๓๙
สารณียธรรมที่ทําใหเปนท่ีรักทําใหเปนที่เคารพเปนไปเพื่อความสงเคราะหกันเพ่ือความไมวิวาทกัน
เพ่ือความสามคั คกี นั เพอื่ ความเปนอนั เดียวกัน
๖. มีอริยทิฏฐิอันเปนธรรมเครื่องนําออกเพื่อความส้ินทุกขโดยชอบแกผูทําตามเสมอกัน
กับเพอ่ื นพรหมจารที ั้งหลายท้งั ตอหนาและลับหลังแมนก้ี เ็ ปนสารณยี ธรรมที่ทําใหเปนที่รัก ทําใหเปนที่
เคารพเปนไปเพ่ือความสงเคราะหกันเพ่ือความไมวิวาทกันเพ่ือความสามัคคีกัน เพ่ือความเปนอัน
เดียวกัน62
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต)๕๖ ไดใหความหมายของสาราณียธรรม (ธรรมเปน
เหตุใหระลึกถึงกัน) คือ เปนหลักธรรมที่เสริมสรางความสัมพันธกับผูอ่ืนที่เปนเพื่อนรวมงานรวม
กจิ การหรอื รว มชมุ ชนตลอดจนพีน่ อ งรว มครอบครวั พงึ ปฏบิ ัติตามหลกั อยูร ว มกัน ไดแ ก
๑. เมตตากายกรรมทําตอกันดวยเมตตา คือ แสดงไมตรีและความหวังดีตอเพื่อนรวมงาน
รวมกิจการหรือรวมชุมชนดวยการชวยเหลือกิจธุระตางๆ ดวยความเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสุภาพ
เคารพนับถอื กันท้งั ตอหนาและลบั หลัง
๒. เมตตาวจีกรรมพูดตอกันดวยเมตตา คือ ชวยบอกแจงสิ่งที่เปนประโยชนส่ังสอนหรือ
แนะนําตกั เตอื นกันดวยความหวังดีกลา ววาจาสภุ าพแสดงความเคารพนับถอื กนั ท้ังตอหนา และลบั หลงั
๓. เมตตามโนกรรมคิดตอ กนั ดว ยเมตตา คือ ตัง้ จติ ปรารถนาดีคิดทําส่ิงที่เปนประโยชนตอ
กันมองกันในแงด ีมหี นา ตาย้มิ แยม แจมใสตอกัน
๔. สาธารณโภคีไดมาแบงกันกินกันใช คือ แบงปนลาภผท่ีไดมาโดยชอบธรรมแมเปนของ
เลก็ นอยกแ็ จกจายใหไดม ีสวนรว มใชส อยบริโภคท่วั กัน
๕. สีลสามัญญตาประพฤติใหดีเหมือนเขา คือ มีความประพฤติสุจริตดีงามรักษาระเบียบ
วนิ ัยของสว นรวมไมท ําตนใหเปนทนี่ า รังเกียจหรอื เส่ือมเสียแกหมูคณะ
๖. ทิฏฐิสามัญญตาปรับความเห็นเขากันได คือ เคารพรับฟงความคิดเห็นมีความ
ความเห็นชอบรวมกันตกลงกันไดในหลักการสําคัญยึดถืออุดมคติหลักแหงความดีงามหรือจุดหมาย
สูงสดุ อันเดียวกันสาราณียธรรมมคี ุณคือเปนสาราณียะทําใหเปนที่ระลึกถึง ๑ เปนปยกรณทําใหเปนท่ี
รัก ๑ เปน ครุกรณท ําใหเปนทีเ่ คารพ ๑ เปนไปเพ่ือความสงเคราะหคือความกลมกลืนเขาหากัน ๑เพื่อ
ความไมว ิวาท ๑ เพือ่ ความสามัคคี ๑ และเพ่ือเอกภาพความเปน อันหนึง่ อันเดียวกัน ๑
พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ) ๕๗ ไดใหความหมายและหลักการปฏิบัติของสา
ราณียธรรมไววาตามสัญชาตญาณของคนท่ีอยูรวมกันนั้นยังปรารถนาความรักความอบอุนความ
ปลอดภัยตอ งการส่งิ ท่ีพงึ พาํ นกั อาศัยตองการไดมีการพักผอนหยอนใจตองการใหมีสันทนาการในดาน
ตางๆ ซึ่งเปนลักษณะความเรียกรองความตองการตามธรรมชาติของส่ิงมีชีวิตในทางพระพุทธศาสนา
กลุมพุทธบริษัทท้ังฝายคฤหัสถและบรรพชิตเม่ือมาอยูรวมกันในวัฒนธรรมของชาวพุทธแลวจําเปนท่ี
๕๖ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, พิมพคร้ังท่ี ๓๐, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท
สหธรรมิกจาํ กดั , ๒๕๔๗), หนา ๒๓.
๕๗ พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ), ธรรมะสําหรับประชาชน, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทคลัง
วชิ าจํากดั , ๒๕๓๖), หนา ๓๔.
๔๐
จะตองอยูดวยความมีคุณธรรมเปนจุดกลางทางความคิดท่ีมาพบกัน โดยการปลูกฝงใหเกิดความรัก
ความเคารพตอกันซึ่งความรักความเคารพตอกันนั้นเปนผลซึ่งอาจจะเกิดข้ึนอาจเกิดจากการแสดง
น้าํ ใจคอื สงเคราะหอนเุ คราะหเม่อื มีความรักความเคารพตอกันใหการสงเคราะหอนุเคราะหตอกันแลว
การทะเลาะววิ าทกันกจ็ ะไมเกดิ ขึ้นความสามคั คี ซ่ึงเปนผลที่พึงปรารถนาของหมูคณะไมวายุคใดสมัย
ใดก็จะบังเกิดข้ึน จากนั้นเอกภาพ คือ ความเปนอันหนึ่งอันเดียวกันทางกิจกรรมทางผลประโยชน
ทางการศกึ ษาการประพฤติปฏิบัติก็จะบังเกิดข้ึนติดตามมาเหลาน้ีเปนเหตุเปนผลของกันและกันแตใน
ขณะเดียวกันสิ่งท่ีดีงามเหลานี้เปนผล รวมยอดซึ่งกันและกันโดยการสรางเหตุเฉพาะในท่ีน้ีทรงแสดง
วาเปนสาราณียธรรม คือ ธรรมท่ีจะนําใจของบุคคลใหระลึกถึงกันผูกพันเชื่อมโยงบุคคลไวดวยนํ้าใจ
ประกอบดว ย ๖ ประการ คอื
๑) เมตตากายกรรมจําทําอะไรใหทําดวยเมตตา ไดแก การแสดงความมีนํ้าใจชวยเหลือ
ขวนขวายในกิจการงานตางๆ ท่ีควรของเพ่ือนภิกษุสามเณรของเพื่อนอุบาสกอุบาสิกาท้ังหลายไมวา
จะเปนตอหนา หรอื ลบั หลงั ก็ตาม
๒) เมตตาวจีกรรมจะพูดอะไรก็ประกอบดวยเมตตา ไดแก การพูดวาจาที่เปนคําสัตยคํา
จริงคําสมานสามัคคีกระชับสามัคคีพูดแตคําไพเราะออนหวานและคําท่ีมีประโยชนน้ันเปนคําท่ีมี
พื้นฐานมาจากเมตตาตอคนที่ตนพูดดวยและคนท่ีพูดถึงพูดตอหนาอยางไรลับหลังก็ตองพูดอยางน้ัน
ลบั หลังพูดอยางไรตอ หนากพ็ ดู อยางนั้น
๓) เมตตามโนกรรมจะคิดอะไรก็คิดดวยเมตตา ไดแก การตั้งความรูสึกในคนและสัตว
ทัง้ หลายวาชีวติ แตล ะชีวิตไมต อ งการความทกุ ขแ ตต อ งการความสขุ ฉนั ใดเพราะฉะนนั้ ขอใหบุคคลนั้นๆ
ดํารงชีวิตอยูดวยความไมมีเวรไมมีภัยไมเบียดเบียนกันไมประทุษรายกันใหแตละคนอยูดีมีสุขตาม
สมควรแกฐานะของตนเมือ่ จะคดิ ถงึ ใครก็ตามไมไดจําเพาะเจาะจงวาเปนภิกษุสามเณรเทานั้นใหคิดถึง
กันดวยเมตตาเราะพรอ มท่ีจะแสดงออกทางกายทางวาจาทั้งตอ หนา และลับหลงั บุคคลเหลา นนั้
๔) แบงปนลาภผลท่ีตนไดมาในทางท่ีชอบธรรมใหแกเพ่ือนภิกษุสามเณรไมหวงไวบริโภค
เฉพาะเพียงผูเดียวคือหลักการอยูรวมกันของพระภิกษุสามเณรเทาน้ันตองเลี้ยงชีพดวยลําแขงของ
ตัวเองเท่ียวภิกษาจรบิณฑบาตอาหารจากชาวบานผูมีจิตศรัทธาเปนการไดอาหารมาในทางท่ีชอบ
ธรรมแตวาการไดปจ จยั ๔ น้นั คนเรามวี าสนาบารมีไมเ หมอื นกนั บางคนไดม ากจนเหลือกินเหลือใชบาง
คนไดน อ ยจนไมค อยพอกนิ พอใช เพราะฉะนั้นคนทไี่ ดล าภผลมาในทางที่ชอบมากจึงตองแสดงออกซ่ึง
ทางกายกรรมทางวจีกรรมที่สะทอนมาจากใจดวยการเอื้อเฟอแบงปนเปนการสงเคราะหอนุเคราะห
เฉลีย่ ความสุขใหแ กก นั และกนั
๕) รักษาศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพ่ือนภิกษุสามเณรอื่นๆ ไมทําตนใหเปนที่รังเกียจของ
ผูอ่ืนคือ การอยูรวมกันของพระภิกษุสามเณรนั้นคอนขางจะอาถรรพแมจะโงไปบางจะเซอไปบางแต
ถาไมมีปญหาเรื่องการประพฤติปฏิบัติแลวยอมเปนท่ียอมรับนับถือของผูท่ีเก่ียวของกันแมจะเปน
เพ่ือนรกั รวมใจกันถา คนหนึง่ ละเมิดศลี ทพ่ี ระพทุ ธเจาไดทรงบัญญตั ิไวจะกลายเปนที่รังเกียจดูหมิ่นของ
เพ่ือนภิกษุสามเณรดวยกันการอยูรวมกันโดยปกติสุขท่ีประสงคจะเกิดข้ึนไมไดดังน้ันจึงตองพยายาม
ปฏิบัติตนใหถกู ตอ งตรงตามหลกั ของศีลที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติไวโดยใหมองวาขอน้ีพระพุทธเจาได
ทรงบัญญัติไวอยางไรใครปฏิบัติถูกตองตรงหลักที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติไวก็ปฏิบัติไปตามเขาทําให
เกิดเปน ความเรียบรอยสวยงามขึ้นทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงเรยี กวา สงั ฆโสภโณ คอื หมคู ณะท่ีงดงาม
๔๑
๖) มีความเห็นรวมกันกับเพื่อนภิกษุสามเณรอ่ืนๆ ไมวิวาทกับใครๆ เพราะมีความเห็นผิด
กันเร่ืองของความเห็นน้ันในฐานะของภิกษุในพระพุทธศาสนาถาเปนความเห็นเกี่ยวกับวินัยก็ตองเอา
วนิ ยั เปน มาตรการกําหนดตัดสินวา ความเห็นของใครถูกตองหรือไมถูกตอง ถาเปนเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ
กต็ รวจสอบเทียบเคียงตรวจทานหลักธรรมะวาขอน้ีพระพุทธเจาทรงแสดงไวอยางไรแลวก็หาจุดกลาง
ทางความคดิ มาพบกันทีน่ แ่ี ตบ างอยา งเปน เรอ่ื งของกจิ การงานหรือแมแตเรื่องความเห็นท่ัวไปอาจจะมี
ความขัดแยงในหลักการและวิธีการบางอยางแตวาสามารถประสบผลเชนเดียวกันไดก็ตองประณี
ประนอมกันไมกอสารทะเลาะวิวาทเพราะเหตุวาความเห็นขัดแยงกันเวนไวแตบุคคลน้ันมีความเห็น
ขัดแยงกับพระธรรมวินัยซึ่งภิกษุสามเณรรูหวงใยในพระพุทธศาสนาจะตองถือเปนภาระหนาที่ท่ีจะ
ขจดั ปรบั วาทะเหลาน้ันใหย ุตลิ งดวยความเรียบรอย
คณาจารยสํานักพิมพเล่ียงเซียง62๕๘ ไดกลาววา สาราณียธรรม หมายถึง ธรรมที่เปนที่ตั้ง
แหงความระลกึ ถึงกนั คอื ผูประพฤติธรรมเหลา นีย้ อมเปน เหตใุ หร ะลึกถึงความดีท่ีทําตอกันเปนที่เคารพ
นับถอื ของผอู ื่นและสมานความสามคั คีกลมเกลยี วในหมูคณะไวไดคือ65
๑. การเขาไปตั้งกายกรรมประกอบดวยเมตตา คือ การชวยขวนขวายทํากิจธุระของกัน
และกันดว ยกายไมวา จะเปน กจิ ธุระอะไรก็ตามก็เต็มใจชวยทํากิจธุระน้ันจนสําเร็จไมน่ิงดูดายเพราะถือ
วา ไมใชห นาทเี่ รื่องอะไรจะทําใหเหนือ่ ยแรงลาํ บากกาย
๒. การเขา ไปตั้งวจีกรรมประกอบดวยเมตตา คือ การแนะนําส่ังสอนบอกกันในแนวทางท่ี
ดถี ูกตอ งเมอ่ื ทําตามแลวเกดิ ความดงี ามไมม ีผลทําใหผ ทู าํ ตามตองไดร บั ความเดือดรอนภายหลัง
๓. การเขาไปตง้ั มโนกรรมประกอบดวยเมตตา คอื การตั้งจติ เปน เมตตาปรารถนาแตความ
ไมมีเวรมีภยั ตอกันมุง หวังแตความสุขความเจรญิ และประโยชนต อกันและกนั
๔. การแบงปนลาภทหี่ ามาไดไ มห วงไวบ รโิ ภคผเู ดยี ว คือ การแบงปนสิ่งของท่ีตนหาไดโดย
ชอบธรรมแกผูอ่ืนตามสมควรแกของท่ีไดมาเพื่อเปนการเกอกูลตอผูที่มีลาภนอยไมหวงไวบริโภคผู
เดยี ว
๕. การรักษาศีลใหบริสุทธ์ิเสมอผูอ่ืน คือ การประพฤติกายวาจาใหเรียบรอยดีไมมีโทษ
ปฏิบัตติ นตามพระวนิ ัยบัญญตั ริ ักษาศลี ตามภาวะของตนไมใหขาดหรือดางพรอยเสมอกนั กับผอู ่ืน
๖. การมคี วามเห็นรวมกันกับผูอ่ืน คือ การมีความเห็นพองตองกันตามพระธรรมวินัยเปน
เหตุใหเกิดความสามัคคีกลมเกลียวกันในการปฏิบัติหนาท่ีตางๆ ไดอยางไมขาดตกบกพรองไมมี
ความเห็นผิดแผกแปลกไปจากผูอ่ืนจนเปนเหตุแหงความแตกราวบาดหมางยอมรับมติของสวนมาก
ธรรม ๖ อยางน้ีทําใหผูประพฤติใหเปนท่ีรักที่เคารพของผูอื่นเปนไปเพื่อความสงเคราะหกันและกัน
เปน ไปเพือ่ ความไมวิวาทกนั และกนั เปน ไปเพื่อความพรอ มเพรียงเปน อนั หนึ่งอันเดียวกนั
ทองหลอ วงษธรรมา ๕๙ ไดกลาววา สาราณียธรรม แปลวา ธรรมเปนเหตุใหระลึกถึงกัน
63
หมายถงึ คณุ ธรรมทที่ าํ ใหค นเราไมเห็นแกตัวแตจะคิดถึงคนอื่นเอ้ือเฟอเผ่ือแผแกผูอื่นเขาใจคนอ่ืนมาก
๕๘ คณาจารยสํานักพิมพเลี่ยงเซียง, หนังสือบูรณาการแผนใหมนักธรรมชั้นตรี, (กรุงเทพมหานคร:
เล่ยี งเซียง, ๒๕๔๖), หนา ๑๐๘-๑๐๙.
๔๒
ขึ้นสาราณียธรรมมี๖อยาง คือ ๑. เมตตากายกรรม คือ ทําตอกันดวยเมตตา หมายถึง ทําส่ิงใดก็ทํา
ดวยความปรารถนาดีตอกันเชนแสดงไมตรีและหวังดีตอเพ่ือนรวมงานรวมกิจการรวมชุมชนโดย
ชวยเหลือธุระตางๆ ดวยความเต็มใจแสดงอากัปกิริยาสุภาพเคารพนับถือ ท้ังตอหนาและลับหลัง ๒.
เมตตาวจีกรรม คือ พูดกันดวยเมตตา หมายถึง จะพูดอะไรก็พูดดวยความปรารถนาดีตอกัน เชน
แนะนําส่ังสอนตักเตอื นกันดวยความหวังดีกลาววาจาสุภาพพูดจริงไมพูดเพ่ือผลประโยชนที่จะเกิดข้ึน
แกต นเองฝายเดียว ๓. เมตตามโนกรรม คือ คิดตอกันดวยเมตตา หมายถึง จะคิดอะไรก็คิดดวยความ
ปรารถนาดี เชน ตั้งจิตปรารถนาดีคิดทําส่ิงท่ีเปนประโยชนแกกันมองกันในแงดี ๔. สาธารณโภคี คือ
แบงปน สง่ิ ทไ่ี ดมาโดยชอบธรรม หมายถงึ แบง ปนลาภผลที่รวมกันหารวมกันทําโดยยุติธรรมแมส่ิงของ
ทไ่ี ดมาจะนอยแตก็แจกจายใหไดมีสวนรวมใชสอยบริโภคทั่วถึงกันน้ัน คือ การรวมสุขรวมทุกขกัน ๕.
สีลสามญั ญตา คอื มีความประพฤติเสมอภาคกัน หมายถึง ประพฤตสิ จุ ริตดีงามเหมือนๆ กันมีระเบียบ
วินัยเปนแบบเดียวกันไมป ระพฤติใหเ ปน ทรี่ งั เกียจหรือเสือ่ มเสยี แกหมูคณะ ๖. ทิฎฐิสามัญญตา คือ มี
ความเสมอภาคกันทางความคดิ หมายถึง ปรับความคิดความเห็นใหมีเหตุมีผลถูกตองเหมือนๆ กันน่ัน
คือ การเคารพเหตุผลยึดหลักความดีงามเปนอดุ มคตอิ ยา งเดยี วกนั
ปญญา ใชบางยาง64๖๐ ไดกลาววา สาราณียธรรม คือ ธรรมเปนท่ีตั้งความระลึกถึงธรรม
เปน เหตุใหระลกึ ถงึ กันหลกั การอยรู ว มกนั ๖ ประการ คอื 6
๑. เมตตากายกรรมตั้งเมตตากายกรรมในเพ่ือนพรหมจรรยท้ังตอหนาและลับหลัง คือ
ชว ยเหลือกิจธุระของผูรว มหมูคณะดว ยความเต็มใจแสดงอาการกริ ิยาสภุ าพเคารพนับถือกันทั้งตอหนา
และลบั หลงั
๒. เมตตาวจีกรรมตั้งเมตตาวจีกรรมในเพ่ือนพรหมจรรยทั้งตอหนาและลับหลังคือชวย
แจงส่ิงท่ีเปนประโยชนส่ังสอนแนะนําตักเตือนดวยความหวังดีกลาววาจาสุภาพแสดงความเคารพนับ
ถอื กนั ทัง้ ตอหนา และลบั หลงั
๓. เมตตามโนกรรมต้ังมโนกรรมในเพ่ือนพรหมจรรยทั้งตอหนาและลับหลัง คือ ตั้งจิต
ปรารถนาดีคิดทาํ สงิ่ ทเ่ี ปนประโยชนแกก นั มองกนั ในแงดีมหี นาตาย้ิมแยมตอกัน
๔. สาธารณโภคไี ดข องท่ีชอบธรรมมาแบง ปนไมห วงไวผเู ดียว
๕. สีลสามัญญตามีศีลบริสุทธ์ิเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรยทั้งตอหนาและลับหลัง คือ มี
ความประพฤติสจุ ริตดีงามถกู ตองตามระเบยี บวินยั ไมทาํ ตนใหเปนทร่ี งั เกยี จของหมูค ณะ
๖. ทฎิ ฐสิ ามัญญตามีทฎิ ฐิดีงามเสมอกันกับเพ่ือนพรหมจรรยท้ังตอหนาและลับหลัง คือ มี
ความเหน็ ชอบรวมกนั ในขอ ที่เปน หลักการสาํ คัญที่จะนาํ ไปสูความหลดุ พน สน้ิ ทุกขห รอื ขจัดปญหา
สรุปไดวา แนวคิดเกี่ยวกับหลักสาราณียธรรม คือ ธรรมเปนท่ีตั้งแหงความระลึกถึงกัน
หลกั การอยูรวมกันอยางสงบสุขซ่ึง ประกอบดวย ๑. เมตตากายกรรม หมายถึง การชวยเหลือเก้ือกูล
กันดว ยความยม้ิ แยม แจม ใสเปน กันเองขยันหม่ันเพียรทํางานเพ่ือประโยชนสุขของสวนรวม ๒. เมตตา
๕๙ ทองหลอ วงษธรรมา, ปรัชญา ๒๐๑ พุทธศาสน, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพโอเอส. พร้ินต้ิง
เฮา ส, ๒๕๓๘), หนา ๒๙๔-๒๙๕.
๖๐ ปญญา ใชบางยาง, ธรรมาธิบาย เลม ๑, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพรติธรรม, ๒๕๔๖),
หนา ๑๒๒-๑๒๓.
๔๓
วจีกรรม หมายถึง การมีมนุษยสัมพันธอัธยาศัยไมตรีดีพูดจาดวยคําสุภาพไพเราะออนหวานพูดดวย
ความจริงใจไมนินทาวารายผูอื่น ๓. เมตตามโนกรรม หมายถึง ต้ังจิตปรารถนาดีคํานึงถึงประโยชน
สว นรวมเอาใจใสค วามสุขความทกุ ขข องบุคลากรปราถนาใหผูอ่ืนมีความสุข ๔. สาธารณโภคี หมายถึง
การชวยเหลือปองกันและบรรเทาสาธารณภัยตลอดจนการจัดสรรงบประมาณอยางเปนธรรมและ
ทั่วถึงโดยคํานึงถึงผลประโยชนของบุคลากรเปนหลัก ๕. สีลสามัญญตา หมายถึง การปฏิบัติตาม
กฎระเบยี บวนิ ัยขอบังคับอยางเสมอภาคและเทาเทียมกัน ๖. ทิฏฐิสามัญญตา หมายถึง มีความ
คดิ เหน็ เปน อยา งเดยี วกันปรับความคิดเหน็ เขาหากนั ไดรูจ กั ยอมรับฟง ความคิดเหน็ ของบุคคลอื่น
๒.๖ หลักเบญจศลี หลักเบญจธรรม
หลักคําสอนในพระพทุ ธศาสนานน้ั พระพทุ ธองคทรงแสดงไว ๒ ระดับ คือ ระดับโลกิยะที่
ทรงเนนถึงหลักการดําเนินชีวิต และระดับโลกุตตระท่ีสามารถทําใหชีวิตพนจากบวงของสังสารวัฏฏ
แตในท่ีน้ีผูวิจัยจะเนนเฉพาะระดับโลกิยะเทาน้ัน โดยหลักคําสอนในขั้นโลกิยะนั้นเปนหลักการที่พระ
พุทธองคทรงสอนใหมนุษยทุกคนปฏบิ ัตเิ พอื่ ใหเ กดิ ความสขุ ความสงบ ความมีเอกภาพความเสมอภาค
ซ่ึงคําสอนเหลา นท้ี ้งั หมดไดต ั้งอยบู นรากฐานของการดําเนินชีวิตดวยหลักการเบื้องตน คือ ศีล ๕ หรือ
เบญจศลี
๒.๖.๑ ความมุง หมายของเบญจศลี
เบญจศีลนับเปนหลกั คําสอนพน้ื ฐานเพ่ือสรางใหมนุษยเปนผูมีคุณธรรม มีเมตตากรุณาตอ
ทุกชีวิตที่จะตองพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อใหสามารถดําเนินชีวิตอยูในสังคมไดอยางปกติสุขไม
เดอื ดรอ น มี ๕ ประการ65๖๑ ดังนี้
ก. สกิ ขาบทท่ี ๑ ปาณาติปาตา เวรมณี เวนจากการฆาสัตวหรือทําลายชีวิต (To abstain
from Killing)
ข. สิกขาบที่ ๒ อทินนฺ าทานา เวรมณี เวน จากการลกั ขโมยหรือฉอโกง (To abstain from
Stealing)
ค. สิกขาบทท่ี ๓ กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี เวน จากการประพฤติผิดในกาม (To abstain
from sexual misconduct)
ง. สิกขาบทที่ ๔ มุสาวาทา เวรมณี เวนจากการพูดเท็จ (To abstain from Fales
speech)
จ. สกิ ขาบทท่ี ๕ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฐานา เวรมณี เวนจากการด่ืมสุราเมรัยหรือสิ่งเสพ
ติดตางๆ ที่อนุโลมเขาในสุราเมรัย ซึ่งจะทําใหประมาทมัวเมา (To abstain from intoxicants
causing heedlessness)
๖๑ พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม, หนา ๑๗๕.
๔๔
จากสิกขาบทท้ัง ๕ ขอ แสดงใหเห็นถึงจุดมุงหมายของเบญจศีล ท่ีจะสรางความสงบ
เรียบรอยใหเกิดข้ึนภายในสังคม ดวยการเวนจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ท้ังทางกายทางวาจา
ดงั ท่ี พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺ โต) ไดก ลา วถึงจุดมงุ หมายของเบญจศลี ไว ดังน้ี
ศีลจึงเปนเร่ืองของระเบียบวินัยเพ่ือสรางสังคมใหเรียบรอย อยูรวมกันดวยความสงบสุข
เปนสภาพเกอื้ กูลแกการดํารงชีวิต และปฏิบัติกิจของสมาชิกทั้งหลาย (ศีลระดับวินัย) ถามองศีลในแง
ของความประพฤติดีงามของบุคคล ซึ่งมีความสัมพันธท่ีดีงามกับผูอื่น เปนผลดีของตัวเองและคนอ่ืนก็
ได มองในแงเครื่องมือ คุมความประพฤติ ทําใหกาย วาจาเรียบรอยงดงามอยูในระเบียบก็ได มองใน
แงขอ ปฏิบตั ิสําหรบั กาํ จัดกเิ ลสขัน้ หยาบทแี่ สดงออกทางกาย วาจา ขัดเกลาคนใหประณีตขึ้นก็ได มอง
ในแงขอ ปฏิบัติสาํ หรับฝก อบรมกาย วาจา และอาชีวะใหอ ยูใ นสภาพ
พรอมที่จะเปนพื้นฐานของการฝก หรือคุณภาพจิตและการใชสมรรถภาพของจิตอยาง
ไดผ ลในระดบั สมาธกิ ็ได มองในแงเ ปนสภาพปกติ ทางกาย วาจา และอาชีวะของผูมีชีวิตดีงามหรือคน
ที่ไดร บั การฝก อบรมดี มกี ารศกึ ษาแทย อ มบรรลภุ มู ธิ รรมชนั้ สูงก็ได
ฉะน้ันจุดมุงหมายของเบญจศีล จึงเปนท้ังหลักการพื้นฐานเพ่ือควบคุมความประพฤติให
เวนจากการเบียดเบียน กอใหเกิดความสงบสุขในสังคม และเปนการปฏิบัติเพื่อฝกฝนตนเองใหเกิด
ความเจรญิ งอกงามย่งิ ข้ึน จนถงึ จดุ มุงหมายสงู สดุ ในพระพุทธศาสนา คอื พระนพิ พาน
๒.๖.๒ การรักษาเบญจศลี
ดวยลักษณะสิกขาบทของศีลท่ีเนนการเวนจากการประพฤติมิชอบ จึงทําใหศีลไมไดเปน
ขอหา มเสียทเี ดยี ว แตบุคคลทั่วไปกลบั ตีความวา เบญจศีล คือ การหามฆาสัตว การหามลักทรัพยการ
หา มประพฤติผิดในกาม การหา มพูดเท็จ เปน ตน แตเม่อื พิจารณาโดยสาระของเบญจศีล เบญจศีลเปน
การประพฤติท่ีดีงาม สุจริต ทางกาย ทางวาจา อาชีวะสุจริต และการมีเจตนาท่ีไมคิดจะลวงละเมิด
เปนสําคัญ ซึ่งคําวา ละเมิด สามารถตีความไดวา การละเมิดระเบียบ การละเมิดกฎเกณฑบทบัญญัติ
การละเมิดวินัยที่วางกันไว หรือการละเมิดตอผูอื่น คือ เจตนาท่ีเบียดเบียนผูอ่ืน ฉะน้ัน การรักษาศีล
จึงเร่มิ จากการมีเจตนาทไี่ มคิดจะลว งละเมดิ เปนสําคัญ ดังความมุงหมายของการรักษาศีลที่แสดงไววา
“ศลี คอื การไมเจตนาละเมิดระเบียบวินัย หรือการไมเจตนาลวงเกินเบียดเบียนผูอ่ืนมองอีกดานหนึ่ง
ศีลอยูท ค่ี วามสํารวมระวัง คือ การสํารวมระวังคอยปดก้ันไมใหความชั่วเกิดขึ้น และถามองใหลึกที่สุด
คือ สภาพจิตของผไู มคิดจะละเมิด ไมคดิ จะเบยี ดเบยี น”๖๒
ทําใหกลาวไดวา อาศัยเจตนาจะงดเวนในการรักษาศีลจึงทําใหศีลเกิดข้ึนไดแตถาไมมี
เจตนาจะงดเวน หรือจะรกั ษาศีลเสยี แลว แมผูน้ันไมไดทําความช่ัว เชน ไมฆาสัตวหรือไมลักทรัพยก็ไม
นับวามีศีล เปรียบเสมือนเด็กที่นอนแบเบาะ แมไมทําความชั่วก็ไมมีศีลเพราะไมมีเจตนาจะงดเวน
หรอื เปรยี บเหมือนอยางววั ควาย แมม ันไมฆาสัตว ไมลักทรัพยก็ไมมีศีลเพราะไมมีเจตนางดเวน ฉะนั้น
๖๒ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๑/๘๙/๑๔๙-๑๕๐.
