The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัย 2561

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sanya2515_15, 2021-11-19 21:39:12

รายงานการวิจัย 2561

รายงานการวิจัย 2561

๓๙
สารณียธรรมที่ทําใหเปนท่ีรักทําใหเปนที่เคารพเปนไปเพื่อความสงเคราะหกันเพ่ือความไมวิวาทกัน
เพ่ือความสามคั คกี นั เพอื่ ความเปนอนั เดียวกัน

๖. มีอริยทิฏฐิอันเปนธรรมเครื่องนําออกเพื่อความส้ินทุกขโดยชอบแกผูทําตามเสมอกัน
กับเพอ่ื นพรหมจารที ั้งหลายท้งั ตอหนาและลับหลังแมนก้ี เ็ ปนสารณยี ธรรมที่ทําใหเปนที่รัก ทําใหเปนที่
เคารพเปนไปเพ่ือความสงเคราะหกันเพ่ือความไมวิวาทกันเพ่ือความสามัคคีกัน เพ่ือความเปนอัน
เดียวกัน62

พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต)๕๖ ไดใหความหมายของสาราณียธรรม (ธรรมเปน
เหตุใหระลึกถึงกัน) คือ เปนหลักธรรมที่เสริมสรางความสัมพันธกับผูอ่ืนที่เปนเพื่อนรวมงานรวม
กจิ การหรอื รว มชมุ ชนตลอดจนพีน่ อ งรว มครอบครวั พงึ ปฏบิ ัติตามหลกั อยูร ว มกัน ไดแ ก

๑. เมตตากายกรรมทําตอกันดวยเมตตา คือ แสดงไมตรีและความหวังดีตอเพื่อนรวมงาน
รวมกิจการหรือรวมชุมชนดวยการชวยเหลือกิจธุระตางๆ ดวยความเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสุภาพ
เคารพนับถอื กันท้งั ตอหนาและลบั หลัง

๒. เมตตาวจีกรรมพูดตอกันดวยเมตตา คือ ชวยบอกแจงสิ่งที่เปนประโยชนส่ังสอนหรือ
แนะนําตกั เตอื นกันดวยความหวังดีกลา ววาจาสภุ าพแสดงความเคารพนับถอื กนั ท้ังตอหนา และลบั หลงั

๓. เมตตามโนกรรมคิดตอ กนั ดว ยเมตตา คือ ตัง้ จติ ปรารถนาดีคิดทําส่ิงที่เปนประโยชนตอ
กันมองกันในแงด ีมหี นา ตาย้มิ แยม แจมใสตอกัน

๔. สาธารณโภคีไดมาแบงกันกินกันใช คือ แบงปนลาภผท่ีไดมาโดยชอบธรรมแมเปนของ
เลก็ นอยกแ็ จกจายใหไดม ีสวนรว มใชส อยบริโภคท่วั กัน

๕. สีลสามัญญตาประพฤติใหดีเหมือนเขา คือ มีความประพฤติสุจริตดีงามรักษาระเบียบ
วนิ ัยของสว นรวมไมท ําตนใหเปนทนี่ า รังเกียจหรอื เส่ือมเสียแกหมูคณะ

๖. ทิฏฐิสามัญญตาปรับความเห็นเขากันได คือ เคารพรับฟงความคิดเห็นมีความ
ความเห็นชอบรวมกันตกลงกันไดในหลักการสําคัญยึดถืออุดมคติหลักแหงความดีงามหรือจุดหมาย
สูงสดุ อันเดียวกันสาราณียธรรมมคี ุณคือเปนสาราณียะทําใหเปนที่ระลึกถึง ๑ เปนปยกรณทําใหเปนท่ี
รัก ๑ เปน ครุกรณท ําใหเปนทีเ่ คารพ ๑ เปนไปเพ่ือความสงเคราะหคือความกลมกลืนเขาหากัน ๑เพื่อ
ความไมว ิวาท ๑ เพือ่ ความสามัคคี ๑ และเพ่ือเอกภาพความเปน อันหนึง่ อันเดียวกัน ๑

พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ) ๕๗ ไดใหความหมายและหลักการปฏิบัติของสา
ราณียธรรมไววาตามสัญชาตญาณของคนท่ีอยูรวมกันนั้นยังปรารถนาความรักความอบอุนความ
ปลอดภัยตอ งการส่งิ ท่ีพงึ พาํ นกั อาศัยตองการไดมีการพักผอนหยอนใจตองการใหมีสันทนาการในดาน
ตางๆ ซึ่งเปนลักษณะความเรียกรองความตองการตามธรรมชาติของส่ิงมีชีวิตในทางพระพุทธศาสนา
กลุมพุทธบริษัทท้ังฝายคฤหัสถและบรรพชิตเม่ือมาอยูรวมกันในวัฒนธรรมของชาวพุทธแลวจําเปนท่ี

๕๖ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, พิมพคร้ังท่ี ๓๐, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท
สหธรรมิกจาํ กดั , ๒๕๔๗), หนา ๒๓.

๕๗ พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ), ธรรมะสําหรับประชาชน, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทคลัง
วชิ าจํากดั , ๒๕๓๖), หนา ๓๔.

๔๐
จะตองอยูดวยความมีคุณธรรมเปนจุดกลางทางความคิดท่ีมาพบกัน โดยการปลูกฝงใหเกิดความรัก
ความเคารพตอกันซึ่งความรักความเคารพตอกันนั้นเปนผลซึ่งอาจจะเกิดข้ึนอาจเกิดจากการแสดง
น้าํ ใจคอื สงเคราะหอนเุ คราะหเม่อื มีความรักความเคารพตอกันใหการสงเคราะหอนุเคราะหตอกันแลว
การทะเลาะววิ าทกันกจ็ ะไมเกดิ ขึ้นความสามคั คี ซ่ึงเปนผลที่พึงปรารถนาของหมูคณะไมวายุคใดสมัย
ใดก็จะบังเกิดข้ึน จากนั้นเอกภาพ คือ ความเปนอันหนึ่งอันเดียวกันทางกิจกรรมทางผลประโยชน
ทางการศกึ ษาการประพฤติปฏิบัติก็จะบังเกิดข้ึนติดตามมาเหลาน้ีเปนเหตุเปนผลของกันและกันแตใน
ขณะเดียวกันสิ่งท่ีดีงามเหลานี้เปนผล รวมยอดซึ่งกันและกันโดยการสรางเหตุเฉพาะในท่ีน้ีทรงแสดง
วาเปนสาราณียธรรม คือ ธรรมท่ีจะนําใจของบุคคลใหระลึกถึงกันผูกพันเชื่อมโยงบุคคลไวดวยนํ้าใจ
ประกอบดว ย ๖ ประการ คอื

๑) เมตตากายกรรมจําทําอะไรใหทําดวยเมตตา ไดแก การแสดงความมีนํ้าใจชวยเหลือ
ขวนขวายในกิจการงานตางๆ ท่ีควรของเพ่ือนภิกษุสามเณรของเพื่อนอุบาสกอุบาสิกาท้ังหลายไมวา
จะเปนตอหนา หรอื ลบั หลงั ก็ตาม

๒) เมตตาวจีกรรมจะพูดอะไรก็ประกอบดวยเมตตา ไดแก การพูดวาจาที่เปนคําสัตยคํา
จริงคําสมานสามัคคีกระชับสามัคคีพูดแตคําไพเราะออนหวานและคําท่ีมีประโยชนน้ันเปนคําท่ีมี
พื้นฐานมาจากเมตตาตอคนที่ตนพูดดวยและคนท่ีพูดถึงพูดตอหนาอยางไรลับหลังก็ตองพูดอยางน้ัน
ลบั หลังพูดอยางไรตอ หนากพ็ ดู อยางนั้น

๓) เมตตามโนกรรมจะคิดอะไรก็คิดดวยเมตตา ไดแก การตั้งความรูสึกในคนและสัตว
ทัง้ หลายวาชีวติ แตล ะชีวิตไมต อ งการความทกุ ขแ ตต อ งการความสขุ ฉนั ใดเพราะฉะนนั้ ขอใหบุคคลนั้นๆ
ดํารงชีวิตอยูดวยความไมมีเวรไมมีภัยไมเบียดเบียนกันไมประทุษรายกันใหแตละคนอยูดีมีสุขตาม
สมควรแกฐานะของตนเมือ่ จะคดิ ถงึ ใครก็ตามไมไดจําเพาะเจาะจงวาเปนภิกษุสามเณรเทานั้นใหคิดถึง
กันดวยเมตตาเราะพรอ มท่ีจะแสดงออกทางกายทางวาจาทั้งตอ หนา และลับหลงั บุคคลเหลา นนั้

๔) แบงปนลาภผลท่ีตนไดมาในทางท่ีชอบธรรมใหแกเพ่ือนภิกษุสามเณรไมหวงไวบริโภค
เฉพาะเพียงผูเดียวคือหลักการอยูรวมกันของพระภิกษุสามเณรเทาน้ันตองเลี้ยงชีพดวยลําแขงของ
ตัวเองเท่ียวภิกษาจรบิณฑบาตอาหารจากชาวบานผูมีจิตศรัทธาเปนการไดอาหารมาในทางท่ีชอบ
ธรรมแตวาการไดปจ จยั ๔ น้นั คนเรามวี าสนาบารมีไมเ หมอื นกนั บางคนไดม ากจนเหลือกินเหลือใชบาง
คนไดน อ ยจนไมค อยพอกนิ พอใช เพราะฉะนั้นคนทไี่ ดล าภผลมาในทางที่ชอบมากจึงตองแสดงออกซ่ึง
ทางกายกรรมทางวจีกรรมที่สะทอนมาจากใจดวยการเอื้อเฟอแบงปนเปนการสงเคราะหอนุเคราะห
เฉลีย่ ความสุขใหแ กก นั และกนั

๕) รักษาศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพ่ือนภิกษุสามเณรอื่นๆ ไมทําตนใหเปนที่รังเกียจของ
ผูอ่ืนคือ การอยูรวมกันของพระภิกษุสามเณรนั้นคอนขางจะอาถรรพแมจะโงไปบางจะเซอไปบางแต
ถาไมมีปญหาเรื่องการประพฤติปฏิบัติแลวยอมเปนท่ียอมรับนับถือของผูท่ีเก่ียวของกันแมจะเปน
เพ่ือนรกั รวมใจกันถา คนหนึง่ ละเมิดศลี ทพ่ี ระพทุ ธเจาไดทรงบัญญตั ิไวจะกลายเปนที่รังเกียจดูหมิ่นของ
เพ่ือนภิกษุสามเณรดวยกันการอยูรวมกันโดยปกติสุขท่ีประสงคจะเกิดข้ึนไมไดดังน้ันจึงตองพยายาม
ปฏิบัติตนใหถกู ตอ งตรงตามหลกั ของศีลที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติไวโดยใหมองวาขอน้ีพระพุทธเจาได
ทรงบัญญัติไวอยางไรใครปฏิบัติถูกตองตรงหลักที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติไวก็ปฏิบัติไปตามเขาทําให
เกิดเปน ความเรียบรอยสวยงามขึ้นทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงเรยี กวา สงั ฆโสภโณ คอื หมคู ณะท่ีงดงาม

๔๑

๖) มีความเห็นรวมกันกับเพื่อนภิกษุสามเณรอ่ืนๆ ไมวิวาทกับใครๆ เพราะมีความเห็นผิด
กันเร่ืองของความเห็นน้ันในฐานะของภิกษุในพระพุทธศาสนาถาเปนความเห็นเกี่ยวกับวินัยก็ตองเอา
วนิ ยั เปน มาตรการกําหนดตัดสินวา ความเห็นของใครถูกตองหรือไมถูกตอง ถาเปนเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ
กต็ รวจสอบเทียบเคียงตรวจทานหลักธรรมะวาขอน้ีพระพุทธเจาทรงแสดงไวอยางไรแลวก็หาจุดกลาง
ทางความคดิ มาพบกันทีน่ แ่ี ตบ างอยา งเปน เรอ่ื งของกจิ การงานหรือแมแตเรื่องความเห็นท่ัวไปอาจจะมี
ความขัดแยงในหลักการและวิธีการบางอยางแตวาสามารถประสบผลเชนเดียวกันไดก็ตองประณี
ประนอมกันไมกอสารทะเลาะวิวาทเพราะเหตุวาความเห็นขัดแยงกันเวนไวแตบุคคลน้ันมีความเห็น
ขัดแยงกับพระธรรมวินัยซึ่งภิกษุสามเณรรูหวงใยในพระพุทธศาสนาจะตองถือเปนภาระหนาที่ท่ีจะ
ขจดั ปรบั วาทะเหลาน้ันใหย ุตลิ งดวยความเรียบรอย

คณาจารยสํานักพิมพเล่ียงเซียง62๕๘ ไดกลาววา สาราณียธรรม หมายถึง ธรรมที่เปนที่ตั้ง
แหงความระลกึ ถึงกนั คอื ผูประพฤติธรรมเหลา นีย้ อมเปน เหตใุ หร ะลึกถึงความดีท่ีทําตอกันเปนที่เคารพ
นับถอื ของผอู ื่นและสมานความสามคั คีกลมเกลยี วในหมูคณะไวไดคือ65

๑. การเขาไปตั้งกายกรรมประกอบดวยเมตตา คือ การชวยขวนขวายทํากิจธุระของกัน
และกันดว ยกายไมวา จะเปน กจิ ธุระอะไรก็ตามก็เต็มใจชวยทํากิจธุระน้ันจนสําเร็จไมน่ิงดูดายเพราะถือ
วา ไมใชห นาทเี่ รื่องอะไรจะทําใหเหนือ่ ยแรงลาํ บากกาย

๒. การเขา ไปตั้งวจีกรรมประกอบดวยเมตตา คือ การแนะนําส่ังสอนบอกกันในแนวทางท่ี
ดถี ูกตอ งเมอ่ื ทําตามแลวเกดิ ความดงี ามไมม ีผลทําใหผ ทู าํ ตามตองไดร บั ความเดือดรอนภายหลัง

๓. การเขาไปตง้ั มโนกรรมประกอบดวยเมตตา คอื การตั้งจติ เปน เมตตาปรารถนาแตความ
ไมมีเวรมีภยั ตอกันมุง หวังแตความสุขความเจรญิ และประโยชนต อกันและกนั

๔. การแบงปนลาภทหี่ ามาไดไ มห วงไวบ รโิ ภคผเู ดยี ว คือ การแบงปนสิ่งของท่ีตนหาไดโดย
ชอบธรรมแกผูอ่ืนตามสมควรแกของท่ีไดมาเพื่อเปนการเกอกูลตอผูที่มีลาภนอยไมหวงไวบริโภคผู
เดยี ว

๕. การรักษาศีลใหบริสุทธ์ิเสมอผูอ่ืน คือ การประพฤติกายวาจาใหเรียบรอยดีไมมีโทษ
ปฏิบัตติ นตามพระวนิ ัยบัญญตั ริ ักษาศลี ตามภาวะของตนไมใหขาดหรือดางพรอยเสมอกนั กับผอู ่ืน

๖. การมคี วามเห็นรวมกันกับผูอ่ืน คือ การมีความเห็นพองตองกันตามพระธรรมวินัยเปน
เหตุใหเกิดความสามัคคีกลมเกลียวกันในการปฏิบัติหนาท่ีตางๆ ไดอยางไมขาดตกบกพรองไมมี
ความเห็นผิดแผกแปลกไปจากผูอ่ืนจนเปนเหตุแหงความแตกราวบาดหมางยอมรับมติของสวนมาก
ธรรม ๖ อยางน้ีทําใหผูประพฤติใหเปนท่ีรักที่เคารพของผูอื่นเปนไปเพื่อความสงเคราะหกันและกัน
เปน ไปเพือ่ ความไมวิวาทกนั และกนั เปน ไปเพื่อความพรอ มเพรียงเปน อนั หนึ่งอันเดียวกนั

ทองหลอ วงษธรรมา ๕๙ ไดกลาววา สาราณียธรรม แปลวา ธรรมเปนเหตุใหระลึกถึงกัน

63

หมายถงึ คณุ ธรรมทที่ าํ ใหค นเราไมเห็นแกตัวแตจะคิดถึงคนอื่นเอ้ือเฟอเผ่ือแผแกผูอื่นเขาใจคนอ่ืนมาก

๕๘ คณาจารยสํานักพิมพเลี่ยงเซียง, หนังสือบูรณาการแผนใหมนักธรรมชั้นตรี, (กรุงเทพมหานคร:
เล่ยี งเซียง, ๒๕๔๖), หนา ๑๐๘-๑๐๙.

๔๒
ขึ้นสาราณียธรรมมี๖อยาง คือ ๑. เมตตากายกรรม คือ ทําตอกันดวยเมตตา หมายถึง ทําส่ิงใดก็ทํา
ดวยความปรารถนาดีตอกันเชนแสดงไมตรีและหวังดีตอเพ่ือนรวมงานรวมกิจการรวมชุมชนโดย
ชวยเหลือธุระตางๆ ดวยความเต็มใจแสดงอากัปกิริยาสุภาพเคารพนับถือ ท้ังตอหนาและลับหลัง ๒.
เมตตาวจีกรรม คือ พูดกันดวยเมตตา หมายถึง จะพูดอะไรก็พูดดวยความปรารถนาดีตอกัน เชน
แนะนําส่ังสอนตักเตอื นกันดวยความหวังดีกลาววาจาสุภาพพูดจริงไมพูดเพ่ือผลประโยชนที่จะเกิดข้ึน
แกต นเองฝายเดียว ๓. เมตตามโนกรรม คือ คิดตอกันดวยเมตตา หมายถึง จะคิดอะไรก็คิดดวยความ
ปรารถนาดี เชน ตั้งจิตปรารถนาดีคิดทําส่ิงท่ีเปนประโยชนแกกันมองกันในแงดี ๔. สาธารณโภคี คือ
แบงปน สง่ิ ทไ่ี ดมาโดยชอบธรรม หมายถงึ แบง ปนลาภผลที่รวมกันหารวมกันทําโดยยุติธรรมแมส่ิงของ
ทไ่ี ดมาจะนอยแตก็แจกจายใหไดมีสวนรวมใชสอยบริโภคทั่วถึงกันน้ัน คือ การรวมสุขรวมทุกขกัน ๕.
สีลสามญั ญตา คอื มีความประพฤติเสมอภาคกัน หมายถึง ประพฤตสิ จุ ริตดีงามเหมือนๆ กันมีระเบียบ
วินัยเปนแบบเดียวกันไมป ระพฤติใหเ ปน ทรี่ งั เกียจหรือเสือ่ มเสยี แกหมูคณะ ๖. ทิฎฐิสามัญญตา คือ มี
ความเสมอภาคกันทางความคดิ หมายถึง ปรับความคิดความเห็นใหมีเหตุมีผลถูกตองเหมือนๆ กันน่ัน
คือ การเคารพเหตุผลยึดหลักความดีงามเปนอดุ มคตอิ ยา งเดยี วกนั

ปญญา ใชบางยาง64๖๐ ไดกลาววา สาราณียธรรม คือ ธรรมเปนท่ีตั้งความระลึกถึงธรรม
เปน เหตุใหระลกึ ถงึ กันหลกั การอยรู ว มกนั ๖ ประการ คอื 6

๑. เมตตากายกรรมตั้งเมตตากายกรรมในเพ่ือนพรหมจรรยท้ังตอหนาและลับหลัง คือ
ชว ยเหลือกิจธุระของผูรว มหมูคณะดว ยความเต็มใจแสดงอาการกริ ิยาสภุ าพเคารพนับถือกันทั้งตอหนา
และลบั หลงั

๒. เมตตาวจีกรรมตั้งเมตตาวจีกรรมในเพ่ือนพรหมจรรยทั้งตอหนาและลับหลังคือชวย
แจงส่ิงท่ีเปนประโยชนส่ังสอนแนะนําตักเตือนดวยความหวังดีกลาววาจาสุภาพแสดงความเคารพนับ
ถอื กนั ทัง้ ตอหนา และลบั หลงั

๓. เมตตามโนกรรมต้ังมโนกรรมในเพ่ือนพรหมจรรยทั้งตอหนาและลับหลัง คือ ตั้งจิต
ปรารถนาดีคิดทาํ สงิ่ ทเ่ี ปนประโยชนแกก นั มองกนั ในแงดีมหี นาตาย้ิมแยมตอกัน

๔. สาธารณโภคไี ดข องท่ีชอบธรรมมาแบง ปนไมห วงไวผเู ดียว
๕. สีลสามัญญตามีศีลบริสุทธ์ิเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรยทั้งตอหนาและลับหลัง คือ มี
ความประพฤติสจุ ริตดีงามถกู ตองตามระเบยี บวินยั ไมทาํ ตนใหเปนทร่ี งั เกยี จของหมูค ณะ
๖. ทฎิ ฐสิ ามัญญตามีทฎิ ฐิดีงามเสมอกันกับเพ่ือนพรหมจรรยท้ังตอหนาและลับหลัง คือ มี
ความเหน็ ชอบรวมกนั ในขอ ที่เปน หลักการสาํ คัญที่จะนาํ ไปสูความหลดุ พน สน้ิ ทุกขห รอื ขจัดปญหา
สรุปไดวา แนวคิดเกี่ยวกับหลักสาราณียธรรม คือ ธรรมเปนท่ีตั้งแหงความระลึกถึงกัน
หลกั การอยูรวมกันอยางสงบสุขซ่ึง ประกอบดวย ๑. เมตตากายกรรม หมายถึง การชวยเหลือเก้ือกูล
กันดว ยความยม้ิ แยม แจม ใสเปน กันเองขยันหม่ันเพียรทํางานเพ่ือประโยชนสุขของสวนรวม ๒. เมตตา

๕๙ ทองหลอ วงษธรรมา, ปรัชญา ๒๐๑ พุทธศาสน, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพโอเอส. พร้ินต้ิง
เฮา ส, ๒๕๓๘), หนา ๒๙๔-๒๙๕.

๖๐ ปญญา ใชบางยาง, ธรรมาธิบาย เลม ๑, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพรติธรรม, ๒๕๔๖),
หนา ๑๒๒-๑๒๓.

๔๓
วจีกรรม หมายถึง การมีมนุษยสัมพันธอัธยาศัยไมตรีดีพูดจาดวยคําสุภาพไพเราะออนหวานพูดดวย
ความจริงใจไมนินทาวารายผูอื่น ๓. เมตตามโนกรรม หมายถึง ต้ังจิตปรารถนาดีคํานึงถึงประโยชน
สว นรวมเอาใจใสค วามสุขความทกุ ขข องบุคลากรปราถนาใหผูอ่ืนมีความสุข ๔. สาธารณโภคี หมายถึง
การชวยเหลือปองกันและบรรเทาสาธารณภัยตลอดจนการจัดสรรงบประมาณอยางเปนธรรมและ
ทั่วถึงโดยคํานึงถึงผลประโยชนของบุคลากรเปนหลัก ๕. สีลสามัญญตา หมายถึง การปฏิบัติตาม
กฎระเบยี บวนิ ัยขอบังคับอยางเสมอภาคและเทาเทียมกัน ๖. ทิฏฐิสามัญญตา หมายถึง มีความ
คดิ เหน็ เปน อยา งเดยี วกันปรับความคิดเหน็ เขาหากนั ไดรูจ กั ยอมรับฟง ความคิดเหน็ ของบุคคลอื่น

๒.๖ หลักเบญจศลี หลักเบญจธรรม

หลักคําสอนในพระพทุ ธศาสนานน้ั พระพทุ ธองคทรงแสดงไว ๒ ระดับ คือ ระดับโลกิยะที่
ทรงเนนถึงหลักการดําเนินชีวิต และระดับโลกุตตระท่ีสามารถทําใหชีวิตพนจากบวงของสังสารวัฏฏ
แตในท่ีน้ีผูวิจัยจะเนนเฉพาะระดับโลกิยะเทาน้ัน โดยหลักคําสอนในขั้นโลกิยะนั้นเปนหลักการที่พระ
พุทธองคทรงสอนใหมนุษยทุกคนปฏบิ ัตเิ พอื่ ใหเ กดิ ความสขุ ความสงบ ความมีเอกภาพความเสมอภาค
ซ่ึงคําสอนเหลา นท้ี ้งั หมดไดต ั้งอยบู นรากฐานของการดําเนินชีวิตดวยหลักการเบื้องตน คือ ศีล ๕ หรือ
เบญจศลี

๒.๖.๑ ความมุง หมายของเบญจศลี
เบญจศีลนับเปนหลกั คําสอนพน้ื ฐานเพ่ือสรางใหมนุษยเปนผูมีคุณธรรม มีเมตตากรุณาตอ
ทุกชีวิตที่จะตองพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อใหสามารถดําเนินชีวิตอยูในสังคมไดอยางปกติสุขไม
เดอื ดรอ น มี ๕ ประการ65๖๑ ดังนี้
ก. สกิ ขาบทท่ี ๑ ปาณาติปาตา เวรมณี เวนจากการฆาสัตวหรือทําลายชีวิต (To abstain
from Killing)
ข. สิกขาบที่ ๒ อทินนฺ าทานา เวรมณี เวน จากการลกั ขโมยหรือฉอโกง (To abstain from
Stealing)
ค. สิกขาบทท่ี ๓ กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี เวน จากการประพฤติผิดในกาม (To abstain
from sexual misconduct)
ง. สิกขาบทที่ ๔ มุสาวาทา เวรมณี เวนจากการพูดเท็จ (To abstain from Fales
speech)
จ. สกิ ขาบทท่ี ๕ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฐานา เวรมณี เวนจากการด่ืมสุราเมรัยหรือสิ่งเสพ
ติดตางๆ ที่อนุโลมเขาในสุราเมรัย ซึ่งจะทําใหประมาทมัวเมา (To abstain from intoxicants
causing heedlessness)

๖๑ พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม, หนา ๑๗๕.

๔๔

จากสิกขาบทท้ัง ๕ ขอ แสดงใหเห็นถึงจุดมุงหมายของเบญจศีล ท่ีจะสรางความสงบ
เรียบรอยใหเกิดข้ึนภายในสังคม ดวยการเวนจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ท้ังทางกายทางวาจา
ดงั ท่ี พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺ โต) ไดก ลา วถึงจุดมงุ หมายของเบญจศลี ไว ดังน้ี

ศีลจึงเปนเร่ืองของระเบียบวินัยเพ่ือสรางสังคมใหเรียบรอย อยูรวมกันดวยความสงบสุข
เปนสภาพเกอื้ กูลแกการดํารงชีวิต และปฏิบัติกิจของสมาชิกทั้งหลาย (ศีลระดับวินัย) ถามองศีลในแง
ของความประพฤติดีงามของบุคคล ซึ่งมีความสัมพันธท่ีดีงามกับผูอื่น เปนผลดีของตัวเองและคนอ่ืนก็
ได มองในแงเครื่องมือ คุมความประพฤติ ทําใหกาย วาจาเรียบรอยงดงามอยูในระเบียบก็ได มองใน
แงขอ ปฏิบตั ิสําหรบั กาํ จัดกเิ ลสขัน้ หยาบทแี่ สดงออกทางกาย วาจา ขัดเกลาคนใหประณีตขึ้นก็ได มอง
ในแงขอ ปฏิบัติสาํ หรับฝก อบรมกาย วาจา และอาชีวะใหอ ยูใ นสภาพ

พรอมที่จะเปนพื้นฐานของการฝก หรือคุณภาพจิตและการใชสมรรถภาพของจิตอยาง
ไดผ ลในระดบั สมาธกิ ็ได มองในแงเ ปนสภาพปกติ ทางกาย วาจา และอาชีวะของผูมีชีวิตดีงามหรือคน
ที่ไดร บั การฝก อบรมดี มกี ารศกึ ษาแทย อ มบรรลภุ มู ธิ รรมชนั้ สูงก็ได

ฉะน้ันจุดมุงหมายของเบญจศีล จึงเปนท้ังหลักการพื้นฐานเพ่ือควบคุมความประพฤติให
เวนจากการเบียดเบียน กอใหเกิดความสงบสุขในสังคม และเปนการปฏิบัติเพื่อฝกฝนตนเองใหเกิด
ความเจรญิ งอกงามย่งิ ข้ึน จนถงึ จดุ มุงหมายสงู สดุ ในพระพุทธศาสนา คอื พระนพิ พาน

๒.๖.๒ การรักษาเบญจศลี
ดวยลักษณะสิกขาบทของศีลท่ีเนนการเวนจากการประพฤติมิชอบ จึงทําใหศีลไมไดเปน
ขอหา มเสียทเี ดยี ว แตบุคคลทั่วไปกลบั ตีความวา เบญจศีล คือ การหามฆาสัตว การหามลักทรัพยการ
หา มประพฤติผิดในกาม การหา มพูดเท็จ เปน ตน แตเม่อื พิจารณาโดยสาระของเบญจศีล เบญจศีลเปน
การประพฤติท่ีดีงาม สุจริต ทางกาย ทางวาจา อาชีวะสุจริต และการมีเจตนาท่ีไมคิดจะลวงละเมิด
เปนสําคัญ ซึ่งคําวา ละเมิด สามารถตีความไดวา การละเมิดระเบียบ การละเมิดกฎเกณฑบทบัญญัติ
การละเมิดวินัยที่วางกันไว หรือการละเมิดตอผูอื่น คือ เจตนาท่ีเบียดเบียนผูอ่ืน ฉะน้ัน การรักษาศีล
จึงเร่มิ จากการมีเจตนาทไี่ มคิดจะลว งละเมดิ เปนสําคัญ ดังความมุงหมายของการรักษาศีลที่แสดงไววา
“ศลี คอื การไมเจตนาละเมิดระเบียบวินัย หรือการไมเจตนาลวงเกินเบียดเบียนผูอ่ืนมองอีกดานหนึ่ง
ศีลอยูท ค่ี วามสํารวมระวัง คือ การสํารวมระวังคอยปดก้ันไมใหความชั่วเกิดขึ้น และถามองใหลึกที่สุด
คือ สภาพจิตของผไู มคิดจะละเมิด ไมคดิ จะเบยี ดเบยี น”๖๒
ทําใหกลาวไดวา อาศัยเจตนาจะงดเวนในการรักษาศีลจึงทําใหศีลเกิดข้ึนไดแตถาไมมี
เจตนาจะงดเวน หรือจะรกั ษาศีลเสยี แลว แมผูน้ันไมไดทําความช่ัว เชน ไมฆาสัตวหรือไมลักทรัพยก็ไม
นับวามีศีล เปรียบเสมือนเด็กที่นอนแบเบาะ แมไมทําความชั่วก็ไมมีศีลเพราะไมมีเจตนาจะงดเวน
หรอื เปรยี บเหมือนอยางววั ควาย แมม ันไมฆาสัตว ไมลักทรัพยก็ไมมีศีลเพราะไมมีเจตนางดเวน ฉะนั้น

๖๒ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๑/๘๙/๑๔๙-๑๕๐.

