The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นวัตกรรมแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ลายมือไม่สวย ด้วยกิจกรรม ๓ ฝ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sang_soll, 2022-03-15 03:42:20

นวัตกรรมแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ลายมือไม่สวย ด้วยกิจกรรม ๓ ฝ

นวัตกรรมแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ลายมือไม่สวย ด้วยกิจกรรม ๓ ฝ

Keywords: นวัตกรรมแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก,อ่านไม่ออก,เขียนไม่ได้,ลายมือไม่สวย,กิจกรรม ๓ ฝ

คำนำ

นวัตกรรมรูปแบบการบริหาร “ เดินหน้าพัฒนาการอ่าน การเขียน เด็กไทยวิถี
ใหม่ อ่านออกเขียนได้ ลายมอื สวย” ด้วย นวัตกรรมแกป้ ัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขยี นไม่ได้
ลายมือไม่สวย ด้วยกิจกรรม ๓ ฝ” ซึ่งการคิดค้นนวัตกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์พัฒนา
ทักษะการอ่าน การเขียนภาษาไทยของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ - ๖
โรงเรียนสุนทรวิจิตร(บำรุงวิทยา) ที่ได้คะแนนการวดั และประเมนิ ผลความสามารถด้าน
ภาษาไทย ปกี ารศกึ ษา 2563 อยู่ในระดับ พอใช้และปรับปรงุ

ผลการจดั การเรยี นรู้โดยใช้นวตั กรรมแก้ปัญหาเด็กอา่ นไมอ่ อก เขียนไม่ได้ ลายมือ
ไม่สวย ด้วยกิจกรรม ๓ ฝ เพื่อพัฒนาการอ่าน การเขียน ของนักเรียนในสถานการณ์
โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) นั้น นักเรียนได้พัฒนาทักษะการอ่าน
การเขียนภาษาไทยดียิ่งขึ้น สามารถพัฒนาทักษะการอ่านแบบแจกลูกสะกด

ขอขอบคุณ ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู ผู้ปกครองนักเรยี นและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนนวัตกรรมจนประสบความสำเรจ็ และหวงั เปน็
อย่างยิ่งว่า นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมแก้ปัญหาเดก็ อ่านไม่ออก เขียน
ไม่ได้ ลายมือไม่สวย ด้วยกิจกรรม ๓ ฝ เพื่อพัฒนาการอ่าน การเขียนของนักเรียนใน
สถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) จะเป็นประโยชน์ ต่อครู
โรงเรียนและหน่วยงานต่าง ๆ ในการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาการอ่าน การเขียน
ของนกั เรียน

แสงละภา พระเสนา
ผ้จู ดั ทำ

สารบญั หนา้

เรื่อง ๒
ประวัติส่วนตวั .................................................................................................... ๓
ที่มาและความสำคญั .......................................................................................... ๓
วัตถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายของการพฒั นา......................................................... ๑๓
ขน้ั ตอนการดำเนนิ งาน....................................................................................... ๑๔
ผลสำเร็จของการดำเนนิ งาน.............................................................................. ๑๔
แนวทางการนำนวตั กรรมไปใช้..........................................................................
การเผยแพรน่ วตั กรรม....................................................................................... ๑๖
ภาคผนวก ๖๑
๗๑
- แบบทดสอบการอา่ น จำนวน ๑๐ ชดุ ........................................................ ๘๑
- แบบทดสอบการเขียน จำนวน ๑๐ ชุด...................................................... ๘๓
- แบบฝึกทกั ษะการอา่ นการเขยี น(คัดลายมือ) จำนวน ๑๐ ชดุ ...................
- ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล...............................................................................
- รปู ภาพการดำเนนิ งาน..............................................................................

ประวัติส่วนตวั

คำนำหน้า นาย ชอ่ื แสงละภา ชอื่ สกุล พระเสนา ด

สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พทุ ธ f

เกิดวันที่ 9 เดือน พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2527 l

ท่ีอยู่ปจั จุบัน บ้านเลขท่ี 67 หมู่ที่ 14 ซอย - ตำบล รามราช j

อำเภอ ทา่ อเุ ทน จงั หวัด นครพนม รหัสไปรษณยี ์ 48120 โทรศัพท์ 087-9504864j

ชอื่ บิดา นายพันธ์ พระเสนา อาชพี ทำนา j

ชอื่ มารดา นางหนูแดง ภชู ุม อาชพี ทำนา k

ประวัตกิ ารศึกษา

ลำดบั ระดับการศึกษา ช่อื สถานศึกษา พ.ศ.ทีจ่ บ วฒุ ิทีไ่ ด้รับ
ท่ี การศกึ ษา ระบวุ ิชาเอก

1 ประถมศกึ ษา โรงเรียนบา้ นรามราช พ.ศ.2540 ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6

พ.ศ.2543 มัธยมศึกษาตอนต้น

2 มธั ยมศึกษา โรงเรียนรามราชพทิ ยาคม พ.ศ.2546 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย

สายวิทย์ – คณติ

3 ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฎนครพนม พ.ศ.2550 ครุศาสตรบณั ฑิต (ค.บ.)

คอมพิวเตอรศ์ กึ ษา

4 ปรญิ ญาโท มหาวทิ ยาลัยนครพนม พ.ศ.2556 ครุศาสตรมหาบัณฑิต(ค.ม.)

การบรหิ ารการศกึ ษา

ประวัตกิ ารรับราชการ

- โรงเรียนบา้ นดอนแดง สังกดั สำนกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษานครพนม เขต 2

ตำแหนง่ ครูผู้ช่วย เลขทต่ี ำแหน่ง 1024 เมื่อวันท่ี 1 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2553

- โรงเรยี นบ้านโพนกอ่ สังกดั สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษานครพนม เขต 2

ตำแหน่ง ครู เลขท่ีตำแหน่ง 1024 เม่ือวันที่ 1 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2553

- โรงเรยี นสุนทรวิจติ ร(บำรุงวทิ ยา) สงั กัดสำนกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครพนม เขต ๑

ตำแหนง่ รองผูอ้ ำนวยการสถานศึกษา เลขที่ตำแหนง่ ๓ เมือ่ วันท่ี 1๗ เดอื น พฤศจิกายน พ.ศ. 25๖3

ปัจจบุ นั ดำรงตำแหนง่ รองผอู้ ำนวยการสถานศึกษา วทิ ยฐานะ รองผอู้ ำนวยการชำนาญการพิเศษ
โรงเรยี นสนุ ทรวิจิตร(บำรงุ วทิ ยา) สงั กัดสำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครพนม เขต ๑

ผลงาน
- ครูผู้สอนได้รับรางวัลระดบั เหรยี ญทอง กิจกรรมการการแข่งขนั การออกแบสงิ่ ของเครอื่ งใชด้ ้วย

โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ระดับชัน้ ม.๑-ม.๓ งานมหกรรมความสามารถทางศลิ ปหัตถกรรม วชิ าการและเทคโนโลยี
ของนกั เรยี น ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๑

- ครผู ู้สอนได้รบั รางวัลระดบั เหรยี ญทอง รองชนะเลิศอันดับท่ี ๒ กิจกรรมการประกวดภาพยนตร์ส้ัน
ระดบั ชั้น ม.๑ - ม.๓ งานศลิ ปหัตถกรรมนักเรียน ครัง้ ท่ี ๖๙ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๒

- ไดร้ ับรางวัล ครดู ีไม่มอี บายมขุ ประจำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๒
- ไดร้ ับรางวลั ครดู ีไม่มีอบายมุข ประจำปีการศกึ ษา ๒๕๖๒๓
- ผ่านการคัดเลือก ๑๐,๐๐๐ คุรุชนคนคุณธรรม ระดับเหรยี ญทอง โครงการโรงเรยี นคุณธรรม สพฐ. ของ
สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษานครพนม เขต ๑



ช่ือนวตั กรรม : แกป้ ญั หาเด็กอ่านไม่ออก เขยี นไมไ่ ด้ ลายมอื ไมส่ วย ดว้ ยกจิ กรรม ๓ ฝ
๑. ที่มาและความสำคญั

ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ ซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกราชของชาติไทย
ที่มีความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรม และเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยมายาวนาน ภาษาไทยนอกจากจะเป็น
ภาษาประจำชาติแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างคนในชาติด้วยกัน เป็นเครื่องมือในการ
แสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งขอ้ มูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคดิ วิเคราะห์
วิจารณ์ สร้างสรรค์ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
ตลอดจนนำไปใชใ้ นการพฒั นาอาชีพใหม้ ีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนีภ้ าษาไทยยังเปน็ สอ่ื แสดงให้เห็น
ถึงความเจรญิ รุง่ เรืองทางวัฒนธรรมอันลำ้ ค่า ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนไทย ทุกคนใน
ชาติที่พึงหวงแหน และรักษาความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทยให้คงอยู่สืบไป (วัลยา อ่ำหนองโพธิ.์
2557 : 1)

กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถงึ ความสำคัญ และประโยชน์ของทักษะทางภาษาทีม่ ีตอ่ การเรยี นรู้
ของนักเรียน จึงกำหนดการอ่านและการเขียนไวใ้ นหลักสูตรประถมศึกษาฉบับต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องจนมีการ
ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 โดยกำหนดทักษะการอ่านและการ
เขียนไว้เป็นสมรรถนะที่จะต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นกับนักเรียน คือความสามารถในการสื่อสารทั้งในการรับสาร
และส่งสาร มีวฒั นธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคดิ ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกและทัศนะของตนเอง
เพื่อแลกเปลย่ี นข้อมูลข่าวสารประสบการณ์อนั จะเปน็ ประโยชน์ต่อการพฒั นาตนเองและสังคม รวมทั้งกำหนด
เปน็ มาตรฐานและตัวชว้ี ัด ในกลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย (ไพรนิ ทร์ พึ่งพงษ.์ 2556 : 4) ดังน้ันทักษะการ
อ่านและการเขียน จึงเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของคนเพราะการ
ดำรงชวี ติ ประจำวันของคนเรานัน้ การอา่ นและการเขียนเป็นการสอ่ื ความหมายถึงกนั ไดอ้ ย่างถูกต้องด้วยเหตุน้ี
จึงจำเป็น ต้องพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กล่าวคือ ต้องอ่านเขียนไดถ้ ูกตอ้ ง รวดเร็ว และมี
ประสทิ ธิภาพ (ไพวรรณ ชาตผิ า. 2556 : 135)

สำนกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 ได้ให้ความสำคัญต่อการเรยี นการสอนวิชา
ภาษาไทยเพอ่ื นำพาประเทศสู่ความเจรญิ ก้าวหนา้ โดยใหค้ วามสำคญั ต่อการเรียนรู้ของนกั เรียนตงั้ แต่เร่ิมเรียน
และกำหนดนโยบายสำคญั ตอ่ การเรียนวิชาภาษาไทย คือ นกั เรยี นระดบั ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 สามารถ
อา่ นออกเขียนได้ และ นกั เรียนระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 – 6 สามารถอ่านได้คลอ่ ง เขียนคล่อง เน่ืองจาก
ทักษะการอ่านเขียนภาษาไทยเป็นทักษะพื้นฐานของการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ต่อไปในอนาคต
หากทักษะการอ่านเขียนภาษาไทยของนักเรียนมีปัญหา นักเรียนอ่านไม่ออก และเขียนไม่ได้ หรือออกเสียง
ตัวสะกดผิด ย่อมส่งผลให้นักเรียนไม่เข้าใจความหมาย หรืออาจแปลความหมายของคำนั้นผิดไป ด้วยเหตุนี้
การอ่าน และการเขยี นคำ มาตราตวั สะกด จึงเป็นปญั หาดา้ นการใช้ภาษาที่สำคญั อย่างหนงึ่ ท่ีครูผู้สอนจะต้อง
เร่งแก้ไข ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ มิสอุทัยวรรณ อรรคเสลา (2557: 1) ที่กล่าวว่า “นักเรียนมีปัญหา
ทางดา้ นการเขยี นสะกดคำไม่ถูกต้อง และอา่ นไม่เปน็ ทำใหผ้ ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนต่ำ มผี ลต่อการ
เรยี นการสอนในกลุม่ สาระการเรยี นร้อู ื่นอีกดว้ ย”

จากการตดิ ตามขอ้ มูลการประเมนิ การอา่ น การคิดวเิ คราะห์ และการเขียนระดบั สถานศึกษา รอ้ ยละ
ของนักเรยี นท่มี ีผลการประเมนิ การอ่าน การคดิ วเิ คราะห์ และเขียน ในระดบั ดี ระดับช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 1
ถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2563 จำนวน ๘๖ คน ผลการทดสอบทางการศึกษา
ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ประจำปีการศึกษา 2563 วิชาภาษาไทย เฉลี่ย ๕๗.๓๕ ผลการประเมิน



ความสามารถด้านการอ่านของผูเ้ รียน (Reading Test: RT) ประจำปีการศกึ ษา 2563 ระดบั โรงเรียนการอ่าน
ออกเสียง ร้อยละ ๗๐.๕๘ การอ่านรู้เรื่อง ร้อยละ ๘๐.๕๔ ผลการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) ชั้น
ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ประจำปกี ารศึกษา 2563 ด้านภาษไทย ระดับโรงเรียน ค่าเฉลี่ย ๔๔.๖๖

ผลจากการวัดและประเมินผลการทดสอบการอ่านเขียนปีการศึกษา 2563 หากนกั เรียนกลุ่มดงั กลา่ ว
ไม่ได้รับการพัฒนาอาจส่งผลให้นักเรียนรู้สึกว่าการเรียนเป็นสิ่งทีน่ ่าเบื่อ ยากเกินความสามารถของตนเองจน
สุดท้ายอาจมีความคิดอยากออกจากระบบการศึกษา จึงทำให้ผู้อำนวยการโรงเรียน ฝ่ายบริหารงานวิชาการ
และครผู ู้สอนทกุ คนรว่ มกันวิเคราะห์ด้วยกระบวนการ PLC ถงึ สาเหตทุ ีน่ กั เรียนบางคนอา่ นไม่ออก เขียนไม่ได้
นกั เรียนบางคนอ่านไม่คล่อง เขยี นไม่คลอ่ ง ด้วยเหตดุ งั กล่าวจงึ ได้ค้นคว้าหาแนวทางในการแก้ปัญหาการอ่าน
เขียนภาษาไทยจนค้นพบวิธีการที่นำมาใช้แก้ปัญหาทักษะการอ่านเขียนภาษาไทยของนักเรียนได้ผล ด้วย
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ลายมือไม่สวย ด้วยกิจกรรม ๓ ฝ โดย
คาดหวังวา่ การจัดการเรียนรู้นวัตกรรมดังกล่าวสามารถพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียน และ
สามารถยกระดบั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยและผลสัมฤทธทิ์ างการศกึ ษาระดับขั้น
พื้นฐาน (O - NET) ของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรยี นสนุ ทรวิจติ ร(บำรุงวิทยา) ให้สงู ข้นึ

๒. วัตถปุ ระสงค์และเป้าหมายของการพัฒนา

๑. เพอื่ พฒั นาให้นักเรยี นสามารถอ่านออก เขียนได้ ลายมอื สวย ตามศักยภาพของแต่ละบุคคลอย่างมี
ประสิทธิภาพ

๒. เพื่อให้ผู้บริหาร ครู เห็นความสำคัญ มีความตระหนักและรับผิดชอบในการเรง่ รดั ให้นักเรยี นอ่าน
ออก เขยี นได้ ลายมือสวย

๓. เพื่อให้ครูผู้สอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ในโรงเรยี นสุนทรวิจิตร(บำรุงวิทยา) มีความรู้ความเขา้ ใจ
และสามารถเชือ่ มโยงการจัดการเรยี นรใู้ หน้ ักเรยี นอ่านออก เขียนได้ ลายมือสวย อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

เป้าหมาย
เชงิ ปรมิ าณ
๑. นกั เรยี นโรงเรียนสุนทรวิจติ ร(บำรงุ วิทยา) ปีการศกึ ษา ๒๕๖๔ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ - ๖
๒. ครโู รงเรยี นสนุ ทรวิจติ ร(บำรุงวทิ ยา) ทกุ คน
เชิงคณุ ภาพ
๑. นักเรียนอา่ นออก เขยี นได้ ลายมอื สวย ตามศกั ยภาพของแต่ละบคุ คลอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
๒. ผู้บริหาร ครู เห็นความสำคัญ มคี วามตระหนกั และรบั ผิดชอบในการเรง่ รัดให้นกั เรียนอ่าน

ออก เขียนได้ ลายมอื สวย
๓. ครูผูส้ อนทกุ กลุ่มสาระการเรียนรใู้ นโรงเรียนสุนทรวิจิตร(บำรงุ วิทยา) มคี วามรู้ความเข้าใจ

และสามารถเชื่อมโยงการจดั การเรยี นร้ใู หน้ กั เรยี นอา่ นออก เขียนได้ ลายมอื สวย อย่างมีประสทิ ธิภาพ

๓. ขน้ั ตอนการดำเนนิ งาน

กระบวนการสร้างนวัตกรรมการจัดการเรยี นรู้การแก้ปัญหาเดก็ อ่านไม่ออก เขยี นไมไ่ ด้ ลายมือไม่สวย
ดว้ ยกจิ กรรม ๓ ฝ เพอ่ื พฒั นาการอ่านออก เขยี นได้ อา่ นคล่องเขยี นคล่องของนกั เรยี นในสถานการณ์โรคติดต่อ



เชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ได้นำกระบวนการวงจรคุณภาพ (PDCA) ในการดำเนนิ การสรา้ งและใช้
นวัตกรรมโดยมีข้นั ตอนดงั นี้

๑. ขั้นวางแผน (Plan : P)
๑.๑ วางแผนในการดำเนินการแก้ปัญหา กลุ่มนักเรียนได้คะแนนอยู่ในระดับพอใช้และระดับ

ปรับปรงุ ของผลการวัดและประเมินผลความสามารถด้านภาษาไทย ปีการศกึ ษา 2563 โดยไดก้ ำหนดข้นั ตอน
ตามตารางท่ี 1

ท่ี กำหนดการ ผู้รบั ผิดชอบ ระยะเวลา

๑ ประชุมวางแผน กำหนด - ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี น 6 ธันวาคม ๒๕๖๔

นโยบายและวิธีการ - ฝา่ ยบรหิ ารงานวิชาการ

แกป้ ญั หาการอา่ น - ครผู ู้สอน

เขยี นของนักเรียน

๒ ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎี - ฝา่ ยบริหารงานวชิ าการ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๔ –

และเอกสารงานวิจยั ที่ - ครผู ู้สอน ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔

เกยี่ วขอ้ ง

๓ กำหนดรูปแบบ - ฝา่ ยบริหารงานวิชาการ ๔ มกราคม ๒๕๖๕

นวตั กรรมและ - ครูผู้สอน

แบ่งหนา้ ที่ความ

รับผดิ ชอบ

๑.๒ ศึกษาหลกั การ แนวคดิ ทฤษฎีท่ใี ช้
หลักการ แนวคิดและทฤษฎีทีเ่ ก่ียวข้องกับนวัตกรรมการจดั การเรียนรู้การแกป้ ัญหาเดก็ อ่านไม่

ออก เขยี นไม่ได้ ลายมือไม่สวย ดว้ ยกิจกรรม ๓ ฝ ของนักเรียนโรงเรียนสนุ ทรวจิ ิตร(บำรุงวิทยา)ประกอบด้วย

แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการอ่านและการเขียน แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการ
จัดการเรยี นร้ภู าษาไทย และแนวคดิ ทฤษฎีเก่ยี วกบั การสอนซ่อมเสรมิ รายละเอยี ดดังต่อไปน้ี

๑. แนวคดิ ทฤษฎีเกีย่ วกับการเรยี นรู้
พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา (2559 : 6) กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดด์ ว่าประกอบด้วย 3

หลักการ ได้แก่ 1) หลักการความพึงพอใจ เน้นถึงการสรา้ งความพึงพอใจกับนักเรียน โดยการชื่นชม การให้

รางวลั เปน็ ต้น 2) หลักของความพร้อม เนน้ ว่าการเรยี นรู้จะมปี ระสิทธภิ าพมากทส่ี ดุ เมือ่ นักเรยี นมีความพร้อม
ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา สังคมและอารมณ์ อันจะทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิผล และ 3) หลัก

ของการฝึกหัด กล่าวคือนักเรียนต้องมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ไม่ทิ้งช่วงการฝึกไว้นานเพราะอาจจะทำให้ลืมได้
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ ที่เน้นในเรื่องการเสรมิ แรง กล่าวคือพฤติกรรมใด ท่ี
ได้รับการเสริมแรง จะมีแนวโน้มที่จะเกิดพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก แนวทางการเสริมแรงประกอบด้วย การให้

นกั เรียนได้มสี ่วนร่วมหรือลงมือทำด้วยตนเอง การให้มคี วามก้าวหน้าท่ลี ะน้อย ๆ และการให้นักเรียนรู้ผลของ
การกระทำในทันที

จากทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดด์และสกินเนอร์ ที่กล่าวไว้ขา้ งตน้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ใน
จัดการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้การแกป้ ัญหาเด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ลายมือไม่สวย ด้วย
กิจกรรม ๓ ฝ ของนักเรียนได้เป็นอย่างดี โดยการจัดการเรียนรู้นัน้ ควรพิจารณาถึงความพร้อมและความพึง



พอใจของนักเรียน ควรสร้างแบบหัดอ่านให้มีความน่าสนใจทั้งในด้านเนื้อหาและรูปแบบ ควรเน้นการฝึกฝน
ซ้ำๆ รวมถึงการออกแบบให้มีการเสริมแรงในการทำจัดกิจกรรมการเรียนรูเ้ พื่อดึงดูดให้นักเรียนสนใจในการ
เรียนรู้ อันจะทำใหก้ ารจดั กระบวนการเรยี นรเู้ กดิ ประโยชน์ต่อนกั เรียนอยา่ งแทจ้ ริง
๒. แนวคิดทฤษฎีเกีย่ วกบั การอ่านและการเขียน

2.1 การอา่ น
ความหมายของการอ่าน
การอ่านเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างมาก ใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้จากสื่อต่าง ๆ

ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องฝึกฝนการอา่ นให้มปี ระสิทธิภาพ ซึ่งมีนกั การศกึ ษาได้ให้ความหมายของการ
อา่ นไวด้ งั น้ี

ไกรษร ประดับเพชร (2561 : 14) การอ่าน คือ กระบวนการทางสมองที่สามารถรับรู้และเข้าใจ
ความหมายของคำหรือสญั ลักษณโ์ ดยแปลออกมาเป็นความหมาย ใช้สอ่ื ความคิดและความรรู้ ะหว่างผู้เขียนกับ
ผู้อ่าน ให้เข้าใจตรงกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้อ่าน และผู้อ่านสามารถนำเอาความหมายนั้นๆ ไปใช้ให้
เปน็ ประโยชนไ์ ด้

ชนิศา แจ้งอรุณ (2559 : 5) การอ่าน คือ การอ่าน หมายถึง กระบวนการทางความคิดในการรับ
สารขณะท่อี ่านสมองของผู้อา่ นจะต้องแปลความหมาย ตคี วามข้อความหรือเรอื่ งราวที่อา่ นไปดว้ ยตลอดเวลาใน
ระหวางที่ผู้อ่านกาลังอ่านหนังสืออยู่นั้น จะต้องใช้กลวิธีหลาย ๆ อย่าง เพื่อช่วยให้เข้าใจเรื่องราวได้เร็วข้ึน
ไดแ้ ก่ ความร้เู ดิมในคำศพั ทเ์ พือ่ ใช้อธบิ ายความหมาย แปลความ ตีความ และขยายความจากเรอ่ื งทอ่ี ่านได้

สุวิมาลย์ ยืนยัง (2556 : 13) การอ่าน คือ กระบวนการทางสมองในการแปลสัญลักษณ์ถอด
ความหมายจากสัญลักษณ์นต่าง ๆ ที่ปรากฏต่อสายตาออกมาเป็นความคิด ความเข้าใจ เป็นการพัฒนา
ความคดิ โดยใชค้ วามสามารถในการสงั เกต การจำรูปคำและการใช้ประสบการณ์

สรุปไดว้ า่ การอ่าน คือ การแปลความหมายของตัวอักษรที่อ่านออกมาเป็นความรู้ความคิดและเกิด
ความเข้าใจเรื่องราวที่อ่านตรงกับเรื่องราวทีผ่ ู้เขียนไดเ้ ขียน ผู้อ่านสามารถนำความรู้ ความคิด หรือสาระจาก
เรอื่ งราวท่อี า่ นไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ได้

ความสำคญั ของการอ่าน
การอ่านเป็นเครื่องมือสำหรับการแสวงหาความรู้ การเรียนรู้ และพัฒนาสติปัญญาของคนในสงั คม
พัฒนาไปสูส่ ิ่งท่ีดีท่ีสุดในชีวิต ซง่ึ ความสำคัญของการอ่านมดี งั นี้
1. การอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผทู้ ี่อยู่ในวัยศึกษาเลา่ เรยี นจำเปน็ ต้องอ่าน
หนงั สือเพื่อการศึกษาหาความรูด้ ้านต่าง ๆ
2. การอ่านเป็นเครอ่ื งมอื ชว่ ยใหป้ ระสบความสำเรจ็ ในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรูท้ ี่
ไดจ้ ากการอ่านไปพฒั นางานของตนได้
3. การอ่านเปน็ เครื่องมือสบื ทอดทางวฒั นธรรมของคนรนุ่ ตอ่ ๆ ไป
4. การอา่ นเปน็ วธิ ีการส่งเสริมใหค้ นมคี วามคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ท่ไี ดจ้ ากการ
อา่ นเมอ่ื เก็บสะสมเพิ่มพนู นานวันเข้า ก็จะทำใหเ้ กดิ ความคดิ เกิดสตปิ ญั ญา เป็นคนฉลาดรอบรู้ได้
5. การอ่านเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นวิธีหนึ่งในการแสวงหาความสุข
ใหก้ บั ตนเองทง่ี า่ ยที่สุด และไดป้ ระโยชนค์ ุ้มค่าทีส่ ดุ



ระดบั ของการอา่ น
ระดบั ของการอ่านแบง่ เป็น 2 ระดับ คือ
1. อ่านออก การท่ีผู้อ่านร้จู กั พยญั ชนะ สระและเครอ่ื งหมายตา่ งๆ สามารถอ่านออกเสยี งออกมาเป็น
คำได้อยา่ งถูกต้อง
2. อ่านคลอ่ ง เป็นการอ่านทีแ่ ตกต่างจากระดับแรกโดยสิ้นเชงิ เพราะการอ่านเปน็ นนั้ หมายความว่า
ผูอ้ ่านจะตอ้ งอ่านได้ถูกต้อง คล่องแคล่ว จบั ใจความได้ตรงตามที่ผู้เขียนตอ้ งการ ทราบความหมายของข้อความ
ทุกอย่างรวมถงึ ความหมายทผ่ี เู้ ขียนเจตนาแฝงเร้นไว้ สามารถเขา้ ใจเจตนาและอารมณ์
ของผเู้ ขียน ตลอดจนสามารถประเมินคุณคา่ และเลือกรับสง่ิ ดีๆจากงานเขียนน้นั ได้ จงึ จำเปน็ อย่างย่ิงท่ีจะต้อง
ฝึกฝนทักษะในการอา่ นของตนเองใหม้ าก เพอ่ื ท่จี ะได้อา่ นคล่อง ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝนคอ่ นข้างนาน
จุดมุ่งหมายของการอา่ น
1) การอ่านเพื่อการศึกษาค้นคว้า ต้องการได้รับความรู้จากเนื้อเรื่องที่อ่าน เช่น การอ่านหนังสือ
ประเภทตำรา สารคดี หรือหนังสืออ่านเพิ่มเติมของนักเรียนและนักศึกษา เพื่อรู้และเข้าใจเรื่องราวตาม
หลักสูตรและอ่านวารสาร หนังสือพิมพ์ และข้อความต่าง ๆ เพื่อให้ทราบเรื่องราวอันเป็นข้อความรู้ หรือ
เหตกุ ารณบ์ ้านเมอื ง ผูป้ ระกอบอาชีพต่างๆกต็ ้องอ่านเพ่ือเพิ่มพนู ความรู้ในสาขาอาชีพของตน หรือเพ่ือทำความ
เข้าใจวิทยาการใหม่ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าแม้แต่ในหนังสือประเภทบันเทิงคดี
สำหรับบุคคลทั่วไป ก็ยังให้ความรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิง เพราะบุคคลทั่วไปอ่านหนังสือต่างๆ เพื่อขยาย
ความรู้ความสนใจใหก้ ว้างขวาง
2) การอา่ นเพื่อความบนั เทิง บุคคลบางประเภทมีความชอบท่ีจะอ่านเพ่ือความบันเทิง มากกว่าอ่าน
เพื่อความรู้ เนื่องจากว่า ความบันเทิงเป็นอาหารทางใจซึ่งมีความจำเป็นต่อชีวิตของมนุษย์เช่นเดียวกันกับ
อาหารและอากาศ จึงมักจะเลอื กอ่านแต่หนังสือทส่ี ง่ เสริมสขุ ภาพจิตใหแ้ จ่ม ใส มคี วามสขุ คนไทยเรานั้นใช้การ
อ่านเป็นเครื่องให้ความบันเทิงใจมาเป็นเวลาติดต่อกันนานหลายปี เห็นได้จากนิทานร้อยแก้วและนิทานคำ
กลอนสำหรบั อ่าน กลอนเพลงยาว นริ าศ ตลอดจนวรรณกรรมอ่นื ๆ ท่ีถกู แตง่ ขน้ึ อย่างมากมายและหลากหลาย
ในสมัยก่อน ล้วนแต่มีส่วนใหค้ วามบันเทิงใจแก่ผู้อ่านทัง้ สิน้ จวบจนปัจจุบันนี้ก็มียัง นวนิยายเรื่องสั้น สารคดี
การ์ตูนมีภาพประกอบตา่ งๆ มากมายเพื่อสร้างรอยยิ้มความสนุกสนานเพลดิ เพลินให้กับผู้อา่ นโดยวิธีการอา่ น
ง่าย ๆ และสามารถทำได้หลายโอกาส เช่น ระหว่างที่คอยบุคคลที่นัดหมาย คอยเวลารถไฟออกเป็นต้น หรือ
อ่านหนงั สอื ประเภทบันเทงิ คดใี นเวลาว่าง
3) การอ่านเพื่อความคดิ หรอื เพื่อสนองความต้องการอื่นๆ นอกจากความต้องการในการหาความรู้
และความบันเทิงแล้ว คนบางคนยังแสวงหาคำตอบอื่นๆให้กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดทางปรัชญา
วัฒนธรรม จริยธรรม และความคิดเห็นทั่วไป ที่จะมักแทรกอยู่ในหนังสือแทบทุกประเภท การศึกษาแนวคิด
ของผู้อืน่ เพื่อเป็นแนวทางความคิดของตนเองและอาจนำมาเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชวี ิต หรือแก้ปัญหา
ต่าง ๆ หรืออ่านเพือ่ พัฒนาบคุ ลิกภาพ กล่าวคือการอ่านหนงั สือมากๆ จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถปรบั ตัวเข้ากับ
สังคมได้ดี รู้จักการวางตัวที่เหมาะสม มีความคิดกว้างขวางทันสมัย สามารถแก้ปัญหาและตัดสินใจได้อย่าง
ถูกต้อง โดยอาจเรยี นร้จู ากเรอ่ื งราวในหนังสือท่ีเปน็ คตสิ อนใจหรอื เปน็ อทุ าหรณ์
ประเภทของการอ่าน
ลาวัณย์ สังขพันธานนท์ และคณะ (2559 : 18 - 21) ได้แบ่งประเภทของการอ่านออกเป็น 2
ประเภท ดังนี้
1. การจำแนกประเภทตามลกั ษณะการอา่ น แบ่งได้ 2 ประเภท คือ



1.1 การอ่านออกเสียง หมายถึง การอ่านโดยวธิ ีการเปล่งเสียงออกมาเป็นถอ้ ยคำหรือเสียงแล้ว
ถ่ายทอดเสียงออกมาเปน็ ความคิด

1.2 การอ่านในใจ คือ การอ่านที่ถ่ายทอดตัวอักษรออกมาเป็นความคิดโดยตรง การอ่านในใจ
เปน็ เร่อื งที่ต้องอาศยั ทกั ษะและความชำนาญ ผสมผสานกบั การหม่นั ฝึกฝนตนเองเพื่อกอ่ ให้เกิด
ความชำนาญในการอ่าน ทักษะที่สำคัญในการอ่านในใจ ได้แก่ ทักษะการอ่านได้เร็วและทักษะการเข้าใจ
ความหมาย ทักษะในการอ่านเร็ว เป็นเรือ่ งของกลไกการอ่านหรือการเคลือ่ นไหวของสายตา ทักษะการเข้าใจ
ความหมายเป็นหัวใจสำคญั ของการอา่ น เพราะหากมรี ะดบั ความเร็วในการอา่ นดแี ตไ่ มส่ ามารถเข้าใจเนื้อความ
ของสิ่งที่อ่านได้ การอ่านก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ การที่ผู้อ่านจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านได้จะต้องมี
พน้ื ฐานเก่ียวกับส่งิ ต่อไปนี้ คือ

1.2.1 ความรู้พื้นฐานเรื่องคำและไวยากรณ์ ได้แก่ การรู้จักความหมายของคำศัพท์หน้าที่
ของคำและประโยค

1.2.2 การรู้จกั ย่อหน้าหรอื ปริเฉท (Paragraph) ผอู้ า่ นมีความจำเปน็ ต้องรู้ความสำคัญของ
การย่อหน้า เพราะในแต่ละย่อหน้าจะมีใจความสำคัญ (Main Idea) หนึ่งย่อหน้าจะแสดงประโยคใจความ
สำคัญไว้หน่ึงประโยค เรียกว่า ประโยคหลกั (Topic Sentence) จากน้นั จะใชป้ ระโยคพลความ (Supporting
Sentence) เปน็ ประโยคเสรมิ เพือ่ อธิบายหรอื ขยายความตามปกตใิ จความสำคัญของแตล่ ะยอ่ หนา้ ส่วนมากจะ
ปรากฏที่ต้นหรือตอนท้ายของย่อหน้าหรืออาจปรากฏที่ตอนกลางของย่อหน้าก็ได้หนึ่งย่อหน้าจะมีใจความ
สำคญั เพยี งหน่งึ ใจความเท่าน้ัน

1.2.3 ภูมิหลังและประสบการณ์ของผู้อ่าน ผู้อ่านที่มีประสบการณ์ได้พบเห็นหรือได้
คนุ้ เคยกบั เหตุการณห์ รอื เรอื่ งราวน้นั ๆ จะทาให้ผู้อ่านเข้าใจเร่ืองราวทีอ่ า่ นไดช้ ัดเจนมากยิง่ ขึ้น

2. การจำแนกประเภทตามวิธีการอา่ น แบง่ ได้ 5 ประเภท คือ
2.1 การอ่านอยา่ งคร่าว ๆ เป็นวิธกี ารอา่ นที่จะใช้เม่อื ต้องการสำรวจว่าจะอ่านหนังสือนั้นต่อไป

โดยละเอยี ดหรือไม่ การอา่ นอย่างครา่ ว ๆ จะอา่ นเพียงชื่อเรอ่ื ง ชอ่ื ผู้แตง่ สารบัญ คำนำ หรอื เป็นการอ่านเพียง
บางตอนเพอื่ ดูจำนวน การอา่ นเพ่ือสงั เกตเนื้อหา หรอื การอ่านเพ่ือดูดรรชนี คน้ หาหัวขอ้ ทตี่ ้องการว่ามีหรือไม่

2.2 การอา่ นแบบตรวจตรา เป็นวิธีการอ่านละเอยี ดในข้อความทีต่ อ้ งการรู้ เป็นการอา่ นเพ่ือเก็บ
ขอ้ มลู คอื การอ่านหนงั สอื ในหัวข้อเรอื่ งเดียวกนั จากหนงั สือหลาย ๆ เล่มเพอ่ื เปรยี บเทียบและคัดเลือกก่อนจะ
สรุปและนำส่วนที่ตนเองต้องการมาใช้ นิยมใช้กันมากในการอ่านเพื่อการทำรายงาน การทำวิจัย การค้นควา้
หรอื การทำวทิ ยานพิ นธ์

2.3 การอา่ นแบบศึกษาค้นควา้ เปน็ การอา่ นอยา่ งละเอียดถถี่ ้วนตั้งแตห่ นา้ แรกจนถึงหน้าสดุ ท้าย
เพอ่ื ให้รเู้ น้ือหาอยา่ งละเอยี ดลกึ ซึง้ ทกุ ขนั้ ตอนและเกบ็ แนวคิดเพอ่ื สรุปสาระสำคัญของเนือ้ ความทงั้ หมด

2.4 การอ่านเชิงวิเคราะห์หรือการอ่านตีความ เป็นวิธีการอ่านที่ต่อเนื่องจากวิธีการอ่านแบบ
ศึกษาค้นคว้า คือการอ่านอยา่ งละเอยี ดใหไ้ ด้ใจความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะส่วนประกอบออกให้ไดว้ ่าส่วน
ต่าง ๆ น้ันมีความหมายและความสำคัญอย่างไร

