รายงานการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะดานการอานออกเสียงภาษาอังกฤษสําหรับนักเรียนระดับ ชั้นประถมศึกษาปที่ 4 โดยใชกิจกรรมการเรียนรูรูปแบบ MIA โดย 1. นางสาวฐานิตา ตันเต็ม รหัส 64031020112 2. นางสาวณัฐสุดา มีมาสุข รหัส 64031020115 3. นางสาวปริญทิพย คําแสน รหัส 64031020121 4. นางสาวพัสตราภรณ มิตแจม รหัส 64031020125 Section. 03 รายงานการวิจัยเปนสวนหนึ่งของรายวิชาการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู รหัสวิชา 1043412 คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2566
ก กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยดีเพราะได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนชี้แนะและคอย ช่วยเหลืออย่างดียิ่งจาก อาจารย์อิสระ ทับสีสด และ อาจารย์ ดร. อรุชา พึ่งอินทร์ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และ อาจารย์ ดร. ศิริกาญจน์ ศรีวิศาล อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ และ อาจารย์ พิชินี เดือนดาว ยาปัน อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้ประเมินแบบวิเคราะห์ความเที่ยงตรงและให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะทางวิชาการ แนวทางการ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในการทำวิจัยในชั้นเรียน ตลอดจนตรวจทานงานวิจัยให้แก่ผู้จัดทำมาโดยตลอด ผู้จัดทำ วิจัยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งและขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย กราบขอพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์อิสระ ทับสีสด ที่กรุณาเป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำ ตลอดจนการลงมือปฏิบัติทำงาน ตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จลุล่วง จนงานวิจัยนี้สมบูรณ์ กราบขอพระคุณอาจารย์ ดร. อรุชา พึ่งอินทร์ อาจารย์ ดร. ศิริกาญจน์ ศรีวิศาล และ อาจารย์ พิชินี เดือนดาว ยาปัน ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประเมินแบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและตรวจสอบ ความเหมาะสมของงานวิจัย พร้อมทั้งให้คำแนะนำจนงานวิจัยในชั้นเรียนนี้เสร็จสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณ คณะผู้จัดทำในกลุ่ม นางสาวฐานิตา ตันเต็ม นางสาวณัฐสุดา มีมาสุข นางสาวปริญ ทิพย์ คำแสน และนางสาวพัสตราภรณ์ มิตแจ่ม ที่ร่วมช่วยกันทำงานวิจัยในชั้นเรียน จนสำเร็จลุล่วงไปจนถึง เป้าหมายที่วางไว้ทั้ง 5 บทจนสมบูรณ์แบบ ลงชื่อ ฐานิตา ตันเต็ม (หัวหน้ากลุ่ม) (นางสาวฐานิตา ตันเต็ม) ลงชื่อ ณัฐสุดา มีมาสุข (สมาชิกกลุ่ม) (นางสาวณัฐสุดา มีมาสุข) ลงชื่อ ปริญทิพย์ คำแสน (สมาชิกกลุ่ม) (นางสาวปริญทิพย์ คำแสน) ลงชื่อ พัสตราภรณ์ มิตแจ่ม (สมาชิกกลุ่ม) (นางสาวพัสตราภรณ์ มิตแจ่ม)
ข การพัฒนาทักษะดานการอานออกเสียงภาษาอังกฤษสําหรับนักเรียนระดับ ชั้นประถมศึกษาปที่ 4 โดยใชกิจกรรมการเรียนรูรูปแบบ MIA 1.นางสาวฐานิตา ตันเต็ม* 2.นางสาวณัฐสุดา มีมาสุข* 3.นางสาวปริญทิพย คําแสน* 4.นางสาวพัสตราภรณ มิตแจม * บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้กระทำกับกลุ่มเป้าหมายเดียวทำการคัดเลือกแบบเจาะจงจากนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 16คน วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ด้านทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ รูปแบบMIA 2) เพื่อการศึกษาการทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ด้านทักษะอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ รูปแบบ MIA และ 3)เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการทดลอง ใช้แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ระเบียบวิธีการวิจัยเป็นแบบกึ่ง ทดลอง เครื่องมือการวิจัยซึ่งผ่านการหาประสิทธิภาพแล้วประกอบด้วยแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ แบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรม แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แบบเชิญผู้เชี่ยวชาญ ประเมิน IOC วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA สร้างขึ้นตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการของ จอร์จ เอส เมอร์ ดอค (George) นั้น เมื่อนำมาทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวเป้าหมายมีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่ระดับดีตามเกณฑ์ของ สพฐ. มีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การ เรียนรู้สูงกว่า เกณฑ์เปรียบเทียบตั้งแต่ระดับ ดี ของสพฐ. และมีความพึงพอใจต่อเฉพาะการทดลองใช้ที่ระดับ ปานกลาง คําสําคัญ: * นักศึกษาวิชาเอกสาขาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
