The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

(ล่าสุด)หลักสูตรสถานศึกษา (ปฐมวัย) โรงเรียนบ้านคลองกุ่ม 2563

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kanjanaporn Chomthin, 2022-09-14 05:59:20

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย

(ล่าสุด)หลักสูตรสถานศึกษา (ปฐมวัย) โรงเรียนบ้านคลองกุ่ม 2563

ตัวบ่งช้ี ชัน้ อ.1 สภาพที่พงึ ประสงค์ ช้ัน อ.๓
(3 – 4 ปี) (๕ – ๖ ปี)
๖.๓ ประหยัดและ ช้ัน อ.๒
พอเพียง ตามลาดับก่อนหลงั (๔ – ๕ ปี) ตามลาดบั ก่อน
ได้เม่ือมีผู้ชีแ้ นะ ไดด้ ว้ ยตนเอง
ตามลาดับก่อนหลัง
๖.๓.๑ใชส้ งิ่ ของ ไดด้ ้วยตนเอง ๖.๓.๑ใชส้ ิ่งของ
เครือ่ งใช้อยา่ ง เครือ่ งใช้อยา่ ง
ประหยดั และ ๖.๓.๑ใชส้ ิง่ ของ ประหยดั และ
พอเพยี งเม่ือมีผู้ เคร่ืองใช้อยา่ ง พอเพียงดว้ ยตน
ชี้แนะ ประหยดั และ
พอเพยี งเม่ือมผี ู้
ชแี้ นะ

40

สาระการเรียนรรู้ ายปี

) ประสบการณส์ าคญั สาระท่คี วรเรียนรู้
นหลัง

ง ๑. การใช้วัสดแุ ละสง่ิ ของเคร่ืองใช้อยา่ ง ๑. การเปิด – ปดิ น้า และไฟโดย
ค้มุ คา่ การใชอ้ ยา่ งพอเพยี ง

นเอง

พัฒนาการด้านสังคม
มาตรฐานท่ี ๗ รักธรรมชาติ สงิ่ แวดล้อม วัฒนธรรม และความเปน็ ไทย

สภาพที่พงึ ประสงค์

ตัวบ่งชี้ ชนั้ อ.1 ช้นั อ.๒ ชน้ั อ.๓

๗.๑ ดูแลรกั ษา (3 – 4 ปี) (๔ – ๕ ปี) (๕ – ๖ ปี)
ธรรมชาตแิ ละ
ส่งิ แวดล้อม ๗.๑.๑มสี ว่ นรว่ มใน ๗.๑.๑มสี ่วนรว่ มใน ๗.๑.๑มีสว่ นรว่

การดแู ลรกั ษา การดูแลรักษา การดแู ลรกั ษา

ธรรมชาตแิ ละ ธรรมชาตแิ ละ ธรรมชาตแิ ละ

สง่ิ แวดลอ้ มเม่ือมีผู้ ส่งิ แวดล้อมเม่ือมผี ู้ สง่ิ แวดล้อมด้วย

ช้แี นะ ช้ีแนะ ตนเอง

๗.๑.2ทงิ้ ขยะได้ถูก ๗.๑.2ท้งิ ขยะได้ถูก ๗.๑.2ทงิ้ ขยะได
ท่ี ที่ ท่ี

41

สาระการเรียนรรู้ ายปี

) ประสบการณ์สาคญั สาระที่ควรเรยี นรู้

วมใน ๑. การมสี ว่ นร่วมในการดแู ลรักษา ๑. สงิ่ แวดล้อมในโรงเรียน และ

สิง่ แวดล้อมทงั้ ภายในและภายนอก การดูแลรักษา

ห้องเรยี น ๒. สงิ่ แวดลอ้ มตามธรรมชาติและ

ย ๒. การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ที่ การอนุรักษ์ส่งิ แวดล้อม

เก่ยี วกบั ธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมใน ๓. การรกั ษาสาธารณะสมบตั ิใน

ชีวิตประจาวัน ห้องเรียน

๓. การเพาะปลูกและดูแลตน้ ไม้

๔. การอธบิ ายเช่ือมโยงสาเหตแุ ละผลท่ี

เกดิ ข้นึ ในเหตุการณ์หรือการกระทา

๕. การตัดสนิ ใจและมสี ่วนรว่ มใน

กระบวนการแก้ปญั หา

ไดถ้ ูก ๑. การคดั แยก การจัดกลุ่มและจาแนก ๑. ขยะและการคัดแยกขยะ

ส่งิ ต่างๆตามลักษณะและรปู ร่าง รปู ทรง ๒. การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม

๒. การใช้วสั ดแุ ละสิ่งของเครื่องใช้อยา่ ง

ค้มุ ค่า

๓. การทางานศลิ ปะที่นาวสั ดุหรือสิ่งของ

เครื่องใช้ท่ีใชแ้ ลว้ มาใชซ้ ้าหรือแปรรปู แล้ว

พัฒนาการด้านสงั คม
มาตรฐานที่ ๗ รกั ธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม วัฒนธรรม และความเปน็ ไทย (ต่อ)

สภาพทพ่ี ึงประสงค์

ตัวบง่ ช้ี ชน้ั อ.1 ช้นั อ.๒ ช้ัน อ.๓

(3 – 4 ปี) (๔ – ๕ ปี) (๕ – ๖ ปี)

๗.๒ มีมารยาทตาม ๗.๒.๑ปฏิบัติตน ๗.๒.๑ปฏิบัติตน ๗.๒.๑ปฏบิ ตั ิตน

วฒั นธรรมไทยและ ตามมารยาทไทยได้ ตามมารยาทไทยได้ ตามมารยาทไท

รกั ความเปน็ ไทย เมอื่ มีผูช้ ี้แนะ ดว้ ยตนเอง ตามกาลเทศะ

๗.๒.๒กล่าวคา ๗.๒.๒กลา่ วคา ๗.๒.๒กลา่ วคา

ขอบคุณและขอโทษ ขอบคุณและขอโทษ ขอบคุณและขอ

เม่ือมีผชู้ ี้แนะ ดว้ ยตนเอง ดว้ ยตนเอง

42

สาระการเรียนรรู้ ายปี

) ประสบการณ์สาคญั สาระท่ีควรเรยี นรู้
นากลับมาใชใ้ หม่
๔. การสรา้ งสรรคช์ น้ิ งานโดยใชร้ ูปรา่ ง ๑. การปฏบิ ัติตนตามมารยาท
รปู ทรงจากวัสดทุ ีหลากหลาย และวฒั นธรรมไทย
๕. การปฏิบตั ิตนเปน็ สมาชิกทดี่ ขี อง - การแสดงความเคารพ
หอ้ งเรียน - การพดู สุภาพ
- การกล่าวคาขอบคุณและขอ
น ๑. การปฏบิ ตั ิตนตามวัฒนธรรมท้อง โทษ
ทยได้ ถิ่นทอ่ี าศัยและประเพณีไทย ๒. การมีระเบียบวนิ ยั
๑. การปฏบิ ตั ิตนตามมารยาท
๒. การเล่นบทบาทสมมติการปฏิบัตติ นใน และวัฒนธรรมไทย
ความเป็นไทย - การพดู สภุ าพ
- การกลา่ วคาขอบคุณและขอ
๑. การปฏิบตั ติ นตามวัฒนธรรมท้อง
อโทษ ถน่ิ ท่ีอาศัยและประเพณีไทย

๒. การเลน่ บทบาทสมมติการปฏิบัตติ นใน
ความเปน็ คนไทย

สภาพทพี่ งึ ประสงค์

ตวั บง่ ชี้ ชนั้ อ.1 ชัน้ อ.๒ ชน้ั อ.๓

(3 – 4 ป)ี (๔ – ๕ ปี) (๕ – ๖ ปี)

๗.๒.๓หยดุ เมื่อได้ ๗.๒.๓หยดุ เมือ่ ได้ ๗.๓.๓ยืนตรงแ
ยินเพลงชาติไทย ยนิ เพลงชาตไิ ทย รว่ มรอ้ งเพลงชา
และเพลงสรรเสรญิ และเพลงสรรเสรญิ ไทยและเพลง
พระบารมี พระบารมี สรรเสริญพระม

43

สาระการเรียนร้รู ายปี

) ประสบการณส์ าคญั สาระทค่ี วรเรียนรู้

๓. การพูดสะท้อนความร้สู ึกของตนเองและ โทษ

ผอู้ ่นื

และ ๑. การปฏบิ ัติตนตามวฒั นธรรมทอ้ ง ๑. วันสาคัญของชาติ ศาสนา

าติ ถิน่ ทอ่ี าศยั และประเพณีไทย พระมหากษัตริย์

๒. การเลน่ บทบาทสมมติการปฏบิ ัติตนใน ๒. สัญลักษณ์สาคัญของชาติไทย

มารมี ความเปน็ คนไทย ๓. การแสดงความจงรกั ภักดีต่อ

๓. การร่วมกจิ กรรมวนั สาคัญ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์

พฒั นาการดา้ นสังคม

มาตรฐานที่ ๘ อย่รู ่วมกับผู้อื่นได้อย่างมคี วามสุขและปฏบิ ัตติ นเป็นมาสมาชกิ ที่ดีขอ

สภาพท่ีพงึ ประสงค์

ตวั บ่งชี้ ชั้น อ.1 ช้ัน อ.๒ ช้นั อ.๓

(3 – 4 ปี) (๔ – ๕ ปี) (๕ – ๖ ปี)

๘.๑ ยอมรับความ ๘.๑.๑เล่นและทา ๘.๑.๑เล่นและทา ๘.๑.๑เล่นและท

เหมอื นและความ กิจกรรมรว่ มกับเด็ก กิจกรรมร่วมกับกลมุ่ กจิ กรรมรว่ มกับ

แตกตา่ งระหว่าง ทแ่ี ตกตา่ งไปจากตน เด็กที่แตกต่างไป ทีแ่ ตกตา่ งไปจา

บุคคล จากตน

๘.๒ มีปฏิสมั พันธท์ ี่ ๘.๑.๑เลน่ และทา ๘.๑.๑เลน่ และทา ๘.๑.๑เล่นและท

ดีกบั ผู้อืน่ กจิ กรรมรว่ มกับเดก็ กจิ กรรมร่วมกับกลมุ่ กจิ กรรมร่วมกับ

ทแ่ี ตกตา่ งไปจากตน เดก็ ทแี่ ตกต่างไป ทแ่ี ตกต่างไปจา

จากตน

๘.๑.๑เลน่ และทา ๘.๑.๑เล่นและทา ๘.๑.๑เลน่ และท
กจิ กรรมรว่ มกับเดก็ กิจกรรมรว่ มกับกลมุ่ กจิ กรรมร่วมกับ
ที่แตกต่างไปจากตน เดก็ ท่แี ตกตา่ งไป ที่แตกตา่ งไปจา

จากตน

44

องสงั คมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมขุ
สาระการเรยี นร้รู ายปี

) ประสบการณ์สาคญั สาระทคี่ วรเรียนรู้

ทา ๑. การเลน่ และการทางานร่วมกับผอู้ ่ืน ๑. การเล่นและการทางาน

บเดก็ ๒. การมโี อกาสไดร้ ับความรคู้ วามร้สู กึ ร่วมกับผอู้ ่ืน

ากตน ความสนใจ และความตอ้ งการของตนเอง ๒. การรับฟังความคดิ เห็นของ

และผูอ้ ่นื ผอู้ น่ื

ทา ๑. การเลน่ และทางานร่วมกบั ผู้อืน่ ๑. การเลน่ และการทางาน

บเด็ก ๒. การแลกเปล่ียนความคิดเห็นและ รว่ มกับผอู้ ่นื

ากตน เคารพความคิดเหน็ ของผู้อ่ืน๓. การมี ๒. การรับฟังความคดิ เหน็ ของ

โอกาสไดร้ บั ความรคู้ วามร้สู ึก ความสนใจ ผูอ้ ื่น

และความต้องการของตนเองและผอู้ ่นื ๓. รจู้ ักแบง่ ปนั

๔. การเหลือผอู้ นื่

๕. การมนี า้ ใจ

๖. ร้จู กั การรอคอย

ทา ๑. การปฏบิ ัติตามวฒั นธรรมทอ้ ง ๑. การไหว้

บเดก็ ถ่ินทอ่ี าศัยอยู่และความเป็นไทย ๒. การกล่าวทกั ทาย “สวสั ดีค่ะ”

ากตน ๒. การมปี ระสบการณ์วฒั นธรรมท้องถ่นิ “สวสั ดคี รับ”

พัฒนาการด้านสังคม

มาตรฐานท่ี ๘ อยรู่ ่วมกับผู้อนื่ ได้อยา่ งมคี วามสุขและปฏบิ ัติตนเป็นมาสมาชกิ ที่ดีขอ

สภาพท่ีพึงประสงค์

ตัวบ่งชี้ ช้ัน อ.1 ชัน้ อ.๒ ช้ัน อ.๓
(๔ – ๕ ป)ี (๕ – ๖
(3 – 4 ปี)

ได้ด้วยตนเอง ไดเ้ หมาะสมก

สถานการณ์

๘.๓ ปฏิบตั ิตนเบ้อื งต้น ๘.๓.๑ปฏิบัตติ าม ๘.๓.๑มีสว่ นรว่ ม ๘.๓.๑มสี ่วนร
ในการเปน็ สมาชิกท่ี ข้อตกลงเม่ือมผี ู้ สรา้ งขอ้ ตกลงและ สรา้ งข้อตกลง
ดีของสังคม ชี้แนะ ปฏิบัติตามข้อตกลง ปฏิบตั ติ ามข้อ
เม่ือมีผูช้ ี้แนะ ดว้ ยตนเอง
๘.๓.๒ปฏิบตั ิตนเป็น
ผ้นู าและผตู้ ามเม่ือมี ๘.๓.๒ปฏิบัติตนเปน็ ๘.๓.๒ปฏบิ ตั
ผูช้ ้ีแนะ ผู้นาและผตู้ ามท่ีดีได้ ผนู้ าและผตู้ าม
ด้วยตนเอง เหมาะสมกบั
๘.๓.๓ยอมรับการ สถานการณ์
ประนีประนอมแกไ้ ข ๘.๓.๓
ปัญหาเมือ่ มผี ู้ชีแ้ นะ ประนปี ระนอมแกไ้ ข ๘.๓.๓
ปญั หาโดยปราศจาก ประนีประนอ
การใชค้ วามรุนแรง ปญั หาโดยปร
การใช้ความร