๔๕
การท่ีจะมศี ลี ไดจึงตองมีเจตนาเปนเครื่องงดเวน หรือมีเจตนาวิรัติ ซึ่งเจตนาวิรัติสามารถจําแนกได ๓
ประเภท67๖๓ คือ
ก. สัมปตตวิรัติ คือ การงดเวนดวยเหตุการณท่ีเกิดข้ึนเฉพาะหนา เปนการงดเวนของผูที่
ไมต ง้ั ใจจะรักษาศีลมากอน แตเมอื่ มีเหตุการณเกิดข้ึนจําเพาะหนาอันอาจจะทําใหลวงศีลไดแตไมยอม
ลวงศีลเกิดงดเวนข้ึนมาในขณะน้ัน เชน มีโอกาสจะฆาสัตวไดแตไมฆา มีโอกาสจะลักของคนอ่ืนไดแต
ไมลัก หรือมีโอกาสจะประพฤติผิดในกามได แตไมยอมประพฤติผิดในกามโดยคํานึงวา การกระทํา
เชน นี้ไมเ หมาะไมควรแกฐานะและสกุลของตนเอง จงึ งดเสียในขณะนน้ั
ข. สมาทานวิรัติ คือ การงดเวนดวยการสมาทาน ไดแก ผูท่ีสมาทานสิกขาบทแลวยอม
สละแมกระท่ังชวี ติ ของตน ท้ังในเวลาสมาทานสิกขาบท ทั้งในเวลาอื่น จากน้ันไมลวงละเมิดเชน ภิกษุ
สามเณร คฤหัสถ ผูถือบวช หรือวิรัติของผูรับสิกขาบทท้ังหลาย โดยนัยอยางนี้วา ต้ังแตวันนี้ไป
ขาพเจาจะไมฆาสตั ว เพราะเหตแุ หงชีวิตเปน ตน กด็ ี ขา พเจา จะเวน จากปาณาติบาตเปน ตน ก็ดี ขาพเจา
สมาทานเจตนาเคร่ืองเวน เปน ตน
ค. สมจุ เฉทวิรัติ คอื เวนไดโ ดยเด็ดขาด เปน วิรัติของพระอริยบคุ คล ตั้งแตพระโสดาบันขึ้น
ไป คือ พระอรยิ บุคคลทกุ จําพวก มเี บญจศีลบรบิ รู ณท ีส่ ุด ทานงดเวนจากเวร ๕ ไดเด็ดขาดโดยไมตอง
สมาทานหรือคอยพะวงรักษา เพราะทานเห็นโทษของการประพฤติลวงศีล อยางแทจริงแมใครจะมา
บังคบั ใหทานประพฤติลวงเบญจศีล ทานยอมตายเสียดกี วา ท่ีจะประพฤติลว ง
แมเบญจศีลจะมีอุบายใหเกิดศีลไดตางกัน แตโดยนัยสําคัญของศีลแลวยอมตอง
ประกอบดวยเจตนาอยางเดียวกัน คือ ความงดเวน ไมลวงละเมิด ไมเบียดเบียน และรักษาเจตนาน้ัน
จงึ จะนับวาเปนการรักษาศีล ไมใชการยึดติดเพียงอุบายในการรักษาศีล แตไมไดนําศีลมาปฏิบัติอยาง
แทจ รงิ
๒.๖.๓ อานิสงสของเบญจศลี
ดวยจุดมุงหมายของเบญจศีล ที่เปนท้ังหลักการพ้ืนฐานเพื่อควบคุมความประพฤติ และ
เปนการปฏิบัติเพื่อฝกฝนตนเองใหเกิดความเจริญงอกงามยิ่งขึ้น จนถึงจุดมุงหมายสูงสุดใน
พระพุทธศาสนาจึงทําใหเบญจศีลมีอานิสงสทั้งในปจจุบัน เบื้องหนา กระทั่งประโยชนสูงสุดแกชีวิต
ของผูปฏิบัติเชน ทําใหเปนท่ีรักที่เคารพของคนท้ังหลายสามารถอยูในสังคมไดอยางสุขสงบ ไมกอเวร
กอภัยตอ ผูใด ทําใหเปน คนสงางาม มีผวิ พรรณผองใส ดงั ทีพ่ ระพทุ ธองคท รงแสดงไว ดงั นี้
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบดวยธรรม ๕ ประการ ยอมดํารงอยูในสวรรค เหมือนไดรับ
อญั เชิญไปประดษิ ฐานไว ธรรม ๕ ประการ คอื
ก. เปนผูเวนขาดจากการฆา สัตว
ข. เปนผเู วน ขาดจากการลักทรัพย
ค. เปนผูเวน ขาดจากการประพฤติผิดในกาม
๖๓ ขุ.อติ ิ.อ.(บาลี) ๗๓/๒๖๗.
๔๖
ง. เปนผูเวนขาดจากการพดู เทจ็
จ. เปนผูเวนขาดจากการเสพของมึนเมา คือ สุราและเมรัยอันเปนเหตุแหงความประมาท
๖๔
68
ในขณะเดียวกันผูที่ละเมิดศีลยอมกอใหเกิดโทษภัยในทางตรงกันขาม ดังที่พระพุทธองค
ทรงแสดงไว ดงั นี้
ภิกษทุ ัง้ หลาย บคุ คลประกอบดวยธรรม ๕ ประการ ยอมดํารงอยูในนรก เหมือนถูกนําไป
ฝง ธรรม ๕ ประการ คือ
ก. เปน ผูฆ า สัตว
ข. เปน ผลู กั ทรัพย
ค. เปนผูประพฤตผิ ดิ ในกาม
ง. เปนผูพ ูดเท็จ
จ. เปนผเู สพของมึนเมา คอื สุราและเมรยั อนั เปนเหตแุ หง ความประมาท69๖๕
รวมถึงโทษภยั ทผ่ี ูละเมดิ ศลี ยอมไดรบั ดงั ท่ีพระพทุ ธองคทรงแสดงไว ดงั น้ี
ก. บุคคลทุศีลเปนท่ีเกลียดชังแหงเพื่อนพรหมจรรย ไมเปนท่ีรักของเทวดาและมนุษย
บงั เกดิ ความเดอื ดรอน มีผิวพรรณหมน หมอง ทาํ ใหไ ทยธรรมของทายกมีผลนอย บัณฑิตไมอาจชําระผู
ทุศีลใหบ รสิ ุทธ์ิได
ข. ยอ มเส่ือมจากสมบัติท้ัง ๒ คอื สมณสมบัติและคฤหัสถสมบัติ
ค. แมวา จะปฏญิ าณตนวา เปน ภิกษุ ก็มิไดเ ปน ภกิ ษุแทจริง ยอมสะดุงอยเู ปนนติ ย
ง. ยอ มไมควรแกสังวาสดวยพรหมจารี แมจ ะเปนพหสู ตู ก็ไมควรสักการะ
จ. ยอมไมควรตรัสรูธรรมวิเศษ เปนผูไมมีความปรารถนาในปฏิบัติธรรมและปฏิเวธธรรม
๖๖
70
นอกจากนี้อาจพิจารณาถึงอานิสงคของศีลท่ีจะเกิดขึ้นกับผูรักษาศีลไดจากคําบอก
อานิสงสของศลี ที่พระสงฆบอกใหท ราบ เม่อื มีการอาราธนาศลี และสมาทานศลี ๕ แลว ดังนี้
สเี ลนะ สุคะตงิ ยันติ บคุ คลจะไปสสู ุคตไิ ดกเ็ พราะศลี
สีเลนะ โภคะสัมปะทา บคุ คลจะไดโ ภคทรัพยส มบัติไดก ็เพราะศีล
สีเลนะ นิพพตุ งิ ยันติ บคุ คลจะดับทุกข ความเดอื ดรอนจนเขา ถงึ พระนิพพานกเ็ พราะศีล
ตสั มา สลี ัง วิโสธะเย จงพากนั ทาํ ศลี ใหบ รสิ ทุ ธิ์ แลวจะมีความสุขตลอดไป71๖๗
๖๔ องฺ. ปจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๑๔๕/๒๔๒.
๖๕ อง.ฺ ปจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๑๔๕/๒๔๑-๒๔๒.
๖๖ องฺ.ปฺจก.(ไทย) ๒๒/๒๑๓/๒๒๖-๒๒๗.
๖๗ พระครอู รณุ ธรรมรงั ษี (เอย่ี ม สริ ิวณฺโณ), มนตพธิ ,ี พมิ พครั้งท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพอักษร
สมัย, ม.ป.ป.), หนา ๑๗๙.
๔๗
ซึ่งพรในความหมายนี้ เปนความหมายที่อนุโลมตามอยางภาษาไทย สวนในภาษาบาลี
เรียกวา ธรรมอันนา ปรารถนา ซึง่ จะบรรลุไดดว ยกรรมคอื การกระทาํ ที่ดอี นั เปนบุญ ดังนี้
ก. อายุ คอื พลงั ทห่ี ลอ เลีย้ งทรงชวี ติ ใหส บื ตอ อยูไ ดย าวนาน ไดแ ก อิทธิบาท ๔
ข. วรรณะ คือ ความงามเอบิ อ่มิ ผองใสนาเจริญตาเจริญใจ ไดแก ศีล
ค. สขุ ะ คือ ความสขุ ไดแก ฌาน ๔
ง. โภคะ คอื ความพรั่งพรอมดวยทรพั ยสมบัตแิ ละอุปกรณตางๆ อันอํานวยความสุขความ
สะดวกสบาย ไดแก อปั ปมญั ญา หรือพรหมวิหาร ๔
จ. พละ คือ กําลังแรงความเขมแข็งท่ีทําใหขมขจัดไดแมแตกําลังแหงมาร ทําใหสามารถ
ดําเนินชีวิตที่ดีงามปลอดโปรงเป นสุข บําเพ็ญกิจดวยบริสุทธ์ิและเต็มที่ ไมมีกิเลสหรือความทุกขใดๆ
จะสามารถบบี คั้นครอบงาํ ไดแ ก วมิ ุตติ ความหลุดพน หมดสิ้นอาสวะหรืออรหันตผล72๖๘
ฉะน้ัน ผูที่มีความเกรงกลัวตอบาปภัย และปรารถนาความเจริญงอกงามแกชีวิตของ
ตนเองจึงพึงรักษาเบญจศีล เพราะเบญจศีลยอมกอใหเกิดประโยชนท้ังในปจจุบัน เบ้ืองหนา และ
ประโยชนสูงสุดแกชีวิต รวมถึงเบญจศีลยอมกอใหเกิดประโยชนแกสังคมสวนรวม ที่ยอมมีความสงบ
เรยี บรอ ยไปดวย
๒.๗ ความรเู กี่ยวกับหลกั อุโบสถศีล
การรกั ษาอุโบสถศีลนัน้ จดั เปนคณุ ธรรมท่ีสาํ คญั ในการฝก ฝนอบรมตนใหเกิดสมาธิ ปญญา
คือขอศีลที่กําหนดรักษาเปนพิเศษเฉพาะคราวของคฤหัสถเพื่อฝกควบคุมกายและวาจาใหประณีตข้ึน
ไป เปนอุบายขัดเกลากิเลสอยางหยาบใหเบาบางและเปนทางแหงความสงบระงับอันเปนความสุข
อยางสูงในพระพุทธศาสนา อุโบสถศีลนี้ เปนหลักความประพฤติที่นักปราชญในสมัยกอน เปนวงศ
ปฏบิ ตั ขิ องโบราณบัณฑิต เชน ดาบสโพธิสัตว แมสัตวท้ังหลายในยุคสมัยกอนๆ เปนตน ทานเหลานั้น
ไดเขาจําอโุ บสถเพอ่ื ขม กิเลสราคะ รกั ษาสืบเน่ืองกันมาจนเปนวงศประเพณีปฏิบัติท่ีแพรหลาย ซึ่งเปน
เหตใุ หเ กดิ ประโยชนคือความสงบแหงจิตใจ และเปนทางแหงความสงบระงับอันเปนความสุขอยางสูง
ในพระพทุ ธศาสนา เกิดปญ ญามองเห็นวธิ แี กไ ขปญหาทถี่ กู ตองได ซึง่ มีรายละเอียด ดงั น้ี
๒.๗.๑ ความเปนมาของอุโบสถศลี
วันอโุ บสถน้ัน นักปราชญผูรู สันนิษฐานวามีมากอนสมัยพุทธกาล ในเรื่องน้ีมีเร่ืองปรากฏ
จากการทําพิธีกรรมของพวกพราหมณในสมัยพระเวทในชมพูทวีปประเทศอินเดีย ท่ีเรียกวายัญพิธี
หรือพิธีบูชายัญ ซ่ึงพวกพราหมณไดกําหนดวันประกอบพิธีน้ีขึ้นมา เพื่อเปนการชุมชนรวมกันเพ่ือ
แสดงออกถงึ ความเปนอันหน่งึ อันเดยี วกนั ในวันนีเ้ จาของเรือนท้ังหลายผูจะประกอบพิธี จะตองมีการ
เตรียมตัวลวงหนาดวยการอดอาหารตลอดท้ังวันหรืองดอาหารบางชนิดในบางเวลา เม่ือถึงเวลา
กลางคนื เจา ของเรือนจะตอ งรกั ษาตวั อยูแตภ ายในบานและปฏิบตั ดิ ูแลกองไฟบูชายัญ พวกเขาเช่ือกัน
วาในวันนน้ี ัน้ เทวดาทั้งหลายจะลงมาอยูดวย สําหรับวันท่ีพวกพราหมณไดกําหนดไวในการประกอบ
๖๘ พระธรรมปฎ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม, หนา ๑๖๙.
๔๘
พธิ บี ูชาไฟนน้ั ไดกําหนดไว ๑ เดอื น กําหนดการปฏิบัติ ๒ วัน คือในวันเพ็ญที่มี่พระจันทรเต็มดวง คือ
วันเพ็ญ ๑๕ ค่ํา และในวันแรกที่เห็นดวงจันทร คือวันข้ึน ๑ คํ่า ของเดือนใหม การปฏิบัติพิธีกรรมนี้
ของพวกพราหมณไดกลายเปนการจําศีลดวยการอดอาหาร แลวกลายมาเปนวันอุโบสถของอุบาสก
อุบาสกิ าในพระพุทธศาสนา
ในพระวินัยปฏก มหาวรรค อุโบสถขันธกะ ไดกลาววา สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา
ประทบั อยู ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห พวกปริชาชกอัญเดียรถีย73๖๙ ประชุมกันกลาวธรรม ใน
วัน ๑๔ ค่ํา ๑๕ ค่ํา และ ๘ ค่ํา แหงปกษ ประชาชนท้ังหลายพากันเขาไปหาเพ่ือฟงธรรม พวกปริชา
ชกอัญเดียรถียก็ไดรับความรักความเล่ือมใสและไดพรรคพวก พระเจาพิมพิสารไดทรงทราบเร่ืองน้ี
ทรงดําริวา ถาพระสงฆสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจาทําการประชุมแสดงธรรมอยางน้ีบาง ยอมเกิด
ผลดแี กพ ระพทุ ธศาสนาแนแท จึงไดเ สด็จไปเฝาพระสัมมาสัมพุทธเจา ณ ท่ีประทับ กราบทูลเร่ืองน้ีให
ทรงทราบ พระสัมมาสัมพุทธเจาจึงตรัสเรียกภิกษุท้ังหลายมาแลวรับส่ังกับภิกษุท้ังหลายวา “ภิกษุ
ท้ังหลาย เราอนุญาตใหประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ํา ๑๕ ค่ํา และ ๘ คํ่า แหงปกษ” ภิกษุทั้งหลายจึงมา
ประชุมกนั ในวนั ๑๔ ค่าํ ๑๕ ค่ํา และ ๘ คํ่า แหงปกษ แลวน่งั นง่ิ ไมไ ดแสดงธรรม ประชาชนเขาไปหา
ภิกษุเหลาน้ันเพ่ือฟงธรรม ไมไดฟงธรรม จึงพากัน ตําหนิ โพนทะนาวา “ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระ
ศากบุตรทั้งหลายประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ํา ๑๕ คํ่า และ ๘ คํ่า แหงปกษแลว จึงน่ังน่ิงเหมือนสุกรใบ
เลา74๗๐ ธรรมดาวาผูประชุมกันก็ควรกลาวธรรมมิใชหรือ” พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงทราบเรื่อง จึง
รับส่ังกับภิกษุท้ังหลายวา “ภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตใหประชุมกันกลาวธรรมในวัน ๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า
และ ๘ คํา่ แหงปกษ” ภกิ ษทุ ้งั หลายจงึ ไดแสดงธรรมใหประชาชนฟง ประชาชนตางพออกพอใจแลวก็
หันมานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา จึงกลายเปนธรรมเนียมถือปฏิบัติกันวาตองมาฟงธรรมทุกวันขึ้น ๑๔ คํ่า
๑๕ ค่ํา และ ๘ ค่ํา แหงปกษ75๗๑ ดังน้ันวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทรงกําหนดใหภิกษุประชุม
กันในวันขึ้น ๑๔ คํ่า ๑๕ ค่ํา และ ๘ ค่ํา น้ี เรียกวา “วันอุโบสถ” ในวันน้ีทรงอนุญาตใหภิกษุสวดพระ
ปาตโิ มกข และแสดงธรรมเทศนาดวย ทําใหมีประชาชนผูสนใจมาฟงพระธรรมเทศนาจํานวนมาก วัน
อุโบสถน้ี จึงมีช่อื เรยี กอีกอยางหนึ่งวา “วันธัมมัสสวนะ” แปลวา วันสําหรับฟงธรรมเทศนา หรือเรียก
ตามภาษาชาวบานวา “วันพระ” แปลวา วันดี วนั ประเสรฐิ ซ่งึ หมายถึงวันท่ีจะฝกตนใหเปนคนดีเปน
ผูประเสริฐ แตคําวา “วันพระ” ไมปรากฏในคัมภีรพระพุทธศาสนาหรือพระไตรปฏกและอรรถกถา
เลมใด แตมีปรากฏในหนังสือ “ไตรภูมิพระรวง” ซึ่งถือวาเปนวรรณคดีไทยเร่ืองแรก ท่ีพระเจาลิไท
กษัตริยรัชกาลท่ี ๕ แหงกรุงสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธขึ้น มีคําวาวันพระปรากฏอยูหลายแหง และ
บางคร้ังวันพระน้ันก็เรียกวา “วันศีล” มีท้ังวันศีลใหญ วันศีลเล็ก ซึ่งก็คือวันพระใหญและวันพระเล็ก
นั่นเอง วนั พระใหญ ไดแ ก วนั ๑๔ คา่ํ (วันเดือนขาด) และวัน ๑๕ ค่ํา สวนวันพระเล็กไดแกวัน ๘ คํ่า
และสมยั พอขนุ รามคาํ แหงมหาราช กท็ รงเรยี ก วันธมั มัสสวนะวา “วันพระ” เชนกัน คือวันดี หมายถึง
วนั ทคี่ นมาทําสง่ิ ท่ีดีๆ และถือศลี อุโบสถกนั ดว ย
๖๙ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๑๐๕.
๗๐ วิ.มหา.อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๑๐๕.
๗๑ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓๒/๒๐๗-๒๐๙.
๔๙
จากขอมูลขางตน พอสรุปไดวา วันอุโบสถในพระพุทธศาสนา มีจุดกําเนิดกอนสมัยพระ
พทุ ธกาลของพวกพราหมณใ นสมัยพระเวท เมื่อมาถึงสมยั พระพุทธเจา พวกเดียรถียไดประชุมกันเพ่ือ
สนทนาธรรมกัน ในวัน ๑๔ คํ่า ๑๕ ค่ํา และ ๘ ค่ํา แหงปกษ ประชาชนพากันเขาไปหาเพ่ือฟงธรรม
พระเจาพิมพิสารไดทรงทราบเรื่องน้ัน ทรงพระดําริวา แมพระภิกษุสงฆก็สมควรจะประชุมกันในวัน
เชนนั้นบาง ยอมเกิดผลดีแกพระพุทธศาสนา พระองคจึงเสด็จไปเฝาพระสัมมาสัมพุทธเจา กราบทูล
เร่ืองนี้ใหทรงทราบ พระพุทธองคจึงรับสั่งกับภิกษุท้ังหลาย และทรงอนุญาตใหมีวันอุโบสถศีลขึ้น
พระภิกษุสงฆจ งึ ปฏิบัติตามพระพทุ ธดํารสั ทีต่ รสั อนุญาตนับแตนั้นมา
๒.๗.๒ ความหมายของอโุ บสถศีล
อุโบสถศีลไดมีนักวิชาการหรือนักปราชญในทางพระพุทธศาสนากลาวไว โดยผูวิจัยจะขอ
ยกมาพอสงั เขปดังนี้
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมหลวงวชิรญาณวโรรส76๗๒ กลาวไววา ศีล ๘ ประการ คือ
เวนจากฆา สตั ว ๑ เวนจากลกั ทรัพย ๑ เวนจากกรรมไมใชพรหมจรรย ๑ เวนจากกลาวเท็จ ๑ เวน
จากด่ืมสุราเมรัย ๑ เวนจากกินอาหารในเวลาวิกาล ๑ คือตั้งแตอาทิตยเที่ยงแลวไปจนถึงเวลาอรุณ
ขึ้นใหม ๑ เวนจากฟอนรําขับรองและประโคมเครื่องประโคมดวยตนเอง และดูการเลนเชนนั้น และ
ตกแตงประดับการดวยดอกไมของหอม เครื่องยอมทากายใหมีผิวงามและเครื่องประดับ ๑ เวนจาก
นั่งนอนบนเตียงต่ังมีเทาสูงกวาประมาณและเบาะฟูก ภายในมีนุนสําลีและเครื่องลาดวิจิตรดวยทอง
เงิน ๑ เรียกวา อุโบสถศีล เปนศีลวิเศษอันอุบาสก อุบาสิกาจะพึงเขาพักอยูในกาลเปนคร้ังคราว คือ
วนั ท่ี ๑๔ คาํ่ หรือวนั ที่ ๑๕ คาํ่ และวันที่ ๘ ค่าํ เพ่อื ประโยชนแ กค วามสงดั กายและจติ เปน ครั้งคราว
ธนติ อยูโ พธ์ิ77๗๓ ไดส รุปความหมายของคําวา อุโบสถ วา “อุโบสถ คือ การเขาอยู การอยู
รักษา การอยูจํา คือ อยูดวยการกําหนดใจไว อยูดวยการเตรียมเนื้อเตรียมตัวโดยมีความต้ังใจอยู
รกั ษา หมายถึงอยูจําศีล โดยมกี ารอดอาหารในเวลาวิกาลเปน หลักสาํ คัญ”
แกว ชิดตะขบ78๗๔ ไดส รุปความหมายของอุโบสถวา อุโบสถ แปลวา การอยูจํา การเขาจํา
หมายถึงการรักษาศีล ๘ และบําเพ็ญขอปฏิบัติอยางอ่ืนที่สมควรมีฟงพระธรรมเทศนาเปนตนของ
คฤหสั ถอ ันมลี กั ษณะเปน การอยจู ําคอื หยดุ ประกอบกิจการงานของฆราวาสผูครองเรือน เชน หยุดการ
ทํานาทาํ ไรเ ปนตน ไวชั่วคราวเพื่อบาํ เพ็ญกุศลทาํ ความดีพเิ ศษตามหลักพระศาสนาในกาลท่ีกําหนด คือ
วนั ขึน้ และแรม ๘ ค่าํ วนั ข้นึ และแรม ๑๕ คํ่า (หรอื แรม ๑๔ คา่ํ )
๗๒ สุเชาวน พลอยชุม, สารานุกรมพระพุทธศาสนา ประมวลจากพระนิพนธ สมเด็จพระมหาสมณ
เจากรมพระยาวชริ ญาณวโรรส, (กรงุ เทพมหานคร: มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๒๙), หนา ๘๗.
๗๓ ธนติ อยโู พธิ์, อานิสงสอุโบสถศีล, พมิ พครง้ั ที่ ๔ (กรงุ เทพมหานคร: ศวิ พรการพิมพ, ๒๘๓๗), หนา
๓๕.
๗๔ แกว ชิดตะขบ, คูมือพุทธศาสนิกชน, พิมพครั้งท่ี ๔ (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพสํานักงาน
พระพุทธศาสนาแหงชาติ, ๒๕๕๔), หนา ๑๘๒.
๕๐
อโุ บสถศีลตามความหมายของนักปราชญ พอสรุปไดวา เปนศีล ๘ ประการ ท่ีอุบาสกและ
อุบาสิกา สมาทานรักษาเขาอยูจําในวันพระ ดวยการกําหนดใจไว ละเวนกิเลสทั้งปวง บําเพ็ญกุศลท่ี
เกดิ ประโยชนแกความสงบระงบั อันเปนความสขุ อยา งสูงในพระพุทธศาสนา
๒.๗.๓ ประเภทของอุโบสถศลี
๑. อุโบสถศีลตามวันท่ีกําหนดรักษา อุโบสถศีลที่จัดตามวันกําหนดเวลาท่ีรักษา มี ๓
ประเภท มีรายละเอียด ดงั น้ี
๑) ปกตอิ โุ บสถ ไดแก การอยูรักษาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนตามวันท่ีไดถูกกําหนดไวใน
แตละสมัย คือสมัยพระเวท มีการรักษาอุโบสถเดือนละ ๒ วัน ไดแก วันข้ึน ๑ ค่ํา และวันข้ึน ๑๕ คํ่า
สมัยกอนพุทธกาลเดือนละ ๖ วัน คือ วันขึ้น ๘ คํ่า ข้ึน ๑๑ ค่ํา ขึ้น ๑๑ คํ่า แรม ๘ ค่ํา แรม ๑๑ ค่ํา
แรม ๑๔ ค่ํา แรม ๑๕ คํ่า สมัยพุทธกาลเดือนละ ๖ วัน คือวันขึ้น ๘ คํ่า ขึ้น ๑๔ คํ่า ข้ึน ๑๕ คํ่า และ
แรม ๑๔ ค่ํา แรม ๑๕ คาํ่ หลงั จากพระพทุ ธเจาปรินิพพานแลว ไดม ีการกาํ หนดใหมีวันอุโบสถเพ่ิมขึ้น
เปนเดือนละ ๘ วัน คอื ขางขึน้ ๔ วัน ไดแ กวันขึ้น ๕ คํ่า ขึ้น ๘ คาํ่ ขึ้น ๑๔ คํ่า ขางแรม ๔ วัน คือ วัน
แรม ๕ คํ่า แรม ๘ คํา่ แรม ๑๔ ค่าํ และแรม ๑๕ คํา่ ปจจบุ ันในประเทศไทยมกี ารกาํ หนดวันประชุม
ถือศีลฟงธรรมหรือที่เรียกวาวันพระไวเดือนละ ๔ วัน คือ วันข้ึน ๘ คํ่า ขึ้น ๑๕ คํ่า แรม ๘ ค่ํา และ
แรม ๑๕ ค่ํา หรือแรม ๑๔ คํ่า ในกรณีที่เดือนขาด โดยผูท่ีประสงคจะรักษาอุโบสถประเภทนี้จะ
เร่ิมตนรักษาต้ังแตเวลาเชาของวันพระไปจนกระทั่งถึงอรุณในวันใหม จึงกลาวคําลาพระรัตนตรัยซึ่ง
ถอื วา เปนอันสิน้ สุดกําหนดการรักษาอโุ บสถในวันพระนนั้
๒) ปฏิชาครอุโบสถ คือ อุโบสถของผูตื่นอยู (คือผูกระตือรือรนขวนขวายในกุศล
ธรรม ไมห ลบั ไหลดว ยความประมาท) ไดแ กอโุ บสถทรี่ ักษาครั้งหนึ่งๆ ถึง ๓ วัน คือรักษาในวันอุโบสถ
ตามปกติ พรอมทั้งวนั หนาและวนั หลงั ของวนั รักษานั้น ซ่ึงเรียกวาวันรับและวันสงดวย เชน อุโบสถท่ี
รักษาในวัน ๘ ค่ํา มีวนั ๗ คํา่ เปน วันรบั วัน ๙ คํา่ เปน วันสง
๓) ปาฏหิ ารกิ ปกขอุโบสถ หรอื ปาฏิหารยิ ปกขอุโบสถ คือ อุโบสถที่รักษาตลอดปกษ
ของเดือน โดยกําหนดเปน พิเศษประจําป เร่อื งนี้พระอรรถกถาจารยไดอธิบายไวตา งๆ กันดังน้ี
ในอุตตราวิมานวัตถุ ตอนแกวอุตตราวิมาน อธิบายปกขอุโบสถไววา ไดแก ปกษที่นําเขา
ใกล คอื ปกษท่ีชาํ ระอโุ บสถศลี ใหสะอาด ดวยสามารถรับและการสงวัน (ปกติอุโบสถ) ๑๔ ค่ํา วัน ๑๕
คา่ํ และวนั ๘ ค่ํา ท้งั ขางตนและขางปลายตามลําดับ หมายถึงในวัน ๑๓ ค่ํา และแรม ๑ คํ่า (เปนวัน
รับและวันสงของปกติอุโบสถ ๑๔ ค่ํา และ ๑๕ คํ่า) กับวัน ๗ คํ่า และ ๙ ค่ํา (วันรับและวันสงของ
ปกติอุโบสถ ๘ คาํ่ )79๗๕
กลา วโดยสรปุ อโุ บสถศลี ซ่งึ จัดตามกําหนดวันและเวลาที่รักษา มี ๓ ประเภทคือ ๑) ปกติ
อุโบสถ หรืออโุ บสถตามปกติ ๒) ปฏชิ าครอโุ บสถ หรืออุโบสถของผูตืน่ อยู ๓) ปาฏิหาริยอุโบสถ หรือ
๗๕ ขุ.ว.ิ (ไทย) ๒๖/๑๒๙/๒๒.