2.5 การอ่านโดยใชว้ ิจารณญาณ คือ การอา่ นโดยสอดแทรกการวิพากษ์วิจารณ์ของ
ผู้อ่านไปด้วย โดยผู้อ่านจะต้องมีความรู้พ้ืนฐานมากและต้องอาศัยเทคนิคการอ่านทุกวธิ ีอย่างมีประสิทธิภาพ
แลว้ จึงเกิดการสรุปประมวลเป็นความคิดรวบยอด สามารถวพิ ากษว์ จิ ารณ์อย่างมีเหตุผลและถกู ต้อง สรุปได้ว่า
ประเภทของการอา่ นจำแนกได้ตามลักษณะการอา่ น และวิธีการอา่ นซึ่งข้นึ อยู่กบั จุดประสงค์ของผอู้ ่าน



2.2 การเขียน
ความหมายของการเขยี น
นอกจากทกั ษะการฟัง การพดู และการอ่านแลว้ ทักษะการเขียนถือเป็นทักษะหน่ึงท่ีจำเป็นของการ

เรียนวิชาภาษาไทยเพราะสังคมปัจจุบันเรามีความจำเป็นต้องมีการสื่อสารด้วยการเขียนมากขึ้นโดยนัก
การศึกษาได้ให้ความหมายของการเขยี นดังน้ี

นิภาพรรณ ศรีพงษ์ (2559 : 145) การเขียน หมายถึง การถา่ ยทอดความรู้ ความรู้สกึ นึกคิดความ
ตอ้ งการ ความปรารถนาและอน่ื ๆ ของผู้เขยี นออกมาเป็นตัวอกั ษรเพื่อให้ผอู้ ืน่ ไดร้ ับทราบโดยการอา่ น

สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2554 : 12) การเขียน คือการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อแสดง
ความรู้ ความคิด หลกั การ และวธิ กี ารต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้ ความคิด ทัศนคติ และอารมณ์ ของผ้เู ขียน

สุนิษา เกาะอ้อม (2562 : 12) การเขียน คือ การถ่ายทอดความรู้ ความคิดโดยเชื่อมโยงผ่าน
กระบวนการแลว้ นำมาเขียนเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรจากผู้สง่ สารไปยงั ผูร้ ับสาร อาจจะเปน็ รอ้ ยแก้วหรือรอ้ ยกรอง
ก็ได้

จากความหมายข้างต้น จึงสรุปได้ว่า การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด
เรอ่ื งราว ตลอดจนประสบการณต์ ่าง ๆ ไปสผู่ อู้ ื่นโดยใชต้ ัวอกั ษรเป็นเครือ่ งมือในการถ่ายทอด การเขียนจึงเป็น
วิธีการสื่อสารที่สำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์เพื่อสื่อสารไปยังผู้รับสารได้อย่าง
กวา้ งไกล

ความสำคัญของการเขียน
1. ใช้เป็นสื่อในการเขียนภาษาไทยมีแบบแผนและถอ้ ยคำสำนวนสำหรับใชโ้ ดยเฉพาะผู้เขียนจะต้อง
เขียนให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านจะได้อ่านด้วยความเข้าใจและเพื่อ ตอบสนองตามความต้องการของผู้เขียนท่ี
ต้องการใหผ้ อู้ ่านรูอ้ ะไรบ้าง
2. เป็นการให้ความรู้ การเขียนให้ผูอ้ ่านนั้น ผู้เขียนจะตอ้ งมีจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งคือการให้ความรู้
แกผ่ ้อู ่าน เพื่อพฒั นาสติปัญญาให้ก้าวไกลย่ิงขึน้ กล่าวคอื เมือ่ ผอู้ ่านอ่านขอ้ ความน้ันแลว้ สามารถนำไปปรับปรุง
เปล่ยี นแปลงตวั เองได้
3. เป็นการพัฒนาความคิด ผู้อ่านได้อ่านข้อเขียนที่ผู้เขียนเขียนไว้ ข้อเขียนเหล่านั้นช่วยพัฒนา
ความคิด ความเข้าใจ ความต้องการของผ้อู ่านไดม้ ากน้อยเพียงไร
หลักการเขยี น
การเขียนเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจตามที่ต้องการนั้น มีความจำเป็นต้องระมัดระวังให้มาก
เกี่ยวกบั การใชภ้ าษา ควรใช้ถอ้ ยคำทผ่ี อู้ า่ นอา่ นแล้วเขา้ ใจทนั ที เขียนด้วยลายมือท่ชี ัดเจน อ่านง่ายเป็นระเบียบ
และผเู้ ขียนจะต้องใชภ้ าษาให้ถกู ต้องตามหลักการเขียน ใชค้ ำให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบคุ คลด้วยจึงจะถือ
ว่าผู้เขยี นมีหลกั การและใช้ภาษาได้ดี มปี ระสทิ ธิภาพซึ่งการเขยี นมีหลกั ทีค่ วรปฏิบตั ดิ ังต่อไปนี้
1. เขยี นให้ชัดเจน อา่ นงา่ ย เปน็ ระเบียบ
2. เขียนให้ถูกตอ้ ง สะกด การันต์ วรรณยกุ ต์
3. ใชถ้ อ้ ยคำทส่ี ุภาพ เหมาะสมกบั กาลเทศะและบคุ คล
4. ใชภ้ าษาทงี่ า่ ย ๆ สั้น ๆ กะทดั รดั สอื่ ความหมายเขา้ ใจไดด้ ี
5. ใชภ้ าษาเขยี นท่ดี ี ไมค่ วรใชภ้ าษาพดู ภาษาโฆษณาหรือภาษาทไี่ มไ่ ด้มาตรฐาน



ลกั ษณะการเขียนท่ีดี
ลกั ษณะการเขยี นทด่ี ี มีลักษณะดังน้ี
1. การเขยี นใหส้ ะอาด เรียบร้อย ลายมือชดั เจน อ่านงา่ ย เข้าใจง่าย
2. เขียนสะกด การนั ต์ วรรณยกุ ตใ์ ห้ถูกตอ้ ง
3. ควรเขียนใหไ้ ดใ้ จความดี ชัดเจน ไมก่ ำกวม เขา้ ใจยาก
4. ใชภ้ าษางา่ ย ๆ สัน้ กะทดั รัด ได้ความดี ไม่เขยี นเยนิ่ เย้อ ฟมุ่ เฟอื ยเกนิ จำเป็น
5. ใชภ้ าษาให้ถกู แบบแผนการใชภ้ าษา หลีกเลีย่ งใช้คำหรอื สำนวนมาปะปนกับภาษา
ต่างประเทศหรือภาษาทใี่ ช้ในส่ือมวลชน
องค์ประกอบของการเขยี น
การเขียนข้อเขียนประเภทใด ๆ ก็ตาม ทั้งบทความ ย่อความ เรียงความ จดหมาย ฯลฯ ผู้เขียน
จะตอ้ งมสี ่ิงเหล่านี้เป็นส่วนประกอบทีส่ ำคญั ไดแ้ ก่
1. คำ
2. ประโยค
3. ข้อความสั้นๆ
4. ขอ้ ความยาวๆ
5. เนื้อหา
6. ภาษา
7. ความร้สู ึกและแรงจูงใจ

๓. แนวคิดทฤษฎเี ก่ยี วกับการจัดการเรยี นรู้ภาษาไทย
ความหมายของการจดั การเรยี นรู้
การจดั การเรียนร้ไู มใ่ ช่เเปนเพียงการถา่ ยทอดเน้อื หาวชิ า โดยใชวิธีการบอกใหจดจำ และนำไปทองจำเพื่อ

การสอบเทานัน้ แต่การจัดการเรยี นรูเป็นศาสตรอยา่ งหน่ึงซ่ึงมีความหมายท่ีลึกซง้ึ กว่านัน้ กลาวคือ วิธีการใดก็
ตามทผี่ สู้ อนนำมาใชเพอ่ื ใหผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรเู รยี กไดว้ าเปน็ การจัดการเรียนรู้ นกั การศกึ ษาหลายท่าน ได้ให้
ความหมายของการจัดการเรยี นรูในทศั นะต่าง ๆ ดงั นี้

สุภณิดา พัฒธร และคณะ (2557 : 8 ) การจัดการเรียนรู้คือ กระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกบั
ผู้เรียนเพอ่ื ทจ่ี ะทำให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรูต้ ามวัตถุประสงคข์ องผู้สอน

สุราษฎร์ พรมจันทร (ม.ป.ป. : 1) การจดั การเรียนรู้ หมายถึง การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้
ที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรยี นได้เกดิ การเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่พึง ปรารถนา
ตามจดุ ม่งุ หมายหรือวัตถปุ ระสงคท์ ไี่ ดว้ างไว้

สุมน อมรวิวัฒน (2543 : อ้างถึงใน วิทยา พัฒนเมธาดา 2560 : 4) การจัดการเรียนรู้คือสถานการณ์
อย่างหนง่ึ ท่มี สี งิ่ ตอ่ ไปน้ีเกดิ ขึ้น ได้แก่

1. มีความสัมพันธ์และมีปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้น ระหว่างผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน ผู้เรียนกับ
ส่งิ แวดล้อม และผู้สอนกบั ส่งิ แวดล้อม

2. ความสัมพนั ธ์และการมีปฏิสัมพนั ธ์กอ่ ให้เกดิ การเรียนรแู้ ละประสบการณ์ใหม่
3. ผูเ้ รยี นสามารถนำประสบการณใ์ หม่นน้ั ไปใชไ้ ด้

๑๐

จากความหมายของการจดั การเรยี นรู้ข้างตน้ จึงสรุปไดว้ ่า การจดั การเรียนรู้ หมายถงึ กระบวนการท่ีทำให้
ผเู้ รยี นเกดิ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม การพฒั นา ความคดิ และความสามารถของตนเองหลังจากการได้รับการ
เรียนรู้

แนวการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ภาษาไทย
อัมพร อังศรีพวง (อ้างองิ ใน วิมลรตั น์ สุนทรโรจน.์ 2557) ไดใ้ หแ้ นวการจัดกจิ กรรมการเรียนภาษาไทย
ไวด้ งั น้ี
1. ฝกึ ทักษะการฟัง พดู อา่ น และเขียนให้ถูกตอ้ ง คล่องแคล่ว โดยการฝึกทักษะแต่ละอยา่ งให้แมน่ ยำแล้ว
จงึ ฝกึ ทกั ษะท้ัง 5 ใหส้ มั พนั ธ์กันและส่งเสรมิ การคิด ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์
2. ฝกึ ทกั ษะทางภาษาซำ้ ๆ และบ่อยๆ จนเกิดความชำนาญ และหมัน่ ฝึกฝน ทบทวนอยู่เสมอ ครูผู้สอน
ตองส่งเสริมใหน้ ักเรียนฝึกทักษะเป็นรายบคุ คลอย่างทวั่ ถงึ ทางภาษา
3. ฝึกใหผ้ เู้ รยี น รู้หลกั เกณฑท์ างภาษาควบคู่ไปกับการใชภ้ าษาและรู้จกั วฒั นธรรม
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ และทักษะที่ได้จากการเรียนภาษาไทยไปใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารใน
ชวี ิตประจำวนั และใช้เปน็ พื้นฐานในการเรียนกลุ่มประสบการณ์อ่นื ๆ
5. ปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย โดยสอนให้เห็นคุณค่าและตระหนักในความสำคัญของ
ภาษาไทย ทั้งในส่วนทีจ่ ำเป็นต้องใช้เพือ่ การสื่อสาร และในด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมทีส่ ำคัญของ
ชาติ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยระดับประถมศึกษาควรคำนงึ ถึงจุดประสงค์ ความพร้อมของผู้เรียน
ควรให้ผู้เรียนมีพฒั นาการท้ัง 4 ทกั ษะ คอื ฟัง พดู อ่าน เขยี น และมีการฝกึ ฝนทางภาษามีการ บรู ณาการสอน
กับวชิ าอืน่ ๆ ตามความเหมาะสม เปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นรว่ มกิจกรรมการเรยี นการสอนมากท่ีสดุ เนน้ ให้ผู้เรียน
รู้จักคิดตัดสินใจเอง รู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง ควรใช้การสอนหลาย ๆ วิธี นอกจากนั้นครูควรสอดแทรก
คุณธรรม และให้รู้จักการทำงานร่วมกับคนอื่นได้ อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนการสอน นอกจากจะมี
ความสำคญั ในตวั มนั เองแลว้ ยังเป็นปัจจยั สำคญั ทช่ี ่วยให้ผเู้ รยี นสามารถเรยี นวชิ าอนื่ ๆ ไดอ้ กี

4. แนวคดิ ทฤษฎเี กยี่ วกับการสอนซ่อมเสรมิ
ความหมายของการสอนซอ่ มเสริม
นักการศกึ ษาไดใ้ ห้ความหมายการสอนซอ่ มเสรมิ ในทัศนะตา่ ง ๆ ดังน้ี
ประคอง สุทธิสาร (2553 : 12) ระบุว่าการสอนซ่อมเสริม หมายถึง การแก้ไขข้อบกพร่องของนักเรียน

เพื่อช่วยให้นักเรยี นสามารถบรรลุจุดประสงค์ การเรียนรู๎ที่ตั้งไว้ได้ ทั้งยังช่วยให้นักเรียนมีความรู้เพิม่ เติมขึ้น
กวา่ เดิม และชว่ ยเสริมทักษะการเรียนร๎ูใหม่ ๆ ใหแ้ กผ่ ู้เรยี นโดยอาศัยวิธีการสอน และสื่อการเรยี นใหม่ ๆ เข้า
ช่วยโดยอาจสอนเปน็ รายบุคคลหรอื รายกลุ่มกไ็ ด้

กนก เอ่ยี มศรชี าญชัย (2558 : 31) การสอนซ่อมเสรมิ เป็นการสอนนอกชั้นเรยี นปกติ ในเน้ือหาที่เรียน
มาแลว้ ในชั้นเรียนปกติ เพอ่ื แกไ้ ขขอ้ บกพร่องให้กับนักเรียนเพื่อใหบ้ รรลุจุดประสงคท์ ่ีตั้งไว้

กรรณิการ์ กนั ทะวงศ์ (2560 : 14) กล่าวว่า การสอนซ่อมเสรมิ คือ การชว่ ยเหลอื และแกไ้ ขขอ้ บกพร่อง
ผู้เรียนใหม้ ีพฒั นาการทางการเรยี นรู้ที่ดีข้นึ ซง่ึ การจัดการเรียนรู้นั้นจะแตกต่างจากการเรียนในห้องเรียนปกติ
อาจจะจัดการเรียนรู้เปน้ รายบุคคลหหรือกลุม่ กไ็ ด้เพอื่ ส่งเสริมสติปญั ญาให้เป็นไปตามความสามารถของแต่ละ
บคุ คล

การสอนซอ่ มเสริมจึงเป็นกิจกรรมทจ่ี ดั ให้กับนักเรยี นทเี่ รียนออ่ นได้แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ ง ต่างๆ และเพ่อื ชว่ ย
ให้มพี ื้นฐานมนั่ คงในการเรียนรู้กับทัง้ ส่งเสริมให้นักเรยี นทเ่ี รียนดีอยแู่ ลว้ ได้พฒั นาตนเองให้ถึงขีดสูงสุด จึงสรุป

๑๑

ได้ว่า การสอนซ่อม คือ การสอนนักเรียนที่เรียนอ่อน เรียนไม่ทันเพื่อในชั้นให้เรียนทันเพื่อนในระดับช้ัน
เดยี วกัน และการสอนเสรมิ คอื การสอนนกั เรยี นท่เี ก่งใหไ้ ด้ใช้ความสามารถท่มี อี ย่ใู ห้เต็มท่ี เป็นไปตามแนวทาง
ทถี่ ูกตอ้ งและเป็นประโยชน์

จดุ มงุ่ หมายของการสอนซอ่ มเสรมิ
1. เพื่อใหน้ ักเรยี นเรยี นทันเพอื่ นในช้นั
2. เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นแข่งขนั กับตนเองจนสามารถเรยี นดีข้ึนกวา่ เดิม
3. เพือ่ ใหน้ ักเรยี นประสบผลสำเรจ็ มากขนึ้
4. เพื่อชว่ ยใหน้ ักเรียนได้พัฒนาไปถงึ ขีดระดับความสามารถท่ีแทจ้ รงิ ของตนเอง
หลกั การและแนวคดิ ในการสอนซ่อมเสริม
1. ครตู ้องรู้ขอ้ บกพรอ่ งของนักเรียนก่อนการสอนซอ่ มเสริมครูควรทดสอบหาข้อบกพร่อง
เพื่อครูจะไดแ้ ก้ไขขอ้ บกพรอ่ งและเสริมการเรยี นของนักเรยี นใหถ้ กู วธิ ีได้
2. การสอนต้องเรม่ิ จากสิง่ ท่ีนักเรียนร้หู รอื ประสบการณพ์ นื้ ฐานของนักเรียนครูควรสอนจากส่ิงที่นักเรียน
รแู้ ลว้ ไปหาสิ่งท่ยี ังไมร่ ู้
3. ครูควรรู้จักเลือกวัสดุอุปกรณ์การสอนให้เหมาะสมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆเป็นสิ่งเร้าใจนักเรียนและเป็น
เครอ่ื งช่วยสอนทสี่ ำคัญท่ีทำให้นกั เรียนเกิดความเข้าใจบทเรียนดีย่งิ ขึน้
4. ครคู วรหลีกเล่ียงการทำงานซ้ำๆซากๆการให้งานนักเรยี นเปน็ เรอ่ื งสำคัญเพราะนกั เรยี น
เรยี นออ่ นความสนใจและความอดทนในการทำงานมีน้อย
5. ครูควรสร้างบรรยากาศในหอ้ งเรียนใหส้ นุกสนานนา่ เรียนดว้ ยการจัดกจิ กรรมการเรยี น
ต่าง ๆ หลาย ๆ วิธเี พ่อื ช่วยให้นักเรียนเกดิ ความสนใจความอยากรอู้ ยากเห็นรวมทงั้ มีส่วนร่วมในกิจกรรม

5. งานวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ ง
สุวิมาลย์ ยืนยัง (2556 : บทคดั ย่อ) ได้ศกึ ษาและพฒั นาทักษะการอ่านและเขยี นภาษาไทย ของนกั เรียน

ระดับช้ันประถมศึกษาปที ี่ 5 โดยใช้กจิ กรรมการเรียนรู้เทคนคิ CIRC โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนระดับช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองขวาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบรุ รี มั ย์ เขต 4
ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2555 จำนวน 30 คน ได้มาโดยวธิ กี ารสุม่ อยา่ งง่าย ผลการวิจยั พบวา่ ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังจากการเรียนรู้ด้วยแบบหัดอ่านภาษาไทยและเขียนภาษาไทยของ
นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้เทคนิค CIRC สูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบหัดอ่าน
ภาษาไทยและเขยี นภาษาไทยของนักเรยี นระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรเู้ ทคนิค CIRC
โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก

กนก เอ่ยี มศรชี าญชัย (2558 : บทคดั ยอ่ ) ได้ทำการวิจัย เรอ่ื ง การพัฒนาชดุ กจิ กรรม การสอนซ่อมเสริม
การอ่านภาษาไทย สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนระดับช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนเทศบาลวัดเขียน โดยคัดเลือกนักเรียนที่มี
ผลสมั ฤทธท์ิ างดา้ นการอ่านภาษาไทยต่ำกวา่ เกณฑ์ จำนวน 50 คน โดยใช้วิธกี ารสุ่มอย่างงา่ ย จำนวน 23 คน
พบว่า ความสามารถในการอา่ นภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 2 ที่เรียนโดยใช้ ชุดกิจกรรมการ
สอนซ่อมเสรมิ การอ่านภาษาไทยหลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ี ระดับ .05 และความ
พึงพอใจของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มตี ่อชุดกิจกรรมการสอนซอ่ มเสรมิ การอา่ นภาษาไทยภาพรวม
อย่ใู นระดบั มากทส่ี ุด

๑๒

ทิพยฉัตร พละพล (2561 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาและพัฒนาชุดการสอนภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ
สำหรบั นักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 6 โดยมีกล่มุ ตัวอย่าง คือนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ซงึ่ กำลังศึกษาอยู่
ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนวัดคลองบางเดื่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศกึ ษานครสวรรค์ เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรยี น 20 คน ซ่งึ ไดม้ าจากการสุ่มแบบกลุ่ม ผลการศกึ ษาพบว่า
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดการสอน
ภาษาไทยหลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .05 และนักเรยี นมคี วามพึงพอใจต่อการ
เรยี นวชิ าภาษาไทยทีไ่ ดร้ ับการสอนโดยใช้ชดุ การสอนภาษาไทย โดยรวมอยู่ในระดบั มากที่สดุ

๒. ขั้นดำเนินการ (Do : D) เป็นขั้นตอนการดำเนินการสร้างนวัตกรรมและการนำนวัตกรรม การ
จดั การเรียนรเู้ พอ่ื แก้ปัญหาการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ลายมอื ไม่สวย โดยใชก้ จิ กรรม ๓ ฝ เพื่อพัฒนาการอ่าน
การเขยี นและคดั ลายมอื ของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) ไปใช้กับ
นกั เรียนชนั้ ป.๔ - ป.๖ ในภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศึกษา 2564 โดยใช้กจิ กรรม ๓ฝ ดงั นี้

กจิ กรรมฝกึ อา่ น โดยใหน้ กั เรยี นฝึกอ่านทุกวนั ในช่วงพกั กลางวัน โดยใช้แบบฝึกอ่านภาษาไทยท่ีสร้าง
ข้ึนโดยมีขัน้ ตอนการสรา้ ง โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎแี ละเอกสารงานวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ งการจัดการเรียนรู้โดยแบบ
หัดอา่ นภาษาไทย กำหนดกรอบเน้ือหา หัวขอ้ และรูปแบบของแบบหดั อ่านภาษาไทยซงึ่ เนน้ คำพน้ื ฐานโดยแบบ
หดั อ่านภาษาไทยแตล่ ะเลม่ เร่ิมจากแบบหัดอา่ นภาษาไทยท่งี ่ายสู่แบบฝกึ หัดการอา่ นท่ยี ากข้นึ (ภาคผนวก หนา้
)

กิจกรรมฝึกการอ่านควบคู่กับการเขียน โดยแบบทดสอบการอ่าน การเขียน ใช้อักษรไทย คำ
ประโยค นทิ าน (ภาคผนวก หนา้ )

กิจกรรมฝึกคัดลายมือ นอกจากทำใหล้ ายมือสวยงามแล้วยังเป็นการชว่ ยในการจดจำรูปคำต่างๆ ได้
มากขน้ึ ด้วย(ภาคผนวก หน้า )

๓. ขน้ั ตรวจสอบ (Check : C) เป็นขนั้ ตอนการตรวจสอบการจดั การเรียนรู้ มขี ั้นตอนดงั นี้
1. ครตู รวจสอบผลการจัดการเรียนรู้ของตนเองเป็นไปตามทีไ่ ด้วางแผนหรือไม่
2. ครูผตู้ รวจสอบและประเมินผลผลิต (Output) และ ผลลพั ธ์ (Outcome) ของนักเรยี นกลุ่มที่

ตนเองจดั การเรียนรู้เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่
3. ครใู หแ้ ละรบั ขอ้ มูลยอ้ นกลับ (Feedback) เกี่ยวกบั การจัดการเรียนรโู้ ดยให้ข้อขอ้ มูลย้อนกลับ

(Feedback) ระหวา่ งครผู ูก้ ับนกั เรยี น และครูกับฝ่ายบรหิ ารงานวชิ าการ

๔. ขัน้ ปรับปรุงพัฒนา (Act : A) เป็นขัน้ ตอนการปรับปรงุ แกไ้ ข และประเมนิ ผลการดำเนนิ งาน
เพ่อื ให้บรรลุเปา้ หมายตามที่ได้กำหนดไว้ โดยมีขน้ั ตอนดังนี้

1. ครูผ้สู อนร่วมกันแลกเปลย่ี นแนวทางการจดั การเรียนรทู้ ี่ประสบความสำเร็จของตนเองผ่าน
กระบวนการ PLC ระหว่างครูผู้สอนดว้ ยกนั

2. ครผู สู้ อนร่วมกนั แลกเปลี่ยนปัญหาของการจัดการเรยี นรู้ท่ตี ้องมีการปรับปรุงแก้ไขผา่ น
กระบวนการ PLC ระหว่างครูผ้สู อนกับผู้อำนวยการโรงเรียนและฝ่ายบริหารงานวิชาการ

3. ฝา่ ยบรหิ ารงานวิชาการ และครผู ู้สอนร่วมกนั ทบทวนหลงั ปฏิบตั งิ าน โดยทบทวนวิธกี ารทำงาน

๑๓

ท้งั ดา้ นความสำเรจ็ และปัญหาทเ่ี กิดขน้ึ เพอ่ื รายงานสรปุ ผลแก่ผอู้ ำนวยการโรงเรียนเกยี่ วกับการดำเนนิ งานการ
จัดการเรียนรูโ้ ดยใช้นวตั กรรมการจัดการเรียนรเู้ พ่อื แก้ปัญหาการอา่ นไมอ่ อก เขยี นไม่ได้ ลายมอื ไมส่ วย โดยใช้
กิจกรรม ๓ ฝ

๔. ผลสำเร็จของการดำเนินงาน
ผลที่เกดิ กับนักเรียน

นักเรยี นไดร้ ับการพฒั นาทกั ษะการอ่านและการเขียนดขี ้ึน นกั เรียนแต่ละกลุม่ สามารถอ่านคำศัพท์แบบ
แจกลูกสะกดไดม้ ากย่งิ ขึ้นจนสามารถอา่ นคำศัพทต์ า่ ง ๆ ได้มากยิ่งขึน้ ความสามารถในการอ่านจับใจความของ
นักเรยี นได้ดียิ่งข้ึน สง่ ผลให้นกั เรยี นรูส้ ึกมีคุณค่าตอ่ ตนเอง มคี วามภาคภูมใิ จตอ่ เองมากยงิ่ ขน้ึ มีความพร้อมใน
การเรยี นรู้รายวิชาอื่น ๆ มากกว่าเดมิ เน่ืองจากนักเรียนสามารถอา่ นเนื้อหาของรายวิชาอืน่ ๆ ได้ดีกว่าเดิมและ
ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนที่เรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
ลายมือไมส่ วย โดยใชก้ จิ กรรม ๓ ฝ คือ นกั เรยี นรกั และสนใจในการเรียนรู้วิชาภาษาไทยมากยงิ่ ข้นึ

คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาการ
อา่ นไม่ออก เขียนไม่ได้ ลายมอื ไมส่ วย โดยใชก้ ิจกรรม ๓ ฝ สูงข้ึน คะแนนร้อยละก่อนเรียนมีคา่ เทา่ กับ 37.50
คะแนนร้อยละหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 47.50 และคะแนนเฉลี่ยความก้าวหน้ามีค่าสูงถึงร้อยละ 10

ระดับความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาการ
อ่านไม่ออก เขียนไมไ่ ด้ ลายมือไม่สวย โดยใช้กิจกรรม ๓ ฝ โดยภาพรวมมคี วามพึงพอใจอยู่ระดับมากท่ีสุด มี
คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.79 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.51 ซึ่งประเด็นที่นักเรียนมีความพึงพอใจ
ระดับมากทส่ี ุด คือ แบบหดั อ่านภาษาไทยมรี ูปเล่มและภาพประกอบสวยงาม น่าสนใจ รองลงมา คือนักเรียน
รูส้ ึกสนกุ กบั กิจกรรมทคี่ รูจัดระหว่างเรยี นซ่อมเสริมดว้ ยแบบหัดอ่านภาษาไทย และประเด็นที่นักเรียนมีความ
พึงพอใจระดับน้อยทีส่ ุด คือ เวลาที่ใช้ในการเรียนซ่อมเสริมดว้ ยแบบหัดอ่านภาษาไทยเพียงพอและเหมาะสม
(ภาคผนวก หนา้ ๘๑ - ๘๒ )

ผลที่เกดิ กับครู

ครมู ีความภาคภมู ิใจท่ีมีสว่ นในการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการอา่ นออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียน
คลอ่ งของนักเรยี นจนนักเรยี นรู้สึกตนเองมีคุณค่ามากย่งิ ข้ึน

ครูเกิดการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และ
กระบวนการทบทวนหลังปฏิบัติงาน (After Action Review : AAR) โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการ
แก้ปัญหาการจัดการเรยี นรู้ในสถานการณ์โรคตดิ ตอ่ เชอื้ ไวรัสโคโรนา่ 2019 (COVID -19)

ครูรู้จักปรับกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019
(COVID -19) โดยการนำเทคโนโลยตี ่าง ๆ มาเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการจัดการเรยี นรู้ ควบคู่กับ
การใชน้ วัตกรรมการจดั การเรียนรเู้ พื่อแก้ปัญหาการอา่ นไม่ออก เขียนไมไ่ ด้ ลายมอื ไม่สวย โดยใช้กจิ กรรม ๓ ฝ
เชน่ การนำแอปพลเิ คชนั Line สำหรับติดตอ่ สอ่ื สาร การสนทนา การมอบหมายงานหรือส่ังการบา้ น การตรวจ
งาน การนำโปรแกรม Google Meet สำหรับจัดกระบวนการเรียนรู้ การนำเว็บไซต์ Live Worksheets
สำหรับให้นักเรียนทำใบงาน หรือทำแบบทดสอบ และการนำโปรแกรม PowerPoint มาใช้ควบคู่กับการใช้
โปรแกรม Google Meet แทนการใช้กระดานดำ

๑๔

ผลทเ่ี กิดขนึ้ กบั โรงเรยี น
โรงเรียนมนี วตั กรรมทส่ี ามารถพฒั นาทักษะการอา่ นออกเขยี นได้ อา่ นคล่องเขียนคลอ่ งของนกั เรียนใน

สถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) จนสามารถพัฒนาการอ่านเขียนของนักเรียน
กล่มุ ระดบั ปรบั ปรงุ และพอใชใ้ ห้ดขี ้นึ

ผลท่ีเกิดข้ึนกับผปู้ กครองและชมุ ชน
ผู้ปกครองและชุมชนให้ความเชื่อม่นั ในการจัดการเรยี นรู้ของโรงเรียนถงึ แม้ในสถานการณโ์ รคติดต่อเชื้อ

ไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) จนผู้ปกครองและชุมชนใหก้ ารยอมรับถงึ ความสามารถในการจดั การเรียน
การสอนของครูผู้สอน ผู้ปกครองมีโอกาสในการติดต่อสื่อสารกับครูผู้สอนโดยตรงผ่านแอปพลิเคชัน Line
สง่ ผลใหผ้ ู้ปกครองสามารถตดิ ตามและช่วยเหลอื การเรยี นของบตุ รตนเองมากยง่ิ ขึน้

๕. แนวทางการนำนวัตกรรมไปใชห้ รอื แนวทางการพฒั นาต่อยอด
1. การมีทัศนคติที่ดีและความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ร่วมกันของบุคลากรทุกคนในโรงเรียนต่อการ
พัฒนาการอ่านออกเขียนได้ การอ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนโดยไม่ถอื ว่าการสอนภาษาไทยเป็นหนา้ ที่
ของครูผู้สอนรายวชิ าภาษาไทยเพียงคนเดยี วเท่าน้ัน
2. กระบวนการติดตามและประเมินผล กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และ
กระบวนการทบทวนหลงั ปฏบิ ตั ิงาน (After Action Review : AAR) มีความสำคัญในการสร้างความสำเรจ็ ของ
การนำนวตั กรรมไปใช้
3. การติดตามและการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือดูแลนักเรียนของผู้ปกครองส่งผลให้การจัดการเรียนรู้
โดยใชน้ วตั กรรมการจดั การเรียนรู้เพ่ือแกป้ ัญหาการอา่ นไมอ่ อก เขียนไมไ่ ด้ ลายมอื ไมส่ วย โดยใช้กจิ กรรม ๓ ฝ
ของนักเรียนประสบความสำเรจ็

๖. การเผยแพรน่ วัตกรรม
ข้าพเจ้าได้นำนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้นวตั กรรมการจดั การเรียนรูเ้ พื่อแก้ปัญหาการอ่านไม่

ออก เขียนไม่ได้ ลายมือไม่สวย โดยใช้กิจกรรม ๓ ฝ ของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า
2019 (COVID -19) เผยแพร่ดงั น้ี
1. เผยแพร่แกผ่ ปู้ กครองนักเรยี นผา่ นแอปพลเิ คชันกลุ่มไลน์กลมุ่ ชน้ั เรยี น
2. เผยแพร่แก่บคุ คลท่ัวไปผา่ นเวบ็ ไซต์ www.anyflip.com ตามลงิ ค์ https://bit.ly/3hJU64P

๑๕

ภาคผนวก

- แบบทดสอบการอ่าน จำนวน ๑๐ ชุด
- แบบทดสอบการเขยี น จำนวน ๑๐ ชุด
- แบบฝึกทกั ษะการอา่ นการเขียน(คดั ลายมอื ) จำนวน ๑๐ ชดุ
- ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
- รูปภาพการดำเนินงานกจิ กรรมการใช้นวตั กรรม

๑๖

แบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๑ (สาหรับนกั เรียน)

นทิ าน เรอ่ื ง สุนขั ผู้ซ่ือสัตย์

มีบ้านหลงั หนึ่งได้เล้ียงสนุ ขั เอาไว้เฝา้ บ้าน มนั มฉี ายาว่าจอมพิฆาต มันมีความ
ซื่อสัตย์ภักดีและกตัญญูต่อเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านมีอาชีพเกษตรกรรมปลูกพืช
สวนพืชไร่ต่างๆเช่น บูลเบอรี่ มังคุด ฝรั่ง น้อยหน่า ทุเรียน สตรอว์เบอร์รี่เป็นต้น
โดยใช้วิธีทางเทคโนโลยีชีวภาพเข้ามาช่วยในการทำเกษตรและมีการขุดเจาะน้ำ
บาดาลมาใช้ตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง

จอมพิฆาตอาสาเฝ้าอุปกรณ์ทางการเกษตรโดยไม่ครั่นคร้ามต่ออันตรายใดๆ
มันไม่เคยเถลไถลไปไหน คืนหนึ่งในขณะท่ีจอมพิฆาตนอนหลับอยู่มันได้ยนิ เสียง
ผิดปกติมีเงาทะมึนใกล้กับรัว้ บ้านมันจึงลุกข้ึนมาเหา่ เห็นชายฉกรรจ์ ศัตรูที่เขา้ มาสง่
เสียงเหา่ คำรามขู่เพอ่ื จะเตือนภัยแกเ่ จ้าของบ้านทำให้จับหัวขโมยได้ วนั ตอ่ มาเจ้าของ
บ้านนำผลผลิตไปร่วมงานที่ทางอำเภอได้ประชาสัมพันธ์ตามเทศกาลประจำปีสร้าง
ความภาคภมู ใิ จเป็นอยา่ งมาก เมือ่ กลบั มาท่ีบ้านเจ้าของบ้านนำรางวัลพิเศษมาให้กับ
จอมพิฆาตเป็นการตอบแทนในความเหน็ดเหน่ือยแม้มันจะเปน็ สัตว์เดยี รจั ฉานแต่มัน
ก็มคี วามซอื่ สตั ย์และกตัญญูของมัน

๑๗

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๑ (สาหรับครู)

นิทาน เรอื่ ง สุนขั ผู้ซื่อสัตย์

มบี ้านหลงั หนง่ึ ไดเ้ ลย้ี งสุนขั เอาไว้เฝา้ บ้าน มันมีฉายาวา่ จอมพิฆาต มันมีความ
ซ่ือสัตย์ภักดีและกตัญญูต่อเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านมีอาชีพเกษตรกรรมปลูกพืช
สวนพืชไร่ต่างๆเช่น บูลเบอรี่ มังคุด ฝรั่ง น้อยหน่า ทุเรียน สตรอว์เบอร์ร่ีเป็นต้น
โดยใช้วิธีทางเทคโนโลยีชีวภาพเข้ามาช่วยในการทำเกษตรและมีการขุดเจาะน้ำ
บาดาลมาใชต้ ามแนวทางพระราชดาริของในหลวง

จอมพิฆาตอาสาเฝ้าอุปกรณ์ ทางการเกษตรโดยไม่คร่ันคร้ ามต่ออันตรายใดๆ
มันไม่เคยเถลไถลไปไหน คืนหนึ่งในขณะท่ีจอมพิฆาตนอนหลับอยู่มันได้ยินเสียง
ผดิ ปกติมเี งาทะมนึ ใกล้กับร้ัวบ้านมันจงึ ลุกขึน้ มาเห่าเห็นชายฉกรรจ์ ศัตรูที่เข้ามาส่ง
เสยี งเหา่ คำรามขู่เพอื่ จะเตือนภยั แก่เจ้าของบา้ นทำให้จับหวั ขโมยได้ วันตอ่ มาเจ้าของ
บ้านนำผลผลิตไปร่วมงานที่ทางอำเภอได้ประชาสัมพันธ์ตามเทศกาลประจำปีสร้าง
ความภาคภมู ิใจเปน็ อย่างมาก เมื่อกลับมาที่บา้ นเจ้าของบา้ นนำรางวัลพิเศษมาให้กับ
จอมพิฆาตเป็นการตอบแทนในความเหน็ดเหนื่อยแม้มันจะเป็นสัตว์เดียรัจฉานแต่
มนั ก็มีความซื่อสัตย์และกตญั ญขู องมัน

๑๘

ตารางวิเคราะห์คาพนื้ ฐาน

แบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๑ เร่ือง สุนขั ผ้ซู ่ือสัตย์