๔๕

การท่ีจะมศี ลี ไดจึงตองมีเจตนาเปนเครื่องงดเวน หรือมีเจตนาวิรัติ ซึ่งเจตนาวิรัติสามารถจําแนกได ๓
ประเภท67๖๓ คือ

ก. สัมปตตวิรัติ คือ การงดเวนดวยเหตุการณท่ีเกิดข้ึนเฉพาะหนา เปนการงดเวนของผูที่
ไมต ง้ั ใจจะรักษาศีลมากอน แตเมอื่ มีเหตุการณเกิดข้ึนจําเพาะหนาอันอาจจะทําใหลวงศีลไดแตไมยอม
ลวงศีลเกิดงดเวนข้ึนมาในขณะน้ัน เชน มีโอกาสจะฆาสัตวไดแตไมฆา มีโอกาสจะลักของคนอ่ืนไดแต
ไมลัก หรือมีโอกาสจะประพฤติผิดในกามได แตไมยอมประพฤติผิดในกามโดยคํานึงวา การกระทํา
เชน นี้ไมเ หมาะไมควรแกฐานะและสกุลของตนเอง จงึ งดเสียในขณะนน้ั

ข. สมาทานวิรัติ คือ การงดเวนดวยการสมาทาน ไดแก ผูท่ีสมาทานสิกขาบทแลวยอม
สละแมกระท่ังชวี ติ ของตน ท้ังในเวลาสมาทานสิกขาบท ทั้งในเวลาอื่น จากน้ันไมลวงละเมิดเชน ภิกษุ
สามเณร คฤหัสถ ผูถือบวช หรือวิรัติของผูรับสิกขาบทท้ังหลาย โดยนัยอยางนี้วา ต้ังแตวันนี้ไป
ขาพเจาจะไมฆาสตั ว เพราะเหตแุ หงชีวิตเปน ตน กด็ ี ขา พเจา จะเวน จากปาณาติบาตเปน ตน ก็ดี ขาพเจา
สมาทานเจตนาเคร่ืองเวน เปน ตน

ค. สมจุ เฉทวิรัติ คอื เวนไดโ ดยเด็ดขาด เปน วิรัติของพระอริยบคุ คล ตั้งแตพระโสดาบันขึ้น
ไป คือ พระอรยิ บุคคลทกุ จําพวก มเี บญจศีลบรบิ รู ณท ีส่ ุด ทานงดเวนจากเวร ๕ ไดเด็ดขาดโดยไมตอง
สมาทานหรือคอยพะวงรักษา เพราะทานเห็นโทษของการประพฤติลวงศีล อยางแทจริงแมใครจะมา
บังคบั ใหทานประพฤติลวงเบญจศีล ทานยอมตายเสียดกี วา ท่ีจะประพฤติลว ง

แมเบญจศีลจะมีอุบายใหเกิดศีลไดตางกัน แตโดยนัยสําคัญของศีลแลวยอมตอง
ประกอบดวยเจตนาอยางเดียวกัน คือ ความงดเวน ไมลวงละเมิด ไมเบียดเบียน และรักษาเจตนาน้ัน
จงึ จะนับวาเปนการรักษาศีล ไมใชการยึดติดเพียงอุบายในการรักษาศีล แตไมไดนําศีลมาปฏิบัติอยาง
แทจ รงิ

๒.๖.๓ อานิสงสของเบญจศลี
ดวยจุดมุงหมายของเบญจศีล ที่เปนท้ังหลักการพ้ืนฐานเพื่อควบคุมความประพฤติ และ
เปนการปฏิบัติเพื่อฝกฝนตนเองใหเกิดความเจริญงอกงามยิ่งขึ้น จนถึงจุดมุงหมายสูงสุดใน
พระพุทธศาสนาจึงทําใหเบญจศีลมีอานิสงสทั้งในปจจุบัน เบื้องหนา กระทั่งประโยชนสูงสุดแกชีวิต
ของผูปฏิบัติเชน ทําใหเปนท่ีรักที่เคารพของคนท้ังหลายสามารถอยูในสังคมไดอยางสุขสงบ ไมกอเวร
กอภัยตอ ผูใด ทําใหเปน คนสงางาม มีผวิ พรรณผองใส ดงั ทีพ่ ระพทุ ธองคท รงแสดงไว ดงั นี้
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลประกอบดวยธรรม ๕ ประการ ยอมดํารงอยูในสวรรค เหมือนไดรับ
อญั เชิญไปประดษิ ฐานไว ธรรม ๕ ประการ คอื
ก. เปนผูเวนขาดจากการฆา สัตว
ข. เปนผเู วน ขาดจากการลักทรัพย
ค. เปนผูเวน ขาดจากการประพฤติผิดในกาม

๖๓ ขุ.อติ ิ.อ.(บาลี) ๗๓/๒๖๗.

๔๖

ง. เปนผูเวนขาดจากการพดู เทจ็
จ. เปนผูเวนขาดจากการเสพของมึนเมา คือ สุราและเมรัยอันเปนเหตุแหงความประมาท

๖๔

68

ในขณะเดียวกันผูที่ละเมิดศีลยอมกอใหเกิดโทษภัยในทางตรงกันขาม ดังที่พระพุทธองค
ทรงแสดงไว ดงั นี้

ภิกษทุ ัง้ หลาย บคุ คลประกอบดวยธรรม ๕ ประการ ยอมดํารงอยูในนรก เหมือนถูกนําไป
ฝง ธรรม ๕ ประการ คือ

ก. เปน ผูฆ า สัตว
ข. เปน ผลู กั ทรัพย
ค. เปนผูประพฤตผิ ดิ ในกาม
ง. เปนผูพ ูดเท็จ
จ. เปนผเู สพของมึนเมา คอื สุราและเมรยั อนั เปนเหตแุ หง ความประมาท69๖๕

รวมถึงโทษภยั ทผ่ี ูละเมดิ ศลี ยอมไดรบั ดงั ท่ีพระพทุ ธองคทรงแสดงไว ดงั น้ี
ก. บุคคลทุศีลเปนท่ีเกลียดชังแหงเพื่อนพรหมจรรย ไมเปนท่ีรักของเทวดาและมนุษย
บงั เกดิ ความเดอื ดรอน มีผิวพรรณหมน หมอง ทาํ ใหไ ทยธรรมของทายกมีผลนอย บัณฑิตไมอาจชําระผู
ทุศีลใหบ รสิ ุทธ์ิได
ข. ยอ มเส่ือมจากสมบัติท้ัง ๒ คอื สมณสมบัติและคฤหัสถสมบัติ
ค. แมวา จะปฏญิ าณตนวา เปน ภิกษุ ก็มิไดเ ปน ภกิ ษุแทจริง ยอมสะดุงอยเู ปนนติ ย
ง. ยอ มไมควรแกสังวาสดวยพรหมจารี แมจ ะเปนพหสู ตู ก็ไมควรสักการะ
จ. ยอมไมควรตรัสรูธรรมวิเศษ เปนผูไมมีความปรารถนาในปฏิบัติธรรมและปฏิเวธธรรม

๖๖

70

นอกจากนี้อาจพิจารณาถึงอานิสงคของศีลท่ีจะเกิดขึ้นกับผูรักษาศีลไดจากคําบอก
อานิสงสของศลี ที่พระสงฆบอกใหท ราบ เม่อื มีการอาราธนาศลี และสมาทานศลี ๕ แลว ดังนี้

สเี ลนะ สุคะตงิ ยันติ บคุ คลจะไปสสู ุคตไิ ดกเ็ พราะศลี
สีเลนะ โภคะสัมปะทา บคุ คลจะไดโ ภคทรัพยส มบัติไดก ็เพราะศีล
สีเลนะ นิพพตุ งิ ยันติ บคุ คลจะดับทุกข ความเดอื ดรอนจนเขา ถงึ พระนิพพานกเ็ พราะศีล
ตสั มา สลี ัง วิโสธะเย จงพากนั ทาํ ศลี ใหบ รสิ ทุ ธิ์ แลวจะมีความสุขตลอดไป71๖๗

๖๔ องฺ. ปจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๑๔๕/๒๔๒.
๖๕ อง.ฺ ปจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๑๔๕/๒๔๑-๒๔๒.
๖๖ องฺ.ปฺจก.(ไทย) ๒๒/๒๑๓/๒๒๖-๒๒๗.
๖๗ พระครอู รณุ ธรรมรงั ษี (เอย่ี ม สริ ิวณฺโณ), มนตพธิ ,ี พมิ พครั้งท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพอักษร
สมัย, ม.ป.ป.), หนา ๑๗๙.

๔๗

ซึ่งพรในความหมายนี้ เปนความหมายที่อนุโลมตามอยางภาษาไทย สวนในภาษาบาลี
เรียกวา ธรรมอันนา ปรารถนา ซึง่ จะบรรลุไดดว ยกรรมคอื การกระทาํ ที่ดอี นั เปนบุญ ดังนี้

ก. อายุ คอื พลงั ทห่ี ลอ เลีย้ งทรงชวี ติ ใหส บื ตอ อยูไ ดย าวนาน ไดแ ก อิทธิบาท ๔
ข. วรรณะ คือ ความงามเอบิ อ่มิ ผองใสนาเจริญตาเจริญใจ ไดแก ศีล
ค. สขุ ะ คือ ความสขุ ไดแก ฌาน ๔
ง. โภคะ คอื ความพรั่งพรอมดวยทรพั ยสมบัตแิ ละอุปกรณตางๆ อันอํานวยความสุขความ
สะดวกสบาย ไดแก อปั ปมญั ญา หรือพรหมวิหาร ๔
จ. พละ คือ กําลังแรงความเขมแข็งท่ีทําใหขมขจัดไดแมแตกําลังแหงมาร ทําใหสามารถ
ดําเนินชีวิตที่ดีงามปลอดโปรงเป นสุข บําเพ็ญกิจดวยบริสุทธ์ิและเต็มที่ ไมมีกิเลสหรือความทุกขใดๆ
จะสามารถบบี คั้นครอบงาํ ไดแ ก วมิ ุตติ ความหลุดพน หมดสิ้นอาสวะหรืออรหันตผล72๖๘
ฉะน้ัน ผูที่มีความเกรงกลัวตอบาปภัย และปรารถนาความเจริญงอกงามแกชีวิตของ
ตนเองจึงพึงรักษาเบญจศีล เพราะเบญจศีลยอมกอใหเกิดประโยชนท้ังในปจจุบัน เบ้ืองหนา และ
ประโยชนสูงสุดแกชีวิต รวมถึงเบญจศีลยอมกอใหเกิดประโยชนแกสังคมสวนรวม ที่ยอมมีความสงบ
เรยี บรอ ยไปดวย

๒.๗ ความรเู กี่ยวกับหลกั อุโบสถศีล

การรกั ษาอุโบสถศีลนัน้ จดั เปนคณุ ธรรมท่ีสาํ คญั ในการฝก ฝนอบรมตนใหเกิดสมาธิ ปญญา
คือขอศีลที่กําหนดรักษาเปนพิเศษเฉพาะคราวของคฤหัสถเพื่อฝกควบคุมกายและวาจาใหประณีตข้ึน
ไป เปนอุบายขัดเกลากิเลสอยางหยาบใหเบาบางและเปนทางแหงความสงบระงับอันเปนความสุข
อยางสูงในพระพุทธศาสนา อุโบสถศีลนี้ เปนหลักความประพฤติที่นักปราชญในสมัยกอน เปนวงศ
ปฏบิ ตั ขิ องโบราณบัณฑิต เชน ดาบสโพธิสัตว แมสัตวท้ังหลายในยุคสมัยกอนๆ เปนตน ทานเหลานั้น
ไดเขาจําอโุ บสถเพอ่ื ขม กิเลสราคะ รกั ษาสืบเน่ืองกันมาจนเปนวงศประเพณีปฏิบัติท่ีแพรหลาย ซึ่งเปน
เหตใุ หเ กดิ ประโยชนคือความสงบแหงจิตใจ และเปนทางแหงความสงบระงับอันเปนความสุขอยางสูง
ในพระพทุ ธศาสนา เกิดปญ ญามองเห็นวธิ แี กไ ขปญหาทถี่ กู ตองได ซึง่ มีรายละเอียด ดงั น้ี

๒.๗.๑ ความเปนมาของอุโบสถศลี
วันอโุ บสถน้ัน นักปราชญผูรู สันนิษฐานวามีมากอนสมัยพุทธกาล ในเรื่องน้ีมีเร่ืองปรากฏ
จากการทําพิธีกรรมของพวกพราหมณในสมัยพระเวทในชมพูทวีปประเทศอินเดีย ท่ีเรียกวายัญพิธี
หรือพิธีบูชายัญ ซ่ึงพวกพราหมณไดกําหนดวันประกอบพิธีน้ีขึ้นมา เพื่อเปนการชุมชนรวมกันเพ่ือ
แสดงออกถงึ ความเปนอันหน่งึ อันเดยี วกนั ในวันนีเ้ จาของเรือนท้ังหลายผูจะประกอบพิธี จะตองมีการ
เตรียมตัวลวงหนาดวยการอดอาหารตลอดท้ังวันหรืองดอาหารบางชนิดในบางเวลา เม่ือถึงเวลา
กลางคนื เจา ของเรือนจะตอ งรกั ษาตวั อยูแตภ ายในบานและปฏิบตั ดิ ูแลกองไฟบูชายัญ พวกเขาเช่ือกัน
วาในวันนน้ี ัน้ เทวดาทั้งหลายจะลงมาอยูดวย สําหรับวันท่ีพวกพราหมณไดกําหนดไวในการประกอบ

๖๘ พระธรรมปฎ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม, หนา ๑๖๙.

๔๘
พธิ บี ูชาไฟนน้ั ไดกําหนดไว ๑ เดอื น กําหนดการปฏิบัติ ๒ วัน คือในวันเพ็ญที่มี่พระจันทรเต็มดวง คือ
วันเพ็ญ ๑๕ ค่ํา และในวันแรกที่เห็นดวงจันทร คือวันข้ึน ๑ คํ่า ของเดือนใหม การปฏิบัติพิธีกรรมนี้
ของพวกพราหมณไดกลายเปนการจําศีลดวยการอดอาหาร แลวกลายมาเปนวันอุโบสถของอุบาสก
อุบาสกิ าในพระพุทธศาสนา

ในพระวินัยปฏก มหาวรรค อุโบสถขันธกะ ไดกลาววา สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา
ประทบั อยู ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห พวกปริชาชกอัญเดียรถีย73๖๙ ประชุมกันกลาวธรรม ใน
วัน ๑๔ ค่ํา ๑๕ ค่ํา และ ๘ ค่ํา แหงปกษ ประชาชนท้ังหลายพากันเขาไปหาเพ่ือฟงธรรม พวกปริชา
ชกอัญเดียรถียก็ไดรับความรักความเล่ือมใสและไดพรรคพวก พระเจาพิมพิสารไดทรงทราบเร่ืองน้ี
ทรงดําริวา ถาพระสงฆสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจาทําการประชุมแสดงธรรมอยางน้ีบาง ยอมเกิด
ผลดแี กพ ระพทุ ธศาสนาแนแท จึงไดเ สด็จไปเฝาพระสัมมาสัมพุทธเจา ณ ท่ีประทับ กราบทูลเร่ืองน้ีให
ทรงทราบ พระสัมมาสัมพุทธเจาจึงตรัสเรียกภิกษุท้ังหลายมาแลวรับส่ังกับภิกษุท้ังหลายวา “ภิกษุ
ท้ังหลาย เราอนุญาตใหประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ํา ๑๕ ค่ํา และ ๘ คํ่า แหงปกษ” ภิกษุทั้งหลายจึงมา
ประชุมกนั ในวนั ๑๔ ค่าํ ๑๕ ค่ํา และ ๘ คํ่า แหงปกษ แลวน่งั นง่ิ ไมไ ดแสดงธรรม ประชาชนเขาไปหา
ภิกษุเหลาน้ันเพ่ือฟงธรรม ไมไดฟงธรรม จึงพากัน ตําหนิ โพนทะนาวา “ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระ
ศากบุตรทั้งหลายประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ํา ๑๕ คํ่า และ ๘ คํ่า แหงปกษแลว จึงน่ังน่ิงเหมือนสุกรใบ
เลา74๗๐ ธรรมดาวาผูประชุมกันก็ควรกลาวธรรมมิใชหรือ” พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงทราบเรื่อง จึง
รับส่ังกับภิกษุท้ังหลายวา “ภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตใหประชุมกันกลาวธรรมในวัน ๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า
และ ๘ คํา่ แหงปกษ” ภกิ ษทุ ้งั หลายจงึ ไดแสดงธรรมใหประชาชนฟง ประชาชนตางพออกพอใจแลวก็
หันมานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา จึงกลายเปนธรรมเนียมถือปฏิบัติกันวาตองมาฟงธรรมทุกวันขึ้น ๑๔ คํ่า
๑๕ ค่ํา และ ๘ ค่ํา แหงปกษ75๗๑ ดังน้ันวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทรงกําหนดใหภิกษุประชุม
กันในวันขึ้น ๑๔ คํ่า ๑๕ ค่ํา และ ๘ ค่ํา น้ี เรียกวา “วันอุโบสถ” ในวันน้ีทรงอนุญาตใหภิกษุสวดพระ
ปาตโิ มกข และแสดงธรรมเทศนาดวย ทําใหมีประชาชนผูสนใจมาฟงพระธรรมเทศนาจํานวนมาก วัน
อุโบสถน้ี จึงมีช่อื เรยี กอีกอยางหนึ่งวา “วันธัมมัสสวนะ” แปลวา วันสําหรับฟงธรรมเทศนา หรือเรียก
ตามภาษาชาวบานวา “วันพระ” แปลวา วันดี วนั ประเสรฐิ ซ่งึ หมายถึงวันท่ีจะฝกตนใหเปนคนดีเปน
ผูประเสริฐ แตคําวา “วันพระ” ไมปรากฏในคัมภีรพระพุทธศาสนาหรือพระไตรปฏกและอรรถกถา
เลมใด แตมีปรากฏในหนังสือ “ไตรภูมิพระรวง” ซึ่งถือวาเปนวรรณคดีไทยเร่ืองแรก ท่ีพระเจาลิไท
กษัตริยรัชกาลท่ี ๕ แหงกรุงสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธขึ้น มีคําวาวันพระปรากฏอยูหลายแหง และ
บางคร้ังวันพระน้ันก็เรียกวา “วันศีล” มีท้ังวันศีลใหญ วันศีลเล็ก ซึ่งก็คือวันพระใหญและวันพระเล็ก
นั่นเอง วนั พระใหญ ไดแ ก วนั ๑๔ คา่ํ (วันเดือนขาด) และวัน ๑๕ ค่ํา สวนวันพระเล็กไดแกวัน ๘ คํ่า
และสมยั พอขนุ รามคาํ แหงมหาราช กท็ รงเรยี ก วันธมั มัสสวนะวา “วันพระ” เชนกัน คือวันดี หมายถึง
วนั ทคี่ นมาทําสง่ิ ท่ีดีๆ และถือศลี อุโบสถกนั ดว ย

๖๙ ว.ิ อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๑๐๕.
๗๐ วิ.มหา.อ. (บาลี) ๓/๑๓๒/๑๐๕.
๗๑ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓๒/๒๐๗-๒๐๙.

๔๙

จากขอมูลขางตน พอสรุปไดวา วันอุโบสถในพระพุทธศาสนา มีจุดกําเนิดกอนสมัยพระ
พทุ ธกาลของพวกพราหมณใ นสมัยพระเวท เมื่อมาถึงสมยั พระพุทธเจา พวกเดียรถียไดประชุมกันเพ่ือ
สนทนาธรรมกัน ในวัน ๑๔ คํ่า ๑๕ ค่ํา และ ๘ ค่ํา แหงปกษ ประชาชนพากันเขาไปหาเพ่ือฟงธรรม
พระเจาพิมพิสารไดทรงทราบเรื่องน้ัน ทรงพระดําริวา แมพระภิกษุสงฆก็สมควรจะประชุมกันในวัน
เชนนั้นบาง ยอมเกิดผลดีแกพระพุทธศาสนา พระองคจึงเสด็จไปเฝาพระสัมมาสัมพุทธเจา กราบทูล
เร่ืองนี้ใหทรงทราบ พระพุทธองคจึงรับสั่งกับภิกษุท้ังหลาย และทรงอนุญาตใหมีวันอุโบสถศีลขึ้น
พระภิกษุสงฆจ งึ ปฏิบัติตามพระพทุ ธดํารสั ทีต่ รสั อนุญาตนับแตนั้นมา

๒.๗.๒ ความหมายของอโุ บสถศีล
อุโบสถศีลไดมีนักวิชาการหรือนักปราชญในทางพระพุทธศาสนากลาวไว โดยผูวิจัยจะขอ
ยกมาพอสงั เขปดังนี้
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมหลวงวชิรญาณวโรรส76๗๒ กลาวไววา ศีล ๘ ประการ คือ
เวนจากฆา สตั ว ๑ เวนจากลกั ทรัพย ๑ เวนจากกรรมไมใชพรหมจรรย ๑ เวนจากกลาวเท็จ ๑ เวน
จากด่ืมสุราเมรัย ๑ เวนจากกินอาหารในเวลาวิกาล ๑ คือตั้งแตอาทิตยเที่ยงแลวไปจนถึงเวลาอรุณ
ขึ้นใหม ๑ เวนจากฟอนรําขับรองและประโคมเครื่องประโคมดวยตนเอง และดูการเลนเชนนั้น และ
ตกแตงประดับการดวยดอกไมของหอม เครื่องยอมทากายใหมีผิวงามและเครื่องประดับ ๑ เวนจาก
นั่งนอนบนเตียงต่ังมีเทาสูงกวาประมาณและเบาะฟูก ภายในมีนุนสําลีและเครื่องลาดวิจิตรดวยทอง
เงิน ๑ เรียกวา อุโบสถศีล เปนศีลวิเศษอันอุบาสก อุบาสิกาจะพึงเขาพักอยูในกาลเปนคร้ังคราว คือ
วนั ท่ี ๑๔ คาํ่ หรือวนั ที่ ๑๕ คาํ่ และวันที่ ๘ ค่าํ เพ่อื ประโยชนแ กค วามสงดั กายและจติ เปน ครั้งคราว
ธนติ อยูโ พธ์ิ77๗๓ ไดส รุปความหมายของคําวา อุโบสถ วา “อุโบสถ คือ การเขาอยู การอยู
รักษา การอยูจํา คือ อยูดวยการกําหนดใจไว อยูดวยการเตรียมเนื้อเตรียมตัวโดยมีความต้ังใจอยู
รกั ษา หมายถึงอยูจําศีล โดยมกี ารอดอาหารในเวลาวิกาลเปน หลักสาํ คัญ”
แกว ชิดตะขบ78๗๔ ไดส รุปความหมายของอุโบสถวา อุโบสถ แปลวา การอยูจํา การเขาจํา
หมายถึงการรักษาศีล ๘ และบําเพ็ญขอปฏิบัติอยางอ่ืนที่สมควรมีฟงพระธรรมเทศนาเปนตนของ
คฤหสั ถอ ันมลี กั ษณะเปน การอยจู ําคอื หยดุ ประกอบกิจการงานของฆราวาสผูครองเรือน เชน หยุดการ
ทํานาทาํ ไรเ ปนตน ไวชั่วคราวเพื่อบาํ เพ็ญกุศลทาํ ความดีพเิ ศษตามหลักพระศาสนาในกาลท่ีกําหนด คือ
วนั ขึน้ และแรม ๘ ค่าํ วนั ข้นึ และแรม ๑๕ คํ่า (หรอื แรม ๑๔ คา่ํ )

๗๒ สุเชาวน พลอยชุม, สารานุกรมพระพุทธศาสนา ประมวลจากพระนิพนธ สมเด็จพระมหาสมณ
เจากรมพระยาวชริ ญาณวโรรส, (กรงุ เทพมหานคร: มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๒๙), หนา ๘๗.

๗๓ ธนติ อยโู พธิ์, อานิสงสอุโบสถศีล, พมิ พครง้ั ที่ ๔ (กรงุ เทพมหานคร: ศวิ พรการพิมพ, ๒๘๓๗), หนา
๓๕.

๗๔ แกว ชิดตะขบ, คูมือพุทธศาสนิกชน, พิมพครั้งท่ี ๔ (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพสํานักงาน
พระพุทธศาสนาแหงชาติ, ๒๕๕๔), หนา ๑๘๒.

๕๐

อโุ บสถศีลตามความหมายของนักปราชญ พอสรุปไดวา เปนศีล ๘ ประการ ท่ีอุบาสกและ
อุบาสิกา สมาทานรักษาเขาอยูจําในวันพระ ดวยการกําหนดใจไว ละเวนกิเลสทั้งปวง บําเพ็ญกุศลท่ี
เกดิ ประโยชนแกความสงบระงบั อันเปนความสขุ อยา งสูงในพระพุทธศาสนา

๒.๗.๓ ประเภทของอุโบสถศลี
๑. อุโบสถศีลตามวันท่ีกําหนดรักษา อุโบสถศีลที่จัดตามวันกําหนดเวลาท่ีรักษา มี ๓
ประเภท มีรายละเอียด ดงั น้ี

๑) ปกตอิ โุ บสถ ไดแก การอยูรักษาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนตามวันท่ีไดถูกกําหนดไวใน
แตละสมัย คือสมัยพระเวท มีการรักษาอุโบสถเดือนละ ๒ วัน ไดแก วันข้ึน ๑ ค่ํา และวันข้ึน ๑๕ คํ่า
สมัยกอนพุทธกาลเดือนละ ๖ วัน คือ วันขึ้น ๘ คํ่า ข้ึน ๑๑ ค่ํา ขึ้น ๑๑ คํ่า แรม ๘ ค่ํา แรม ๑๑ ค่ํา
แรม ๑๔ ค่ํา แรม ๑๕ คํ่า สมัยพุทธกาลเดือนละ ๖ วัน คือวันขึ้น ๘ คํ่า ขึ้น ๑๔ คํ่า ข้ึน ๑๕ คํ่า และ
แรม ๑๔ ค่ํา แรม ๑๕ คาํ่ หลงั จากพระพทุ ธเจาปรินิพพานแลว ไดม ีการกาํ หนดใหมีวันอุโบสถเพ่ิมขึ้น
เปนเดือนละ ๘ วัน คอื ขางขึน้ ๔ วัน ไดแ กวันขึ้น ๕ คํ่า ขึ้น ๘ คาํ่ ขึ้น ๑๔ คํ่า ขางแรม ๔ วัน คือ วัน
แรม ๕ คํ่า แรม ๘ คํา่ แรม ๑๔ ค่าํ และแรม ๑๕ คํา่ ปจจบุ ันในประเทศไทยมกี ารกาํ หนดวันประชุม
ถือศีลฟงธรรมหรือที่เรียกวาวันพระไวเดือนละ ๔ วัน คือ วันข้ึน ๘ คํ่า ขึ้น ๑๕ คํ่า แรม ๘ ค่ํา และ
แรม ๑๕ ค่ํา หรือแรม ๑๔ คํ่า ในกรณีที่เดือนขาด โดยผูท่ีประสงคจะรักษาอุโบสถประเภทนี้จะ
เร่ิมตนรักษาต้ังแตเวลาเชาของวันพระไปจนกระทั่งถึงอรุณในวันใหม จึงกลาวคําลาพระรัตนตรัยซึ่ง
ถอื วา เปนอันสิน้ สุดกําหนดการรักษาอโุ บสถในวันพระนนั้

๒) ปฏิชาครอุโบสถ คือ อุโบสถของผูตื่นอยู (คือผูกระตือรือรนขวนขวายในกุศล
ธรรม ไมห ลบั ไหลดว ยความประมาท) ไดแ กอโุ บสถทรี่ ักษาครั้งหนึ่งๆ ถึง ๓ วัน คือรักษาในวันอุโบสถ
ตามปกติ พรอมทั้งวนั หนาและวนั หลงั ของวนั รักษานั้น ซ่ึงเรียกวาวันรับและวันสงดวย เชน อุโบสถท่ี
รักษาในวัน ๘ ค่ํา มีวนั ๗ คํา่ เปน วันรบั วัน ๙ คํา่ เปน วันสง

๓) ปาฏหิ ารกิ ปกขอุโบสถ หรอื ปาฏิหารยิ ปกขอุโบสถ คือ อุโบสถที่รักษาตลอดปกษ
ของเดือน โดยกําหนดเปน พิเศษประจําป เร่อื งนี้พระอรรถกถาจารยไดอธิบายไวตา งๆ กันดังน้ี

ในอุตตราวิมานวัตถุ ตอนแกวอุตตราวิมาน อธิบายปกขอุโบสถไววา ไดแก ปกษที่นําเขา
ใกล คอื ปกษท่ีชาํ ระอโุ บสถศลี ใหสะอาด ดวยสามารถรับและการสงวัน (ปกติอุโบสถ) ๑๔ ค่ํา วัน ๑๕
คา่ํ และวนั ๘ ค่ํา ท้งั ขางตนและขางปลายตามลําดับ หมายถึงในวัน ๑๓ ค่ํา และแรม ๑ คํ่า (เปนวัน
รับและวันสงของปกติอุโบสถ ๑๔ ค่ํา และ ๑๕ คํ่า) กับวัน ๗ คํ่า และ ๙ ค่ํา (วันรับและวันสงของ
ปกติอุโบสถ ๘ คาํ่ )79๗๕

กลา วโดยสรปุ อโุ บสถศลี ซ่งึ จัดตามกําหนดวันและเวลาที่รักษา มี ๓ ประเภทคือ ๑) ปกติ
อุโบสถ หรืออโุ บสถตามปกติ ๒) ปฏชิ าครอโุ บสถ หรืออุโบสถของผูตืน่ อยู ๓) ปาฏิหาริยอุโบสถ หรือ

๗๕ ขุ.ว.ิ (ไทย) ๒๖/๑๒๙/๒๒.

