1.12 สมบตั ิของสารโคเวเลนต์
1. มจี ุดเดอื ดจดุ และหลอมเหลวต่า เพราะจะทาใหเ้ ดอื ดหรอื หลอมเหลวตอ้ งใชพ้ ลงั งานไปในการทาลาย

แรงยดึ เหน่ยี วระหว่างโมเลกุล ( ไมไ่ ดท้ าลายพนั ธะโคเวเลนต์ ยกเวน้ โครงผลกึ รา่ งตาขา่ ย ) อาจจะแบง่
สารโคเวนตต์ ามจดุ เดอื ด จุดหลอมเหลว จะได้ 4 พวกดงั น้ี

1.1 สารโคเวเลนตไ์ มม่ ขี วั้ พวกน้จี ะมจี ุดเดอื ดจดุ หลอมเหลวต่ากว่าพวกอ่นื ๆ เพราะโมเลกุลยดึ
เหน่ยี วกนั ดว้ ยแรงลอนดอนอยา่ งเดยี วเท่านนั้

1.2 สารโคเวเลนตม์ ขี วั้ พวกน้จี ะมจี ดุ เดอื ดจดุ หลอมเหลวสงู กวา่ พวกไมม่ ขี วั้ เพราะยดึ เหน่ยี ว
โมเลกุลดว้ ยแรง 2 แรง คอื แรงลอนดอลและแรงดงึ ดูดระหวา่ งขวั้

1.3 สารโคเวเลนตท์ ส่ี ามารถสรา้ งพนั ธะไฮโดรเจนได้ เชน่ HF , NH3 , H2O พวกน้จี ะมจี ดุ เดอื ด
จดุ หลอมเหลวสงู กว่าสารโคเวเลนตท์ ม่ี ขี วั้ เพราะโมเลกุลยดึ เหน่ยี วกนั ดว้ ยแรงแวนเดอร์-
วาลสแ์ ละพนั ธะไฮโดรเจน

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อา่ นาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

::: 38 :::

1.4 พวกทม่ี โี ครงสรา้ งเป็นโครงผลกึ รา่ งตาขา่ ย เชน่ เพชร แกรไฟต์ คารบ์ อรนั ดมั
ซลิ กิ อนไดออกไซด์ พวกน้มี จี ดุ เดอื ดจดุ หลอมเหลวสงู มาก ซง่ึ โดยทวั่ ไปสารโคเวเลนต์
มจี ดุ เดอื ดจดุ หลอมเหลวต่า ทเ่ี ป็นเชน่ น้เี พราะการจดั เรยี งอะตอมภายในผลกึ

2. สารโคเวเลนตจ์ ะไมน่ าไฟฟ้าไมว่ า่ จะอยใู่ นสถานะใด ( ยกเวน้ แกรไฟต์ ) เน่อื งจากไมม่ ี
อเิ ลก็ ตรอนอสิ ระ และเมอ่ื หลอมเหลวไมแ่ ตกตวั เป็นไอออน

3. โมเลกุลทม่ี ขี วั้ สามารถละลายในตวั ทาละลายทโ่ี มเลกุลมขี วั้ ได้ และโมเลกุลท่ไี ม่มขี วั้ สามารถละลายใน
ตวั ทาละลายทไ่ี มม่ ขี วั้ ได้ (มขี วั้ กบั มขี วั้ , ไม่มขี วั้ กบั ไมม่ ขี วั้ = ละลายกนั ได้ แต่มขี วั้ กบั ไมม่ ขี วั้ ไมล่ ะลายกัน)

My note

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อา่ นาคิล
โรงเรียนชยั นาทพทิ ยาคม

::: 39 :::

2. พนั ธะไอออนิก (Ionic bonding)

2.1 การเกิดพนั ธะไอออนิก
พนั ธะไอออนกิ เกดิ จากธาตุทเ่ี ป็นโลหะซง่ึ มคี ่าพลงั งานไอออไนเซชนั ต่า รวมตวั กบั ธาตุอโลหะ