45

องสงั คมในระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข (ต่อ)

สาระการเรยี นรรู้ ายปี

๓ ประสบการณส์ าคญั สาระทีค่ วรเรยี นรู้
ป)ี

กับ และความเป็นไทย ๓. การความเคารพ การกล่าวคา
ขอบคุณและขอโทษ
รว่ ม ๑. การแลกเปลยี่ นความคดิ เห็นและเคารพ ๔. การมมี ารยาทตามวัฒนธรรม
งและ ความคิดเหน็ ของผู้อ่ืน ไทย
อตกลง ๒. การเลน่ และการทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืน
๓. เดก็ มโี อกาสไดร้ บั รคู้ วามรสู้ ึก ความสนใจ ๑. การปฏบิ ัตติ ามข้อตกลงรว่ มกัน
ติตนเป็น และความต้องการของตนเองและผอู้ ่นื
มได้ ๑. การวางแผน ตดั สนิ ใจเลอื กและลงมือ ๑. รจู้ กั การเปน็ ผู้นา – ผูต้ ามทีด่ ี
ปฏบิ ตั ิ ๒. การรอคอย
อมแกไ้ ข ๒. การเลน่ และการทางานร่วมกับผูอ้ นื่
ราศจาก ๓. เด็กมีโอกาสไดร้ ับรคู้ วามรสู้ ึก ความสนใจ ๑. การทากิจกรรมกลุม่ ยอ่ ย และกลมุ่
รุนแรง และความตอ้ งการของตนเองและผูอ้ นื่ ใหญ่
๑. การแกป้ ญั หาในการเล่นหรือทากจิ กรรม
๒. การแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ และเคารพ
ความคิดเห็นของผู้อื่น

สภาพทพี่ ึงประสงค์

ตวั บง่ ชี้ ชน้ั อ.1 ช้ัน อ.๒ ชน้ั อ.๓
(๔ – ๕ ป)ี (๕ – ๖
(3 – 4 ปี)

เมื่อมผี ้ชู ้แี นะ ดว้ ยตนเอง

46

สาระการเรยี นรรู้ ายปี

๓ ประสบการณ์สาคญั สาระท่คี วรเรยี นรู้
ป)ี

พัฒนาการด้านสตปิ ัญญา
มาตรฐานท่ี ๙ ใช้ภาษาส่ือสารได้เหมาะสมกับวยั

ตัวบง่ ชี้ ช้นั อ.1 สภาพที่พึงประสงค์ ชั้น อ.
(3 – 4 ปี) (๕ – ๖
๙.๑ สนทนาโต้ตอบ ช้ัน อ.๒
และเลา่ เรื่องให้ผอู้ ื่น ๙.๑.๑ฟงั ผอู้ นื่ พดู จน (๔ – ๕ ปี) ๙.๑.๑ฟงั ผอู้ ืน่
เข้าใจ จบและโตต้ อบ จบและโตต้ อ
เกี่ยวกับเรือ่ งทฟ่ี ัง ๙.๑.๑ฟงั ผอู้ ่ืนพูดจน เกีย่ วกับเรอื่ ง
จบและสนทนา
โตต้ อบสอดคล้องกบั
เรอ่ื งที่ฟัง

๙.๑.๒เล่า เรอ่ื งดว้ ย ๙.๑.๒เล่าเร่ืองเปน็ ๙.๑.๒เลา่ เ

ประโยคสน้ั ๆ ประโยคอยา่ ง ประโยคสั้นๆ

ต่อเนอ่ื ง

๙.๒ อ่าน เขียนภาพ ๙.๒.๑อา่ นภาพ และ ๙.๒.๑อา่ นภาพ ๙.๒.๑อ่านภ
และสัญลกั ษณไ์ ด้ พดู ข้อความดว้ ย สญั ลกั ษณ์ คา พรอ้ ม สญั ลกั ษณ์ ค
ภาษา ทั้งชี้ หรือกวาดตา การชี้ หรอื กว
ของตน มองขอ้ ความตาม มองจดุ เร่ิมต้น

บรรทดั จดุ จบของขอ้

47

สาระการเรียนรู้รายปี

.๓ ประสบการณ์สาคญั สาระทค่ี วรเรยี นรู้
๖ ปี)

นพดู จน ๑. การสนทนาโต้ตอบและเล่าเรอื่ งราว ๑. การแสดงบทบาทสมมติ

อบ ต่างๆ ๒. การเล่าขา่ ว

งท่ฟี ัง ๒. การคิด ๓. การแสดงความคดิ เหน็

๓. การใช้ภาษา ๔. การส่ือสาร

๔. การแสดงความรูส้ กึ ดว้ ยคาพูด

เรอื่ งด้วย ๑. การคิด ๑. การแสดงบทบาทสมมติ

ๆ ๒. การใช้ภาษา ๒. การเล่าข่าว เลา่ เรอ่ื ง

๓. การพูดกับผ้อู ่ืนเก่ียวกับ ๓. การแสดงความคิดเห็น

ประสบการณ์ของตนเองหรอื เล่า ๔. เล่าประสบการณ์ของตนเอง

เรอ่ื งราวเก่ียวกบั ตนเอง ๕. การสนทนากบั ผอู้ น่ื

ภาพ ๑. การคดิ ๑. การแสดงบทบาทสมมติ

คา ดว้ ย ๒. การอ่านภาพ หรือสญั ลักษณ์จาก ๒. การเล่านิทานประกอบภาพ

วาดตา นทิ าน หรอื เรอื่ งราวทสี่ นใจ ๓. การแสดงความคิดเหน็

นและ ๓. การใชภ้ าษา ๔. เลา่ ประสบการณ์ของตนเอง

อความ ๔. การอา่ นในหลายรปู แบบผ่าน ๖. หนงั สอื ต่างๆ

ประสบการณ์ท่ีส่อื ความหมายตอ่ เดก็

สภาพท่พี งึ ประสงค์

ตวั บ่งช้ี ชั้น อ.1 ช้ัน อ.๒ ชั้น อ.

(3 – 4 ปี) (๔ – ๕ ปี) (๕ – ๖

๙.๒.๒เขยี นขดี เขยี่ ๙.๒.๒เขียนคลา้ ย ๙.๒.๒เขยี นช

อย่างมีทศิ ทาง ตัวอักษร ตนเอง ตามแ

เขยี นข้อควา

วิธที คี่ ิดขึน้ เอ

48

สาระการเรียนรูร้ ายปี

.๓ ประสบการณส์ าคญั สาระทคี่ วรเรยี นรู้
๖ ปี)
๑. การเขยี นในหลายรูปแบบผ่าน ๑. การร้จู กั ช่อื ตนเอง
ช่อื ของ ประสบการณ์ที่สือ่ ความหมายตอ่ เด็ก
แบบ ๒. การเขียนภาพ เขยี นคลา้ ยตวั อักษร
ามด้วย เขียนสัญลักษณ์ เขียนช่ือตนเอง
อง

พัฒนาการดา้ นสตปิ ญั ญา
มาตรฐานที่ ๑๐ มีความสามารถในการคิดที่เป็นพ้ืนฐานในการเรียนรู้

สภาพท่ีพึงประสงค์

ตัวบ่งช้ี ชนั้ อ.1 ชน้ั อ.๒ ชัน้ อ.๓
(๕ – ๖ ป
(3 – 4 ป)ี (๔ – ๕ ปี)
๑๐.๑.๑บอก
๑๐.๑ มี ๑๐.๑.๑บอก ๑๐.๑.๑บอก ลักษณะ
ส่วนประกอบ ก
ความสามารถในการ ลกั ษณะของสง่ิ ของ ลกั ษณะและ เปลยี่ นแปลง ห
ความสมั พันธข์
คดิ รวบยอด ตา่ งๆจากการสังเกต ส่วนประกอบ๑ของ สิ่งของตา่ งๆจา
สงั เกตโดยใช้
โดยใชป้ ระสาทสัมผสั สง่ิ ของต่างๆจากการ ประสาทสมั ผสั

สังเกตโดยใช้ ๑๐.๑.๒จับคแู่ ล
เปรยี บเทียบคว
ประสาทสมั ผัส แตกต่างหรือคว
เหมือนของสิ่งต
๑๐.๑.๒จับคหู่ รอื ๑๐.๑.๒จบั คูแ่ ละ โดยใช้ลกั ษณะท
สงั เกตพบสอง
เปรียบเทยี บส่ิงตา่ งๆ เปรยี บเทยี บความ ลักษณะข้นึ ไป

โดยใชล้ กั ษณะหรือ แตกต่างหรือความ

หน้าทก่ี ารงานเพยี ง เหมอื นของส่ิงตา่ งๆ

ลกั ษณะเดียว โดยใชล้ ักษณะท่ี

สงั เกตพบเพียง

ลักษณะเดยี ว

๑๐.๑.๓แยกสงิ่ ต่างๆ ๑๐.๑.๓ จาแนกและ ๑๐.๑.๓ จาแน
ตามลกั ษณะหรือ จดั กล่มุ สงิ่ ต่างๆโดย จดั กลุ่มสิง่ ตา่ งๆ
หน้าท่กี ารใช้งาน ใชอ้ ย่างนอ้ ย ๑ ใชต้ ั้งแต่ ๒ ลกั ษ

49

สาระการเรียนรู้รายปี

ปี) ประสบการณ์สาคัญ สาระทคี่ วรเรียนรู้

๑. การคดิ ๑. กจิ กรรมเกมการศึกษา
๒. การใชภ้ าษา ๒. กจิ กรรสร้างสรรค์
การ ๓. การสังเกต การจาแนก และการ ๓. การทดลอง
หรอื เปรียบเทยี บ
ของ
ากการ

ส ๑. กจิ กรรมเกมการศึกษา
๒. กิจกรรมเสริมประสบการณ์
ละ ๑. การคิด
วาม ๒. มิติสมั พันธ์
วาม ๓. การสงั เกต การจาแนก และการ
ต่างๆ เปรยี บเทยี บ
ท่ี

นกและ ๑. การคดิ ๑. กิจกรรมเกมศึกษา
ๆโดย ๒. มติ สิ มั พันธ์ ๒. กิจกรรมกลางแจง้
ษณะ ๓. การสงั เกต การจาแนก และการ ๓. กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์

พฒั นาการด้านสตปิ ัญญา
มาตรฐานที่ ๑๐ มคี วามสามารถในการคิดทเ่ี ป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ (ตอ่ )

สภาพท่พี ึงประสงค์

ตวั บง่ ชี้ ชัน้ อ.1 ชั้น อ.๒ ช้นั อ.๓

(3 – 4 ปี) (๔ – ๕ ปี) (๕ – ๖ ป

ลักษณะเปน็ เกณฑ์ ขนึ้ ไปเป็นเกณ

๑๐.๑.๔เรยี งลาดับ ๑๐.๑.๔เรียงลาดบั ๑๐.๑.๔เรยี งล

ส่งิ ของหรือ สิ่งของหรือ สง่ิ ของหรือ

เหตุการณ์อยา่ งน้อย เหตุการณ์อย่างน้อย เหตุการณ์อยา่

๓ ลาดบั ๔ ลาดบั ๕ ลาดบั

๑๐.๒ มคี วามสามารถ ๑๐.๒.๑ระบผุ ลท่ี ๑๐.๒.๑ ระบสุ าเหตุ ๑๐.๒.๑อธิบา

ในการคิดเชงิ เหตผุ ล เกดิ ขึ้นในเหตุการณ์ หรือผลทเี่ กิดข้นึ ใน เชอื่ มโยงสาเห

หรือการกระทาเมื่อ เหตกุ ารณ์หรือ การ ผลทีเ่ กิดขึน้ ใน

มผี ูช้ ี้แนะ กระทาเม่อื มผี ู้ชแี้ นะ เหตกุ ารณห์ รือ

กระทาด้วยตน

๑๐.๒.๒คาดเดา ๑๐.๒.๒ คาดเดา ๑๐.๒.๒คาดค
หรือ คาดคะเนสงิ่ ท่ี หรือคาดคะเนส่ิงท่ี สิ่งท่อี าจจะเกดิ
อาจเกิดข้นึ อาจจะเกดิ ขึ้น หรือ และมสี ่วนรว่ ม
มสี ว่ นรว่ มในการลง การลงความเห

50

สาระการเรียนรู้รายปี

๓ ประสบการณส์ าคญั สาระท่คี วรเรียนรู้
ปี)

ณฑ์ เปรียบเทียบ

ลาดับ ๑. การคิด ๑. กิจกรรมเกมศกึ ษา

๒. มติ สิ ัมพนั ธ์ ๒. กิจกรรมกลางแจ้ง

างน้อย ๓. การสงั เกต การจาแนก และการ ๓. กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์

เปรยี บเทยี บ

าย ๑. การคิด ๑. สี

หตแุ ละ ๒. การรจู้ ักสิ่งตา่ งๆดว้ ยประสาท ๒. รูปร่าง รูปทรง

น สัมผัสทั้ง ๕ ๓. ขนาด

อการ ๓. การสังเกต การจาแนก และการ ๔. น้าหนัก

นเอง เปรียบเทยี บ

๔. การเรยี งลาดบั เหตกุ ารณ์ก่อน –

หลงั

คะเน ๑. การคิด ๑. สี

ดขึ้น ๒. มติ สิ ัมพนั ธ์ ๒. รูปร่าง รปู ทรง

มใน ๓. การสงั เกต การจาแนก และการ ๓. ขนาด

หน็ เปรยี บเทียบ ๔. นา้ หนัก

ตวั บ่งช้ี ชั้น อ.1 สภาพทีพ่ งึ ประสงค์ ชั้น อ.๓
(3 – 4 ปี) ชนั้ อ.๒ (๕ – ๖ ป
๑๐.๓ มีความสามารถ (๔ – ๕ ปี)
ในการคิดแกป้ ัญหา ๑๐.๓.๑ตัดสินใจใน จากข้อมูลอยา่
และตัดสินใจ เรอื่ งง่ายๆ ความเห็นจากข้อมลู เหตุผล

๑๐.๓.๑ตัดสินใจใน ๑๐.๓.๑ตัดสิน
เรือ่ งง่ายๆและเรมิ่ เรอ่ื งง่ายๆและ
เรยี นรผู้ ลทีเ่ กิดขึ้น ยอมรบั ผลท่ีเก