๕๑

อุโบสถท่กี าํ หนดรกั ษาพิเศษ คืออุโบสถศลี ทรี่ ักษาตลอดปาฏิหาริยปก ษ เพ่ือใหถูกกับอัธยาศัยตอผูที่มี
ความประสงคตองการเขาอยจู าํ เพราะผสู มาทานยอ มมีความแตกตางกนั หรือตามความนยิ ม

๒. อโุ บสถศลี ตามลักษณะที่ประพฤติสมาทาน อุโบสถศีลท่ีจัดตามลักษณะพฤติกรรมของ
ผรู กั ษาอุโบสถศีลประเภทนี้ มี ๓ ประเภท มีรายละเอยี ด ดังน้ี

๑) โคปาลกอุโบสถ แปลวา การอยูรักษาอุโบสถแบบคนเล้ียงโค หมายถึงผูอยูรักษาจะ
รกั ษาอุโบสถศลี ไดอ ยา งครบถวนทุกขอ แตในขณะท่รี ักษาอยูนน้ั มักจะคดิ วางแผนเก่ียวกับการบริโภค
อาหารวา เมือ่ การรกั ษาอโุ บสถศีลส้ินสุดลงในวันพรุงนี้ เราจะแกง จะผัด จะกินผลไม ชนิดนั้น ชนิดน้ี
เปนตน ซึ่งถือวาเปนเรื่องท่ีคนรักษาอุโบสถไมควรคิด ไมควรพูดในขณะน้ัน เรื่องนี้พระพุทธเจาตรัส
แกนางวิสาขาท่ีปราสาทของนางในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี ท่ีพระองคทรงตรัสถึงลักษณะของโค
ปาลอุโบสถ ดงั ความวา

“โคปาลอุโบสถ คือ คนเลี้ยงโคในตอนเย็นมอบโคใหเจาของยอมเห็นประจักษอยางน้ีวา
วันน้ีโคท้ังหลายเที่ยวไปในที่โนนๆ ดื่มนํ้าในแหลงโนนๆ พรุงนี้ ในตอนนี้ โคทั้งหลายจักเท่ียวไปในท่ี
โนนๆ จักดื่มนํ้าในแหลงโนนๆ ฉันใด คนที่รักษาอุโบสถบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คิดอยางนี้
วา “วันนี้ เราเองเค้ียวกินของเค้ียวชนิดๆ บริโภคของกินชนิดนี้ๆ พรุงนี้ ในตอนนี้ เราจักเค้ียวกินของ
เคี้ยวชนิดน้ีๆ จักบริโภคของกินชนิดน้ีๆ” บุคคลน้ันมีใจประกอบดวยอภิชฌายอมใหวันเวลาผานไป
ดว ยโลภะนน้ั ” วิสาขา โคปาลอโุ บสถเปนอยางน้แี ล โคปาลอุโบสถท่ีบุคคลรักษาอยางนี้แลยอมไมมีผล
มาก ไมมอี านิสงสม าก ไมมคี วามรงุ เรืองมาก ไมแ ผไ พศาลมาก80๗๖

๒) นิคคัณฐอโุ บสถ แปลวา อุโบสถแบบพวกนคิ รนถ หมายถงึ การอยูรักษาอุโบสถดวยการ
เลือกงดเวนในสง่ิ ทีพ่ อใจ เชน ตัง้ ใจจะงดเวนการพูดเท็จ เฉพาะบางเรื่องกับบางคน งดเวนจากการฆา
สตั วเ ฉพาะในบางทศิ หรอื บางชนดิ เปนตน ในเรื่องของนิคณั ฐอโุ บสถนี้ พระพทุ ธองคตรัสลักษณะของ
นิคัณฐอโุ บสถไววา

“นิคณั ฐอุโบสถ คือ มีสมณะนิกายหนึ่งนามวานิครนถ นิครนถเหลานั้นชักชวนสาวกอยาง
นี้วา “มาเถิด พอคณุ ทานจงลงอาญาในหมูส ตั วท ี่อยูท างทิศตะวันออกเลยรอยโยชนไป จงลงอาญาใน
หมสู ัตวท่ีอยูทางทิศตะวันตกเลยรอ ยโยชนไ ป จงลงอาญาในหมูสัตวท่ีอยูทางทิศเหนือเลยรอยโยชนไป
จงลงอาญาในหมูสัตวท่ีอยูทางทิศใตเลยรอยโยชนไป” นิครนถเหลาน้ันชักชวนเพ่ือเอ็นดูอนุเคราะห
สัตวบางเหลาไมช กั ชวนเพื่อเอ็นดูอนุเคราะหสัตวบางเหลาดวยประการฉะน้ี นิครนถเหลานั้นชักชวน
สาวกอยางนี้ในวันอุโบสถวันน้ันวา “มาเถิด พอคุณ ทานจงท้ิงผาทุกช้ิน แลวกลาวอยางน้ีวา “เราไม
เปน ท่ีกงั วลของใครๆ ในท่ีไหนๆ และตัวเราก็ไมมีความกังวลในบุคคลและสิ่งของใดๆ ในท่ีไหนๆ” แต
บิดาและมารดาของเขารูอยูวา “ผูนี้เปนบุตรของเรา” แมเขาก็รูวา “ทานเหลานี้เปนบิดาและมารดา
ของเรา” อน่งึ บุตรและภรรยาของเขาก็รูวา “ผนู ี้เปนสามีของเรา” แมตัวเขาก็รูวา “ผูนี้เปนบุตรและ
ภรรยาของเรา” พวกทาสคนงาน และคนรับใชใกลชิดก็รูวา “ผูน้ีเปนนายของพวกเรา” แมเขาก็รูวา

๗๖ องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๗๙ – ๒๘๐.

๕๒

“คนเหลาน้ีเปนทาส คนงาน และคนรับใชใกลชิดของเรา” นิครนถเหลานั้นชักชวนในการพูดเท็จใน
เวลาท่ีควรชักชวนในการพดู คําสัตยด ว ยประการฉะนี้ เรากลาวถึงกรรมน้ีของผูนั้นวาเปนมุสาวาท พอ
ลวงราตรีนั้นไป เขาบริโภคโภคะเหลาน้ันท่ีเจาของไมไดให เรากลาวถึงกรรมนี้ของผูน้ันวาเปน
อทนิ นาทาน วิสาขา นิคัณฐอุโบสถเปนอยางน้ีแล นิคัณฐอุโบสถที่บุคคลรักษาอยางนี้แลยอมไมมีผล
มาก ไมมอี านิสงสม าก ไมม ีความรุงเรืองมาก ไมแผไ พศาลมาก

๓) อริยอุโบสถ แปลวา อุโบสถแบบอริยะ เปนอุโบสถที่พระพุทธเจาทรงกําหนดข้ึนเปน
พระพทุ ธบญั ญัติ ผรู ักษาสามารถรกั ษาองคอุโบสถไดอยางครบถวนสมบูรณ โดยในระหวางการรักษา
ไดประกอบกิจกรรมท่ีเปนกุศล เชน ฟงธรรม สนทนาธรรมหรือปฏิบัติกรรมฐาน จิตยอมผองใส เกิด
ความปราโมทย “ละเคร่อื งเศราหมองแหงจิต”81๗๗ ตามสมควรแกความสามารถและโอกาสที่มีปฏิบัติ
ตามแนวทางพระอรหันตท้ังหลายถือปฏิบัติดวยองคประกอบ ๘ ประการ ดังท่ีพระองคทรงตรัสถึง
อรยิ สาวกในธรรมวินัย ดังน้ีวา

๑. พระอรหันตท้ังหลายงดเวนจากการฆาสัตว คือวางทัณฑาวุธ และศัสตราวุธ มีความ
ละอาย มีความเอ็นดู มุงประโยชนเก้ือกูลตอสรรพสัตวอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากการฆา
สัตว คือวางทณั ฑาวธุ และศสั ตราวธุ มีความละอาย มีความเอน็ ดู มงุ ประโยชนเ กื้อกูลตอสรรพสัตวอยู
ตลอดวันหนงึ่ และคนื หน่ึงน้ีในวันน้ี เพราะองคแมน ีเ้ ราชือ่ วา ทําตามพระอรหนั ตและรักษาอโุ บสถ

๒. พระอรหันตท้ังหลายละเวนขาดจากการลักทรัพย คือรับเอาแตของท่ีเขาให มุงหวังแต
ของท่ีเขาให ไมเปนขโมย เปนสะอาดอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากการลักทรัพย ถือเอาแต
ของท่ีเขาให มงุ หวังแตของท่เี ขาให ไมเปนขโมย เปน คนสะอาด อยูตลอดวันหน่ึงและคืนหน่ึงน้ีในวันนี้
เพราะองคแมน เ้ี ราชอื่ วาทาํ ตามพระอรหันตแ ละรักษาอุโบสถ

๓. พระอรหันตท้ังหลายละพฤติกรรมอันเปนขาศึกตอพรหมจรรย คือประพฤติ
พรหมจรรย เวนหางไกลจากเมถุนธรรมอันเปนกิจของชาวบานอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละพฤติกรรม
อนั เปนขาศึกแกพรหมจรรย ประพฤติพรหมจรรย เวนหางไกลจากเมถุนธรรมอันเปนกิจของชาวบาน
อยตู ลอดวันหนึง่ และคืนหน่ึงนี้ในวันน้ี เพราะองคแมน ีเ้ ราชอื่ วาทําตามพระอรหันตและรักษาอโุ บสถ

๔. พระอรหันตทั้งหลายละเวนขาดจากการพูดเท็จ คือพูดแตคําสัตย ดํารงความสัตย มี
ถอ ยคําเปน หลกั นา เชอื่ ถือ ไมหลอกลวงชาวโลกอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากการพูดเท็จคือ
พูดแตคําสัตยดํารงความสัตยมีถอยคําเปนหลัก นาเชื่อถือ ไมหลอกลวงชาวโลกอยูตลอดวันหนึ่งและ
คนื หนึง่ น้ีในวันน้ี เพราะองคน แ้ี มเราช่อื วาทําตามพระอรหันตและรกั ษาอุโบสถ

๕. พระอรหันตทั้งหลายละเวนขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย อันเปนเหตุ
แหงความประมาทอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเปน
เหตุแหงความประมาทอยูตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งน้ีในวันนี้ เพราะองคแมน้ีเราช่ือวาทําตามพระ
อรหนั ตและรักษาอโุ บสถ

๗๗ อง.ฺ ติก.อ. ๒/๗๑/๒๑๗.

๕๓

๖. พระอรหันตท้ังหลายฉันมื้อเดียว ไมฉันตอนกลางคืน เวนขาอจากการฉันอาหารใน
เวลาวิกาลอยูตลอดชีวิต แมเราก็บริโภคมื้อเดียว ไมบริโภคตอนกลางคืนเวนขาดจากการบริโภค
อาหารในเวลาวิกาลอยตู ลอดวนั หนงึ่ และคืนหนง่ึ นใี้ นวันนี้ เพราะองคแมน ้เี ราชื่อวาทําตามพระอรหันต
และรกั ษาอุโบสถ

๗. พระอรหันตท้ังหลายเวนขาดจากการฟอนรํา ขับรอง ประโคมดนตรี การดูการละเลน
อันเปน ขา ศึกแกกุศล และจากการทดั ทรงประดับตกแตงรางกายดวยพวงดอกไม ของหอม และเครื่อง
ประทินผิวอันเปนลักษณะแหงการแตงตัวอยูตลอดชีวิต แมเราก็เวนขาดจากการฟอนรํา ขับรอง
ประโคมดนตรี การดูการละเลนอันเปนขาศึกแกกุศล และจากการทัดทรงประดับตกแตงรางกายดวย
พวงดอกไม ของหอมและเครือ่ งประทินผวิ อนั เปนลกั ษณะแหงการแตงตัวอยูตลอดวันหน่ึงและคืนหนึ่ง
นี้ในวันนี้ เพราะองคแมน ีเ้ ราชือ่ วาทาํ ตามพระอรหันตและรักษาอโุ บสถ

๘. พระอรหนั ตท ้ังหลายละเวนขาดจากที่นอนสูงและท่ีนอนใหญ นอนบนที่นอนตํ่าคือบน
เตียงหรือบนที่นอนท่ีปูลาดดวยหญาอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละเวนขาดจากที่นอนสูงและที่นอนใหญ
นอนบนที่นอนต่ํา คือบนเตียงหรือบนท่ีนอนท่ีปูลาดดวยหญาอยูตลอดวันหนึ่งและคืนหน่ึงนี้ในวันนี้
เพราะองคแมน เ้ี ราชอ่ื วา ทําตามพระอรหันตแ ละรักษาอโุ บสถ82๗๘

จากนัยดังกลาวขางตน พอสรุปไดวาในการสมาทานรักษาอุโบสถศีล อัธยาศัยของผู
สมาทานยอ มมีความแตกตางกันไปและทําใหไดผลไมเหมือนกัน ดังนั้น อุโบสถศีลจึงแบงตามลักษณะ
อัธยาศัยท่ีประพฤติสมาทานของบุคคลที่ดี เลว และประณีตตางกัน มี ๓ ลักษณะคือ ๑) โคปาลก
อุโบสถ คืออุโบสถที่อุบาสกอุบาสิกาสมาทานแลวไมประพฤติจริงจัง ๒) นิคัณฐอุโบสถ คืออุโบสถท่ี
รกั ษาตามใจชอบของตน ๓) อริยอุโบสถ คืออุโบสถท่ีอุบาสกอุบาสิการักษาอยางประเสริฐพิเศษดวย
ขอปฏบิ ัติ ต้งั ใจประกอบกุศลกรรมเพอื่ ชําระจิตของตนใหส ะอาดปราศจากกิเลสเครื่องเศราหมอง

๒.๗.๔ องคประกอบของอุโบสถศีล
ในการรกั ษาอุโบสถศีล ทานวางหลักเกณฑองคประกอบไว ในท่ีน้ีหมายถึงสิกขาบทหนึ่งๆ
สําหรับเปนขอกําหนดใหศึกษาปฏิบัติรักษา โดยเจตนาละเวนจากขอหามแตละขอของศีล อุโบสถศีล
ประกอบดว ยองคธ รรม ๘ สิกขาบท ซ่ึงเรยี กวา อัฏฐงั คกิ อุโบสถ ตามคาํ สมาทาน ดงั น้ี
๑) ปาณาติปาตา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางด
เวน จากการผลาญชวี ติ สัตวใหตกตายไป
๒) อทินฺนาทานา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางด
เวนจาการถือเอาของทีเ่ ขาไมไดใ ห
๓) อพฺรหฺมจริยา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมทานสิกขาบทคือเจตนางด
เวนจากการประพฤตผิ ดิ พรหมจรรย

๗๘ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๘๖ – ๒๘๗.

๕๔

๔) มุสาวาทา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางดเวน
จากการพดู เท็จ

๕) สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏฐานา เวรมณสี ิกขฺ าปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท
คอื เจตนางดเวน จากนาํ้ เมาคอื สุราและเมรยั อนั เปนท่ีต้งั แหงความประมาท

๖) วิกาลโภชนา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางด
เวน จากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล

๗) นจจฺ คตี วาทิตวิสูกทสสฺ นา มาลาคนฺธวิเลปรธารณมณฺฑนวิภูสนฏฐานา เวรมณีสิกฺขาปทํ
สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือเจตนางดเวนจากการฟอนรํา ขับรอง ประโคมเครื่อง
ดนตรีตางๆ และดูการละเลนอันเปนขาศึกแกกุศลตลอดถึงการลูบทา ทัดทรง ประดับตกแตงรางกาย
ดว ยดอกไมแ ละของหอมเครื่องบํารุงผิวอันเปนท่ตี ั้งแหง ความกาํ หนัด

๘) อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทคือ
เจตนางดเวนจากการน่ังนอนบนทีน่ อนอนั สงู ใหญ

สรปุ ไดวา อุโบสถศลี ประกอบดวยขอ ปฏบิ ัติ ๘ ประการ คอื ๑) ไมฆา สตั วแ ละไมใชใหผูอื่น
ฆา ๒) ไมลักเองและไมใชใหผูอื่นลักสิ่งของที่เจาของไมไดให ๓) ไมเสพเมถุน ไมรวมประเวณี ไมรวม
เพศกบั ใครๆ ทางทวารใดๆ ๔) ไมพ ูดปด ๕) ไมดื่มสุราเมรัย ๖) ไมกินอาหารในเวลาบายและกลางคืน
หรือหลังเที่ยงวัน ๗) ไมแสดงการรื่นเริงและแตงตัว ไมสนใจสิ่งบันเทิงเริงโลกีย ๘) ไมนอนบนที่นอน
สูงและท่นี อนใหญ

๒.๗.๕ ขอบขา ยการลว งละเมิดองคประกอบของอุโบสถศลี
ในการรักษาอุโบสถศีล ๘ สิกขาบท หรือ ๘ ขอนี้ ทานวางหลักเกณฑไวสําหรับพิจารณา
ตัดสินในการรักษาศีล การที่อุโบสถศีลแตละสิกขาบทจะขาดน้ันทานกําหนดเจตนาในการลวงละเมิด
ไว ๒ ทาง คือ ทางกาย และทางวาจา ถาทําพรอมดวยเจตนาจึงจะขาดจากองคศีล ถาไมพรอมดวย
เจตนา ก็ไมขาด อุโบสถศีลแตละขอน้ันตองประกอบดวยองคหรือสวนประกอบ ซ่ึงทานเรียกวา
“สมั ภาระ” ของแตละขอ มดี งั ตอ ไปน้ี
๑) ปาณาติบาต เวรมณี เวนจากการทําสัตวมีชีวิตใหตกลวงไป (คือฆาสัตว) หมายถึงเวน
จาการฆาสัตว สัตวใ นทีน่ ีห้ มายถงึ เอาทง้ั มนุษยและสัตวดิรัจฉานท่ียังมีชีวิตอยูทุกเพศทุกชนิด หรือยัง
อยใู นครรภท ุกประเภทไมมีกาํ หนด โดยมหี ลกั วนิ ิจฉัยประกอบดว ยองค ๕ ขอ คอื
๑. ปาโณ สตั วนัน้ มชี วี ติ อยู
๒. ปาณสฺญติ า (ผูฆา ) รวู าสัตวน้ันมีชวี ิต
๓. วธกจติ ฺตํ มีความตัง้ ใจจะฆา
๔. อปุ กกฺ โม กระทาํ ความพยายาม
๕. เตน มรณํ สัตวม ชี ีวติ ตายลงดวยการกระทาํ นนั้
ศีลขอ ๑ นี้ หมายถงึ เวน จาการฆา สัตว สตั วในท่ีน้ีหมายถึงเอาทั้งมนุษยและสัตวดิรัจฉาน
ทีย่ ังมชี ีวติ อยู หรือยังอยูในครรภทุกประเภทไมมีกําหนด ศีลขอนี้ บัญญัติขึ้นเพื่อจะใหปลูกเมตตาจิต
ในสัตวทุกจําพวก เพราะเมตตาจิตเปนความดีสามารถมีทั่วไปท้ังในหมูมนุษยและสัตวดิรัจฉาน การ

๕๕
อบรมใหเมตตาจิตเกิดขึ้น เมื่อขยายออกไปมากเพียงใด ก็จะแผความสุขใหเกิดมีแกสรรพสัตวมาก
เพยี งน้ัน

๒) อทินฺนาทานา เวรมณี เวน จากการถอื เอาสิ่งของทเ่ี จาของไมไดใ หดวยอาการแหงขโมย
หมายถึงการหามลักทรัพยทุกชนิดที่เจาของไมไดยกใหเปนสิทธ์ิขาด หรือหามถือเอาสิ่งของท่ีไมมีผูให
ดวยการโจรกรรม คือการกระทําอยางโจรทุกอยาง โดยมีหลักวินิจฉัยในความขาดแหงศีลดวย
องคป ระกอบ ๕ ขอ คือ

๑. ปรปริคคฺ หติ ํ ของน้นั มเี จา ของครอบครองหวงแหน
๒. ปรปริคคฺ หติ สฺญิตา รูอยูวาเปนของมีผคู รอบครองหวงแหน
๓. เถยฺยจติ ตฺ ํ มีความต้งั ใจจะลกั
๔. อปุ กกฺ โม กระทําความพยายาม
๕. เตน หรณํ นํามาไดด วยความพยายามนั้น
ศีลขอน้ี แปลวา เวนจากการถือเอาส่ิงของท่ีเจาของเขาไมไดให กิริยาที่ถือเอา หมายถึง
การถือเอาดวยอาการเปนโจร ส่ิงของที่เขาไมไดให หมายถึงของ ๒ อยาง คือ ๑) สิ่งของท่ีมีเจาของ
ท้ังเปนของมีคาและของไมมีคา ท่ีเจาของไมไดยกใหเปนกรรมสิทธิ์ ๒) สิ่งของท่ีไมใชของใคร แตมี
ผรู ักษาหวงแหน ไดแก ส่งิ ของทอี่ ุทศิ บชู าปชู นยี วตั ถุในศาสนานน้ั ๆ และส่งิ ของท่ีเปนกลางในหมูชนอัน
ไมพึงแบงกัน ไดแก ของสงฆและของมหาชนในสโมสรสถานนั้นๆ ศีลขอนี้ บัญญัติขึ้นดวยหวังจะให
เลย้ี งชวี ิตในทางทชี่ อบ เวน จากการเบยี ดเบยี นกนั และกัน ถา ประพฤตฝิ าฝน ไดช่ือวา ประพฤติผิดจาก
ทางธรรม จดั เปน บาป
๓) อพฺรหฺมจริยา เวรมณี เวนการเสพกาม ความประพฤติไมประเสริฐ หมายถึงการหาม
ประพฤติผิดพรหมจรรย ศีลขอนี้จะขาดหรือไม มีหลักวินิจฉัยคือขอบขายในการลวงละเมิดตอง
ประกอบดว ยองค ๕ ขอ คอื
๑. อชฌฺ าจารณยี วตถุ จฺ โหติ วัตถุทพี่ งึ ประพฤตลิ วงละเมิด (มเี พศชายหญิงปรากฏ)
๒. ตตฺถ จ เสวนจิตฺตํ ปจฺจุปฏฐิตํ โหติ จิตคิดจะเสพในสตรีหรือบุรุษนั้นต้ังอยู
เฉพาะตัว
๓. เสวนปฺปจจฺ ยปโยคฺจ สมาปชชฺ ติ ถงึ พรอมดวยประโยคอนั เปน ปจ จยั ในการเสพ
๔. สาทยิ นฺจ มีความยินดีในการเสพนั้น
๕. มคเฺ คน มคคฺ ปฺปฏปิ าทนํ ยงั มรรคกบั มรรคใหถ ึงกนั
คําวา วัตถุท่ีจะพึงประพฤติลวง ในที่น้ี หมายถึงมรรค คือชองทางในการเสพ หรือการ
รวมเพศ ซึ่งมี ๓ มรรค คือ ปสสาวมรรค ทวารเบา วัจจมรรค ทวารหนัก และมุขมรรค ชองปาก
หรือไดแ กมบี ุคคลผูท่ีตนจะมีสัมพันธทางเพศดวยปรากฏอยู
คําวา ยังมรรคกับมรรคใหถึงกัน หมายถึงการนําอวัยวะเพศของท้ังสองฝายเน่ืองถึงกัน
ทางมรรคใดมรรคหนึง่
อุโบสถศีลขอที่ ๓ มีความแตกตางจากนิจศีล (กามเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี) คือ เวนจาก
การประพฤติผิดพรหมจรรย คือ งดเวนจากการมีเพศสัมพันธ เปนการเวนจากเสพอสัทธรรม (ธรรม
ของผูประพฤติไมดี ปราศจากศรัทธาและความละอาย เปนตน) เปนความมุงหมายในศีลขอนี้อันเปน
เบื้องตนของพรหมจรรย แตเปาหมายสูงสุดคือ ความบริสุทธ์ิของจิตใจ จึงสําเร็จเปนพรหมจรรยที่

๕๖
แทจริง “การเสพอสัทธรรมมีราคะเปนเหตุ พรหมจรรยจะบริสุทธ์ิก็ดวยการงดเวนในอสัทธรรม ไมมี
ท้ังกาย วาจา และจิตใจ “สติกับราคะ” สัมปชัญญะกับพยาบาท” เปนของคูกัน ถาไมประสงคใน
ราคะกับพยาบาทก็ตองทําสติและสัมปชัญญะใหสมบูรณ ดังที่พระพุทธเจาตรัสไวในอังคุตตรนิกาย
ติกนบิ าตรอุโปสถสูตรวา “พระอรหนั ตท้ังหลายละพฤติกรรมอนั เปนขาศึกตอพรหมจรรย คือประพฤติ
พรหมจรรย เวน หางไกลจากเมถนุ ธรรมอนั เปนกิจของชาวบานอยูตลอดชีวิต แมเราก็ละพฤติกรรมอัน
เปนขาศึกแกพรหมจรรย ประพฤติพรหมจรรย เวนหางไกลจากเมถุนธรรมอันเปนกิจของชาวบานอยู
ตลอดวันหนึ่งและคืนหนง่ึ น้ีในวันนี้ เพราะองคแมนี้เราช่ือวาทําตามพระอรหันตและรักษาอุโบสถ”83๗๙
ความหมายของพรหมจรรย คือการครองชีวิตอันประเสริฐ เปนอริยมรรคอันประเสริฐ เปนอริยมรรค
ดําเนินไปสคู วามดับทุกข ประโยชนอันเน่ืองมาจากการประพฤติธรรม ที่เปนจุดหมายในระดับอุโบสถ
ศีล มีความสัมพันธกับระดับความเปนอยู คุณคาที่เปนความดีงาม จุดมุงหมายสูงสุดของ
พระพทุ ธศาสนากค็ อื การประพฤตพิ รหมจรรย

๔) มสุ าวาทา เวรมณี เวน จากการพูดเทจ็ หมายถึงการสํารวมระวังในการใชคําพูด โดยมี
หลักวนิ ิจฉยั ในความขาดแหง ศลี ดว ยองคป ระกอบ ๔ ขอ ดังนี้

๑. อตฺถํ วตถฺ ุ เรอ่ื งไมจ รงิ
๒. วสิ วํ าทนจติ ฺตํ มคี วามตงั้ ใจพดู ใหผดิ
๓. ตชฺโช วายาโม มีความพยายามเกดิ จากความต้ังใจน้ัน
๔. ปรสฺส ตทตฺถวิชานํ คนอืน่ รเู น้อื ความนน้ั
ศีลขอนี้ แปลวา เวนจากการพูดเท็จ คือการกลาวความเท็จที่ช่ือวา มุสา กิริยาท่ีพูด
หรือแสดงอาการมุสา ศีลขอนี้ บัญญัติขึ้นดวยหวังจะหามการตัดประโยชนทางวาจา เพราะผูท่ีพูด
ดวยถอยคําที่ไมจ รงิ ยอ มจะทําใหผ ฟู ง ไมเ ชอ่ื ถอื ในคําพูดของตน บางทีอาจทําประโยชนของผูอื่นใหเสีย
ไปก็ได ผทู ี่ฝนความรูสึกของตนพดู มุสาแกค นอน่ื เปน การตัดประโยชนทานจัดเปน บาป
๕) สุราเมรยมชฺชปมาทฏฐานา เวรมณี เวนจากดื่มนํ้าเมา คือสุราและเมรัย อันเปนเหตุ
ท่ีตั้งแหงความประมาท หมายถึงการงดเวนไมดื่มนํ้าเมาหรือหามด่ืมนํ้าเมาที่เรียกตามศัพทบาลีวา
มัชชะ แปลวา น้ําที่ยังผูดื่มใหมึนเมา ซ่ึงจําแนกเปน ๒ ชนิด คือ สุราและเมรัย โดยสุราไดแกน้ําเมาท่ี
เรยี กวาเหลา เมรยั ไดแ กน ํ้าเมาประเภทเบียร กลา วงายๆ ศีลขอนี้หามดื่มเหลาและเบียร รวมถึงหาม
เสพยาหรอื สารเสพติดใหโ ทษทุกชนิด มีหลักวนิ ิจฉัยในความขาดแหงศีลดวยองคป ระกอบ ๔ ประการ
ดังน้ี
๑. สรุ าทีนฺจ อฺญตรํ โหติ มทนียํ ของเมาอยา งใดอยางหนงึ่ มสี รุ า เปนตน
๒. ปาตกุ มฺยตาจิตฺตจฺ ปจฺจปุ ฏฐ ิตํ โหติ มีความต้งั ใจดว ยความปรารถนาจะด่มื
๓. ตชฺชจฺ วายานํ อาปชชฺ ติ ถึงความพยายามอนั เกดิ จากความตั้งใจจะดมื่ นั้น
๔. ปตํ จ ปวีสติ และเมอื่ ดื่มนาํ้ เมาหรือเสพสารเสพตดิ แลว ลว งไหลเขาไป
ศีลขอนี้ แปลวา เวนจากการด่ืมน้ําเมา คือสุราและเมรัย อันเปนท่ีต้ังแหงความประมาท
น้ําเมาทเ่ี ปนแตเพยี งของดอง เชน นํ้าตาลเมาตางๆ ชื่อวา เมรัย และเมรัยน้ันถูกกล่ันเพื่อใหมีรสชาติ

๗๙ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๘๖.