ซง่ึ มี ค่าพลงั งานไอออไนเซชนั สงู แลว้ โลหะใหอ้ เิ ลก็ ตรอนแก่อโลหะ เพ่อื ใหแ้ ต่ละอะตอมมเี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน
ครบ 8 หรอื เป็นไปตามกฎออกเตต อะตอมของโลหะก็จะกลายเป็นไอออนบวก เพราะมโี ปรตอนมากกว่า
อเิ ลก็ ตรอนส่วนอะตอมของอโลหะกลายเป็นไอออนลบเพราะมโี ปรตอนน้อยกว่าอเิ ลก็ ตรอน ไอออนทงั้ สองมี
ประจุต่างกนั จงึ เกดิ แรงดงึ ดูดทางไฟฟ้ายดึ เหน่ียวอะตอมทงั้ สองเขา้ ดว้ ยกนั (เกดิ เป็นพนั ธะไอออนิก) และเรยี ก
สารประกอบทเ่ี กดิ จากอะตอมยดึ เหน่ยี วกนั ดว้ ยพนั ธะไอออนิกวา่ สารประกอบไอออนิก (Ionic compound)

โลหะบางชนดิ เชน่ Be, Sn เม่อื รวมตวั กบั อโลหะบางชนดิ เช่น Cl ไมไ่ ดเ้ กดิ พนั ธะไอออนิก
แต่เกดิ พนั ธะโคเวเลนต์ เชน่ BeCl2 SnCl4 SnCl2 เป็นตน้

ตวั อย่างเช่น
การรวมตวั ระหวา่ งธาตุโซเดยี มกบั ธาตุคลอรนี โดยโซเดยี มเสยี อเิ ลก็ ตรอนใหแ้ ก่คลอรนี 1 ตวั

ทาใหอ้ ะตอมของโซเดยี มมเี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน= 8 (อะตอมจะเถยี รเป็นไปตามกฎออกเตต) และทาใหม้ จี านวน
อเิ ลก็ ตรอนน้อยกวา่ โปรตอน 1 ตวั ทาใหอ้ ะตอมโซเดยี มแสดงอานาจไฟเป็นประจบุ วก(+) สว่ นอะตอมคลอรนี
รบั อเิ ลก็ จากโซเดยี มมา 1 ตวั ทาให้อะตอมของคลอรนี มเี วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน = 8 (อะตอมเสถยี รเป็นไปตามกฎ
ออกเตต) และทาใหม้ จี านวนอเิ ลก็ ตรอนมากกว่าโปรตอน 1 ตวั ทาใหอ้ ะตอมคลอรนี แสดงอานาจไฟฟ้าเป็น
ประจลุ บ (-)

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อา่ นาคิล
โรงเรียนชยั นาทพิทยาคม

::: 40 :::

My note

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อ่านาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

::: 41 :::

2.2 โครงสรา้ งของสารประกอบไอออนิก

ผลกึ ของสารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกและไอออนลบจดั เรยี งตวั สลบั กนั ไป
อยา่ งมรี ะเบยี บทวั่ ทงั้ กอ้ นผลกึ สามมติ ิ ทาใหผ้ ลกึ มโี ครงสรา้ งทแ่ี น่นอน ในการจดั เรยี งตวั ของไอออน ไอออนบวก
จะหอ้ มลอ้ มและสมั ผสั กบั ไอออนลบ ในทานองเดยี วกนั ไอออนลบกจ็ ะหอ้ มลอ้ มและสมั ผสั กบั ไอออนบวก จานวน
ไอออนทห่ี อ้ มลอ้ มและสมั ผสั กบั ไอออนอ่นื เรยี กวา่ โคออรด์ ิเนชนั นัมเบอร์ ( Coordination Number ) ซง่ึ จะมี
จานวนเท่าใดขน้ึ อยกู่ บั ขนาดของไอออนทงั้ สองชนดิ โครงสรา้ งผลกึ ขงสารประกอบไอออนิกทค่ี วรทราบไดแ้ ก่