๕๑
อุโบสถท่กี าํ หนดรกั ษาพิเศษ คืออุโบสถศลี ทรี่ ักษาตลอดปาฏิหาริยปก ษ เพ่ือใหถูกกับอัธยาศัยตอผูที่มี
ความประสงคตองการเขาอยจู าํ เพราะผสู มาทานยอ มมีความแตกตางกนั หรือตามความนยิ ม
๒. อโุ บสถศลี ตามลักษณะที่ประพฤติสมาทาน อุโบสถศีลท่ีจัดตามลักษณะพฤติกรรมของ
ผรู กั ษาอุโบสถศีลประเภทนี้ มี ๓ ประเภท มีรายละเอยี ด ดังน้ี
๑) โคปาลกอุโบสถ แปลวา การอยูรักษาอุโบสถแบบคนเล้ียงโค หมายถึงผูอยูรักษาจะ
รกั ษาอุโบสถศลี ไดอ ยา งครบถวนทุกขอ แตในขณะท่รี ักษาอยูนน้ั มักจะคดิ วางแผนเก่ียวกับการบริโภค
อาหารวา เมือ่ การรกั ษาอโุ บสถศีลส้ินสุดลงในวันพรุงนี้ เราจะแกง จะผัด จะกินผลไม ชนิดนั้น ชนิดน้ี
เปนตน ซึ่งถือวาเปนเรื่องท่ีคนรักษาอุโบสถไมควรคิด ไมควรพูดในขณะน้ัน เรื่องนี้พระพุทธเจาตรัส
แกนางวิสาขาท่ีปราสาทของนางในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี ท่ีพระองคทรงตรัสถึงลักษณะของโค
ปาลอุโบสถ ดงั ความวา
“โคปาลอุโบสถ คือ คนเลี้ยงโคในตอนเย็นมอบโคใหเจาของยอมเห็นประจักษอยางน้ีวา
วันน้ีโคท้ังหลายเที่ยวไปในที่โนนๆ ดื่มนํ้าในแหลงโนนๆ พรุงนี้ ในตอนนี้ โคทั้งหลายจักเท่ียวไปในท่ี
โนนๆ จักดื่มนํ้าในแหลงโนนๆ ฉันใด คนที่รักษาอุโบสถบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คิดอยางนี้
วา “วันนี้ เราเองเค้ียวกินของเค้ียวชนิดๆ บริโภคของกินชนิดนี้ๆ พรุงนี้ ในตอนนี้ เราจักเค้ียวกินของ
เคี้ยวชนิดน้ีๆ จักบริโภคของกินชนิดน้ีๆ” บุคคลน้ันมีใจประกอบดวยอภิชฌายอมใหวันเวลาผานไป
ดว ยโลภะนน้ั ” วิสาขา โคปาลอโุ บสถเปนอยางน้แี ล โคปาลอุโบสถท่ีบุคคลรักษาอยางนี้แลยอมไมมีผล
มาก ไมมอี านิสงสม าก ไมมคี วามรงุ เรืองมาก ไมแ ผไ พศาลมาก80๗๖
๒) นิคคัณฐอโุ บสถ แปลวา อุโบสถแบบพวกนคิ รนถ หมายถงึ การอยูรักษาอุโบสถดวยการ
เลือกงดเวนในสง่ิ ทีพ่ อใจ เชน ตัง้ ใจจะงดเวนการพูดเท็จ เฉพาะบางเรื่องกับบางคน งดเวนจากการฆา
สตั วเ ฉพาะในบางทศิ หรอื บางชนดิ เปนตน ในเรื่องของนิคณั ฐอโุ บสถนี้ พระพทุ ธองคตรัสลักษณะของ
นิคัณฐอโุ บสถไววา
“นิคณั ฐอุโบสถ คือ มีสมณะนิกายหนึ่งนามวานิครนถ นิครนถเหลานั้นชักชวนสาวกอยาง
นี้วา “มาเถิด พอคณุ ทานจงลงอาญาในหมูส ตั วท ี่อยูท างทิศตะวันออกเลยรอยโยชนไป จงลงอาญาใน
หมสู ัตวท่ีอยูทางทิศตะวันตกเลยรอ ยโยชนไ ป จงลงอาญาในหมูสัตวท่ีอยูทางทิศเหนือเลยรอยโยชนไป
จงลงอาญาในหมูสัตวท่ีอยูทางทิศใตเลยรอยโยชนไป” นิครนถเหลาน้ันชักชวนเพ่ือเอ็นดูอนุเคราะห
สัตวบางเหลาไมช กั ชวนเพื่อเอ็นดูอนุเคราะหสัตวบางเหลาดวยประการฉะน้ี นิครนถเหลานั้นชักชวน
สาวกอยางนี้ในวันอุโบสถวันน้ันวา “มาเถิด พอคุณ ทานจงท้ิงผาทุกช้ิน แลวกลาวอยางน้ีวา “เราไม
เปน ท่ีกงั วลของใครๆ ในท่ีไหนๆ และตัวเราก็ไมมีความกังวลในบุคคลและสิ่งของใดๆ ในท่ีไหนๆ” แต
บิดาและมารดาของเขารูอยูวา “ผูนี้เปนบุตรของเรา” แมเขาก็รูวา “ทานเหลานี้เปนบิดาและมารดา
ของเรา” อน่งึ บุตรและภรรยาของเขาก็รูวา “ผนู ี้เปนสามีของเรา” แมตัวเขาก็รูวา “ผูนี้เปนบุตรและ
ภรรยาของเรา” พวกทาสคนงาน และคนรับใชใกลชิดก็รูวา “ผูน้ีเปนนายของพวกเรา” แมเขาก็รูวา
๗๖ องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๗๙ – ๒๘๐.
๕๒
“คนเหลาน้ีเปนทาส คนงาน และคนรับใชใกลชิดของเรา” นิครนถเหลานั้นชักชวนในการพูดเท็จใน
เวลาท่ีควรชักชวนในการพดู คําสัตยด ว ยประการฉะนี้ เรากลาวถึงกรรมน้ีของผูนั้นวาเปนมุสาวาท พอ
ลวงราตรีนั้นไป เขาบริโภคโภคะเหลาน้ันท่ีเจาของไมไดให เรากลาวถึงกรรมนี้ของผูน้ันวาเปน
อทนิ นาทาน วิสาขา นิคัณฐอุโบสถเปนอยางน้ีแล นิคัณฐอุโบสถที่บุคคลรักษาอยางนี้แลยอมไมมีผล
มาก ไมมอี านิสงสม าก ไมม ีความรุงเรืองมาก ไมแผไ พศาลมาก
๓) อริยอุโบสถ แปลวา อุโบสถแบบอริยะ เปนอุโบสถที่พระพุทธเจาทรงกําหนดข้ึนเปน
พระพทุ ธบญั ญัติ ผรู ักษาสามารถรกั ษาองคอุโบสถไดอยางครบถวนสมบูรณ โดยในระหวางการรักษา
ไดประกอบกิจกรรมท่ีเปนกุศล เชน ฟงธรรม สนทนาธรรมหรือปฏิบัติกรรมฐาน จิตยอมผองใส เกิด
ความปราโมทย “ละเคร่อื งเศราหมองแหงจิต”81๗๗ ตามสมควรแกความสามารถและโอกาสที่มีปฏิบัติ
ตามแนวทางพระอรหันตท้ังหลายถือปฏิบัติดวยองคประกอบ ๘ ประการ ดังท่ีพระองคทรงตรัสถึง
อรยิ สาวกในธรรมวินัย ดังน้ีวา
๑. พระอรหันตท้ังหลายงดเวนจากการฆาสัตว คือวางทัณฑาวุธ และศัสตราวุธ มีความ
ละอาย มีความเอ็นดู มุงประโยชนเก้ือกูลตอสรรพสัตวอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากการฆา
สัตว คือวางทณั ฑาวธุ และศสั ตราวธุ มีความละอาย มีความเอน็ ดู มงุ ประโยชนเ กื้อกูลตอสรรพสัตวอยู
ตลอดวันหนงึ่ และคนื หน่ึงน้ีในวันน้ี เพราะองคแมน ีเ้ ราชือ่ วา ทําตามพระอรหนั ตและรักษาอโุ บสถ
๒. พระอรหันตท้ังหลายละเวนขาดจากการลักทรัพย คือรับเอาแตของท่ีเขาให มุงหวังแต
ของท่ีเขาให ไมเปนขโมย เปนสะอาดอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากการลักทรัพย ถือเอาแต
ของท่ีเขาให มงุ หวังแตของท่เี ขาให ไมเปนขโมย เปน คนสะอาด อยูตลอดวันหน่ึงและคืนหน่ึงน้ีในวันนี้
เพราะองคแมน เ้ี ราชอื่ วาทาํ ตามพระอรหันตแ ละรักษาอุโบสถ
๓. พระอรหันตท้ังหลายละพฤติกรรมอันเปนขาศึกตอพรหมจรรย คือประพฤติ
พรหมจรรย เวนหางไกลจากเมถุนธรรมอันเปนกิจของชาวบานอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละพฤติกรรม
อนั เปนขาศึกแกพรหมจรรย ประพฤติพรหมจรรย เวนหางไกลจากเมถุนธรรมอันเปนกิจของชาวบาน
อยตู ลอดวันหนึง่ และคืนหน่ึงนี้ในวันน้ี เพราะองคแมน ีเ้ ราชอื่ วาทําตามพระอรหันตและรักษาอโุ บสถ
๔. พระอรหันตทั้งหลายละเวนขาดจากการพูดเท็จ คือพูดแตคําสัตย ดํารงความสัตย มี
ถอ ยคําเปน หลกั นา เชอื่ ถือ ไมหลอกลวงชาวโลกอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากการพูดเท็จคือ
พูดแตคําสัตยดํารงความสัตยมีถอยคําเปนหลัก นาเชื่อถือ ไมหลอกลวงชาวโลกอยูตลอดวันหนึ่งและ
คนื หนึง่ น้ีในวันน้ี เพราะองคน แ้ี มเราช่อื วาทําตามพระอรหันตและรกั ษาอุโบสถ
๕. พระอรหันตทั้งหลายละเวนขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย อันเปนเหตุ
แหงความประมาทอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเปน
เหตุแหงความประมาทอยูตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งน้ีในวันนี้ เพราะองคแมน้ีเราช่ือวาทําตามพระ
อรหนั ตและรักษาอโุ บสถ
๗๗ อง.ฺ ติก.อ. ๒/๗๑/๒๑๗.
๕๓
๖. พระอรหันตท้ังหลายฉันมื้อเดียว ไมฉันตอนกลางคืน เวนขาอจากการฉันอาหารใน
เวลาวิกาลอยูตลอดชีวิต แมเราก็บริโภคมื้อเดียว ไมบริโภคตอนกลางคืนเวนขาดจากการบริโภค
อาหารในเวลาวิกาลอยตู ลอดวนั หนงึ่ และคืนหนง่ึ นใี้ นวันนี้ เพราะองคแมน ้เี ราชื่อวาทําตามพระอรหันต
และรกั ษาอุโบสถ
๗. พระอรหันตท้ังหลายเวนขาดจากการฟอนรํา ขับรอง ประโคมดนตรี การดูการละเลน
อันเปน ขา ศึกแกกุศล และจากการทดั ทรงประดับตกแตงรางกายดวยพวงดอกไม ของหอม และเครื่อง
ประทินผิวอันเปนลักษณะแหงการแตงตัวอยูตลอดชีวิต แมเราก็เวนขาดจากการฟอนรํา ขับรอง
ประโคมดนตรี การดูการละเลนอันเปนขาศึกแกกุศล และจากการทัดทรงประดับตกแตงรางกายดวย
พวงดอกไม ของหอมและเครือ่ งประทินผวิ อนั เปนลกั ษณะแหงการแตงตัวอยูตลอดวันหน่ึงและคืนหนึ่ง
นี้ในวันนี้ เพราะองคแมน ีเ้ ราชือ่ วาทาํ ตามพระอรหันตและรักษาอโุ บสถ
๘. พระอรหนั ตท ้ังหลายละเวนขาดจากที่นอนสูงและท่ีนอนใหญ นอนบนที่นอนตํ่าคือบน
เตียงหรือบนที่นอนท่ีปูลาดดวยหญาอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากที่นอนสูงและที่นอนใหญ
นอนบนที่นอนต่ํา คือบนเตียงหรือบนท่ีนอนท่ีปูลาดดวยหญาอยูตลอดวันหนึ่งและคืนหน่ึงนี้ในวันนี้
เพราะองคแมน เ้ี ราชอ่ื วา ทําตามพระอรหันตแ ละรักษาอโุ บสถ82๗๘
จากนัยดังกลาวขางตน พอสรุปไดวาในการสมาทานรักษาอุโบสถศีล อัธยาศัยของผู
สมาทานยอ มมีความแตกตางกันไปและทําใหไดผลไมเหมือนกัน ดังนั้น อุโบสถศีลจึงแบงตามลักษณะ
อัธยาศัยท่ีประพฤติสมาทานของบุคคลที่ดี เลว และประณีตตางกัน มี ๓ ลักษณะคือ ๑) โคปาลก
อุโบสถ คืออุโบสถที่อุบาสกอุบาสิกาสมาทานแลวไมประพฤติจริงจัง ๒) นิคัณฐอุโบสถ คืออุโบสถท่ี
รกั ษาตามใจชอบของตน ๓) อริยอุโบสถ คืออุโบสถท่ีอุบาสกอุบาสิการักษาอยางประเสริฐพิเศษดวย
ขอปฏบิ ัติ ต้งั ใจประกอบกุศลกรรมเพอื่ ชําระจิตของตนใหส ะอาดปราศจากกิเลสเครื่องเศราหมอง
๒.๗.๔ องคประกอบของอุโบสถศีล
ในการรกั ษาอุโบสถศีล ทานวางหลักเกณฑองคประกอบไว ในท่ีน้ีหมายถึงสิกขาบทหนึ่งๆ
สําหรับเปนขอกําหนดใหศึกษาปฏิบัติรักษา โดยเจตนาละเวนจากขอหามแตละขอของศีล อุโบสถศีล
ประกอบดว ยองคธ รรม ๘ สิกขาบท ซ่ึงเรยี กวา อัฏฐงั คกิ อุโบสถ ตามคาํ สมาทาน ดงั น้ี
๑) ปาณาติปาตา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางด
เวน จากการผลาญชวี ติ สัตวใหตกตายไป
๒) อทินฺนาทานา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางด
เวนจาการถือเอาของทีเ่ ขาไมไดใ ห
๓) อพฺรหฺมจริยา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมทานสิกขาบทคือเจตนางด
เวนจากการประพฤตผิ ดิ พรหมจรรย
๗๘ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๘๖ – ๒๘๗.
๕๔
๔) มุสาวาทา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางดเวน
จากการพดู เท็จ
๕) สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏฐานา เวรมณสี ิกขฺ าปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท
คอื เจตนางดเวน จากนาํ้ เมาคอื สุราและเมรยั อนั เปนท่ีต้งั แหงความประมาท
๖) วิกาลโภชนา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางด
เวน จากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗) นจจฺ คตี วาทิตวิสูกทสสฺ นา มาลาคนฺธวิเลปรธารณมณฺฑนวิภูสนฏฐานา เวรมณีสิกฺขาปทํ
สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางดเวนจากการฟอนรํา ขับรอง ประโคมเครื่อง
ดนตรีตางๆ และดูการละเลนอันเปนขาศึกแกกุศลตลอดถึงการลูบทา ทัดทรง ประดับตกแตงรางกาย
ดว ยดอกไมแ ละของหอมเครื่องบํารุงผิวอันเปนท่ตี ั้งแหง ความกาํ หนัด
๘) อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือ
เจตนางดเวนจากการน่ังนอนบนทีน่ อนอนั สงู ใหญ
สรปุ ไดวา อุโบสถศลี ประกอบดวยขอ ปฏบิ ัติ ๘ ประการ คอื ๑) ไมฆา สตั วแ ละไมใชใหผูอื่น
ฆา ๒) ไมลักเองและไมใชใหผูอื่นลักสิ่งของที่เจาของไมไดให ๓) ไมเสพเมถุน ไมรวมประเวณี ไมรวม
เพศกบั ใครๆ ทางทวารใดๆ ๔) ไมพ ูดปด ๕) ไมดื่มสุราเมรัย ๖) ไมกินอาหารในเวลาบายและกลางคืน
หรือหลังเที่ยงวัน ๗) ไมแสดงการรื่นเริงและแตงตัว ไมสนใจสิ่งบันเทิงเริงโลกีย ๘) ไมนอนบนที่นอน
สูงและท่นี อนใหญ
๒.๗.๕ ขอบขา ยการลว งละเมิดองคประกอบของอุโบสถศลี
ในการรักษาอุโบสถศีล ๘ สิกขาบท หรือ ๘ ขอนี้ ทานวางหลักเกณฑไวสําหรับพิจารณา
ตัดสินในการรักษาศีล การที่อุโบสถศีลแตละสิกขาบทจะขาดน้ันทานกําหนดเจตนาในการลวงละเมิด
ไว ๒ ทาง คือ ทางกาย และทางวาจา ถาทําพรอมดวยเจตนาจึงจะขาดจากองคศีล ถาไมพรอมดวย
เจตนา ก็ไมขาด อุโบสถศีลแตละขอน้ันตองประกอบดวยองคหรือสวนประกอบ ซ่ึงทานเรียกวา
“สมั ภาระ” ของแตละขอ มดี งั ตอ ไปน้ี
๑) ปาณาติบาต เวรมณี เวนจากการทําสัตวมีชีวิตใหตกลวงไป (คือฆาสัตว) หมายถึงเวน
จาการฆาสัตว สัตวใ นทีน่ ีห้ มายถงึ เอาทง้ั มนุษยและสัตวดิรัจฉานท่ียังมีชีวิตอยูทุกเพศทุกชนิด หรือยัง
อยใู นครรภท ุกประเภทไมมีกาํ หนด โดยมหี ลกั วนิ ิจฉัยประกอบดว ยองค ๕ ขอ คอื
๑. ปาโณ สตั วนัน้ มชี วี ติ อยู
๒. ปาณสฺญติ า (ผูฆา ) รวู าสัตวน้ันมีชวี ิต
๓. วธกจติ ฺตํ มีความตัง้ ใจจะฆา
๔. อปุ กกฺ โม กระทาํ ความพยายาม
๕. เตน มรณํ สัตวม ชี ีวติ ตายลงดวยการกระทาํ นนั้
ศีลขอ ๑ นี้ หมายถงึ เวน จาการฆา สัตว สตั วในท่ีน้ีหมายถึงเอาทั้งมนุษยและสัตวดิรัจฉาน
ทีย่ ังมชี ีวติ อยู หรือยังอยูในครรภทุกประเภทไมมีกําหนด ศีลขอนี้ บัญญัติขึ้นเพื่อจะใหปลูกเมตตาจิต
ในสัตวทุกจําพวก เพราะเมตตาจิตเปนความดีสามารถมีทั่วไปท้ังในหมูมนุษยและสัตวดิรัจฉาน การ
๕๕
อบรมใหเมตตาจิตเกิดขึ้น เมื่อขยายออกไปมากเพียงใด ก็จะแผความสุขใหเกิดมีแกสรรพสัตวมาก
เพยี งน้ัน
๒) อทินฺนาทานา เวรมณี เวน จากการถอื เอาสิ่งของทเ่ี จาของไมไดใ หดวยอาการแหงขโมย
หมายถึงการหามลักทรัพยทุกชนิดที่เจาของไมไดยกใหเปนสิทธ์ิขาด หรือหามถือเอาสิ่งของท่ีไมมีผูให
ดวยการโจรกรรม คือการกระทําอยางโจรทุกอยาง โดยมีหลักวินิจฉัยในความขาดแหงศีลดวย
องคป ระกอบ ๕ ขอ คือ
๑. ปรปริคคฺ หติ ํ ของน้นั มเี จา ของครอบครองหวงแหน
๒. ปรปริคคฺ หติ สฺญิตา รูอยูวาเปนของมีผคู รอบครองหวงแหน
๓. เถยฺยจติ ตฺ ํ มีความต้งั ใจจะลกั
๔. อปุ กกฺ โม กระทําความพยายาม
๕. เตน หรณํ นํามาไดด วยความพยายามนั้น
ศีลขอน้ี แปลวา เวนจากการถือเอาส่ิงของท่ีเจาของเขาไมไดให กิริยาที่ถือเอา หมายถึง
การถือเอาดวยอาการเปนโจร ส่ิงของที่เขาไมไดให หมายถึงของ ๒ อยาง คือ ๑) สิ่งของท่ีมีเจาของ
ท้ังเปนของมีคาและของไมมีคา ท่ีเจาของไมไดยกใหเปนกรรมสิทธิ์ ๒) สิ่งของท่ีไมใชของใคร แตมี
ผรู ักษาหวงแหน ไดแก ส่งิ ของทอี่ ุทศิ บชู าปชู นยี วตั ถุในศาสนานน้ั ๆ และส่งิ ของท่ีเปนกลางในหมูชนอัน
ไมพึงแบงกัน ไดแก ของสงฆและของมหาชนในสโมสรสถานนั้นๆ ศีลขอนี้ บัญญัติขึ้นดวยหวังจะให
เลย้ี งชวี ิตในทางทชี่ อบ เวน จากการเบยี ดเบยี นกนั และกัน ถา ประพฤตฝิ าฝน ไดช่ือวา ประพฤติผิดจาก
ทางธรรม จดั เปน บาป
๓) อพฺรหฺมจริยา เวรมณี เวนการเสพกาม ความประพฤติไมประเสริฐ หมายถึงการหาม
ประพฤติผิดพรหมจรรย ศีลขอนี้จะขาดหรือไม มีหลักวินิจฉัยคือขอบขายในการลวงละเมิดตอง
ประกอบดว ยองค ๕ ขอ คอื
๑. อชฌฺ าจารณยี วตถุ จฺ โหติ วัตถุทพี่ งึ ประพฤตลิ วงละเมิด (มเี พศชายหญิงปรากฏ)
๒. ตตฺถ จ เสวนจิตฺตํ ปจฺจุปฏฐิตํ โหติ จิตคิดจะเสพในสตรีหรือบุรุษนั้นต้ังอยู
เฉพาะตัว
๓. เสวนปฺปจจฺ ยปโยคฺจ สมาปชชฺ ติ ถงึ พรอมดวยประโยคอนั เปน ปจ จยั ในการเสพ
๔. สาทยิ นฺจ มีความยินดีในการเสพนั้น
๕. มคเฺ คน มคคฺ ปฺปฏปิ าทนํ ยงั มรรคกบั มรรคใหถ ึงกนั
คําวา วัตถุท่ีจะพึงประพฤติลวง ในที่น้ี หมายถึงมรรค คือชองทางในการเสพ หรือการ
รวมเพศ ซึ่งมี ๓ มรรค คือ ปสสาวมรรค ทวารเบา วัจจมรรค ทวารหนัก และมุขมรรค ชองปาก
หรือไดแ กมบี ุคคลผูท่ีตนจะมีสัมพันธทางเพศดวยปรากฏอยู
คําวา ยังมรรคกับมรรคใหถึงกัน หมายถึงการนําอวัยวะเพศของท้ังสองฝายเน่ืองถึงกัน
ทางมรรคใดมรรคหนึง่
อุโบสถศีลขอที่ ๓ มีความแตกตางจากนิจศีล (กามเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี) คือ เวนจาก
การประพฤติผิดพรหมจรรย คือ งดเวนจากการมีเพศสัมพันธ เปนการเวนจากเสพอสัทธรรม (ธรรม
ของผูประพฤติไมดี ปราศจากศรัทธาและความละอาย เปนตน) เปนความมุงหมายในศีลขอนี้อันเปน
เบื้องตนของพรหมจรรย แตเปาหมายสูงสุดคือ ความบริสุทธ์ิของจิตใจ จึงสําเร็จเปนพรหมจรรยที่
๕๖
แทจริง “การเสพอสัทธรรมมีราคะเปนเหตุ พรหมจรรยจะบริสุทธ์ิก็ดวยการงดเวนในอสัทธรรม ไมมี
ท้ังกาย วาจา และจิตใจ “สติกับราคะ” สัมปชัญญะกับพยาบาท” เปนของคูกัน ถาไมประสงคใน
ราคะกับพยาบาทก็ตองทําสติและสัมปชัญญะใหสมบูรณ ดังที่พระพุทธเจาตรัสไวในอังคุตตรนิกาย
ติกนบิ าตรอุโปสถสูตรวา “พระอรหนั ตท้ังหลายละพฤติกรรมอนั เปนขาศึกตอพรหมจรรย คือประพฤติ
พรหมจรรย เวน หางไกลจากเมถนุ ธรรมอนั เปนกิจของชาวบานอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละพฤติกรรมอัน
เปนขาศึกแกพรหมจรรย ประพฤติพรหมจรรย เวนหางไกลจากเมถุนธรรมอันเปนกิจของชาวบานอยู
ตลอดวันหนึ่งและคืนหนง่ึ น้ีในวันนี้ เพราะองคแมนี้เราช่ือวาทําตามพระอรหันตและรักษาอุโบสถ”83๗๙
ความหมายของพรหมจรรย คือการครองชีวิตอันประเสริฐ เปนอริยมรรคอันประเสริฐ เปนอริยมรรค
ดําเนินไปสคู วามดับทุกข ประโยชนอันเน่ืองมาจากการประพฤติธรรม ที่เปนจุดหมายในระดับอุโบสถ
ศีล มีความสัมพันธกับระดับความเปนอยู คุณคาที่เปนความดีงาม จุดมุงหมายสูงสุดของ
พระพทุ ธศาสนากค็ อื การประพฤตพิ รหมจรรย
๔) มสุ าวาทา เวรมณี เวน จากการพูดเทจ็ หมายถึงการสํารวมระวังในการใชคําพูด โดยมี
หลักวนิ ิจฉยั ในความขาดแหง ศลี ดว ยองคป ระกอบ ๔ ขอ ดังนี้
๑. อตฺถํ วตถฺ ุ เรอ่ื งไมจ รงิ
๒. วสิ วํ าทนจติ ฺตํ มคี วามตงั้ ใจพดู ใหผดิ
๓. ตชฺโช วายาโม มีความพยายามเกดิ จากความต้ังใจน้ัน
๔. ปรสฺส ตทตฺถวิชานํ คนอืน่ รเู น้อื ความนน้ั
ศีลขอนี้ แปลวา เวนจากการพูดเท็จ คือการกลาวความเท็จที่ช่ือวา มุสา กิริยาท่ีพูด
หรือแสดงอาการมุสา ศีลขอนี้ บัญญัติขึ้นดวยหวังจะหามการตัดประโยชนทางวาจา เพราะผูท่ีพูด
ดวยถอยคําที่ไมจ รงิ ยอ มจะทําใหผ ฟู ง ไมเ ชอ่ื ถอื ในคําพูดของตน บางทีอาจทําประโยชนของผูอื่นใหเสีย
ไปก็ได ผทู ี่ฝนความรูสึกของตนพดู มุสาแกค นอน่ื เปน การตัดประโยชนทานจัดเปน บาป
๕) สุราเมรยมชฺชปมาทฏฐานา เวรมณี เวนจากดื่มนํ้าเมา คือสุราและเมรัย อันเปนเหตุ
ท่ีตั้งแหงความประมาท หมายถึงการงดเวนไมดื่มนํ้าเมาหรือหามด่ืมนํ้าเมาที่เรียกตามศัพทบาลีวา
มัชชะ แปลวา น้ําที่ยังผูดื่มใหมึนเมา ซ่ึงจําแนกเปน ๒ ชนิด คือ สุราและเมรัย โดยสุราไดแกน้ําเมาท่ี
เรยี กวาเหลา เมรยั ไดแ กน ํ้าเมาประเภทเบียร กลา วงายๆ ศีลขอนี้หามดื่มเหลาและเบียร รวมถึงหาม
เสพยาหรอื สารเสพติดใหโ ทษทุกชนิด มีหลักวนิ ิจฉัยในความขาดแหงศีลดวยองคป ระกอบ ๔ ประการ
ดังน้ี
๑. สรุ าทีนฺจ อฺญตรํ โหติ มทนียํ ของเมาอยา งใดอยางหนงึ่ มสี รุ า เปนตน
๒. ปาตกุ มฺยตาจิตฺตจฺ ปจฺจปุ ฏฐ ิตํ โหติ มีความต้งั ใจดว ยความปรารถนาจะด่มื
๓. ตชฺชจฺ วายานํ อาปชชฺ ติ ถึงความพยายามอนั เกดิ จากความตั้งใจจะดมื่ นั้น
๔. ปตํ จ ปวีสติ และเมอื่ ดื่มนาํ้ เมาหรือเสพสารเสพตดิ แลว ลว งไหลเขาไป
ศีลขอนี้ แปลวา เวนจากการด่ืมน้ําเมา คือสุราและเมรัย อันเปนท่ีต้ังแหงความประมาท
น้ําเมาทเ่ี ปนแตเพยี งของดอง เชน นํ้าตาลเมาตางๆ ชื่อวา เมรัย และเมรัยน้ันถูกกล่ันเพื่อใหมีรสชาติ
๗๙ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๘๖.