๕๗
เขมขนข้ึน เชน เหลาตางๆ ช่ือวา สุราเมรัย สุราเมรัยน้ี เปนของทําใหผูดื่มเมาแลวครองสติไมอยู
อารมณแปรปรวนขาดความเปนตัวของตัวเอง ไมสามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองไวได เหตุที่
บญั ญัติศลี ขอ นีข้ น้ึ เพอื่ ปองกนั มิใหละเมิดขอ หา มศลี ๔ ขอขา งตน เพราะผูด่ืมน้ําเมา เมาแลวยอมเปน
ผูเ สียสติ สามารถทาํ สงิ่ ท่ีไมเคยทํา พดู สิ่งทไ่ี มเ คยพดู

๖) วิกาลโภชนา เวรมณี เวนจากการกินอาหารในเวลาวิกาล ศีลขอนี้มีความมุงหมาย
เฉพาะการหา มรบั ประทานอาหารในเวลาวิกาล คอื ตงั้ แตเที่ยงแลว ไปจนถึงกอนอรุณข้ึน มีหลักวินิจฉัย
ดว ยองคป ระกอบ ๔ ประการ ดังนี้

๑. วกิ าโล เวลานัน้ เปน เวลาวิกาล
๒. ยาวกาลิกํ ของเคยี้ วของกินทเ่ี ปนอาหาร
๓. อชฺโฌหรณปฺปโยโค พยามกลืนกนิ เขาไป
๔. เตน อชโฺ ฌหรณํ กลืนลว งลาํ คอเขา ไปดวยความพยายามน้ัน
การเวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล ไดแก ของขบเค้ียวอยางหน่ึงอยางใด ไมให
ลวงเขาปากไปในเวลาเทย่ี งวนั จนถึงรงุ อรณุ ของวนั ใหม ลกั ษณะของเวลา แบง ออกไดเ ปน ๒ กาล คอื
๑) กาล หรอื ปุเรภัตตกาล เวลากอนภัตตาหาร คือ เวลาต้ังแตอรุณขึ้นถึงเที่ยงวัน คือเปน
เวลาการบริโภคอาหารของพระภิกษุและจะบริโภคก่ีหนก็ได ๒) วิกาล หรือปจฉาภัตตกาล เวลา
ภายหลังภตั ตาหาร คือ เวลาตั้งแตเทีย่ งวนั ไปแลวจนถงึ กอนอรณุ ขึน้
๗) นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปรธารณมณฺฑนวิภูสนฏฐานา เวรมณี เวน
จากการฟอนราํ ขับรอ ง ประโคมเคร่ืองดนตรีตางๆ ดูการละเลน และการลูบทา ทัดทรงประดับตกแตง
รางกายดวยดอกไมและของหอมเคร่ืองบํารุงผิวอันเปนท่ีตั้งแหงความกําหนัด แตถาประดับตกแตง
รา งกายเพอ่ื ประโยชนใ นการรักษาความสะอาด หรือเพื่อบรรเทาปองกันโรคภัยไขเจ็บอันเกิดมีข้ึนเปน
ธรรมดา ก็ทําได ซ่ึงมหี ลกั วนิ จิ ฉัยวา ศลี ขอนีจ้ ะขาดหรอื ไม ทา นจดั แบง ออกเปน ๒ ตอน คือ
ตอนท่ี ๑ เวนจากฟอนราํ ขับรอง ประโคมเคร่ืองดนตรีตางๆ และดูการเลนท่ีเปนขาศึกแก
กศุ ลมีองคประกอบ ๓ ขอ ดังน้ี
๑. นจฺจาทนี ิ การฟอ นราํ ขบั รอง เปนตน
๒. ทสสฺ นตฺถาย คมนํ การไปเพือ่ จะดหู รือฟง
๓. ทสสฺ นํ ดหู รอื ฟง
ตอนท่ี ๒ การทัดทรงดอกไม การใชของหอมเคร่ืองประเทืองผิว เคร่ืองเสริมทรงและ
เครือ่ งประดบั ตกแตงตางๆ มเี กณฑการตดั สนิ ประกอบดว ยองค ๓ คอื
๑. มาลาทีนํ อณณฺ ตรตา เครื่องประดับตกแตงมีดอกไมและของหอม เปนตน
๒. อนุ ญฺ าตการณาภาโว ไมมีเหตุเจบ็ ไขเปนตน ท่พี ระพทุ ธเจาทรงอนุญาตไว
๓. อลงฺกตภาโว ทัดทรงตกแตง เปนตน ดวยจิตคิดจะประดับใหสวยงาม ถาโรคภัย
อยา งใดอยา งหน่งึ เกิดขึ้น จะทาขม้ินดินสอพองเพ่อื บาํ บัดโรคภยั นน้ั ใหทําได
๘) อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี เวนการใชท่ีน่ังท่ีนอนสูงใหญ ศีลขอนี้มีความมุงหมาย
ใหงดเวนการใชทน่ี ง่ั ทีน่ อนเกินขนาดเกนิ กําหนด มีหลักวินิจฉัยดว ยองคป ระกอบ ๓ ขอ ดงั นี้
๑. อุจฺจาสยนมหาสยนํ นง่ั ทนี่ อนสงู ใหญเกินประมาณหรอื วิจติ รงดงาม
๒. อุจฺจาสยนมหาสยนสฺญติ า รูวา ทนี่ ัง่ ทีน่ อนน้นั สงู ใหญห รอื งดงามเกนิ ประมาณ

๕๘

๓. อภนิ สิ ที นํ วา อภนิ ปิ ชฺชนํ วา นงั่ หรอื นอนบนทน่ี ัง่ ทนี่ อนนัน้
องคอุโบสถทั้ง ๘ ประการน้ี ขอ ๑-๒ จัดเปนสาหัตถิกะ คือ ผูสมาทานศีลกระทํา การ
ลว งละเมิดครบตามเกณฑก ารตดั สนิ ดว ยตนเองถอื วา ศลี ขาด และเปน อาณัติติกะ คือผูสมาทานใชผูอื่น
กระทาํ โดยทีผ่ ถู ูกใชนัน้ สามารถกระทําการที่ไดร บั มอบหมายสําเรจ็ ลงกถ็ ือวาศีลขาดเชน เดยี วกัน
ขอ ๓-๘ จัดเปนสาหัตถิกะ ผูสมาทานศีลกระทําดวยตนเองเทานั้นจึงถือวาศีลขาด ไม
เก่ียวของกบั บคุ คลอ่ืน
ขอ ๑-๕ ขอขา งตน จัดเปนโลกวชั ชะ คอื เม่ือผรู กั ษาลว งละเมิดก็มีโทษทางโลกดวยการถูก
ตเิ ตยี นจากสังคมและมีเวรคือเปนการสรางความไมพอใจใหกับผูเสียหาย ถือวาเปนการสรางศัตรูหรือ
เวรข้ึน สวน ๓ ขอหลัง มีโทษเฉพาะในสวนของการละเมิดพุทธบัญญัติมิไดเปนการกอเวรใหเกิด
ข้ึนกบั ผูอ ่ืน เพราะไมเปน การสรางความเดอื ดรอ นใหกับใคร84๘๐
จากการศึกษาวิเคราะหขอมูลดังกลาวขางตน พอสรุปไดวา ศีลในแตละขอนั้นจะขาดก็
ตอเม่ือมีการกระทําครบองคธรรมในขอบขายแหงการลวงละเมิดองคประกอบของอุโบสถศีลใน
สิกขาบทน้ันๆ และเปนหลักกําหนดมุงเนนใหผูรักษาศีลพิจารณาหรือรูจักวิธีการแหงการเขาจํา
อุโบสถศีลท่ีประกอบดวยองค ๘ ประการ ประพฤติไดถูกตองและสงผลดียิ่งทําใหผูปฏิบัติเกิด
ผลานิสงสท ัง้ ปจ จุบนั และในอนาคต
๒.๗.๖ วิธีการสมาทานอุโบสถศลี
ในพระพุทธศาสนาผูจะรักษาศลี อยางใดอยางหน่งึ ท้ังศลี ๕ ศีล ๘ หรืออุโบสถศีล และศีล
๑๐ ตองมีการสมาทานใหถูกตองตามขั้นตอนกอน จึงช่ือวาไดรักษาศีลอยางถูกตอง ผูสมาทานจึงตอง
เขาใจและรูหลักของการสมาทานศีล การสมาทานศีล คือ การขอรับศีลหรือรับอุโบสถจากพระภิกษุ
สามเณร อุบาสก หรืออุบาสิกา ผูทรงศีลและเขาใจเร่ืองของศีล โดยตองเปลงวาจาขอศีลตามวิธีการ
สมาทาน ซึ่งมีอยู ๒ วิธี ไดแก
๑. ปจ เจกสมาทาน คือ การสมาทานแยกกนั เปน บทๆ ไป เปน การสมาทานศลี ไปทีละขอๆ
๒. เอกัชฌสมาทาน คือ การสมาทานศีลทกุ ขอ รวมกันคร้ังเดียว โดยไมตองกลาวทีละขอๆ

๘๑

85

ในการสมาทานศีล ๘ กต็ องใชการสมาทาน ๒ อยางน้อี ยางใดอยางหน่ึง ซ่ึงแตละอยางมี
วธิ ีการสมาทาน ดังนี้

๑. ปจเจกสมาทาน การสมาทานศีลทีละขอ เร่ิมตั้งแตขอ ๑ คือปาณาติปาตา เวรมณี
สิกขาปทํ สมาทิยามิ. และขอ ๒ จนถึงขอ ๘ คืออุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกขาปทํ สมาทิยามิ.
เมอ่ื กลาวจบทั้ง ๘ ขอ ใหกลาวสรุปอีกครั้งวา อิมํ อฏฐํคสมนฺนาคตํ พุทฺธปฺญตฺตํ อุโปสถ สมาทิยามิ.

๘๐ พระญาณวโรดม (สนธ์ิ กิจฺจทโร), เบญจศีล เบญจธรรม และอุโบสถศีล, (กรุงเทพมหานคร:
มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หนา ๑๐๐ – ๑๐๑.

๘๑ ธนติ อยโู พธิ์, อานิสงสอุโบสถศีล, หนา ๒๐.

๕๙

ซ่งึ แปลวา ขา พเจาขอสมาทานอุโบสถอนั ประกอบดวยองค ๘ ท่ีพระพทุ ธเจาทรงบัญญัติไวแลวน้ี การ
สมาทานอยางนี้ เปนการสมาทานแยกทีละองค หากผูสมาทานลวงละเมิดศีลขอใดขอหนึ่งก็จะถือวา
ขาดเฉพาะขอน้นั ๆ ขออ่นื ยังคงอยตู ามปกติ

๒. เอกัชฌสมาทาน การสมาทานคราวเดียวพรอมกันทั้ง ๘ ขอ โดยต้ังวิรัติเจตนา (ความ
ต้ังใจงดเวน) โดยกลาวเพียงวา อุโปสถวเสน อฏฐ สิกฺขาปทานิ สมาทิยามิ. แปลวา ขาพเจาขอ
สมาทานสกิ ขาบททั้ง ๘ ขอ ดวยสามารถเปน อุโบสถ การกลาวเพียงเทานี้ ถอื วา ไดส มาทานศีลอุโบสถ
ทงั้ ๘ องค ถาผูส มาทานลวงละเมดิ ศีลขอ ใดขอ หนงึ่ ก็ถือวา ศลี ขาดหมดทุกขอ ตอ งสมาทานใหม

ตอไปนี้ จะไดกลาวถึงข้ันตอนการสมาทานอุโบสถศีลที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาต้ังแตอดีต
จนถึงปจจุบัน กอนผูรักษาอุโบสถศีลจะรับศีล ๑ วัน ตองมีการเตรียมตัวทําธุระที่คางอยูใหเสร็จ
เรยี บรอยและแจง ใหค นภายในครอบครวั ไดท ราบกอ น แลว ปฏบิ ตั เิ ปนขัน้ ตอนตามน้ี

ในวันอุโบสถ ผูรับศีลกอนรับศีลตองลางปากบวนปากใหสะอาดไปหาพระภิกษุ อุบาสก
หรอื อุบาสกิ าคนใดคนหนึ่งที่เขาใจในศลี ๘ สว นมากจะขอรบั จากพระภิกษุ แจงความประสงคใหทาน
ทราบวา จะมาขอรับองคอุโบสถ พรอมกับเปลง วาจาอาราธนาอุโบสถตอหนา ทา นวา

อหํ (หรือ มยํ วาหลายคนพรอมกัน) ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฐํคสมนฺนาคตํ พุทฺธปฺญตฺตํ
อุโปสถํ ยาจาม.ิ (ยาจามะ กลาวหลายคน)

ทุติยมฺป อหํ (หรือ มยํ วาหลายคนพรอมกัน) ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฐํคสมนฺนาคตํ
พุทธฺ ปญฺ ตตฺ ํ อโุ ปสถํ ยาจาม.ิ (ยาจามะ กลาวหลายคน)

ตติยมฺป อหํ (หรือ มยํ วาหลายคนพรอมกัน) ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฐํคสมนฺนาคตํ
พทุ ธฺ ปฺญตตฺ ํ อโุ ปสถํ ยาจามิ. (ยาจามะ กลา วหลายคน)

คํา
แปล ขาแตทานผูเจริญ ขาพเจาขออุโบสถที่ประกอบดวยองค ๘ ประการท่ีพระพุทธเจา
ทรงบัญญัติไวพรอมดวยสรณะ ๓ (ซึ่งในเวลาสมาทานไมตองกลาวคําแปล นํามาแปลไวเพื่อใหรู
ความหมาย) ตอจากนั้น พระภิกษุจะกลาวนําตามลําดับ ดังนี้ กลาวคํานมัสการพระพุทธเจา ๓ จบ
วา

นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ธฺ สสฺ . (วาสามจบ)
แปลวา ขอความนอบนอมจงมีแดพระผูมีพระภาคเจาผูทรงเปนพระอรหันต ทรง
ตรสั รูโดยชอบดว ยพระองคเ อง จากนั้นทา นจะนาํ กลา วใหผ สู มาทานกลา วรับไตรสรณคมน ตามวา
พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ ขา พเจา ขอถึงพระพุทธเจา เปน สรณะ
ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ. ขาพเจา ขอถงึ พระธรรมเจาเปนสรณะ
สํฆํ สรณํ คจฺฉาม.ิ ขาพเจาขอถงึ พระสงฆเปน สรณะ
ทุติยมปฺ  พทุ ฺธํ สรณํ คจฺฉาม.ิ ขาพเจา ขอถงึ พระพทุ ธเจาเปน สรณะแมครั้งที่ ๒
ทตุ ยิ มฺป ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ. ขา พเจาขอถึงพระธรรมเปนสรณะ แมค รั้งที่ ๒
ทตุ ิยมปฺ  สํฆํ สรณํ คจฺฉาม.ิ ขา พเจาขอถงึ พระสงฆเ ปน สรณะ แมค รง้ั ที่ ๒
ตตยิ มปฺ  พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ ขา พเจาขอถงึ พระพทุ ธเจา เปน สรณะ แมค รั้งที่ ๓
ตติยมปฺ  ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ ขา พเจาขอถงึ พระธรรมเปนสรณะ แมค รงั้ ท่ี ๓

๖๐
ตตยิ มปฺ  สฆํ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ. ขา พเจาขอถึงพระสงฆเปน สรณะ แมค รง้ั ที่ ๓
เมือ่ พระสงฆว า ติสรณคมนํ นิฏฐิตํ พงึ รบั พรอมกันวา อาม ภนฺเต ตอจากนนั้ ทานจะกลาว
คําสมาทานอโุ บสถมอี งค ๘ ใหผสู มาทานไดกลาวสมาทานตามแบบปจเจกสมาทาน คือวาไปตามทีละ
ขอ ดังนี้
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ
ต้งั ใจงดเวน จากการฆาสัตวม ชี ีวิต
๒. อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ
ต้ังใจงดเวนจากการถือเอาสิ่งของทเี่ ขามไิ ดใ ห
๓. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ
ตัง้ ใจงดเวน จากการประพฤตไิ มเ ปน พรหมจรรย
๔. มสุ าวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ ต้ังใจ
งดเวนจากการพดู เท็จ
๕. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทาน
สิกขาบท คอื ตัง้ ใจงดเวน จากเหตเุ ปนท่ีต้ังแหง ความประมาทในเพราะสุรา เมรยั และของเมา
๖. วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ
ต้ังใจงดเวน จากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฐานา เวรมณี
สกิ ขฺ าปทํ สมาทิยามิ. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือ ตั้งใจงดเวนจากการฟอนรํา ขับรอง ประโคม
ดนตรีและการแสดงท่ีเปนขาศึก เวนจากการทัดทรงดอกไม ใชของหอม ใชเครื่องประเทืองผิว เครื่อง
เสรมิ ทรง เคร่อื งประดบั และเครอื่ งตบแตง
๘. อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทยิ าม.ิ ขา พเจาขอสมาทานสิกขาบท
คือ ตั้งใจงดเวนจากทนี่ อนท่นี ง่ั สูงและทนี่ อนท่ีนง่ั ใหญ
เมื่อรับศีลจบแลว ตอจากนั้นพระอาจารยทานจะกลาวนําใหกลาวสรุปดวยวิธีเอกัชฌ
สมาทานอกี ครงั้ วา
อิมํ อฏฐํคสมนฺนาคตํ พุทฺธปฺญตฺตํ อุโปสถํ อิมฺจ รตฺตึ อิมฺจ ทิวสํ สมฺมเทว อภิรกฺขิตุ
สมาทิยามิ. แปลวา ขาพเจาขอสมาทานอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ท่ีพระพุทธเจาทรงบัญญัติไวน้ี
จะต้ังใจรักษาไวใหดีโดยชอบตลอดวันนี้ และตลอดคืนนี้ ตอจากนั้น พระภิกษุหรือสามเณร ทานจะ
กลา วตอไปอกี วา
อิมานิ อฏฐ สิกขฺ าปทานิ อุโปสถสีลวเสน สาธุกํ กตฺวา อปฺปมาเทน รกฺขิตพฺพานิ. แปลวา
สิกขาบททั้ง ๘ นี้ พึงรักษาไวใหดี โดยความไมประมาท ดวยสามารถเปนอุโบสถ ผูรับพึงรับวา อาม
ภนฺเต แปลวา ขอรับกระผม หรือ เจาคะ ส้ินสุดการรับเพียงเทาน้ี ตอจากน้ัน พระทานจะกลาว
คาถาบอกอานิสงสโ ดยยอ ของการรักษาอุโบสถตอไปวา

สเี ลน สุคตึ ยนตฺ ิ สีเลน โภคสมปฺ ทา
สเี ลน นพิ ฺพุตึ ยนฺติ ตสมฺ า สีลํ วโิ สธเย
แปลวา สัตวท้ังหลายไปสูสุคติ (โลกสวรรคดวยศีล มีโภคทรัพยสมบูรณดวยศีล สาธุชน
ทั้งหลายบรรลุความดับสนิท คอื พระนพิ พาน) ดว ยศลี เพราะฉะนั้น บัณฑติ พึงรกั ษาศลี ใหบริสทุ ธ์ิ

๖๑

จากการศึกษาประเด็นขอมูลขางตน สรุปไดวา ในการสมาทานศีล ๘ หรืออุโบสถศีล ผู
ประสงคจะเขารักษาอุโบสถศีลควรศึกษากระทําใหถูกตองตามขั้นตอน มีวิธีสมาทาน ๒ ประการ คือ
๑) ปจเจกสมาทาน คือการสมาทานแยกกันเปน บท เมื่อผสู มาทานลว งละเมิดศีลขอใด ก็จะขาดเฉพาะ
ขอนนั้ ๆ ๒) เอกัชฌสมาทาน คือการสมาทานศลี ท้ัง ๘ ขอรวมกนั ครัง้ เดยี ว ไมตองกลาวเปนขอๆ ถาผู
สมาทานลวงละเมิดศลี ขอ ใดขอ หนง่ึ กจ็ ะถือวา ศลี ขาดทกุ ขอ ตอ งสมาทานใหม

๒.๗.๗ วธิ กี ารอยูรักษาอุโบสถศีล
ในหัวขอน้ี จะกลาวถึงการสมาทานและการอยูรักษาองคอุโบสถท่ีผูสมาทานไดสมาทาน
จากพระภิกษุสามเณร หรอื อุบาสกอบุ าสกิ ามาแลว
กอนท่ีจะรับองคอุโบสถ ทานผูจะเขาอยูรักษาอุโบสถ ตองทําจิตของตนใหแจมใสสะอาด
ไมเศราหมอง และจึงอธิษฐานองคอุโบสถและอยูรักษา ทานกลาววาอุโบสถที่เราทําจิตใหสะอาดแลว
อธิษฐานแลว จะมีผลมีอานิสงสมาก ฉะนั้น ทานจึงแนะนําวา ผูประสงคจะรักษาอุโบสถน้ัน กอนถึง
วันอุโบสถ ถาเปนผูมีเพ่ือนฝูงบริวารหรือลูกหลาน ควรแจงใหพวกเขาวาพรุงนี้เราจะอยูจําศีลอุโบสถ
ขอใหรบั ธุระรับหนาท่ีในเรื่องตางๆ แทนดวย และตรวจตราจัดแจงเรื่องอาหารภายในครอบครัวไวให
เสรจ็ เรยี บรอย เพื่อตนเองจะไดไมต อ งพะวักพะวงจัดทาํ โนน ทํานี้ อันจะกอใหเกิดความกงั วลใจ
เม่ือถึงวันอุโบสถตั้งแตรุงเชา ควรกําหนดเตรียมตัวเตรียมใจสํานึกวาวันนี้เปนวันอุโบสถ
และปฏบิ ัติกิจขอแรกที่ไดป ฏบิ ตั ิกันสบื มา คอื บว นปาก ลางปาก หรือจะลางหนาอาบนํ้าชําระรางกาย
ใหสะอาดและนุงหมใหเรียบรอยก็ได ในเรื่องน้ีเห็นไดจากเร่ืองพระมหาชนก เม่ือเรือแตกพระมหา
ชนก วายน้ําในทะเลถึง ๗ วัน ถึงวันอุโบสถทรงอมนํ้าเค็มบวนลางพระโอฐแลว ทรงเปลงวาจา
อธษิ ฐานอโุ บสถ86๘๒
ทานเตือนไววากอนสมาทานอุโบสถน้ัน ไมควรทําการลวงศีลองคใดองคหนึ่ง เชนคิดวา
กอนที่เราจะสมาทานอุโบสถยังจะลวงศีลองคหน่ึงองคใดก็ได เมื่อสมาทานแลวจึงพยายามรักษาให
จรงิ จังตอ ไป ทําอยางนไ้ี มส มควร ตองกระทาํ ตนใหบรสิ ทุ ธท์ิ ง้ั กอนรักษาและหลงั รักษาดว ย
เมื่อผูสมาทานลางปาก บวนปากแลวเขาไปหาพระภิกษุ หรือภิกษุณี หรืออุบาสกและ
อุบาสิกาผูรูลักษณะศีล ๑๐ กลาวคํานมัสการพระพุทธเจา กลาวปฏิญญาถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ
แลวตั้งใจกําหนดที่จะรักษาอุโบสถไปจนตลอดวันตลอดคืน โดยอธิษฐานเปนคําบาลีหรือคําไทยหรือ
ท้ังคําบาลีและคําไทยโดยเปลงวาจาสมาทานองคอ ุโบสถ โดยกลาวรวมกันดวยวิธีเอกัชฌสมาทาน วา
“อิมฺจ รตฺตึ อิมฺจ ทิวสํ อุโปสถิโก ภวิสฺสามิ. แปลวา ขาพเจาจักอยูรักษาอุโบสถตลอดวันน้ีและ
ตลอดคืนน้ี” หรือกลาวอธิษฐานวา “อุโปสถวเสน อฏฐ สิกฺขาปทานิ สมาทิยามิ แปลวา ขาพเจา
สมาทานสิกขาบท ๘ ดวยสามารถเปนอุโบสถ” ดังนี้ก็ได หรือจะเปลงวาจาระบุจําแนกเฉพาะ
สกิ ขาบทๆ วา ไปตามบทบาลดี วยวธิ ปี จ เจกสมาทาน ตามทพ่ี ระภกิ ษุใหศ ลี ก็ได

๘๒ ธนติ อยโู พธ์,ิ อานิสงสอโุ บสถศีล, หนา ๗๗.

๖๒

ถา ผูสมาทานหาพระภิกษุหรืออุบาสกหรอื อุบาสกิ าไมได จะกลาวอธิษฐานดวยตนเอง โดย
อธิษฐานรวมกันไปวา “พุทฺธปฺญตฺตํ อุโปสถํ อธิฏฐามิ แปลวา ขาพเจาขออธิษฐานอุโบสถท่ี
พระพุทธเจา ทรงบญั ญตั ิไว” ก็ได เพราะอุโบสถเปนศีลสําหรับอุบาสกและอุบาสิกา แมสมาทานดวย
ตนเอง กถ็ ือวาสมาทาน แมส มาทานในสํานักของทา นผูอ่ืน ก็ถือวาสมาทาน แมสมาทานรวมกันหรือ
สมาทานเฉพาะสกิ ขาบท กเ็ ปน การสมาทานไดท งั้ นัน้

ทานผูรูกลาวไววาในการสมาทานองคอุโบสถน้ีตองเปลงออกเสียงกลาวคําสมาทาน จึง
เปน การสมาทานทถ่ี กู ตอง แมการสมาทานทกุ อยาง ก็ตองทาํ การเปลงวาจาออกเสียง จึงจะทําใหการ
สมาทานสมบูรณได เมื่อผูรักษาอุโบสถศีล ไดสมาทานเรียบรอยแลว ไดช่ือวาเปนผูอยูรักษาอุโบสถ
ไมค วรจัดแจงการงานท่เี ปน การเบยี ดเบยี นหรือกอความเดือดรอ นใหแ กผูอืน่ ควรใชกาลเวลาใหลวงไป
ดวยการคํานวณอายุและวัย ครั้นบรโิ ภคอาหารท่บี า นแลว ถา ไปวัดควรใชเวลาในวันอุโบสถใหผานไป
ดวยการฟงธรรม หรือบําเพ็ญกรรมฐานอยางใดอยางหน่ึงในอารมณกรรมฐานท่ีมีอยู การที่ทานให
ประพฤติปฏิบัติอยางน้ี เนื่องจากวาในวันอยูจํารักษาอุโบสถนั้นมีเวลาอยูมาก หากไมนอมนําใจไป
ในทางท่ีถูกตองสมควรกับการอยูจํารักษาอุโบสถ ใจของเราก็อาจเชือนแชไปในอารมณท่ีไมถูกทาง
และอาจชักพาใหลวงละเมิดถึงขาดองคอุโบสถหรือทําศีลอุโบสถใหเศราหมองได ทานจึงแนะนําใหไป
วัดฟงธรรมหรือจะบริกรรมและกําหนดอารมณกรรมฐานขอใดขอหน่ึงไว เพ่ือไมใหประมาทในชีวิต
และการรักษาอุโบสถศีลใหบรสิ ุทธ์ิ เพราะถาศลี ดา งพรอ ยชอ่ื วา ยงั ไมบ ริสุทธ์ิไดด ว ยการรักษาศีล

ทานกลาวไววาการจะรูวาศีลบริสุทธ์ิหรือไมน้ัน ตองกําหนดพิจารณาตาม คุณสมบัติของ
ศีล ๘ ประการ คอื ๑) อขัณฑะ เปน ศลี ไมข าด ๒) อฉิททะ เปนศีลไมทะลุ ๓) อสพละ เปนศีลไมดาง
๔) อกัมมาสวะ เปนศีลไมพรอย ๕) ภิชิสสะ เปนไท ๖) วิญูปสัฏฐะ ทานผูรูยกยองสรรเสริญ ๗)
อปรามัฏฐะ ไมมีตัณหาและมานะแตะตอง และ ๘) สมาธิสังวัตตนิกะ นําไปสูสมาธิ หรือใหพิจารณา
กาํ หนดองคหรือสัมภาระของศีลแตละขอ ดังกลาวไวแลวในหัวขอ ๒.๒.๕ เพื่อตนเองจะไดรูวาเราได
ลวงละเมิดองคของศีลขอใดบาง ถาผูสมาทานไดพิจารณาอยางน้ี ยอมเปนผูกําหนดรูอยูตลอด
ระยะเวลารักษาศีล สามารถทจี่ ะรกั ษาใหบ ริสทุ ธหิ์ มดจดและไดร บั อานิสงสอยา งแนน อน

สรุปไดวา เม่ือผูรักษาอุโบสถศีลไดสมาทานเรียบรอยแลว ไมควรกระทํากิจกรรมที่กอ
ความกังวลใจตอตนเองหรือความเดือดรอนใหแกผูอื่น แตวาควรใชเวลากําหนดอารมณกรรมฐาน
ตางๆ เพื่อนําไปสูสมาธิ หรือใหพิจารณาองคธรรมของศีลในแตละขอ เพื่อตนเองจะไดไมลวงละเมิด
องคแหงศลี อุโบสถนัน้ ๆ ใหเกิดความเศราหมองและผูรักษาศีลสามารถท่ีจะรักษาอุโบสถศีลใหบริสุทธ์ิ
ไดร ับอานสิ งสใ นการเขาจําอโุ บสถที่ประกอบดว ยองค ๘ ประการ ทาํ ใหก ารสมาทานสมบรู ณ

๒.๗.๘ ประโยชนหรอื อานสิ งสของการรักษาอุโบสถศีล
ศีล คอื ความปกติ มีภาวะปกติตามธรรมดา ไมเดอื ดรอนไมก ระวนกระวาย ไมระส่ําระสาย
ไมมีความสกปรกความเศราหมองใดๆ เกิดข้ึน ศีลเปนระเบียบวินัยท่ีพระพุทธเจาทรงบัญญัติไว
สําหรับใหชาวพุทธทุกคนไดประพฤติกัน เพ่ือเปนเครื่องฝกหัดดัดกาย วาจา ใหมีสภาวะปกติ ไมกอ
ความเดือดรอนวุนวายตอสังคม บุคคลผูมีศีลจึงเปนผูปกติเรียบรอย รูจักประพฤติตัวในทางท่ีดี รูจัก
เวนไมใหความช่ัวเกิดข้ึนในจิตใจ ดังน้ัน บุคคลที่มีศีลจึงเปนผูมีปกติทั้งทางกายและวาจา จาก
การศกึ ษาวเิ คราะหอยา งรอบครอบแลว กลา วไดวา อานสิ งสข องอุโบสถศีลมดี ังตอไปน้ี