1. โครงสร้างแบบโซเดียมคลอไรด์ ( Rock salt
structure ) ในผลกึ ของโซเดยี มคลอไรด์
ประกอบดว้ ย Na+ และ Cl- การจดั เรยี งตวั ของไอออน
คอื Na+ จะมี Cl- หอ้ มลอ้ มและสมั ผสั โดยรอบ 6
ไอออน และ Cl- จะมี Na+ หอ้ มลอ้ มและสมั ผสั โดยรอบ
6 ไอออนเชน่ เดยี วกนั โครงสรา้ งแบบโซเดยี มคลอไรด์
โดยทวั่ ไปเรยี กว่า Rock-salt structure สารประกอบ
แฮไลดข์ องโลหะแอลคาไล (ธาตุหมู่ IA) และ
สารประกอบออกไซดแ์ ละซลั ไฟดข์ องโลหะแอลคาไลน์
เอริ ท์ ( ธาตุหมู่ IIA ) สว่ นใหญ่มโี ครงสรา้ งแบบ
เดยี วกบั โซเดยี มคลอไรด์

2. โครงสรา้ งแบบซีเซียมคลอไรด์ ( Cesium
Chloride structure ) เน่อื งจาก Cs+ มขี นาดโต
กวา่ Na+ ดงั นนั้ Cl- จงึ สามารถหอ้ มลอ้ มและสมั ผสั
กบั Cs+ ไดม้ ากกว่า Na+ กล่าวคอื Cs+ มี Cl- หอ้ มลอ้ ม
และสมั ผสั 8 ไอออน ทานองเดยี วกนั Cl- กจ็ ะมี Cs+
หอ้ มลอ้ มและสมั ผสั 8 ไอออนเชน่ เดยี วกนั

3. โครงสร้างแบบแคลเซียมฟลอู อไรด์
( Fluorite structure ) โครงสรา้ งของแคลเซยี ม
ฟลอู อไรดป์ ระกอบดว้ ย Ca2+ และ F- โดย Ca2+ มี F-
หอ้ มลอ้ มและสมั ผสั 8 ไอออน แต่ F- มี Ca2+ หอ้ ม
ลอ้ มและสมั ผสั เพยี ง 4 ไอออนเทา่ นนั้

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อ่านาคิล
โรงเรยี นชยั นาทพทิ ยาคม

::: 42 :::

4. โครงสร้างแบบซิงซลั ไฟด์ ( Zinc blend
structure ) โครงสรา้ งของซงิ ซลั ไฟด์ ประกอบดว้ ย
Zn2+ และ S2- โดย Zn2+ มี S2- หอ้ มลอ้ มและสมั ผสั 4
ไอออน ทานองเดยี วกนั S2- กม็ ี Zn2+ หอ้ มลอ้ มและ
สมั ผสั 4 ไอออนเชน่ เดยี วกนั

เน่อื งจากโครงสรา้ งของสารประกอบไอออนิกประกอบดว้ ยไอออนบวกและไอออนลบมกี าร
จดั เรยี งตวั สลบั กนั ไปแบบต่อเน่อื งทวั่ ทงั้ ผลกึ ไมส่ ามารถแยกออกเป็นโมเลกุลได้ จงึ ถอื วา่ สารประกอบไอ
ออนิกเป็นสารประกอบท่ีไมม่ สี ตู รโมเลกลุ การเขยี นสตู รแทนสารประกอบไอออนกิ ใชส้ ตู รเอมพริ กิ ลั
แสดงอตั ราสว่ นอยา่ งต่าในการรวมตวั กนั ระหว่างไอออนบวกและไอออนลบ

2.3 การเขียนสตู รและการเรยี กชื่อสารประกอบไอออนิก
◉ การเขียนสตู รสารประกอบไอออนิก ใช้หลกั ดงั นี้
1. เขยี นไอออนบวกของโลหะหรอื กลุ่มไอออนบวกไวข้ า้ งหน้า ตามดว้ ยไอออนลบของอโลหะ
หรอื กล่มุ ไอออนลบ
2. ไอออนบวกและไอออนลบ จะรวมกนั ในอตั ราส่วนทท่ี าใหผ้ ลรวมของประจเุ ป็นศนู ย์ ดงั นนั้ จงึ ตอ้ ง
หาตวั เลขมาคณู กบั จานวนประจบุ นไอออนบวกและไอออนลบใหม้ จี านวนเทา่ กนั แลว้ ใสต่ วั เลข
เหล่านนั้ ไวท้ ม่ี มุ ขวาล่างของแต่ละไอออน ซง่ึ ทาไดโ้ ดยใชจ้ านวนประจบุ นไอออนบวกและไอออน
ลบคณู ไขวก้ นั
3. ถา้ กลุม่ ไอออนบวกหรอื ไอออนลบมมี ากกว่า 1 กลุ่ม ใหใ้ สว่ งเลบ็ ( ) และใสจ่ านวนกลุ่มไวท้ ่ี
มมุ ลา่ งขวาล่าง