๕๗
เขมขนข้ึน เชน เหลาตางๆ ช่ือวา สุราเมรัย สุราเมรัยน้ี เปนของทําใหผูดื่มเมาแลวครองสติไมอยู
อารมณแปรปรวนขาดความเปนตัวของตัวเอง ไมสามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองไวได เหตุที่
บญั ญัติศลี ขอ นีข้ น้ึ เพอื่ ปองกนั มิใหละเมิดขอ หา มศลี ๔ ขอขา งตน เพราะผูด่ืมน้ําเมา เมาแลวยอมเปน
ผูเ สียสติ สามารถทาํ สงิ่ ท่ีไมเคยทํา พดู สิ่งทไ่ี มเ คยพดู
๖) วิกาลโภชนา เวรมณี เวนจากการกินอาหารในเวลาวิกาล ศีลขอนี้มีความมุงหมาย
เฉพาะการหา มรบั ประทานอาหารในเวลาวิกาล คอื ตงั้ แตเที่ยงแลว ไปจนถึงกอนอรุณข้ึน มีหลักวินิจฉัย
ดว ยองคป ระกอบ ๔ ประการ ดังนี้
๑. วกิ าโล เวลานัน้ เปน เวลาวิกาล
๒. ยาวกาลิกํ ของเคยี้ วของกินทเ่ี ปนอาหาร
๓. อชฺโฌหรณปฺปโยโค พยามกลืนกนิ เขาไป
๔. เตน อชโฺ ฌหรณํ กลืนลว งลาํ คอเขา ไปดวยความพยายามน้ัน
การเวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล ไดแก ของขบเค้ียวอยางหน่ึงอยางใด ไมให
ลวงเขาปากไปในเวลาเทย่ี งวนั จนถึงรงุ อรณุ ของวนั ใหม ลกั ษณะของเวลา แบง ออกไดเ ปน ๒ กาล คอื
๑) กาล หรอื ปุเรภัตตกาล เวลากอนภัตตาหาร คือ เวลาต้ังแตอรุณขึ้นถึงเที่ยงวัน คือเปน
เวลาการบริโภคอาหารของพระภิกษุและจะบริโภคก่ีหนก็ได ๒) วิกาล หรือปจฉาภัตตกาล เวลา
ภายหลังภตั ตาหาร คือ เวลาตั้งแตเทีย่ งวนั ไปแลวจนถงึ กอนอรณุ ขึน้
๗) นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปรธารณมณฺฑนวิภูสนฏฐานา เวรมณี เวน
จากการฟอนราํ ขับรอ ง ประโคมเคร่ืองดนตรีตางๆ ดูการละเลน และการลูบทา ทัดทรงประดับตกแตง
รางกายดวยดอกไมและของหอมเคร่ืองบํารุงผิวอันเปนท่ีตั้งแหงความกําหนัด แตถาประดับตกแตง
รา งกายเพอ่ื ประโยชนใ นการรักษาความสะอาด หรือเพื่อบรรเทาปองกันโรคภัยไขเจ็บอันเกิดมีข้ึนเปน
ธรรมดา ก็ทําได ซ่ึงมหี ลกั วนิ จิ ฉัยวา ศลี ขอนีจ้ ะขาดหรอื ไม ทา นจดั แบง ออกเปน ๒ ตอน คือ
ตอนท่ี ๑ เวนจากฟอนราํ ขับรอง ประโคมเคร่ืองดนตรีตางๆ และดูการเลนท่ีเปนขาศึกแก
กศุ ลมีองคประกอบ ๓ ขอ ดังน้ี
๑. นจฺจาทนี ิ การฟอ นราํ ขบั รอง เปนตน
๒. ทสสฺ นตฺถาย คมนํ การไปเพือ่ จะดหู รือฟง
๓. ทสสฺ นํ ดหู รอื ฟง
ตอนท่ี ๒ การทัดทรงดอกไม การใชของหอมเคร่ืองประเทืองผิว เคร่ืองเสริมทรงและ
เครือ่ งประดบั ตกแตงตางๆ มเี กณฑการตดั สนิ ประกอบดว ยองค ๓ คอื
๑. มาลาทีนํ อณณฺ ตรตา เครื่องประดับตกแตงมีดอกไมและของหอม เปนตน
๒. อนุ ญฺ าตการณาภาโว ไมมีเหตุเจบ็ ไขเปนตน ท่พี ระพทุ ธเจาทรงอนุญาตไว
๓. อลงฺกตภาโว ทัดทรงตกแตง เปนตน ดวยจิตคิดจะประดับใหสวยงาม ถาโรคภัย
อยา งใดอยา งหน่งึ เกิดขึ้น จะทาขม้ินดินสอพองเพ่อื บาํ บัดโรคภยั นน้ั ใหทําได
๘) อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี เวนการใชท่ีน่ังท่ีนอนสูงใหญ ศีลขอนี้มีความมุงหมาย
ใหงดเวนการใชทน่ี ง่ั ทีน่ อนเกินขนาดเกนิ กําหนด มีหลักวินิจฉัยดว ยองคป ระกอบ ๓ ขอ ดงั นี้
๑. อุจฺจาสยนมหาสยนํ นง่ั ทนี่ อนสงู ใหญเกินประมาณหรอื วิจติ รงดงาม
๒. อุจฺจาสยนมหาสยนสฺญติ า รูวา ทนี่ ัง่ ทีน่ อนน้นั สงู ใหญห รอื งดงามเกนิ ประมาณ
๕๘
๓. อภนิ สิ ที นํ วา อภนิ ปิ ชฺชนํ วา นงั่ หรอื นอนบนทน่ี ัง่ ทนี่ อนนัน้
องคอุโบสถทั้ง ๘ ประการน้ี ขอ ๑-๒ จัดเปนสาหัตถิกะ คือ ผูสมาทานศีลกระทํา การ
ลว งละเมิดครบตามเกณฑก ารตดั สนิ ดว ยตนเองถอื วา ศลี ขาด และเปน อาณัติติกะ คือผูสมาทานใชผูอื่น
กระทาํ โดยทีผ่ ถู ูกใชนัน้ สามารถกระทําการที่ไดร บั มอบหมายสําเรจ็ ลงกถ็ ือวาศีลขาดเชน เดยี วกัน
ขอ ๓-๘ จัดเปนสาหัตถิกะ ผูสมาทานศีลกระทําดวยตนเองเทานั้นจึงถือวาศีลขาด ไม
เก่ียวของกบั บคุ คลอ่ืน
ขอ ๑-๕ ขอขา งตน จัดเปนโลกวชั ชะ คอื เม่ือผรู กั ษาลว งละเมิดก็มีโทษทางโลกดวยการถูก
ตเิ ตยี นจากสังคมและมีเวรคือเปนการสรางความไมพอใจใหกับผูเสียหาย ถือวาเปนการสรางศัตรูหรือ
เวรข้ึน สวน ๓ ขอหลัง มีโทษเฉพาะในสวนของการละเมิดพุทธบัญญัติมิไดเปนการกอเวรใหเกิด
ข้ึนกบั ผูอ ่ืน เพราะไมเปน การสรางความเดอื ดรอ นใหกับใคร84๘๐
จากการศึกษาวิเคราะหขอมูลดังกลาวขางตน พอสรุปไดวา ศีลในแตละขอนั้นจะขาดก็
ตอเม่ือมีการกระทําครบองคธรรมในขอบขายแหงการลวงละเมิดองคประกอบของอุโบสถศีลใน
สิกขาบทน้ันๆ และเปนหลักกําหนดมุงเนนใหผูรักษาศีลพิจารณาหรือรูจักวิธีการแหงการเขาจํา
อุโบสถศีลท่ีประกอบดวยองค ๘ ประการ ประพฤติไดถูกตองและสงผลดียิ่งทําใหผูปฏิบัติเกิด
ผลานิสงสท ัง้ ปจ จุบนั และในอนาคต
๒.๗.๖ วิธีการสมาทานอุโบสถศลี
ในพระพุทธศาสนาผูจะรักษาศลี อยางใดอยางหน่งึ ท้ังศลี ๕ ศีล ๘ หรืออุโบสถศีล และศีล
๑๐ ตองมีการสมาทานใหถูกตองตามขั้นตอนกอน จึงช่ือวาไดรักษาศีลอยางถูกตอง ผูสมาทานจึงตอง
เขาใจและรูหลักของการสมาทานศีล การสมาทานศีล คือ การขอรับศีลหรือรับอุโบสถจากพระภิกษุ
สามเณร อุบาสก หรืออุบาสิกา ผูทรงศีลและเขาใจเร่ืองของศีล โดยตองเปลงวาจาขอศีลตามวิธีการ
สมาทาน ซึ่งมีอยู ๒ วิธี ไดแก
๑. ปจ เจกสมาทาน คือ การสมาทานแยกกนั เปน บทๆ ไป เปน การสมาทานศลี ไปทีละขอๆ
๒. เอกัชฌสมาทาน คือ การสมาทานศีลทกุ ขอ รวมกันคร้ังเดียว โดยไมตองกลาวทีละขอๆ
๘๑
85
ในการสมาทานศีล ๘ กต็ องใชการสมาทาน ๒ อยางน้อี ยางใดอยางหน่ึง ซ่ึงแตละอยางมี
วธิ ีการสมาทาน ดังนี้
๑. ปจเจกสมาทาน การสมาทานศีลทีละขอ เร่ิมตั้งแตขอ ๑ คือปาณาติปาตา เวรมณี
สิกขาปทํ สมาทิยามิ. และขอ ๒ จนถึงขอ ๘ คืออุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกขาปทํ สมาทิยามิ.
เมอ่ื กลาวจบทั้ง ๘ ขอ ใหกลาวสรุปอีกครั้งวา อิมํ อฏฐํคสมนฺนาคตํ พุทฺธปฺญตฺตํ อุโปสถ สมาทิยามิ.
๘๐ พระญาณวโรดม (สนธ์ิ กิจฺจทโร), เบญจศีล เบญจธรรม และอุโบสถศีล, (กรุงเทพมหานคร:
มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หนา ๑๐๐ – ๑๐๑.
๘๑ ธนติ อยโู พธิ์, อานิสงสอุโบสถศีล, หนา ๒๐.
๕๙
ซ่งึ แปลวา ขา พเจาขอสมาทานอุโบสถอนั ประกอบดวยองค ๘ ท่ีพระพทุ ธเจาทรงบัญญัติไวแลวน้ี การ
สมาทานอยางนี้ เปนการสมาทานแยกทีละองค หากผูสมาทานลวงละเมิดศีลขอใดขอหนึ่งก็จะถือวา
ขาดเฉพาะขอน้นั ๆ ขออ่นื ยังคงอยตู ามปกติ
๒. เอกัชฌสมาทาน การสมาทานคราวเดียวพรอมกันทั้ง ๘ ขอ โดยต้ังวิรัติเจตนา (ความ
ต้ังใจงดเวน) โดยกลาวเพียงวา อุโปสถวเสน อฏฐ สิกฺขาปทานิ สมาทิยามิ. แปลวา ขาพเจาขอ
สมาทานสกิ ขาบททั้ง ๘ ขอ ดวยสามารถเปน อุโบสถ การกลาวเพียงเทานี้ ถอื วา ไดส มาทานศีลอุโบสถ
ทงั้ ๘ องค ถาผูส มาทานลวงละเมดิ ศีลขอ ใดขอ หนงึ่ ก็ถือวา ศลี ขาดหมดทุกขอ ตอ งสมาทานใหม
ตอไปนี้ จะไดกลาวถึงข้ันตอนการสมาทานอุโบสถศีลที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาต้ังแตอดีต
จนถึงปจจุบัน กอนผูรักษาอุโบสถศีลจะรับศีล ๑ วัน ตองมีการเตรียมตัวทําธุระที่คางอยูใหเสร็จ
เรยี บรอยและแจง ใหค นภายในครอบครวั ไดท ราบกอ น แลว ปฏบิ ตั เิ ปนขัน้ ตอนตามน้ี
ในวันอุโบสถ ผูรับศีลกอนรับศีลตองลางปากบวนปากใหสะอาดไปหาพระภิกษุ อุบาสก
หรอื อุบาสกิ าคนใดคนหนึ่งที่เขาใจในศลี ๘ สว นมากจะขอรบั จากพระภิกษุ แจงความประสงคใหทาน
ทราบวา จะมาขอรับองคอุโบสถ พรอมกับเปลง วาจาอาราธนาอุโบสถตอหนา ทา นวา
อหํ (หรือ มยํ วาหลายคนพรอมกัน) ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฐํคสมนฺนาคตํ พุทฺธปฺญตฺตํ
อุโปสถํ ยาจาม.ิ (ยาจามะ กลาวหลายคน)
ทุติยมฺป อหํ (หรือ มยํ วาหลายคนพรอมกัน) ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฐํคสมนฺนาคตํ
พุทธฺ ปญฺ ตตฺ ํ อโุ ปสถํ ยาจาม.ิ (ยาจามะ กลาวหลายคน)
ตติยมฺป อหํ (หรือ มยํ วาหลายคนพรอมกัน) ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฐํคสมนฺนาคตํ
พทุ ธฺ ปฺญตตฺ ํ อโุ ปสถํ ยาจามิ. (ยาจามะ กลา วหลายคน)
คํา
แปล ขาแตทานผูเจริญ ขาพเจาขออุโบสถที่ประกอบดวยองค ๘ ประการท่ีพระพุทธเจา
ทรงบัญญัติไวพรอมดวยสรณะ ๓ (ซึ่งในเวลาสมาทานไมตองกลาวคําแปล นํามาแปลไวเพื่อใหรู
ความหมาย) ตอจากนั้น พระภิกษุจะกลาวนําตามลําดับ ดังนี้ กลาวคํานมัสการพระพุทธเจา ๓ จบ
วา
นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ธฺ สสฺ . (วาสามจบ)
แปลวา ขอความนอบนอมจงมีแดพระผูมีพระภาคเจาผูทรงเปนพระอรหันต ทรง
ตรสั รูโดยชอบดว ยพระองคเ อง จากนั้นทา นจะนาํ กลา วใหผ สู มาทานกลา วรับไตรสรณคมน ตามวา
พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ ขา พเจา ขอถึงพระพุทธเจา เปน สรณะ
ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ. ขาพเจา ขอถงึ พระธรรมเจาเปนสรณะ
สํฆํ สรณํ คจฺฉาม.ิ ขาพเจาขอถงึ พระสงฆเปน สรณะ
ทุติยมปฺ พทุ ฺธํ สรณํ คจฺฉาม.ิ ขาพเจา ขอถงึ พระพทุ ธเจาเปน สรณะแมครั้งที่ ๒
ทตุ ยิ มฺป ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ. ขา พเจาขอถึงพระธรรมเปนสรณะ แมค รั้งที่ ๒
ทตุ ิยมปฺ สํฆํ สรณํ คจฺฉาม.ิ ขา พเจาขอถงึ พระสงฆเ ปน สรณะ แมค รง้ั ที่ ๒
ตตยิ มปฺ พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ ขา พเจาขอถงึ พระพทุ ธเจา เปน สรณะ แมค รั้งที่ ๓
ตติยมปฺ ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ ขา พเจาขอถงึ พระธรรมเปนสรณะ แมค รงั้ ท่ี ๓
๖๐
ตตยิ มปฺ สฆํ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ. ขา พเจาขอถึงพระสงฆเปน สรณะ แมค รง้ั ที่ ๓
เมือ่ พระสงฆว า ติสรณคมนํ นิฏฐิตํ พงึ รบั พรอมกันวา อาม ภนฺเต ตอจากนนั้ ทานจะกลาว
คําสมาทานอโุ บสถมอี งค ๘ ใหผสู มาทานไดกลาวสมาทานตามแบบปจเจกสมาทาน คือวาไปตามทีละ
ขอ ดังนี้
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ
ต้งั ใจงดเวน จากการฆาสัตวม ชี ีวิต
๒. อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ
ต้ังใจงดเวนจากการถือเอาสิ่งของทเี่ ขามไิ ดใ ห
๓. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ
ตัง้ ใจงดเวน จากการประพฤตไิ มเ ปน พรหมจรรย
๔. มสุ าวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ ต้ังใจ
งดเวนจากการพดู เท็จ
๕. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทาน
สิกขาบท คอื ตัง้ ใจงดเวน จากเหตเุ ปนท่ีต้ังแหง ความประมาทในเพราะสุรา เมรยั และของเมา
๖. วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ
ต้ังใจงดเวน จากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฐานา เวรมณี
สกิ ขฺ าปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ ตั้งใจงดเวนจากการฟอนรํา ขับรอง ประโคม
ดนตรีและการแสดงท่ีเปนขาศึก เวนจากการทัดทรงดอกไม ใชของหอม ใชเครื่องประเทืองผิว เครื่อง
เสรมิ ทรง เคร่อื งประดบั และเครอื่ งตบแตง
๘. อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทยิ าม.ิ ขา พเจาขอสมาทานสิกขาบท
คือ ตั้งใจงดเวนจากทนี่ อนท่นี ง่ั สูงและทนี่ อนท่ีนง่ั ใหญ
เมื่อรับศีลจบแลว ตอจากนั้นพระอาจารยทานจะกลาวนําใหกลาวสรุปดวยวิธีเอกัชฌ
สมาทานอกี ครงั้ วา
อิมํ อฏฐํคสมนฺนาคตํ พุทฺธปฺญตฺตํ อุโปสถํ อิมฺจ รตฺตึ อิมฺจ ทิวสํ สมฺมเทว อภิรกฺขิตุ
สมาทิยามิ. แปลวา ขาพเจาขอสมาทานอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ท่ีพระพุทธเจาทรงบัญญัติไวน้ี
จะต้ังใจรักษาไวใหดีโดยชอบตลอดวันนี้ และตลอดคืนนี้ ตอจากนั้น พระภิกษุหรือสามเณร ทานจะ
กลา วตอไปอกี วา
อิมานิ อฏฐ สิกขฺ าปทานิ อุโปสถสีลวเสน สาธุกํ กตฺวา อปฺปมาเทน รกฺขิตพฺพานิ. แปลวา
สิกขาบททั้ง ๘ นี้ พึงรักษาไวใหดี โดยความไมประมาท ดวยสามารถเปนอุโบสถ ผูรับพึงรับวา อาม
ภนฺเต แปลวา ขอรับกระผม หรือ เจาคะ ส้ินสุดการรับเพียงเทาน้ี ตอจากน้ัน พระทานจะกลาว
คาถาบอกอานิสงสโ ดยยอ ของการรักษาอุโบสถตอไปวา
สเี ลน สุคตึ ยนตฺ ิ สีเลน โภคสมปฺ ทา
สเี ลน นพิ ฺพุตึ ยนฺติ ตสมฺ า สีลํ วโิ สธเย
แปลวา สัตวท้ังหลายไปสูสุคติ (โลกสวรรคดวยศีล มีโภคทรัพยสมบูรณดวยศีล สาธุชน
ทั้งหลายบรรลุความดับสนิท คอื พระนพิ พาน) ดว ยศลี เพราะฉะนั้น บัณฑติ พึงรกั ษาศลี ใหบริสทุ ธ์ิ
๖๑
จากการศึกษาประเด็นขอมูลขางตน สรุปไดวา ในการสมาทานศีล ๘ หรืออุโบสถศีล ผู
ประสงคจะเขารักษาอุโบสถศีลควรศึกษากระทําใหถูกตองตามขั้นตอน มีวิธีสมาทาน ๒ ประการ คือ
๑) ปจเจกสมาทาน คือการสมาทานแยกกันเปน บท เมื่อผสู มาทานลว งละเมิดศีลขอใด ก็จะขาดเฉพาะ
ขอนนั้ ๆ ๒) เอกัชฌสมาทาน คือการสมาทานศลี ท้ัง ๘ ขอรวมกนั ครัง้ เดยี ว ไมตองกลาวเปนขอๆ ถาผู
สมาทานลวงละเมิดศลี ขอ ใดขอ หนง่ึ กจ็ ะถือวา ศลี ขาดทกุ ขอ ตอ งสมาทานใหม
๒.๗.๗ วธิ กี ารอยูรักษาอุโบสถศีล
ในหัวขอน้ี จะกลาวถึงการสมาทานและการอยูรักษาองคอุโบสถท่ีผูสมาทานไดสมาทาน
จากพระภิกษุสามเณร หรอื อุบาสกอบุ าสกิ ามาแลว
กอนท่ีจะรับองคอุโบสถ ทานผูจะเขาอยูรักษาอุโบสถ ตองทําจิตของตนใหแจมใสสะอาด
ไมเศราหมอง และจึงอธิษฐานองคอุโบสถและอยูรักษา ทานกลาววาอุโบสถที่เราทําจิตใหสะอาดแลว
อธิษฐานแลว จะมีผลมีอานิสงสมาก ฉะนั้น ทานจึงแนะนําวา ผูประสงคจะรักษาอุโบสถน้ัน กอนถึง
วันอุโบสถ ถาเปนผูมีเพ่ือนฝูงบริวารหรือลูกหลาน ควรแจงใหพวกเขาวาพรุงนี้เราจะอยูจําศีลอุโบสถ
ขอใหรบั ธุระรับหนาท่ีในเรื่องตางๆ แทนดวย และตรวจตราจัดแจงเรื่องอาหารภายในครอบครัวไวให
เสรจ็ เรยี บรอย เพื่อตนเองจะไดไมต อ งพะวักพะวงจัดทาํ โนน ทํานี้ อันจะกอใหเกิดความกงั วลใจ
เม่ือถึงวันอุโบสถตั้งแตรุงเชา ควรกําหนดเตรียมตัวเตรียมใจสํานึกวาวันนี้เปนวันอุโบสถ
และปฏบิ ัติกิจขอแรกที่ไดป ฏบิ ตั ิกันสบื มา คอื บว นปาก ลางปาก หรือจะลางหนาอาบนํ้าชําระรางกาย
ใหสะอาดและนุงหมใหเรียบรอยก็ได ในเรื่องน้ีเห็นไดจากเร่ืองพระมหาชนก เม่ือเรือแตกพระมหา
ชนก วายน้ําในทะเลถึง ๗ วัน ถึงวันอุโบสถทรงอมนํ้าเค็มบวนลางพระโอฐแลว ทรงเปลงวาจา
อธษิ ฐานอโุ บสถ86๘๒
ทานเตือนไววากอนสมาทานอุโบสถน้ัน ไมควรทําการลวงศีลองคใดองคหนึ่ง เชนคิดวา
กอนที่เราจะสมาทานอุโบสถยังจะลวงศีลองคหน่ึงองคใดก็ได เมื่อสมาทานแลวจึงพยายามรักษาให
จรงิ จังตอ ไป ทําอยางนไ้ี มส มควร ตองกระทาํ ตนใหบรสิ ทุ ธท์ิ ง้ั กอนรักษาและหลงั รักษาดว ย
เมื่อผูสมาทานลางปาก บวนปากแลวเขาไปหาพระภิกษุ หรือภิกษุณี หรืออุบาสกและ
อุบาสิกาผูรูลักษณะศีล ๑๐ กลาวคํานมัสการพระพุทธเจา กลาวปฏิญญาถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ
แลวตั้งใจกําหนดที่จะรักษาอุโบสถไปจนตลอดวันตลอดคืน โดยอธิษฐานเปนคําบาลีหรือคําไทยหรือ
ท้ังคําบาลีและคําไทยโดยเปลงวาจาสมาทานองคอ ุโบสถ โดยกลาวรวมกันดวยวิธีเอกัชฌสมาทาน วา
“อิมฺจ รตฺตึ อิมฺจ ทิวสํ อุโปสถิโก ภวิสฺสามิ. แปลวา ขาพเจาจักอยูรักษาอุโบสถตลอดวันน้ีและ
ตลอดคืนน้ี” หรือกลาวอธิษฐานวา “อุโปสถวเสน อฏฐ สิกฺขาปทานิ สมาทิยามิ แปลวา ขาพเจา
สมาทานสิกขาบท ๘ ดวยสามารถเปนอุโบสถ” ดังนี้ก็ได หรือจะเปลงวาจาระบุจําแนกเฉพาะ
สกิ ขาบทๆ วา ไปตามบทบาลดี วยวธิ ปี จ เจกสมาทาน ตามทพ่ี ระภกิ ษุใหศ ลี ก็ได
๘๒ ธนติ อยโู พธ์,ิ อานิสงสอโุ บสถศีล, หนา ๗๗.