๖๓
๑) อโุ บสถศีลทําใหผรู กั ษาไดสวรรคท พิ ยสุข
ในอุโบสถสูตร อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต โดยสรุปความวา “การครองราชยเปนอิส
ราธิปตยของพระราชาในแผนดินชมพูทวีปท่ีประกอบดวยแควนใหญ ๑๖ แควน มีแควนอังคะ แควน
มคธ เปน ตน น้กี ย็ ังไมถ ึงเสยี้ วที่ ๑๖ แหง อโุ บสถทีป่ ระกอบดวยองค ๘ ประการ ทั้งน้ีเพราะความสุขใน
มนษุ ยน ้นั เทียบกนั ไมไ ดก ับความสขุ อนั เปนทพิ ยใ นกามาพจรสวรรค ๖ ชั้น กลาวคือ ผูรักษาอุโบสถศีล
ไมว าหญงิ หรือชายหลงั จากตายไปยอมสามารถไปบงั เกิดเปน เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ได เปนเทวดาชั้น
นมิ มานรดีก็ได เปนเทวดาช้นั ปรนิมมิตวสวัตดกี ็ได
บุคคลไมพ ึงฆา สัตว ไมพึงถือเอาส่ิงของที่เจาของไมให พึงเวนจากเมถุนธรรมอันเปนความ
ประพฤตไิ มประเสริฐ ไมพ งึ พดู เทจ็ ไมพ งึ ด่ืมน้ําเมา ไมพ งึ บริโภคอาหารในเวลาวิกาล ในราตรี ไมพึงทัด
ทรงดอกไม ไมพ งึ ลบู ไลข องหอม พงึ นอนบนเตยี ง บนพ้นื หรอื บนเครื่องปลู าด
บัณฑิตท้ังหลายกลาวอุโบสถอันประกอบดวยองค ๘ ประการนี้แลวา พระพุทธเจาผูถึง
ท่ีสุดแหงทุกขทรงประกาศไวแลว ดวงจันทรและดวงอาทิตยท่ีงดงามท้ังสองดวงยังโคจรสองสวางไป
ตามวิถีเพยี งใด ทัง้ สองดวงนนั้ ก็จะกาํ จัดความมืดลอยอยูบนกลางหาวสองสวางรุงเรืองไปท่ัวทุกทิศอยู
ในทอ งฟาเพยี งนัน้ ทรพั ยใ ดอันมอี ยใู นระหวา งน้ี คอื แกว มุกดา แกวมณี แกวไพฑูรย ทองสิงคีสีสุกใส
ทองท่ีเรียกกันวาหฏกะ ดวงจันทร ดวงอาทิตย และทรัพยท้ังหมดนั้นก็ยงไมถึงแมเสี้ยวท่ี ๑๖ แหง
อุโบสถอนั ประกอบดวยองค ๘ ประการ เหมือนหมูด วงดาวท้ังหมดยงั แพร ัศมีดวงเดือนฉะน้นั
เพราะฉะนั้นแล หญิงหรือชายผูมีศีลเขาจําอุโบสถอันประอบดวยองค ๘ ประการทําบุญ
ทัง้ หลายอนั มีสุขเปนกําไร เปนผทู ่ไี มม ีใครตเิ ตยี น ยอมเขาถงึ สวรรค” 87๘๓
จากการศกึ ษาขอมลู ดังกลาวสรุปไดวา ผูมีศีลเปนผูมีปกติเรียบรอย หญิงหรือชายผูเขาจํา
อุโบสถท่ีประกอบดวยองค ๘ ประการ ยอมทําใหผูรักษาอุโบสถศีลไดสรางสวรรคทิพยสุขของตน
หลังจากตายไปแลว ยอมเลอื กเกิดได
๒) อุโบสถศีลสรา งประโยชนเสมอกันท้ังในสงั คมมนุษยแ ละเทวดา
การรักษาอุโบสถศีลก็คือการรักษาศีล และศีลน้ันเม่ือบุคคลรักษาดีแลวยอมมีคุณานิสงส
หรือผลดี ถาคนทุกช้ันวรรณะไมวาจะเปนชนช้ันวรรณะกษัตริย วรรณะพราหมณ (นักบวช) วรรณะ
แพศย (พอ คา ประชาชน) และวรรณะศูทร (ชนชั้นกรรมกร) ก็ตามเม่ือรักษาอุโบสถศีลนี้ ก็จะไดรับผล
เปน ประโยชนสขุ เสมอภาคกนั หมดโดยไมเลือกชั้นวรรณะ พระพุทธองคตรัสรับรองแกวาเสฏฐอุบาสก
ที่เขา มาเฝา ทูลถาม ซงึ่ ปรากฏในวาเสฏฐสตู ร แหง องั คุตตรนกิ าย อฏั ฐกนบิ าต ความวา “วาเสฏฐะ ถา
แมกษัตริยท้ังปวงพึงเขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการกัน การเขาจํานั้นก็จะพึงเปนไปเพื่อ
ประโยชนเกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนานแมแกกษัตริยท้ังปวง ถาแมพราหมณทั้งปวง.... ถาแม
แพศยท งั้ ปวง.... ถา แมศูทรทั้งปวง พงึ เขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการกัน การเขาจําน้ันก็
จะพงึ เปน เพอ่ื ประโยชนเก้อื กูล เพ่ือความสขุ ตลอดกาลนานแมแกศทู รทงั้ ปวง
วาเสฏฐะ ถาแมโ ลกตลอดทัง้ เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ
เทพ และมนุษยพึงเขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการกัน การเขาจําน้ันก็จะพึงเปนไปเพ่ือ

๘๓ อง.ฺ ทุก. (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๗๙.

๖๔
ประโยชนเก้ือกูล เพ่ือความสุขตลอดกาลนานแมแกโลกตลอดท้ังเทวโลก มารโลก พรหมโลก แกหมู
สัตวพรอมท้งั สมณพราหมณ เทพ และมนุษย วาเสฏฐะ ถาแมทานผูมหาศาลเหลาน้ีพึงเขาจําอุโบสถ
ประกอบดวยองค ๘ ประการกัน การเขาจํานั้นก็จะพึงเปนไปเพื่อประโยชนเก้ือกูล เพื่อความสุข
ตลอดกาลนานแมแกทานผูมหาศาลเหลาน้ี ถาหากวาทุกคนตั้งใจ จะปวยกลาวไปไยถึงผูเปนมนุษย
ธรรมดาเลา”88๘๔

จากขอมูลขางตนกลาวโดยสรุป การเขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการ เปนการ
สรางประโยชนเก้ือกูลย่ิง และอุโบสถศีลนี้สรางประโยชนสุขเสมอภาคกันทั้งในสังคมมนุษยทุกชนช้ัน
วรรณะและสูมวลหมทู วยเทพทุกช้ันภมู ิ

๒.๗.๙ ประวตั แิ ละความสาํ คญั ของอุโบสถศลี
๑. ประวัติของอโุ บสถศีล
วันอุโบสถศีลนั้น นักปราชญผูรูสันนิษฐานวามีมากอนสมัยพุทธกาล ในเร่ืองนี้มีปรากฏ
จากการทาํ พธิ กี รรมของพวกพราหมณไดกําหนดวันประกอบพิธีขึ้นมา เพ่ือเปนการชุมนุมรวมกัน เพ่ือ
แสดงออกถึงความเปนอันหน่ึงอันเดียวกัน ในวันนี้เจาของเรือนทั้งหลายผูจะประกอบพิธีจะตองมีการ
เตรียมตัวลวงหนาดวยการอดอาหารตลอดทั้งวัน หรืองดอาหารบางชนิดในบางเวลา เมื่อถึงเวลา
กลางคืนเจาของเรือนจะตอ งรักษาตวั อยูแ ตภ ายในบา น และปฏบิ ตั ิดูแลกองไฟบูชายัญ พวกเขาเชื่อกัน
วา ในวนั น้ีเทวดาท้ังหลายจะลงมาอยดู ว ย
ในพระวินยั มหาวรรค อโุ บสถขนั ธกะ ไดก ลาววา สมัยหนง่ึ พระผูมีพระภาคเจาประทับอยู
ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห พวกปริพาชกอัญเดียรถีย89๘๕ ประชุมกันกลาวธรรมในวัน ๑๔ ค่ํา
๑๕ ค่ํา และ ๘ คํ่า แหงปกษ ประชาชนทั้งหลายพากันเขาไปหาเพื่อฟงธรรม พวกปริพาชกอัญ
เดียรถียก็ไดรับความรักความเล่ือมใสและไดพรรคพวก พระเจาพิมพิสารไดทรงทราบเรื่องน้ี ทรงดําริ
วา ถาพระสงฆสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจา ทําการประชุมแสดงธรรมอยางน้ีบาง ยอมเกิดผลดีแก
พระพุทธศาสนาแนแท จึงไดเสด็จไปเฝาพระสัมมาสัมพุทธเจา ณ ท่ีประทับ กราบทูลเรื่องนี้ใหทรง
ทราบ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา จงึ ตรสั เรอ่ื งภิกษุท้งั หลายมาแลว รบั สงกบั ภกิ ษทุ ั้งหลายวา “ภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตใหประชุมกันในวัน ๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า และ ๘ ค่ํา แหงปกษ”แลวน่ังน่ิง ไมไดแสดงธรรม
ประชาชนเขาหาภิกษุเหลานั้นเพ่ือฟงธรรม ไมไดฟงธรรม จึงพากันคอนขอดวา ไฉนพระสมณะเชื้อ
สายพระศากยบุตรทั้งหลายประชุมกันในวัน “๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า และ ๘ คํ่า แลวจึงนั่งน่ิงเหมือนสุกรใบ
เลา90๘๖ ธรรมดาวาผูประชุมกันก็ควรกลาวธรรมมิใชหรือ” พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงทราบเร่ือง จึง
รับส่ังกับภิกษุท้ังหลายวา “ภิกษุท้ังหลายเราอนุญาตใหประชุมกันกลาวธรรมในวัน ๑๔ คํ่า ๑๕ ค่ํา
และ ๘ คํา่ แหง ปก ษ” ภกิ ษุท้งั หลายจงึ ไดแสดงธรรมใหประชาชนฟง ประชาชนตางก็พอใจแลวหันมา

๘๔ องฺ.อฏฐก. (ไทย) ๒๓/๔๔/๓๑๒-๓๑๔.
๘๕ อญั ญเดียรถยี  หมายถงึ ผเู ปนเจาลัทธอิ น่ื นอกจากพระพุทธศาสนา.
๘๖ ส.ํ นิ. (บาลี) ๑๖/๒๔/๔๓.

๖๕
นับถือพระพุทธศาสนา จึงกลายเปนธรรมเนียมถือปฏิบัติกันวาตองมาฟงธรรมทุกวันขึ้น ๑๔ คํ่า ๑๕
ค่าํ และ ๘ ค่ํา แหงปกษ91๘๗

ดังนั้น วันท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจาทรงกําหนดใหภิกษุประชุมกันในวันขึ้นหรือแรม ๘ คํ่า
๑๔ คํา่ ๑๕ คาํ่ น้ีเรียกวา “วันอุโบสถ” ในวนั นี้ทรงอนุญาตใหภิกษุสวดพระปาติโมกขและแสดงธรรม
เทศนาดวย ทําใหมีประชาชนผูสนใจมาฟงธรรมเทศนาจํานวนมาก วันอุโบสถน้ี จึงมีช่ือเรียกอีกอยาง
หนึ่งวา“วนั ธัมมสั สวนะ”แปลวา วันสําหรับฟงธรรมเทศนา หรือเรียกตามภาษาชาวบานวา“วันพระ”
ไมป รากฏในคมั ภรี พ ระพทุ ธศาสนาหรอื พระไตรปฎกและอรรถกถาเลม ใด แตมปี รากฏในหนังสือ “ไตร
ภูมิพระรวง” ซึ่งถือวาเปนวรรณคดีไทยเร่ืองแรกที่พระเจาลิไท กษัตริยรัชกาลที่ ๕ แหงกรุงสุโขทัย
ทรงพระราชนิพนธข ้ึน มีคาํ วา วนั พระปรากฏอยูหลายแหง และวันพระนั้นก็เรียกวา “วันศีล” มีทั้งวัน
ศีลใหญ วันศีลเล็ก ซ่ึงก็คือวันพระใหญและวันพระเล็กน่ันเอง วันพระใหญไดแกวัน ๑๔ คํ่า (วันเดือน
ขาด) และวัน ๑๕ คํ่า และวันพระเล็ก ไดแกวัน ๘ คํ่า และในสมัยพอขุนรามคําแหงก็ทรงเรียก
วันธัมมัสสวนะ วา “วนั พระ” เชนกนั คอื วนั ดี หมายถึงวันที่คนมาทําสิ่งที่ดีๆและถือศีลอุโบสถกันดวย
ความเปน มาของวันอโุ บสถ ยงั สามารถประมวลเปน ประเด็นยอๆ ไวอกี วา

๑. วันอุโบสถ ตามที่เรียกไวในสมัยพระเวทวา “อุปวสถะ” กําหนดไวเดือนละ ๒ วัน คือ
ปก ษละ ๑ วัน ไดแ ก

๑.๑ วนั เพ็ญ ๑๕ คาํ่ (เปารณมาส)
๑.๒ วันขึ้น ๑ ค่าํ (ทรฺศ)
๒. วันอุโบสถ ตามที่กลาวไวในอรรถกถา คังคมาลชาดก และมหาเสสันดรชาดกซึ่งคัมภีร
มังคลัตถทีปนี นํามากลาวถึงไววา สมัยกอนพุทธกาลกําหนดวันอุโบสถ เดือนละ ๖ วัน คือปกษละ ๓
วนั ไดแก
๒.๑ วนั ๑๕ ค่ํา (อมาวสี)
๒.๒ วัน ๘ ค่ํา (อัฏฐม)ี
๒.๓ วนั ๑๑ คํ่า (เอกทสี)
๓. ตอมาในสมัยพุทธกาล มีระบุไวในพระสูตรตางๆ รวมถึงเดือนละ ๖ วันเหมือนกันแต
กําหนดวันแตกตางไปจากขางตนบาง เชน กลาววไวในพระสูตรและในพระบาลีหลายแหงคลายๆกัน
วา “จาตทุ ทฺ สี ปจฺ ทสี ยา จ ปกขฺ สสฺ อฏฐมี ปาฏหิ ารยิ ปกฺขฺจ อฏฐงฺคสุ สมาคตํ อุโปสถํ อุปวสํ สทา
สีเลสุ สํวุตา ดิฉันเขาอยูจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการ ๑๔ คํ่า ตลอดวัน ๑๕ คํ่าและตลอด
วนั ๘ ค่ําของปกษ ทั้งอยูจําปาฏหิ ารยิ ปก ขอโุ บสถดวย สาํ รวมในศลี ท้งั หลายอยตู ลอดเวลา ฯ”
พิจารณาตามความขางบนน้ี วันอุโบสถกําหนดไวเดือนละ ๖ วัน คือ ปกษละ ๓ วัน
เทา กับวันในขอ ๒ ตางแตกําหนดวันเปนอยางนี้
๓.๑ วนั ๑๔ คาํ่ (จาตทุ ทฺ ส)ี
๓.๒ วัน ๑๕ คาํ่ (ปฺจทส)ี
๓.๓ วัน ๘ คํ่า (อฏั ฐม)ี

๘๗ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓๒/๒๐๗-๒๐๙.

๖๖
ที่กําหนดวัน ๑๔ คํ่าเปนวันอุโบสถนั้น หมายถึงวัน ๑๔ คํ่า ขางข้ึนและขางแรม คือ
กําหนดเอาวนั ๑๔ ค่าํ ปก ษละ ๒ วนั ถาเปนเดือนขาด ปกษขางแรมก็กําหนดเอาวัน ๑๓ ค่ํา กับ ๑๔
ค่ํา เปนวันอุโบสถ เม่ือกําหนดวัน ๘ ค่ํา ท้ังขางข้ึนและขางแรมดวย จึงรวมเปนเดือนละ ๖ วัน ครบ
ตามกาํ หนดวันอุโบสถทก่ี ลาวไวใ นพระบาลีหลายแหง เชน คาถาทีย่ กมากลาวไวนั้นและใชวันอุโบสถนี้
เปนวันประชุมฟงธรรมดวย จึงเรียกอีกอยางหนึ่งวา “วันธรรมสวนะ”ดวยเหตุนี้วันอุโบสถหรือวัน
ธรรมสวนะในสมยั พุทธกาล จึงกาํ หนดไวเดือนละ ๖ วันและคาถาท่ีระบถุ ึงโอกาสอีกชนิดหน่ึง เรียกวา
ปาฏหิ ารยิ ปกษอุโบสถ
๔. ครั้นภายหลังพุทธปรินิพพานแลว บรรดาพระเถระผูเปนธรรมสังคาหกาจารย (พระ
อาจารยผูอธิบายธรรม) คิดเห็นกันวาชวงระยะวัน ตั้งแต ๑๔ ค่ํา ๑๕ ค่ํา ไปถึง ๘ คํ่า เปนระยะหาง
จากโอกาสท่ีจะไดฟงธรรม จึงตกลงสมมุติวันที่ ๕ คํ่า กําหนดเปนวันธรรมสวนะเพิ่มข้ึนอีกวันหนึ่งแต
นั้นมาจึงมีวันธรรมสวนะเพิ่มขึ้นอีกปกษละ ๑ วัน วันธรรมสวนะหรือวันอุโบสถ (ซ่ึงนับเปนวันปกติ
อุโบสถ) จงึ กําหนดเปน เดอื นละ ๘ วัน คอื ปก ษล ะ ๔ วัน ไดแ ก
ในชุณหปก ษ (ขางขึ้น) มี ๔ วนั คือ

๑. วนั ๕ ค่ํา (ปฺจมี)
๒. วัน ๘ คํา่ (อฏั ฐม)ี
๓. วัน ๑๔ ค่ํา (จาตทุ ทฺ ส)ี
๔. วนั สิ้นเดอื น (อมาวสี)
ในกาฬปก ษ (ขา งแรม) มี ๔ วัน คือ
๑. วนั ๕ คํ่า (ปจฺ มี)
๒. วัน ๘ ค่าํ (อฏั ฐม)ี
๓. วัน ๑๔ ค่ํา (จาตทุ ฺทส)ี
๔. วันสิน้ เดือน (อมาวสี)
แตคงเปน เพราะวัน ๕ ค่าํ คือวันปญจมีนน้ั มิไดมีมาในพระบาลี และกําหนดมาเพ่ิมเติมกัน
ภายหลัง ทานจึงกลาวไวในคัมภีรมังคลัตถทีปนีวา ดวยเหตุน้ีจึงไมกําหนดวันปญจมีไวในคัมภีรนั้น
เพราะมไิ ดม มี าตลอดกาลทกุ เมื่อ
วนั อุโบสถน้นั เรียกกนั เปน สามญั วา “วันพระ” ซึ่งโดยปกติถอื เปนวันสําคัญในพระศาสนา
เชน เดียวกบั วนั “สปาโต” ของคริสตศาสนา ฝรั่งผูรูบาลีจึงมักจะแปลวันพระหรือวัน อุโบสถ วา Fast
Day บาง Sabbath Day บาง ซ่ึง Sabbath Day นั้นในคริสตศาสนาของเขามีความหมายวา “วัน
หน่งึ ในเจ็ดวันทถ่ี ือเปนการพกั ผอ นจากการงาน” และกลาวถึงไวในบัญญตั ิ ๑๐ ประการของโมเสส ขอ
หน่งึ วา “ทานจงระลกึ ถึงวันสับบาธ ถือเปน วนั พระ”
๕. วันอุโบสถหรือวันธรรมสวนะตามท่ีกําหนดนับถือและปฏิบัติกันมาในประเทศไทยทุก
งันนี้ กําหนดไว ๔ วัน เรียกวา“วันพระ”และอธิบายวันพระไววา“วันประชุมถือศีลฟงธรรมใน
พระพทุ ธศาสนา เดอื นหนงึ่ มี ๔ วนั คอื วนั ขึ้น ๘ ค่าํ หรือขนึ้ ๑๕ คํ่า แรม ๘ คํา่ หรอื วนั สิ้นเดอื น”๘๘

๘๘ ธนิต อยูโพธิ์, อานิสงสอุโบสถศีล, หนา ๔๔-๕๑.

๖๗
ท่ีกลาวมาท้ังหมดเปนความเปนมาของวันอุโบสถทางพระพุทธศาสนา ซ่ึงมีจุดกําเนิดเร่ิม
ต้ังแตกอนสมัยพุทธกาล และเปนเพียงพิธีอยางหนึ่งของพวกพราหมณในสมัยพระเวท เมื่อมาถึงสมัย
พระพทุ ธเจา มนี ักบวชนอกศาสนา คือพวกอัญเดียรถีรไดประชุมกัน เพ่ือสนทนาธรรมกันพระพุทธเจา
ทรงทราบเร่อื ง จงึ ทรงมพี ุทธานุญาตใหกับภิกษุเพื่อแสดงธรรมแกประชาชนมากข้ึน จนไดบัญญัติเปน
สิกขาบท จัดเปนสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ และไดกําหนดวันนี้เปนวันอุโบสถ อุบาสก อุบาสิกา ก็
กําหนดเอาวันน้ีเปนวันถือศีลปฏิบัติธรรมดวย โดยเนนไปที่การอยูรักษาอุโบสถที่ประกอบดวยองค ๘
ประการ
สวนการกําหนดในวนั การถอื ศลี หรือรักษาอุโบสถของอุบาสกอุบาสิกา พุทธศาสนิกชนน้ัน
ไดกําหนดรูปแบบกําหนดวันมาตั้งแตพิธีของพวกพราหมณ และมีการเปลี่ยนแปลงในสมัย
พระพุทธเจา เม่ือหลังพระพุทธเจาเสด็จปรินิพพาน พระเถระผูเปนธรรมสังคาหกาจารย จึงมีความ
คิดเห็นดัดแปลงใหเกิดความเหมาะสมจนถึงสมัยปจจุบันจึงไดมีการกําหนดวันที่รักษาอุโบสถไวอยาง
เปนกฎเกณฑท แ่ี นนอน
๒.๗.๑๐ ความสาํ คัญของอุโบสถศลี
อุโบสถศีล ๘ น้ีในคัมภีรพระพุทธศาสนาเรียกวา อุโบสถมีองค ๘ หรืออุโบสถ อัน
ประกอบดว ยองค ๘ ประการ (อฏฐงคฺ สมนนฺ าคตํอุโปสถํ) เปนขอปฏิบัติขั้นศีล ที่พิเศษกวาศีล ๕ คือมี
จาํ นวนสิกขาบทมากกวาและปฏิบัติเครงครัดกวา ดังจะเห็นไดจากพุทธพจนที่วา “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
ชาติกอน ภพกอน กําเนิดกอน ตถาคตเกิดเปนมนุษย สมาทาน ในกุศลธรรม สมาทานม่ันคงในกาย
สุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ในการจําแนกทาน ในการ สมาทานศีล (สีลสมาทาเน = ศีล ๕) ในการ
รักษาอุโบสถ (มีองค ๘, อุโปสถุปวาเส) ในความเก้ือกูลตอมารดา ในความเก้ือกูลบิดาและในความ
เก้อื กูลสมณะพราหมณห ลงั จากตายแลวไปเกิดในสคุ ตโิ ลกสวรรค”93๘๙
ในพระสุตตันตปฏก ขุททกนิกายชาดก ทาวสักกเทวราชไดตรัสตอบพระเจาเนมิราชท่ี
สงสัยวา ทานก็ดี พรหมจรรยก็ดี อยางไหนมีผลมากกวา กันวา “บุคคลยอมเกดิ ในตระกูล กษัตริยไดดวย
พรหมจรรยอยางต่ํา เขาถึงความเปนเทวดาไดดวยพรหมจรรยอยางกลางยอมบริสุทธิ์ไดดวยพรหม
จรรยอยา งสงู ”94๙๐
ความสําคญั ของอุโบสถศลี คอื ถาบุคคลรักษาดว ยจิตศรัทธาจะดวยการสมาทาน หรือการ
งดเวนเฉพาะหนากต็ ามยอ มมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก มีความเจริญ แผไพศาลมาก
เพราะอุโบสถศีลนั้น สามารถสรางสวรรคสรางความเสมอภาค สรางความ ปลอดภัยแกมนุษย และ
เลิศกวาสมบัตขิ องพระเจา จกั รพรรดิ ดังตอ ไปน้ี
๒.๗.๑๑ อโุ บสถศลี สรางสวรรคแ กมนุษย
อโุ บสถศลี น้นั สามารถสรา งสวรรคแกมนุษยได ดังที่องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ตรัส
แกนางวิสาขา ในวิสาขาสูตร อัฏฐกนิบาต อังคุตตรนิกายวา“วิสาขา อุโบสถประกอบดวยองค ๘
ประการ ท่ีบุคคลเขาจําแลวยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก มีความเจริญแผไพศาล

๘๙ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๐๑/๑๖๓.
๙๐ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๘/๔๒๙/๒๔๗.

๖๘
มาก การที่สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกน้ีเขาจําอุโบสถอันประกอบดวยองค ๘ ประการ หลังจากเขา
แตกกายทําลายขนั ธ

อุโบสถศีลนั้นสามารถสรางสวรรคแกมนุษยได ดังท่ีองคพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา
ตรัสแกนางวสิ าขา ในวิสาขาสตู ร อฏั ฐกนิบาต อังคตุ ตรนิกายวา “วสิ าขา อุโบสถน้ันประกอบดวยองค
๘ ประการ ท่ีบุคคลเขาจําแลวยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก มีความเจริญแผ
ไพศาลมาก การที่สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้ เขาจําอุโบสถอันประกอบดวยองค ๘ ประการ
หลงั จากเขาแตก กายทาํ ลายขันธแ ลวพงึ ไดอ ยรู วมกับชาวสวรรคช ้นั จาตมุ มหาราชกิ า ชั้นดาวดึงสช้ันยา
มา ช้ันดสุ ติ ช้นั นมิ มานรดีและชน้ั ปรนิมมิตวสวัสดี ขอนนั้ ยอมเปน ไปไดแ นนอน”95๙๑

ดังนัน้ ผทู ่ีรกั ษาอุโบสถศีลเมื่อตายไปยอ มไดไปเกดิ ในสวรรคชั้นตา งๆแนน อน
๒.๗.๑๒ อุโบสถศลี สรางความเสมอภาคแกม นุษย
ในอังคุตตรนิกายอัฏฐกนิบาต กลาวถึงอุโบสถศีลวาสามารถสรางความเสมอภาคแก
มนุษยได ดังท่ีองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสกับอุบาสกช่ือวา วาเสฏฐะวา “วาเสฏฐะ แม
กษัตริยท้ังหลาย พราหมณทั้งหลาย แพศยท้ังหลายและศูทรทั้งหลาย พึง เขาจําอุโบสถศีลอัน
ประกอบดวยองค ๘ ประการ การเขาจํานั้น พึงเปนไปเพื่อประโยชน เพ่ือความสุขเพื่อเก้ือกูล เพื่อสุข
ตลอดกาล แกกษัตริย แกพราหมณ แกแพศย และแกศูทร ท้ังหลาย เหลานั้น ช่ัวกาลนานเหมือนกัน
(คือไดไปเกิดในสุคติไดเทาเทียมกัน) แมหากชาวโลกพรอมท้ังเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมูสรรพ
สัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ เทวดา และมนุษยพึงอยูจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการ ในการ
เขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการนั้น พึงเปนไปเพ่ือประโยชนเพ่ือความสุขเพื่อเก้ือกูล เพ่ือ
สุขตลอดกาลนานแกชาวโลกพรอมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมูสัตวพรอมท้ังสมณพราหมณ
เทวดาและมนุษย แมแตตนสาละใหญๆ ถาสามารถเขาจําอุโบสถศีลอันประกอบดวยองค ๘ ประการ
ไดการเขาจําอุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการนั้นก็เปนไปเพ่ือประโยชน เพ่ือความสุขเพื่อเก้ือกูล
เพ่ือสุขตลอดกาลนานแกตนสาละใหญๆเหลานน้ั เหมือนกนั ”96๙๒
สรุปวา การเขาจําอุโบสถอันประกอบดวยองค ๘ ประการนั้น ผูเขาจําไมวาจะเปน
กษัตริย พราหมณ แพศย ศทู ร เทวดา มนุษยท้ังหลายหรือแมแตตนสาละถาเขาจําอุโบสถได และเมื่อ
เขาจําอโุ บสถอนั ประกอบดว ยองค๘ ประการแลว ยอมไดรบั ประโยชนไดร ับความสุขตลอดกาล ท้ังชาติ
นแี้ ละชาติหนา เหมือนกันเทา เทยี มกนั โดยมงุ ทเ่ี จตนาไมมกี ารแบงช้ันวรรณะ หรือสภาวะท่ีแตกตางกัน
ของสตั ว
๒.๗.๑๓ อุโบสถศีลสรางความปลอดภยั แกม นษุ ย
อุโบสถศีลนั้นสรางความปลอดภัยแกมนุษยได ดังท่ีองคพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา
ตรสั ไวในอภิสันทสตู ร อฏั ฐกนบิ าต อังคตุ ตรนิกาย97๙๓ มีใจความวา

๙๑ อง.ฺ อฏก. (ไทย) ๒๓/๔๓/๓๑๐-๓๑๑.
๙๒ อง.ฺ อฏก.(ไทย) ๒๓/๔๔/๓๑๒-๓๑๔.
๙๓ อง.ฺ อฏ ก. (ไทย) ๒๓/๓๙/๒๙๙-๓๐๑.