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธ์ุ อ่านาคิล
โรงเรยี นชยั นาทพิทยาคม

::: 43 :::

◉ การเรียกชอ่ื สารประกอบไอออนิก มีหลักการดังน้ี
1) กรณที โ่ี ลหะมปี ระจบุ วกหรอื เลขออกซเิ ดชนั ไดค้ ่าเดยี ว ใหอ้ ่านชอ่ื โลหะหรอื ไอออนบวกก่อน

แลว้ ตามดว้ ยอโลหะหรอื ไอออนลบโดยเปลย่ี นพยางคท์ า้ ยเป็น ไ-ด์ ( -ide ) สาหรบั สารประกอบทม่ี เี พยี ง 2 ธาตุ
แต่ธาตุทอ่ี ยหู่ ลงั บางธาตุจะมกี ารตดั พยางคท์ า้ ยออกก่อนทจ่ี ะเปลย่ี นเสยี ง เช่น

ไฮโดรเจน เป็น ไฮไดรด์
ไนโตรเจน เป็น ไนไตรด์
ออกซเิ จน เป็น ออกไซด์
ฟอสฟอรสั เป็น ฟอสไฟด์ เป็นตน้

2) กรณที โ่ี ลหะมปี ระจบุ วกหรอื ค่าเลขออกซเิ ดชนั ไดห้ ลายค่า ใหอ้ ่านช่อื โลหะหรอื ไอออนบวก
นาหน้า และระบุค่าประจบุ วกหรอื เลขออกซเิ ดชนั ของโลหะเป็นตวั เลขโรมนั ในวงเลบ็ ทา้ ยช่อื โลหะ และตามดว้ ย
ช่อื อโลหะหรอื ไอออนลบ แลว้ เปลย่ี นเสยี งพยางคท์ า้ ยเป็น ไ-ด์ ( -ide ) สาหรบั สารประกอบทม่ี เี พยี ง 2 ธาตุ หรอื
เ-ต (-ate) หรอื ไ-ต์ (-ite) แลว้ แต่ละกรณี

การเรยี กช่อื สารประกอบเชงิ ซอ้ นและสารประกอบไอออนิกทป่ี ระกอบดว้ ยไอออนเชงิ ซอ้ น อาจเรยี กช่อื
ตามระบบ IUPAC กไ็ ด้ เช่น

ไอออน ชื่อสามญั ชื่อตามระบบ IUPAC สารประกอบ การเรยี กช่ือ

NO2- ไนไตรตไ์ อออน ไดออกโซไนเตรตไอออน NaNO2 โซเดยี มไนไตรต์
NO3- ไนเตรตไอออน ไตรออกโซไนเตรตไอออน NaNO3 โซเดยี มไนเตรต
SO32- ซลั ไฟดไ์ อออน ไตรออกโซซลั เฟตไอออน NaHCO3 โซเดยี มไฮโดรเจนคารบ์ อเนต
SO42- ซลั เฟตไอออน เตตระออกโซซลั เฟตไอออน Mg(OH)2 แมกนเี ซยี มไฮดรอกไซด์
PO32- ฟอสไฟดไ์ อออน ไตรออกโซฟอสเฟตไอออน Ba3(PO4)2 แบเรยี มฟอสเฟต
PO42- ฟอสเฟตไอออน เตตระออกโซฟอสเฟตไอออน Al2(SO4)3 อะลมู เิ นยี มซลั เฟต
NH4Cl แอมโมเนียมคลอไรด์

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อ่านาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพทิ ยาคม