๑๐.๓.๒แก้ปญั หา ๑๐.๓.๒ระบุปญั หา ๑๐.๓.๒ระบุป
โดยลองผดิ ลองถูก และแก้ปัญหาโดย สรา้ งทางเลอื ก

ลองผดิ ลองถกู เลือกวิธีแก้ปญั

51

สาระการเรียนรรู้ ายปี

๓ ประสบการณส์ าคญั สาระที่ควรเรยี นรู้
ปี)

างมี ๔. เวลา ๕. การทดลองวทิ ยาศาสตร์

นใจใน ๑. การคดิ ๑. การเล่นหรือทาสง่ิ ตา่ งๆดว้ ย

ะ ๒. การวางแผนตดั สนิ ใจเลอื กและลง ตนเองและผูอ้ ื่น

กิดขึ้น มอื ปฏบิ ัติ ๒. การทดลองวิทยาศาสตร์

๓. การแกป้ ัญหาในการเลน่

ปญั หา ๑. การคิด ๑. การขอความชว่ ยเหลอื จากผูอ้ ่ืน

กและ ๒. การวางแผนตัดสินใจเลือกและลง ๒. การทดลองวิทยาศาสตร์

ญหา มือปฏบิ ตั ิ

๓. การแก้ปญั หาในการเล่น

พฒั นาการด้านสตปิ ญั ญา
มาตรฐานท่ี ๑๑ มจี นิ ตนาการและความคิดสร้างสรรค์

สภาพทพ่ี งึ ประสงค์

ตัวบง่ ชี้ ชนั้ อ.1 ชนั้ อ.๒ ชั้น อ.๓

๑๑.๑ ทางานศลิ ปะ (3 – 4 ปี) (๔ – ๕ ปี) (๕ – ๖ ป
ตามจนิ ตนาการและ
ความคิดสรา้ งสรรค์ ๑๑.๑.๑สร้างผลงาน ๑๑.๑.๑สร้างผลงาน ๑๑.๑.๑สรา้ งผ

ศลิ ปะเพอื่ สื่อสาร ศลิ ปะเพื่อส่ือสาร ศลิ ปะเพื่อส่ือส

ความคดิ ความร้สู ึก ความคดิ ความร้สู ึก ความคดิ ความ

ของตนเอง ของตนเองโดยมีการ ของตนเองโดย

ดัดแปลงและแปลก ดดั แปลงและแ

ใหมจ่ ากเดิมหรือมี ใหมจ่ ากเดิมแล

รายละเอยี ดเพิม่ ข้ึน รายละเอียดเพ

๑๑.๒ แสดงทา่ ทาง/ ๑๑.๒.๑เคลอ่ื นไหว ๑๑.๒.๑เคล่อื นไหว ๑๑.๒.๑เคลือ่ น
เคล่อื นไหวตาม ทา่ ทางเพ่ือสื่อสาร ทา่ ทางเพื่อส่ือสาร ท่าทางเพ่อื สื่อ
จนิ ตนาการอยา่ ง ความคิด ความรู้สึก ความคดิ ความรสู้ ึก ความคดิ ความ

52

สาระการเรียนรู้รายปี

๓ ประสบการณ์สาคัญ สาระทีค่ วรเรียนรู้
ปี)

ผลงาน ๑. การแสดงความคิดสรา้ งสรรคผ์ ่าน ๑. วธิ ีการใช้เครอ่ื งมอื เครื่องใชใ้ นการ

สาร ศิลปะ ทางานศลิ ปะ อย่างถกู วธิ ีและ

มรู้สึก ๒. การเขียนและการเลน่ กับสี ปลอดภยั เช่น กรรไกร

ยมีการ ๓. การปน้ั

แปลก ๔. การประดษิ ฐ์สงิ่ ต่างๆดว้ ยเศษวสั ดุ

ละมี ๕. การทางานศิลปะทนี่ าวัสดุ หรือ

พ่ิมขนึ้ สิ่งของเครื่องใช้ทีใ่ ชแ้ ลว้ มาใช้ซ้าหรอื

แปรรปู แล้วนากลับมาใช้ใหม่

๖. การหยบิ จบั การใช้กรรไกร การฉีก

การตัด การปะและการร้อยวสั ดุ

๗. การแสดงความคิดสรา้ งสรรค์ผา่ น

งานศิลปะ

๘. การสร้างสรรคช์ น้ิ งานโดยใช้

รปู ร่างรูปทรง จากวสั ดทุ ่หี ลากหลาย

นไหว ๑. การเคล่ือนไหวอยู่กับท่ี ๑. การเคลื่อนไหวร่างกายในทิศทาง

อสาร ๒. การเคลอ่ื นไหวเคล่ือนท่ี ระดับและพืน้ ท่ีตา่ งๆ

มรสู้ ึก ๓. การเคลอ่ื นไหวพร้อมวัสดุอุปกรณ์ ๒. การแสดงทา่ ทางต่างๆตาม

สภาพท่พี ึงประสงค์

ตัวบ่งชี้ ช้นั อ.1 ช้ัน อ.๒ ชัน้ อ.๓
สรา้ งสรรค์ (3 – 4 ป)ี
(๔ – ๕ ปี) (๕ – ๖ ป
ของตนเอง
ของตนเองอย่าง ของตนเองอยา่

หลากหลายหรือ หลากหลายแล

แปลกใหม่ แปลกใหม่

53

สาระการเรียนร้รู ายปี

๓ ประสบการณ์สาคัญ สาระที่ควรเรียนรู้
ปี)

าง ๔. การแสดงความคดิ สร้างสรรค์ผา่ น ความคิดของตนเอง

ละ ภาษา ท่าทางการเคลื่อนไหวและ

ศลิ ปะ

๕. การเคลื่อนไหวโดยควบคมุ ตนเอง

ไปในทิศทาง ระดับและพื้นที่

๖. การเคลื่อนไหวตามเสยี งเพลง/

ดนตรี

๗. การฟังเพลง การรอ้ งเพลงและการ

แสดงปฏิกริ ิยาโต้ตอบเสียงดนตรี

พฒั นาการด้านสตปิ ญั ญา
มาตรฐานท่ี ๑๒ มีเจตคติท่ีดตี ่อการเรียนรู้ และมคี วามสามารถในการแสวงหาความ

สภาพท่พี งึ ประสงค์

ตัวบ่งช้ี ช้นั อ.1 ช้ัน อ.๒ ช้ัน อ.๓
(๕ – ๖ ป
๑๒.๑ มีเจตคตทิ ี่ดตี อ่ (3 – 4 ปี) (๔ – ๕ ปี) ๑๒.๑.๑สนใจฟ
การเรียนรู้ อ่านหนังสอื ดว้
๑๒.๑.๑สนใจฟัง ๑๒.๑.๑สนใจ ตนเอง

หรืออา่ นหนงั สือด้วย ซกั ถามเก่ยี วกับ ๑๒.๑.๒กระตือ
ในการเข้าร่วม
ตนเอง สัญลักษณห์ รือ กิจกรรม

ตัวหนังสอื ท่ีพบเหน็

๑๒.๑.๒ ๑๒.๑.๒

กระตือรือร้นในการ กระตือรอื รน้ ในการ

เข้ารว่ มกจิ กรรม เข้าร่วมกจิ กรรม

๑๒.๒ มคี วามสามารถ ๑๒.๒.๑ค้นหา ๑๒.๑.๑คน้ หา ๑๒.๑.๑ค้นหา

ในการแสวงหาความรู้ คาตอบของข้อสงสยั คาตอบของข้อสงสัย คาตอบของข้อ

ต่างๆ ตามวธิ กี ารที่มี ตา่ งๆ ตามวธิ กี าร ตา่ งๆ ตามวธิ กี

ผชู้ ี้แนะ ของตนเอง หลากหลายดว้

ตนเอง

๑๒.๒.๒เช่อื มโยงคา ๑๒.๒.๒ใชป้ ระโยค ๑๒.๒.๒ใช้ประ

ถา “อะไร” ในการ คาถามว่า “ทไี่ หน” คาถามว่า “เม

คน้ หาคาตอบ “ทาไม” ในการ อยา่ งไร” ในกา

54

มร้ไู ดเ้ หมาะสมกับวัย

สาระการเรยี นรู้รายปี

๓ ประสบการณส์ าคัญ สาระทีค่ วรเรียนรู้
ปี)

ฟังหรอื ๑. การคิด ๑. ศกึ ษาแหล่งเรยี นรูห้ อ้ งสมุด

วย ๒. การรบั รู้และแสดงความรสู้ ึกผา่ น ๒. มมุ นิทานหรอื มุมต่างๆ

ส่อื วสั ดุ ของเลน่ และผลงาน ๓. การทากิจกรรม เลน่ เกม และ

๓. การกระตือรอื รน้ การละเลน่ ต่างๆ

อรือรน้ ๑. การมีความรบั ผิดชอบ ๑. ศึกษาแหล่งเรียนร้หู อ้ งสมุด

ม ๒. การมรี ะเบียบวินัย ๒. มุมนิทานหรอื มุมตา่ งๆ

๓. การทากิจกรรม เล่นเกม และ

การละเล่นตา่ งๆ

า ๑. การคดิ ๑. ศึกษาแหลง่ เรยี นรหู้ อ้ งสมุด

อสงสยั ๒. การสงั เกต การจาแนก และการ ๒. มมุ นทิ านหรอื มุมตา่ งๆ

การที่ เปรียบเทยี บ ๓. การทากจิ กรรม เล่นเกม และ

วย การละเลน่ ต่างๆ

ะโยค ๑. การคดิ ๑. ศกึ ษาแหลง่ เรียนรู้หอ้ งสมุด

มอื่ ไร” ๒. การสงั เกต การจาแนก และการ ๒. มุมนทิ านหรือมุมต่างๆ

าร เปรียบเทยี บ ๓. การทากจิ กรรม เลน่ เกม และ

สภาพทพี่ ึงประสงค์

ตวั บ่งช้ี ช้ัน อ.1 ชั้น อ.๒ ช้ัน อ.๓

(3 – 4 ปี) (๔ – ๕ ปี) (๕ – ๖ ป

ค้นหาคาตอบ ค้นหาคาตอบ

55

สาระการเรยี นรูร้ ายปี

๓ ประสบการณ์สาคัญ สาระท่คี วรเรยี นรู้
ปี)

๓. การส่อื สาร การละเลน่ ตา่ งๆ

การจัดประสบการณ์

การจัดประสบการณ์สาหรบั เดก็ ปฐมวยั อายุ ๓ – ๖ ปี เปน็ การจัดกิจกรรมในลกั ษณะบรู ณา
การผา่ นการเล่น การลงมือกระทาจากประสบการณต์ รงอย่างหลากหลาย เกดิ ความรู้ ทักษะ คุณธรรม
จริยธรรม รวมทงั้ เกดิ การพัฒนาท้งั ด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสตปิ ัญญา ไม่จัดเปน็ รายวิชา
โดยมหี ลกั การ และแนวทางการจัดประสบการณ์ ดังน้ี

๑. หลักการจัดประสบการณ์
๑.๑ จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรหู้ ลากหลาย เพือ่ พฒั นาเด็กโดยองค์รวม

อย่างสมดลุ และต่อเนือ่ ง
๑.๒ เนน้ เด็กเป็นสาคญั สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล

และบริบทของสงั คมทเี่ ด็กอาศัยอยู่
๑.๓ จัดให้เด็กไดร้ บั การพฒั นา โดยใหค้ วามสาคญั กบั กระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการ

ของเด็ก
๑.๔ จัดการประเมินพัฒนาการใหเ้ ปน็ กระบวนการอยา่ งต่อเนือ่ ง และเป็นส่วนหนึ่งของ

การจัดประสบการณ์ พร้อมท้ังนาผลการประเมินมาพัฒนาเดก็ อยา่ งตอ่ เนื่อง
๑.๕ ใหพ้ ่อแม่ ครอบครวั ชุมชน และทกุ ฝา่ ยที่เก่ยี วขอ้ งมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก

๒. แนวทางการจัดประสบการณ์
๒.๑ จดั ประสบการณใ์ หส้ อดคลอ้ งกับจิตวทิ ยาพัฒนาการและการทางานของสมองที่

เหมาะสมกบั อายุ วฒุ ิภาวะและระดับพัฒนาการ เพ่ือให้เด็กทุกคนไดพ้ ฒั นาเตม็ ตามศักยภาพ
๒.๒ จัดประสบการณใ์ ห้สอดคล้องกับแบบการเรียนรขู้ องเดก็ เด็กไดล้ งมือกระทาเรยี นรู้

ผ่านประสาสมั ผสั ทั้งหา้ ได้เคลื่อนไหว สารวจ เลน่ สงั เกต สืบคน้ ทดลอง และคดิ แกป้ ัญหาดว้ ย
ตนเอง

๒.๓ จัดประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยบรู ณาการท้ังกิจกรรม ทักษะ และสาระการ
เรยี นรู้

๒.๔ จดั ประสบการณ์ให้เด็กไดร้ ิเร่ิมคดิ วางแผน ตดั สินใจลงมือกระทาและนาเสนอ
ความคิดโดยครหู รือผจู้ ดั ประสบการณเ์ ป็นผสู้ นับสนุนอานวยความสะดวก และเรยี นรู้ร่วมกับเด็ก

๒.๕ จัดประสบการณ์ให้เด็กมปี ฏสิ มั พนั ธ์กบั เด็กอื่นกบั ผู้ใหญ่ ภายใตส้ ภาพแวดลอ้ มท่ี
เอือ้ ต่อการเรียนรู้ ในบรรยากาศที่อบอุน่ มคี วามสขุ และเรยี นรู้การทากิจกรรมแบบร่วมมือใน
ลักษณะตา่ งๆกัน

๒.๖ จัดประสบการณ์ให้เด็กมปี ฏสิ มั พันธก์ ับสือ่ และแหล่งการเรยี นรหี่ ลากหลายและอยู่
ในวถิ ีชวี ิตของเด็ก

๒.๗ จดั ประสบการณท์ ่สี ่งเสริมลกั ษณะนสิ ัยทีด่ ีและทักษะการใชช้ ีวิตประจาวันตลอดจน
สอดแทรกคณุ ธรรมจรยิ ธรรมให้เป็นสว่ นหน่งึ ของการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้อย่างต่อเนอ่ื ง