๖๙

ภิกษุท้ังหลาย อริยสาวกในศาสนานี้ละปาณาติบาตเปนผูเวนจากปาณาติบาต ละ
อทินนาทานเปนผูเวนขาดจากอทินนาทานละกาเมสุมิจฉาจารเปนผูเวนขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร ละ
มุสาวาทเปนผูเวนขาดจากมุสาวาทละสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานเปนผูเวนจากสุราเมรย-มัชช
ปมาทัฏฐาน ช่ือวาเขาไดใหความไมมีภัย ความไมมีเวรและความไมเบียดเบียนแกสัตวทั้งหลายหา
ประมาณมิไดตวั เขาเองกย็ อมมสี วน (ไดร ับ) ความไมมภี ยั ความไมมเี วรและความไมถูกเบียดเบียนดวย
ทานทั้งหาน้เี ปน มหาทานรูก ันวา เปน เลิศ (กวาทานท้ังหลาย) รูกันมานาน รูกันวาเปนวงศ (ของอริยะ)
เปน ของเกาอนั สมณพราหมณผเู ปน วญิ ชู นไมค ัดคา นไมล บลาง

การบริโภคอาหารมื้อเดียวทําใหรางกายสุขสบาย โรคภัยไขเจ็บมีนอยรางกายเบา สบายมี
กาํ ลังและคลอ งตวั การเวน ขาดจากกร ฟอนรําการขับรองประโคมดนตรี ดูละเลนอันเปนขาศึกแกกุศล
เวนขาดจากการทัดทรงตกแตงรางกายดวยดอกไมของหอมเครื่องประทินผิวอันเปนลักษณะแหงการ
แตงตวั การเวน ขาดจากท่นี อนสงู ใหญ สองขอ สุดทายเปนการละกิเลส ราคะ มานะ ท่ีแขงกันมีแขงกัน
ประดบั โออวด ปญ หาการแยงชงิ แขงขันก็ไมเ กดิ ขนึ้ จงึ ทาํ ใหไ มม ภี ัย ไมม ีเวรไมเ บียดเบยี นกัน98๙๔

อน่ึงแมบุคคลผูอํานวยความสะดวก และใหการสนับสนุนผูรักษาศีลดวยการใหอาหาร
เปน ตน กย็ อ มไดผล ไดอ านสิ งส ไดค วามรุงเรอื งและความเจริญแผไ พศาลมาก เชน เดียวกัน

๒.๗.๑๔ อโุ บสถศลี เลศิ กวา สมบัตขิ องพระเจาจักรพรรดิ

ในอังคตุ ตรนิกายอัฏฐกนบิ าต สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจาไดกลาวถึงความสําคัญของการ
รักษาอุโบสถศีลที่บุคคลอยูจําแลวยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก แผไพศาลมากวา
ในอังคุตตรนิกายอัฏฐกนิบาต สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ไดกลาวถึงความสําคัญของการรักษา
อุโบสถศีลท่ีบุคคลอยูจําแลวยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก มีความรุงเรืองมาก แผไพศาลมากกวา
“เปรยี บเหมอื นพระราชาพระองคใดท่ีครองราชยเปนอิสราธิบดี (เปนผูย่ิงใหญเหนือผูอ่ืน) แหงชนบท
ใหญ ๑๖ แควน ท่ีสมบูรณดวยทรัพยสมบัติอันมีแกว ๗ ประการ คือ อัง คะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี
มัลละ เจดี วังสะ กุรุ ปญจาละ มัจฉะ สุรเสนะอัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การครองราชยของ
พระราชาพระองคนั้นยังมีคาไมถึงเสี้ยวท่ี ๑๖ ๙๕ แหงอุโบสถที่ประกอบดวยองค ๘ ประการ เพราะ
99
ราชสมบัตขิ องมนุษยเม่ือนาํ ไปเปรียบเทยี บกับสขุ ทีเ่ ปน ทพิ ยถือวาเปนของเลก็ นอ ย”100๙๖

จะเห็นวาบรรดาคนท่ีรํ่ารวยท่ีสุดในโลกที่ไดช่ือวามหาเศรษฐีของโลก มีทรัพยสินเงินทอง
มหาศาล ความร่ํารวยของมหาเศรษฐีเหลานั้นทั้งหมดในโลกรวมกันเมื่อนําไปเปรียบเทียบกับสมบัติ
ของพระเจา จกั รพรรดแิ ลวเปน ของเลก็ นอย ไมเทยี บเทากับสมบัติของพระเจาจักรพรรดิเลย แตสมบัติ
ของพระเจาจักรพรรดิใหความสุขทางโลกเปนสมบัติหยาบๆเมื่อนําไปเปรียบเทียบกับอุโบสถศีลที่
เปรียบกับการใหความสุขท่ีเปนทิพยแลวถือวาเล็กนอยมากเทียบไมไดเลย ฉะนั้นสตรีหรือบุรุษ

๙๔ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๐/๔.
๙๕ เส้ยี วท่ี ๑๖ ในท่นี ้หี มายถงึ อานสิ งสแหง อุโบสถทแ่ี บงเปน ๑๖ สวน แลวเอาสวน ๑ ใน ๑๖ สวนนั้น
มา แบง เปน อีก ๑๖ สว น แลวเอาสวนหน่ึงจาก ๑๖ สวนทแ่ี บงครงั้ ท่ี ๒ นนั้ มาแบงเปน ๑๖ สวนอีกคร้ังหน่ึงเปนคร้ัง
ท่ี ๓ สว น ๑ ใน ๑๖ สว นทแ่ี บงคร้งั ที่ ๓ น้แี หละจัดเปน เสย้ี วท่ี๑๖.
๙๖ องฺ.อฏ ก. (ไทย) ๒๓/๔๒/๓๐๗, ๒๓/๔๓/๓๑๐, ๒๓/๔๕/๓๑๕.

๗๐
ท้ังหลายที่รักษาอุโบสถศีลประกอบดวยองค๘ ประการ ไดช่ือวาทําบุญทํา ความดีท่ีมีสุขเปนกําไร ไม
ถกู นินทา เม่ือเสียชวี ิตไปยอ มเขา ถึงซ่ึงสวรรค

๒.๗.๑๕ การรกั ษาอโุ บสถศีลสามารถทําใหน าคประเภทตา งๆ สละกายได
ในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค นาคสังยุต อุโปสถสูตรวาดวยอุโบสถ101๙๗ การรักษา ศีล
อโุ บสถเปน เหตเุ ปนปจจัยทาํ ใหน าคท่เี ปน อัณฑชะบางพวกในโลกนี้สามารถสละกายได ในทุติยอุโปสถ
สตู ร102๙๘ การรักษาอุโบสถเปนเหตุเปนปจจัยทาํ ใหน าคทเี่ ปน ชลาพุชะบางพวกในโลกน้ีสามารถสละกาย
ได ในตติยอุโปสถสูตร103๙๙ การรักษาอโุ บสถเปน เหตุเปนปจจัยทําใหนาคที่เปนสังเสทชะบางพวกในโลก
น้ีสามารถสละกายไดและจตุตถอุโปสถสูตร104๑๐๐ การรักษาอุโบสถจึงเปนเหตุเปนปจจัยทําใหนาค
โอปปาติกะบางพวกในโลกนสี้ ละกายได
ในอรรถกถา วินัยปฏก ติรัจฉานคตวัตถุ วาดวยสัตวดิรัจฉานบรรพชา นาคตัวหน่ึงอึดอัด
ระอา รังเกียจกาํ เนิดนาคตองการอัตภาพเปนมนุษย จงึ แปลงรางเปนมนษุ ยแอบมาบรรพชา อุปสมบท
แตพอหลับรางกายก็ปรากฏรางเปนนาคดังเดิม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสกับพระนาคนั้นวา
“พวกเจาเปนนาค ไมมีความงอกงามในพระธรรมวินัยน้ีไปเถิด นาคเจาจงเขาจําอุโบสถในดิถีท่ี ๑๔
ดิถีที่ ๑๕ และดิถีท่ี ๘ แหงปกษน้ันแหละดวยวิธีน้ีอยางน้ีเจาจักพนจากกําเนิดนาคและไดอัตภาพ
มนุษยฉบั พลัน”105๑๐๑
จากการศกึ ษาน้พี บวาการเขาจํารกั ษาศลี อุโบสถนัน้ สามารถสรา งสวรรคสรางความ เสมอ
ภาค สรางความปลอดภัยใหแกมนุษยและใหสมบัติที่นาปรารถนาแกมนุษย ดังน้ันอุบาสก อุบาสิกา
ทั้งหลายจึงควรรักษาศีลใหดี มิใหขาดมิใหดางพรอย ศีลอุโบสถจะนําความสุขความเจริญ มาใหไม
เพียงเทานี้จะเห็นวาการรักษาอุโบสถศีลในสมัยกอนพุทธกาลและในสมัยพุทธกาลมี ความสําคัญมาก
บุคคลในยุคน้ันเมื่อปรารถนาสิ่งใดก็จะทําการรักษาอุโบสถศีลแลวก็จะไดสมดังท่ีปรารถนา ดังเชน
การรักษาอุโบสถศีลของพระเจาจักรพรรดิผูไดรับมูรธาภิเษกเพื่อใหไดจักรแกว อันเปนทิพยท่ีหายไป
กลับคืนมา พระยานาคทั้งหลายรักษาอุโบสถศีลเพ่ือปรารถนาไดไปเกิดบนสวรรคและไดอัตภาพเปน
มนุษยก็สมปรารถนาแมแตพระอรหันตเปนพระอริยบุคคลระดับสูงสุดในพระพุทธศาสนา และเปา
หมายสูงสุดในการประพฤตธิ รรมในทางพระพุทธศาสนาก็เพื่อใหไดบรรลุธรรมเปนพระอรหันต เม่ือได
บรรลุธรรมแลว ก็เปน อันเสร็จกจิ ในพระพุทธศาสนา ส้ินอาสวะกิเลสแลว เปนผูบริสุทธ์ิแลว ไมตองทน
ทุกขทรมานในการเวียนไหวตายเกิดอีกตอไป หน่ึงในธรรมท่ีพระอรหันตและพระอริยบุคคลปฏิบัติก็
คอื การเขา อยจู ํารกั ษาอโุ บสถศลี

๙๗ ส.ํ ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๔/๓๕๑.
๙๘ สํ.ข.(ไทย) ๑๗/๓๔๕/๓๕๒.
๙๙ สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๖/๓๕๒.
๑๐๐ สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๓๔๗/๓๕๓.
๑๐๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๑๑/๑๗๖.

๗๑
๒.๗.๑๖ วิธีการรักษาอุโบสถศีล
ในอรรถกถาอโุ บสถสูตร106๑๐๒ ไดก ลา วถงึ การเขา จําอุโบสถวา บคุ คลผูจะเขาจําอุโบสถศีลน้ัน
พึงต้ังใจวาพรุงน้ีเราจักรักษาอุโบสถ ควรเตรียมตัวใหพรอมดวยการจัดเตรียมอาหารใหพรอมสําหรับ
วันอโุ บสถและตรวจตราการงานใหเรียบรอยเสียแตวันน้ี การงานอะไรที่ควรสั่งคนท่ีบานไววาอยางไร
ก็ใหมอบหมายเสียใหเรียบรอย เมือ่ เขาจาํ อโุ บสถไมค วรจัดแจงการงานทเี่ ปน การกระทําท่ีเบียดเบียนผู
อื่นหรือทําใหผูอ่ืนเดือดรอน ผูเขาจําอุโบสถพึงปลดเปลื้องปลิโพธคือ ความกังวลหวงใยตางๆออกไป
เสียในวันอุโบสถผูรักษาอุโบสถพึงทําการกําหนดกาลวา “เราจักรักษาอุโบสถตลอดวันน้ีและคืนนี้”
จากนัน้ จึงเปลงวาจาสมาทานองคอโุ บสถ ๘ ประการ ในสํานกั ของภกิ ษุ ภกิ ษุณี อบุ าสกหรืออุบาสิกาผู
รูลักษณะของศีล ๑๐ แตเชาตรู หากรูบาลีก็พึงเปลงวาจา สมาทานดวยภาษาบาลีสวนผูไมรูภาษา
บาลี ควรอธิษฐานวา “ขาพเจาอธิษฐานอุโบสถท่ี พระพุทธเจาทรงบัญญัติไวแลว” (พุทฺธปญฺ ตฺตํ อุ
โปสถํ อธิฏฐามิ) ผูสมาทานอุโบสถควรรับประทานอาหารแตเชาไมควรทํากิจใดๆ อยางอื่นไมควรปล
อยเวลาใหลวงไปควรทําการนับอายุของตนวาสิ้นไปเทาใดและพึงระลึกถึงความตายเปนอารมณ เม่ือ
บริโภคอาหารก็ควรบริโภคเหมือนภิกษุผูมีภัตรเปนประจําแลวไปสูวิหารหรือวัดเพ่ือฟงธรรม ศึกษา
ธรรม สนทนาธรรม หรือมนสิการบรรดาอารมณ ๓๘ อารมณอยางใดอยางหนึ่ง (แตในปจจุบันเปน
บริกรรมอาการ ๓๒ มีขน ผม เล็บ ฟน หนัง... เปนตน) ดังท่ีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสกับนาง
วิสาขาวา “วิสาขา เธอมาจากที่ไหนแตยังวันเชียว นางวิสาขากราบทูลวาขาแตพระองคผูเจริญ วันน้ี
หมอ นฉนั จะรกั ษาอโุ บสถ”107๑๐๓
ในฏีกาอุโบสถสูตร วา ผูรักษาอุโบสถพึงทําการกําหนดวา เราจักรักษาอุโบสถตลอดคืนน้ี
และตลอดวันน้ีแลวทําโดยรวมกันดวยอํานาจองคอุโบสถวา “ขาพเจาสมาทานสิกขาบท ๘” แลวทํา
การเปลงวาจาสมาทานอโุ บสถเฉพาะองคต ามบาลีอยา งน้ี วา
๑. ปาณาติปาตา เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ.
๒. อทินฺนาทานา เวรมณีสกิ ขฺ าปทํ สมาทิยามิ.
๓. อพรฺ หมฺ จรยิ า เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทิยาม.ิ
๔. มุสาวาทา เวรมณสี กิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ.
๕. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านา เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ.
๖. วิกาลโภชนา เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทิยาม.ิ
๗. นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณฺ มณฺฑนวิภูสนฏานา เวรมณีสิกฺ
ขาปทํ สมาทิยามิ.
๘. อจุ จฺ าสยนมหาสยนา เวรมณีสกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ. อิมํ อฏงคฺ สมนฺนาคตํ,พุทฺธปฺ ตฺตํ
อโุ ปสถ,ํ อิมฺจรตฺตึ อิมจฺ ทิวส,ํ สมฺมเทว อภิรกขฺ ติ ุ สมาทยิ าม.ิ
ถาไมรูภ าษาบาลี ก็สมาทานเปนภาษาไทยกไ็ ด ดงั น1้ี08๑๐๔

๑๐๒ มงฺคลตฺถ. (บาล)ี ๓/๑๔๐-๑๔๑.
๑๐๓ องฺ.ตกิ . (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๗๙.
๑๐๔ ข.ุ ข.ุ (ไทย) ๒๕/๓/๒-๓.

๗๒
๑. ขา พเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการฆา สตั ว
๒. ขา พเจาขอสมาทานสิกขาบท คอื เจตนางดเวนจากการถอื เอาสิง่ ของท่เี จาของมิไดให
๓. ขา พเจาขอสมาทานสกิ ขาบท คอื เจตนางดเวน จากพฤตกิ รรมอนั มิใชพรหมจรรย109๑๐๕
๔. ขา พเจา ขอสมาทานสกิ ขาบท คือเจตนางดเวน จากการพดู เทจ็
๕. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการดื่มนํ้าเมาคือสุราและ เมรัยอัน
เปนเหตแุ หงความประมาท
๖. ขาพเจา ขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการบรโิ ภคอาหารในเวลาวกิ าล110๑๐๖
๗. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการฟอนรําขับรองบรรเลง ดนตรีดู
การละเลนอันเปนขา สึกตอกุศลและงดเวนจากการทัดทรงประดับตกแตงรางกายดวยดอกไมของหอม
และเครอื่ งลูบไล
๘. ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนางดเวนจากการน่ังนอนบนท่ีน่ังท่ีนอนสูง
และใหญ หรือเมื่อไมรูภาษาบาลีก็พึงสมาทานเฉพาะองคดวยภาษาของตนหรือดวยอํานาจอธิษฐาน
โดยรวมวา “ขา พเจา อธิษฐานอโุ บสถทพี่ ระพุทธเจา ทรงบัญญัติไวแลว”เม่ือไมมีผอู ื่นกอ็ ธิษฐานเองก็ได
๒.๗.๑๗ การสมาทานอุโบสถศีล
การสมาทานองคอุโบสถนั้น ชื่อวาเปนความมงคล เพราะเปนเหตุแหงความเกิดในสวรรค
เปนตน ดังท่ีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสไววา “วิสาขา ผูใดพึงครองราชยเปนอิสราบดีแหง
มหาชนบท ๑๖ เหลานี้ซ่ึงมีรัตนะ ๗ ประการมากมายคืออังคะ มคธะกาสี โกศล วัชชี มัลละ เจตี
วงั สะ กุรุ ปญ จาละ มจั ฉะ สรุ เสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การครองราชยของผูน้ันยอมไม
ถึงเสย้ี วท่ี ๑๖ แหงอโุ บสถซงึ่ ประกอบดว ยองค ๘ ประการ”111๑๐๗ การสมาทาน หมายถึง การถือเอารับ
เอาเพ่ือเปนขอปฏิบัติ, การถือปฏิบัติเชน สมาทานศีล คือรับเอาศีลมาปฏิบัติ112๑๐๘ การวิรัต คือการงด
(อารติ.) การเวน (วิรติ.) ความงด, ความงดเวน เจตนางดเวนจาก ความช่ัว เจตนาเปนเคร่ืองงดเวน
เจตนาจงึ เปน เคร่ืองละเวน คนจะไดชื่อวาผูมีศีล คือ ผูมีปกติกายและวาจาสะอาดปราศจากโทษต
องมีวิรัตวิรัติมี ๓ ประการคือ สัมปตตวิรัติงดเวนในเหตุการณท่ีประสบเฉพาะหนา คือ ความเวนจาก
วัตถุอันประจวบเขามาถึงในขณะน้ันซึ่งตนจะลวงไดแตไมลวง เพราะจิตมีหิริและโอตตัปปะเปนวิรัติ
ของคนผูไมไดต้ังสัตยปฏิญาณไวเชน กําลังจะฆาสัตวแตเกิดความสงสารสัตวในขณะนั้นเกิดความ
ละอายเลยไมฆาแลวปลอยสัตวไป จัดเปนสัมปตตวิรัติ สมาทานวิรัติ งดเวนดวยการต้ังใจสมาทานไว
แตแรกคอื การถอื การเวนดวยการรบั ขอปฏบิ ัตมิ าถือ เมื่อสมาทานแลวก็ตั้งใจรักษาศีลยอมสละแมชีวิต
ของตนไมละเมิดไมกาวลวงท้ังในเวลาสมาทานสิกขาบทและเวลาอื่นจากน้ันจัดเปนสมาทานวิรัติวิธี
สมาทานมี ๒ แบบ คอื

๑๐๕ พฤตกิ รรมอันมิใชพรหมจรรย หมายถึงเจตนาท่ีจะเสพเมถุนธรรม (พฤติกรรมของคนคูกัน) หรือ
เจตนาทแ่ี สดงออกทางกายโดยมุง หมายทจี่ ะเสพเมถุนธรรม.

๑๐๖ เวลาวกิ าล ในท่ีน้ีหมายถงึ เวลาทีเ่ ลยเท่ยี งวนั ไป.
๑๐๗ มงฺคลตถฺ . (บาลี) ๓/๑๔๒.
๑๐๘ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศัพท, หนา ๔๐๑.

๗๓
ปจ เจกสมาทาน คือการสมาทานโดยแยกเปนสิกขาบท หรือเปนขอๆเมื่อทําผิดศีลขอใดก็
ขาดเฉพาะศีลขอน้นั
อกัชฌสมาทาน คือการสมาทานรวมกันทุกสิกขาบทไมแยกขอ ถาขาดขอใดขอหนึ่งก็ถือ
วา ขาดหมด
สมุทเฉทวิรัติ คือ เวนดวยการตัดขาดเปนคุณธรรมของพระอริยบุคคล ทานไมยอม
ละเมดิ ทกุ เหตุการณ แมจ ะถูกทรชนบีบดวยประการตา งๆหรอื ทาํ ชีวติ ใหแ ตกดับกต็ าม113๑๐๙
จากการศกึ ษานี้พบวา การรักษาอุโบสถศีลน้ัน จะสมาทานเองหรือสมาทานกับพระสงฆก็
ได ท้ังน้ีเพราะผูที่อาศัยอยูในถ่ินกันดารไมมีวัดไมมีพระก็สามารถสมาทานเองไดและไมจํากัดสถานท่ี
วาเปนท่ใี ด ที่ใดสัปปายะ สะดวกเก้อื กูลตอการปฏิบัติรักษาก็ทําไดเลย จะเปนท่ีวัด ที่บานท่ีปาหรือใน
ทะเลไดท้ังน้ัน หากผูนั้นมีเจตนางดเวนแลวก็จัดเปนศีลเชนกัน ไมจํากัดสถานท่ี เชนพระโพธิสัตวเมื่อ
ครั้งเสวยพระชาตเิ ปนพระมหาชนกเรือแตกวายน้ําอยูกลางมหาสมุทร สังเกตเห็นพระจันทรเต็มดวงรู
วา วันนี้เปนวันอุโบสถจงึ ทรงบวนพระโอษฐแลวอธิษฐานรักษาอุโบสถ หรือเรื่องของพระเจาอุทัยซ่ึงใน
ชาติกอนเปนเพียงบุรุษเข็ญใจคนหนึ่งในบาน เศรษฐีสุจิปริวารไดอธิฐานอุโบสถครึ่งวันเทาน้ันก็ไดยศ
ใหญเกิดเปนพระเจา อุทยั หรอื แมแ ตนางวสิ าขาและอุบาสกอบุ าสิกาทงั้ หลายกส็ มาทานท่ีบานแตเชาตรู
แลวจึงถือดอกไมของหอมไปสมาทานที่วัดทีหลัง เพื่อทําบุญทําทานรวมถึงการฟงธรรมดวย บุคคลผู
รักษาอุโบสถสมาทานดวยตนเองก็ดี สมาทานยังสํานักภิกษุสงฆก็ดี สมาทานยังสํานักของผูอ่ืนก็ดีก็ได
ชือ่ วา สมาทานแลว หรอื รบั เอามาปฏิบตั แิ ลวสมาทานรวมกด็ ี สมาทานเฉพาะองคก็ดีก็เปนอันสมาทาน
เหมือนกัน ระหวางสมาทานและวิรัติไมแตกตางกันเมื่อสมาทานรวมกัน วิรัติก็อยางเดียวกันเทานั้น
เจตนาก็เปนอันเดียวเหมือนกันคือความตั้งใจท่ีจักรักษาอุโบสถมีองค ๘ และความตั้งใจที่จักงดเวน
บาปทุจริตเพอื่ มิใหองค ๘ แตกทาํ ลาย
๒.๗.๑๘ คุณประโยชนจากการรักษาอุโบสถศลี
การรักษาอุโบสถศีลกอใหเกิดประโยชนมากมาย ท้ังประโยชนที่เกิดข้ึนตอตนเองและตอ
สังคม โดยรวมคณุ ประโยชนองคข องศลี แตละขอ มดี ังน้ี
ศีลขอท่ี ๑ รกั ษาชีวิต
ศลี ขอ ที่ ๒ รกั ษาทรัพยส นิ
ศลี ขอ ที่ ๓ รักษาเกยี รติยศ และความบริสทุ ธิ์
ศีลขอท่ี ๔ รกั ษาสัจจะ
ศลี ขอ ท่ี ๕ รกั ษาใจ (สต)ิ
ศีลขอ ท่ี ๖ รักษาสุขภาพ
ศลี ขอ ที่ ๗ รกั ษาความปลอดภยั
ศลี ขอที่ ๘ รกั ษาความสงบ (สมาธิ)๑๑๐

๑๐๙ พันตรีประยุทธ หลงสมบุญ, คูมือ เบญจศีลเบญจธรรมและอุโบสถศีลฉบับธรรมเจดีย,
(กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพเ ลยี่ งเชยี ง, ๒๕๔๑), หนา ๑๘-๒๐.

๗๔
๑) ประโยชนที่เกิดข้ึนตอ ตนเอง ครอบครวั และสงั คม

๑. เปน ผูมจี ิตเมตตา รจู ักชวยเหลือ และสงเคราะหผูอ่นื
๒. เปน ผไู มม คี วามอยากได ไมมคี วามละโมบในทรัพยสินของผูอนื่
๓. ทาํ ใหค รอบครวั มคี วามสขุ มีความรัก และเขาใจกนั
๔. ทําใหผูอ่ืนรัก ผูอน่ื อยากเขาใกล ไมสรา งศัตรู ไมมผี ูต ิฉนิ นินทา
๕. มีทรพั ยเงินทอง และไมเ สอ่ื มในทรพั ยนน้ั งา ย
๖. เปนผูมีความอดทน สามารถรูจ กั หามใจในความอยากทางกาย และทางใจของตนได
๗. เปนผูไมหลงมวั เมาในกเิ ลส ในความสขุ อนั ไมเที่ยง
๘. เปนผูร จู กั ประมาณตน รูจกั สํารวมตน รูจ กั ใชช วี ิตอยา งความพอเพยี ง115๑๑๑
อุโบสถศีลนี้ มผี ลมากกวาศลี ๕ เพราะนอกจากจะเวนจากบาปแลว ยังงดเวนจากส่ิงท่ีก้ัน
จิตไมใหขึ้นสูระดับสูง คือระดับสมาธิอีกดวย เพราะศีล ๘ ท่ีนอกจากศีล ๕ ลวนแตเปนศีลหรือวัตร
ปฏิบัตทิ ่ยี กจติ ใหส ูงขึ้นสรู ะดับสูง โดยเฉพาะตัวกันราคะ คือ ตัวกามฉันทไมใหเกิดขึ้นไดงาย เพราะได
ปองกันทางเดินหรือทางเกิดของนิวรณขอน้ีไดหลายอยาง ตามหลักที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติไว ศีล
อโุ บสถ มผี ลมากกวาศีล ๕ ดงั กลา ว เพราะเปนศีลที่ทําจิตยางข้ึนสูสมาธิเร็วขึ้นอีกประการคือ เปนศีล
ท่ที ําใหเ บากายเบาใจ ไมตองวุนวายในเรื่องอาหารมื้อเย็น ทําใหตัวเบาไมตองขวนขวายในการแตงตัว
และไมต องไปเกย่ี วของกับเร่ืองที่กอ ใหเ กิดกิเลส เชน การฟอนราํ ขบั รอ ง เปน ตน116๑๑๒
๒.๗.๑๙ อานิสงสจากการรักษาอโุ บสถศลี
อานิสงสจากการรักษาอุโบสถศีลจะเกิดข้ึนตามมามากมาย ซึ่งสามารถสรุปไดเปน ๓
ระดบั ดงั ตอ ไปนี้
๑) ผลในปจจบุ นั ชาติ
๑. ทําใหมีความสุขกายสบายใจ ไมตองเดือดรอน หวาดระแวงหรือหวาดกลัวตอภัย
ใดๆ ทจี่ ะทําใหข าดความปลอดภยั ในชวี ิต
๒. ไดปลูกฝงนิสัยไมมักโกรธ ไมเปนคนเจาโทสะ ไมเบียดเบียนใคร เปนผูรูจักยับย้ัง
ชั่งใจ ไมคิดไปทําใหตนเองหรือใครๆ เดอื ดรอ น
๓.ไดต อกย้าํ สัมมาทฏิ ฐิใหม ่ันคงย่ิงข้ึนเพราะเม่ือไดรักษาศีลยอมเห็นคุณของอานิสงส
อยา งชัดเจน จนเกิดความเกรงกลวั ตอบาปกรรม ซ่งึ จะทําใหเปนผูมีความระมัดระวังในความประพฤติ
ของตนเองเปน อยา งดี
๒) ผลในภพชาติเบื้องหนา
๑. เมื่อละโลกไปแลว จะไปบังเกิดในสุคตโิ ลกสวรรค

๑๑๐ พระพุทธยานันทภิกขุ, คนรักษาศีล ศีลรักษาคน, (กรุงเทพมหานคร : หจก.เอมี่, ๒๕๔๔),
หนา ๑๔.

๑๑๑ เรื่องเดียวกัน, หนา ๑๕.
๑๑๒ พ. สถติ วรรณ, อนปุ ุพพิกถาทีปน,ี (กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัท เซเวน พร้ินติง้ กรุป จํากัด, ๒๕๔๕),
หนา ๑๒๗.