ประเภทของคา คาพนื้ ฐาน

๑. มาตราแม่ ก กา ฉายา อาสา

๒. ตัวสะกดตรงมาตรา ภกั ดี มงั คุด นอ้ ยหนา่ ทุเรียน

๓. ตวั สะกดไมต่ รงมาตรา สนุ ัข พฆิ าต กตัญญู เทคโนโลยี เทศกาล ภูมใิ จ พิเศษ เดยี รัจฉาน

๔. อักษรนำ ฝรัง่ เถลไถล

๕. คำควบกล้ำ ครัน่ ครา้ ม ศัตรู

๖. คำประวิสรรชนยี ์ พระราชดำริ ทะมนึ ประชาสัมพันธ์

๗. สระลดรูป -

๘. สระเปล่ียนรปู อันตราย เหน็ดเหนอื่ ย

๙. ตัวการนั ต์ ซอ่ื สัตย์ สตรอวเ์ บอรร์ ี่ อุปกรณ์ ฉกรรจ์

เกณฑก์ ารอ่าน การเขยี น และการตอบคำถาม ดังนี้
ระดบั ดมี าก (A) หมายถึง สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพทพ์ นื้ ฐานได้ถูกต้อง ร้อยละ 100
ระดบั ดี (B) หมายถงึ สามารถอา่ น เขยี น ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ้นื ฐานได้ถูกต้อง รอ้ ยละ 85-99
ระดบั พอใช้ (C) หมายถึง สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพทพ์ น้ื ฐานได้ถูกตอ้ ง รอ้ ยละ 60-85
ระดบั ปรับปรุง (D) หมายถงึ สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพท์พนื้ ฐานไดถ้ กู ต้อง ร้อยละ 40-59
ระดับปรบั ปรุง (E) หมายถงึ สามารถอา่ น เขยี น ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ื้นฐานได้ถูกต้อง ตำ่ กว่าร้อยละ 40
หมายเหตุ : สำหรับนกั เรยี นทอี่ ่านโดยใชเ้ วลาหยุดสะกดคำ ควรดำเนนิ การดงั น้ี 1) ครใู หน้ กั เรียนสะกดคำโดยการออก
เสียงให้ครูได้ยิน ครูสังเกตว่า ขณะนักเรียนสะกดคำดำเนินไปอย่างถูกต้องหรือไม่ 2) ให้นักเรียนสะกดคำใช้เวลา
10-15 วินาทีตอ่ คำ

๑๙

คาถามจากแบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๑ (สาหรับครู)

๑. สุนขั มีช่อื ว่าอะไร
แนวทางตอบ จอมพฆิ าต
๒. เจ้าของบ้านมอี าชพี อะไร
แนวทางตอบ เกษตรกรรม
๓. เจ้าของบา้ นปลูกอะไรบ้าง บอกมาอย่างน้อย ๓ ชนดิ
แนวทางตอบ บูลเบอร่ี ฝรั่ง มังคดุ
๔. เจ้าของบ้านทำการเกษตรตามแนวทางใด
แนวทางตอบ ตามแนวพระราชดาริของในหลวง
๕. จอมพฆิ าตเห็นเงาอะไรอยู่รมิ ร้ัวบา้ น
แนวทางตอบ เงาทะมึนของหัวขโมย
๖. เหตใุ ดจอมพิฆาตจงึ มคี วามกตัญญตู ่อเจ้าของบา้ น
แนวทางตอบ เพราะจอมพิฆาตรู้บุญคุณทเี่ จ้าของบ้านเลยี้ งดู
๗. เหตุใดเจ้าของบ้านจึงให้รางวลั จอมพิฆาต
แนวทางตอบ เพราะจอมพฆิ าตทาให้จับหัวขโมยได้
๘. ทำไมเจา้ ของบา้ นจงึ ทำการเกษตรตามแนวพระราชดำริของในหลวง
แนวทางตอบ เพราะการเกษตรตามแนวเศรษฐกจิ พอเพยี งน้นั เป็ นการอาศัย
เทคโนโลยีชีวภาพท่ีไม่เป็ นอนั ตรายต่อส่ิงแวดล้อมและเป็ นการใช้พนื้ ทท่ี ุกส่วนอย่างค้มุ ค่า
๙. หากนกั เรียนเปน็ จอมพิฆาตนักเรยี นจะตอบแทนเจ้าของบา้ นอย่างไร
แนวทางตอบ มีความซื่อสัตย์และกตัญญตู ่อเจ้าของบ้าน
๑๐.ให้นกั เรยี นบอกขอ้ ดขี องการทำการเกษตรที่ใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพ
แนวทางตอบ ๑) ไม่มีอนั ตรายต่อส่ิงแวดล้อมและผ้ใู ช้ ๒) ใช้ส่ิงทเ่ี ป็ นธรรมชาติมาทาเป็ น
เกษตรอนิ ทรีย์ เช่น ป๋ ยุ คอก ป๋ ยุ หมัก

๒๐

แบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๒ (สาหรับนกั เรียน)

นทิ าน เรอื่ ง กาหลงฝูง
กาลครัง้ หนง่ึ ในปา่ กว้างท่ีเตม็ ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมีกาตัวหนึ่งเพราะ
ความไม่รจู้ กั พอใจในส่งิ ทต่ี ัวเองมอี ยู่ กาตัวน้นั มนั คดิ ว่าขนสดี ำทะมึนของตนน้นั ทำ
ให้ดูอัปลกั ษณ์ จึงอตุ ส่าห์ไปเกบ็ ขนของนกยงู ท่สี ลัดทงิ้ ไว้ มาปกั แซมใส่ขนของตน
จนเต็มตัว ดว้ ยหวังจะมขี นหลากสีสันสวยงามอยา่ งนกยูงบ้างดว้ ยความภมู ใิ จใน
รปู ลกั ษณ์ใหมข่ องตนจึงคดิ จะออกจากฝูงกา “ข้ามขี นงามโสภากว่าขนดำๆของพวก
เจ้า ข้าไม่อยกู่ ับพวกเจ้าดีกว่า” การังเกยี จพวกพอ้ งของตน แลว้ ออกจากกลุม่ เขา้ ไป
ปะปนอยู่กับฝูงนกยูงด้วยความเปรมปรีดิ์ พวกนกยูงสังเกตเหน็ กาหลงฝงู เขา้ มากพ็ า
กันปฏเิ สธและเหยียดหยาม รุมจิกตีกนั ชลุ มุนวนุ่ วายจนขนนกยงู ทีแ่ ซมอยู่ทัว่ ตัวน้ัน
หลดุ กระจายไป เหลือแต่ขนจรงิ สีดำสนทิ
กาดำถกู นกยูงตวาดและขับไลอ่ อกจากฝงู ร้องไห้ครำ่ ครวญ ครนั้ กลบั ไปหา
พวกพ้องของตน แต่กไ็ มม่ ใี ครคบคา้ สมาคมหรอื พดู จาเสวนา ปราศรยั ดว้ ยปราศจาก
มิตรสหาย ชา่ งน่าสมเพชเวทนายิ่งนกั ทง้ั นี้เป็นเพราะความประพฤติ
ทปี่ ราศจากการคดิ ตริตรองไม่รักษาไว้ซึ่งศกั ดิ์ศรแี ละความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
เพราะทกุ คนยอ่ มมีคุณสมบตั ิทด่ี แี ละโดดเดน่ ในตนเอง
อนิจจา กาดำผู้ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี เหตุการณ์ครั้งน้ีคงเป็นอุทาหรณ์ท่ีดี
ให้กับกาดำและสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีทั้งหลายผู้หลงในรูปรสกลิ่นเสียง รูปลักษณ์
ภายนอกให้คิดไดว้ า่ ทกุ ส่งิ ในโลกล้วนจีรงั ยั่งยืน

๒๑

แบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๒ (สาหรับครู)

นิทาน เร่ือง กาหลงฝูง
กาลครง้ั หน่งึ ในป่ากวา้ งทีเ่ ต็มไปดว้ ยทรพั ยากรธรรมชาติมกี าตวั หนึง่ เพราะ
ความไม่รู้จกั พอใจในส่ิงทตี่ ัวเองมีอยู่ กาตวั น้ันมันคดิ ว่าขนสีดำทะมนึ ของตนนั้นทำ
ให้ดูอปั ลกั ษณ์ จงึ อตุ ส่าห์ไปเก็บขนของนกยงู ทส่ี ลดั ท้งิ ไว้ มาปักแซมใส่ขนของตน
จนเต็มตัว ด้วยหวงั จะมขี นหลากสีสนั สวยงามอยา่ งนกยูงบ้างดว้ ยความภูมิใจใน
รปู ลกั ษณ์ใหม่ของตนจงึ คิดจะออกจากฝงู กา “ข้ามขี นงามโสภากวา่ ขนดำๆของพวก
เจ้า ข้าไม่อยกู่ ับพวกเจ้าดีกวา่ ” การังเกียจพวกพ้องของตน แลว้ ออกจากกลุ่มเขา้ ไป
ปะปนอยกู่ ับฝงู นกยงู ด้วยความเปรมปรีด์ิ พวกนกยูงสงั เกตเหน็ กาหลงฝูงเข้ามาก็พา
กันปฏเิ สธและเหยยี ดหยาม รมุ จิกตกี นั ชลุ มนุ วนุ่ วายจนขนนกยงู ที่แซมอยูท่ ่วั ตัวนัน้
หลุดกระจายไป เหลือแต่ขนจริงสดี ำสนทิ
กาดำถกู นกยงู ตวาดและขับไล่ออกจากฝงู รอ้ งไห้ครำ่ ครวญ ครน้ั กลบั ไปหา
พวกพ้องของตน แต่ก็ไมม่ ีใครคบคา้ สมาคมหรือพดู จาเสวนา ปราศรยั ด้วยปราศจาก
มติ รสหาย ช่างน่าสมเพชเวทนายิง่ นกั ทั้งนี้เปน็ เพราะความประพฤติ
ที่ปราศจากการคิดตริตรองไม่รกั ษาไว้ซ่งึ ศกั ดศิ์ รแี ละความเปน็ เอกลักษณ์ของตนเอง
เพราะทกุ คนย่อมมีคณุ สมบัติที่ดีและโดดเดน่ ในตนเอง
อนิจจา กาดำผู้ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี เหตุการณ์คร้ังนี้คงเป็นอุทาหรณ์ท่ีดี
ให้กับกาดำและสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีท้ังหลายผู้หลงในรูปรสกล่ินเสียง รูปลักษณ์
ภายนอกให้คดิ ได้ว่าทุกสิง่ ในโลกลว้ นจีรงั ย่งั ยืน

๒๒

ตารางวเิ คราะห์คาพนื้ ฐาน

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๒ เรื่อง การรับประทานอาหารเช้า

ประเภทของคา คาพนื้ ฐาน

๑. มาตราแม่ ก กา โสภา เสวนา (เส-วะ-นา)

๒. ตัวสะกดตรงมาตรา ทะมึน

๓ . ตัวสะกดไม่ตรง ทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิใจ สังเกต ปฏิเสธ มิตร เวทนา

มาตรา คณุ สมบัติ สุภาพบุรษุ สภุ าพสตรี

๔. อักษรนำ เหยยี ดหยาม ตวาด สหาย อนจิ จา

๕. คำควบกลำ้ เปรมปรีด์ิ คร่ำครวญ ปราศรัย ปราศจาก ตรติ รอง

๖. คำประวิสรรชนยี ์ ประพฤติ

๗. สระลดรปู สมเพช

๘. สระเปล่ียนรปู ศกั ดิ์ศรี

๙. ตวั การันต์ อัปลักษณ์ อุตส่าห์ รูปลักษณ์ เอกลักษณ์ เหตุการณ์

อทุ าหรณ์

เกณฑก์ ารอ่าน การเขยี น และการตอบคำถาม ดังนี้
ระดบั ดีมาก (A) หมายถึง สามารถอ่าน เขยี น ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ้นื ฐานได้ถกู ตอ้ ง ร้อยละ 100
ระดบั ดี (B) หมายถงึ สามารถอ่าน เขียน ตอบคำถามคำศพั ท์พ้ืนฐานได้ถกู ตอ้ ง ร้อยละ 85-99
ระดับพอใช้ (C) หมายถึง สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพท์พ้ืนฐานไดถ้ ูกตอ้ ง ร้อยละ 60-85
ระดับปรับปรุง (D) หมายถึง สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศพั ท์พ้นื ฐานได้ถกู ตอ้ ง ร้อยละ 40-59
ระดบั ปรบั ปรุง (E) หมายถงึ สามารถอ่าน เขยี น ตอบคำถามคำศัพท์พ้นื ฐานไดถ้ กู ต้อง ต่ำกว่ารอ้ ยละ 40
หมายเหตุ : สำหรับนักเรียนทอ่ี ่านโดยใชเ้ วลาหยุดสะกดคำ ควรดำเนินการดังน้ี 1) ครูใหน้ กั เรียนสะกดคำโดยการออก
เสียงให้ครูได้ยิน ครูสังเกตว่า ขณะนักเรียนสะกดคำดำเนินไปอย่างถูกต้องหรอื ไม่ 2) ให้นักเรียนสะกดคำใช้เวลา
10-15 วนิ าทีต่อคำ

๒๓

คาถามจากแบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๒ (สาหรับครู)

๑.อา่ นนทิ านเร่อื ง กาหลงฝงู แล้วตอบคำถามใหต้ รงประเด็น
๑.๑ เรื่องนมี้ ตี วั ละครสำคญั คือใครบา้ งและบคุ คลเหล่าน้นั อาศัยอยู่ที่ใด
ตอบ กา ฝูงกา และ ฝงู นกยงู อาศัยอยูใ่ นป่ากวา้ ง
๑.๒ เหตุการณส์ ำคญั ของเร่ืองมกี เี่ หตุการณ์อะไรบ้าง
ตอบมี ๓ เหตุการณ์
เหตุการณท์ ่ี ๑ กาตวั หนึง่ ไม่พอใจสขี นของตน
เหตกุ ารณ์ท่ี ๒ กาตวั นั้นเกบ็ ขนนกยูงมาปักแซมขนเต็มตัว แล้วรังเกียจ
พวกพอ้ งของตน
เหตุการณ์ท่ี ๓ กาตวั นั้นเขาไปอยูใ่ นฝูงนกยูง นกยงู รุมจกิ ตีขับไล่ไมใ่ หเ้ ขา้ ฝงู พอ
กากลับมาหา พวกกาดว้ ยกนั กไ็ มม่ ใี ครคบหาดว้ ยเลย

๑.๓ ผลสดุ ท้ายของเร่อื งเปน็ อย่างไร
ตอบ ผลสุดทา้ ยกาตวั นน้ั กไ็ ม่มใี ครคบคา้ สมาคมดว้ ยแม้แต่พวกกาด้วยกัน

๒. ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์เชื่อมโยงนิทานเร่ือง กาหลงฝูง ตามประเด็นท่ี
กำหนดใหต้ ่อไปนี้

๒.๑ ถา้ เปรยี บนสิ ัยกา กับมนษุ ย์ มนษุ ยป์ ระเภทนจ้ี ะมีลักษณะอยา่ งไร
ตอบ เป็นคนประเภทไมร่ ูจ้ กั พอใจในสิง่ ท่ีตนมอี ยู่

๒.๒ บุคคลทเ่ี ปรียบเปน็ “นกยูง” จะมีลกั ษณะ เชน่ ใด
ตอบ บุคคลที่เปรียบเป็นนกยูง คือคนที่มีจิตใจคับแคบ มักใช้อารมณ์ตัดสิน

ปญั หาไมม่ ี ความเมตตากรุณาต่อเพ่ือนมนุษย์ ด้วยกัน เพราะกับนกยูงต่างก็เป็นสัตว์
ประเภทเดียวกนั คอื นก
๓.สัตว์ทงั้ สองเป็นสตั วป์ ระเภทเดียวกนั หรอื ไม่ เพราะเหตุใด

ตอบสัตว์ท้ังสองเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน เพราะต่างก็เป็นสัตว์ปีกด้วยกันคือนก
เช่นกนั

๒๔

๔.อธิบายพฤติกรรมของนกยูง ในเร่ืองนี้และบอกด้วยว่า การกระทำของนกยูงเหมาะสม
หรือไม่ เพราะเหตใุ ด

๔.๑ ตอบ พฤติกรรมของนกยูงเปน็ นกท่มี ีความกา้ วร้าย ขาดเหตุผลไม่สอบถามให้รู้
ความก่อน เห็นได้จากการรุมจิกตีกา ขับไล่กาออกไป เม่ือเห็นกาเข้ามาในฝูงโดยไม่รู้ว่ามา
ทำไม

๔.๒ ตอบ การกระทำของนกยูงจึงไม่เหมาะสมเพราะควรจะซกั ถามให้รูค้ วามก่อน
ว่ากาเข้ามาทำไม แลว้ ใช้เหตผุ ลคยุ กัน จงึ จะไม่เกิดการใช้กำลงั ตอ่ กนั
๕.นกั เรียนได้ขอ้ คดิ อะไรจากนทิ านเรอื่ งกาหลงฝูง

ตอบ ความสขุ อยูท่ ใ่ี จ จงพอใจในสิง่ ที่ตนมี

๒๕

แบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๓ (สาหรับนักเรียน)

บทความ เร่อื ง ภมู ปิ ัญญาชาวบ้านในสังคมปัจจบุ ัน

ภูมิปัญญาชาวบ้านได้ก่อเกิดและอนุรักษ์กันมาในชุมชน เมื่อหมู่บ้าน
ปรับเปลี่ยนไปพร้อมกับสังคมและวัฒนธรรมปัจจุบันที่เจริญ วิถีชีวิตภูมิปัญญา
ชาวบา้ นกม็ กี ารปรับตัวเชน่ เดยี วกัน

ความรูจ้ ำนวนมากไดส้ ญู หายไปเพราะไม่มกี ารปฏบิ ัติ สนับสนุนปราชญ์
ชาวบ้านท่เี ปรื่องปราดนี้ เชน่ การใชย้ าสมนุ ไพรในการรกั ษาโรค และหมอยาเกง่ ๆ
ได้เสยี ชีวิตวิชาความร้ทู ี่ปรากฏก็ไดส้ าบสูญไปด้วย ในปจั จุบนั คนไมน่ ยิ มใช้
สมุนไพรเหมอื นในโบราณกาล เปลย่ี นพฤติกรรมใชย้ าสมยั ใหม่ ไปหาหมอที่
โรงพยาบาลหรือคลินกิ ถงึ แม้ว่างานหัตถกรรมส่ิงทอ หรอื เครือ่ งเงิน แมว้ ่าจะยงั
เหลืออยู่มาก แต่สถานการณป์ ัจจุบันก็ไดถ้ กู พัฒนาไปเป็นการคา้ ไมส่ ามารถรักษา
คณุ ภาพแบบในอดตี ไวไ้ ด้ และไดม้ ีการใช้เทคโนโลยีทันสมยั มาแทนท่ี ใช้รถไถนา
มาแทนควาย รถยนตแ์ ทนเกวียน ใช้สารเคมีอนั ตรายในการกำจัดวชั พชื ซง่ึ ก่อใหเ้ กิด
มลภาวะ ส่งผลกระทบต่อส่งิ แวดล้อม