แบบฝึ กหดั ::: 44 :::
เร่ือง การเรยี กชื่อสารประกอบไอออนิก
PO43- CO32-
1. จงเขยี นสตู รของสารประกอบไอออนกิ จากการรวมตวั ของไอออนต่อไปน้ี

ไอออนลบ NO3- OH- SO42- HCO3- ClO3-
ไอออนบวก

Mg2+

Al3+

Cu2+

Pb2+

Ag+

2. จงอ่านชื่อของสารประกอบต่อไปนี้

2.1 Bas ………………………………………….

2.2 ZnO ………………………………………….

2.3 K2CrO4 ………………………………………….
2.4 CSSO4 ………………………………………….
2.5 Cr2O3 ………………………………………….
2.6 FeSO4 ………………………………………….
2.7 Mg(HCO3)2 ………………………………………….
2.8 (NH4)HPO4 ………………………………………….
2.9 Ca(HSO3)2 ………………………………………….
2.10 Cu(OH)2 ………………………………………….
2.11 KClO4 ………………………………………….
2.12 KIO ………………………………………….

2.13 KH2PO4 ………………………………………….

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธ์ุ อ่านาคลิ
โรงเรียนชัยนาทพิทยาคม

3. จงเขียนสตู รของสารประกอบต่อไปนี้ ::: 45 :::

2.1 อะลมู เิ นยี มซลั เฟต ………………………………………….
2.2 โพแทสเซยี มโครเมต ………………………………………….
2.3 ซลิ คิ อนเตตระฟลอู อไรด์ ………………………………………….
2.4 เลด (II) อะซเิ ตต ………………………………………….
2.5. ไอรอ์ อน (III) ออกไซด์ ………………………………………….
2.6 ไตรคารบ์ อนไดซลั ซลั ไฟด์ ………………………………………….
2.7. โคบอลต์ (II) ไนเตรต ………………………………………….
2.8 สตรอนเซยี มไนเตรต ………………………………………….
2.9 ทนิ (IV) ออกไซด์ ………………………………………….
2.10 แคลเซยี มไดไฮโดรเจนฟอสเฟต ………………………………………….
2.11 คลอรนี ไดออกไซด์ ………………………………………….
2.12 ฟอสฟอรสั ไดคลอไรดไ์ ตรฟลอู อไรด์ ………………………………………….
2.13 เตตระซลั เฟอรไ์ ดไนไตรด์ ………………………………………….

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครมู าฆพนั ธุ์ อา่ นาคลิ
โรงเรียนชัยนาทพิทยาคม

::: 46 :::

2.4 พลงั งานกบั การเกิดสารประกอบไอออนิก

กระบวนการเกดิ สารประกอบไอออกนิกจะมกี ารเปลย่ี นแปลงพลงั งานเกดิ ขน้ึ ดว้ ย อาจพจิ ารณาจาก
วฏั จกั รบอรน์ ฮาเบอร์ (Born-haber cycle) โดยอธบิ ายว่าการเกดิ สารประกอบไอออนกิ มหี ลายขนั้ ตอน
ในแต่ละขนั้ ตอนจะมกี ารเปลย่ี นแปลงพลงั งานเกดิ ขน้ึ ดว้ ย จากตวั อยา่ งการเกดิ โซเดยี มคลอไรด์ (NaCl)
จากปฏกิ ริ ยิ าระหว่างโลหะโซเดยี ม (Na) กบั แก๊สคลอรนี (Cl2) ดงั น้ี

1. โลหะโซเดยี มทอ่ี ยใู่ นสถานะของแขง็ ระเหดิ กลายเป็นไอ (กลายเป็นอะตอมในสถานะแก๊ส)
ขนั้ น้ตี อ้ งใชพ้ ลงั งาน หรอื ดดู พลงั งานเท่ากบั 109 kJ/mol เรยี กพลงั งานทใ่ี ชใ้ นขนั้ น้วี ่าพลงั งานการระเหดิ
(Heat of siblimation) สญั ลกั ษณ์ " Hs" หรอื "S"

Na(s) + 109 kJ Na(g).........(1)