๗๕
๒. เมื่อกลับมาเกิดเปนมนุษยอีกครั้ง ยอมเปนผูที่มีสุขภาพรางกายสมบูรณแข็งแรง
ไมเ จ็บปว ยไข มีอายขุ ัยที่ยืนยาว สมดังท่พี ระผมู ีพระภาคเจาตรัสแกสุภมานพ โตเทยยบุตรใน จูฬกัมม
วิภังคสูตร วา “บุคคลบางคนในโลกนี้จะเปนสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามละปาณาติบาตแลวเปนผูเวนขาด
จากปาณาตบิ าต วางอาชญา วางศาสตราไดมีความละอายถึงความเอ็นดู อนุเคราะหดวยความเกื้อกูล
ในสรรพสัตวและภูตอยูเขาตายไปจะเขาถึงสุคติโลกสวรรคเพราะกรรมน้ันอันเขาใหพรั่งพรอม
สมาทานไวอยางน้ี หากตายไปไมเขาถึงสุคติโลกสวรรค ถามาเปนมนุษยเกิด ณ ท่ีใดๆในภายหลังจะ
เปน คนมีอายุยืน ปฏปิ ทาเปน ไปเพ่ือมอี ายยุ นื ”117๑๑๓
๓) ผลสูงสุด สามารถทําใหผรู ักษาบรรลมุ รรคผลนพิ พานไดเพราะศีลจะเปนพื้นฐานสําคัญ
ท่ีจะทําใหเกิดสมาธิ สมาธิจะเปนบอเกิดแหงปญญา และปญญาท่ีเกิดจากสมาธิน้ี เปนปญญาที่
สามารถรูแจงเห็นแจงตามความเปนจรงิ
ในคัมภรี วสิ ทุ ธิมรรค ทานพรรณนาคณุ ของศีลไวอยางนาจับใจยิง่ โดยใจความวา

“พวกกลุ บุตรในพระศาสนา ไมมีที่พ่ึง (อยางอื่น) เวนไว
แตศีลที่ใครเลาจะพึงกลาวกําหนดอานิสงสไดแมนํ้าใหญคือ
แมน้ําคงคาก็ดีแมน้ําสรัสวดีก็ดีแมน้ํายมุนาก็ดีแมน้ําสรภูก็ดี
แมน ํา้ อจริ วดกี ็ดีแมนาํ้ มหีก็ดีไมอาจจะชําระมลทินของสัตวในโลก
น้ีได แตนํ้าคือศีลสามารถชําระได ลมเจือฝนก็ดี จันทรแดงก็ดี
แกวมุกดาก็ดี แกวมณีก็ดี ไมอาจระงับความรุมรอนของสัตวใน
โลกนไ้ี ด แตศลี ท่บี ุคคลรักษาดแี ลว เปนของประเสริฐ เปนของเย็น
ที่สุด สามารถใหส งบระงบั ได กลิน่ อื่นท่ีจะเสมอดวยกลิ่นศีลซ่ึงฟุง
ไปท้ังในที่ตามลมและทวนลมจักมีแตที่ไหนบันไดสําหรับข้ึน
สวรรคหรือวาประตูในการเขาสูพระนครคือนิพพานอยางอ่ืนท่ีจะ
เสมอดวยศีลจักมีแตท่ีไหน พระราชาทรงเครื่องประดับดวยแกว
มุกดาและแกวมณี ก็ไมงามเหมือนนักพรตผูประดับดวย
เครื่องประดบั คือ ศลี ศลี นน้ั ยอมกําจัดความกลัว แตการติตนเอง
เปนตนไดโดยประการท้ังปวงยอมจะยังช่ือเสียงและความราเริง
ใหเกิดในกาลทุกเม่ือ บัณฑิตพึงทําความเขาใจใหแจมแจงถึง
หัวขอคําบรรยายอันวาดวยอานิสงสของศีล อันเปนรากเหงาของ
คุณท้ังหลาย ซึ่งเปนตัวการท่ีคอยบ่ันทอนโทษท้ังหลายซึ่งเปน
ตัวการท่ีบั่นทอนโทษทัง้ หลาย ดงั พรรณนามาฉะน1้ี18๑๑๔
จากขอความดานบน ซึ่งคัดยอมาจากคัมภีรวิสุทธิมรรค ไดพรรณนาอานิสงสของศีล
สําหรับผูประพฤติปฏิบัติอยางถูกตองยอมไดรับผลอันสูงคาหาประมาณมิไดเปนท่ีแนนอน นอกจากน้ี

๑๑๓ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๒/๓๕๔.
๑๑๔ พระพุทธโฆสาจารย, วิสุทธิมรรค ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพธนาเพลส จํากัด,
๒๕๕๖), หนา ๑๒๘.

๗๖

ศลี ยังเปน เคร่อื งวดั คณุ คา ของความเปนมนษุ ย ทาํ ใหค นตางจากสัตวดริ จั ฉานในดานคุณธรรม สงผลให
มนุษยอ ยูรวมกนั ในสงั คมอยางสงบสุข แตหากคนขาดศีลธรรมเสียแลว จิตใจยอมไมตางอะไรจากสัตว
ดิรัจฉาน เปนที่นาสังเกตอยูวา ผูใดก็ตามรักษาศีลแลวยังเดือดรอนวุนวายอยูเพราะการรักษาศีล ก็
แสดงวา รักษาศลี ไมเปน จะตอ งรักษาใหถูกตอ งเสียใหมอานิสงสยอ มจะพึงหวงั ไดเ ปน ทีแ่ นน อน

๒.๘ บริบทพืน้ ที่

ผูวิจัยศึกษากลุมชาวพุทธผูรักษาอุโบสถศีลในเขตเทศบาลนครขอนแกนจํานวน ๕ ชุมชน
โดยเลือกจากชุมชนท่ีโดดเดนในการรักษาอุโบสถศีล มีกิจกรรมสงเสริมการรักษาอุโบสถศีลแกชาว
พุทธ ผูเขาวัดรักษาอุโบสถศีลมีหลากหลาย มีพระสงฆทรงภูมิรูในการสอนพระกรรมฐานประจํา
ดงั ตอไปน้ี

๑) ชุมชนวัดธาตุ ตําบลในเมือง อาํ เภอเมือง จงั หวดั ขอนแกน
ชุมชนวัดธาตุเปนพ้ืนท่ีชุมชนเกาแก แตกอนเรียกชุมชนเมืองเกา ประชาชนอยูรวมกัน
หนาแนน ประกอบอาชีพทั้งภาครัฐและเอกชน มีคณะกรรมการบริหารชุมชน ประกอบดวยประธาน
กรรมการ และเลขานกุ ารชุมชม คุม วัดธาตุ มี ๔๒๒ หลังคาเรอื น ประชากร ๒,๒๐๐ คน
๒) ชุมชนวัดโพธ์ิโนนทนั ถนนโพธิสาร ตาํ บลในเมือง อาํ เภอเมือง จังหวดั ขอนแกน
ชุมชนวัดโพธ์ิโนนทันเปนชุมชนที่ขึ้นกับเทศบาลนครขอนแกน โดยมีวัดโพธิ์เปนศูนยรวม
จิตใจ นอกจากนี้ยังเปนสํานักปฏิบัติธรรมแหงที่ ๑ ประจําจังหวัดขอนแกน วัจัดกิจกรรมสงเสริมการ
ปฏิบตั ิธรรมแกชาวพุทธตลอดป มผี ูเขาไปรักษาศีล ๕ และอุโบสถศีลทุกเพศทุกวัย ในชุมชนประชาชน
ประกอบอาชีพหลากหลายท้ังภาครัฐ เอกชน คาขายรับจาง มีการแบงชุมชนโนนทัน ๑ – โนนทัน ๙
มีหลงั คาเรือนจาํ นวน ๒,๗๗๙ หลงั และประชากรจํานวน ๑๐,๔๙๘ คน
๓) ชมุ ชนวัดหนองแวง ถนนกลางเมอื ง ตาํ บลในเมือง อาํ เภอเมือง จงั หวัดขอนแกน
วัดหนองแวงเปนพระอารามหลวงท่ีมีพระธาตุสวยงาม เปนแหลงทองเท่ียวทางวัดจัด
กิจกรรมสงเสริมการปฏิบัติธรรมตลอดปทุกวันพระ วันอาทิตย จะมีผูคนเขารวมกิจกรรมบุญเปน
จํานวนมาก ชุมชนวัดโพธิ์หนองแวงจะมีคณะกรรมการบริหารตําปหนงตางๆ เชนเดียวกันกับชุมชน
อื่นๆ โดยจะแบงเปนชุมชนหนองแวงเมืองเกา ๑ -๔ มีครัวเรือน ๑,๐๓๕ ครัวเรือน ประชากรรวม
๔,๐๑๐ คน
๔) ชมุ ชนวัดวฒุ าราม
ชมุ ชนวัดวฒุ ารามเปน ชุมชนทีป่ ระกอบดวย ชมชน กศน. มีลักษณะแออัด-กึ่งเมือง ชุมชน
โนนหนองวัด ๑ มีลักษณะกึ่งเมือง ชุมชนโนนหนองวัด ๒ เปนชุมชนแออัด ชุมชนโนนหนองวัด ๓,
ชุมชนโนนหนองวัด ๔, ชุมชนหนองวัดพัฒนา และชุมชนวัดวุฒารามเปนชุมชนเมือง มีครัวเรือน
จาํ นวน ๑,๙๑๗ ครัวเรือน ประชากรจาํ นวน ๗,๘๘๖ คน
๕) ชมุ ชนวดั ศรีนวล
ชุมชนวัดศรีนวลเปนชุมชนที่ประกอบดวยคุมพระลับซึ่งเปนชุมชนเมือง มีหลังคาเรือน
จํานวน ๓๗๐ ครัวเรอื น ประชากรจาํ นวน ๒,๐๕๐ คน

๗๗

๒.๙ งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวของ

อาภรณ พุกกะมาน และคณะ ไดก ลา วถงึ ในผลงานการวิจัย เรื่อง การศึกษาการสอนศีล
เพือ่ สรา งเสรมิ พุทธธรรมจรยิ ในสังคมไทย ไววา พทุ ธบริษัทฝายคฤหัสถ จะมีขอกําหนดความประพฤติ
ขั้นตํ่าสดุ ในมาตรฐานของศีล ๕ แตผใู ฝใ จพฒั นาตนสคู วามสงู ข้ึนจะปฏิบัติใหดียิ่งข้ึนไดอีก เชน รักษา
ศีล ๘ คําวา ศลี ๘ น้เี ปนคาํ เรียกพน้ื บาน ทม่ี าในพระไตรปฎกมีอยูหลายคํา เชน อุโบสถประกอบดวย
องค ๘ ภาษาบาลีวา อฏฐงฺ คสมนฺนาคตอุโปสถ อุโบสถมีองค ๘ ภาษาบาลีวา อฏฐงฺคิกอุโปสถ องค
อุโบสถ ๘ ภาษาบาลีวา อฏฐอุโปสถงฺค อุโบสถประกอบดวยองค ๘ ประการ ในการรักษาอุโบสถศีล
แตละอยางนัน้ พระพทุ ธเจาตรสั วา มคี วามแตกตา งกันในทางปฏิบตั แิ ละผลของการปฏิบตั ิ119๑๑๕

ขันทอง วัฒนะประดิษฐ120๑๑๖ ศึกษาเร่ืองพุทธวิธีสรางแรงจูงใจในการรักษาศีล มี
วัตถุประสงคเพื่อศึกษาพุทธวิธีสรางแรงจูงใจในการรักษาศีล ๕ ดวยการถอดบทเรียนในคัมภีร
พระพุทธศาสนา ซึ่งทําใหเห็นถึงเหตุที่พระพุทธเจาสามารถสรางแรงจูงใจในการรักษา ศีล ๕ ไดนั้น
เพราะพระองคทรงเขาใจแรงจูงใจพ้ืนฐานของมนุษย ลักษณะของแรงจูงใจท่ีปรากฏอยูใน คัมภีร
พระพุทธศาสนามีทั้งท่ีเปนแรงจูงใจภายนอก ไดแก แรงจูงใจจากความศรัทธาในพระพุทธเจา และ
แรงจูงใจภายใน ไดแก แรงจูงใจที่เกิดจากความกลัว, แรงจูงใจที่เกิดจากตัณหา มานะ และทิฏฐิ
แรงจงู ใจท่ีเกดิ จากกฎแหงกรรม พระพทุ ธเจาทรงใชประโยชนจ ากแรงจูงใจเหลานี้นํามาสรางแรงจูงใจ
ในการรักษาศีล ๕ พุทธวิธีที่พระองคใชในการสรางแรงจูงใจในการรักษาศีล ๕ คือ ทรงใชอภิญญา
กําราบผูด้ือร้ันและเอื้อประโยชนแกผูฟง, ทรงนําประโยชนที่เกิดจากความปรารถนาความสุขของ
มนษุ ย มาสรางแรงจงู ใจที่มงุ สําเร็จในส่ิงที่ปรารถนาเปนความสุขที่แทจริง, ทรงใชประโยชนจากความ
กลวั นํามาสรา งแรงจงู ใจใหเ ห็นโทษและภัยของการละเมดิ ศลี และทรงใชป ระโยชนจากความเชื่อเร่ือง
กรรม นํามาสรา งแรงจูงใจโดยจุดมงุ หมายเพ่อื นาํ ไปสูการบรรลุธรรม

แรงจูงใจภายนอกที่เกิดข้ึนจากกัลยาณมิตรมีบทบาทท่ีสําคัญในการสรางแรงจูงใจในการ
ปฏิบัติตามศีล ๕ คุณสมบัติท่ีสําคัญของกัลยาณมิตรก็คือ การทําหนาที่เปนแบบอยางของผูที่ปฏิบัติ
ตามหลักศีล ๕ และจําเปนที่ตองรูวิธีการสรางแรงจูงใจเพ่ือใหเหมาะกับความเช่ือพื้นฐานของแตละ
บคุ คล หมบู า นรักษาศีล ๕ จะเกิดข้ึนไดก็ตอเมื่อหมูคนผูรักษาศีล ๕ รวมพลังในการชักชวนใหสมาชิก
ที่ อยูรวมดวยโดยเริ่มจากคนในครอบครัว สรางครอบครัวใหเปนครอบครัวสัมมาทิฏฐิ โดยมีศีล ๕
เปนหลักพื้นฐานในการดาํ เนินชวี ิตขยายผลไปสูช ุมชนเปน สงั คมที่มคี วามสุข

๑๑๕ อาภรณ พุกกะมาน, ชัยพร วิชชาวุธ, เกียรติ เปมกติ ติ, การศกึ ษาการสอนศีลเพื่อเสริมสรางพุทธ
ธรรมจริยาในสังคมไทย, (กรงุ เทพมหานคร: เจริญผล, ๒๕๒๘), หนา ๑๖.

๑๑๖ ขนั ทอง วฒั นะประดิษฐ, พุทธวิธีสรางแรงจูงใจในการรกั ษาศลี ๕, วารสารจติ วิทยา มหาลยั เกษม
บัณฑติ , ปท ี่ ๕ (มกราคม – มถิ นุ ายน, ๒๕๕๘): หนา ๑-๑๕.

๗๘
พระมงคล จกกฺวโร (วิชาชัย)121๑๑๗ เร่ืองศึกษาพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชใน
ชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิกองคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัด
กาฬสินธุ มีวัตถุประสงคดังตอไปน้ี ๑) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวัน ของ
บุคลากรและสมาชิกองคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ ๒) เพื่อศึกษา
เปรียบเทียบพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิกองคการบริหาร
สวนตําบล ในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ และ ๓) เพ่ือศึกษาขอเสนอแนะเก่ียวกับพฤติกรรม
การนําศีล ๕ ไปใช ในชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิกองคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอ
ฆอ งชัย จังหวัดกาฬสินธุ กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย ไดแก บุคลากรและสมาชิกสภาองคการบริหาร
สวนตาํ บลในเขตอาํ เภอฆองชยั จังหวัดกาฬสนิ ธุ จาํ นวน ๑๕๒ คนโดยใชสตู รของทาโร ยามาเน (Taro
Yamane) เคร่อื งมือทใ่ี ชใ นการเก็บ รวบรวมขอมูลเปนแบบสอบถามมาตราสวนประมาณคาหาระดับ
มีคาความเชื่อมั่นท้ังฉบับเทากับ ๘๖ สถิติ ท่ีใชในการวิเคราะหขอมูล ไดแก รอยละ (Percentage)
คาเฉลี่ย (X) สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เปรียบเทียบ ความคิดเห็นโดยใชการทดสอบคา t-test
ความแปรปรวนทางเดียว F-test หรือ (One-way ANOVA) ผลการวิจัย พบวา ๑) พฤติกรรมการนํา
ศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิกองคการบริหารสวน ตําบลในเขตอําเภอฆองชัย
จังหวดั กาฬสนิ ธุ โดยรวมอยูในระดับมาก เมื่อพิจารณาเปนรายดาน ปรากฏวา อยูในระดับมากทั้งหา
ดาน ลําดับตามคาเฉลี่ยจากมากไปหานอยโดยดานท่ีมีคาเฉล่ียสูงสุด คือ ศีลขอที่ ๓ เวนจากการ
ประพฤติผิดในกาม รองลงมาไดแก ศีลขอที่ ๒เวนจากการลักทรัพย สวนดานท่ีมีคาเฉลี่ยนอย ท่ีสุด
คอื ศีลขอท่ี ๑ เวน จากการฆา สตั ว
๒) ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและ
สมาชิก องคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ พบวา บุคลากรและสมาชิก
องคก ารบริหาร สวนตําบลทม่ี เี พศ อายุ และระดับการศึกษาตางกัน มีพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชใน
ชวี ติ ประจําวนั โดยรวมไมแ ตกตา งกัน
๓) ขอเสนอแนะเก่ียวกับพฤติกรรมการนําศีล ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและ
สมาชิก องคการบรหิ ารสวนตาํ บลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ คือ ศีลหาเปนเคร่ืองมือสราง
ความมีระเบียบ แบบแผนในการดําเนินชีวิต และการอยูรวมกันในสังคม และถือเปนกฎเกณฑ
ความสําคัญพ้ืนฐานในสังคม เพ่ือใหคนอยูรวมกันดวยดี ไมเบียดเบียนกัน การถือศีล ๕ และการ
ประพฤติปฏิบัติตนเปนคนท่ีนั้นเปนสิ่งที่ ควรทําอยางตอเนื่องและสม่ําเสมอเพราะจะทําใหชีวิตเรามี
ความสุข และสมหวังหรอื หากเราตองเจอกับ ปญหาหรืออุปสรรคที่หนักหนาในชีวิตก็จะทําใหเรามีสติ
และรอบคอบในการแกปญหาเหลาน้ันใหผานพนไป และทําใหเราไดใชปญญาในการทํางานและสราง
ความกาวหนาใหก บั ชวี ติ และครอบครวั ของเราไดอ ยางเต็มที่ เต็มกาํ ลังความสามารถ

๑๑๗ พระมงคล จกกฺวโร, ศึกษาพฤติกรรมการนาํ ศลี ๕ ไปใชในชีวิตประจําวันของบุคลากรและสมาชิก
องคการบริหารสวนตําบลในเขตอําเภอฆองชัย จังหวัดกาฬสินธุ, วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
วทิ ยาเขตรอ ยเอด็ , ปท ี่ ๔ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม-มิถุนายน, ๒๕๕๘): หนา ๓๑๑-๑๓๒๔.

๗๙
บุญหนา จิมานัง และคณะ122๑๑๘ ไดทําการศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการรักษาศีลหาของเด็ก
เยาวชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแกน โดยมีวัตถุประสงค ๑) เพ่ือศึกษาพฤติกรรม การ
รักษาศีล ๕ ของเด็กเยาวชน ตําบลโคกสีอําเภอเมือง จังหวัดขอนแกน ๒) เพื่อศึกษาปจจัยนํา ปจจัย
เอื้อและปจจัยเสริมท่ีมีผลตอพฤติกรรมการรักษาศีล ๕ ของเด็กเยาวชน ตําบลโคกสี อําเภอ เมือง
จังหวัดขอนแกน โดยใชแบบสอบถามเปน เครื่องมอื ในการเก็บรวบรวมขอมูลเด็ก เยาวชน ตําบลโคกสี
ที่มีอายุระหวาง ๑๓-๒๕ ป จาก ๘ หมูบาน จํานวน ๓๐๐ คน ไดผลการศึกษาท) พฤติกรรม) การ
รักษาศีล ๕ พบวา เดก็ เยาวชนตาํ บลโคกสปี ระพฤติผิดศลี ขอ ๑ เคยฆา สัตวเ ล้ียงรอยละ 36.00 เคยฆา
สัตวปารอยละ ๓๒.๔๐ ประพฤติผิดศีลขอ ๒ เคยหยิบเงินพอแมโดยพลการ รอยละ ๕๐.๐๐ เคยยืม
เงนเพ่ือนไมคืน รอยละ ๓๙.๐๐ เคยหยิบของคนอื่นโดยยังไมอนุญาติ รอยละ ๓๐.๐๐ ประพฤติ ผิด
ศีลขอ ๓ เคยไปเท่ยี ว (ชสู าว) กบั คนทีไ่ มใชสามหี รือภรรยารอยละ ๓๕.๓๐ เคยมีเพศสัมพันธ กับคนท่ี
ไมใชสามีหรือภรรยา รอยละ ๑๒.๓๐ ประพฤติผิดศีลขอ ๔ เคยพูดโกหก รอยละ ๙๖.๐๐ ประพฤติ
ผิดศีลขอ ๕ เคยสูบบุหร่ี ดื่มเหลาหรือเบียรรอยละ 46.30 มีคะแนนพฤติกรรม การรักษา ศีลรวมทุก
ขอ ในระดับนอยรอยละ ๕๔.๐๐ ท่ีเหลือเปนระดับปานกลางรอยละ ๔๖.๐๐ โดยมีคะแนน เฉล่ีย
๑๗.๗๙ จากคะแนนตํ่าสุด สูงสุด ๒๔ ๒) เปรียบเทียบพฤติกรรมการรักษาศีล ๕ ของเด็กเยาวชน
ตําบลโคกสพี บวาเด็กเยาวชนอยใู นหมูบา นตางกนั เพศตางกนั การเรียนหนังสือตางกัน รายได ตางกัน
มีพฤตกรรมการรักษาศีลแตกตางกัน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ี ๐.๐๕ สวนเด็กเยาวชนอายุ ตางกัน
สถานภาพสมรสตางกัน จบการศึกษาตางกัน มีอาชีพตางกัน มีระยะทางหางจากวัดตางกัน มี
พฤตกิ รรมการรกั ษาศีลไมแ ตกตางกนั อยางมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิที่ ๐.๐๕ ๓) ปจจัยท่ีมีผลตอ พฤติกรรม
การรกั ษาศลี พบวา พฤติกรรมการรักษาศลี หาของเด็กเยาวชนมีความสัมพันธกับ การรักษาศีล ๕ ทุก
ขอในเชิงบวก มีปจจัยเอื้อบางตัวไดแก การปฏิบัติและรวมกิจกรรมทางศาสนา ของเด็กเยาวชนมี
ความสัมพันธกับพฤติกรรมการรักษาศีล ๕ เชิงลบ แสดงวา เด็กเยาวชน ที่มีการรักษาศีลขอใด จะมี
ผลตอ พฤตกิ รรมการรกั ษาศีลขอ อน่ื ๆ ดวย แตเด็กเยาวชนทีม่ กี ารปฏบิ ัติ และรว มกิจกรรมทางศาสนา
มากไมมผี ลตอ พฤติกรรมการรักษาศลี
จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวของ สรุปความไดวา การรักษาอุโบสถศีลคือ
การรักษาศีล ๘ ประการ โดยจะตองประพฤติปฏิบัติเย่ียงพระดวยการบําเพ็ญเนกขัมมะ ซ่ึงโดยปกติ
จะรักษาวันพระจึงเรียกวา อุโบสถศีล ท้ังนี้มีวัตถุประสงคเพื่อฝกอบรมอินทรียเปนการกระทําท่ีขม
จิตใจใหบริสุทธ์ิระงับกําจัดรากฐานกิเลสกองใหญ ไดแก โลภะ โทสะ โมหะ ถือเปนการประพฤติ
พรหมจรรยหรอื เรยี กวา การบวชชว่ั คราว การรักษาอโุ บสถศีลหรือศีล ๘ นั้น กอใหเกิดอานิสงสหลาย
ประการ แตโดยสรุปทําใหจิตใจสงบ บริสุทธ์ิ อยูในอารมณแหงนิพพานตลอดการรักษาจนเปน
แนวทางใหเขาถึงนิพพานในท่ีสุด คุณคาของการรักษาอุโบสถศีลสูงสงประมาณมิไดโดยเฉพาะศีล
ประการท่ี ๖ ๗ และ ๘ เปนการประพฤตทิ ่ีมงุ ลดละเลกิ กิเลสทางตรง เรียกวา ฝกหัดขัดเกลาจิตใหเขา
สูนพิ พานโดยแทจรงิ

๑๑๘ บญุ หนา จิมานังและคณะ, พฤติกรรมการรักษาศีลหาของเด็กเยาวชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง
จงั หวดั ขอนแกน , (ขอนแกน: มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐), บทคัดยอ .

๘๐

๒.๑๐ กรอบแนวคิดในการวจิ ัย

การวจิ ยั ในคร้ังนผี้ ูว จิ ยั ไดศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของนํามาวิเคราะหและสังเคราะห
กําหนดเปนกรอบแนวคิดในการศึกษาคนควาเร่ือง การสงเสริมพฤติกรรมที่พ่ึงประสงคของคนใน
ครอบครัวดวยการรักษาอุโบสถศีลของชุมชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน ดังแสดงไวใน
แผนภาพที่ ๑

การสง เสรมิ พฤติกรรมทพี่ ่ึงประสงคของคนในครอบครวั ดวยการรักษาอโุ บสถศีล
ของชมุ ชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน

แนวคดิ พฤติกรรมการอยรู วมกันในสงั คม หลกั ธรรมสําหรับการอยรู วมกนั
แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ยี วกบั ความตองการของ ตามหลักทิศ ๖
หลักสังคหวตั ถุ ๔
มนษุ ย
หลักสาราณียธรรม ๖
พรหมวหิ าร ๔

พฤติกรรมที่พงึ ประสงคของคนในครอบครัวและชมุ ชน ดวยการรักษาอโุ บสถศลี
๔ ดาน คือ ดานกาย ดานวาจา ดานใจหรอื อารมณ และดานสังคม

สรปุ การวิจัย อภิปรายผล และขอเสนอแนะ

แผนภาพที่ ๑ กรอบแนวคิดในการวิจัย

บทท่ี ๓

วิธีการดาํ เนนิ การวจิ ยั

บทนี้เปนการนําเสนอสาระสําคัญเก่ียวกับวิธีวิจัย ซ่ึงประกอบดวย ประชากรและ
กลุมเปาหมาย เครอ่ื งมอื ในการวิจัย การเก็บรวบรวมขอมูล และการวิเคราะหขอมูล ผูวิจัยใชการวิจัยเชิง
คุณภาพ (Qualitative Research) สํารวจ (Survey Research) เพื่อศึกษาการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึง
ประสงคของคนในครอบครัวดวยการรักษาอุโบสถศีลของชุมชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน
เปนตน นอกจากน้ี ผูวิจัยไดศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของเพ่ือเปนแนวทางในการวิจัยและ
กําหนดการศึกษาเปนเชิงคุณภาพ โดยการใชแบบสัมภาษณ (Interview) ท่ีมีโครงสราง ในสวนของความ
สอดคลองกับยุทธศาสตรการพัฒนาและนวัตกรรม ผูวิจัยนําวิธีการวิจัยมาปรับใช ดังน้ันเพื่อใหการวิจัย
บรรลผุ ลตามวัตถปุ ระสงคของการวิจยั ผวู ิจยั กาํ หนดวิธีการดําเนินการวจิ ยั ดังน้ี

๓.๑ รูปแบบวจิ ัย
๓.๒ ประชากรและกลมุ ตัวอยางทใ่ี ชในการวิจัย
๓.๓ ขอบเขตพืน้ ที่ในการวจิ ัย
๓.๔ เครื่องมือทใ่ี ชใ นการวจิ ยั
๓.๕ การสรา งเคร่ืองมอื
๓.๖ การเกบ็ รวบรวมขอ มูล

๓.๑ รูปแบบวิจยั

การวจิ ัยเร่อื ง การสงเสรมิ พฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคนในครอบครัวและชุมชน ดวยการ
รักษาอุโบสถศีลของชุมชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน เปนการวิจัยในเชิงเอกสาร
(Document Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative Research) ภาคสนาม (Field
Study) โดยศึกษากลุมเปาหมายเพื่อใหทราบถึงแนวคิด หลักการในการสงเสริมพฤติกรรมและการ
พัฒนาคุณภาพชวี ติ ในครอบครวั ของชมุ ชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนครขอนแกน แลวนําขอมูลที่ไดมา
วิเคราะหป ระกอบงานวิจยั แลวโดยใชวิธแี บบผสมผสานดงั นี้

๑. การศึกษาในเชิงเอกสาร (Document) ทําการศึกษาและรวบรวมขอมูลจากเอกสารและ
หลักฐานท่ีเก่ียวของ เชน พระไตรปฎก หนังสือ รายงานการวิจัย เอกสารแสดงพฤติกรรมท่ีพึงประสงค
ของคนในครอบครัวและชุมชน ดวยการรักษาอุโบสถศีลใหเห็นแนวคิด หลักการ ความเปนมา การพัฒนา
คณุ ภาพชวี ติ และพฤติกรรมที่พงึ ประสงคของคนในครอบครวั ดว ยการรักษาอโุ บสถศีล

๒. การศกึ ษา คนควา และรวบรวมขอ มูลจากเอกสารและหลักฐานที่เก่ียวของกับการสงเสริม
พฤตกิ รรมทีพ่ ึงประสงคของคนในครอบครัวและชมุ ชน ดว ยการรกั ษาอโุ บสถศลี

๘๒

๓. ทําการวิเคราะหแนวคิด ทฤษฏีเกี่ยวกับการสงเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงคของคนใน
ครอบครัวและชมุ ชน ดว ยการรกั ษาอโุ บสถศลี

๔. วิเคราะหขอมูลภาคสนามจากการสัมภาษณกลุมเปาหมายท่ีเกี่ยวของ แลวนําเสนอ
งานวจิ ัยเชิงพรรณนา

๕. สรุปผลการศึกษาที่ใหเห็นการสงเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงคของคนในครอบครัวและ
ชมุ ชน ดวยการรกั ษาอุโบสถศลี ของชมุ ชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน

๓.๒ ประชากรและกลมุ เปา หมายที่ใชใ นการวจิ ยั

การวิจยั คร้งั นี้ ผูวิจัยไดกาํ หนดประชากรและกลมุ เปา หมาย ดงั น้ี

ประชากรและกลุมเปาหมายที่ใชในการวิจัยคร้ังนี้เปนการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) เพือ่ ใหไ ดขอ มลู ท่ีชดั เจนและเปนผทู ่ีมีสว นเก่ียวของกับการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงค
ของคนในครอบครวั ดว ยการรักษาอโุ บสถศีลของชมุ ชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน ไดแก