การทำมาหากนิ กเ็ ปล่ยี นจากการทำเพอ่ื ยงั ชพี ไปเปน็ สร้างผลิตภัณฑเ์ พอ่ื ธรุ กจิ
การคา้ ขาย ผคู้ นตอ้ งการเงนิ เพอื่ ซื้อเครือ่ งบริโภคตา่ งๆ ทำใหส้ ง่ิ แวดล้อมเปล่ียนไป
ผลผลิตจากทรัพยากรธรรมชาตกิ ห็ มดไป สถานการณ์เช่นน้ี ทำให้ผนู้ ำการพัฒนา
หลายคนทม่ี ีบทบาทสำคญั ทัง้ ในระดับจังหวดั ระดับภาค และระดับประเทศ เร่มิ
เหน็ ความสำคัญของภูมปิ ัญญาชาวบา้ น หน่วยงานทางภาครฐั และเอกชนใหก้ าร
สนับสนนุ สง่ เสริมใหม้ กี ารอนรุ กั ษ์ ฟนื้ ฟู ประยุกต์ และคิดค้นสิง่ ใหม่ ความร้ใู หม่
เพอ่ื ประโยชน์สขุ ของสงั คม

๒๖

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๓ (สาหรับครู)

บทความ เรือ่ ง ภูมปิ ัญญาชาวบ้านในสังคมปัจจบุ นั

ภูมิปัญญาชาวบ้านได้ก่อเกิดและอนุรักษ์กันมาในชุมชน เมื่อหมู่บ้าน
ปรับเปลี่ยนไปพร้อมกับสังคมและวัฒนธรรมปัจจุบันที่เจริญ วิถีชีวิตภูมิปัญญา
ชาวบ้านกม็ ีการปรบั ตวั เช่นเดียวกนั

ความรจู้ ำนวนมากไดส้ ญู หายไปเพราะไม่มีการปฏิบตั ิ สนบั สนุนปราชญ์
ชาวบ้านที่เปรื่องปราดนี้ เชน่ การใช้ยาสมนุ ไพรในการรกั ษาโรค และหมอยาเกง่ ๆ
ได้เสียชีวิตวชิ าความร้ทู ่ีปรากฏกไ็ ด้สาบสูญไปดว้ ย ในปัจจุบนั คนไม่นยิ มใช้
สมุนไพรเหมอื นในโบราณกาล เปล่ียนพฤตกิ รรมใชย้ าสมยั ใหม่ ไปหาหมอท่ี
โรงพยาบาลหรอื คลนิ กิ ถึงแม้วา่ งานหัตถกรรมสงิ่ ทอ หรือเคร่ืองเงิน แมว้ า่ จะยัง
เหลืออยมู่ าก แต่สถานการณ์ปัจจุบันกไ็ ด้ถูกพัฒนาไปเป็นการคา้ ไม่สามารถรกั ษา
คุณภาพแบบในอดีตไวไ้ ด้ และไดม้ ีการใช้เทคโนโลยีทันสมยั มาแทนท่ี ใชร้ ถไถนา
มาแทนควาย รถยนต์แทนเกวียน ใช้สารเคมีอันตรายในการกำจดั วัชพชื ซ่ึง
ก่อใหเ้ กิดมลภาวะ สง่ ผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อม

การทำมาหากนิ ก็เปลี่ยนจากการทำเพ่อื ยงั ชีพ ไปเป็นสร้างผลติ ภัณฑ์เพือ่ ธุรกิจ
การคา้ ขาย ผูค้ นต้องการเงนิ เพือ่ ซอ้ื เครอ่ื งบรโิ ภคตา่ งๆ ทำให้สง่ิ แวดล้อมเปลยี่ นไป
ผลผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติกห็ มดไป สถานการณ์เช่นน้ี ทำให้ผู้นำการพฒั นา
หลายคนทีม่ ีบทบาทสำคัญทงั้ ในระดบั จังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เร่มิ
เห็นความสำคัญของภูมปิ ัญญาชาวบา้ น หน่วยงานทางภาครัฐและเอกชนใหก้ าร
สนบั สนนุ ส่งเสริมใหม้ กี ารอนรุ กั ษ์ ฟน้ื ฟู ประยุกต์ และคดิ ค้นส่ิงใหม่ ความร้ใู หม่
เพอื่ ประโยชน์สขุ ของสังคม

๒๗

ตารางวเิ คราะห์คาพนื้ ฐาน

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๓ เรื่อง ภมู ปิ ัญญาชาวบ้านในสังคมปัจจบุ ัน

ประเภทของคา คาพนื้ ฐาน

๑. มาตราแม่ ก กา -

๒. ตัวสะกดตรงมาตรา อันตราย

๓. ตัวสะกดไมต่ รงมาตรา ภมู ิปัญญา ปจั จบุ นั ปฏบิ ัติ วถิ ชี วี ิต สาบสูญ โบราณกาล

สามารถ เทคโนโลยี วชั พืช พฤตกิ รรม ธุรกจิ

ทรพั ยากรธรรมชาติ

๔. อกั ษรนำ อดตี สนบั สนนุ

๕. คำควบกล้ำ เปรือ่ งปราด ปรากฏ

๖. คำประวสิ รรชนยี ์ ประยกุ ต์ ประโยชน์

๗. สระลดรปู บทบาท มลภาวะ

๘. สระเปลย่ี นรปู วัฒนธรรม หัตถกรรม พัฒนา รฐั

๙. ตวั การนั ต์ อนรุ ักษ์ ปราชญ์ สถานการณ์ รถยนต์ ผลิตภัณฑ์

เกณฑ์การอา่ น การเขยี น และการตอบคำถาม ดังน้ี
ระดบั ดมี าก (A) หมายถงึ สามารถอ่าน เขียน ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ื้นฐานได้ถกู ตอ้ ง ร้อยละ 100
ระดับดี (B) หมายถึง สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพทพ์ ื้นฐานได้ถูกตอ้ ง ร้อยละ 85-99
ระดับพอใช้ (C) หมายถงึ สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ืน้ ฐานได้ถกู ต้อง ร้อยละ 60-85
ระดับปรับปรุง (D) หมายถึง สามารถอ่าน เขียน ตอบคำถามคำศัพท์พน้ื ฐานไดถ้ ูกตอ้ ง รอ้ ยละ 40-59
ระดับปรบั ปรุง (E) หมายถึง สามารถอ่าน เขียน ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ื้นฐานได้ถูกตอ้ ง ต่ำกวา่ ร้อยละ 40
หมายเหตุ : สำหรบั นกั เรยี นทอ่ี ่านโดยใชเ้ วลาหยุดสะกดคำ ควรดำเนินการดงั น้ี 1) ครใู ห้นักเรยี นสะกดคำโดยการออก
เสียงให้ครูได้ยนิ ครูสังเกตว่า ขณะนักเรียนสะกดคำดำเนินไปอย่างถูกต้องหรือไม่ 2) ให้นักเรียนสะกดคำใช้เวลา
10-15 วินาทีตอ่ คำ

๒๘

คาถามจากแบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๓ (สาหรับครู)

๑.อธิบายความหมายของคำวา่ ภูมปิ ัญญา
ตอบ ความรู้ / ความสามารถ
๒. ยกตัวอย่างเทคโนโลยที เี่ ขา้ มาแทนทวี่ ถิ ีชวี ติ ในอดีต
ตอบ รถไถนาแทนควาย / รถยนต์แทนเกวยี น / ใช้สารเคมีแทนสมุนไพร
๓. ปัจจบุ นั ผ้คู นนิยมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้สมนุ ไพรในการรกั ษาไปเป็นการรักษา
แบบใดแทนท่ี
ตอบ ไปหาหมอทโี่ รงพยาบาล / คลนิ ิก
๔. ในอดีตการผลติ ทำเพอื่ ยังชพี แตป่ ัจจุบนั เป็นการผลติ เพื่อแบบใด
ตอบ ธุรกิจ / การค้าขาย
๕. งานหตั ถกรรมพืน้ บา้ นทพ่ี บในบทความมีอะไรบา้ ง
ตอบ หัตถกรรมสิ่งทอ / หัตถกรรมเคร่ืองเงิน
๖. ยกตัวอย่างสมนุ ไพรไทยมา ๑ ชนดิ พรอ้ มอธิบายประโยชน์ประกอบ
ตอบ ยกตัวอย่าง กระชาย ประโยชน์นาเหง้าแห้งมาต้มแก้ท้องอดื ท้องเฟ้ อ
(ขนึ้ อย่กู บั ดุลยพนิ จิ ของคณะกรรมการ)
๗. บอกข้อดีและขอ้ เสียของการใชส้ ารเคมีในการกำจดั วัชพชื
ตอบ ข้อดี กาจดั วัชพชื ได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลา

ข้อเสีย เป็ นพิษต่อสิ่งแวดล้อมทาให้เกดิ สารตกค้าง เสียค่าใช้จ่าย
๘. การใชร้ ถยนต์แทนเกวียน ส่งผลดตี ่อส่งิ แวดลอ้ มหรอื ไม่ อธิบายเหตุผลประกอบ
ตอบ ไม่ส่งผลดีต่อส่ิงแวดล้อม เพราะ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ซ่ึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
๙. บอกวธิ กี ารอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาติ
ตอบ หลกี เล่ยี งการใช้สารเคมกี าจดั วัชพชื
๑๐. ทำอย่างไรภมู ิปัญญาทีม่ ีในปจั จุบนั จึงจะไมส่ ญู หายไป
ตอบ ช่วยกันอนุรักษ์ ส่งเสริมและใช้ผลิตภัณฑ์ทเี่ กดิ จากภมู ิปัญญาไทย

๒๙

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๔ (สาหรับนกั เรียน)

บทความ เร่อื ง การผกู ขวญั

การรับขวญั หรอื ผูกขวัญทย่ี ังพอมีผปู้ ฏบิ ัตกิ นั อยบู่ ้างนั้น คิดว่า เปน็ กิจกรรม
แบบฉบับท่ี น่าสนใจและนา่ นิยมควรแก่การปรับปรุงมาใชใ้ หมใ่ หก้ ว้างขวาง
เหมาะสมกบั กาลสมัย เพราะเป็น ประเพณีทใ่ี ห้คุณคา่ แก่ชีวิตเสรมิ สขุ ภาพจติ อย่างดี
ยง่ิ โดยเฉพาะเสริมสขุ ภาพจิตและเสริมพฒั นาการ ของเด็ก ๆ ผ้ใู หญ่ใหค้ วามรัก
ความอบอุ่นแก่ลูกหลาน นบั แต่เกดิ จนสนิ้ วัยเรียนอันเปน็ พ้นื ฐานสำคญั ของชวี ิต
โอกาสทเี่ ดก็ จะมีปัญหาสุขภาพจิตจะนอ้ ยเม่อื โตขึน้ การผูกขวัญทารกเมอ่ื แรกเกิดจะ
จด เวลาตกฟาก วัน เดือน ปเี กิดของทารกไว้ คำวา่ ขวญั ตามพจนานกุ รมไทย
ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน หมายถึง สิง่ หนงึ่ ท่ีไมม่ ีตัวตน (Unmatter) แตป่ ระจำวันอยู่
ในตวั คนทุกคน ถ้าขวัญอยู่กบั ตวั จะมี ความสขุ ไมเ่ ป็นทกุ ข์ ไมเ่ จ็บไข้ ผู้ใหญ่
รบั ขวัญ หรือทำขวัญใหเ้ ดก็ เม่ือใดบา้ ง เม่ือแรกเกดิ ได้ ๓ วนั เมอ่ื เกิดได้ครบเดือน
เมื่อโกนจุก จะเหน็ ไดว้ ่าผใู้ หญ่ให้ความสำคัญแก่เดก็ มาก โดยพอ่ ประกาศตน
ยอมรับต่อหน้าผคู้ น ณ ทนี่ ัน้ วา่ เขารับทารกเปน็ ลกู ตอ้ งรบั ผิดชอบเลยี้ งดู เม่ือทารก
มชี ีวติ ได้ ๓ วัน พ่อแม่ทำขวัญอกี คร้งั เรยี กว่า รบั ขวัญวนั ซ่ึงมีพธิ ีซบั ซ้อนขน้ึ
ด้วยการบอกเจา้ หน้าท่จี ัดเครื่องบชู าและเครื่องสงั เวย ผกู ขอ้ มอื ด้วยสายสญิ จน์ และ
เมอ่ื ทารกอายุ ๑ เดือน จะทำขวัญเดอื น โดยโกนผมไฟและไว้จกุ แกละ หรือโก๊ะ
ญาติมติ รมาแสดงความยนิ ดี มีพิธพี ุทธเมือ่ เจริญวยั ข้นึ จะซุกซน สนกุ ตามประสา
เด็ก เด็กอาจพบสิง่ ใดท่ตี กใจกลวั เกิดอาการ ขวัญหนี หรอื ขวญั หาย ผใู้ หญก่ จ็ ะ
ปลอบขวญั เปน็ คราว ๆ ไป หรอื เป็นไขแ้ ลว้ เกรงไข้จะกลบั จงึ ทำพิธผี กู ขวญั
ประกนั ไว้ สว่ นในพิธโี กนจกุ ซ่ึงเปน็ พธิ ใี หญท่ ้ังพทุ ธ และพราหมณ์ เดก็ จะได้รับ
การผกู ขวญั อีกดว้ ย อนั เป็นการรับขวญั คร้ังสดุ ทา้ ยในชว่ งวัยเดก็ ก่อนจะเขา้ สวู่ ัยร่นุ

๓๐

และวัยผใู้ หญ่ตอ่ ไป การรับขวญั ในโอกาสต่าง ๆ ตงั้ แต่แรกเกิดจนตลอดช่วงวัย
เด็ก เห็นวา่ สามารถเสรมิ พัฒนาการและเสรมิ สุขภาพจติ ของเดก็ เป็นอย่างดี แสดงให้
เหน็ ความเขา้ ใจชวี ติ จิตใจเด็ก เรา ไมห่ วงั ใหผ้ ใู้ หญใ่ นปจั จุบนั รบั ขวญั เดก็ ดงั ตัวอยา่ ง
ทย่ี กมานีท้ กุ ประการ เพยี งใหป้ ระยุกตภ์ มู ปิ ญั ญา ผ้ใู หญ่สมัยโบราณกาลตาม
สมควรเทา่ น้ัน

๓๑

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๔ (สาหรับครู)

บทความ เรอื่ ง การผูกขวัญ

การรบั ขวัญหรือผกู ขวญั ทย่ี งั พอมีผู้ปฏิบตั ิกนั อยบู่ า้ งนั้น คดิ ว่า เป็นกิจกรรม
แบบฉบับที่ นา่ สนใจและน่านิยมควรแก่การปรับปรุงมาใชใ้ หมใ่ ห้กว้างขวาง
เหมาะสมกับกาลสมยั เพราะเป็น ประเพณีท่ีใหค้ ุณค่าแกช่ วี ติ เสรมิ สุขภาพจิตอยา่ งดี
ยง่ิ โดยเฉพาะเสริมสุขภาพจิตและเสรมิ พัฒนาการ ของเดก็ ๆ ผใู้ หญ่ใหค้ วามรกั
ความอบอุน่ แก่ลกู หลาน นบั แต่เกิดจนสิ้นวยั เรยี นอันเปน็ พนื้ ฐานสำคญั ของชีวติ
โอกาสที่เดก็ จะมีปัญหาสุขภาพจติ จะนอ้ ยเมอื่ โตขึ้น การผูกขวัญทารกเมอ่ื แรกเกิด
จะจดเวลาตกฟาก วัน เดือน ปีเกดิ ของทารกไว้ คำว่า ขวญั ตามพจนานุกรมไทยฉบบั
ราชบณั ฑติ ยสถาน หมายถึง สิง่ หนงึ่ ทีไ่ ม่มตี วั ตน (Unmatter) แต่ประจำวันอยูใ่ น
ตัวคนทกุ คน ถ้าขวญั อยู่กับตัวจะมี ความสุข ไม่เปน็ ทุกข์ ไมเ่ จ็บไข้ ผ้ใู หญ่
รบั ขวญั หรอื ทำขวญั ให้เด็กเม่ือใดบา้ ง เมื่อแรกเกดิ ได้ ๓ วนั เม่อื เกิดไดค้ รบเดือน
เมอ่ื โกนจุก จะเห็นไดว้ า่ ผู้ใหญใ่ ห้ความสาคญั แก่เด็กมาก โดยพอ่ ประกาศตน
ยอมรบั ตอ่ หนา้ ผคู้ น ณ ที่น้ันว่า เขารบั ทารกเปน็ ลกู ตอ้ งรับผดิ ชอบเลย้ี งดู เมือ่ ทารก
มีชวี ิตได้ ๓ วัน พ่อแม่ทำขวัญอกี ครั้ง เรยี กวา่ รบั ขวัญวนั ซึ่งมีพธิ ซี บั ซอ้ นขนึ้
ดว้ ยการบอกเจ้าหนา้ ที่จัดเครื่องบูชาและเครื่องสังเวย หรือพานบายศรี ผูกขอ้ มอื
ดว้ ยสายสิญจน์ และเมื่อทารกอายุ ๑ เดอื น จะทำขวัญเดือน โดยโกนผมไฟและไว้
จกุ แกละ หรือโก๊ะ ญาตมิ ิตรมาแสดงความยนิ ดี มพี ธิ พี ุทธเม่ือเจริญวัยขึน้ จะ
ซุกซน สนุก ตามประสาเดก็ เด็กอาจพบส่งิ ใดที่ตกใจกลวั เกิดอาการ ขวญั หนี
หรอื ขวัญหาย ผใู้ หญก่ ็จะปลอบขวัญเปน็ คราว ๆ ไป หรือเปน็ ไข้แลว้ เกรงไข้จะกลับ
จงึ ทำพิธผี ูกขวัญประกันไว้ ส่วนในพธิ โี กนจกุ ซงึ่ เป็นพธิ ีใหญ่ท้งั พทุ ธ และ

๓๒

พราหมณ์ เดก็ จะได้รับ การผกู ขวัญอีกด้วย อนั เป็นการรบั ขวญั คร้ังสุดทา้ ยในช่วง
วยั เดก็ ก่อนจะเข้าสวู่ ัยรุ่น และวยั ผูใ้ หญ่ตอ่ ไป การรับขวัญในโอกาสต่าง ๆ ตัง้ แต่
แรกเกิดจนตลอดชว่ งวยั เด็ก เหน็ วา่ สามารถเสรมิ พัฒนาการและเสริมสุขภาพจติ ของ
เด็กเปน็ อยา่ งดี แสดงใหเ้ หน็ ความเขา้ ใจชวี ติ จิตใจเด็ก เรา ไมห่ วงั ให้ผู้ใหญใ่ น
ปัจจบุ นั รบั ขวัญเดก็ ดังตัวอย่างท่ียกมานี้ทุกประการ เพยี งให้ประยกุ ต์ ภมู ปิ ัญญา
ผใู้ หญส่ มัยโบราณกาลตามสมควรเท่าน้นั