๒.๘ จดั ประสบการณท์ ั้งในลักษณะทีด่ ีการวางแผนไวล้ ่วงหน้าและแผนท่เี กดิ ขึน้ ใน
สภาพจรงิ โดยไม่ได้คาดการณ์ไว้

๒.๙ จัดทาสารนทิ ัศน์ดว้ ยการรวบรวมข้อมลู เกยี่ วกับพัฒนาการและการเรียนร้ขู องเด็ก
เป็นรายบคุ คล นามาไตรต่ รองและใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาเดก็ และการวจิ ัยในช้นั เรียน

57

๒.๑๐ จดั ประสบการณ์โดยให้พอ่ แม่ ครอบครัว และชุมชนมีสว่ นร่วมท้งั การวางแผน
การสนบั สนุนสอ่ื แหลง่ เรยี นรู้ การเขา้ รว่ มกิจกรรม และการประเมนิ พฒั นาการ

๓. การจัดกจิ กรรมประจาวัน
กิจกรรมสาหรับเด็กอายุ ๓ – ๖ ปบี ริบูรณ์ สามารถนามาจัดเป็นกจิ กรรมประจาวนั ไดห้ ลาย

รูปแบบเป็นการช่วยให้ครูผู้สอนหรอื ผูจ้ ดั ประสบการณ์ทราบว่าแตล่ ะวันจะทากจิ กรรมอะไร เมือ่ ใด และ
อย่างไร ทั้งนี้ การจดั กจิ กรรมประจาวันสามารถจดั ไดห้ ลายรูปแบบ ขน้ึ อยู่กับความเหมาะสมในการ
นาไปใชข้ องแต่ละหน่วยงานและสภาพชมุ ชน ทีส่ าคญั ครูผู้สอนตอ้ งคานงึ ถึงการจดั กิจกรรมใหค้ รอบคลมุ
พฒั นาการทุกด้านการจดั กจิ กรรมประจาวนั มีหลักการจัดและขอบขา่ ยกิจกรรมประจาวัน ดังน้ี

3.1 หลกั การจัดกิจกรรมประจาวัน
๑. กาหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแตล่ ะกิจกรรมใหเ้ หมาะสมกบั วยั ของเดก็ ในแต่

ละวนั แต่ยืดหยนุ่ ไดต้ ามความตอ้ งการและความสนใจของเด็ก เชน่
วัย ๓-๔ ปี มคี วามสนใจชว่ งสน้ั ประมาณ ๘-๑๒ นาที
วัย ๔ – ๕ ปี มคี วามสนใจอยู่ได้ประมาณ ๑๒-๑๕ นาที
วัย ๕-๖ ปี มีความสนใจอยู่ได้ประมาณ ๑๕- ๒๐ นาที
๒. กจิ กรรมทีต่ อ้ งใช้ความคิดท้งั ในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไมค่ วรใช้เวลาตอ่ เน่อื งนานเกิน

กวา่ ๒๐ นาที
๓. กจิ กรรมที่เดก็ มีอสิ ระเลือกเล่นเสรี เพอ่ื ชว่ ยให้เดก็ รู้จักเลือกตัดสนิ ใจ คดิ แกป้ ัญหา

คิดสรา้ งสรรค์ เช่น การเลน่ ตามมุม การเล่นกลางแจ้ง ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที
๔. กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมท่ีใช้

กล้ามเน้ือใหญ่และกล้ามเน้ือเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมท่ีเด็กเป็นผู้
ริเริ่มและครูผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้ริเร่ิม และกิจกรรมท่ีใช้กาลังและไม่ใช้กาลัง จัดให้ครบทุก
ประเภท ท้ังนี้ กิจกรรมที่ต้องออกกาลังกายควรจัดสลับกับกิจกรรมที่ไม่ต้องออกกาลังมากนัก เพ่ือเด็กจะ
ไดไ้ ม่เหนอ่ื ยเกินไป

๓.๒ ขอบขา่ ยของกิจกรรมประจาวนั
การเลือกกิจกรรมที่จะนามาจัดในแต่ละวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ท้ังน้ี ข้ึนอยู่กับความ
เหมาะสมในการนาไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สาคัญครูผู้สอนต้องคานึกถึงการจัด
กิจกรรมให้ครอบคลมุ พัฒนาการทกุ ดา้ น ดงั ต่อไปนี้

๓.๒.๑ การพฒั นากล้ามเนอ้ื ใหญ่ เปน็ การพฒั นาความแข็งแรง การทรงตวั ความ
ยืดหยนุ่ ความคล่องแคลว่ ในการใช้อวยั วะต่าง ๆ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใชก้ ลา้ มเนอื้ ใหญ่ โดย
จดั กิจกรรมใหเ้ ด็กไดเ้ ลน่ อิสระกลางแจ้ง เลน่ เคร่ืองเล่นสนาม ปนี ปา่ ยเลน่ อิสระ เคลื่อนไหวร่างกายตาม
จงั หวะดนตรี

๓.๒.๒ การพฒั นาการกลา้ มเนอื้ เล็ก เปน็ การพัฒนาความแขง็ แรงของกลา้ มเน้ือเล็ก
กล้ามเน้อื มอื -นว้ิ มือการประสานสมั พันธ์ระหว่างกล้ามเนอ้ื มือและระบบประสาทตามือได้อยา่ งคล่องแคล่ว
และประสานสมั พันธ์ โดยจดั กิจกรรมใหเ้ ด็กไดเ้ ล่นเคร่ืองสัมผสั เล่นเกมการศึกษา ฝกึ ช่วยเหลอื ตนเองใน
การแต่งกาย หยิบจับช้อนส้อม และใชอ้ ปุ กรณ์ศลิ ปะ เชน่ สเี ทยี น กรรไกร พ่กู ัน ดินเหนียว ฯลฯ

58

๓.๒.๓ การพฒั นาการอารมณ์ จติ ใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการปลูกฝัง
ให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเช่ือม่ัน กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซ่ือสัตย์
ประหยัด เมตตากรุณา เอ้ือเฟื้อ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาท่ีนับถือ
โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ผ่านการเลน่ ใหเ้ ด็กไดม้ โี อกาสตดั สนิ ใจเลือก ไดร้ ับการตอบสนองตาความต้องการได้
ฝึกปฏิบัตโิ ดยสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมอยา่ งต่อเนื่อง

๓.๒.๔ การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยท่ีดี แสดงออกอย่าง
เหมาะสมและอยู่รว่ มกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทากิจวัตรประจาวันมีนิสัยรักการ
ทางาน ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อ่ืน โดยรวมทั้งระมัดระวังอันตรายจากคนแปลกหน้า
ให้เด็กได้ปฏิบัติกิจวัตรประจาวันอย่างสม่าเสมอ เช่น รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทา
ความสะอาดร่างกาย เลน่ และทางานร่วมกบั ผู้อ่ืน ปฏิบัตติ ามกฎกติกาข้อตกลงของร่วมรวม เกบ็ ของเข้าท่ี
เมือ่ เลน่ หรือทางานเสรจ็

๓.๒.๕ การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา
ความ คิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โดยจดั กจิ กรรมให้
เด็กได้สนทนา อภิปรายและเปลี่ยนความคดิ เหน็ เชิญวทิ ยากรมาพูดคยุ กับเดก็ ศึกษานอกสถานท่ี เล่นเกม
การศึกษา ฝึกการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ฝึกออกแบบและสร้างช้ินงาน และทากิจกรรมทั้งเป็นกลุ่ม
ย่อย กลุ่มใหญแ่ ละรายบุคคล

๓.๒.๖ การพฒั นาภาษา เปน็ การพฒั นาใหเ้ ด็กใช้ภาษาส่ือสารถ่ายทอดความรสู้ ึกนึกคิด
ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถต้ังคาถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรม
ทางภาษาให้มคี วามหลากหลายในสภาพแวดลอ้ มทเ่ี อื้อต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กได้กล้าแสดงออกใน
การฟัง พูด อ่าน เขียน มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ท้ังน้ี
ต้องคานึกถึงหลกั การจดั กิจกรรมทางภาษาท่เี หมาะสมกบั เด็กเปน็ สาคญั

๓.๒.๗ การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมี
ความคดิ รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ ได้ถา่ ยทอดอารมณ์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของส่ิงต่างๆ โดยจัดกจิ กรรม
ศิลปะสร้างสรรค์ดนตรี การเคล่ือนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ อย่างอิสระ เล่น
บทบาทสมมตุ ิ เล่นนา้ เลน่ ทราย เล่นบลอ็ ก และเล่นกอ่ สรา้ ง

การสร้างบรรยากาศการเรยี นรู้

การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา มีความสาคัญตอ่ เด็กเนื่องจากธรรมชาติของเด็กในวยั นี้สนใจที่
จะเรียนรู้ ค้นคว้า ทดลอง และต้องการสัมผัสกับส่ิงแวดล้อมรอบๆตัว ดังน้ัน การจัดเตรียมสิ่งแวดล้อม
อยา่ งเหมาะสมตามความต้องการของเด็ก จึงมีความสาคัญท่ีเก่ยี วข้องกับพฤติกรรมและการเรียนรู้ของเด็ก
เด็กสามารถเรียนรู้จากการเล่นที่เป็น ประสบการณ์ตรงท่ีเกิดจากการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสท้ังห้าจึง
จาเปน็ ต้องจัดสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาให้สอดคล้องกบั สภาพ และความตอ้ งการของหลักสูตร เพ่ือส่งผล
ใหบ้ รรลจุ ดุ หมายในการพฒั นาเดก็

การจัดสภาพแวดลอ้ มคานึงถึงส่งิ ตอ่ ไปน้ี
๑.ความสะอาด ความปลอดภยั
๒.ความมอี สิ ระอย่างมีขอบเขตในการเลน่
๓.ความสะดวกในการทากิจกรรม

59

๔.ความพรอ้ มของอาคารสถานที่ เช่น ห้องเรียน ห้องน้าห้องสว้ ม สนามเดก็ เลน่ ฯลฯ
๕.ความเพียงพอเหมาะสมในเร่ืองขนาด นา้ หนัก จานวน สขี องส่ือและเคร่ืองเล่น
๖.บรรยากาศในการเรยี นรู้ การจดั ทเ่ี ลน่ และมุมประสบการณต์ า่ ง ๆ

สภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน

หลักสาคัญในการจัดต้องคานึงถึงความปลอดภยั ความสะอาด เปา้ หมายการพฒั นาเด็ก ความ
เป็นระเบียบ ความเป็นตวั ของเดก็ เอง ใหเ้ ด็กเกดิ ความร้สู ึกอบอุน่ ม่นั ใจ และมีความสุข ซึง่ อาจจดั แบง่
พ้นื ท่ีใหเ้ หมาะสมกับการประกอบกจิ กรรมตามหลักสตู ร ดังน้ี

๑. พนื้ ที่อานวยความสะดวกเพอ่ื เดก็ และผู้สอน

๑.๑ ท่แี สดงผลงานของเด็ก อาจจดั เป็นแผ่นป้าย หรอื ทแ่ี ขวนผลงาน

๑.๒ ที่เก็บแฟ้มผลงานของเด็ก อาจจัดทาเปน็ กล่องหรือจัดใสแ่ ฟม้ รายบุคคล

๑.๓ ที่เกบ็ เครอ่ื งใชส้ ว่ นตวั ของเด็ก อาจทาเปน็ ช่องตามจานวนเด็ก
๑.๔ ท่ีเก็บเคร่ืองใช้ของผสู้ อน เชน่ อุปกรณ์การสอน ของสว่ นตัวผ้สู อน ฯลฯ
๑.๕ ปา้ ยนเิ ทศตามหนว่ ยการสอนหรือสงิ่ ท่เี ด็กสนใจ

๒. พื้นทีป่ ฏิบัตกิ จิ กรรมและการเคลอื่ นไหว ต้องกาหนดใหช้ ดั เจน ควรมพี นื้ ท่ีท่ีเดก็ สามารถจะ
ทางานได้ด้วยตนเอง และทากจิ กรรมดว้ ยกันในกลมุ่ เล็ก หรือกลมุ่ ใหญ่ เด็กสามารถเคลอ่ื นไหวไดอ้ ย่าง
อสิ ระจากกิจกรรมหนึง่ ไปยังกิจกรรมหน่งึ โดยไมร่ บกวนผ้อู นื่

๓. พื้นท่ีจัดมุมเล่นหรือมุมประสบการณ์ สามารถจัดได้ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพของ
ห้องเรียน จัดแยกส่วนที่ใช้เสียงดังและเงียบออกจากกัน เช่น มุมบล็อกอยู่ห่างจากมุมหนังสือ มุมบทบาท
สมมติอยู่ติดกับมุมบล็อก มุมวิทยาศาสตร์อยู่ใกล้มุมศิลปะฯ ลฯ ท่ีสาคัญจะต้องมีของเล่น วัสดุอุปกรณ์ใน
มุมอย่างเพียงพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก การเล่นในมุมเล่นอย่างเสรี มักถูกกาหนดไว้ในตารางกิจกรรม
ประจาวัน เพื่อให้โอกาสเด็กได้เล่นอย่างเสรีประมาณวันละ ๖๐ นาทีการจัดมุมเล่นต่างๆ ผู้สอนควร
คานึงถงึ สงิ่ ตอ่ ไปน้ี

๓.๑ ในหอ้ งเรียนควรมีมุมเลน่ อย่างน้อย ๓-๕ มมุ ทั้งนีข้ นึ้ อยู่กับพน้ื ท่ีของห้อง
๓.๒ ควรได้มกี ารผลัดเปลีย่ นสอ่ื ของเลน่ ตามมุมบา้ ง ตามความสนใจของเด็ก
๓.๓ ควรจัดให้มีประสบการณ์ที่เด็กได้เรียนรู้ไปแล้วปรากฏอยู่ในมุมเล่น เช่น เด็กเรียนรู้
เร่ืองผีเสื้อ ผู้สอนอาจจัดให้มีการจาลองการเกิดผีเสื้อล่องไว้ให้เด็กดูในมุมธรรมชาติศึกษาหรือมุม
วทิ ยาศาสตร์ ฯลฯ
๓.๔ ควรเปดิ โอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการจดั มมุ เลน่ ท้ังน้เี พื่อจงู ใจให้เดก็ รสู้ ึกเปน็ เจา้ ของ
อยากเรียนรู้ อยากเข้าเล่น