๖๒
ถา ผูสมาทานหาพระภิกษุหรืออุบาสกหรอื อุบาสกิ าไมได จะกลาวอธิษฐานดวยตนเอง โดย
อธิษฐานรวมกันไปวา “พุทฺธปฺญตฺตํ อุโปสถํ อธิฏฐามิ แปลวา ขาพเจาขออธิษฐานอุโบสถท่ี
พระพุทธเจา ทรงบญั ญตั ิไว” ก็ได เพราะอุโบสถเปนศีลสําหรับอุบาสกและอุบาสิกา แมสมาทานดวย
ตนเอง กถ็ ือวาสมาทาน แมส มาทานในสํานักของทา นผูอ่ืน ก็ถือวาสมาทาน แมสมาทานรวมกันหรือ
สมาทานเฉพาะสกิ ขาบท กเ็ ปน การสมาทานไดท งั้ นัน้
ทานผูรูกลาวไววาในการสมาทานองคอุโบสถน้ีตองเปลงออกเสียงกลาวคําสมาทาน จึง
เปน การสมาทานทถ่ี กู ตอง แมการสมาทานทกุ อยาง ก็ตองทาํ การเปลงวาจาออกเสียง จึงจะทําใหการ
สมาทานสมบูรณได เมื่อผูรักษาอุโบสถศีล ไดสมาทานเรียบรอยแลว ไดช่ือวาเปนผูอยูรักษาอุโบสถ
ไมค วรจัดแจงการงานท่เี ปน การเบยี ดเบยี นหรือกอความเดือดรอ นใหแ กผูอืน่ ควรใชกาลเวลาใหลวงไป
ดวยการคํานวณอายุและวัย ครั้นบรโิ ภคอาหารท่บี า นแลว ถา ไปวัดควรใชเวลาในวันอุโบสถใหผานไป
ดวยการฟงธรรม หรือบําเพ็ญกรรมฐานอยางใดอยางหน่ึงในอารมณกรรมฐานท่ีมีอยู การที่ทานให
ประพฤติปฏิบัติอยางน้ี เนื่องจากวาในวันอยูจํารักษาอุโบสถนั้นมีเวลาอยูมาก หากไมนอมนําใจไป
ในทางท่ีถูกตองสมควรกับการอยูจํารักษาอุโบสถ ใจของเราก็อาจเชือนแชไปในอารมณท่ีไมถูกทาง
และอาจชักพาใหลวงละเมิดถึงขาดองคอุโบสถหรือทําศีลอุโบสถใหเศราหมองได ทานจึงแนะนําใหไป
วัดฟงธรรมหรือจะบริกรรมและกําหนดอารมณกรรมฐานขอใดขอหน่ึงไว เพ่ือไมใหประมาทในชีวิต
และการรักษาอุโบสถศีลใหบรสิ ุทธ์ิ เพราะถาศลี ดา งพรอ ยชอ่ื วา ยงั ไมบ ริสุทธ์ิไดด ว ยการรักษาศีล
ทานกลาวไววาการจะรูวาศีลบริสุทธ์ิหรือไมน้ัน ตองกําหนดพิจารณาตาม คุณสมบัติของ
ศีล ๘ ประการ คอื ๑) อขัณฑะ เปน ศลี ไมข าด ๒) อฉิททะ เปนศีลไมทะลุ ๓) อสพละ เปนศีลไมดาง
๔) อกัมมาสวะ เปนศีลไมพรอย ๕) ภิชิสสะ เปนไท ๖) วิญูปสัฏฐะ ทานผูรูยกยองสรรเสริญ ๗)
อปรามัฏฐะ ไมมีตัณหาและมานะแตะตอง และ ๘) สมาธิสังวัตตนิกะ นําไปสูสมาธิ หรือใหพิจารณา
กาํ หนดองคหรือสัมภาระของศีลแตละขอ ดังกลาวไวแลวในหัวขอ ๒.๒.๕ เพื่อตนเองจะไดรูวาเราได
ลวงละเมิดองคของศีลขอใดบาง ถาผูสมาทานไดพิจารณาอยางน้ี ยอมเปนผูกําหนดรูอยูตลอด
ระยะเวลารักษาศีล สามารถทจี่ ะรกั ษาใหบ ริสทุ ธหิ์ มดจดและไดร บั อานิสงสอยา งแนน อน
สรุปไดวา เม่ือผูรักษาอุโบสถศีลไดสมาทานเรียบรอยแลว ไมควรกระทํากิจกรรมที่กอ
ความกังวลใจตอตนเองหรือความเดือดรอนใหแกผูอื่น แตวาควรใชเวลากําหนดอารมณกรรมฐาน
ตางๆ เพื่อนําไปสูสมาธิ หรือใหพิจารณาองคธรรมของศีลในแตละขอ เพื่อตนเองจะไดไมลวงละเมิด
องคแหงศลี อุโบสถนัน้ ๆ ใหเกิดความเศราหมองและผูรักษาศีลสามารถท่ีจะรักษาอุโบสถศีลใหบริสุทธ์ิ
ไดร ับอานสิ งสใ นการเขาจําอโุ บสถที่ประกอบดว ยองค ๘ ประการ ทาํ ใหก ารสมาทานสมบรู ณ
๒.๗.๘ ประโยชนหรอื อานสิ งสของการรักษาอุโบสถศีล
ศีล คอื ความปกติ มีภาวะปกติตามธรรมดา ไมเดอื ดรอนไมก ระวนกระวาย ไมระส่ําระสาย
ไมมีความสกปรกความเศราหมองใดๆ เกิดข้ึน ศีลเปนระเบียบวินัยท่ีพระพุทธเจาทรงบัญญัติไว
สําหรับใหชาวพุทธทุกคนไดประพฤติกัน เพ่ือเปนเครื่องฝกหัดดัดกาย วาจา ใหมีสภาวะปกติ ไมกอ
ความเดือดรอนวุนวายตอสังคม บุคคลผูมีศีลจึงเปนผูปกติเรียบรอย รูจักประพฤติตัวในทางท่ีดี รูจัก
เวนไมใหความช่ัวเกิดข้ึนในจิตใจ ดังน้ัน บุคคลที่มีศีลจึงเปนผูมีปกติทั้งทางกายและวาจา จาก
การศกึ ษาวเิ คราะหอยา งรอบครอบแลว กลา วไดวา อานสิ งสข องอุโบสถศีลมดี ังตอไปน้ี
๖๓
๑) อโุ บสถศีลทําใหผรู กั ษาไดสวรรคท พิ ยสุข
ในอุโบสถสูตร อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต โดยสรุปความวา “การครองราชยเปนอิส
ราธิปตยของพระราชาในแผนดินชมพูทวีปท่ีประกอบดวยแควนใหญ ๑๖ แควน มีแควนอังคะ แควน
มคธ เปน ตน น้กี ย็ ังไมถ ึงเสยี้ วที่ ๑๖ แหง อโุ บสถทีป่ ระกอบดวยองค ๘ ประการ ทั้งน้ีเพราะความสุขใน
มนษุ ยน ้นั เทียบกนั ไมไ ดก ับความสขุ อนั เปนทพิ ยใ นกามาพจรสวรรค ๖ ชั้น กลาวคือ ผูรักษาอุโบสถศีล
ไมว าหญงิ หรือชายหลงั จากตายไปยอมสามารถไปบงั เกิดเปน เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ได เปนเทวดาชั้น
นมิ มานรดีก็ได เปนเทวดาช้นั ปรนิมมิตวสวัตดกี ็ได
บุคคลไมพ ึงฆา สัตว ไมพึงถือเอาส่ิงของที่เจาของไมให พึงเวนจากเมถุนธรรมอันเปนความ
ประพฤตไิ มประเสริฐ ไมพ งึ พดู เทจ็ ไมพ งึ ด่ืมน้ําเมา ไมพ งึ บริโภคอาหารในเวลาวิกาล ในราตรี ไมพึงทัด
ทรงดอกไม ไมพ งึ ลบู ไลข องหอม พงึ นอนบนเตยี ง บนพ้นื หรอื บนเครื่องปลู าด
บัณฑิตท้ังหลายกลาวอุโบสถอันประกอบดวยองค ๘ ประการนี้แลวา พระพุทธเจาผูถึง
ท่ีสุดแหงทุกขทรงประกาศไวแลว ดวงจันทรและดวงอาทิตยท่ีงดงามท้ังสองดวงยังโคจรสองสวางไป
ตามวิถีเพยี งใด ทัง้ สองดวงนนั้ ก็จะกาํ จัดความมืดลอยอยูบนกลางหาวสองสวางรุงเรืองไปท่ัวทุกทิศอยู
ในทอ งฟาเพยี งนัน้ ทรพั ยใ ดอันมอี ยใู นระหวา งน้ี คอื แกว มุกดา แกวมณี แกวไพฑูรย ทองสิงคีสีสุกใส
ทองท่ีเรียกกันวาหฏกะ ดวงจันทร ดวงอาทิตย และทรัพยท้ังหมดนั้นก็ยงไมถึงแมเสี้ยวท่ี ๑๖ แหง
อุโบสถอนั ประกอบดวยองค ๘ ประการ เหมือนหมูด วงดาวท้ังหมดยงั แพร ัศมีดวงเดือนฉะน้นั
เพราะฉะนั้นแล หญิงหรือชายผูมีศีลเขาจําอุโบสถอันประอบดวยองค ๘ ประการทําบุญ
ทัง้ หลายอนั มีสุขเปนกําไร เปนผทู ่ไี มม ีใครตเิ ตยี น ยอมเขาถงึ สวรรค” 87๘๓
จากการศกึ ษาขอมลู ดังกลาวสรุปไดวา ผูมีศีลเปนผูมีปกติเรียบรอย หญิงหรือชายผูเขาจํา
อุโบสถท่ีประกอบดวยองค ๘ ประการ ยอมทําใหผูรักษาอุโบสถศีลไดสรางสวรรคทิพยสุขของตน
หลังจากตายไปแลว ยอมเลอื กเกิดได
๒) อุโบสถศีลสรา งประโยชนเสมอกันท้ังในสงั คมมนุษยแ ละเทวดา
การรักษาอุโบสถศีลก็คือการรักษาศีล และศีลน้ันเม่ือบุคคลรักษาดีแลวยอมมีคุณานิสงส
หรือผลดี ถาคนทุกช้ันวรรณะไมวาจะเปนชนช้ันวรรณะกษัตริย วรรณะพราหมณ (นักบวช) วรรณะ
แพศย (พอ คา ประชาชน) และวรรณะศูทร (ชนชั้นกรรมกร) ก็ตามเม่ือรักษาอุโบสถศีลนี้ ก็จะไดรับผล
เปน ประโยชนสขุ เสมอภาคกนั หมดโดยไมเลือกชั้นวรรณะ พระพุทธองคตรัสรับรองแกวาเสฏฐอุบาสก
ที่เขา มาเฝา ทูลถาม ซงึ่ ปรากฏในวาเสฏฐสตู ร แหง องั คุตตรนกิ าย อฏั ฐกนบิ าต ความวา “วาเสฏฐะ ถา
แมกษัตริยท้ังปวงพึงเขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการกัน การเขาจํานั้นก็จะพึงเปนไปเพื่อ
ประโยชนเกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนานแมแกกษัตริยท้ังปวง ถาแมพราหมณทั้งปวง.... ถาแม
แพศยท งั้ ปวง.... ถา แมศูทรทั้งปวง พงึ เขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการกัน การเขาจําน้ันก็
จะพงึ เปน เพอ่ื ประโยชนเก้อื กูล เพ่ือความสขุ ตลอดกาลนานแมแกศทู รทงั้ ปวง
วาเสฏฐะ ถาแมโ ลกตลอดทัง้ เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ
เทพ และมนุษยพึงเขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการกัน การเขาจําน้ันก็จะพึงเปนไปเพ่ือ
๘๓ อง.ฺ ทุก. (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๗๙.
๖๔
ประโยชนเก้ือกูล เพ่ือความสุขตลอดกาลนานแมแกโลกตลอดท้ังเทวโลก มารโลก พรหมโลก แกหมู
สัตวพรอมท้งั สมณพราหมณ เทพ และมนุษย วาเสฏฐะ ถาแมทานผูมหาศาลเหลาน้ีพึงเขาจําอุโบสถ
ประกอบดวยองค ๘ ประการกัน การเขาจํานั้นก็จะพึงเปนไปเพื่อประโยชนเก้ือกูล เพื่อความสุข
ตลอดกาลนานแมแกทานผูมหาศาลเหลาน้ี ถาหากวาทุกคนตั้งใจ จะปวยกลาวไปไยถึงผูเปนมนุษย
ธรรมดาเลา”88๘๔
จากขอมูลขางตนกลาวโดยสรุป การเขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการ เปนการ
สรางประโยชนเก้ือกูลย่ิง และอุโบสถศีลนี้สรางประโยชนสุขเสมอภาคกันทั้งในสังคมมนุษยทุกชนช้ัน
วรรณะและสูมวลหมทู วยเทพทุกช้ันภมู ิ
๒.๗.๙ ประวตั แิ ละความสาํ คญั ของอุโบสถศลี
๑. ประวัติของอโุ บสถศีล
วันอุโบสถศีลนั้น นักปราชญผูรูสันนิษฐานวามีมากอนสมัยพุทธกาล ในเร่ืองนี้มีปรากฏ
จากการทาํ พธิ กี รรมของพวกพราหมณไดกําหนดวันประกอบพิธีขึ้นมา เพ่ือเปนการชุมนุมรวมกัน เพ่ือ
แสดงออกถึงความเปนอันหน่ึงอันเดียวกัน ในวันนี้เจาของเรือนทั้งหลายผูจะประกอบพิธีจะตองมีการ
เตรียมตัวลวงหนาดวยการอดอาหารตลอดทั้งวัน หรืองดอาหารบางชนิดในบางเวลา เมื่อถึงเวลา
กลางคืนเจาของเรือนจะตอ งรักษาตวั อยูแ ตภ ายในบา น และปฏบิ ตั ิดูแลกองไฟบูชายัญ พวกเขาเชื่อกัน
วา ในวนั น้ีเทวดาท้ังหลายจะลงมาอยดู ว ย
ในพระวินยั มหาวรรค อโุ บสถขนั ธกะ ไดก ลาววา สมัยหนง่ึ พระผูมีพระภาคเจาประทับอยู
ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห พวกปริพาชกอัญเดียรถีย89๘๕ ประชุมกันกลาวธรรมในวัน ๑๔ ค่ํา
๑๕ ค่ํา และ ๘ คํ่า แหงปกษ ประชาชนทั้งหลายพากันเขาไปหาเพื่อฟงธรรม พวกปริพาชกอัญ
เดียรถียก็ไดรับความรักความเล่ือมใสและไดพรรคพวก พระเจาพิมพิสารไดทรงทราบเรื่องน้ี ทรงดําริ
วา ถาพระสงฆสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจา ทําการประชุมแสดงธรรมอยางน้ีบาง ยอมเกิดผลดีแก
พระพุทธศาสนาแนแท จึงไดเสด็จไปเฝาพระสัมมาสัมพุทธเจา ณ ท่ีประทับ กราบทูลเรื่องนี้ใหทรง
ทราบ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา จงึ ตรสั เรอ่ื งภิกษุท้งั หลายมาแลว รบั สงกบั ภกิ ษทุ ั้งหลายวา “ภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตใหประชุมกันในวัน ๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า และ ๘ ค่ํา แหงปกษ”แลวน่ังน่ิง ไมไดแสดงธรรม
ประชาชนเขาหาภิกษุเหลานั้นเพ่ือฟงธรรม ไมไดฟงธรรม จึงพากันคอนขอดวา ไฉนพระสมณะเชื้อ
สายพระศากยบุตรทั้งหลายประชุมกันในวัน “๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า และ ๘ คํ่า แลวจึงนั่งน่ิงเหมือนสุกรใบ
เลา90๘๖ ธรรมดาวาผูประชุมกันก็ควรกลาวธรรมมิใชหรือ” พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงทราบเร่ือง จึง
รับส่ังกับภิกษุท้ังหลายวา “ภิกษุท้ังหลายเราอนุญาตใหประชุมกันกลาวธรรมในวัน ๑๔ คํ่า ๑๕ ค่ํา
และ ๘ คํา่ แหง ปก ษ” ภกิ ษุท้งั หลายจงึ ไดแสดงธรรมใหประชาชนฟง ประชาชนตางก็พอใจแลวหันมา
๘๔ องฺ.อฏฐก. (ไทย) ๒๓/๔๔/๓๑๒-๓๑๔.
๘๕ อญั ญเดียรถยี หมายถงึ ผเู ปนเจาลัทธอิ น่ื นอกจากพระพุทธศาสนา.
๘๖ ส.ํ นิ. (บาลี) ๑๖/๒๔/๔๓.
๖๕
นับถือพระพุทธศาสนา จึงกลายเปนธรรมเนียมถือปฏิบัติกันวาตองมาฟงธรรมทุกวันขึ้น ๑๔ คํ่า ๑๕
ค่าํ และ ๘ ค่ํา แหงปกษ91๘๗
ดังนั้น วันท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจาทรงกําหนดใหภิกษุประชุมกันในวันขึ้นหรือแรม ๘ คํ่า
๑๔ คํา่ ๑๕ คาํ่ น้ีเรียกวา “วันอุโบสถ” ในวนั นี้ทรงอนุญาตใหภิกษุสวดพระปาติโมกขและแสดงธรรม
เทศนาดวย ทําใหมีประชาชนผูสนใจมาฟงธรรมเทศนาจํานวนมาก วันอุโบสถน้ี จึงมีช่ือเรียกอีกอยาง
หนึ่งวา“วนั ธัมมสั สวนะ”แปลวา วันสําหรับฟงธรรมเทศนา หรือเรียกตามภาษาชาวบานวา“วันพระ”
ไมป รากฏในคมั ภรี พ ระพทุ ธศาสนาหรอื พระไตรปฎกและอรรถกถาเลม ใด แตมปี รากฏในหนังสือ “ไตร
ภูมิพระรวง” ซึ่งถือวาเปนวรรณคดีไทยเร่ืองแรกที่พระเจาลิไท กษัตริยรัชกาลที่ ๕ แหงกรุงสุโขทัย
ทรงพระราชนิพนธข ้ึน มีคาํ วา วนั พระปรากฏอยูหลายแหง และวันพระนั้นก็เรียกวา “วันศีล” มีทั้งวัน
ศีลใหญ วันศีลเล็ก ซ่ึงก็คือวันพระใหญและวันพระเล็กน่ันเอง วันพระใหญไดแกวัน ๑๔ คํ่า (วันเดือน
ขาด) และวัน ๑๕ คํ่า และวันพระเล็ก ไดแกวัน ๘ คํ่า และในสมัยพอขุนรามคําแหงก็ทรงเรียก
วันธัมมัสสวนะ วา “วนั พระ” เชนกนั คอื วนั ดี หมายถึงวันที่คนมาทําสิ่งที่ดีๆและถือศีลอุโบสถกันดวย
ความเปน มาของวันอโุ บสถ ยงั สามารถประมวลเปน ประเด็นยอๆ ไวอกี วา
๑. วันอุโบสถ ตามที่เรียกไวในสมัยพระเวทวา “อุปวสถะ” กําหนดไวเดือนละ ๒ วัน คือ
ปก ษละ ๑ วัน ไดแ ก
๑.๑ วนั เพ็ญ ๑๕ คาํ่ (เปารณมาส)
๑.๒ วันขึ้น ๑ ค่าํ (ทรฺศ)
๒. วันอุโบสถ ตามที่กลาวไวในอรรถกถา คังคมาลชาดก และมหาเสสันดรชาดกซึ่งคัมภีร
มังคลัตถทีปนี นํามากลาวถึงไววา สมัยกอนพุทธกาลกําหนดวันอุโบสถ เดือนละ ๖ วัน คือปกษละ ๓
วนั ไดแก
๒.๑ วนั ๑๕ ค่ํา (อมาวสี)
๒.๒ วัน ๘ ค่ํา (อัฏฐม)ี
๒.๓ วนั ๑๑ คํ่า (เอกทสี)
๓. ตอมาในสมัยพุทธกาล มีระบุไวในพระสูตรตางๆ รวมถึงเดือนละ ๖ วันเหมือนกันแต
กําหนดวันแตกตางไปจากขางตนบาง เชน กลาววไวในพระสูตรและในพระบาลีหลายแหงคลายๆกัน
วา “จาตทุ ทฺ สี ปจฺ ทสี ยา จ ปกขฺ สสฺ อฏฐมี ปาฏหิ ารยิ ปกฺขฺจ อฏฐงฺคสุ สมาคตํ อุโปสถํ อุปวสํ สทา
สีเลสุ สํวุตา ดิฉันเขาอยูจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการ ๑๔ คํ่า ตลอดวัน ๑๕ คํ่าและตลอด
วนั ๘ ค่ําของปกษ ทั้งอยูจําปาฏหิ ารยิ ปก ขอโุ บสถดวย สาํ รวมในศลี ท้งั หลายอยตู ลอดเวลา ฯ”
พิจารณาตามความขางบนน้ี วันอุโบสถกําหนดไวเดือนละ ๖ วัน คือ ปกษละ ๓ วัน
เทา กับวันในขอ ๒ ตางแตกําหนดวันเปนอยางนี้
๓.๑ วนั ๑๔ คาํ่ (จาตทุ ทฺ ส)ี
๓.๒ วัน ๑๕ คาํ่ (ปฺจทส)ี
๓.๓ วัน ๘ คํ่า (อฏั ฐม)ี
๘๗ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓๒/๒๐๗-๒๐๙.
๖๖
ที่กําหนดวัน ๑๔ คํ่าเปนวันอุโบสถนั้น หมายถึงวัน ๑๔ คํ่า ขางข้ึนและขางแรม คือ
กําหนดเอาวนั ๑๔ ค่าํ ปก ษละ ๒ วนั ถาเปนเดือนขาด ปกษขางแรมก็กําหนดเอาวัน ๑๓ ค่ํา กับ ๑๔
ค่ํา เปนวันอุโบสถ เม่ือกําหนดวัน ๘ ค่ํา ท้ังขางข้ึนและขางแรมดวย จึงรวมเปนเดือนละ ๖ วัน ครบ
ตามกาํ หนดวันอุโบสถทก่ี ลาวไวใ นพระบาลีหลายแหง เชน คาถาทีย่ กมากลาวไวนั้นและใชวันอุโบสถนี้
เปนวันประชุมฟงธรรมดวย จึงเรียกอีกอยางหนึ่งวา “วันธรรมสวนะ”ดวยเหตุนี้วันอุโบสถหรือวัน
ธรรมสวนะในสมยั พุทธกาล จึงกาํ หนดไวเดือนละ ๖ วันและคาถาท่ีระบถุ ึงโอกาสอีกชนิดหน่ึง เรียกวา
ปาฏหิ ารยิ ปกษอุโบสถ
๔. ครั้นภายหลังพุทธปรินิพพานแลว บรรดาพระเถระผูเปนธรรมสังคาหกาจารย (พระ
อาจารยผูอธิบายธรรม) คิดเห็นกันวาชวงระยะวัน ตั้งแต ๑๔ ค่ํา ๑๕ ค่ํา ไปถึง ๘ คํ่า เปนระยะหาง
จากโอกาสท่ีจะไดฟงธรรม จึงตกลงสมมุติวันที่ ๕ คํ่า กําหนดเปนวันธรรมสวนะเพิ่มข้ึนอีกวันหนึ่งแต
นั้นมาจึงมีวันธรรมสวนะเพิ่มขึ้นอีกปกษละ ๑ วัน วันธรรมสวนะหรือวันอุโบสถ (ซ่ึงนับเปนวันปกติ
อุโบสถ) จงึ กําหนดเปน เดอื นละ ๘ วัน คอื ปก ษล ะ ๔ วัน ไดแ ก
ในชุณหปก ษ (ขางขึ้น) มี ๔ วนั คือ
๑. วนั ๕ ค่ํา (ปฺจมี)
๒. วัน ๘ คํา่ (อฏั ฐม)ี
๓. วัน ๑๔ ค่ํา (จาตทุ ทฺ ส)ี
๔. วนั สิ้นเดอื น (อมาวสี)
ในกาฬปก ษ (ขา งแรม) มี ๔ วัน คือ
๑. วนั ๕ คํ่า (ปจฺ มี)
๒. วัน ๘ ค่าํ (อฏั ฐม)ี
๓. วัน ๑๔ ค่ํา (จาตทุ ฺทส)ี
๔. วันสิน้ เดือน (อมาวสี)
แตคงเปน เพราะวัน ๕ ค่าํ คือวันปญจมีนน้ั มิไดมีมาในพระบาลี และกําหนดมาเพ่ิมเติมกัน
ภายหลัง ทานจึงกลาวไวในคัมภีรมังคลัตถทีปนีวา ดวยเหตุน้ีจึงไมกําหนดวันปญจมีไวในคัมภีรนั้น
เพราะมไิ ดม มี าตลอดกาลทกุ เมื่อ
วนั อุโบสถน้นั เรียกกนั เปน สามญั วา “วันพระ” ซึ่งโดยปกติถอื เปนวันสําคัญในพระศาสนา
เชน เดียวกบั วนั “สปาโต” ของคริสตศาสนา ฝรั่งผูรูบาลีจึงมักจะแปลวันพระหรือวัน อุโบสถ วา Fast
Day บาง Sabbath Day บาง ซ่ึง Sabbath Day นั้นในคริสตศาสนาของเขามีความหมายวา “วัน
หน่งึ ในเจ็ดวันทถ่ี ือเปนการพกั ผอ นจากการงาน” และกลาวถึงไวในบัญญตั ิ ๑๐ ประการของโมเสส ขอ
หน่งึ วา “ทานจงระลกึ ถึงวันสับบาธ ถือเปน วนั พระ”
๕. วันอุโบสถหรือวันธรรมสวนะตามท่ีกําหนดนับถือและปฏิบัติกันมาในประเทศไทยทุก
งันนี้ กําหนดไว ๔ วัน เรียกวา“วันพระ”และอธิบายวันพระไววา“วันประชุมถือศีลฟงธรรมใน
พระพทุ ธศาสนา เดอื นหนงึ่ มี ๔ วนั คอื วนั ขึ้น ๘ ค่าํ หรือขนึ้ ๑๕ คํ่า แรม ๘ คํา่ หรอื วนั สิ้นเดอื น”๘๘
๘๘ ธนิต อยูโพธิ์, อานิสงสอุโบสถศีล, หนา ๔๔-๕๑.
๖๗
ท่ีกลาวมาท้ังหมดเปนความเปนมาของวันอุโบสถทางพระพุทธศาสนา ซ่ึงมีจุดกําเนิดเร่ิม
ต้ังแตกอนสมัยพุทธกาล และเปนเพียงพิธีอยางหนึ่งของพวกพราหมณในสมัยพระเวท เมื่อมาถึงสมัย
พระพทุ ธเจา มนี ักบวชนอกศาสนา คือพวกอัญเดียรถีรไดประชุมกัน เพ่ือสนทนาธรรมกันพระพุทธเจา
ทรงทราบเร่อื ง จงึ ทรงมพี ุทธานุญาตใหกับภิกษุเพื่อแสดงธรรมแกประชาชนมากข้ึน จนไดบัญญัติเปน
สิกขาบท จัดเปนสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ และไดกําหนดวันนี้เปนวันอุโบสถ อุบาสก อุบาสิกา ก็
กําหนดเอาวันน้ีเปนวันถือศีลปฏิบัติธรรมดวย โดยเนนไปที่การอยูรักษาอุโบสถที่ประกอบดวยองค ๘
ประการ
สวนการกําหนดในวนั การถอื ศลี หรือรักษาอุโบสถของอุบาสกอุบาสิกา พุทธศาสนิกชนน้ัน
ไดกําหนดรูปแบบกําหนดวันมาตั้งแตพิธีของพวกพราหมณ และมีการเปลี่ยนแปลงในสมัย
พระพุทธเจา เม่ือหลังพระพุทธเจาเสด็จปรินิพพาน พระเถระผูเปนธรรมสังคาหกาจารย จึงมีความ
คิดเห็นดัดแปลงใหเกิดความเหมาะสมจนถึงสมัยปจจุบันจึงไดมีการกําหนดวันที่รักษาอุโบสถไวอยาง
เปนกฎเกณฑท แ่ี นนอน
๒.๗.๑๐ ความสาํ คัญของอุโบสถศลี
อุโบสถศีล ๘ น้ีในคัมภีรพระพุทธศาสนาเรียกวา อุโบสถมีองค ๘ หรืออุโบสถ อัน
ประกอบดว ยองค ๘ ประการ (อฏฐงคฺ สมนนฺ าคตํอุโปสถํ) เปนขอปฏิบัติขั้นศีล ที่พิเศษกวาศีล ๕ คือมี
จาํ นวนสิกขาบทมากกวาและปฏิบัติเครงครัดกวา ดังจะเห็นไดจากพุทธพจนที่วา “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
ชาติกอน ภพกอน กําเนิดกอน ตถาคตเกิดเปนมนุษย สมาทาน ในกุศลธรรม สมาทานม่ันคงในกาย
สุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ในการจําแนกทาน ในการ สมาทานศีล (สีลสมาทาเน = ศีล ๕) ในการ
รักษาอุโบสถ (มีองค ๘, อุโปสถุปวาเส) ในความเก้ือกูลตอมารดา ในความเก้ือกูลบิดาและในความ
เก้อื กูลสมณะพราหมณห ลงั จากตายแลวไปเกิดในสคุ ตโิ ลกสวรรค”93๘๙
ในพระสุตตันตปฏก ขุททกนิกายชาดก ทาวสักกเทวราชไดตรัสตอบพระเจาเนมิราชท่ี
สงสัยวา ทานก็ดี พรหมจรรยก็ดี อยางไหนมีผลมากกวา กันวา “บุคคลยอมเกดิ ในตระกูล กษัตริยไดดวย
พรหมจรรยอยางต่ํา เขาถึงความเปนเทวดาไดดวยพรหมจรรยอยางกลางยอมบริสุทธิ์ไดดวยพรหม
จรรยอยา งสงู ”94๙๐
ความสําคญั ของอุโบสถศลี คอื ถาบุคคลรักษาดว ยจิตศรัทธาจะดวยการสมาทาน หรือการ
งดเวนเฉพาะหนากต็ ามยอ มมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก มีความเจริญ แผไพศาลมาก
เพราะอุโบสถศีลนั้น สามารถสรางสวรรคสรางความเสมอภาค สรางความ ปลอดภัยแกมนุษย และ
เลิศกวาสมบัตขิ องพระเจา จกั รพรรดิ ดังตอ ไปน้ี
๒.๗.๑๑ อโุ บสถศลี สรางสวรรคแ กมนุษย
อโุ บสถศลี น้นั สามารถสรา งสวรรคแกมนุษยได ดังที่องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ตรัส
แกนางวิสาขา ในวิสาขาสูตร อัฏฐกนิบาต อังคุตตรนิกายวา“วิสาขา อุโบสถประกอบดวยองค ๘
ประการ ท่ีบุคคลเขาจําแลวยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก มีความเจริญแผไพศาล
๘๙ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๑/๑๖๓.
๙๐ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๔๒๙/๒๔๗.
๖๘
มาก การที่สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกน้ีเขาจําอุโบสถอันประกอบดวยองค ๘ ประการ หลังจากเขา
แตกกายทําลายขนั ธ
อุโบสถศีลนั้นสามารถสรางสวรรคแกมนุษยได ดังท่ีองคพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา
ตรัสแกนางวสิ าขา ในวิสาขาสตู ร อฏั ฐกนิบาต อังคตุ ตรนิกายวา “วสิ าขา อุโบสถน้ันประกอบดวยองค
๘ ประการ ท่ีบุคคลเขาจําแลวยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก มีความเจริญแผ
ไพศาลมาก การที่สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้ เขาจําอุโบสถอันประกอบดวยองค ๘ ประการ
หลงั จากเขาแตก กายทาํ ลายขันธแ ลวพงึ ไดอ ยรู วมกับชาวสวรรคช ้นั จาตมุ มหาราชกิ า ชั้นดาวดึงสช้ันยา
มา ช้ันดสุ ติ ช้นั นมิ มานรดีและชน้ั ปรนิมมิตวสวัสดี ขอนนั้ ยอมเปน ไปไดแ นนอน”95๙๑
ดังนัน้ ผทู ่ีรกั ษาอุโบสถศีลเมื่อตายไปยอ มไดไปเกดิ ในสวรรคชั้นตา งๆแนน อน
๒.๗.๑๒ อุโบสถศลี สรางความเสมอภาคแกม นุษย
ในอังคุตตรนิกายอัฏฐกนิบาต กลาวถึงอุโบสถศีลวาสามารถสรางความเสมอภาคแก
มนุษยได ดังท่ีองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสกับอุบาสกช่ือวา วาเสฏฐะวา “วาเสฏฐะ แม
กษัตริยท้ังหลาย พราหมณทั้งหลาย แพศยท้ังหลายและศูทรทั้งหลาย พึง เขาจําอุโบสถศีลอัน
ประกอบดวยองค ๘ ประการ การเขาจํานั้น พึงเปนไปเพื่อประโยชน เพ่ือความสุขเพื่อเก้ือกูล เพื่อสุข
ตลอดกาล แกกษัตริย แกพราหมณ แกแพศย และแกศูทร ท้ังหลาย เหลานั้น ช่ัวกาลนานเหมือนกัน
(คือไดไปเกิดในสุคติไดเทาเทียมกัน) แมหากชาวโลกพรอมท้ังเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมูสรรพ
สัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ เทวดา และมนุษยพึงอยูจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการ ในการ
เขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการนั้น พึงเปนไปเพ่ือประโยชนเพ่ือความสุขเพื่อเก้ือกูล เพ่ือ
สุขตลอดกาลนานแกชาวโลกพรอมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมูสัตวพรอมท้ังสมณพราหมณ
เทวดาและมนุษย แมแตตนสาละใหญๆ ถาสามารถเขาจําอุโบสถศีลอันประกอบดวยองค ๘ ประการ
ไดการเขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการนั้นก็เปนไปเพ่ือประโยชน เพ่ือความสุขเพื่อเก้ือกูล
เพ่ือสุขตลอดกาลนานแกตนสาละใหญๆเหลานน้ั เหมือนกนั ”96๙๒
สรุปวา การเขาจําอุโบสถอันประกอบดวยองค ๘ ประการนั้น ผูเขาจําไมวาจะเปน
กษัตริย พราหมณ แพศย ศทู ร เทวดา มนุษยท้ังหลายหรือแมแตตนสาละถาเขาจําอุโบสถได และเมื่อ
เขาจําอโุ บสถอนั ประกอบดว ยองค๘ ประการแลว ยอมไดรบั ประโยชนไดร ับความสุขตลอดกาล ท้ังชาติ
นแี้ ละชาติหนา เหมือนกันเทา เทยี มกนั โดยมงุ ทเ่ี จตนาไมมกี ารแบงช้ันวรรณะ หรือสภาวะท่ีแตกตางกัน
ของสตั ว
๒.๗.๑๓ อุโบสถศีลสรางความปลอดภยั แกม นษุ ย
อุโบสถศีลนั้นสรางความปลอดภัยแกมนุษยได ดังท่ีองคพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา
ตรสั ไวในอภิสันทสตู ร อฏั ฐกนบิ าต อังคตุ ตรนิกาย97๙๓ มีใจความวา
๙๑ อง.ฺ อฏก. (ไทย) ๒๓/๔๓/๓๑๐-๓๑๑.