๓๓

ตารางวิเคราะห์คาพนื้ ฐาน

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๔ เร่อื ง การผกู ขวญั

ประเภทของคา คาพนื้ ฐาน

๑. มาตราแม่ ก กา บูชา

๒. ตวั สะกดตรงมาตรา บายศรี เครื่องสงั เวย ซุกซน พนื้ ฐาน

๓. ตัวสะกดไม่ตรง กจิ กรรม สขุ ภาพจติ ราชบณั ฑติ ยสถาน สายสิญจน์

มาตรา ญาติมิตร ปฏิบัติ พัฒนาการ ภมู ิปญั ญา โบราณกาล

โอกาส

๔. อกั ษรนำ เจรญิ สนุก

๕. คำควบกล้ำ ขวัญ เสริม ปรับปรุง กว้างขวาง

๖. คำประวสิ รรชนยี ์ ประเพณี ประกาศ

๗. สระลดรปู พจนานกุ รม

๘. สระเปลย่ี นรูป สำคัญ ปจั จุบัน ปญั หา

๙. ตัวการันต์ พราหมณ์ ประยกุ ต์ ทุกข์

เกณฑก์ ารอา่ น การเขยี น และการตอบคำถาม ดงั น้ี
ระดับดีมาก (A) หมายถึง สามารถอ่าน เขยี น ตอบคำถามคำศัพท์พน้ื ฐานได้ถูกตอ้ ง รอ้ ยละ 100
ระดับดี (B) หมายถงึ สามารถอ่าน เขยี น ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ้ืนฐานไดถ้ กู ต้อง รอ้ ยละ 85-99
ระดบั พอใช้ (C) หมายถึง สามารถอ่าน เขยี น ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ื้นฐานไดถ้ กู ต้อง ร้อยละ 60-85
ระดบั ปรับปรุง (D) หมายถึง สามารถอา่ น เขยี น ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ้นื ฐานไดถ้ ูกตอ้ ง ร้อยละ 40-59
ระดบั ปรับปรุง (E) หมายถงึ สามารถอา่ น เขยี น ตอบคำถามคำศพั ท์พ้นื ฐานได้ถกู ต้อง ต่ำกวา่ รอ้ ยละ 40
หมายเหตุ : สำหรบั นกั เรยี นทอ่ี า่ นโดยใชเ้ วลาหยุดสะกดคำ ควรดำเนินการดงั น้ี 1) ครใู หน้ กั เรยี นสะกดคำโดยการออก
เสียงให้ครูได้ยนิ ครูสังเกตว่า ขณะนักเรียนสะกดคำดำเนินไปอย่างถูกต้องหรือไม่ 2) ให้นักเรียนสะกดคำใช้เวลา
10-15 วนิ าทีต่อคำ

๓๔

คาถามจากแบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๔ (สาหรับครู)
๑. คำว่า ขวญั หมายถงึ อะไร

ตอบ ขวญั หมายถงึ ส่ิงหนง่ึ ท่ีไม่มีตัวตน (Unmatter) แต่ประจาอย่ใู นตัวคนทกุ คน ถ้า
ขวญั อย่กู บั ตวั จะมคี วามสุข ไม่เป็ นทกุ ข์ ไม่เจบ็ ไข้
๒. ผใู้ หญจ่ ะรับขวญั เดก็ เมอื่ ใด
ตอบ เมื่อแรกเกดิ ได้ ๓ วนั เมอ่ื เกิดได้ครบเดือน
๓. การรบั ขวัญถอื เป็นประเพณีท่ีให้คุณค่าดา้ นใด
ตอบ ด้านประเพณี ความเช่ือ และการส่งเสริมสุขภาพจติ
๔. เมอื่ ทารกอายุครบ 1 เดอื น จะทำขวัญอย่างไร
ตอบ โกนผมไฟและไว้จุก แกละ หรือโก๊ะ ญาติมติ รมาแสดงความยินดี
๕. การทำขวญั ถือเป็นประเพณี ความเช่อื ของศาสนาใด
ตอบ พุทธ พราหมณ์
๖. เพราะเหตใุ ดจึงมกี ารผกู ขอ้ มอื ด้วยสายสิญจน์
ตอบ เพราะเด็กอาจพบสิ่งใดท่ีตกใจกลัว เกิดอาการ ขวัญหนี หรือขวัญหาย ผู้ใหญ่ก็
จะปลอบขวัญด้วยการผูกข้อมือ
๗. นกั เรยี นเหน็ ดว้ ยหรือไม่กบั คำกลา่ วทว่ี ่า การรับขวัญเปน็ การเสริมพัฒนาการและเสริม
สุขภาพจติ ของเด็กเป็นอย่างดี
ตอบ เหน็ ด้วย เพราะแสดงให้เห็นถงึ ความเข้าใจชีวิตจิตใจเดก็
๘. นักเรยี นเห็นว่าจะอนรุ ักษ์ พิธีการรบั ขวัญไวห้ รือไม่ อยา่ งไร
ตอบ อนุรักษไว้ เพราะเป็ นเป็ น ประเพณที ใ่ี ห้คณุ ค่าแก่ชีวติ เสริมสุขภาพจติ อย่างดยี ิง่
๙. นักเรยี นไดข้ ้อคดิ อะไรบ้างเก่ียวกบั การรับขวญั
ตอบ เสริมสุขภาพจิตและเสริมพฒั นาการ ของเดก็ ๆ ผ้ใู หญ่ให้ความรัก ความอบอุ่น
แก่ลกู หลาน
๑๐. การรบั ขวญั แสดงให้เห็นถงึ ภูมปิ ัญญาไทยอยา่ งไร
ตอบ แสดงให้เห็นความเข้าใจชีวิตจติ ใจเดก็

๓๕

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๕ (สาหรับนกั เรียน)

นิทาน เร่ือง ชายแก่กบั เกวยี นคู่ใจ

แสงทินกรกำลังลอยลับขอบฟ้า ชายแก่กำลังนั่งเกวียนเล่มเก่าๆ ใบหน้า
เคร่งเครียดครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต เกวียนเล่มเก่าๆค่อยๆ
เคลือ่ นไปขา้ งหนา้ อย่างชา้ ๆท่ามกลางแสงอาทิตย์ท่ีกำลงั สอ่ งแสง เหงื่อไคลไหลย้อย
ลงอาบสองข้างแก้ม เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการกรำงานหนักมาทั้ง
วัน แกค่อยๆใช้ฝ่ามือปาดเม็ดเหงื่อออกจากใบหน้าพร้อมเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า
เสียงไม้เรียวกวัดแกว่งแทรกกับบรรยากาศที่เงียบสงัดวังเวง ลงกระทบจากหลังวัว
เป็นระยะๆเพ่อื ใหว้ ัวลากเกวียนนำไปส่จู ุดหมายปลายทาง

บรรยากาศรอบๆสองขา้ งทางเต็มไปด้วยพรรณไมน้ านาพันธ์ท่ขี ้นึ
ปกคลุมรายล้อมอยู่สองข้างทาง กลิ่นของดอกพิกุลหอมตะลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
ชายแก่ได้นั่งตริตรอง ปล่อยให้จิตใจครุ่นคิดล่องลอยไปกับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเขา้
มาในชีวิต และคิดว่าวันนี้พรุ่งนี้ชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร พลันจมูกก็ได้กลิ่นของ
กำยานที่ล่องลอยมากับสายลมท่ามกลางบรรยากาศท่ีเงียบสงัดวังเวง เสียงสุนัขเห่า
หอนดังโหยหวนมากับสายลมแว่วมาแต่ไกล ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดสลัว แก่
ค่อยๆขยิบตาเพื่อเพ่งมองไปข้างหน้า พลันทันใดนั้น เด็กหญิงตัวเล็กผิวพรรณผุด
ผ่องได้น่ังรอ้ งไหค้ ร่ำครวญอยทู่ า่ มกลางพฤกษานานาพันธ์ คอ่ ยๆกวักมอื เรียกใหช้ าย
แกข่ ี่เกวยี นเข้าไปหา

ทันใดนน้ั สง่ิ ตา่ งๆที่อยู่เบ้ืองหน้าได้แปรเปลยี่ น เปน็ หมู่บ้านเล็กๆที่มีผู้คนมากมาย
เดินพลุกพล่าน เพื่อทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่กลางลานหมู่บ้านโดยมีเครื่อง
สังเวยถูกจัดวางไว้ตรงกลางลานพิธี เด็กน้อยยืนยิ้มกรุ่มกริ่มพร้อมกวักมือเรียกใ ห้
ชายแก่เดินเข้าไปร่วมพิธีด้วย ผู้คนที่เข้าร่วมพิธีชายหญิงต่างแต่งกายแบบสมัย

๓๖

โบราณน่งุ โจงกระเบนห่มผ้าสไบเฉียง ทุกคนท่เี ขา้ รว่ มพิธีมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดง
ปฏกิ ริยาใดๆ เสียงแตรปก่ี ลองตรี ัวเสยี งดังไปท่ัวบริเวณ
ขณะที่ชายแก่ตกอยู่ในภวังค์ วัวคู่ใจได้ตื่นตกใจร้องเสียงดังพร้อมพุ่งทะยานไป
ข้างหน้า ทันใดนั้นแกได้ตื่นจากภวังค์ ภาพต่างๆที่อยู่เบื้องหน้าได้เลือนหายไป
เหลือเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมเซ็งแซ่คละเคล้ากับกลิ่นหอมตะลบอบอวล
ของดอกไม้ป่านานาพันธ์ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงๆแกครุ่นคิดพร้อมพา
เกวียนคใู่ จเดนิ ทางต่อไป

๓๗

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๕ (สาหรับครู)

นทิ าน เร่ือง ชายแก่กับเกวยี นคู่ใจ

แสงทินกรกำลังลอยลับขอบฟ้า ชายแก่กำลังนั่งเกวียนเล่มเก่าๆ ใบหน้า
เคร่งเครียดครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต เกวียนเล่มเก่าๆค่อยๆ
เคลอื่ นไปข้างหนา้ อย่างชา้ ๆท่ามกลางแสงอาทิตย์ท่ีกำลงั สอ่ งแสง เหง่ือไคลไหลย้อย
ลงอาบสองข้างแก้ม เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการกรำงานหนักมาทัง้
วัน แกค่อยๆใช้ฝ่ามือปาดเม็ดเหงื่อออกจากใบหน้าพร้อมเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า
เสียงไม้เรียวกวัดแกว่งแทรกกับบรรยากาศที่เงียบสงัดวังเวง ลงกระทบจากหลังวัว
เปน็ ระยะๆเพือ่ ใหว้ วั ลากเกวียนนำไปส่จู ดุ หมายปลายทาง

บรรยากาศรอบๆสองข้างทางเตม็ ไปดว้ ยพรรณไม้นานาพนั ธ์ท่ีขึ้น
ปกคลุมรายล้อมอยู่สองข้างทาง กล่ินของดอกพิกุลหอมตะลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
ชายแก่ได้นั่งตริตรอง ปล่อยให้จิตใจครุ่นคิดล่องลอยไปกับเรือ่ งราวต่างๆที่ผ่านเขา้
มาในชีวิต และคิดว่าวันนี้พรุ่งนี้ชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร พลันจมูกก็ได้กลิ่นของ
กายานที่ล่องลอยมากับสายลมท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดวังเวง เสียงสุนัขเห่า
หอนดังโหยหวนมากับสายลมแว่วมาแต่ไกล ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดสลัว แก่
ค่อยๆขยิบตาเพื่อเพ่งมองไปข้างหน้า พลันทันใดนั้น เด็กหญิงตัวเล็กผิวพรรณผุด
ผ่องได้นั่งร้องไห้คร่าครวญอยทู่ ่ามกลางพฤกษานานาพันธ์ คอ่ ยๆกวกั มือเรียกให้ชาย
แก่ข่เี กวียนเขา้ ไปหา

ทันใดนั้นสิง่ ตา่ งๆที่อยู่เบ้ืองหนา้ ได้แปรเปล่ียน เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีผู้คนมากมาย
เดินพลุกพล่าน เพื่อทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักด์ิสิทธ์ิอยู่กลางลานหมู่บ้านโดยมี
เครื่องสังเวยถูกจัดวางไว้ตรงกลางลานพิธี เด็กน้อยยืนย้ิมกรุ้มกริ่มพรอ้ มกวกั มอื เรียก

๓๘

ให้ชายแก่เดินเข้าไปร่วมพิธีด้วย ผู้คนที่เข้าร่วมพิธีชายหญิงต่างแต่งกายแบบสมัย
โบราณนุ่งโจงกระเบนห่มผ้าสไบเฉยี ง ทุกคนที่เข้าร่วมพธิ มี ีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดง
ปฏิกริยาใดๆ เสยี งแตรปก่ี ลองตีรวั เสียงดงั ไปทว่ั บรเิ วณ
ขณะที่ชายแก่ตกอยู่ในภวังค์ วัวคู่ใจได้ตื่นตกใจร้องเสียงดังพร้อมพุ่งทะยานไป
ข้างหน้า ทันใดนั้นแกได้ตื่นจากภวังค์ ภาพต่างๆที่อยู่เบื้องหน้าได้เลือนหายไป
เหลือเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมเซ็งแซ่คละเคล้ากับกลิ่นหอมตะลบอบอวล
ของดอกไม้ป่านานาพันธ์ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงๆแกครุ่นคิดพร้อมพา
เกวยี นคใู่ จเดินทางต่อไป

๓๙

ตารางวิเคราะห์คาพนื้ ฐาน
แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๕ เร่ือง ชายแก่กับเกวยี นค่ใู จ

ประเภทของคา คาพนื้ ฐาน

๑. มาตราแม่ ก กา สไบ

๒. ตวั สะกดตรงมาตรา กำยาน เคร่อื งสงั เวย

๓. ตัวสะกดไมต่ รงมาตรา บรรยากาศ ดอกพิกุล

๔. อักษรนำ เหงือ่ ไคล ขยิบตา สลัว แสดง

๕. คำควบกล้ำ เกวียน เคร่งเครียด เหน็ดเหนื่อย กวัดแกว่ง ตริตรอง ครุ่นคิด

คร่ำครวญ แปรเปลย่ี น พลกุ พลา่ น บวงสรวง กรมุ้ กร่มิ คละเคล้า

๖. คำประวสิ รรชนยี ์ ทะยาน

๗. สระลดรูป ทนิ กร พฤกษา

๘. สระเปลีย่ นรปู สุนขั พรรณไม้ ผวิ พรรณ

๙. ตัวการันต์ ศักดส์ิ ิทธ์ิ ภวังค์ อศั จรรย์

เกณฑ์การอา่ น การเขยี น และการตอบคำถาม ดงั น้ี
ระดบั ดีมาก (A) หมายถงึ สามารถอา่ น เขยี น ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ื้นฐานได้ถูกตอ้ ง รอ้ ยละ 100
ระดับดี (B) หมายถึง สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพทพ์ ้นื ฐานได้ถูกต้อง รอ้ ยละ 85-99
ระดับพอใช้ (C) หมายถึง สามารถอ่าน เขยี น ตอบคำถามคำศัพท์พน้ื ฐานได้ถกู ต้อง รอ้ ยละ 60-85
ระดบั ปรับปรุง (D) หมายถงึ สามารถอ่าน เขียน ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ้ืนฐานได้ถกู ต้อง ร้อยละ 40-59
ระดบั ปรบั ปรงุ (E) หมายถงึ สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพท์พื้นฐานไดถ้ กู ต้อง ต่ำกว่าร้อยละ 40
หมายเหตุ : สำหรับนกั เรยี นที่อา่ นโดยใชเ้ วลาหยดุ สะกดคำ ควรดำเนินการดงั นี้ 1) ครใู หน้ ักเรยี นสะกดคำโดยการออก
เสียงให้ครูได้ยิน ครูสังเกตว่า ขณะนักเรียนสะกดคำดำเนินไปอย่างถูกต้องหรือไม่ 2) ให้นักเรียนสะกดคำใช้เวลา
10-15 วินาทตี อ่ คำ

๔๐

คำถามจากแบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๕ (สำหรับครู)
๑. ตวั ละครในเรื่องมีใครบ้าง

ตอบ ชายแก่ วัว เด็กผู้หญงิ ผู้คนในหมู่บ้าน
๒. จากเนอื้ เรือ่ งที่กลา่ วถงึ นา่ จะเปน็ ชว่ งเวลาใด

ตอบ ช่วงเย็น พระอาทติ ย์กาลงั ลบั ขอบฟ้ า กลางคืน
๓. คำว่า “ทนิ กร”มีความหมายวา่ อย่างไร

ตอบ ดวงอาทติ ย์
๔. ตวั ละครในเร่อื งน่าจะประกอบอาชพี อยา่ งไร

ตอบ ชาวไร่ ชาวนา
๕. จากในเร่อื งสงิ่ ทอ่ี ยูค่ กู่ ับชายแกค่ อื อะไร

ตอบ วัวกับเกวยี นเล่มเก่า
๖. เพราะสาเหตใุ ดชายแกจ่ งึ ไม่เป็นอนั ตรายจากเหตุการณท์ เี่ กดิ ข้นึ

ตอบ เพราะเสียงร้องของวัวการพ่งุ ทยานของววั ทาให้ต่ืนจากภวงั ค์ได้สติกลบั คนื มา

๗. พิธีการบวงสรวลท่ีปรากฏในเรื่อง แสดงว่าผคู้ นท่ีอยใู่ นหมบู่ า้ นนั้น นบั ถือส่งิ
ใดเพ่ือเป็นเครือ่ งยึดเหนย่ี วจติ ใจ
ตอบ สิ่งศักด์สิ ิทธ์แิ ละผีสางเทวดา

๘. เดก็ หญิงที่ปรากฏในเรอื่ งน่าจะเป็นตวั แทนของสงิ่ ใด
ตอบ ดวงวญิ ญาณ ภตู ผีปี ศาจ

๙. ฉากทป่ี รากฏในเรอื่ งมลี กั ษณะอยา่ งไร

ตอบ เป็ นป่ าเขาลาเนาไพรมีความอุดมสมบรู ณ์เต็มไปด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร สัตว์ป่ า

๑๐. จากเนือ่ งเรื่องแสดงถึงวิถีชีวติ ของคนกล่มุ ใด

ตอบ คนทีอ่ าศัยอย่ตู ามชนบท ประกอบอาชีพทาไร่ทานามีวิถีชีวิตเก่ียวข้องกับ
พธิ ีกรรมต่างๆความเจริญด้านต่างๆยงั เข้าไปไม่ถึง)

๔๑

แบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๖ (สาหรับนักเรียน)
บทความ เร่ืองระวัง ! จะเกิดเป็ นผี