๓.๕ ควรเสริมสร้างวินัยให้กบั เดก็ โดยมีข้อตกลงรว่ มกันว่าเม่ือเลน่ เสรจ็ แล้วจะต้องจดั เก็บ
อปุ กรณ์ทกุ อย่างเข้าที่ให้เรยี บรอ้ ย

สภาพแวดล้อมนอกห้องเรยี น คือ การจัดสภาพแวดล้อมภายในอาณาบริเวณรอบ ๆ
สถานศึกษา รวมทัง้ จัดสนามเด็กเล่น พร้อมเครอ่ื งเล่นสนาม จัดระวังรักษาความปลอดภยั ภายในบรเิ วณ

60

สถานศกึ ษาและบรเิ วณรอบนอกสถานศึกษา ดแู ลรักษาความสะอาด ปลกู ต้นไมใ้ ห้ความร่มรืน่ รอบๆ
บริเวณสถานศึกษา สิง่ ต่างๆเหล่านี้เปน็ ส่วนหนึ่งทส่ี ง่ ผลต่อการเรียนรแู้ ละพฒั นาการของเด็ก

บริเวณสนามเดก็ เลน่ ต้องจัดให้สอดคล้องกับหลักสตู ร ดังน้ี

สนามเดก็ เล่น มีพื้นผิวหลายประเภท เชน่ ดิน ทราย หญ้า พืน้ ที่สาหรับเลน่ ของเลน่ ที่มี
ล้อ รวมทั้งทรี่ ม่ ท่ีโลง่ แจ้ง พืน้ ดนิ สาหรับขดุ ทีเ่ ลน่ นา้ บ่อทราย พร้อมอุปกรณ์ประกอบการเล่น เครื่องเล่น
สนามสาหรบั

ปีนป่าย ทรงตัว ฯลฯ ทัง้ นตี้ อ้ งไมต่ ิดกับบรเิ วณท่มี ีอันตราย ต้องหมนั่ ตรวจตราเครื่องเล่นใหอ้ ยู่ในสภาพ
แข็งแรง ปลอดภัยอยู่เสมอ และหมัน่ ดแู ลเร่อื งความสะอาด

ที่นั่งเล่นพกั ผอ่ น จดั ท่ีน่ังไวใ้ ต้ต้นไม้มรี ่มเงา อาจใชก้ จิ กรรมกลุ่มยอ่ ย ๆ หรอื กจิ กรรมที่
ต้องการความสงบ หรืออาจจดั เปน็ ลานนิทรรศการให้ความรู้แก่เด็กและผปู้ กครองบริเวณธรรมชาติ
ปลูกไมด้ อก ไมป้ ระดับ พชื ผกั สวนครัว หากบรเิ วณสถานศึกษา มไี ม่มากนัก อาจปลูกพืชในกระบะหรือ
กระถาง

สื่อและแหล่งเรียนรู้
สื่อประกอบการจัดกิจกรรมเพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยท้ังทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ

สติปัญญา ควรมีสอ่ื ทั้งที่เป็นประเภท ๒ มิติ และ/หรอื ๓ มติ ิ ที่เป็นส่อื ของจริง สอ่ื ธรรมชาติ สอ่ื ที่อยู่
ใกล้ตัวเด็ก ส่ือสะท้อนวฒั นธรรม สื่อที่ปลอดภัยต่อตัวเด็ก ส่ือเพ่ือพัฒนาเด็กในด้านต่างๆให้ครบทุกด้าน
สื่อท่ีเอื้อให้เด็กเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า โดยการจัดการใช้ส่ือเริ่มต้นจาก สื่อของจริง ภาพถ่าย
ภาพโครงรา่ ง และ สัญลักษณ์ ท้ังนี้การใช้สอื่ ตอ้ งเหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ ความแตกต่างระหว่างบุคคล
ความสนใจและความต้องการของเดก็ ทีห่ ลากหลาย ตวั อยา่ งสอ่ื ประกอบการจดั กิจกรรม มีดงั นี้

กิจกรรมเสรี /การเล่นตามมุม

๑. มุมบทบาทสมมติ อาจจัดเปน็ มุมเล่น ดงั น้ี

๑.๑ มุมบา้ น

❖ ของเลน่ เครื่องใชใ้ นครัวขนาดเล็ก หรอื ของจาลอง เชน่ เตา กระทะ ครก กาน้า
เขยี ง มีดพลาสตกิ หม้อ จาน ช้อน ถ้วยชาม กะละมงั ฯลฯ

❖ เครื่องเล่นตุ๊กตา เสื้อผา้ ตกุ๊ ตา เตยี ง เปลเด็ก ตุ๊กตา
❖ เครื่องแตง่ บา้ นจาลอง เช่น ชดุ รับแขก โต๊ะเคร่ืองแป้ง หมอนอิง กระจกขนาดเหน็ เต็มตัว

หวี ตลบั แปง้ ฯลฯ

❖ เคร่อื งแตง่ กายบุคคลอาชีพต่าง ๆ ทใ่ี ช้แล้ว เชน่ ชดุ เครือ่ งแบบทหาร ตารวจ
ชุดเส้อื ผ้าผใู้ หญ่ชายและหญิง รองเทา้ กระเปา๋ ถือที่ไม่ใช้แล้ว ฯลฯ

❖ โทรศพั ท์ เตารีดจาลอง ทรี่ ีดผา้ จาลอง
❖ ภาพถ่ายและรายการอาหาร

61

๑.๒ มุมร้านค้า
❖ กลอ่ งและขวดผลิตภัณฑ์ต่างๆทใ่ี ช้แล้ว
❖ อปุ กรณ์ประกอบการเลน่ เช่น เครือ่ งคิดเลข ลกู คดิ ธนบัตรจาลอง ฯลฯ

๒. มมุ บล็อก
❖ ไมบ้ ล็อกหรือแทง่ ไม้ท่ีมีขนาดและรปู ทรงต่างๆกัน จานวนตง้ั แต่ ๕๐ ชิน้ ขนึ้ ไป
❖ ของเล่นจาลอง เช่น รถยนต์ เครือ่ งบิน รถไฟ คน สตั ว์ ต้นไม้ ฯลฯ
❖ ภาพถา่ ยตา่ งๆ
- ทีจ่ ดั เกบ็ ไมบ้ ล็อกหรือแท่งไม้อาจเปน็ ชนั้ ลงั ไมห้ รือพลาสติก แยกตามรูปทรง ขนาด

๓. มุมหนงั สือ
❖ หนังสอื ภาพนทิ าน สมดุ ภาพ หนังสือภาพท่ีมีคาและประโยคส้นั ๆพร้อมภาพ
❖ ชั้นหรอื ทว่ี างหนงั สอื
❖ อุปกรณ์ตา่ ง ๆ ทใ่ี ชใ้ นการสรา้ งบรรยากาศการอา่ น เชน่ เสอ่ื พรม หมอน ฯลฯ
❖ สมดุ เซน็ ยมื หนังสือกลบั บา้ น
❖ อุปกรณ์สาหรบั การเขียน
❖ อุปกรณ์เสริม เชน่ เครอ่ื งเล่นเทป ตลับเทปนทิ านพรอ้ มหนังสอื นทิ าน หูฟงั ฯลฯ

๔. มมุ วิทยาศาสตร์ หรือมุมธรรมชาตศิ ึกษา

❖ วสั ดุตา่ ง ๆ จากธรรมชาติ เช่น เมล็ดพชื ตา่ ง ๆ เปลอื กหอย ดนิ หิน แร่ ฯลฯ
❖ เครื่องมอื เครือ่ งใช้ในการสารวจ สงั เกต ทดลอง เช่น แวน่ ขยาย แมเ่ หล็ก เขม็ ทศิ

เครอื่ งชั่ง ฯลฯ

กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ ควรมวี สั ดุ อปุ กรณ์ ดงั น้ี
๑. การวาดภาพและระบายสี
- สีเทยี นแท่งใหญ่ สีไม้ สีชอลก์ สีน้า
- พูก่ นั ขนาดใหญ่ (ประมาณเบอร์ ๑๒ )
- กระดาษ
- เสื้อคลมุ หรือผา้ กันเปื้อน

๒. การเลน่ กับสี
❖ การเป่าสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สีน้า
❖ การหยดสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ พู่กัน สีนา้
❖ การพับสี มี กระดาษ สนี า้ พู่กัน
❖ การเทสี มี กระดาษ สีนา้
❖ การละเลงสี มี กระดาษ สีน้า แปง้ เปยี ก

๓. การพมิ พ์ภาพ

❖ แมพ่ ิมพ์ตา่ ง ๆ จากของจรงิ เชน่ น้ิวมอื ใบไม้ ก้านกล้วย ฯลฯ
❖ แมพ่ ิมพจ์ ากวสั ดอุ น่ื ๆ เช่น เชอื ก เสน้ ดา้ ย ตรายาง ฯลฯ
❖ กระดาษ ผา้ เชด็ มอื สีโปสเตอร์ (สีนา้ สีฝุ่น ฯลฯ)
๔. การปน้ั เช่น ดนิ นา้ มนั ดนิ เหนยี ว แปง้ โดว์ แผ่นรองปน้ั แมพ่ ิมพ์รปู ตา่ ง ๆ ไม้นวดแปง้ ฯลฯ

62

๕. การพบั ฉีก ตดั ปะ เชน่ กระดาษ หรือวสั ดุอนื่ ๆทจี่ ะใชพ้ บั ฉีก ตดั ปะ กรรไกรขนาดเลก็
ปลายมน กาวนา้ หรอื แป้งเปียก ผา้ เชด็ มอื ฯลฯ

๖. การประดิษฐเ์ ศษวสั ดุ เชน่ เศษวสั ดตุ า่ ง ๆ มีกล่องกระดาษ แกนกระดาษ เศษผ้า เศษไหม
กาว กรรไกร สี ผ้าเชด็ มือ ฯลฯ

๗. การร้อย เชน่ ลกู ปดั หลอดกาแฟ หลอดดา้ ย ฯลฯ

๘. การสาน เชน่ กระดาษ ใบตอง ใบมะพรา้ ว ฯลฯ

๙. การเล่นพลาสตกิ สรา้ งสรรค์ พลาสตกิ ชิ้นเลก็ ๆ รปู ทรงต่าง ๆ ผูเ้ ล่นสามารถนามาตอ่ เปน็
รูปแบบตา่ ง ๆ ตามความต้องการ

๑๐.การสร้างรูป เช่น จากกระดานปักหมุด จากแป้นตะปูท่ีใช้หนังยางหรือเชือกผูกดึงให้เป็น
รูปรา่ งตา่ ง ๆ

เกมการศกึ ษา ตวั อย่างส่อื ประเภทเกมการศึกษามดี ังน้ี

๑. เกมจับคู่

❖ จับคู่รูปร่างทเ่ี หมือนกัน
❖ จบั คภู่ าพเงา
❖ จบั คู่ภาพทีซ่ ่อนอยู่ในภาพหลัก
❖ จับคู่สง่ิ ที่มีความสมั พนั ธ์กัน ส่งิ ที่ใชค้ ่กู ัน
❖ จบั คู่ภาพส่วนเต็มกับสว่ นยอ่ ย
❖ จบั คภู่ าพกับโครงร่าง
❖ จบั คู่ภาพช้ินสว่ นท่ีหายไป
❖ จบั คูภ่ าพทเ่ี ป็นประเภทเดียวกนั
❖ จับคภู่ าพที่ซ่อนกัน
❖ จับคภู่ าพสัมพันธแ์ บบตรงกนั ข้าม
❖ จบั คภู่ าพที่สมมาตรกัน
❖ จบั คแู่ บบอุปมาอุปไมย
❖ จับคแู่ บบอนุกรม
๒. เกมภาพตดั ตอ่

❖ ภาพตดั ต่อทสี่ มั พันธก์ ับหนว่ ยการเรยี นต่าง ๆ เชน่ ผลไม้ ผัก ฯลฯ
๓. เกมจดั หมวดหมู่

❖ ภาพส่งิ ตา่ ง ๆ ทนี่ ามาจัดเปน็ พวก ๆ
❖ ภาพเกี่ยวกบั ประเภทของใชใ้ นชวี ิตประจาวัน
❖ ภาพจดั หมวดหมตู่ ามรปู ร่าง สี ขนาด รูปทรงเรขาคณิต
๔. เกมวางภาพต่อปลาย (โดมิโน)

❖ โดมโิ นภาพเหมอื น
❖ โดมิโนภาพสมั พนั ธ์

63

๕. เกมเรยี งลาดับ

❖ เรียงลาดับภาพเหตุการณ์ต่อเนอื่ ง
❖ เรียงลาดบั ขนาด
๖. เกมศึกษารายละเอียดของภาพ

๗. เกมจบั ค่แู บบตารางสัมพันธ์

๘. เกมพน้ื ฐานการบวก

กิจกรรมเสริมประสบการณ์ /กจิ กรรมในวงกลม ตัวอย่างส่ือมีดังน้ี

๑.สือ่ ของจริงท่ีอยู่ใกล้ตัวและสื่อจากธรรมชาตหิ รือวสั ดุท้องถ่นิ เช่น ต้นไม้ ใบไม้ เปลอื กหอย
เสอื้ ผ้า ฯลฯ

๒. ส่อื ทีจ่ าลองขึน้ เช่น ลกู โลก ตุก๊ ตาสตั ว์ ฯลฯ
๓. ส่ือประเภทภาพ เช่น ภาพพลิก ภาพโปสเตอร์ หนังสือภาพ ฯลฯ
๔. สือ่ เทคโนโลยี เชน่ วิทยุ เครอื่ งบันทึกเสียง เครื่องขยายเสียง โทรศพั ท์

กจิ กรรมกลางแจ้ง ตัวอย่างส่ือมดี งั น้ี

๑. เครอื่ งเล่นสนาม เช่น เคร่อื งเลน่ สาหรับปนี ปา่ ย เครื่องเลน่ ประเภทล้อเลอื่ น ฯลฯ
๒. ท่เี ลน่ ทราย มที รายละเอียด เคร่ืองเลน่ ทราย เคร่อื งตวง ฯลฯ
๓. ที่เล่นน้า มีภาชนะใส่น้าหรืออ่างน้าวางบนขาตั้งทม่ี ั่นคง ความสูงพอทเ่ี ด็กจะยนื ไดพ้ อดี เสื้อ
คลุมหรือผ้ากนั เปื้อนพลาสติก อปุ กรณ์เล่นน้า เชน่ ถ้วยตวง ขวดต่างๆ สายยาง กรวยกรอกน้า ตุ๊กตายาง
ฯลฯ
กจิ กรรมเคล่อื นไหวและจังหวะ ตวั อย่างส่อื มีดังน้ี
๑. เครอ่ื งเคาะจังหวะ เช่น ฉิง่ เหลก็ สามเหลย่ี ม กรบั รามะนา กลอง ฯลฯอปุ กรณ์
ประกอบการเคลอ่ื นไหว เช่น หนังสอื พิมพ์ รบิ บน้ิ แถบผ้า หว่ ง
๒. หวาย ถงุ ทราย ฯลฯ