๙๒ อง.ฺ อฏก.(ไทย) ๒๓/๔๔/๓๑๒-๓๑๔.
๙๓ อง.ฺ อฏ ก. (ไทย) ๒๓/๓๙/๒๙๙-๓๐๑.
๖๙
ภิกษุท้ังหลาย อริยสาวกในศาสนานี้ละปาณาติบาตเปนผูเวนจากปาณาติบาต ละ
อทินนาทานเปนผูเวนขาดจากอทินนาทานละกาเมสุมิจฉาจารเปนผูเวนขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร ละ
มุสาวาทเปนผูเวนขาดจากมุสาวาทละสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานเปนผูเวนจากสุราเมรย-มัชช
ปมาทัฏฐาน ช่ือวาเขาไดใหความไมมีภัย ความไมมีเวรและความไมเบียดเบียนแกสัตวทั้งหลายหา
ประมาณมิไดตวั เขาเองกย็ อมมสี วน (ไดร ับ) ความไมมภี ยั ความไมมเี วรและความไมถูกเบียดเบียนดวย
ทานทั้งหาน้เี ปน มหาทานรูก ันวา เปน เลิศ (กวาทานท้ังหลาย) รูกันมานาน รูกันวาเปนวงศ (ของอริยะ)
เปน ของเกาอนั สมณพราหมณผเู ปน วญิ ชู นไมค ัดคา นไมล บลาง
การบริโภคอาหารมื้อเดียวทําใหรางกายสุขสบาย โรคภัยไขเจ็บมีนอยรางกายเบา สบายมี
กาํ ลังและคลอ งตวั การเวน ขาดจากกร ฟอนรําการขับรองประโคมดนตรี ดูละเลนอันเปนขาศึกแกกุศล
เวนขาดจากการทัดทรงตกแตงรางกายดวยดอกไมของหอมเครื่องประทินผิวอันเปนลักษณะแหงการ
แตงตวั การเวน ขาดจากท่นี อนสงู ใหญ สองขอ สุดทายเปนการละกิเลส ราคะ มานะ ท่ีแขงกันมีแขงกัน
ประดบั โออวด ปญ หาการแยงชงิ แขงขันก็ไมเ กดิ ขนึ้ จงึ ทาํ ใหไ มม ภี ัย ไมม ีเวรไมเ บียดเบยี นกัน98๙๔
อน่ึงแมบุคคลผูอํานวยความสะดวก และใหการสนับสนุนผูรักษาศีลดวยการใหอาหาร
เปน ตน กย็ อ มไดผล ไดอ านสิ งส ไดค วามรุงเรอื งและความเจริญแผไ พศาลมาก เชน เดียวกัน
๒.๗.๑๔ อโุ บสถศลี เลศิ กวา สมบัตขิ องพระเจาจักรพรรดิ
ในอังคตุ ตรนิกายอัฏฐกนบิ าต สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจาไดกลาวถึงความสําคัญของการ
รักษาอุโบสถศีลที่บุคคลอยูจําแลวยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก แผไพศาลมากวา
ในอังคุตตรนิกายอัฏฐกนิบาต สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ไดกลาวถึงความสําคัญของการรักษา
อุโบสถศีลท่ีบุคคลอยูจําแลวยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก แผไพศาลมากกวา
“เปรยี บเหมอื นพระราชาพระองคใดท่ีครองราชยเปนอิสราธิบดี (เปนผูย่ิงใหญเหนือผูอ่ืน) แหงชนบท
ใหญ ๑๖ แควน ท่ีสมบูรณดวยทรัพยสมบัติอันมีแกว ๗ ประการ คือ อัง คะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี
มัลละ เจดี วังสะ กุรุ ปญจาละ มัจฉะ สุรเสนะอัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การครองราชยของ
พระราชาพระองคนั้นยังมีคาไมถึงเสี้ยวท่ี ๑๖ ๙๕ แหงอุโบสถที่ประกอบดวยองค ๘ ประการ เพราะ
99
ราชสมบัตขิ องมนุษยเม่ือนาํ ไปเปรียบเทยี บกับสขุ ทีเ่ ปน ทพิ ยถือวาเปนของเลก็ นอ ย”100๙๖
จะเห็นวาบรรดาคนท่ีรํ่ารวยท่ีสุดในโลกที่ไดช่ือวามหาเศรษฐีของโลก มีทรัพยสินเงินทอง
มหาศาล ความร่ํารวยของมหาเศรษฐีเหลานั้นทั้งหมดในโลกรวมกันเมื่อนําไปเปรียบเทียบกับสมบัติ
ของพระเจา จกั รพรรดแิ ลวเปน ของเลก็ นอย ไมเทยี บเทากับสมบัติของพระเจาจักรพรรดิเลย แตสมบัติ
ของพระเจาจักรพรรดิใหความสุขทางโลกเปนสมบัติหยาบๆเมื่อนําไปเปรียบเทียบกับอุโบสถศีลที่
เปรียบกับการใหความสุขท่ีเปนทิพยแลวถือวาเล็กนอยมากเทียบไมไดเลย ฉะนั้นสตรีหรือบุรุษ
๙๔ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๐/๔.
๙๕ เส้ยี วท่ี ๑๖ ในท่นี ้หี มายถงึ อานสิ งสแหง อุโบสถทแ่ี บงเปน ๑๖ สวน แลวเอาสวน ๑ ใน ๑๖ สวนนั้น
มา แบง เปน อีก ๑๖ สว น แลวเอาสวนหน่ึงจาก ๑๖ สวนทแ่ี บงครงั้ ท่ี ๒ นนั้ มาแบงเปน ๑๖ สวนอีกคร้ังหน่ึงเปนคร้ัง
ท่ี ๓ สว น ๑ ใน ๑๖ สว นทแ่ี บงคร้งั ที่ ๓ น้แี หละจัดเปน เสย้ี วท่ี๑๖.
๙๖ องฺ.อฏ ก. (ไทย) ๒๓/๔๒/๓๐๗, ๒๓/๔๓/๓๑๐, ๒๓/๔๕/๓๑๕.
๗๐
ท้ังหลายที่รักษาอุโบสถศีลประกอบดวยองค๘ ประการ ไดช่ือวาทําบุญทํา ความดีท่ีมีสุขเปนกําไร ไม
ถกู นินทา เม่ือเสียชวี ิตไปยอ มเขา ถึงซ่ึงสวรรค
๒.๗.๑๕ การรกั ษาอโุ บสถศีลสามารถทําใหน าคประเภทตา งๆ สละกายได
ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค นาคสังยุต อุโปสถสูตรวาดวยอุโบสถ101๙๗ การรักษา ศีล
อโุ บสถเปน เหตเุ ปนปจจัยทาํ ใหน าคท่เี ปน อัณฑชะบางพวกในโลกนี้สามารถสละกายได ในทุติยอุโปสถ
สตู ร102๙๘ การรักษาอุโบสถเปนเหตุเปนปจจัยทาํ ใหน าคทเี่ ปน ชลาพุชะบางพวกในโลกน้ีสามารถสละกาย
ได ในตติยอุโปสถสูตร103๙๙ การรักษาอโุ บสถเปน เหตุเปนปจจัยทําใหนาคที่เปนสังเสทชะบางพวกในโลก
น้ีสามารถสละกายไดและจตุตถอุโปสถสูตร104๑๐๐ การรักษาอุโบสถจึงเปนเหตุเปนปจจัยทําใหนาค
โอปปาติกะบางพวกในโลกนสี้ ละกายได
ในอรรถกถา วินัยปฏก ติรัจฉานคตวัตถุ วาดวยสัตวดิรัจฉานบรรพชา นาคตัวหน่ึงอึดอัด
ระอา รังเกียจกาํ เนิดนาคตองการอัตภาพเปนมนุษย จงึ แปลงรางเปนมนษุ ยแอบมาบรรพชา อุปสมบท
แตพอหลับรางกายก็ปรากฏรางเปนนาคดังเดิม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสกับพระนาคนั้นวา
“พวกเจาเปนนาค ไมมีความงอกงามในพระธรรมวินัยน้ีไปเถิด นาคเจาจงเขาจําอุโบสถในดิถีท่ี ๑๔
ดิถีที่ ๑๕ และดิถีท่ี ๘ แหงปกษน้ันแหละดวยวิธีน้ีอยางน้ีเจาจักพนจากกําเนิดนาคและไดอัตภาพ
มนุษยฉบั พลัน”105๑๐๑
จากการศกึ ษาน้พี บวาการเขาจํารกั ษาศลี อุโบสถนัน้ สามารถสรา งสวรรคสรางความ เสมอ
ภาค สรางความปลอดภัยใหแกมนุษยและใหสมบัติที่นาปรารถนาแกมนุษย ดังน้ันอุบาสก อุบาสิกา
ทั้งหลายจึงควรรักษาศีลใหดี มิใหขาดมิใหดางพรอย ศีลอุโบสถจะนําความสุขความเจริญ มาใหไม
เพียงเทานี้จะเห็นวาการรักษาอุโบสถศีลในสมัยกอนพุทธกาลและในสมัยพุทธกาลมี ความสําคัญมาก
บุคคลในยุคน้ันเมื่อปรารถนาสิ่งใดก็จะทําการรักษาอุโบสถศีลแลวก็จะไดสมดังท่ีปรารถนา ดังเชน
การรักษาอุโบสถศีลของพระเจาจักรพรรดิผูไดรับมูรธาภิเษกเพื่อใหไดจักรแกว อันเปนทิพยท่ีหายไป
กลับคืนมา พระยานาคทั้งหลายรักษาอุโบสถศีลเพ่ือปรารถนาไดไปเกิดบนสวรรคและไดอัตภาพเปน
มนุษยก็สมปรารถนาแมแตพระอรหันตเปนพระอริยบุคคลระดับสูงสุดในพระพุทธศาสนา และเปา
หมายสูงสุดในการประพฤตธิ รรมในทางพระพุทธศาสนาก็เพื่อใหไดบรรลุธรรมเปนพระอรหันต เม่ือได
บรรลุธรรมแลว ก็เปน อันเสร็จกจิ ในพระพุทธศาสนา ส้ินอาสวะกิเลสแลว เปนผูบริสุทธ์ิแลว ไมตองทน
ทุกขทรมานในการเวียนไหวตายเกิดอีกตอไป หน่ึงในธรรมท่ีพระอรหันตและพระอริยบุคคลปฏิบัติก็
คอื การเขา อยจู ํารกั ษาอโุ บสถศลี
๙๗ ส.ํ ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๔/๓๕๑.
๙๘ สํ.ข.(ไทย) ๑๗/๓๔๕/๓๕๒.
๙๙ สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๖/๓๕๒.
๑๐๐ สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๗/๓๕๓.
๑๐๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๑๑/๑๗๖.
๗๑
๒.๗.๑๖ วิธีการรักษาอุโบสถศีล
ในอรรถกถาอโุ บสถสูตร106๑๐๒ ไดก ลา วถงึ การเขา จําอุโบสถวา บคุ คลผูจะเขาจําอุโบสถศีลน้ัน
พึงต้ังใจวาพรุงน้ีเราจักรักษาอุโบสถ ควรเตรียมตัวใหพรอมดวยการจัดเตรียมอาหารใหพรอมสําหรับ
วันอโุ บสถและตรวจตราการงานใหเรียบรอยเสียแตวันน้ี การงานอะไรที่ควรสั่งคนท่ีบานไววาอยางไร
ก็ใหมอบหมายเสียใหเรียบรอย เมือ่ เขาจาํ อโุ บสถไมค วรจัดแจงการงานทเี่ ปน การกระทําท่ีเบียดเบียนผู
อื่นหรือทําใหผูอ่ืนเดือดรอน ผูเขาจําอุโบสถพึงปลดเปลื้องปลิโพธคือ ความกังวลหวงใยตางๆออกไป
เสียในวันอุโบสถผูรักษาอุโบสถพึงทําการกําหนดกาลวา “เราจักรักษาอุโบสถตลอดวันน้ีและคืนนี้”
จากนัน้ จึงเปลงวาจาสมาทานองคอโุ บสถ ๘ ประการ ในสํานกั ของภกิ ษุ ภกิ ษุณี อบุ าสกหรืออุบาสิกาผู
รูลักษณะของศีล ๑๐ แตเชาตรู หากรูบาลีก็พึงเปลงวาจา สมาทานดวยภาษาบาลีสวนผูไมรูภาษา
บาลี ควรอธิษฐานวา “ขาพเจาอธิษฐานอุโบสถท่ี พระพุทธเจาทรงบัญญัติไวแลว” (พุทฺธปญฺ ตฺตํ อุ
โปสถํ อธิฏฐามิ) ผูสมาทานอุโบสถควรรับประทานอาหารแตเชาไมควรทํากิจใดๆ อยางอื่นไมควรปล
อยเวลาใหลวงไปควรทําการนับอายุของตนวาสิ้นไปเทาใดและพึงระลึกถึงความตายเปนอารมณ เม่ือ
บริโภคอาหารก็ควรบริโภคเหมือนภิกษุผูมีภัตรเปนประจําแลวไปสูวิหารหรือวัดเพ่ือฟงธรรม ศึกษา
ธรรม สนทนาธรรม หรือมนสิการบรรดาอารมณ ๓๘ อารมณอยางใดอยางหนึ่ง (แตในปจจุบันเปน
บริกรรมอาการ ๓๒ มีขน ผม เล็บ ฟน หนัง... เปนตน) ดังท่ีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสกับนาง
วิสาขาวา “วิสาขา เธอมาจากที่ไหนแตยังวันเชียว นางวิสาขากราบทูลวาขาแตพระองคผูเจริญ วันน้ี
หมอ นฉนั จะรกั ษาอโุ บสถ”107๑๐๓
ในฏีกาอุโบสถสูตร วา ผูรักษาอุโบสถพึงทําการกําหนดวา เราจักรักษาอุโบสถตลอดคืนน้ี
และตลอดวันน้ีแลวทําโดยรวมกันดวยอํานาจองคอุโบสถวา “ขาพเจาสมาทานสิกขาบท ๘” แลวทํา
การเปลงวาจาสมาทานอโุ บสถเฉพาะองคต ามบาลีอยา งน้ี วา
๑. ปาณาติปาตา เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ.
๒. อทินฺนาทานา เวรมณีสกิ ขฺ าปทํ สมาทิยามิ.
๓. อพรฺ หมฺ จรยิ า เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทิยาม.ิ
๔. มุสาวาทา เวรมณสี กิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ.
๕. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ.
๖. วิกาลโภชนา เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทิยาม.ิ
๗. นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณฺ มณฺฑนวิภูสนฏานา เวรมณีสิกฺ
ขาปทํ สมาทิยามิ.
๘. อจุ จฺ าสยนมหาสยนา เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ. อิมํ อฏงคฺ สมนฺนาคตํ,พุทฺธปฺ ตฺตํ
อโุ ปสถ,ํ อิมฺจรตฺตึ อิมจฺ ทิวส,ํ สมฺมเทว อภิรกขฺ ติ ุ สมาทยิ าม.ิ
ถาไมรูภ าษาบาลี ก็สมาทานเปนภาษาไทยกไ็ ด ดงั น1้ี08๑๐๔
๑๐๒ มงฺคลตฺถ. (บาล)ี ๓/๑๔๐-๑๔๑.
๑๐๓ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๗๙.
๑๐๔ ข.ุ ข.ุ (ไทย) ๒๕/๓/๒-๓.
๗๒
๑. ขา พเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการฆา สตั ว
๒. ขา พเจาขอสมาทานสิกขาบท คอื เจตนางดเวนจากการถอื เอาสิง่ ของท่เี จาของมิไดให
๓. ขา พเจาขอสมาทานสกิ ขาบท คอื เจตนางดเวน จากพฤตกิ รรมอนั มิใชพรหมจรรย109๑๐๕
๔. ขา พเจา ขอสมาทานสกิ ขาบท คือเจตนางดเวน จากการพดู เทจ็
๕. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการดื่มนํ้าเมาคือสุราและ เมรัยอัน
เปนเหตแุ หงความประมาท
๖. ขาพเจา ขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการบรโิ ภคอาหารในเวลาวกิ าล110๑๐๖
๗. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการฟอนรําขับรองบรรเลง ดนตรีดู
การละเลนอันเปนขา สึกตอกุศลและงดเวนจากการทัดทรงประดับตกแตงรางกายดวยดอกไมของหอม
และเครอื่ งลูบไล
๘. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการน่ังนอนบนท่ีน่ังท่ีนอนสูง
และใหญ หรือเมื่อไมรูภาษาบาลีก็พึงสมาทานเฉพาะองคดวยภาษาของตนหรือดวยอํานาจอธิษฐาน
โดยรวมวา “ขา พเจา อธิษฐานอโุ บสถทพี่ ระพุทธเจา ทรงบัญญัติไวแลว”เม่ือไมมีผอู ื่นกอ็ ธิษฐานเองก็ได
๒.๗.๑๗ การสมาทานอุโบสถศีล
การสมาทานองคอุโบสถนั้น ชื่อวาเปนความมงคล เพราะเปนเหตุแหงความเกิดในสวรรค
เปนตน ดังท่ีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสไววา “วิสาขา ผูใดพึงครองราชยเปนอิสราบดีแหง
มหาชนบท ๑๖ เหลานี้ซ่ึงมีรัตนะ ๗ ประการมากมายคืออังคะ มคธะกาสี โกศล วัชชี มัลละ เจตี
วงั สะ กุรุ ปญ จาละ มจั ฉะ สรุ เสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การครองราชยของผูน้ันยอมไม
ถึงเสย้ี วท่ี ๑๖ แหงอโุ บสถซงึ่ ประกอบดว ยองค ๘ ประการ”111๑๐๗ การสมาทาน หมายถึง การถือเอารับ
เอาเพ่ือเปนขอปฏิบัติ, การถือปฏิบัติเชน สมาทานศีล คือรับเอาศีลมาปฏิบัติ112๑๐๘ การวิรัต คือการงด
(อารติ.) การเวน (วิรติ.) ความงด, ความงดเวน เจตนางดเวนจาก ความช่ัว เจตนาเปนเคร่ืองงดเวน
เจตนาจงึ เปน เคร่ืองละเวน คนจะไดชื่อวาผูมีศีล คือ ผูมีปกติกายและวาจาสะอาดปราศจากโทษต
องมีวิรัตวิรัติมี ๓ ประการคือ สัมปตตวิรัติงดเวนในเหตุการณท่ีประสบเฉพาะหนา คือ ความเวนจาก
วัตถุอันประจวบเขามาถึงในขณะน้ันซึ่งตนจะลวงไดแตไมลวง เพราะจิตมีหิริและโอตตัปปะเปนวิรัติ
ของคนผูไมไดต้ังสัตยปฏิญาณไวเชน กําลังจะฆาสัตวแตเกิดความสงสารสัตวในขณะนั้นเกิดความ
ละอายเลยไมฆาแลวปลอยสัตวไป จัดเปนสัมปตตวิรัติ สมาทานวิรัติ งดเวนดวยการต้ังใจสมาทานไว
แตแรกคอื การถอื การเวนดวยการรบั ขอปฏบิ ัตมิ าถือ เมื่อสมาทานแลวก็ตั้งใจรักษาศีลยอมสละแมชีวิต
ของตนไมละเมิดไมกาวลวงท้ังในเวลาสมาทานสิกขาบทและเวลาอื่นจากน้ันจัดเปนสมาทานวิรัติวิธี
สมาทานมี ๒ แบบ คอื
๑๐๕ พฤตกิ รรมอันมิใชพรหมจรรย หมายถึงเจตนาท่ีจะเสพเมถุนธรรม (พฤติกรรมของคนคูกัน) หรือ
เจตนาทแ่ี สดงออกทางกายโดยมุง หมายทจี่ ะเสพเมถุนธรรม.
๑๐๖ เวลาวกิ าล ในท่ีน้ีหมายถงึ เวลาทีเ่ ลยเท่ยี งวนั ไป.
๑๐๗ มงฺคลตถฺ . (บาลี) ๓/๑๔๒.
๑๐๘ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท, หนา ๔๐๑.
๗๓
ปจ เจกสมาทาน คือการสมาทานโดยแยกเปนสิกขาบท หรือเปนขอๆเมื่อทําผิดศีลขอใดก็
ขาดเฉพาะศีลขอน้นั
อกัชฌสมาทาน คือการสมาทานรวมกันทุกสิกขาบทไมแยกขอ ถาขาดขอใดขอหนึ่งก็ถือ
วา ขาดหมด
สมุทเฉทวิรัติ คือ เวนดวยการตัดขาดเปนคุณธรรมของพระอริยบุคคล ทานไมยอม
ละเมดิ ทกุ เหตุการณ แมจ ะถูกทรชนบีบดวยประการตา งๆหรอื ทาํ ชีวติ ใหแ ตกดับกต็ าม113๑๐๙
จากการศกึ ษานี้พบวา การรักษาอุโบสถศีลน้ัน จะสมาทานเองหรือสมาทานกับพระสงฆก็
ได ท้ังน้ีเพราะผูที่อาศัยอยูในถ่ินกันดารไมมีวัดไมมีพระก็สามารถสมาทานเองไดและไมจํากัดสถานท่ี
วาเปนท่ใี ด ที่ใดสัปปายะ สะดวกเก้อื กูลตอการปฏิบัติรักษาก็ทําไดเลย จะเปนท่ีวัด ที่บานท่ีปาหรือใน
ทะเลไดท้ังน้ัน หากผูนั้นมีเจตนางดเวนแลวก็จัดเปนศีลเชนกัน ไมจํากัดสถานท่ี เชนพระโพธิสัตวเมื่อ
ครั้งเสวยพระชาตเิ ปนพระมหาชนกเรือแตกวายน้ําอยูกลางมหาสมุทร สังเกตเห็นพระจันทรเต็มดวงรู
วา วันนี้เปนวันอุโบสถจงึ ทรงบวนพระโอษฐแลวอธิษฐานรักษาอุโบสถ หรือเรื่องของพระเจาอุทัยซ่ึงใน
ชาติกอนเปนเพียงบุรุษเข็ญใจคนหนึ่งในบาน เศรษฐีสุจิปริวารไดอธิฐานอุโบสถครึ่งวันเทาน้ันก็ไดยศ
ใหญเกิดเปนพระเจา อุทยั หรอื แมแ ตนางวสิ าขาและอุบาสกอบุ าสิกาทงั้ หลายกส็ มาทานท่ีบานแตเชาตรู
แลวจึงถือดอกไมของหอมไปสมาทานที่วัดทีหลัง เพื่อทําบุญทําทานรวมถึงการฟงธรรมดวย บุคคลผู
รักษาอุโบสถสมาทานดวยตนเองก็ดี สมาทานยังสํานักภิกษุสงฆก็ดี สมาทานยังสํานักของผูอ่ืนก็ดีก็ได
ชือ่ วา สมาทานแลว หรอื รบั เอามาปฏิบตั แิ ลวสมาทานรวมกด็ ี สมาทานเฉพาะองคก็ดีก็เปนอันสมาทาน
เหมือนกัน ระหวางสมาทานและวิรัติไมแตกตางกันเมื่อสมาทานรวมกัน วิรัติก็อยางเดียวกันเทานั้น
เจตนาก็เปนอันเดียวเหมือนกันคือความตั้งใจท่ีจักรักษาอุโบสถมีองค ๘ และความตั้งใจที่จักงดเวน
บาปทุจริตเพอื่ มิใหองค ๘ แตกทาํ ลาย
๒.๗.๑๘ คุณประโยชนจากการรักษาอุโบสถศลี
การรักษาอุโบสถศีลกอใหเกิดประโยชนมากมาย ท้ังประโยชนที่เกิดข้ึนตอตนเองและตอ
สังคม โดยรวมคณุ ประโยชนองคข องศลี แตละขอ มดี ังน้ี
ศีลขอท่ี ๑ รกั ษาชีวิต
ศลี ขอ ที่ ๒ รกั ษาทรัพยส นิ
ศลี ขอ ที่ ๓ รักษาเกยี รติยศ และความบริสทุ ธิ์
ศีลขอท่ี ๔ รกั ษาสัจจะ
ศลี ขอ ท่ี ๕ รกั ษาใจ (สต)ิ
ศีลขอ ท่ี ๖ รักษาสุขภาพ
ศลี ขอ ที่ ๗ รกั ษาความปลอดภยั
ศลี ขอที่ ๘ รกั ษาความสงบ (สมาธิ)๑๑๐
๑๐๙ พันตรีประยุทธ หลงสมบุญ, คูมือ เบญจศีลเบญจธรรมและอุโบสถศีลฉบับธรรมเจดีย,
(กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพเ ลยี่ งเชยี ง, ๒๕๔๑), หนา ๑๘-๒๐.
๗๔
๑) ประโยชนที่เกิดข้ึนตอ ตนเอง ครอบครวั และสงั คม
๑. เปน ผูมจี ิตเมตตา รจู ักชวยเหลือ และสงเคราะหผูอ่นื
๒. เปน ผไู มม คี วามอยากได ไมมคี วามละโมบในทรัพยสินของผูอนื่
๓. ทาํ ใหค รอบครวั มคี วามสขุ มีความรัก และเขาใจกนั
๔. ทําใหผูอ่ืนรัก ผูอน่ื อยากเขาใกล ไมสรา งศัตรู ไมมผี ูต ิฉนิ นินทา
๕. มีทรพั ยเงินทอง และไมเ สอ่ื มในทรพั ยนน้ั งา ย
๖. เปนผูมีความอดทน สามารถรูจ กั หามใจในความอยากทางกาย และทางใจของตนได
๗. เปนผูไมหลงมวั เมาในกเิ ลส ในความสขุ อนั ไมเที่ยง
๘. เปนผูร จู กั ประมาณตน รูจกั สํารวมตน รูจ กั ใชช วี ิตอยา งความพอเพยี ง115๑๑๑
อุโบสถศีลนี้ มผี ลมากกวาศลี ๕ เพราะนอกจากจะเวนจากบาปแลว ยังงดเวนจากส่ิงท่ีก้ัน
จิตไมใหขึ้นสูระดับสูง คือระดับสมาธิอีกดวย เพราะศีล ๘ ท่ีนอกจากศีล ๕ ลวนแตเปนศีลหรือวัตร
ปฏิบัตทิ ่ยี กจติ ใหส ูงขึ้นสรู ะดับสูง โดยเฉพาะตัวกันราคะ คือ ตัวกามฉันทไมใหเกิดขึ้นไดงาย เพราะได
ปองกันทางเดินหรือทางเกิดของนิวรณขอน้ีไดหลายอยาง ตามหลักที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติไว ศีล
อโุ บสถ มผี ลมากกวาศีล ๕ ดงั กลา ว เพราะเปนศีลที่ทําจิตยางข้ึนสูสมาธิเร็วขึ้นอีกประการคือ เปนศีล
ท่ที ําใหเ บากายเบาใจ ไมตองวุนวายในเรื่องอาหารมื้อเย็น ทําใหตัวเบาไมตองขวนขวายในการแตงตัว
และไมต องไปเกย่ี วของกับเร่ืองที่กอ ใหเ กิดกิเลส เชน การฟอนราํ ขบั รอ ง เปน ตน116๑๑๒
๒.๗.๑๙ อานิสงสจากการรักษาอโุ บสถศลี
อานิสงสจากการรักษาอุโบสถศีลจะเกิดข้ึนตามมามากมาย ซึ่งสามารถสรุปไดเปน ๓
ระดบั ดงั ตอ ไปนี้
๑) ผลในปจจบุ นั ชาติ
๑. ทําใหมีความสุขกายสบายใจ ไมตองเดือดรอน หวาดระแวงหรือหวาดกลัวตอภัย
ใดๆ ทจี่ ะทําใหข าดความปลอดภยั ในชวี ิต
๒. ไดปลูกฝงนิสัยไมมักโกรธ ไมเปนคนเจาโทสะ ไมเบียดเบียนใคร เปนผูรูจักยับย้ัง
ชั่งใจ ไมคิดไปทําใหตนเองหรือใครๆ เดอื ดรอ น
๓.ไดต อกย้าํ สัมมาทฏิ ฐิใหม ่ันคงย่ิงข้ึนเพราะเม่ือไดรักษาศีลยอมเห็นคุณของอานิสงส
อยา งชัดเจน จนเกิดความเกรงกลวั ตอบาปกรรม ซ่งึ จะทําใหเปนผูมีความระมัดระวังในความประพฤติ
ของตนเองเปน อยา งดี
๒) ผลในภพชาติเบื้องหนา
๑. เมื่อละโลกไปแลว จะไปบังเกิดในสุคตโิ ลกสวรรค
๑๑๐ พระพุทธยานันทภิกขุ, คนรักษาศีล ศีลรักษาคน, (กรุงเทพมหานคร : หจก.เอมี่, ๒๕๔๔),
หนา ๑๔.
๑๑๑ เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๕.
๑๑๒ พ. สถติ วรรณ, อนปุ ุพพิกถาทีปน,ี (กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัท เซเวน พร้ินติง้ กรุป จํากัด, ๒๕๔๕),
หนา ๑๒๗.