เมอื่ พูดถึง” ผี “ หลายๆคนยอ่ มมคี วามรสู้ กึ แตกต่างกัน บางคนอาจเห็นว่าผีเป็น
เร่อื งงมงาย ไม่มจี ริง เพราะในชีวติ ไมเ่ คยเหน็ ผเี ลย แตส่ ำหรบั บางคนกลับเชื่อเต็มร้อย
ว่าผมี ีจรงิ ทง้ั นีอ้ าจเปน็ เพราะเคยมีประสบการณเ์ ก่ยี วกับผีมากอ่ น หรืออาจถูกปลูกฝัง
มาต้งั แตเ่ ด็กๆ บางคนเชือ่ ครึง่ ไมเ่ ช่ือคร่งึ และพยายามหาหลกั ฐานทีจ่ ะมาพิสูจน์ว่าผีมี
จรงิ หรอื ไมก่ ันแน่

ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้พูดถึงชีวิตหลังความตายเอาไว้ว่า คนที่ยังมี
กิเลส เมื่อตายไปแล้วดวงจิตหรือวิญญาณ จะต้องไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ สัตว์
เดียรัจฉาน เทวดา สัตว์นรก เปรต หรืออสุรกาย อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่กรรมทำ
เอาไว้ ลักษณะที่เกิดแบ่งเป็นสองจำพวก ได้แก่ประเภทกายหยาบ เช่น มนุษย์ สัตว์
เดียรัจฉาน และประเภทกายทิพย์ ไดแ้ ก่เทวดา อสรุ กาย สตั ว์นรก สัตวป์ ระเภทที่เป็น
กายทิพย์นี่แหละ ถ้าผู้ใดเห็นหรือสัมผัสได้เรียกว่า “ผี” แต่ผีในความหมายทาง
พระพุทธศาสนาเรียกว่า “อสุรกาย” ซึ่งคนท่ีทำบาปจะต้องไปเกิดเพ่ือชดใช้กรรม ถ้า
เช่นนั้นเราอาจจะไม่ใช่แคก่ ลวั ผี แต่ต้องกลวั การตายท่ตี อ้ งไปเกดิ เป็นผดี ว้ ย

ท่านทั้งหลายเมื่อได้รู้ถึงการมีอยู่จริงของอสุรกาย หรือผี ควรตระหนักถึงบาป
บุญคุณโทษ ละเว้นจากการทำชั่ว มุ่งประกอบแต่กรรมดี อันจะยังผลให้เราได้ถอย
หา่ งจากดินแดนอสุรกายภมู ิ เพือ่ นำพาตนสู่สคุ ตภิ มู ิ

๔๒

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๖ (สาหรับครู)
เร่ืองระวัง!จะเกิดเป็ นผี

เมือ่ พดู ถงึ ” ผี “ หลายๆคนย่อมมีความรสู้ ึกแตกต่างกนั บางคนอาจเห็นว่าผีเป็น
เรื่องงมงาย ไม่มีจริง เพราะในชวี ติ ไมเ่ คยเห็นผีเลย แต่สำหรบั บางคนกลับเช่ือเต็มร้อย
วา่ ผีมีจริง ท้งั นอ้ี าจเป็นเพราะเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับผีมากอ่ น หรืออาจถูกปลูกฝัง
มาตั้งแต่เดก็ ๆ บางคนเชื่อครึ่งไมเ่ ช่ือครึ่ง และพยายามหาหลักฐานท่ีจะมาพิสูจน์ว่าผี
มีจริงหรอื ไมก่ นั แน่

ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้พูดถึงชีวิตหลังความตายเอาไว้ว่า คนที่ยังมี
กิเลส เมื่อตายไปแล้วดวงจิตหรือวิญญาณ จะต้องไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ สัตว์
เดียรัจฉาน เทวดา สัตว์นรก เปรต หรืออสุรกาย อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่กรรมทำ
เอาไว้ ลักษณะที่เกิดแบ่งเป็นสองจำพวก ได้แก่ประเภทกายหยาบ เช่น มนุษย์ สัตว์
เดยี รัจฉาน และประเภทกายทิพย์ ไดแ้ กเ่ ทวดา อสุรกาย สตั ว์นรก สัตว์ประเภทท่ีเป็น
กายทิพย์นี่แหละ ถ้าผู้ใดเห็นหรือสัมผัสได้เรียกว่า “ผี” แต่ผีในความหมายทาง
พระพุทธศาสนาเรียกว่า “อสุรกาย” ซึ่งคนที่ทำบาปจะต้องไปเกิดเพื่อชดใช้กรรม
เหมอื น กงเกวยี นกาเกวยี น ถา้ เช่นนัน้ เราอาจจะไมใ่ ชแ่ ค่กลัวผี แต่ต้องกลวั ในอนาคต
ว่า เมื่อถึงแก่กรรมแลว้ ตอ้ งไปเกดิ เปน็ ผดี ว้ ย

ท่านทั้งหลายเมื่อได้รู้ถึงการมีอยู่จริงของอสุรกาย หรือผี ควรตระหนกั ถึงบาป
บุญคุณโทษ ละเว้นจากการทำชั่ว มุ่งบาเพ็ญแต่กรรมดีเช่น เป็นฆราวาสที่มีศรัทธา
ในพระพุทธศาสนา ก็ควรสมาทานศีล เจริญสมาธิ มีความกตัญญู และประพฤติ
ปฏิบัติตนตามขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามอันจะยังผลให้เราได้ถอยห่างจาก
ดินแดนอสุรกายภมู ิ เพือ่ นำพาตนสู่สุคตภิ ูมิ เพราะ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤตธิ รรม

๔๓

ตารางวเิ คราะห์คาพนื้ ฐาน

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๖ เรื่องระวัง! จะเกิดเป็ นผี

ประเภทของคา คาพนื้ ฐาน

๑. มาตราแม่ ก กา สมาธิ

๒. ตัวสะกดตรงมาตรา กงเกวียนกำเกวียน

๓. ตวั สะกดไมต่ รงมาตรา ดวงจติ วิญญาณ เดยี รจั ฉาน สัมผสั บาป บำเพ็ญ ฆราวาส กตัญญู

ปฏบิ ัติ

๔. อักษรนำ พยายาม หลกั ฐาน อสุรกาย อนาคต สมาทาน เจริญ

๕. คำควบกล้ำ ปลูกฝงั ตระหนกั ศรทั ธา

๖. คำประวสิ รรชนีย์ ประสบการณ์ พระพทุ ธศาสนา ประพฤติ ประเพณี

๗. สระลดรปู ขนบธรรมเนียม

๘. สระเปลยี่ นรูป กรรม ถงึ แกก่ รรม ธรรมยอ่ มรกั ษาผ้ปู ระพฤตธิ รรม

๙. ตวั การนั ต์ พิสูจน์ มนุษย์

เกณฑก์ ารอ่าน การเขียน และการตอบคำถาม ดงั นี้
ระดับดมี าก (A) หมายถงึ สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพทพ์ ื้นฐานได้ถกู ต้อง รอ้ ยละ 100
ระดับดี (B) หมายถึง สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพท์พ้ืนฐานไดถ้ กู ตอ้ ง ร้อยละ 85-99
ระดบั พอใช้ (C) หมายถงึ สามารถอา่ น เขยี น ตอบคำถามคำศัพท์พืน้ ฐานไดถ้ กู ต้อง ร้อยละ 60-85
ระดับปรับปรุง (D) หมายถึง สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศพั ท์พน้ื ฐานไดถ้ กู ต้อง รอ้ ยละ 40-59
ระดับปรบั ปรุง (E) หมายถึง สามารถอ่าน เขียน ตอบคำถามคำศพั ท์พืน้ ฐานได้ถูกต้อง ต่ำกว่าร้อยละ 40
หมายเหตุ : สำหรบั นักเรียนทอี่ ่านโดยใชเ้ วลาหยุดสะกดคำ ควรดำเนินการดังน้ี 1) ครใู หน้ ักเรียนสะกดคำโดยการออก
เสียงให้ครูได้ยนิ ครูสังเกตว่า ขณะนักเรียนสะกดคำดำเนินไปอย่างถูกต้องหรือไม่ 2) ให้นักเรียนสะกดคำใช้เวลา
10-15 วนิ าทีตอ่ คำ

๔๔

คาถามจากแบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๖

๑. นกั เรียนเชื่อวา่ ผีมจี ริงหรอื ไม่ เพราะอะไร
ตอบ มีจริง เพราะเคยเห็น/ไม่มีจริงเพราะไม่เคยเห็น/ไม่แน่ใจ เพราะไม่มีข้อพิสูจน์

๒. มนษุ ยท์ มี่ ีกเิ ลสเมอ่ื ตายไปแล้วจะไปเกดิ เปน็ อะไรบา้ ง
ตอบ มนุษย์ สัตว์เดียรัจฉาน เทวดา สัตว์นรก เปรต

๓. มนุษย์ทีต่ ายไปจะเกิดเป็นอะไรนัน้ ข้นึ อยกู่ ับอะไร
ตอบ กรรมที่เราทา

๔. สัตวป์ ระเภทกายหยาบไดแ้ กอ่ ะไรบ้าง
ตอบ มนุษย์และสัตว์เดียรัจฉาน

๕. ผีเรียกอีกอยา่ งหนึ่งว่าอะไร
ตอบ อสุรกาย

๖. กายทพิ ย์คอื อะไร
ตอบ กายที่ไม่สามารถจับต้องหรือสัมผัสได้

๗. ในทางพระพทุ ธศาสนา เรยี กผวี ่าอะไร
ตอบ อสุรกาย

๘. ทำอย่างไรเมือ่ ตายไปแลว้ จะไดไ้ ม่เกิดเป็นผี
ตอบ ละเว้นการทาชั่ว ทาแต่ความดี

๙. มนุษย์กบั อสุรกายมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ตอบ อสุรกายโดยมากเป็ นผู้ท่ีเคยเกิดเป็ นมนุษย์มาก่อน แต่เพราะทาช่ัวจึงทาให้เกิด
เป็ นอสุรกาย

๑๐. นักเรียนกลัวผี หรือกลัวทจ่ี ะเกิดเปน็ ผมี ากกว่ากนั เพราะเหตุใด
ตอบ กลัวผีมากกว่า เพราะเรามองไม่เห็น ส่วนมากรูปร่างหน้าตาจะน่ากลวั /กลวั จะเกิด
เป็ นผีมากกว่า เพราะบางคร้ังก็เคยทากรรมไม่ดีมาแล้ว/ไม่กลัวที่จะเกิดเป็ นผี เพราะ
หลกี เลย่ี งได้โดยทาแต่ความดี

๔๕

แบบทดสอบการอ่าน ชุดท่ี ๗ (สาหรับนกั เรียน)
นิทาน เร่ือง บญุ บ้งั ไฟ

ในสมัยโบราณกาลมเี ด็กชาย ๒ คนทีเ่ ป็นสหายกนั คนแรกชอ่ื วา่ ก้านธูป คนที่
สองชือ่ ว่าการเวก ท้งั สองคนอาศยั อย่ใู นหมู่บา้ นทีท่ ม่ี ที รพั ยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
ประกอบอาชพี เกษตรกรรม ปศสุ ัตว์ และทำสนิ ค้าหตั ถกรรมไปขายเพ่อื เลี้ยงชวี ติ มา
ตัง้ แต่สมัยบรรพบุรษุ

เมอ่ื คราวเคราะห์หามยามร้าย มาถึง ฝนไมต่ กลงมาตามฤดกู าล ทำใหค้ นใน
หมูบ่ า้ นใช้ชีวติ ดว้ ยความยากลำเค็ญ ดอกกหุ ลาบทป่ี ลกู ไว้กไ็ ม่ผลดิ อกออกผลใหเ้ ห็น
เปน็ ท่ีเจริญตาเหมือนกอ่ น

ท้งั สองจึงสนทนากนั ว่า จะทำอย่างไรฝนจงึ จะตกลงมาถกู ต้องตามฤดูกาล จึง
ไดต้ กลงกนั วา่ จะชักชวนชาวบา้ นทำบุญบ้งั ไฟ ซง่ึ เปน็ ประเพณที ่ีได้อนุรักษ์สบื ต่อกนั
มาชา้ นาน โดยมจี ุดมุ่งหมายเพ่ือบชู าเทวญั ทสี่ ถติ บนสวรรค์ ใหเ้ ทวญั บนสวรรคพ์ อใจ
แลว้ แสดงอิทธฤิ ทธ์ิ บนั ดาลใหฟ้ า้ ฝนชลธารตกตามความปรารถนาของชาวบ้าน

ทัง้ สองคนจงึ ได้เชิญชวนชาวบา้ นทมี่ คี วามชำนาญได้ร่วมมือกนั ตระเตรียมงาน
บุญบัง้ ไฟข้นึ และดำเนนิ งานจนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีและหลังจากน้ันไมน่ าน ฝนก็
ตกลงมาให้ความชมุ่ ฉำ่ แกผ่ ืน่ ดนิ ทำใหช้ าวบ้านกลบั กลบั มามีความสุขดังเดิม

การทำบญุ บั้งไฟนอกจากจะเป็นการรักษาขนบธรรมเนยี มประเพณีตามความ
เชอ่ื แลว้ ยังเป็นการสรา้ งความสมัครสมานสามคั คใี หเ้ กดิ ขึ้นกบั คนในสงั คมนนั้ ๆด้วย

๔๖

แบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๗ (สาหรับครู)
นทิ าน เร่ือง บญุ บ้งั ไฟ

ในสมัยโบราณกาลมีเดก็ ชาย ๒ คนท่ีเปน็ สหายกนั คนแรกชื่อว่า ก้านธูป คนท่ี
สองช่ือว่าการเวก ทงั้ สองคนอาศัยอยูใ่ นหมูบ่ า้ นทที่ ีม่ ีทรัพยากรธรรมชาติอุดม
สมบูรณป์ ระกอบอาชีพเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และทำสินค้าหัตถกรรมไปขายเพอื่ เลี้ยง
ชวี ติ มาตัง้ แตส่ มยั บรรพบรุ ุษ

เม่ือคราวเคราะห์หามยามร้าย มาถึง ฝนไม่ตกลงมาตามฤดกู าล ทำให้คนใน
หมู่บา้ นใชช้ ีวติ ด้วยความยากลาเค็ญ ดอกกุหลาบที่ปลกู ไวก้ ็ไม่ผลดิ อกออกผลให้เห็น
เป็นที่เจริญตาเหมือนก่อน

ท้งั สองจงึ สนทนากันว่า จะทำอย่างไรฝนจงึ จะตกลงมาถกู ตอ้ งตามฤดกู าล จึง
ไดต้ กลงกนั ว่า จะชกั ชวนชาวบ้านทำบุญบ้งั ไฟ ซงึ่ เป็นประเพณที ี่ได้อนุรักษ์สบื ตอ่ กนั
มาชา้ นาน โดยมจี ุดมุ่งหมายเพ่ือบชู าเทวัญท่ีสถติ บนสวรรค์ ใหเ้ ทวญั บนสวรรค์พอใจ
แลว้ แสดง อิทธิฤทธ์ิ บันดาลใหฟ้ ้าฝนชลธารตกตามความปรารถนาของชาวบา้ น

ทง้ั สองคนจึงได้เชิญชวนชาวบ้านท่มี คี วามชานาญไดร้ ่วมมือกนั ตระเตรียมงาน
บญุ บั้งไฟขนึ้ และดำเนินงานจนสาเร็จลุลว่ งไปได้ดว้ ยดีและหลงั จากนัน้ ไมน่ าน ฝนก็
ตกลงมาให้ความชุ่มฉำ่ แกผ่ น่ื ดิน ทำใหช้ าวบ้านกลบั กลับมามีความสุขดังเดิม

การทำบญุ บัง้ ไฟนอกจากจะเปน็ การรกั ษาขนบธรรมเนยี มประเพณีตามความ
เชือ่ แลว้ ยังเปน็ การสรา้ งความสมคั รสมานสามัคคีให้เกดิ ขึ้นกบั คนในสงั คมน้นั ๆดว้ ย

๔๗

ตารางวเิ คราะห์คาพนื้ ฐาน

แบบทดสอบการอ่าน ชุดที่ ๗ เร่ือง บญุ บ้งั ไฟ

ประเภทของคา คาพนื้ ฐาน

๑. มาตราแม่ ก กา ประเพณี

๒. ตัวสะกดตรงมาตรา การเวก เคราะหห์ ามยามร้าย บัง้ ไฟ ขนบธรรมเนยี ม กหุ ลาบ

๓. ตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โบราณกาล ก้านธูป ทรัพยากรธรรมชาติ บรรพบุรุษ อิทธิฤทธ์ิ

บนั ดาล ชลธาร ปรารถนา ชำนาญ สำเร็จ

๔. อักษรนำ สหาย เจรญิ แสดง สมัครสมาน

๕. คำควบกลำ้ ตระเตรยี ม

๖. คำประวสิ รรชนยี ์ เกษตรกรรม หัตถกรรม (ออกเสียงประวสิ รรชนยี )์

๗. สระลดรปู สนทนา

๘. สระเปลีย่ นรูป เทวญั สวรรค์ เชิญชวน ลำเค็ญ

๙. ตวั การันต์ ปศุสัตว์ อนรุ ักษ์

เกณฑก์ ารอ่าน การเขียน และการตอบคำถาม ดงั น้ี
ระดับดมี าก (A) หมายถึง สามารถอา่ น เขยี น ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ื้นฐานได้ถูกต้อง ร้อยละ 100
ระดับดี (B) หมายถงึ สามารถอา่ น เขยี น ตอบคำถามคำศัพท์พ้นื ฐานไดถ้ ูกตอ้ ง ร้อยละ 85-99
ระดับพอใช้ (C) หมายถึง สามารถอ่าน เขียน ตอบคำถามคำศพั ทพ์ ื้นฐานไดถ้ กู ตอ้ ง ร้อยละ 60-85
ระดับปรบั ปรงุ (D) หมายถึง สามารถอ่าน เขียน ตอบคำถามคำศพั ท์พ้นื ฐานได้ถูกตอ้ ง ร้อยละ 40-59
ระดบั ปรบั ปรงุ (E) หมายถึง สามารถอา่ น เขียน ตอบคำถามคำศัพทพ์ นื้ ฐานได้ถูกตอ้ ง ตำ่ กว่าร้อยละ 40
หมายเหตุ : สำหรบั นักเรียนท่ีอ่านโดยใช้เวลาหยดุ สะกดคำ ควรดำเนินการดังนี้ 1) ครูให้นกั เรียนสะกดคำโดยการออก
เสียงให้ครูได้ยิน ครสู ังเกตว่า ขณะนักเรียนสะกดคำดำเนินไปอย่างถูกต้องหรอื ไม่ 2) ให้นักเรียนสะกดคำใช้เวลา
10-15 วนิ าทีตอ่ คำ


Click to View FlipBook Version