การเลอื กส่อื มีวธิ ีการเลอื กส่ือ ดงั น้ี
๑. เลือกให้ตรงกบั จดุ มุ่งหมายและเรื่องท่ีสอน
๒. เลือกให้เหมาะสมกบั วัยและความสามารถของเด็ก
๓. เลือกใหเ้ หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มของท้องถน่ิ ทเ่ี ดก็ อย่หู รอื สถานภาพของสถานศึกษา
๔. มวี ธิ กี ารใชง้ า่ ย และนาไปใชไ้ ดห้ ลายกิจกรรม
๕. มคี วามถูกต้องตามเนอ้ื หาและทันสมัย
๖. มีคุณภาพดี เชน่ ภาพชัดเจน ขนาดเหมาะสม ไม่ใช้สีสะท้อนแสง
๗. เลอื กสือ่ ท่เี ด็กเข้าใจง่ายในเวลาสั้น ๆ ไมซ่ ับซ้อน
๘. เลอื กสอื่ ท่สี ามารถสมั ผัสได้
๙. เลอื กสอ่ื เพ่ือใช้ฝกึ และสง่ เสริมการคิดเปน็ ทาเป็น และกลา้ แสดงความคดิ เหน็ ด้วยความมัน่ ใจ

64

การจดั หาสื่อ สามารถจดั หาไดห้ ลายวธิ ี คอื
๑. จัดหาโดยการขอยมื จากแหล่งต่างๆ เช่น ศูนย์ส่ือของสถานศึกษาของรฐั บาล หรอื

สถานศกึ ษาเอกชน ฯลฯ

๒.จัดซอ้ื สือ่ และเครอ่ื งเล่นโดยวางแผนการจดั ซ้ือตามลาดับความจาเป็น เพอื่ ให้สอดคล้องกับ
งบประมาณที่ทางสถานศึกษาสามารถจดั สรรใหแ้ ละสอดคล้องกบั แผนการจัดประสบการณ์

๓. ผลิตสื่อและเครื่องเล่นขึ้นใช้เองโดยใช้วัสดุท่ีปลอดภัยและหาง่ายเป็นเศษวัสดุเหลือใช้ ท่ีมีอยู่ใน
ท้องถ่ินน้ันๆ เช่น กระดาษแข็งจากลังกระดาษ รูปภาพจากแผ่นป้ายโฆษณา รูปภาพจากหนังสือนิตยสาร
ต่าง ๆ เป็นต้น

ข้นั ตอนการดาเนนิ การผลติ สอ่ื สาหรบั เด็ก มดี งั นี้
๑. สารวจความต้องการของการใชส้ ื่อให้ตรงกับจุดประสงค์ สาระการเรยี นรู้และกิจกรรมท่จี ดั
๒. วางแผนการผลิต โดยกาหนดจดุ ม่งุ หมายและรูปแบบของสอ่ื ให้เหมาะสมกบั วัยและความสามารถ
ของเด็ก สอ่ื นน้ั จะตอ้ งมีความคงทนแขง็ แรง ประณตี และสะดวกต่อการใช้
๓. ผลติ สอ่ื ตามรปู แบบท่เี ตรียมไว้
๔. นาส่ือไปทดลองใชห้ ลาย ๆ ครง้ั เพ่ือหาข้อดี ข้อเสียจะได้ปรับปรุงแก้ไขใหด้ ียิ่งขึ้น
๕. นาสือ่ ท่ปี รับปรุงแก้ไขแล้วไปใชจ้ รงิ

การใช้ส่อื ดาเนนิ การดังน้ี

๑.การเตรียมพร้อมก่อนใช้สื่อ มีขน้ั ตอน คอื

๑.๑ เตรยี มตวั ผู้สอน

❖ ผสู้ อนจะต้องศึกษาจุดมุ่งหมายและวางแผนว่าจะจดั กิจกรรมอะไรบ้าง
❖ เตรียมจัดหาสอ่ื และศึกษาวธิ ีการใชส้ อื่
❖ จัดเตรียมสือ่ และวัสดอุ น่ื ๆ ท่ีจะต้องใช้ร่วมกัน
❖ ทดลองใช้สอื่ กอ่ นนาไปใชจ้ รงิ

๑.๒ เตรียมตวั เดก็

❖ ศกึ ษาความร้พู ื้นฐานเดิมของเดก็ ให้สมั พันธก์ ับเรอ่ื งท่ีจะสอน
❖ เร้าความสนใจเดก็ โดยใชส้ ือ่ ประกอบการเรยี นการสอน
❖ ให้เดก็ มีความรบั ผิดชอบ ร้จู กั ใช้สอื่ อยา่ งสรา้ งสรรค์ ไม่ใช่ทาลาย

เลน่ แลว้ เกบ็ ใหถ้ ูกที่

๑.๓ เตรียมส่ือให้พรอ้ มกอ่ นนาไปใช้

❖ จดั ลาดบั การใชส้ อื่ วา่ จะใชอ้ ะไรก่อนหรือหลงั เพอ่ื ความสะดวกในการสอน
❖ ตรวจสอบและเตรยี มเครือ่ งมือใหพ้ ร้อมที่จะใช้ได้ทนั ที
❖ เตรยี มวัสดุอุปกรณท์ ่ีใช้รว่ มกับส่อื
๒.การนาเสนอสอ่ื เพอื่ ใหบ้ รรลผุ ลโดยเฉพาะใน กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ / กจิ กรรม
วงกลม / กิจกรรมกล่มุ ยอ่ ย ควรปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี
๒.๑ สรา้ งความพร้อมและเร้าความสนใจใหเ้ ด็กก่อนจัดกจิ กรรมทกุ ครั้ง

65

๒.๒ ใชส้ ่อื ตามลาดบั ขน้ั ของแผนการจัดกจิ กรรมท่ีกาหนดไว้
๒.๓ ไมค่ วรใหเ้ ด็กเหน็ สื่อหลายๆชนิดพร้อมๆกนั เพราะจะทาใหเ้ ด็กไมส่ นใจ

กจิ กรรมท่สี อน
๒.๔ ผสู้ อนควรยืนอยู่ด้านข้างหรอื ด้านหลงั ของส่ือที่ใช้กบั เดก็

ผูส้ อนไมค่ วรยนื หนั หลงั ใหเ้ ด็ก จะตอ้ งพดู คุยกับเด็กและสังเกตความสนใจ
ของเด็ก พร้อมท้ังสารวจข้อบกพร่องของสื่อท่ีใช้ เพื่อนาไปปรับปรุงแก้ไข
ให้ดขี น้ึ
๒.๕ เปิดโอกาสให้เดก็ ได้รว่ มใช้สือ่

ข้อควรระวังในการใช้ส่ือการเรียนการสอน การใช้ส่อื ในระดบั ปฐมวัยควรระวังในเรอื่ งต่อไปน้ี
๑.วัสดุที่ใช้ ต้องไม่มพี ษิ ไมห่ ัก และแตกงา่ ย มีพื้นผวิ เรียบ ไมเ่ ปน็ เส้ยี น
๒.ขนาด ไมค่ วรมีขนาดใหญเ่ กินไป เพราะยากตอ่ การหยบิ ยก อาจจะตกลงมาเสยี หาย

แตก เป็นอนั ตรายต่อเดก็ หรอื ใช้ไมส่ ะดวก เช่น กรรไกรขนาดใหญ่ โต๊ะ เกา้ อ้ที ใ่ี หญแ่ ละสงู เกินไป และ
ไมค่ วรมขี นาดเลก็ เกินไป เด็กอาจจะนาไปอมหรอื กลนื ทาให้ติดคอหรือไหลลงท้องได้ เชน่ ลกู ปดั เลก็
ลูกแก้วเล็ก ฯลฯ

๓. รปู ทรง ไม่เปน็ รูปทรงแหลม รปู ทรงเหลี่ยม เป็นสัน
๔. น้าหนัก ไม่ควรมีน้าหนักมาก เพราะเด็กยกหรือหยิบไม่ไหว อาจจะตกลงมาเป็นอันตราย
ต่อตัวเด็ก
๕. สอ่ื หลีกเลยี่ งสือ่ ท่ีเปน็ อันตรายต่อตัวเด็ก เช่น สารเคมี วัตถไุ วไฟ ฯลฯ
๖. สี หลกี เลย่ี งสีท่ีเป็นอนั ตรายตอ่ สายตา เช่น สสี ะท้อนแสง ฯลฯ

การประเมินการใช้สือ่

ควรพิจารณาจากองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ผู้สอน เด็ก และส่ือ เพ่ือจะได้ทราบวา่ ส่ือนั้นช่วย
ให้เด็กเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใด จะได้นามาปรับปรุงการผลิตและการใช้สื่อให้ดียิ่งข้ึน โดยใช้วิธีสังเกต
ดังนี้

๑. ส่ือน้ันช่วยให้เดก็ เกิดการเรยี นรู้เพยี งใด
๒. เด็กชอบส่ือนั้นเพยี งใด
๓. สอื่ นน้ั ช่วยให้การสอนตรงกบั จุดประสงค์หรอื ไม่ ถกู ต้องตามสาระการเรียนรแู้ ละทนั สมัยหรือไม่
๔. ส่ือน้ันชว่ ยให้เดก็ สนใจมากน้อยเพยี งใด เพราะเหตุใด

การเกบ็ รกั ษา และซอ่ มแซมสือ่

การจัดเก็บสื่อเป็นการส่งเสริมให้เด็กฝึกการสังเกต การเปรียบเทียบ การจัดกลุ่ม ส่งเสริมความ
รบั ผิดชอบ ความมนี ้าใจ ช่วยเหลอื ผู้สอนไม่ควรใช้การเกบ็ สอ่ื เปน็ การลงโทษเด็ก โดยดาเนินการดังนี้

๑. เก็บสื่อให้เป็นระเบียบและเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะประเภทของส่ือ สื่อท่ีเหมือนกันจัดเก็บ
หรือจดั วางไว้ดว้ ยกนั

๒. วางส่ือในระดบั สายตาของเดก็ เพ่ือให้เดก็ หยบิ ใช้ จดั เก็บไดด้ ว้ ยตนเอง

66

๓. ภาชนะที่จัดเก็บสื่อควรโปร่งใส เพื่อให้เด็กมองเห็นส่ิงท่ีอยู่ภายในได้ง่ายและควรมีมือจับเพ่ือให้
สะดวกในการขนย้าย

๔. ฝกึ ให้เด็กร้คู วามหมายของรปู ภาพหรือสีที่เป็นสัญลักษณ์แทนหมวดหมู่ ประเภทส่ือ เพ่ือเด็ก
จะได้เก็บเข้าท่ีได้ถูกต้อง การใช้สัญลักษณ์ควรมีความหมายต่อการเรียนรู้ของเด็ก สัญลักษณ์ควรใช้ส่ือ
ของจรงิ ภาพถ่ายหรือสาเนา ภาพวาด ภาพโครงร่างหรอื ภาพประจุด หรอื บัตรคาตดิ คู่กับสัญลกั ษณ์อยา่ ง
ใดอย่างหน่งึ

๕.ตรวจสอบสื่อหลังจากที่ใช้แลว้ ทุกคร้งั วา่ มสี ภาพสมบรู ณ์ จานวนครบถ้วนหรอื ไม่
๖. ซอ่ มแซมสื่อชารุด และทาเติมส่วนท่ขี าดหายไปให้ครบชุด

การพฒั นาส่อื

การพัฒนาส่ือเพื่อใชป้ ระกอบการจัดกจิ กรรมในระดบั ปฐมวัยนัน้ ก่อนอ่นื ควรไดส้ ารวจข้อมลู
สภาพปญั หาตา่ งๆของส่ือทุกประเภททใ่ี ช้อย่วู ่ามีอะไรบ้างทจ่ี ะต้องปรบั ปรงุ แก้ไข เพ่ือจะไดป้ รบั เปล่ยี นให้
เหมาะสมกับความต้องการ

แนวทางการพัฒนาสอื่ ควรมีลกั ษณะเฉพาะ ดังน้ี
๑. ปรับปรุงส่ือให้ทันสมัยเขา้ กบั เหตุการณ์ ใช้ได้สะดวก ไม่ซบั ซ้อนเกินไป เหมาะสมกบั วัย
ของเด็ก
๒. รักษาความสะอาดของส่ือ ถา้ เปน็ วัสดทุ ล่ี า้ งน้าได้ เมื่อใชแ้ ลว้ ควรไดล้ า้ งเช็ด หรอื ปดั ฝนุ่ ให้
สะอาด เก็บไว้เปน็ หมวดหมู่ วางเป็นระเบียบหยบิ ใชง้ ่าย
๓. ถ้าเป็นส่อื ท่ผี สู้ อนผลิตขน้ึ มาใช้เองและผ่านการทดลองใชม้ าแลว้ ควรเขียนคู่มือประกอบการ
ใช้ส่ือน้ัน โดยบอกช่ือสื่อ ประโยชนแ์ ละวิธใี ชส้ ื่อ รวมทัง้ จานวนช้นิ ส่วนของสื่อในชดุ น้ันและเกบ็ คู่มอื ไว้ใน
ซองหรอื ถุง พร้อมสื่อท่ผี ลติ
๔. พัฒนาสือ่ ทส่ี ร้างสรรค์ ใช้ได้เอนกประสงค์ คือ เป็นได้ทั้งสอ่ื เสริมพัฒนาการ
และเปน็ ของเลน่ สนุกสนานเพลิดเพลนิ

แหล่งการเรียนรู้

โรงเรยี นบา้ นคลองก่มุ ไดแ้ บ่งประเภทของแหล่งเรยี นรู้ ไดด้ ังน้ี
๑. แหล่งเรียนรู้ประเภทบุคคล ได้แก่ วิทยากรหรือผู้เชียวชาญเฉพาะด้าน ท่ีจัดหามาเพ่ือให้
ความรู้ ความเข้าใจอย่างกระจ่างแก่เด็กโดยสอดคล้องกับเน้ือหาสาระการเรยี นรู้ต่างๆ ไดแ้ ก่