๗๕
๒. เมื่อกลับมาเกิดเปนมนุษยอีกครั้ง ยอมเปนผูที่มีสุขภาพรางกายสมบูรณแข็งแรง
ไมเ จ็บปว ยไข มีอายขุ ัยที่ยืนยาว สมดังท่พี ระผมู ีพระภาคเจาตรัสแกสุภมานพ โตเทยยบุตรใน จูฬกัมม
วิภังคสูตร วา “บุคคลบางคนในโลกนี้จะเปนสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามละปาณาติบาตแลวเปนผูเวนขาด
จากปาณาตบิ าต วางอาชญา วางศาสตราไดมีความละอายถึงความเอ็นดู อนุเคราะหดวยความเกื้อกูล
ในสรรพสัตวและภูตอยูเขาตายไปจะเขาถึงสุคติโลกสวรรคเพราะกรรมน้ันอันเขาใหพรั่งพรอม
สมาทานไวอยางน้ี หากตายไปไมเขาถึงสุคติโลกสวรรค ถามาเปนมนุษยเกิด ณ ท่ีใดๆในภายหลังจะ
เปน คนมีอายุยืน ปฏปิ ทาเปน ไปเพ่ือมอี ายยุ นื ”117๑๑๓
๓) ผลสูงสุด สามารถทําใหผรู ักษาบรรลมุ รรคผลนพิ พานไดเพราะศีลจะเปนพื้นฐานสําคัญ
ท่ีจะทําใหเกิดสมาธิ สมาธิจะเปนบอเกิดแหงปญญา และปญญาท่ีเกิดจากสมาธิน้ี เปนปญญาที่
สามารถรูแจงเห็นแจงตามความเปนจรงิ
ในคัมภรี วสิ ทุ ธิมรรค ทานพรรณนาคณุ ของศีลไวอยางนาจับใจยิง่ โดยใจความวา
“พวกกลุ บุตรในพระศาสนา ไมมีที่พ่ึง (อยางอื่น) เวนไว
แตศีลที่ใครเลาจะพึงกลาวกําหนดอานิสงสไดแมนํ้าใหญคือ
แมน้ําคงคาก็ดีแมน้ําสรัสวดีก็ดีแมน้ํายมุนาก็ดีแมน้ําสรภูก็ดี
แมน ํา้ อจริ วดกี ็ดีแมนาํ้ มหีก็ดีไมอาจจะชําระมลทินของสัตวในโลก
น้ีได แตนํ้าคือศีลสามารถชําระได ลมเจือฝนก็ดี จันทรแดงก็ดี
แกวมุกดาก็ดี แกวมณีก็ดี ไมอาจระงับความรุมรอนของสัตวใน
โลกนไ้ี ด แตศลี ท่บี ุคคลรักษาดแี ลว เปนของประเสริฐ เปนของเย็น
ที่สุด สามารถใหส งบระงบั ได กลิน่ อื่นท่ีจะเสมอดวยกลิ่นศีลซ่ึงฟุง
ไปท้ังในที่ตามลมและทวนลมจักมีแตที่ไหนบันไดสําหรับข้ึน
สวรรคหรือวาประตูในการเขาสูพระนครคือนิพพานอยางอ่ืนท่ีจะ
เสมอดวยศีลจักมีแตท่ีไหน พระราชาทรงเครื่องประดับดวยแกว
มุกดาและแกวมณี ก็ไมงามเหมือนนักพรตผูประดับดวย
เครื่องประดบั คือ ศลี ศลี นน้ั ยอมกําจัดความกลัว แตการติตนเอง
เปนตนไดโดยประการท้ังปวงยอมจะยังช่ือเสียงและความราเริง
ใหเกิดในกาลทุกเม่ือ บัณฑิตพึงทําความเขาใจใหแจมแจงถึง
หัวขอคําบรรยายอันวาดวยอานิสงสของศีล อันเปนรากเหงาของ
คุณท้ังหลาย ซึ่งเปนตัวการท่ีคอยบ่ันทอนโทษท้ังหลายซึ่งเปน
ตัวการท่ีบั่นทอนโทษทัง้ หลาย ดงั พรรณนามาฉะน1้ี18๑๑๔
จากขอความดานบน ซึ่งคัดยอมาจากคัมภีรวิสุทธิมรรค ไดพรรณนาอานิสงสของศีล
สําหรับผูประพฤติปฏิบัติอยางถูกตองยอมไดรับผลอันสูงคาหาประมาณมิไดเปนท่ีแนนอน นอกจากน้ี
๑๑๓ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๒/๓๕๔.
๑๑๔ พระพุทธโฆสาจารย, วิสุทธิมรรค ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพธนาเพลส จํากัด,
๒๕๕๖), หนา ๑๒๘.
๗๖
ศลี ยังเปน เคร่อื งวดั คณุ คา ของความเปนมนษุ ย ทาํ ใหค นตางจากสัตวดริ จั ฉานในดานคุณธรรม สงผลให
มนุษยอ ยูรวมกนั ในสงั คมอยางสงบสุข แตหากคนขาดศีลธรรมเสียแลว จิตใจยอมไมตางอะไรจากสัตว
ดิรัจฉาน เปนที่นาสังเกตอยูวา ผูใดก็ตามรักษาศีลแลวยังเดือดรอนวุนวายอยูเพราะการรักษาศีล ก็
แสดงวา รักษาศลี ไมเปน จะตอ งรักษาใหถูกตอ งเสียใหมอานิสงสยอ มจะพึงหวงั ไดเ ปน ทีแ่ นน อน
๒.๘ บริบทพืน้ ที่
ผูวิจัยศึกษากลุมชาวพุทธผูรักษาอุโบสถศีลในเขตเทศบาลนครขอนแกนจํานวน ๕ ชุมชน
โดยเลือกจากชุมชนท่ีโดดเดนในการรักษาอุโบสถศีล มีกิจกรรมสงเสริมการรักษาอุโบสถศีลแกชาว
พุทธ ผูเขาวัดรักษาอุโบสถศีลมีหลากหลาย มีพระสงฆทรงภูมิรูในการสอนพระกรรมฐานประจํา
ดงั ตอไปน้ี
๑) ชุมชนวัดธาตุ ตําบลในเมือง อาํ เภอเมือง จงั หวดั ขอนแกน
ชุมชนวัดธาตุเปนพ้ืนท่ีชุมชนเกาแก แตกอนเรียกชุมชนเมืองเกา ประชาชนอยูรวมกัน
หนาแนน ประกอบอาชีพทั้งภาครัฐและเอกชน มีคณะกรรมการบริหารชุมชน ประกอบดวยประธาน
กรรมการ และเลขานกุ ารชุมชม คุม วัดธาตุ มี ๔๒๒ หลังคาเรอื น ประชากร ๒,๒๐๐ คน
๒) ชุมชนวัดโพธ์ิโนนทนั ถนนโพธิสาร ตาํ บลในเมือง อาํ เภอเมือง จังหวดั ขอนแกน
ชุมชนวัดโพธ์ิโนนทันเปนชุมชนที่ขึ้นกับเทศบาลนครขอนแกน โดยมีวัดโพธิ์เปนศูนยรวม
จิตใจ นอกจากนี้ยังเปนสํานักปฏิบัติธรรมแหงที่ ๑ ประจําจังหวัดขอนแกน วัจัดกิจกรรมสงเสริมการ
ปฏิบตั ิธรรมแกชาวพุทธตลอดป มผี ูเขาไปรักษาศีล ๕ และอุโบสถศีลทุกเพศทุกวัย ในชุมชนประชาชน
ประกอบอาชีพหลากหลายท้ังภาครัฐ เอกชน คาขายรับจาง มีการแบงชุมชนโนนทัน ๑ – โนนทัน ๙
มีหลงั คาเรือนจาํ นวน ๒,๗๗๙ หลงั และประชากรจํานวน ๑๐,๔๙๘ คน
๓) ชมุ ชนวัดหนองแวง ถนนกลางเมอื ง ตาํ บลในเมือง อาํ เภอเมือง จงั หวัดขอนแกน
วัดหนองแวงเปนพระอารามหลวงท่ีมีพระธาตุสวยงาม เปนแหลงทองเท่ียวทางวัดจัด
กิจกรรมสงเสริมการปฏิบัติธรรมตลอดปทุกวันพระ วันอาทิตย จะมีผูคนเขารวมกิจกรรมบุญเปน
จํานวนมาก ชุมชนวัดโพธิ์หนองแวงจะมีคณะกรรมการบริหารตําปหนงตางๆ เชนเดียวกันกับชุมชน
อื่นๆ โดยจะแบงเปนชุมชนหนองแวงเมืองเกา ๑ -๔ มีครัวเรือน ๑,๐๓๕ ครัวเรือน ประชากรรวม
๔,๐๑๐ คน
๔) ชมุ ชนวัดวฒุ าราม
ชมุ ชนวัดวฒุ ารามเปน ชุมชนทีป่ ระกอบดวย ชมชน กศน. มีลักษณะแออัด-กึ่งเมือง ชุมชน
โนนหนองวัด ๑ มีลักษณะกึ่งเมือง ชุมชนโนนหนองวัด ๒ เปนชุมชนแออัด ชุมชนโนนหนองวัด ๓,
ชุมชนโนนหนองวัด ๔, ชุมชนหนองวัดพัฒนา และชุมชนวัดวุฒารามเปนชุมชนเมือง มีครัวเรือน
จาํ นวน ๑,๙๑๗ ครัวเรือน ประชากรจาํ นวน ๗,๘๘๖ คน
๕) ชมุ ชนวดั ศรีนวล
ชุมชนวัดศรีนวลเปนชุมชนที่ประกอบดวยคุมพระลับซึ่งเปนชุมชนเมือง มีหลังคาเรือน
จํานวน ๓๗๐ ครัวเรอื น ประชากรจาํ นวน ๒,๐๕๐ คน
๗๗
๒.๙ งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวของ
อาภรณ พุกกะมาน และคณะ ไดก ลา วถงึ ในผลงานการวิจัย เรื่อง การศึกษาการสอนศีล
เพือ่ สรา งเสรมิ พุทธธรรมจรยิ ในสังคมไทย ไววา พทุ ธบริษัทฝายคฤหัสถ จะมีขอกําหนดความประพฤติ
ขั้นตํ่าสดุ ในมาตรฐานของศีล ๕ แตผใู ฝใ จพฒั นาตนสคู วามสงู ข้ึนจะปฏิบัติใหดียิ่งข้ึนไดอีก เชน รักษา
ศีล ๘ คําวา ศลี ๘ น้เี ปนคาํ เรียกพน้ื บาน ทม่ี าในพระไตรปฎกมีอยูหลายคํา เชน อุโบสถประกอบดวย
องค ๘ ภาษาบาลีวา อฏฐงฺ คสมนฺนาคตอุโปสถ อุโบสถมีองค ๘ ภาษาบาลีวา อฏฐงฺคิกอุโปสถ องค
อุโบสถ ๘ ภาษาบาลีวา อฏฐอุโปสถงฺค อุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการ ในการรักษาอุโบสถศีล
แตละอยางนัน้ พระพทุ ธเจาตรสั วา มคี วามแตกตา งกันในทางปฏิบตั แิ ละผลของการปฏิบตั ิ119๑๑๕
ขันทอง วัฒนะประดิษฐ120๑๑๖ ศึกษาเร่ืองพุทธวิธีสรางแรงจูงใจในการรักษาศีล มี
วัตถุประสงคเพื่อศึกษาพุทธวิธีสรางแรงจูงใจในการรักษาศีล ๕ ดวยการถอดบทเรียนในคัมภีร
พระพุทธศาสนา ซึ่งทําใหเห็นถึงเหตุที่พระพุทธเจาสามารถสรางแรงจูงใจในการรักษา ศีล ๕ ไดนั้น
เพราะพระองคทรงเขาใจแรงจูงใจพ้ืนฐานของมนุษย ลักษณะของแรงจูงใจท่ีปรากฏอยูใน คัมภีร
พระพุทธศาสนามีทั้งท่ีเปนแรงจูงใจภายนอก ไดแก แรงจูงใจจากความศรัทธาในพระพุทธเจา และ
แรงจูงใจภายใน ไดแก แรงจูงใจที่เกิดจากความกลัว, แรงจูงใจที่เกิดจากตัณหา มานะ และทิฏฐิ
แรงจงู ใจท่ีเกดิ จากกฎแหงกรรม พระพทุ ธเจาทรงใชประโยชนจ ากแรงจูงใจเหลานี้นํามาสรางแรงจูงใจ
ในการรักษาศีล ๕ พุทธวิธีที่พระองคใชในการสรางแรงจูงใจในการรักษาศีล ๕ คือ ทรงใชอภิญญา
กําราบผูด้ือร้ันและเอื้อประโยชนแกผูฟง, ทรงนําประโยชนที่เกิดจากความปรารถนาความสุขของ
มนษุ ย มาสรางแรงจงู ใจที่มงุ สําเร็จในส่ิงที่ปรารถนาเปนความสุขที่แทจริง, ทรงใชประโยชนจากความ
กลวั นํามาสรา งแรงจงู ใจใหเ ห็นโทษและภัยของการละเมดิ ศลี และทรงใชป ระโยชนจากความเชื่อเร่ือง
กรรม นํามาสรา งแรงจูงใจโดยจุดมงุ หมายเพ่อื นาํ ไปสูการบรรลุธรรม
แรงจูงใจภายนอกที่เกิดข้ึนจากกัลยาณมิตรมีบทบาทท่ีสําคัญในการสรางแรงจูงใจในการ
ปฏิบัติตามศีล ๕ คุณสมบัติท่ีสําคัญของกัลยาณมิตรก็คือ การทําหนาที่เปนแบบอยางของผูที่ปฏิบัติ
ตามหลักศีล ๕ และจําเปนที่ตองรูวิธีการสรางแรงจูงใจเพ่ือใหเหมาะกับความเช่ือพื้นฐานของแตละ
บคุ คล หมบู า นรักษาศีล ๕ จะเกิดข้ึนไดก็ตอเมื่อหมูคนผูรักษาศีล ๕ รวมพลังในการชักชวนใหสมาชิก
ที่ อยูรวมดวยโดยเริ่มจากคนในครอบครัว สรางครอบครัวใหเปนครอบครัวสัมมาทิฏฐิ โดยมีศีล ๕
เปนหลักพื้นฐานในการดาํ เนินชวี ิตขยายผลไปสูช ุมชนเปน สงั คมที่มคี วามสุข
๑๑๕ อาภรณ พุกกะมาน, ชัยพร วิชชาวุธ, เกียรติ เปมกติ ติ, การศกึ ษาการสอนศีลเพื่อเสริมสรางพุทธ
ธรรมจริยาในสังคมไทย, (กรงุ เทพมหานคร: เจริญผล, ๒๕๒๘), หนา ๑๖.
๑๑๖ ขนั ทอง วฒั นะประดิษฐ, พุทธวิธีสรางแรงจูงใจในการรกั ษาศลี ๕, วารสารจติ วิทยา มหาลยั เกษม
บัณฑติ , ปท ี่ ๕ (มกราคม – มถิ นุ ายน, ๒๕๕๘): หนา ๑-๑๕.
๗๘
พระมงคล จกกฺวโร (วิชาชัย)121๑๑๗ เร่ืองศึกษาพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชใน
ชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิกองคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัด
กาฬสินธุ มีวัตถุประสงคดังตอไปน้ี ๑) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวัน ของ
บุคลากรและสมาชิกองคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ ๒) เพื่อศึกษา
เปรียบเทียบพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิกองคการบริหาร
สวนตําบล ในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ และ ๓) เพ่ือศึกษาขอเสนอแนะเก่ียวกับพฤติกรรม
การนําศีล ๕ ไปใช ในชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิกองคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอ
ฆอ งชัย จังหวัดกาฬสินธุ กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย ไดแก บุคลากรและสมาชิกสภาองคการบริหาร
สวนตาํ บลในเขตอาํ เภอฆองชยั จังหวัดกาฬสนิ ธุ จาํ นวน ๑๕๒ คนโดยใชสตู รของทาโร ยามาเน (Taro
Yamane) เคร่อื งมือทใ่ี ชใ นการเก็บ รวบรวมขอมูลเปนแบบสอบถามมาตราสวนประมาณคาหาระดับ
มีคาความเชื่อมั่นท้ังฉบับเทากับ ๘๖ สถิติ ท่ีใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก รอยละ (Percentage)
คาเฉลี่ย (X) สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เปรียบเทียบ ความคิดเห็นโดยใชการทดสอบคา t-test
ความแปรปรวนทางเดียว F-test หรือ (One-way ANOVA) ผลการวิจัย พบวา ๑) พฤติกรรมการนํา
ศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิกองคการบริหารสวน ตําบลในเขตอําเภอฆองชัย
จังหวดั กาฬสนิ ธุ โดยรวมอยูในระดับมาก เมื่อพิจารณาเปนรายดาน ปรากฏวา อยูในระดับมากทั้งหา
ดาน ลําดับตามคาเฉลี่ยจากมากไปหานอยโดยดานท่ีมีคาเฉล่ียสูงสุด คือ ศีลขอที่ ๓ เวนจากการ
ประพฤติผิดในกาม รองลงมาไดแก ศีลขอที่ ๒เวนจากการลักทรัพย สวนดานท่ีมีคาเฉลี่ยนอย ท่ีสุด
คอื ศีลขอท่ี ๑ เวน จากการฆา สตั ว
๒) ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและ
สมาชิก องคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ พบวา บุคลากรและสมาชิก
องคก ารบริหาร สวนตําบลทม่ี เี พศ อายุ และระดับการศึกษาตางกัน มีพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชใน
ชวี ติ ประจําวนั โดยรวมไมแ ตกตา งกัน
๓) ขอเสนอแนะเก่ียวกับพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและ
สมาชิก องคการบรหิ ารสวนตาํ บลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ คือ ศีลหาเปนเคร่ืองมือสราง
ความมีระเบียบ แบบแผนในการดําเนินชีวิต และการอยูรวมกันในสังคม และถือเปนกฎเกณฑ
ความสําคัญพ้ืนฐานในสังคม เพ่ือใหคนอยูรวมกันดวยดี ไมเบียดเบียนกัน การถือศีล ๕ และการ
ประพฤติปฏิบัติตนเปนคนท่ีนั้นเปนสิ่งที่ ควรทําอยางตอเนื่องและสม่ําเสมอเพราะจะทําใหชีวิตเรามี
ความสุข และสมหวังหรอื หากเราตองเจอกับ ปญหาหรืออุปสรรคที่หนักหนาในชีวิตก็จะทําใหเรามีสติ
และรอบคอบในการแกปญหาเหลาน้ันใหผานพนไป และทําใหเราไดใชปญญาในการทํางานและสราง
ความกาวหนาใหก บั ชวี ติ และครอบครวั ของเราไดอ ยางเต็มที่ เต็มกาํ ลังความสามารถ
๑๑๗ พระมงคล จกกฺวโร, ศึกษาพฤติกรรมการนาํ ศลี ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิก
องคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ, วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
วทิ ยาเขตรอ ยเอด็ , ปท ี่ ๔ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม-มิถุนายน, ๒๕๕๘): หนา ๓๑๑-๑๓๒๔.
๗๙
บุญหนา จิมานัง และคณะ122๑๑๘ ไดทําการศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการรักษาศีลหาของเด็ก
เยาวชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแกน โดยมีวัตถุประสงค ๑) เพ่ือศึกษาพฤติกรรม การ
รักษาศีล ๕ ของเด็กเยาวชน ตําบลโคกสีอําเภอเมือง จังหวัดขอนแกน ๒) เพื่อศึกษาปจจัยนํา ปจจัย
เอื้อและปจจัยเสริมท่ีมีผลตอพฤติกรรมการรักษาศีล ๕ ของเด็กเยาวชน ตําบลโคกสี อําเภอ เมือง
จังหวัดขอนแกน โดยใชแบบสอบถามเปน เครื่องมอื ในการเก็บรวบรวมขอมูลเด็ก เยาวชน ตําบลโคกสี
ที่มีอายุระหวาง ๑๓-๒๕ ป จาก ๘ หมูบาน จํานวน ๓๐๐ คน ไดผลการศึกษาท) พฤติกรรม) การ
รักษาศีล ๕ พบวา เดก็ เยาวชนตาํ บลโคกสปี ระพฤติผิดศลี ขอ ๑ เคยฆา สัตวเ ล้ียงรอยละ 36.00 เคยฆา
สัตวปารอยละ ๓๒.๔๐ ประพฤติผิดศีลขอ ๒ เคยหยิบเงินพอแมโดยพลการ รอยละ ๕๐.๐๐ เคยยืม
เงนเพ่ือนไมคืน รอยละ ๓๙.๐๐ เคยหยิบของคนอื่นโดยยังไมอนุญาติ รอยละ ๓๐.๐๐ ประพฤติ ผิด
ศีลขอ ๓ เคยไปเท่ยี ว (ชสู าว) กบั คนทีไ่ มใชสามหี รือภรรยารอยละ ๓๕.๓๐ เคยมีเพศสัมพันธ กับคนท่ี
ไมใชสามีหรือภรรยา รอยละ ๑๒.๓๐ ประพฤติผิดศีลขอ ๔ เคยพูดโกหก รอยละ ๙๖.๐๐ ประพฤติ
ผิดศีลขอ ๕ เคยสูบบุหร่ี ดื่มเหลาหรือเบียรรอยละ 46.30 มีคะแนนพฤติกรรม การรักษา ศีลรวมทุก
ขอ ในระดับนอยรอยละ ๕๔.๐๐ ท่ีเหลือเปนระดับปานกลางรอยละ ๔๖.๐๐ โดยมีคะแนน เฉล่ีย
๑๗.๗๙ จากคะแนนตํ่าสุด สูงสุด ๒๔ ๒) เปรียบเทียบพฤติกรรมการรักษาศีล ๕ ของเด็กเยาวชน
ตําบลโคกสพี บวาเด็กเยาวชนอยใู นหมูบา นตางกนั เพศตางกนั การเรียนหนังสือตางกัน รายได ตางกัน
มีพฤตกรรมการรักษาศีลแตกตางกัน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ี ๐.๐๕ สวนเด็กเยาวชนอายุ ตางกัน
สถานภาพสมรสตางกัน จบการศึกษาตางกัน มีอาชีพตางกัน มีระยะทางหางจากวัดตางกัน มี
พฤตกิ รรมการรกั ษาศีลไมแ ตกตางกนั อยางมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิที่ ๐.๐๕ ๓) ปจจัยท่ีมีผลตอ พฤติกรรม
การรกั ษาศลี พบวา พฤติกรรมการรักษาศลี หาของเด็กเยาวชนมีความสัมพันธกับ การรักษาศีล ๕ ทุก
ขอในเชิงบวก มีปจจัยเอื้อบางตัวไดแก การปฏิบัติและรวมกิจกรรมทางศาสนา ของเด็กเยาวชนมี
ความสัมพันธกับพฤติกรรมการรักษาศีล ๕ เชิงลบ แสดงวา เด็กเยาวชน ที่มีการรักษาศีลขอใด จะมี
ผลตอ พฤตกิ รรมการรกั ษาศีลขอ อน่ื ๆ ดวย แตเด็กเยาวชนทีม่ กี ารปฏบิ ัติ และรว มกิจกรรมทางศาสนา
มากไมมผี ลตอ พฤติกรรมการรักษาศลี
จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวของ สรุปความไดวา การรักษาอุโบสถศีลคือ
การรักษาศีล ๘ ประการ โดยจะตองประพฤติปฏิบัติเย่ียงพระดวยการบําเพ็ญเนกขัมมะ ซ่ึงโดยปกติ
จะรักษาวันพระจึงเรียกวา อุโบสถศีล ท้ังนี้มีวัตถุประสงคเพื่อฝกอบรมอินทรียเปนการกระทําท่ีขม
จิตใจใหบริสุทธ์ิระงับกําจัดรากฐานกิเลสกองใหญ ไดแก โลภะ โทสะ โมหะ ถือเปนการประพฤติ
พรหมจรรยหรอื เรยี กวา การบวชชว่ั คราว การรักษาอโุ บสถศีลหรือศีล ๘ นั้น กอใหเกิดอานิสงสหลาย
ประการ แตโดยสรุปทําใหจิตใจสงบ บริสุทธ์ิ อยูในอารมณแหงนิพพานตลอดการรักษาจนเปน
แนวทางใหเขาถึงนิพพานในท่ีสุด คุณคาของการรักษาอุโบสถศีลสูงสงประมาณมิไดโดยเฉพาะศีล
ประการท่ี ๖ ๗ และ ๘ เปนการประพฤตทิ ่ีมงุ ลดละเลกิ กิเลสทางตรง เรียกวา ฝกหัดขัดเกลาจิตใหเขา
สูนพิ พานโดยแทจรงิ
๑๑๘ บญุ หนา จิมานังและคณะ, พฤติกรรมการรักษาศีลหาของเด็กเยาวชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง
จงั หวดั ขอนแกน , (ขอนแกน: มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐), บทคัดยอ .