กลุมเปา หมาย คือ ผูทเ่ี กย่ี วของกบั ผูรกั ษาอุโบสถศีลจาํ นวน ๗๐ คน แบง เปน

- พระสงั ฆาธกิ ารระดับเจาอาวาส ๕ รูป
สัมภาษณพระโสภณพัฒนบัณฑิต, รศ.ดร. (เจาอาวาสวัดธาตุ (พระอารามหลวง)
สมั ภาษณพ ระธรรมวิสทุ ธาจารย (เจา อาวาสหนองแวง (พระอารามหลวง)
สัมภาษณพ ระครูภาวนาโพธิคณุ (เจาอาวาสวดั โพธิ)์
สัมภาษณพระครูอรรถสารเมธี (เจาอาวาสวุฒาราม)
สัมภาษณพระครูสิรธิ รรมนิเทศก (เจาอาวาสศรีนวล)

- พระอาจารยสอนกรรมฐานและจดั กจิ กรรมเกีย่ วกบั การรักษาอโุ บสถศีล ๕ รปู
พระครสู ิรสิ ตุ าภรณ พระวปิ สสนาจารยป ระจําวดั ธาตุ
สมั ภาษณพ ระมหานิพนธ มหาธมมฺ รกฺขิโต, พระวปิ ส สนาจารยป ระจาํ วดั โพธ์โิ นนทนั
สัมภาษณพระครสู ุตสารวิสทุ ธิ, พระวปิ ปสสนาจารยประจําวดั หนองแวง
สมั ภาษณพระครวู ฒุ ิธรรมาภริ าม, พระวิปปสสนาจารยประจําวัดวุฒาราม
สัมภาษณพระฮอนดา วาทสทโฺ ท, ดร., พระวปิ ส สนาจารยป ระจําวดั ศรีนวล

- ผรู ักษาอโุ บสถศลี อโุ บสถและครอบครวั ๕๕ คน (ดรู ายละเอยี ดในภาคผนวก)

- คณะกรรมการบรหิ ารชมุ ชน ๕ ชมุ ชน โดยเลอื กจากชุมชนละ ๑ คน รวม ๕ คน
นายเติมศักดิ์ เดชโบราณ (ประธานชมุ ชนวดั ธาต)ุ
ร.อ. สระจติ สีดาทนั (ประธานชุมชนโนนทัน ๑)
นายสงกา แทภ ูเขยี ว (ประธานชมุ ชนวฒุ าราม)
นายนยิ ม ทวีโคตร (ประธานกรรมการชมุ ชนวดั หนองแวง ๔)
แมศ ริ ินธร กลน่ิ ศรสี ขุ (ประธานชมุ ชนพระลบั = วดั ศรีนวล)

รวมทัง้ สิน้ ๗๐ รปู /คน

๘๓

๓.๓ ขอบเขตพนื้ ทใี่ นการวิจยั

การวิจัยคร้ังน้ีผูวิจัยไดกําหนดพื้นที่ในการทําวิจัย ชุมชนชาวพุทธในเขตเทศบาลนคร
ขอนแกน ๙๕ ชมุ ชน เลือกศกึ ษา ๕ ชุมชน ๑. ชุมชนวัดธาตุพระอารามหลวง ๒. ชุมชนวัดหนองแวง
๓. ชุมชนวัดโพธิ์โนนทัน ๔. ชมุ ชนวัดวฒุ าราม ๕. ชุมชนวดั ศรนี วล ซึง่ เปนเขตพ้นื ที่การศึกษาวิจยั

๓.๔ เครื่องมอื ในการวจิ ยั

เครื่องมอื ทใ่ี ชในการวิจัยนั้นถือวามีความสําคัญและมีบทบาทเปนอยางยิ่งในการวิจัย การ
ใชเครื่องมอื นั้นข้ึนอยูกับสถานการณและลักษณะของพฤติกรรมท่ีตองการวัด ซึ่งงานวิจัยในครั้งผูวิจัย
ไดใชเคร่อื งดงั น้ี

๑. แบบสัมภาษณแบบมีโครงสรางท่ีผานขบวนการตรวจสอบความถูกตองจาก
ผูทรงคุณวฒุ แิ ลว

๒. การสังเกตการณ การวิจัยในครั้งผูวิจัยมีสวนรวม (Participant Observation) ซ่ึง
เปน การสงั เกตทีผ่ ูวิจัยเขา ไปมสี ว นในกิจกรรมดว ย

๓. สมดุ บันทกึ ในการลงภาคสนาม
๔. กลองถา ยภาพเพ่อื ถา ยเกบ็ หลักฐานในการวจิ ัย
๕. เครอ่ื งบันทึกเสยี ง

๓.๕ การสรา งเครือ่ งมือวิจยั

ก. แบบสัมภาษณ
การสรางแบบสมั ภาษณ มีข้ันตอนดังนี้
๑. ศึกษาคนควาขอมูลที่เกี่ยวของกับเร่ืองที่ศึกษาวิจัยจากเอกสาร งานวิจัยท่ีเกี่ยวของ

และประชากรกลุมเปาหมายที่ศึกษา นาํ มาวเิ คราะหและสงั เคราะห แลว ยกรางแบบสัมภาษณ
๒. นําแบบสัมภาษณท่ีมีโครงสรางไปปรึกษาที่ปรึกษาและผูทรงคุณวุฒิ จํานวน ๕ ทาน

ตรวจเครื่องมือวิจัย ผูเชี่ยวชาญ ๕ ทานประกอบดวย ๑) พระครูภาวนาโพธิคุณ, ผศ.ดร. ผูเชี่ยวชาญ
ดา นหลักธรรมและนําฝก อบรมผรู ักษาอุโบสถศลี ๒) ผศ.ดร. สวุ ิน ทองปน ผูเ ช่ยี วชาญดานการวิจัย ๓)
ผศ.ดรประยูร แสงใส ผูเชี่ยวชาญเนื้อหาและโครงสรางการวิจัย ๔) ผศ.ดร. จักรพรรณ วงศพรพวัณ
ผูเ ช่ยี วชาญดานภาษาและหลกั ธรรม ๕) ผศ.ดร. จรสั ลีกา ผเู ชย่ี วชาญดานการวิจัยคุณภาพภาคสนาม
ตรวจสอบให

๓. ปรบั ปรุงแกไขตามขอ เสนอแนะของผูทรงคุณวุฒิ
๔. นําไปสมั ภาษณกลมุ ผูใหขอมูลหลักตามทกี่ ําหนดไว
ข. แบบสังเกตการณ (observation) ผูวิจัยเขาไปมีสวนรวมจากการสังเกตกลุมผูรักษา
อุโบสถศีลใน ๕ ชุมชน ๕ วัดท่ีเลือกศึกษา โดยตั้งตามประเด็นเก่ียวกับการรักษาอุโบสถศีล ปญหา
อุปสรรค ประโยชนค ุณคาท่ีไดร บั บนั ทึกขอ มูลเพื่อนําไปวเิ คราะห ประเด็นท่เี กีย่ วขอ ง
ค. สนทนากลุม ผูวิจัยเชิญกรรมการบริหารจาก ๕ ชุมชนในเขตเทศบาลนครขอนแกน รวม
๕ คน มาใหข อ มูลในแตละชุมชนเก่ียวกับพนื้ ท่ีประชากร สภาพปญหาของคนในแตละชุมชน กิจกรรม

๘๔

ที่แตละชุมชนรวมกับวัด สงเสริมการรักษาอุโบสถศีลของประชากรกลุมรักษาอุโบสถศีล นํามา
วเิ คราะหป ระกอบบริบทของพน้ื ทีท่ ่ีศึกษา

๓.๖ การเกบ็ รวบรวมขอมลู

๓.๖.๑ ศึกษาคนควาเอกสาร (Documentary Research) ศึกษาขอมูลข้ันปฐมภูมิ
(Primary Source) โดยศึกษาขอมูลจากหนังสือที่เก่ียวกับการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคน
ในครอบครวั และชมุ ชน ดวยการรกั ษาอโุ บสถศีล

๓.๖.๒ ศึกษาคนควาขอมูลข้ันทุติยภูมิ (Secondary Source) โดยศึกษาขอมูลจากตํารา
วิชาการที่เก่ียวการสงเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงคของคนในครอบครัวดวยการรักษาอุโบสถศีลของ
ชมุ ชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน

๓.๖.๓ ขอ มลู จากบทสมั ภาษณข องกลุมเปา หมายใน ๕ ชุมชน เขตเทศบาลนครขอนแกน
๑. รวบรวมขอมูลจากการสนทนากลุม โดยเชิญกรรมการบริหารจาก ๕ ชุมชนอยางนอย
ชมุ ชนละ ๑ คน ในเขตเทศบาลนครขอนแกน จาํ นวน ๕ คน มาใหข อ มูลบริบทพ้ืนทที่ ศี่ ึกษา
๒. รวบรวมขอ มลู จากแบบสมั ภาษณแ ละสงั เกตการณ
๓. รวบรวมเรียบเรยี งขอมูลจากสนทนาเปน รายบคุ คล
๓.๖.๔ การวเิ คราะหข อ มูล
๑. วิเคราะหขอมูลจากเอกสาร (Documentary Research) ศึกษาขอมูลข้ันปฐมภูมิ
(Primary Source) โดยศกึ ษาขอมูลจากเอกสารท่ีเกี่ยวกับการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคน
ในครอบครวั ดวยการรักษาอุโบสถศลี
๒. วิเคราะหขอมูลจากเอกสารขั้นทุติยภูมิ (Secondary Source) โดยศึกษาขอมูลจาก
เอกสารวิชาการท่ีเก่ียวของกับการสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคนในครอบครัวดวยการรักษา
อุโบสถศีลของชุมชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน
๓. การวเิ คราะหข อ มลู จากแบบสมั ภาษณ
๔. การวเิ คราะหขอมลู จากแบบสังเกตการณ
๕. การวิเคราะหข อ มลู จากการสนทนากลุม
๖. การวิเคราะหข อ มูลจากแบบสัมภาษณร ายบคุ คล
การวิเคราะหขอมูลไมวาจะเปนตํารา เอกสาร และงานวิจัยที่เก่ียวของจะเปนการใชการ
ตีความ (interpretations) แลวนําเสนอขอมูลโดยการพรรณนา เพื่ออธิบายแนวคิดในการสงเสริม
พฤติกรรมทพ่ี งึ ประสงคข องคนในครอบครัวดวยการรักษาอุโบสถศีลของชุมชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาล
นครขอนแกน การไดมาโดยวิธีเจาะจง (Purposive sampling) ทําการเก็บขอมูลภาคสนาม โดยการ
ใชการสัมภาษณแ บบมโี ครงสรา ง และทาํ การวเิ คราะหขอมูลที่ไดมา สรุปผลการวิจัยและแนะนําเสนอ
ผลการวิจยั ตามลําดบั

บทท่ี ๔
ผลการวิจยั

ในการวิจัย “การสงเสริมพฤติกรรมท่ีพึงประสงคของคนในครอบครัวดวยการรักษา
อโุ บสถศลี ของชมุ ชนชาวพทุ ธในเขตเทศบาลนครขอนแกน” คณะผูวิจัยไดศึกษาแนวคิดการอยูรวมกัน
ของครอบครัวชุมชน และวิเคราะหผลการสัมภาษณกลุมเปาหมายในเทศบาลนครขอนแกนดวยการ
รกั ษาอโุ บสถศลี เสนอผลวจิ ยั ตามลาํ ดบั วัตถปุ ระสงค ดังมีรายละเอยี ดตอ ไปนี้

๔.๑ พฤติกรรมการอยรู วมกนั ของครอบครวั ชุมชนชาวพทุ ธในเขตนครขอนแกน

ชมุ ชนวัดธาตุ
ชุมชนวัดธาตุเปนชุมชนเกาแกมีความแออัด แตเทศบาลนครขอนกานพัฒนาใหเปน
ระเบียบ มคี ณะกรรมการบริหารชุมชนคอยประสานงานกับคนในชุมชน ในการดําเนินกิจกรรมตาง ๆ
ในชุมชน และมีผูรักษาอุโบสถศีล จํานวน ๑๑ คน ครอบครัวขนาดใหญ มีสมาชิกตั้งแต ๕ คนข้ึนไป
จํานวน ๔ ครอบครัว ซึ่งแตละครอบครัวยึดหลักคําสอนทางพระพุทธศาสนาในการครองชีวิต รวมถึง
ประเพณีฮีต (จารีต) ๑๒ จะมีปญหาบางคือบุตรหลานที่เปนวัยรุน ยาหรือยายตลอดจนแมของ
ลูกหลานจะเรียกมาอบรมแนะนําสิ่งควรหรือไมควร ใหรูจักใชสติสัมปชัญญะในการดําเนินชีวิต ก็จะ
ชวยใหแกปญ หาได และผใู หญใ นบา นตอ งเปน แบบอยา งท่ดี แี กบุตรหลาน123๑
สวนกลุมท่ีมีครอบครัวท่ีมีสมาชิก ๔ คน ปญหาการอยูรวมกันก็มีบาง สวนใหญก็เปน
ปญหาเล็กๆ นอยๆ ความเห็นในบางเร่ืองไมตรงกัน อาศัยการทําความเขาใจปรับความเห็นใหเขากัน
ยอมรับความแตกตาง แตต้ังอยูบนฐานเหตุผล โดยยึดคําสอนทางพระพุทธศาสนามาเปนแนวทาง
ดําเนินชวี ติ รวมถึงขนบธรรมเนยี มประเพณอี ีสาน124๒
ครอบครัวที่อยูกัน ๒ คน แมลูก ประกอบดวย ๓ ครอบครัว ปญหาจะมีนอยกวา
ครอบครัวใหญๆ ที่มคี นอยดู ว ยกนั จํานวนมาก แมลูกอยูดวยกันสองคนตางก็ใหความเคารพซ่ึงกันและ
กนั มีอะไรก็พูดคุยปรกึ ษากัน ชอ งวางมีนอยมาก125๓

๑ นายเติมศักด์ิ เดชโบราณ (ประธานชุมชนวัดธาตุ), แมประยูร สานโสม, แมเลื่อน ทับศรี, นางนิภา
บุญประเทือง, แมลักษณา พระลบั รักษา (ผูร ักษาอุโบสถศลี ชมุ ชนวัดธาต)ุ

๒ แมชูชีพ วฒั นชาํ , นางหวาน ศรีพลเมือง, แมสมพร สิงโตทอง, แมจริยา มาลาเพ็ชร (ผูรักษาอุโบสถ
ศีลชุมชนวดั ธาตุ)

๓ นางแสงสวรรค สังวรด,ี แมสมบตั ิ โกยสวน, แมประเทือง ยมจนิ ดา (ผรู ักษาอุโบสถศลี ชุมชนวดั ธาต)ุ

๘๖

สรุป สภาพชุมชนวัดธาตุเปนพ้ืนท่ีเมืองเกา ประชากรนับถือพุทธศาสนาเปนสวนใหญ
ตอมาเทศบาลนครขอนแกนไดพัฒนาจากสภาพชุมชนเกาแกแออัดใหมีคุณภาพดีข้ึน โดยจัดตั้งคณะ
กรรมการบรหิ ารชมุ ชน มปี ระธาน กรรมการ เปน ผปุ ระสานงานกบั วดั สถานศึกษา หนวยงานราชการ
และองคกรเอกชน ปญหาในชุมชน คือ ปญ หา

เศรษฐกจิ นาํ ไปสูป ญหาอาชญากรรม ยาเสพติด ซ่ึงมีบาง คณะกรรมการบริหารชุมชนจะ
คอยประสานทางการเพ่ือแกไขทําใหดีข้ึน ปญหาผูสูงวัยคือความวาเหวในบางครอบครัวท่ีขาด
ลกู หลานดูลเอาใจใส ชุมชนสนบั สนนุ กิจกรรมนันทนาการและการเขาวัด ฟงธรรม รักษาอุโบสถศีลใน
วันพระ

ชมุ ชนวดั โพธโิ์ นนทนั
ชมุ ชนวัดโพธ์โิ นนทันเปนชุมชนที่ชือ่ เดิมคือ บานโนนทัน สภาพชุมชนพัฒนามาจากชุมชน
แออัด มีคณะกรรมการบริหารชุมชนคอยประสานงานหนวยงานราชการ สถาบันทางศาสนาและ
สถาบนั การศึกษา สว นใหญเปนครอบครวั ที่มจี าํ นวนสมาชกิ มาก มักมีปญ หาตามมาใหแกบางครั้ง เชน
บางครอบครัวที่มีบุตรเขยมาอยูรวมดวย เวลาเกิดปญหาก็พยายามอดทนใชขันติและนําหลักศีลธรรม
มาแนะนําพร่าํ สอน และเปนตวั อยา งท่ีดใี หบตุ รหลานไดเหน็ ยดึ หลักศีลธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี
เปนแนวทาง ซง่ึ จากการรกั ษาอุโบสถศลี ทว่ี ัดทําใหจติ ใจเยือกเย็น รจู กั ใหอ ภัยแกคนอื่น126๑
สวนครอบครัวทีม่ สี มาชกิ ๑-๒ คน ปญ หาภายในบานไมมีอะไรมากนัก พูดคุยกันทําความ
เขา ใจกันได จะมีปญหาบางกับเพ่ือนบาน ซึ่งเมื่อมารักษาอุโบสถศีล ไดปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา สวด
มนต แผเมตตา ทําใหจิตใจเบกิ บานไมข ุนมัว มองปญ หาตามหลักเกิดขึ้นต้งั อยดู ับไป แผเ มตตาใหเขา127๒
สรุป ชุมชนวัดโพธิ์โนนทันเปนชุมชนเกาแกในนามบานโนนทัน ผูคนอาศัยอยูหนาแนน
ประกอบอาชีพหลากหลาย เทศบาลนครขอนแกนสงเสริมการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารชุมชน เพื่อ
ประสานงานกบั ทางราชการและหนวยงานท่ีเก่ยี วของ โดยที่ชุมชนน้ีมีวัดโพธ์ิซึ่งเปนสํานักปฏิบัติธรรม
แหงท่ี ๑ ประจําจังหวัดขอนแกน ทางวัดไดจัดกิจกรรมที่สงเสริมการปฏิบัติธรรมแกพุทธศาสนิกชน
ทั่วไปและนักเรียน นักศึกษาตลอดป ทําใหมีผูคนเขารักษาอุโบสถศีลจํานวนมาก ชวยใหผูสูงวัยมี
แหลงปฏบิ ตั ธิ รรมทเี่ ปนที่พงึ่ ทางใจไดเ ปนอยางดี
ชุมชนวดั หนองแวง
ชุมชนวัดหนองแวง เปนชุมชนที่อยูใกลกับบานจัดสรร ผูคนจะประกอบอาชีพทั้งธุรกิจ
เอกชน ราชการและคาขาย เปนครอบครัวขนาดใหญท่ีมีสมาชิกต้ังแต ๕ คนอยูรวมกัน ปญหามีไม
มาก เพราะยึดฮตี ครองประเพณีอิสาน และยึดหลักธรรมคําสอนเตือนใจผูนําครอบครัว ตลอดจนบุตร

๑ ร.อ. สระจิต สีดาทัน (ประธานชุมชนโนนทัน ๑), แมนงลักษณ อรัญปกษ, นางสมฤทัย ผดุงญาณ,
แมละไม วงศค าํ พนั ธุ, นายมงคล เลิศล้าํ , แมทองสุข แกว ลวงตา (ผรู กั ษาอุโบสถศีลชุมชนวัดโพธ์โิ นนทนั )

๒ แมห อมจนั ทร วิภัชชวาท,ี แมอ อนจันทร เพยี ภูเขยี ว, นางสาวอภิชดา แกวดอก (ผูรักษาอุโบสถศีล
ชุมชนวัดโพธิ์โนนทนั )

๘๗
หลาน ปญหาที่มีสวนใหญคือการกระทบกระท่ังกันทางอารมณบางนิดหนอย เนนการเจรจาทําความ
เขา ใจดวยเหตุผล ทําใหเหตุการณผานพนไปดวยดี เพราะรักษาศีล ๘ จะปฏิบัติธรรม ฟงธรรม นําไป
อบรมคนในครอบครัวตอไดเปน อยางดี128๓

ครอบครัวท่ีมีสมาชิก จํานวน ๔ คน จะมีปญหาเร่ืองบุตรหลานบอกไมเช่ือฟง แตก็
แกปญหาได ดวยการคอยๆ แนะนําดวยเหตุและผล พาเขาเขารวมกิจกรรมทางพุทธศาสนา เชน
ทําบุญตกั บาตร เวียนเทียน ไหวพระ สวดมนต แผเมตตา เปนตน สถานการณจะดีขึ้นเพราะการสอน
ใหจ ํา ทาํ ใหด ู ดวยการรักษาศัล ๕ ศลี ๘ เปนตน129๔

สรุป ชุมชนวัดหนองแวงเปนชุมชนที่มีผูคนอยูคละกันระหวางบานจัดสรรและรานคา
อาคารพาณิชย มีวัดหนองแวงเปนศูนยรวมจิตใจ ซ่ึงทางวัดไดจัดกิจกรรมใหชาวพุทธไดเขานมัสการ
พระธาตุแกนนคร อนสุ รณสาธชุ น มีการรกั ษาอุโบสถศลี ฟง ธรรม เจริญจิตภาวนา ชวยใหกลุมผูรักษา
อุโบสถศีลเกิดความสงบสุขแกตนเองและครอบครัว รูปแบบการบริหารชุมชนก็จะมีคณะกรรมการ
ชมุ ชนซ่ึงมปี ระธานและเลขานกุ าร เปนผูประสานงานกบั ภาครฐั เอกชนวัดและสถานศกึ ษา

ชุมชนวัดวุฒาราม
ชมุ ชนวัดวุฒารามเปนชุมชนใกลกับสถานีรถไฟขอนแกน มีผูคนหนาแนน ประกอบอาชีพ
ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐและการคาขาย มีคณะกรรมการบริหารชุมชนคอยประสานงานกับวัด
สถานศึกษาและหนวยงานราชการตางๆ ครอบครัวที่มีสมาชิกตั้งแต ๖-๑๓ คน จะมีปญหาการ
ทะเลาะวิวาทกันบางครอบครัว เมื่อารมณเย็นลง ผูนําครอบครัวจะเรียกคูกรณีมาชี้แจงเหตุผลท่ีเกิด
การทะเลาะกัน พร่ําสอนใหรูจักรักสามัคคีกัน เอาหลักพรหมวิหาร ๔ และสอนใหแห็นคุณเห็นโทษ
ของการรักสามัคคีและโทษของการทะเลาะวิวาท พาเขารวมกิจกรรมมทางพุทธศาสนา เชน วันสําคัญ
ทางพระพทุ ธศาสนาเขาวัดฟง ธรรม ถวายภัตตาหาร รวมสวดมนต แผเ มตตา เปนตน 130๕
ครอบครัวที่มีสมาชิกต่ํากวา ๕ คนลงมา ไมมีปญหาท่ีหนักใจอะไร เพราะพอแมทําดีให
เห็นเปนแบบอยาง ดวยการยึดมั่นในศีล ๕ และสมาทานศีล ๘ ในพรรษา ไดนําหลักคําสอนทางพุทธ

๓ นายนิยม ทวีโคตร (ประธานกรรมการชุมชนวัดหนองแวง๔), นางเพ็ญศรี เงาพระฉาย, นาง
พรพรรณ สระแกว , แมค ณู แสงกดุ เรอื , นางณฐั ธานนั ท บตุ รโพธ์ิ, แมประภาดา โพธาคณา (ผูรักษาอุโบสถศีลชุมชน
วดั หนองแวง)

๔ แมเรียง ไหมตรีแพน, แมสุรัตดา กองมณี, แมนวลอนงค บุญถาน, แมสุรินทร ทวีสุข, แมอัญญา
สรอยโสม, แมดาหวัน ชาแทน, แมสมรศรี แสงทอง, นางนงครักษณ เหงาดี, นางสมพร ชินระนาด, แมเพ็ญนิภา
จันทรอุป, แมนาง ตุลไธสง, นางบัวผัน ฤาชา, นางสุกัญญา อาวัชนากร, นายนพนันท แกวมุกดาสวรรค (ผูรักษา
อุโบสถศลี ชุมชนวดั หนองแวง)

๕ นายสงกา แทภูเขียว (ประธานชุมชนวุฒาราม), แมเบา คําเสนา, แมนิล สมบูรณรัตนมณี, แมแดง
รอบรู, แมสมร นามสงา , แมน อย ตันทนเทวินทร (ผรู กั ษาอุโบสถศีลชุมชนวัดวฒุ าราม)

๘๘

ศาสนามาเปนแนวทางดําเนินชีวิต จึงเกิดสันติสุขในครัวเรือนมาตลอด ถาพอจะมีบางคือเขาใจผิด
เลก็ ๆ นอ ยๆ อาศัยการพดู คุยทาํ ความเขา ใจกันได131๖

สรปุ ชุมชนวดั วุฒารามอยูใกลส ถานีรถไฟขอนแกน มีความแออัดในดา นทิศตะวันออกของ
วัด แตไดรับการพัฒนาจากเทศบาลนครขอนแกนใหมีความเปนระเบียบ ปญหาชุมชนก็มีในกลุมผูมี
รายไดนอย สงผลตอการครองชีพของคนในครอบครัวและนําไปสูการดื่มสุราและเสพยาเสพติด
เทศบาลไดจัดตั้งคณะกรรมการบริหารชุมชน เพื่อดูแลและรวมประสานงานในการพัฒนาชุมชน โดย
อาศยั วดั สถานศกึ ษาใหเปน ศูนยก ลางการฝก อบรมศีลธรรม โดยเฉพาะวัดวุฒารามจะจัดกิจกรรมการ
รักษาอุโบสถศีล เพื่อใหมีการฝกอบรมจิตภาวนา สวดมนต แผเมตตา ขับรองสารภัญญทํานองอิสาน
บชู าพระพรัตนตรยั

ชมุ ชนวดั ศรีนวล
ชุมชนวัดศรีนวลเปนชุมชนท่ีต้ังอยูใกลกับตลาดสด/ตลาดโตรุงขอนแกน นอกจากน้ียัง
ต้ังอยูใกลกับสถานที่ราชการ เชน สถานศึกษา สถานีตํารวจภูธรเมืองขอนแกน ผูคนที่อยูในชุมชนจะ
ประกอบอาชีพหลากหลาย เชน รับจาง ธรุ กิจ ราชการ คาขาย เปนตน มีคณะกรรมการบริหารชุมชน
ท่ีเทศบาลนครขอนแกนเขามาสนับสนุนจัดการ เพื่อใหเปนผูแทนคนในชุมชนทํากิจกรรมตางๆ
รวมกันครอบครัวใหญมีสมาชิกประกอบดวยสามี ภรรยา ลูกชาย ลูกสาวและหลานๆ การอยูรวมกัน
ดวยการปฏิบัติตามหลักศีลธรรม มีพรหมวิหาร มีสังคหวัตถุ เวลามีปญหาก็เจราจาช้ีแจงดวยเหตุผล
ถาเปนบุตรหลานก็ยกตัวอยางท่ีไมดีมาเปนอุทาหรณใหเขาไดรูและเห็น นอกจากน้ียังงสอนใหบุตร
หลานรจู ักไหวพระ สวดมนต ทําบุญ ทําทาน ขยันในการทํางานหรอื ศกึ ษาเลาเรียน132๗
ครอบครัวเดยี่ วอยูกัน ๒ คนกับลูกชาย เวลามปี ญหากระทบกระทั่งกันก็อดทน และพูดจา
กันดวยเหตผุ ล บางคร้งั หากลกู ไมอยูใ นโอวาทก็ทําใจ และมีโอกาสเหมาะก็คุยช้แี จงใหเขาเขาใจ133๘
ครอบครัวใหญจํานวน ๕ คน มีลูกหลานและเหลน ปญหามีบางตรงท่ีหลาน เหลน จะมี
แนวคิดแบบวัยรุน บางครั้งปูยาพรํ่าสอน เขาจะหาวาบน อาจแสดงความรําคาญใหเห็น ซ่ึงตองหาวิธี
สอนใหร จู ักไหวพ ระ สวดมนต ทาํ บุญตกั บาตร เลา นิทานธรรมะใหเขาไดซ มึ ซับสิ่งดๆี 134๙

๖ แมศรี ชมวงค, นายเฉลมิ จนั ทรนอ ย, นางสาวชมพนู ุช สระทองพิมพ, แมจินตนา แพภเู ขยี ว, แมก ล่ิน
ขจร วงศขันต, แมสุนันทา บุญยอ, แมพังงา ศรีพรหม, แมสมบูรณ สามมหาดไทย, แมวนิดา วรวิทักษ, แมสุมาลัย
ปะมาคะเต, แมทองหลู วรรณพงษ, แมจรรยา ตนโพธิ์, แมละเอียด กฐินทอง, แมเรียม ชนะกาศรี, แมพรรณี ศรี
หนองบัว, แมสี ทองลือ, นางสาววิภาทิพย สาระแสง, แมลิขิต ลีพรหมมา, แมพวงทอง มาตรสงคราม, แมทองใบ
ธุระพันธุ, แมเล็ก นกึ ประทมุ , แมค ําปว จนั ทรมี (ผรู กั ษาอุโบสถศลี ชุมชนวดั วุฒาราม)

๗ แมศิรินธร กล่ินศรีสุข (ประธานชุมชนพระลับ = วัดศรีนวล), แมบรรจง โยธา (ผูรักษาอุโบสถศีล
ชมุ ชนวัดศรนี วล)

๘ แมสมบรู ณ ผาดวงดี (ผูร กั ษาอุโบสถศลี ชุมชนพระลับ=วัดศรีนวล)
๙ แมหนูพลอย บิณฑดิษฐ, แมใข แสนสุขทวี, แมทองสุข ดวงทาแสง, แมเที่ยง พระธานี, แมปญญา
พานสายตา, แมสงัด เนตรสภุ าพ, แมส มบัติ เกดิ ชว ง (ผูรักษาอุโบสถศีลชุมชนพระลบั = วดั ศรนี วล)


Click to View FlipBook Version