- เจ้าหน้าท่ีใน อบต.
- เจ้าหนา้ ที่สาธารณสุข
- พระสงฆ์
- พอ่ คา้ – แมค่ า้
- เจา้ หนา้ ท่ตี ารวจ
- ผู้ปกครอง
- ครู
- ภารโรง

67

- ฯลฯ

๒. แหลง่ เรียนรภู้ ายในชมุ ชน ได้แก่ แหลง่ ข้อมูลหรอื แหลง่ วิทยาการต่างๆ ท่อี ยู่ในชุมชน

มคี วามสมั พนั ธ์กบั เอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมและประเพณชี ่วยใหเ้ ดก็ สามารถเช่ือมโยงโลกภายในและโลก
ภายนอก (inner world & outer world) ได้ และสอดคล้องกบั วิถีการดาเนินชีวิตของเดก็ ปฐมวยั ได้แก่

- ห้องสมุดโรงเรยี น
- ห้องคอมพวิ เตอร์
- หอ้ งสื่อการจัดประสบการณ์ของศนู ย์เดก็ ปฐมวัย
- วดั ถ้าเขาชะอางคโ์ อน
- วัดป่าศาลาเขยี ว
- วัดสวนปา่
- นา้ ตกอ่างผักหนาม
- สถานีอนามยั เขาใหญ่
- สถานีอนามัยเขาชะอางค์
- สถานทท่ี าการกานนั ตาบลพลวงทอง
- องค์การบริหารส่วนตาบลพลวงทอง
- โรงพยาบาลบอ่ ทอง
- ร้านคา้ ในหมู่บ้าน
- รา้ นตัดผมชาย-หญงิ
- โรงผลติ ยาง

68

การประเมนิ พฒั นาการ

การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ ๓ – ๖ ปี เป็นการประเมินพัฒนาการทางด้านร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อตนเอง และเป็น ส่วนหนึ่งของ
กิจกรรมปกติท่ีจัดให้เด็กในแต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องนามาจัดทาสารนิทัศน์หรือ
จัดทาข้อมูลหลักฐานหรือเอกสารอย่างเป็นระบบ ด้วยการวบรวมผลงานสาหรับเด็กเป็นรายบุคคลท่ี
สามารถบอกเรื่องราวหรอื ประสบการณ์ท่ีเด็กได้รบั ว่าเดก็ เกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหนา้ เพียงใด ทั้งนี้
ให้นาข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กมาพิจารณา ปรับปรุงวางแผล การจัดกิจกรรม และส่งเสริมให้
เด็กแตล่ ะคนได้รบั การพัฒนาตามจุดหมายของหลกั สูตรอย่างตอ่ เนื่อง การประเมนิ พัฒนาการควรยึดหลัก
ดงั น้ี

๑. วางแผนการประเมินพฒั นาการอยา่ งเปน็ ระบบ
๒. ประเมนิ พัฒนาการเด็กครบทุกดา้ น
๓. ประเมินพฒั นาการเด็กเป็นรายบุคคลอย่างสมา่ เสมอตอ่ เนอื่ งตลอดปี
๔. ประเมนิ พฒั นาการตามสภาพจริงจากกิจกรรมประจาวนั ดว้ ยเครอื่ งมอื และวธิ กี ารท่ี

หลากหลาย ไม่ควรใช้แบบทดสอบ
๕. สรปุ ผลการประเมิน จัดทาขอ้ มูลและนาผลการประเมนิ ไปใช้พัฒนาเด็ก
สาหรบั วธิ ีการประเมนิ ทีเ่ หมาะสมและควรใชก้ บั เด็กอายุ ๓ – ๖ ปี ได้แก่ การสังเกต การบนั ทึก
พฤติกรรม การสนทนากับเด็ก การสัมภาษณ์ การวเิ คราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บอย่างมรี ะบบ

ประเภทของการประเมนิ พัฒนาการ
การพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของเด็ก ประกอบด้วย ๑) วัตถุประสงค์ (Objective) ซ่ึงตาม

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช.หมายถึง จุดหมายซึ่งเป็นมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัว
บ่งชี้และสภาพท่ีพึงประสงค์ ๒) การจดั ประสบการณการเรียนรู้ (Learning) ซึง่ เปน็ กระบวนการได้มาของ
ความรู้หรือทักษะผ่านการกระทาส่ิงต่างๆท่ีสาคัญตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกาหนดให้หรือท่ีเรียกว่า
ประสบการณ์สาคัญ ในการช่วยอธิบายให้ครูเข้าใจถึงประสบการณ์ทเี่ ด็กปฐมวัยตอ้ งทาเพอ่ื เรียนรู้สิ่งตา่ งๆ
รอบตัว และช่วยแนะผู้สอนในการสังเกต สนับสนุน และวางแผนการจัดกิจกรรมให้เด็กและ ๓) การ
ประเมินผล (Evaluation) เพ่ือตรวจสอบพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยท่ีคาดหวังให้เด็กเกิดข้ึนบน
พ้ืนฐานพัฒนาการตามวัยหรือความสามารถตามธรรมชาติในแตล่ ะระดบั อายุ เรียกว่า สภาพท่ีพงึ ประสงค์
ที่ใช้เป็นเกณฑ์สาคัญสาหรับการประเมินพัฒนาการเด็ก เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนา
คุณภาพเด็กทัง้ น้ปี ระเภทของการประเมนิ พัฒนาการ อาจแบ่งได้เปน็ ๒ ลักษณะ คือ

๑) แบ่งตามวัตถุประสงคข์ องการประเมิน
การแบง่ ตามวัตถปุ ระสงค์ของการประเมนิ แบง่ ได้ ๒ ประเภท ดงั น้ี
๑.๑) การประเมินความก้าวหน้าของเด็ก (Formative Evaluation) หรือการประเมินเพ่ือ
พัฒนา (Formative Assessment) หรือการประเมินเพื่อเรียน (Assessment for Learning) เป็นการ
ประเมินระหว่างการจัดระสบการณ์ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก
ในระหว่างทากิจกรรมประจาวัน/กิจวัตรประจาวันปกติอย่างต่อเน่ือง บันทึก วิเคราะห์ แปลความหมาย
ข้อมูลแล้วนามาใช้ในการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของเด็ก และการจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้ของผู้สอน การประเมินพัฒนาการกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้สอนจึงเป็นเรื่องที่
สัมพันธ์กันหากขาดส่ิงหน่ึงส่ิงใดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ก็ขาดประสิทธิภาพ เป็นการประเมินผล

69

เพ่ือให้รู้จุดเด่น จุดที่ควรส่งเสริม ผู้สอนต้องใช้วิธีการและเครื่องมือประเมินพัฒนาการที่หลากหลาย เช่น
การสังเกต การสัมภาษณ์ การรวบรวมผลงานท่ีแสดงออกถึงความก้าวหน้าแต่ละด้านของเด็กเป็น
รายบุคคล การใช้แฟ้มสะสมงาน เพื่อให้ได้ข้อสรุปของประเด็นท่ีกาหยด ส่ิงท่ีสาคัญท่ีสุดในการประเมิน
ความก้าวหน้าคือ การจัดประสบการณ์ให้กับเด็กในลักษณะการเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับ
ประสบการณ์ใหม่ทาให้การเรียนรู้ของเด็กเพ่ิมพูน ปรับเปล่ียนความคิด ความเข้าใจเดิมท่ีไม่ถูกต้อง
ตลอดจนการใหเ้ ดก็ สามารถพฒั นาการเรียนรขู้ องตนเองได้

๑.๒) การประเมินผลสรุป (Summatie Evaluation) หรือ การประเมินเพื่อตัดสินผลพัฒนาการ
(Summatie Assessment) หรือการประเมินสรุปผลของการเรียนรู้ (Assessment of Learning) เป็น
การประเมินสรุปพัฒนาการ เพ่ือตัดสินพัฒนาการของเด็กว่ามีความพร้อมตามมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึง
ประสงค์ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยหรือไม่ เพ่ือเป็นการเช่ือมต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกับชั้น
ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑

ดังน้ัน ผู้สอนจึงควรให้ความสาคัญกับการประเมินความก้าวหน้าของเด็กในระดับห้องเรียน
มากกวา่ การประเมินเพือ่ ตัดสนิ ผลพฒั นาการของเด็กเมื่อสิ้นภาคเรียนหรือสิ้นปกี ารศกึ ษา

๒.แบ่งตามระดับของการประเมนิ
การแบ่งตามระดับของการประเมิน แบง่ ไดเ้ ป็น ๒ ประเภท
๒.๑) การประเมินพัฒนาการระดับชั้นเรียน เป็นการประเมินพัฒนาการที่อยู่ในกระบวนการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ ผู้สอนดาเนินการเพื่อพัฒนาเด็กและตัดสินผลการพัฒนาการด้านร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา จากกิจกรรมหลัก/หน่วยการเรียนรู้(Unit) ท่ีผู้สอนจัดประสบการณ์
ใหก้ ับเดก็ ผูส้ อนประเมนิ ผลพัฒนาการตามสภาพทพี่ ึงประสงค์และตวั บ่งชท้ี ี่กาหนดเป็นเป้าหมายในแตล่ ะ
แผนการจัดประสบการณ์ของหน่วยการเรียนรู้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น การสังเกต การสนทนา การสัมภาษณ์
การรวบรวมผลงานทีแ่ สดงออกถึงความก้าวหนา้ แต่ละด้านของเด็กเป็นรายบคุ คล การแสดงกริยาอาการ
ต่างๆของเด็กตลอดเวลาที่จัดประสบการณ์เรียนรู้ เพื่อตรวจสอบและประเมินวา่ เด็กบรรลุตามสภาพท่ีพึง
ประสงค์ละตัวบ่งชี้ หรือมีแนวโน้มว่าจะบรรลุสภาพท่ีพึงประส งค์และตัวบ่งชี้เพียงใด แล้วแก้ไข
ข้อบกพร่องเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ี ผู้สอนควรสรุปผลการประเมินพัฒนาการว่า เด็กมีผลอันเกิด
จากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้หรือไม่ และมากน้อยเพียงใด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมหรือ
สะสมผลการประเมินพัฒนาการในกิจกรรมประจาวัน/กิจวัตรประจาวัน/หน่วยการเรียนรู้ หรืผลตาม
รูปแบบการประเมินพัฒนาการท่ีสถานศึกษากาหนด เพ่ือนามาเป็นข้อมูลใช้ปรังปรุงการจัดประสบการณ์
การเรยี นรู้ และเปน็ ขอ้ มูลในการสรุปผลการประเมนิ พัฒนาในระดับสถานศึกษาต่อไปอีกด้วย
๒.๒) การประเมินพัฒนาการระดับสถานศึกษา เป็นการตรวจสอบผลการประเมินพัฒนาการของ
เด็กเป็นรายบุคคลเป็นรายภาค/รายปี เพ่ือให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับการจัดการศึกษาของเด็กในระดับปฐมวัย
ของสถานศึกษาว่าส่งผลตาการเรียนรู้ของเด็กตามเป้าหมายหรือไม่ เด็กมีสิ่งที่ต้องการได้รับการพัฒนาใน
ด้านใด รวมทั้งสามารถนาผลการประเมินพัฒนาการของเด็กในระดับสถานศึกษาไปเป็นข้อมูลและ
สารสนเทศในการปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย โครงการหรือวิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ตลอดจนการจัดแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาตามแผนการประกันคุณภาพ
การศึกษาและการรายงานผลการพัฒนาคุณภาพเด็กต่อผู้ปกครอง นาเสนอคณะกรรมการถานศึกษาขั้น

70

พื้นฐานรับทราบ ตลอดจนเผยแพร่ต่อสาธรณชน ชุมชน หรือหน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานต้นสังกัด
หนว่ ยงานที่เกย่ี วข้องต่อไป

อนึ่ง สาหรบั การประเมนิ พัฒนาการเดก็ ปฐมวัยในระดับเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาหรือระดับประเทศน้ัน
หากเขตพื้นที่การศึกษาใดมีความพร้อม อาจมีการดาเนินงานในลักษณะของการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเด็ก
ปฐมวัยเข้ารับการประเมินก็ได้ ทั้งนี้ การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยขอให้ถือปฏิบัติตามหลักการการ
ประเมนิ พัฒนาการตามหลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐

บทบาทหนา้ ท่ีของผเู้ ก่ยี วข้องในการดาเนินงานประเมินพัฒนาการ
การดาเนินงานประเมินพัฒนาการของสถานศึกษาน้ัน ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เก่ียวข้องเข้ามามีส่วน

ร่วมในการประเมินพัฒนาการและร่วมรับผิดชอบอย่างเหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษาแต่ละขนาด
ดังนี้

ผู้ปฏบิ ตั ิ บทบาทหนา้ ท่ีในการประเมนิ พฒั นาการ
ผสู้ อน
๑. ศกึ ษาหลักสตู รสถานศึกษาปฐมวยั และแนวการปฏิบตั ิการประเมินพัฒนาการ
ตามหลักสตู รสถานศึกษาปฐมวัย
๒. วิเคราะห์และวางแผนการประเมนิ พัฒนาการที่สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู/้
กจิ กรรมประจาวัน/กจิ วตั รประจาวัน
๓. จดั ประสบการณต์ ามหน่วยการเรียนรู้ ประเมนิ พัฒนาการ และบนั ทึกผลการ
ประจาวัน/กิจวัตรประจาวนั
๔. รวบรวมผลการประเมนิ พัฒนาการ แปลผลและสรปุ ผลการประเมนิ เม่ือส้ินภาค
เรียนและสนิ้ ปกี ารศึกษา
๕. สรปุ ผลการประเมนิ พฒั นาการระดับช้ันเรยี นลงในสมุดบันทกึ ผลการประเมิน
พฒั นาการประจาชัน้
๖. จดั ทาสมุดรายงานประจาตวั นกั เรียน
๗. เสนอผลการประเมินพัฒนาการตอ่ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาลงนามอนมุ ัติ

ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา ๑.กาหนดผู้รับผดิ ชอบงานประเมินพัฒนาการตามหลกั สูตร และวางแนวทาง
ปฏิบตั กิ ารประเมินพฒั นาการเด็กปฐมวยั ตามหลักสตู รสถานศกึ ษาปฐมวยั
๒. นิเทศ กากับ ตดิ ตามใหก้ ารดาเนินการประเมนิ พฒั นาการใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย
๓. นาผลการประเมนิ พัฒนาการไปจดั ทารายงานผลการดาเนนิ งานกาหนด
นโยบายและวางแผนพฒั นาการจัดการศึกษาปฐมวยั

พอ่ แม่ ผูป้ กครอง ๑. ใหค้ วามร่วมมอื กับผสู้ อนในการประเมนิ พฤตกิ รรมของเด็กที่สงั เกตไดจ้ ากท่ี
บ้านเพ่อื เปน็ ข้อมลู ประกอบการแปลผลทเี่ ทย่ี งตรงของผสู้ อน
๒. รับทราบผลการประเมินของเด็กและสะท้อนให้ข้อมูลย้อนกลับท่เี ปน็ ประโยชน์
ในการส่งเสรมิ และพัฒนาเด็กในปกครองของตนเอง
๓. ร่วมกบั ผูส้ อนในการจัดประสบการณ์หรือเปน็ วิทยากรท้องถ่นิ

71

ผ้ปู ฏิบตั ิ บทบาทหนา้ ที่ในการประเมินพัฒนาการ

คณะกรรมการ ๑. ให้ความเหน็ ชอบและประกาศใชห้ ลักสูตรสถานศึกษาปฐมวยั และแนวปฏบิ ตั ใิ น
สถานศกึ ษาข้ัน การประเมนิ พฒั นาการตามหลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย
พื้นฐาน ๒. รบั ทราบผลการประเมินพัฒนาการของเด็กเพื่อการประกนั คณุ ภาพภายใน

สานักงานเขตพื้นที่ ๑. สง่ เสริมการจดั ทาเอกสารหลกั ฐานวา่ ดว้ ยการประเมนิ พัฒนาการของเด็ก
การศกึ ษา ปฐมวยั ของสถานศึกษา
๒. ส่งเสรมิ ให้ผู้สอนในสถานศึกษามีความรู้ ความเขา้ ใจในแนวปฏิบตั ิการประเมนิ
พฒั นาการตามมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ตามหลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวยั
ตลอดจนความเข้าใจในเทคนิควธิ กี ารประเมินพัฒนาการในรูปแบบตา่ งๆโดยเนน้
การประเมนิ ตามสภาพจรงิ
๓. ส่งเสริม สนบั สนุนให้สถานศึกษาพฒั นาเคร่ืองมือพัฒนาการตามมาตรฐาน
คุณลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ตามหลักสตู รการศึกษาปฐมวัยและการจัดเกบ็ เอกสาร
หลกั ฐานการศึกษาอยา่ งเปน็ ระบบ
๔. ให้คาปรึกษา แนะนาเกี่ยวกบั การประเมนิ พัฒนาการและการจดั ทาเอกสาร
หลักฐาน
๕. จดั ให้มีการประเมนิ พัฒนาการเดก็ ท่ดี าเนนิ การโดยเขตพ้ืนท่ีการศึกษาหรือ
หนว่ ยงานตน้ สังกัดและให้ความร่วมมอื ในการประเมนิ พฒั นาการระดับประเทศ

แนวปฏิบัติการประเมินพฒั นาการ
การประเมินพฒั นาการเดก็ ปฐมวัยเป็นกจิ กรรมท่สี อดแทรกอยใู่ นการจัดประสบการณ์ทุกขน้ั ตอน

โดยเร่มิ ตง้ั แต่การประเมินพฤติกรรมของเด็กก่อนการจดั ประสบการณ์ การประเมนิ พฤติกรรมเด็กขณะ
ปฏิบัติกจิ รรม และการประเมินพฤติกรรมเด็กเม่ือสน้ิ สดุ การปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ทงั้ นี้ พฤติกรรมการเรยี นรู้
และพัฒนาการดา้ นตา่ งๆ ของเด็กท่ีได้รบั การประเมินน้นั ต้องเป็นไปตามมาตรฐานคณุ ลักษณะที่พงึ
ประสงค์ ตวั บง่ ชี้ และสภาพท่ีพงึ ประสงค์ของหลกั สูตรสถานศกึ ษาระดบั ปฐมวัยทผี่ ูส้ อนวางแผนและ
ออกแบบไว้ การประเมนิ พัฒนาการจึงเปน็ เครื่องมอื สาคัญทจี่ ะช่วยใหก้ ารเรยี นรู้ของเด็กบรรลตุ าม
เป้าหมายเพื่อนาผลการประเมินไปปรบั ปรุง พัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และใช้เป็นข้อมลู
สาหรบั การพัฒนาเด็กต่อไป สถานศึกษาควรมีกระบวนการประเมินพฒั นาการและการจัดการอย่างเป็น
ระบบสรปุ ผลการประเมินพัฒนาการทตี่ รงตามความรู้ ความสามารถ ทักษะและพฤตกิ รรมทแ่ี ท้จรงิ ของ
เด็กสอดคล้องตามหลกั การประเมินพฒั นาการ รวมทั้งสะท้อนการดาเนินงานการประกันคุณภาพภายใน
ของสถานศกึ ษาอยา่ งเปน็ ระบบและตอ่ เนอ่ื ง แนวปฏบิ ัติการประเมนิ พฒั นาการเด็กปฐมวัยของ
สถานศึกษา มดี งั นี้

72

๑. หลักการสาคญั ของการดาเนนิ การประเมนิ พัฒนาการตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศกั ราช
๒๕๖๐

สถานศึกษาท่จี ัดการศึกษาปฐมวัยควรคานงึ ถึงหลักสาคัญของการดาเนนิ งานการประเมนิ
พัฒนาการตามหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั สาหรบั เดก็ ปฐมวัยอายุ ๓-๖ ปี ดังนี้

๑.๑ ผ้สู อนเป็นผู้รบั ผดิ ชอบการประเมินพัฒนาการเดก็ ปฐมวัย โดยเปิดโอกาสใหผ้ ู้ทเี่ ก่ียวข้องมี
สว่ นรว่ ม

๑.๒ การประเมินพฒั นาการ มจี ุดมุ่งหมายของการประเมินเพือ่ พฒั นาความกา้ วหน้าของเดก็ และ
สรุปผลการประเมนิ พฒั นาการของเด็ก

๑.๓ การประเมนิ พัฒนาการต้องมีความสอดคล้องและครอบคลมุ มาตรฐานคุณลกั ษณะที่พึง
ประสงค์ ตัวบง่ ช้ี สภาพท่ีพึงประสงคแ์ ต่ละวยั ซ่ึงกาหนดไวใ้ นหลกั สูตรสถานศึกษาปฐมวยั

๑.๔ การประเมนิ พัฒนาการเปน็ ส่วนหน่งึ ของกระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรตู้ ้อง
ดาเนนิ การดว้ ยเทคนิควิธกี ารท่หี ลากหลาย เพื่อใหส้ ามารถประเมินพัฒนาการเด็กได้อย่างรอบด้านสมดุล
ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสตปิ ัญญา รวมท้ังระดบั อายุของเด็ก โดยตัง้ อยู่บนพน้ื ฐานของ
ความเที่ยงตรง ยุตธิ รรมและเช่ือถือได้

๑.๕ การประเมินพัฒนาการพิจารณาจากพัฒนาการตามวยั ของเด็ก การสงั เกตพฤติกรรมการ
เรียนรแู้ ละการร่วมกจิ กรรม ควบคไู่ ปในกระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรูต้ ามความเหมาะสมของ
แต่ละระดับอายุ และรูปแบบการจดั การศกึ ษา และต้องดาเนนิ การประเมนิ อยา่ งตอ่ เน่ือง

๑.๖ การประเมนิ พัฒนาการต้องเปดิ โอกาสใหผ้ ู้มสี ่วนเกย่ี วข้องทุกฝา่ ยไดส้ ะท้อนและตรวจสอบ
ผลการประเมินพฒั นาการ

๑.๗ สถานศึกษาควรจัดทาเอกสารบันทกึ ผลการประเมนิ พัฒนาการของเด็กปฐมวยั ในระดับชั้น
เรียนและระดบั สถานศึกษา เช่น แบบบันทกึ การประเมินพัฒนาการตามหน่วยการจดั ประสบการณ์ สมุด
บันทึกผลการประเมนพฒั นาการประจาชน้ั เพ่ือเป็นหลักฐานการประเมินและรายงานผลพัฒนาการและ
สมดุ รายงานประจาตวั นักเรยี น เพือ่ เปน็ การสื่อสารข้อมูลการพฒั นาการเด็กระหวา่ งสถานศกึ ษากบั บา้ น

๒. ขอบเขตของการประเมนิ พฒั นาการ
หลักสตู รการศึกษาปฐมวัย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ไดก้ าหนดเป้าหมายคณุ ภาพของเด็กปฐมวยั เปน็

มาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ซึง่ ถอื เป็นคุณภาพลกั ษณะที่พึงประสงค์ท่ีต้องการให้เกิดข้ึนตัวเดก็ เมือ่
จบหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั คณุ ลักษณะที่ระบุไว้ในมาตรฐานคุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์ถอื เปน็ สง่ิ จาเปน็
สาหรบั เด็กทกุ คน ดงั น้นั สถานศึกษาและหน่วยงานทเ่ี กี่ยวขอ้ งมีหนา้ ท่ีและความรบั ผิดชอบในการจัด
การศึกษาเพ่อื พัฒนาเด็กใหม้ ีคุณภาพมาตรฐานที่พงึ ประสงค์กาหนด ถือเปน็ เครือ่ งมอื สาคญั ในการ
ขบั เคล่อื นและพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัย แนวคิดดงั กล่าวอยู่บนฐานความเชือ่ ทว่ี า่ เด็กทุกคน
สามารถพัฒนาอย่างมีคุณภาพและเทา่ เทียมได้ ขอบเขตของการประเมินพฒั นาการประกอบด้วย

๒.๑ สิ่งทจ่ี ะประเมนิ
๒.๒ วธิ ีและเครื่องมอื ท่ีใช้ในการประเมนิ
๒.๓ เกณฑก์ ารประเมินพฒั นาการ

73

๒.๑ สิ่งท่ีจะประเมิน
การประเมินพัฒนาการสาหรับเดก็ อายุ ๓-๖ ปี มีเปา้ หมายสาคญั คือ มาตรฐาน

คุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์จานวน ๑๒ ขอ้ ดังนี้
๑. พฒั นาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย ๒ มาตรฐาน คอื
มาตรฐานที่ ๑ รา่ งกายเจรญิ เตบิ โตตามวยั และมสี ุขนสิ ยั ท่ดี ี
มาตรฐานที่ ๒ กล้ามเน้ือใหญ่และกล้ามเน้ือเลก็ แข็งแรงใชไ้ ด้อยา่ งคล่องแคล่วและ

ประสานสัมพนั ธ์กัน
๒. พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบดว้ ย ๓ มาตรฐาน คอื
มาตรฐานท่ี ๓ มสี ขุ ภาพจิตดีและมีความสุข
มาตรฐานท่ี ๔ ชน่ื ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคลอ่ื นไหว
มาตรฐานที่ ๕ มีคุณธรรม จริยธรรม และมจี ติ ใจที่ดีงาม
๓. พัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย ๓ มาตรฐาน คือ
มาตรฐานท่ี ๖ มที กั ษะชีวติ และปฏิบัตติ นตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
มาตรฐานท่ี ๗ รกั ธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม และความเป็นไทย
มาตรฐานท่ี ๘ อย่รู ว่ มกบั ผู้อื่นไดอ้ ยา่ งมีความสขุ และปฏบิ ัติตนเป็นสมาชกิ ท่ดี ีของสังคม

ในระบอบประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข
๔. พฒั นาการดา้ นสติปัญญา ประกอบด้วย ๔ มาตรฐาน คือ
มาตรฐานที่ ๙ ใช้ภาษาส่อื สารไดเ้ หมาะสมกับวัย
มาตรฐานท่ี ๑๐ มคี วามสามารถในการคิดที่เป็นพ้นื ฐานในการเรยี นรู้
มาตรฐานที่ ๑๑ มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
มาตรฐานท่ี ๑๒ มเี จตคตทิ ี่ดีต่อการเรยี นรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้

เหมาะสมกับวยั

ส่ิงทจ่ี ะประเมนิ พัฒนาการของเด็กปฐมวัยแตล่ ะดา้ น มดี ังน้ี
ดา้ นรา่ งกาย ประกอบด้วย การประเมนิ การมีน้าหนักและสว่ นสูงตามเกณฑ์ สุขภาพอนามัย สุข

นิสยั ที่ดี การร้จู ักรกั ษาความปลอดภัย การเคล่อื นไหวและการทรงตวั การเลน่ และการออกกาลังกาย และ
การใช้มืออยา่ งคล่องแคล่วประสานสมั พนั ธ์กัน

ดา้ นอารมณ์ จติ ใจ ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการแสดงออกทางอารมณ์อย่าง
เหมาะสมกบั วัยและสถานการณ์ ความรู้สกึ ท่ดี ีตอ่ ตนเองและผ้อู น่ื มีความรูส้ กึ เห็นอกเห็นใจผู้อ่นื ความ
สนใจ/ความสามารถ/และมีความสุขในการทางานศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ความรับผดิ ชอบใน
การทางาน ความซ่อื สตั ย์สจุ ริตและรูส้ กึ ถูกผิด ความเมตตากรุณา มนี ้าใจและชว่ ยเหลอื แบง่ ปนั ตลอดจน
การประหยัดอดออม และพอเพยี ง

ด้านสังคม ประกอบด้วย การประเมินความมีวินยั ในตนเอง การช่วยเหลือตนเองในการปฏิบตั ิ
กิจวตั รประจาวัน การระวงั ภัยจากคนแปลกหน้า และสถานการณ์ท่เี สี่ยงอันตราย การดูแลรักษาธรรมชาติ
และสิง่ แวดล้อม การมีสัมมาคารวะและมารยาทตามวฒั นธรรมไทย รักษาความเปน็ ไทย การยอมรับความ
เหมอื นและความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล การมสี มั พันธท์ ่ีดีกับผอู้ นื่ การปฏบิ ัติตนเบื้องตน้ ในการเป็น
สมาชิกท่ีดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข


Click to View FlipBook Version