๘๐
๒.๑๐ กรอบแนวคิดในการวจิ ัย
การวจิ ยั ในคร้ังนผี้ ูว จิ ยั ไดศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของนํามาวิเคราะหและสังเคราะห
กําหนดเปนกรอบแนวคิดในการศึกษาคนควาเร่ือง การสงเสริมพฤติกรรมที่พ่ึงประสงคของคนใน
ครอบครัวดวยการรักษาอุโบสถศีลของชุมชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน ดังแสดงไวใน
แผนภาพที่ ๑
การสง เสรมิ พฤติกรรมทพี่ ่ึงประสงคของคนในครอบครวั ดวยการรักษาอโุ บสถศีล
ของชมุ ชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน
แนวคดิ พฤติกรรมการอยรู วมกันในสงั คม หลกั ธรรมสําหรับการอยรู วมกนั
แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ยี วกบั ความตองการของ ตามหลักทิศ ๖
หลักสังคหวตั ถุ ๔
มนษุ ย
หลักสาราณียธรรม ๖
พรหมวหิ าร ๔
พฤติกรรมที่พงึ ประสงคของคนในครอบครัวและชมุ ชน ดวยการรักษาอโุ บสถศลี
๔ ดาน คือ ดานกาย ดานวาจา ดานใจหรอื อารมณ และดานสังคม
สรปุ การวิจัย อภิปรายผล และขอเสนอแนะ
แผนภาพที่ ๑ กรอบแนวคิดในการวิจัย
บทท่ี ๓
วิธีการดาํ เนนิ การวจิ ยั
บทนี้เปนการนําเสนอสาระสําคัญเก่ียวกับวิธีวิจัย ซ่ึงประกอบดวย ประชากรและ
กลุมเปาหมาย เครอ่ื งมอื ในการวิจัย การเก็บรวบรวมขอมูล และการวิเคราะหขอมูล ผูวิจัยใชการวิจัยเชิง
คุณภาพ (Qualitative Research) สํารวจ (Survey Research) เพื่อศึกษาการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึง
ประสงคของคนในครอบครัวดวยการรักษาอุโบสถศีลของชุมชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน
เปนตน นอกจากน้ี ผูวิจัยไดศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของเพ่ือเปนแนวทางในการวิจัยและ
กําหนดการศึกษาเปนเชิงคุณภาพ โดยการใชแบบสัมภาษณ (Interview) ท่ีมีโครงสราง ในสวนของความ
สอดคลองกับยุทธศาสตรการพัฒนาและนวัตกรรม ผูวิจัยนําวิธีการวิจัยมาปรับใช ดังน้ันเพื่อใหการวิจัย
บรรลผุ ลตามวัตถปุ ระสงคของการวิจยั ผวู ิจยั กาํ หนดวิธีการดําเนินการวจิ ยั ดังน้ี
๓.๑ รูปแบบวจิ ัย
๓.๒ ประชากรและกลมุ ตัวอยางทใ่ี ชในการวิจัย
๓.๓ ขอบเขตพืน้ ที่ในการวจิ ัย
๓.๔ เครื่องมือทใ่ี ชใ นการวจิ ยั
๓.๕ การสรา งเคร่ืองมอื
๓.๖ การเกบ็ รวบรวมขอ มูล
๓.๑ รูปแบบวิจยั
การวจิ ัยเร่อื ง การสงเสรมิ พฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคนในครอบครัวและชุมชน ดวยการ
รักษาอุโบสถศีลของชุมชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน เปนการวิจัยในเชิงเอกสาร
(Document Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative Research) ภาคสนาม (Field
Study) โดยศึกษากลุมเปาหมายเพื่อใหทราบถึงแนวคิด หลักการในการสงเสริมพฤติกรรมและการ
พัฒนาคุณภาพชวี ติ ในครอบครวั ของชมุ ชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน แลวนําขอมูลที่ไดมา
วิเคราะหป ระกอบงานวิจยั แลวโดยใชวิธแี บบผสมผสานดงั นี้
๑. การศึกษาในเชิงเอกสาร (Document) ทําการศึกษาและรวบรวมขอมูลจากเอกสารและ
หลักฐานท่ีเก่ียวของ เชน พระไตรปฎก หนังสือ รายงานการวิจัย เอกสารแสดงพฤติกรรมท่ีพึงประสงค
ของคนในครอบครัวและชุมชน ดวยการรักษาอุโบสถศีลใหเห็นแนวคิด หลักการ ความเปนมา การพัฒนา
คณุ ภาพชวี ติ และพฤติกรรมที่พงึ ประสงคของคนในครอบครวั ดว ยการรักษาอโุ บสถศีล
๒. การศกึ ษา คนควา และรวบรวมขอ มูลจากเอกสารและหลักฐานที่เก่ียวของกับการสงเสริม
พฤตกิ รรมทีพ่ ึงประสงคของคนในครอบครัวและชมุ ชน ดว ยการรกั ษาอโุ บสถศลี
๘๒
๓. ทําการวิเคราะหแนวคิด ทฤษฏีเกี่ยวกับการสงเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงคของคนใน
ครอบครัวและชมุ ชน ดว ยการรกั ษาอโุ บสถศลี
๔. วิเคราะหขอมูลภาคสนามจากการสัมภาษณกลุมเปาหมายท่ีเกี่ยวของ แลวนําเสนอ
งานวจิ ัยเชิงพรรณนา
๕. สรุปผลการศึกษาที่ใหเห็นการสงเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงคของคนในครอบครัวและ
ชมุ ชน ดวยการรกั ษาอุโบสถศลี ของชมุ ชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน
๓.๒ ประชากรและกลมุ เปา หมายที่ใชใ นการวจิ ยั
การวิจยั คร้งั นี้ ผูวิจัยไดกาํ หนดประชากรและกลมุ เปา หมาย ดงั น้ี
ประชากรและกลุมเปาหมายที่ใชในการวิจัยคร้ังนี้เปนการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) เพือ่ ใหไ ดขอ มลู ท่ีชดั เจนและเปนผทู ่ีมีสว นเก่ียวของกับการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงค
ของคนในครอบครวั ดว ยการรักษาอโุ บสถศีลของชมุ ชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน ไดแก
กลุมเปา หมาย คือ ผูทเ่ี กย่ี วของกบั ผูรกั ษาอุโบสถศีลจาํ นวน ๗๐ คน แบง เปน
- พระสงั ฆาธกิ ารระดับเจาอาวาส ๕ รูป
สัมภาษณพระโสภณพัฒนบัณฑิต, รศ.ดร. (เจาอาวาสวัดธาตุ (พระอารามหลวง)
สมั ภาษณพ ระธรรมวิสทุ ธาจารย (เจา อาวาสหนองแวง (พระอารามหลวง)
สัมภาษณพ ระครูภาวนาโพธิคณุ (เจาอาวาสวดั โพธิ)์
สัมภาษณพระครูอรรถสารเมธี (เจาอาวาสวุฒาราม)
สัมภาษณพระครูสิรธิ รรมนิเทศก (เจาอาวาสศรีนวล)
- พระอาจารยสอนกรรมฐานและจดั กจิ กรรมเกีย่ วกบั การรักษาอโุ บสถศีล ๕ รปู
พระครสู ิรสิ ตุ าภรณ พระวปิ สสนาจารยป ระจําวดั ธาตุ
สมั ภาษณพ ระมหานิพนธ มหาธมมฺ รกฺขิโต, พระวปิ ส สนาจารยป ระจาํ วดั โพธ์โิ นนทนั
สัมภาษณพระครสู ุตสารวิสทุ ธิ, พระวปิ ปสสนาจารยประจําวดั หนองแวง
สมั ภาษณพระครวู ฒุ ิธรรมาภริ าม, พระวิปปสสนาจารยประจําวัดวุฒาราม
สัมภาษณพระฮอนดา วาทสทโฺ ท, ดร., พระวปิ ส สนาจารยป ระจําวดั ศรีนวล
- ผรู ักษาอโุ บสถศลี อโุ บสถและครอบครวั ๕๕ คน (ดรู ายละเอยี ดในภาคผนวก)
- คณะกรรมการบรหิ ารชมุ ชน ๕ ชมุ ชน โดยเลอื กจากชุมชนละ ๑ คน รวม ๕ คน
นายเติมศักดิ์ เดชโบราณ (ประธานชมุ ชนวดั ธาต)ุ
ร.อ. สระจติ สีดาทนั (ประธานชุมชนโนนทัน ๑)
นายสงกา แทภ ูเขยี ว (ประธานชมุ ชนวฒุ าราม)
นายนยิ ม ทวีโคตร (ประธานกรรมการชมุ ชนวดั หนองแวง ๔)
แมศ ริ ินธร กลน่ิ ศรสี ขุ (ประธานชมุ ชนพระลบั = วดั ศรีนวล)
รวมทัง้ สิน้ ๗๐ รปู /คน
๘๓
๓.๓ ขอบเขตพนื้ ทใี่ นการวิจยั
การวิจัยคร้ังน้ีผูวิจัยไดกําหนดพื้นที่ในการทําวิจัย ชุมชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนคร
ขอนแกน ๙๕ ชมุ ชน เลือกศกึ ษา ๕ ชุมชน ๑. ชุมชนวัดธาตุพระอารามหลวง ๒. ชุมชนวัดหนองแวง
๓. ชุมชนวัดโพธิ์โนนทัน ๔. ชมุ ชนวัดวฒุ าราม ๕. ชุมชนวดั ศรนี วล ซึง่ เปนเขตพ้นื ที่การศึกษาวิจยั
๓.๔ เครื่องมอื ในการวจิ ยั
เครื่องมอื ทใ่ี ชในการวิจัยนั้นถือวามีความสําคัญและมีบทบาทเปนอยางยิ่งในการวิจัย การ
ใชเครื่องมอื นั้นข้ึนอยูกับสถานการณและลักษณะของพฤติกรรมท่ีตองการวัด ซึ่งงานวิจัยในครั้งผูวิจัย
ไดใชเคร่อื งดงั น้ี
๑. แบบสัมภาษณแบบมีโครงสรางท่ีผานขบวนการตรวจสอบความถูกตองจาก
ผูทรงคุณวฒุ แิ ลว
๒. การสังเกตการณ การวิจัยในครั้งผูวิจัยมีสวนรวม (Participant Observation) ซ่ึง
เปน การสงั เกตทีผ่ ูวิจัยเขา ไปมสี ว นในกิจกรรมดว ย
๓. สมดุ บันทกึ ในการลงภาคสนาม
๔. กลองถา ยภาพเพ่อื ถา ยเกบ็ หลักฐานในการวจิ ัย
๕. เครอ่ื งบันทึกเสยี ง
๓.๕ การสรา งเครือ่ งมือวิจยั
ก. แบบสัมภาษณ
การสรางแบบสมั ภาษณ มีข้ันตอนดังนี้
๑. ศึกษาคนควาขอมูลที่เกี่ยวของกับเร่ืองที่ศึกษาวิจัยจากเอกสาร งานวิจัยท่ีเกี่ยวของ
และประชากรกลุมเปาหมายที่ศึกษา นาํ มาวเิ คราะหและสงั เคราะห แลว ยกรางแบบสัมภาษณ
๒. นําแบบสัมภาษณท่ีมีโครงสรางไปปรึกษาที่ปรึกษาและผูทรงคุณวุฒิ จํานวน ๕ ทาน
ตรวจเครื่องมือวิจัย ผูเชี่ยวชาญ ๕ ทานประกอบดวย ๑) พระครูภาวนาโพธิคุณ, ผศ.ดร. ผูเชี่ยวชาญ
ดา นหลักธรรมและนําฝก อบรมผรู ักษาอุโบสถศลี ๒) ผศ.ดร. สวุ ิน ทองปน ผูเ ช่ยี วชาญดานการวิจัย ๓)
ผศ.ดรประยูร แสงใส ผูเชี่ยวชาญเนื้อหาและโครงสรางการวิจัย ๔) ผศ.ดร. จักรพรรณ วงศพรพวัณ
ผูเ ช่ยี วชาญดานภาษาและหลกั ธรรม ๕) ผศ.ดร. จรสั ลีกา ผเู ชย่ี วชาญดานการวิจัยคุณภาพภาคสนาม
ตรวจสอบให
๓. ปรบั ปรุงแกไขตามขอ เสนอแนะของผูทรงคุณวุฒิ
๔. นําไปสมั ภาษณกลมุ ผูใหขอมูลหลักตามทกี่ ําหนดไว
ข. แบบสังเกตการณ (observation) ผูวิจัยเขาไปมีสวนรวมจากการสังเกตกลุมผูรักษา
อุโบสถศีลใน ๕ ชุมชน ๕ วัดท่ีเลือกศึกษา โดยตั้งตามประเด็นเก่ียวกับการรักษาอุโบสถศีล ปญหา
อุปสรรค ประโยชนค ุณคาท่ีไดร บั บนั ทึกขอ มูลเพื่อนําไปวเิ คราะห ประเด็นท่เี กีย่ วขอ ง
ค. สนทนากลุม ผูวิจัยเชิญกรรมการบริหารจาก ๕ ชุมชนในเขตเทศบาลนครขอนแกน รวม
๕ คน มาใหข อ มูลในแตละชุมชนเก่ียวกับพนื้ ท่ีประชากร สภาพปญหาของคนในแตละชุมชน กิจกรรม
๘๔
ที่แตละชุมชนรวมกับวัด สงเสริมการรักษาอุโบสถศีลของประชากรกลุมรักษาอุโบสถศีล นํามา
วเิ คราะหป ระกอบบริบทของพน้ื ทีท่ ่ีศึกษา
๓.๖ การเกบ็ รวบรวมขอมลู
๓.๖.๑ ศึกษาคนควาเอกสาร (Documentary Research) ศึกษาขอมูลข้ันปฐมภูมิ
(Primary Source) โดยศึกษาขอมูลจากหนังสือที่เก่ียวกับการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคน
ในครอบครวั และชมุ ชน ดวยการรกั ษาอโุ บสถศีล
๓.๖.๒ ศึกษาคนควาขอมูลข้ันทุติยภูมิ (Secondary Source) โดยศึกษาขอมูลจากตํารา
วิชาการที่เก่ียวการสงเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงคของคนในครอบครัวดวยการรักษาอุโบสถศีลของ
ชมุ ชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน
๓.๖.๓ ขอ มลู จากบทสมั ภาษณข องกลุมเปา หมายใน ๕ ชุมชน เขตเทศบาลนครขอนแกน
๑. รวบรวมขอมูลจากการสนทนากลุม โดยเชิญกรรมการบริหารจาก ๕ ชุมชนอยางนอย
ชมุ ชนละ ๑ คน ในเขตเทศบาลนครขอนแกน จาํ นวน ๕ คน มาใหข อ มูลบริบทพ้ืนทที่ ศี่ ึกษา
๒. รวบรวมขอ มลู จากแบบสมั ภาษณแ ละสงั เกตการณ
๓. รวบรวมเรียบเรยี งขอมูลจากสนทนาเปน รายบคุ คล
๓.๖.๔ การวเิ คราะหข อ มูล
๑. วิเคราะหขอมูลจากเอกสาร (Documentary Research) ศึกษาขอมูลข้ันปฐมภูมิ
(Primary Source) โดยศกึ ษาขอมูลจากเอกสารท่ีเกี่ยวกับการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคน
ในครอบครวั ดวยการรักษาอุโบสถศลี
๒. วิเคราะหขอมูลจากเอกสารขั้นทุติยภูมิ (Secondary Source) โดยศึกษาขอมูลจาก
เอกสารวิชาการท่ีเก่ียวของกับการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคนในครอบครัวดวยการรักษา
อุโบสถศีลของชุมชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน
๓. การวเิ คราะหข อ มลู จากแบบสมั ภาษณ
๔. การวเิ คราะหขอมลู จากแบบสังเกตการณ
๕. การวิเคราะหข อ มลู จากการสนทนากลุม
๖. การวิเคราะหข อ มูลจากแบบสัมภาษณร ายบคุ คล
การวิเคราะหขอมูลไมวาจะเปนตํารา เอกสาร และงานวิจัยที่เก่ียวของจะเปนการใชการ
ตีความ (interpretations) แลวนําเสนอขอมูลโดยการพรรณนา เพื่ออธิบายแนวคิดในการสงเสริม
พฤติกรรมทพ่ี งึ ประสงคข องคนในครอบครัวดวยการรักษาอุโบสถศีลของชุมชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาล
นครขอนแกน การไดมาโดยวิธีเจาะจง (Purposive sampling) ทําการเก็บขอมูลภาคสนาม โดยการ
ใชการสัมภาษณแ บบมโี ครงสรา ง และทาํ การวเิ คราะหขอมูลที่ไดมา สรุปผลการวิจัยและแนะนําเสนอ
ผลการวิจยั ตามลําดบั
บทท่ี ๔
ผลการวิจยั
ในการวิจัย “การสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคนในครอบครัวดวยการรักษา
อโุ บสถศลี ของชมุ ชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน” คณะผูวิจัยไดศึกษาแนวคิดการอยูรวมกัน
ของครอบครัวชุมชน และวิเคราะหผลการสัมภาษณกลุมเปาหมายในเทศบาลนครขอนแกนดวยการ
รกั ษาอโุ บสถศลี เสนอผลวจิ ยั ตามลาํ ดบั วัตถปุ ระสงค ดังมีรายละเอยี ดตอ ไปนี้
๔.๑ พฤติกรรมการอยรู วมกนั ของครอบครวั ชุมชนชาวพทุ ธในเขตนครขอนแกน
ชมุ ชนวัดธาตุ
ชุมชนวัดธาตุเปนชุมชนเกาแกมีความแออัด แตเทศบาลนครขอนกานพัฒนาใหเปน
ระเบียบ มคี ณะกรรมการบริหารชุมชนคอยประสานงานกับคนในชุมชน ในการดําเนินกิจกรรมตาง ๆ
ในชุมชน และมีผูรักษาอุโบสถศีล จํานวน ๑๑ คน ครอบครัวขนาดใหญ มีสมาชิกตั้งแต ๕ คนข้ึนไป
จํานวน ๔ ครอบครัว ซึ่งแตละครอบครัวยึดหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนาในการครองชีวิต รวมถึง
ประเพณีฮีต (จารีต) ๑๒ จะมีปญหาบางคือบุตรหลานที่เปนวัยรุน ยาหรือยายตลอดจนแมของ
ลูกหลานจะเรียกมาอบรมแนะนําสิ่งควรหรือไมควร ใหรูจักใชสติสัมปชัญญะในการดําเนินชีวิต ก็จะ
ชวยใหแกปญ หาได และผใู หญใ นบา นตอ งเปน แบบอยา งท่ดี แี กบุตรหลาน123๑
สวนกลุมท่ีมีครอบครัวท่ีมีสมาชิก ๔ คน ปญหาการอยูรวมกันก็มีบาง สวนใหญก็เปน
ปญหาเล็กๆ นอยๆ ความเห็นในบางเร่ืองไมตรงกัน อาศัยการทําความเขาใจปรับความเห็นใหเขากัน
ยอมรับความแตกตาง แตต้ังอยูบนฐานเหตุผล โดยยึดคําสอนทางพระพุทธศาสนามาเปนแนวทาง
ดําเนินชวี ติ รวมถึงขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน124๒
ครอบครัวที่อยูกัน ๒ คน แมลูก ประกอบดวย ๓ ครอบครัว ปญหาจะมีนอยกวา
ครอบครัวใหญๆ ที่มคี นอยดู ว ยกนั จํานวนมาก แมลูกอยูดวยกันสองคนตางก็ใหความเคารพซ่ึงกันและ
กนั มีอะไรก็พูดคุยปรกึ ษากัน ชอ งวางมีนอยมาก125๓
๑ นายเติมศักด์ิ เดชโบราณ (ประธานชุมชนวัดธาตุ), แมประยูร สานโสม, แมเลื่อน ทับศรี, นางนิภา
บุญประเทือง, แมลักษณา พระลบั รักษา (ผูร ักษาอุโบสถศลี ชมุ ชนวัดธาต)ุ
๒ แมชูชีพ วฒั นชาํ , นางหวาน ศรีพลเมือง, แมสมพร สิงโตทอง, แมจริยา มาลาเพ็ชร (ผูรักษาอุโบสถ
ศีลชุมชนวดั ธาตุ)
๓ นางแสงสวรรค สังวรด,ี แมสมบตั ิ โกยสวน, แมประเทือง ยมจนิ ดา (ผรู ักษาอุโบสถศลี ชุมชนวดั ธาต)ุ
๘๖
สรุป สภาพชุมชนวัดธาตุเปนพ้ืนท่ีเมืองเกา ประชากรนับถือพุทธศาสนาเปนสวนใหญ
ตอมาเทศบาลนครขอนแกนไดพัฒนาจากสภาพชุมชนเกาแกแออัดใหมีคุณภาพดีข้ึน โดยจัดตั้งคณะ
กรรมการบรหิ ารชมุ ชน มปี ระธาน กรรมการ เปน ผปุ ระสานงานกบั วดั สถานศึกษา หนวยงานราชการ
และองคกรเอกชน ปญหาในชุมชน คือ ปญ หา
เศรษฐกจิ นาํ ไปสูป ญหาอาชญากรรม ยาเสพติด ซ่ึงมีบาง คณะกรรมการบริหารชุมชนจะ
คอยประสานทางการเพ่ือแกไขทําใหดีข้ึน ปญหาผูสูงวัยคือความวาเหวในบางครอบครัวท่ีขาด
ลกู หลานดูลเอาใจใส ชุมชนสนบั สนนุ กิจกรรมนันทนาการและการเขาวัด ฟงธรรม รักษาอุโบสถศีลใน
วันพระ
ชมุ ชนวดั โพธโิ์ นนทนั
ชมุ ชนวัดโพธ์โิ นนทันเปนชุมชนที่ชือ่ เดิมคือ บานโนนทัน สภาพชุมชนพัฒนามาจากชุมชน
แออัด มีคณะกรรมการบริหารชุมชนคอยประสานงานหนวยงานราชการ สถาบันทางศาสนาและ
สถาบนั การศึกษา สว นใหญเปนครอบครวั ที่มจี าํ นวนสมาชกิ มาก มักมีปญ หาตามมาใหแกบางครั้ง เชน
บางครอบครัวที่มีบุตรเขยมาอยูรวมดวย เวลาเกิดปญหาก็พยายามอดทนใชขันติและนําหลักศีลธรรม
มาแนะนําพร่าํ สอน และเปนตวั อยา งท่ีดใี หบตุ รหลานไดเหน็ ยดึ หลักศีลธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี
เปนแนวทาง ซง่ึ จากการรกั ษาอุโบสถศลี ทว่ี ัดทําใหจติ ใจเยือกเย็น รจู กั ใหอ ภัยแกคนอื่น126๑
สวนครอบครัวทีม่ สี มาชกิ ๑-๒ คน ปญ หาภายในบานไมมีอะไรมากนัก พูดคุยกันทําความ
เขา ใจกันได จะมีปญหาบางกับเพ่ือนบาน ซึ่งเมื่อมารักษาอุโบสถศีล ไดปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา สวด
มนต แผเมตตา ทําใหจิตใจเบกิ บานไมข ุนมัว มองปญ หาตามหลักเกิดขึ้นต้งั อยดู ับไป แผเ มตตาใหเขา127๒
สรุป ชุมชนวัดโพธิ์โนนทันเปนชุมชนเกาแกในนามบานโนนทัน ผูคนอาศัยอยูหนาแนน
ประกอบอาชีพหลากหลาย เทศบาลนครขอนแกนสงเสริมการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารชุมชน เพื่อ
ประสานงานกบั ทางราชการและหนวยงานท่ีเก่ยี วของ โดยที่ชุมชนน้ีมีวัดโพธ์ิซึ่งเปนสํานักปฏิบัติธรรม
แหงท่ี ๑ ประจําจังหวัดขอนแกน ทางวัดไดจัดกิจกรรมที่สงเสริมการปฏิบัติธรรมแกพุทธศาสนิกชน
ทั่วไปและนักเรียน นักศึกษาตลอดป ทําใหมีผูคนเขารักษาอุโบสถศีลจํานวนมาก ชวยใหผูสูงวัยมี
แหลงปฏบิ ตั ธิ รรมทเี่ ปนที่พงึ่ ทางใจไดเ ปนอยางดี
ชุมชนวดั หนองแวง
ชุมชนวัดหนองแวง เปนชุมชนที่อยูใกลกับบานจัดสรร ผูคนจะประกอบอาชีพทั้งธุรกิจ
เอกชน ราชการและคาขาย เปนครอบครัวขนาดใหญท่ีมีสมาชิกต้ังแต ๕ คนอยูรวมกัน ปญหามีไม
มาก เพราะยึดฮตี ครองประเพณีอิสาน และยึดหลักธรรมคําสอนเตือนใจผูนําครอบครัว ตลอดจนบุตร
๑ ร.อ. สระจิต สีดาทัน (ประธานชุมชนโนนทัน ๑), แมนงลักษณ อรัญปกษ, นางสมฤทัย ผดุงญาณ,
แมละไม วงศค าํ พนั ธุ, นายมงคล เลิศล้าํ , แมทองสุข แกว ลวงตา (ผรู กั ษาอุโบสถศีลชุมชนวัดโพธ์โิ นนทนั )
๒ แมห อมจนั ทร วิภัชชวาท,ี แมอ อนจันทร เพยี ภูเขยี ว, นางสาวอภิชดา แกวดอก (ผูรักษาอุโบสถศีล
ชุมชนวัดโพธิ์โนนทนั )
๘๗
หลาน ปญหาที่มีสวนใหญคือการกระทบกระท่ังกันทางอารมณบางนิดหนอย เนนการเจรจาทําความ
เขา ใจดวยเหตุผล ทําใหเหตุการณผานพนไปดวยดี เพราะรักษาศีล ๘ จะปฏิบัติธรรม ฟงธรรม นําไป
อบรมคนในครอบครัวตอไดเปน อยางดี128๓
ครอบครัวท่ีมีสมาชิก จํานวน ๔ คน จะมีปญหาเร่ืองบุตรหลานบอกไมเช่ือฟง แตก็
แกปญหาได ดวยการคอยๆ แนะนําดวยเหตุและผล พาเขาเขารวมกิจกรรมทางพุทธศาสนา เชน
ทําบุญตกั บาตร เวียนเทียน ไหวพระ สวดมนต แผเมตตา เปนตน สถานการณจะดีขึ้นเพราะการสอน
ใหจ ํา ทาํ ใหด ู ดวยการรักษาศัล ๕ ศลี ๘ เปนตน129๔
สรุป ชุมชนวัดหนองแวงเปนชุมชนที่มีผูคนอยูคละกันระหวางบานจัดสรรและรานคา
อาคารพาณิชย มีวัดหนองแวงเปนศูนยรวมจิตใจ ซ่ึงทางวัดไดจัดกิจกรรมใหชาวพุทธไดเขานมัสการ
พระธาตุแกนนคร อนสุ รณสาธชุ น มีการรกั ษาอุโบสถศลี ฟง ธรรม เจริญจิตภาวนา ชวยใหกลุมผูรักษา
อุโบสถศีลเกิดความสงบสุขแกตนเองและครอบครัว รูปแบบการบริหารชุมชนก็จะมีคณะกรรมการ
ชมุ ชนซ่ึงมปี ระธานและเลขานกุ าร เปนผูประสานงานกบั ภาครฐั เอกชนวัดและสถานศกึ ษา
ชุมชนวัดวุฒาราม
ชมุ ชนวัดวุฒารามเปนชุมชนใกลกับสถานีรถไฟขอนแกน มีผูคนหนาแนน ประกอบอาชีพ
ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐและการคาขาย มีคณะกรรมการบริหารชุมชนคอยประสานงานกับวัด
สถานศึกษาและหนวยงานราชการตางๆ ครอบครัวที่มีสมาชิกตั้งแต ๖-๑๓ คน จะมีปญหาการ
ทะเลาะวิวาทกันบางครอบครัว เมื่อารมณเย็นลง ผูนําครอบครัวจะเรียกคูกรณีมาชี้แจงเหตุผลท่ีเกิด
การทะเลาะกัน พร่ําสอนใหรูจักรักสามัคคีกัน เอาหลักพรหมวิหาร ๔ และสอนใหแห็นคุณเห็นโทษ
ของการรักสามัคคีและโทษของการทะเลาะวิวาท พาเขารวมกิจกรรมมทางพุทธศาสนา เชน วันสําคัญ
ทางพระพทุ ธศาสนาเขาวัดฟง ธรรม ถวายภัตตาหาร รวมสวดมนต แผเ มตตา เปนตน 130๕
ครอบครัวที่มีสมาชิกต่ํากวา ๕ คนลงมา ไมมีปญหาท่ีหนักใจอะไร เพราะพอแมทําดีให
เห็นเปนแบบอยาง ดวยการยึดมั่นในศีล ๕ และสมาทานศีล ๘ ในพรรษา ไดนําหลักคําสอนทางพุทธ
๓ นายนิยม ทวีโคตร (ประธานกรรมการชุมชนวัดหนองแวง๔), นางเพ็ญศรี เงาพระฉาย, นาง
พรพรรณ สระแกว , แมค ณู แสงกดุ เรอื , นางณฐั ธานนั ท บตุ รโพธ์ิ, แมประภาดา โพธาคณา (ผูรักษาอุโบสถศีลชุมชน
วดั หนองแวง)
๔ แมเรียง ไหมตรีแพน, แมสุรัตดา กองมณี, แมนวลอนงค บุญถาน, แมสุรินทร ทวีสุข, แมอัญญา
สรอยโสม, แมดาหวัน ชาแทน, แมสมรศรี แสงทอง, นางนงครักษณ เหงาดี, นางสมพร ชินระนาด, แมเพ็ญนิภา
จันทรอุป, แมนาง ตุลไธสง, นางบัวผัน ฤาชา, นางสุกัญญา อาวัชนากร, นายนพนันท แกวมุกดาสวรรค (ผูรักษา
อุโบสถศลี ชุมชนวดั หนองแวง)
๕ นายสงกา แทภูเขียว (ประธานชุมชนวุฒาราม), แมเบา คําเสนา, แมนิล สมบูรณรัตนมณี, แมแดง
รอบรู, แมสมร นามสงา , แมน อย ตันทนเทวินทร (ผรู กั ษาอุโบสถศีลชุมชนวัดวฒุ าราม)
๘๘
ศาสนามาเปนแนวทางดําเนินชีวิต จึงเกิดสันติสุขในครัวเรือนมาตลอด ถาพอจะมีบางคือเขาใจผิด
เลก็ ๆ นอ ยๆ อาศัยการพดู คุยทาํ ความเขา ใจกันได131๖
สรปุ ชุมชนวดั วุฒารามอยูใกลส ถานีรถไฟขอนแกน มีความแออัดในดา นทิศตะวันออกของ
วัด แตไดรับการพัฒนาจากเทศบาลนครขอนแกนใหมีความเปนระเบียบ ปญหาชุมชนก็มีในกลุมผูมี
รายไดนอย สงผลตอการครองชีพของคนในครอบครัวและนําไปสูการดื่มสุราและเสพยาเสพติด
เทศบาลไดจัดตั้งคณะกรรมการบริหารชุมชน เพื่อดูแลและรวมประสานงานในการพัฒนาชุมชน โดย
อาศยั วดั สถานศกึ ษาใหเปน ศูนยก ลางการฝก อบรมศีลธรรม โดยเฉพาะวัดวุฒารามจะจัดกิจกรรมการ
รักษาอุโบสถศีล เพื่อใหมีการฝกอบรมจิตภาวนา สวดมนต แผเมตตา ขับรองสารภัญญทํานองอิสาน
บชู าพระพรัตนตรยั
ชมุ ชนวดั ศรีนวล
ชุมชนวัดศรีนวลเปนชุมชนท่ีต้ังอยูใกลกับตลาดสด/ตลาดโตรุงขอนแกน นอกจากน้ียัง
ต้ังอยูใกลกับสถานที่ราชการ เชน สถานศึกษา สถานีตํารวจภูธรเมืองขอนแกน ผูคนที่อยูในชุมชนจะ
ประกอบอาชีพหลากหลาย เชน รับจาง ธรุ กิจ ราชการ คาขาย เปนตน มีคณะกรรมการบริหารชุมชน
ท่ีเทศบาลนครขอนแกนเขามาสนับสนุนจัดการ เพื่อใหเปนผูแทนคนในชุมชนทํากิจกรรมตางๆ
รวมกันครอบครัวใหญมีสมาชิกประกอบดวยสามี ภรรยา ลูกชาย ลูกสาวและหลานๆ การอยูรวมกัน
ดวยการปฏิบัติตามหลักศีลธรรม มีพรหมวิหาร มีสังคหวัตถุ เวลามีปญหาก็เจราจาช้ีแจงดวยเหตุผล
ถาเปนบุตรหลานก็ยกตัวอยางท่ีไมดีมาเปนอุทาหรณใหเขาไดรูและเห็น นอกจากน้ียังงสอนใหบุตร
หลานรจู ักไหวพระ สวดมนต ทําบุญ ทําทาน ขยันในการทํางานหรอื ศกึ ษาเลาเรียน132๗
ครอบครัวเดยี่ วอยูกัน ๒ คนกับลูกชาย เวลามปี ญหากระทบกระทั่งกันก็อดทน และพูดจา
กันดวยเหตผุ ล บางคร้งั หากลกู ไมอยูใ นโอวาทก็ทําใจ และมีโอกาสเหมาะก็คุยช้แี จงใหเขาเขาใจ133๘
ครอบครัวใหญจํานวน ๕ คน มีลูกหลานและเหลน ปญหามีบางตรงท่ีหลาน เหลน จะมี
แนวคิดแบบวัยรุน บางครั้งปูยาพรํ่าสอน เขาจะหาวาบน อาจแสดงความรําคาญใหเห็น ซ่ึงตองหาวิธี
สอนใหร จู ักไหวพ ระ สวดมนต ทาํ บุญตกั บาตร เลา นิทานธรรมะใหเขาไดซ มึ ซับสิ่งดๆี 134๙
๖ แมศรี ชมวงค, นายเฉลมิ จนั ทรนอ ย, นางสาวชมพนู ุช สระทองพิมพ, แมจินตนา แพภเู ขยี ว, แมก ล่ิน
ขจร วงศขันต, แมสุนันทา บุญยอ, แมพังงา ศรีพรหม, แมสมบูรณ สามมหาดไทย, แมวนิดา วรวิทักษ, แมสุมาลัย
ปะมาคะเต, แมทองหลู วรรณพงษ, แมจรรยา ตนโพธิ์, แมละเอียด กฐินทอง, แมเรียม ชนะกาศรี, แมพรรณี ศรี
หนองบัว, แมสี ทองลือ, นางสาววิภาทิพย สาระแสง, แมลิขิต ลีพรหมมา, แมพวงทอง มาตรสงคราม, แมทองใบ
ธุระพันธุ, แมเล็ก นกึ ประทมุ , แมค ําปว จนั ทรมี (ผรู กั ษาอุโบสถศลี ชุมชนวดั วุฒาราม)
๗ แมศิรินธร กล่ินศรีสุข (ประธานชุมชนพระลับ = วัดศรีนวล), แมบรรจง โยธา (ผูรักษาอุโบสถศีล
ชมุ ชนวัดศรนี วล)
๘ แมสมบรู ณ ผาดวงดี (ผูร กั ษาอุโบสถศลี ชุมชนพระลับ=วัดศรีนวล)
๙ แมหนูพลอย บิณฑดิษฐ, แมใข แสนสุขทวี, แมทองสุข ดวงทาแสง, แมเที่ยง พระธานี, แมปญญา
พานสายตา, แมสงัด เนตรสภุ าพ, แมส มบัติ เกดิ ชว ง (ผูรักษาอุโบสถศีลชุมชนพระลบั = วดั ศรนี วล)