+ พลงั งาน

2. อะตอมของโซเดยี มในสถานะแก๊ส เสยี 1 เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนกลายเป็นโซเดยี มไอออนในสถานะแก๊ส
ขนั้ น้ตี อ้ งใชพ้ ลงั งานหรอื ดดู พลงั งาน 494 kJ/mol เรยี กพลงั งานทใ่ี ชใ้ นขนั้ น้วี า่ พลงั งานไอออไนเซชนั่ (Ionization
Energy) สญั ลกั ษณ์ "IE" หรอื "I"

Na(g)+ 494 kJ Na (g) + e .........(3)

+ พลงั งาน +

3. โมเลกุลของคลอรนี (Cl2(g)) ซง่ึ อยใู่ นสถานะแก๊สแตกตวั ออกเป็นอะตอมในสถานะแก๊ส (Cl(g))

1/2Cl2(g) + 242 kJ 2Cl(g)

+ พลงั งาน

แต่ในการเกดิ NaCl(s) 1 mol ตอ้ งใช้ Cl(g) เพยี ง 1 mol ดงั นนั้

1/2Cl2 +121 kJ Cl(g).........(2)

ขนั้ น้ตี อ้ งใชพ้ ลงั งานหรอื ดดู พลงั งานเทา่ กบั 121 kJ เรยี กพลงั งานทใ่ี ชใ้ นขนั้ น้วี ่า พลงั งานสลาย
พนั ธะ หรอื พลงั งานการแตกตวั (Bond Dissociation energy) สญั ลกั ษณ์ " Hdis" หรอื "d"

เอกสารประกอบการเรียน ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อ่านาคลิ
โรงเรยี นชัยนาทพิทยาคม

::: 47 :::

4. คลอรนี อะตอมในสถานะแก๊สรบั อเิ ลก็ ตรอนกลายเป็นคลอไรดไ์ อออนในสถานะแก๊ส (Cl-(g)) ขนั้ น้คี าย
พลงั งานออกมา 347 kJ/mol พลงั งานทค่ี ายออกมาในขนั้ น้เี รยี กว่า สมั พรรคภาพอเิ ลก็ ตรอน (Electron Affinity)
สญั ลกั ษณ์ E หรอื EA

Cl(g) + e- Cl-(g) + 347 kJ...........(4)

+ + พลงั งาน

5. โซเดยี มไอออนในสถานะแก๊ส และคลอไรดไ์ อออนในสถานะแก๊สรวมตวั กนั ดว้ ยพนั ธะไอออนิกไดผ้ ลกึ
โซเดยี มคลอไรด์ (NaCl(s)) ขนั้ น้คี ายพลงั งานออกมา 787 kJ/mol พลงั งานทค่ี ายออกมาในขนั้ น้เี รยี กว่าพลงั งาน
แลคทซิ หรอื พลงั งานโครงร่างผลกึ (Lattic Energy) สญั ลกั ษณ์ U หรอื Ec

Na+(g) + Cl-(g) NaCl(s) + 787 kJ.........(5)

+ + พลงั งาน

เมอ่ื เอาสมการ (1)+(2)+(3)+(4)+(5) จะไดส้ มการรวมหรอื ปฏกิ ริ ยิ ารวมดงั น้ี
Na(s) + 1/2Cl2 (g)-----------------------> NaCl(s) + 410 kJ..........(6)

แสดงวา่ ในการเกดิ NaCl(s) เป็นการเปลย่ี นแปลงประเภทคายพลงั งาน คอื เมอ่ื เกดิ NaCl 1 mol จะคาย
พลงั งานเท่ากบั 410 kJ พลงั งานทค่ี ายออกมาเรยี กวา่ พลงั งานของปฏกิ ริ ยิ าหรอื ความรอ้ นของปฏกิ ริ ยิ าหรอื
ความรอ้ นของการเกดิ สาร สญั ลกั ษณ์ " Hf"

การเกดิ สารประกอบไอออนกิ อาจคายหรอื ดดู พลงั งานกไ็ ดแ้ ต่มกั จะคายพลงั งาน

เอกสารประกอบการเรยี น ว30221
โดย ครูมาฆพนั ธุ์ อา่ นาคลิ
โรงเรียนชยั นาทพทิ ยาคม


Click to View FlipBook Version