สารบัญเนื้อหา หนา กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดยอ ข บทที่ 1 บทนํา 1 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา 1 1.2 คำถามการวิจัย 4 1.3 วัตถุประสงค์การวิจัย 4 1.4 ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 1.5 ขอบเขตการวิจัย 5 1.6 นิยามคำศัพท์เฉพาะ 6 1.7 สมมติฐานการวิจัย 7 บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ 10 2.1 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 10 2.2 นวัตกรรมทางการศึกษา 13 2.3 แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA 15 2.4 วิธีการสร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม 19 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 27 บทที่ 3 วิธีการดําเนินการวิจัย 30 3.1 ระเบียบวิธีวิจัย 30 3.2 แหล่งข้อมูลการวิจัย 30 3.3 เครื่องมือการวิจัย 30 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 35 3.5 การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 36 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหขอมูล 37 4.1 ผลการพัฒนาการจัดกิจกรรมเรียนรู้รูปแบบ MIA 37 4.2 การพัฒนาผลการเรียนรู้ 39 4.3 ระดับความพึงพอใจ 41 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และขอเสนอแนะผลการวิจัย 43 5.1 สรุปผลการวิจัย 43 5.2 อภิปรายผลการวิจัย 44 5.3 ข้อเสนอแนะ 46 เอกสารอางอิง 47
ภาคผนวก ภาคผนวกที่ 1 เอกสารเชิญผู้เชียวชาญประเมินเครื่องมือวิจัย 48 ภาคผนวกที่ 2 เครื่องมือการวิจัยที่ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ 54 ภาคผนวกที่ 3 แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA จำนวน 10 แผน 70 ประวัตินักวิจัย 133
สารบัญตาราง ตารางที่ หนา ตารางที่ 1: แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA 38 จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ตารางที่ 2: แสดงคะแนนผลการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง 39 ภาษาอังกฤษจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้การจัดกิจกรรม การเรียนรู้รูปแบบ MIA กับกลุ่มเป้าหมาย คะแนนเต็มเท่ากับ 100 คะแนน ตารางที่ 3: แสดงผลและระดับผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 40 เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยทดลองใช้การ จัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA เมื่อ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ของสพฐ. ที่กำหนดเป็นเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน ตารางที่ 4: แสดงระดับความพึงพอใจของกลุ่มป้าหมายที่มีต่อการทดลองใช้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA เพื่อพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง 41 ภาษาอังกฤษเป็นการวิจัยตามตัวชี้วัด
1 บทนํา ที่มาและความสําคัญของปญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 บัญญัติความตามมาตรา 22 ว่า การจัดการศึกษาต้อง ยึดหลักว่า นักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่านักเรียนทุกคนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และความ ตามมาตรา 24 (1) บัญญัติว่าการจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเนื้อหา สาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของนักเรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคล และความตอนหนึ่ง (5) ของมาตราเดียวกันบัญญัติว่า ให้ครูสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการเรียนรู้ และความตามมาตรา 30 บัญญัติว่า ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มี ประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ครูสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละ สถานศึกษา จากความตามมาตราดังกล่าวถึงตีความว่า ภายหลังที่ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใด ๆ ด้วยนวัตกรรม การเรียนรู้ใดแล้ว เมื่อทำการวัดและประเมินผลพบว่ามี ผลอย่างใดอย่างหนึ่งคือ จำนวนนักเรียนระดับชั้นเรียน จำนวนนักเรียนส่วนมากของ ชั้นเรียน จำนวนนักเรียนส่วนน้อยของชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน หรือจำนวนนักเรียนระดับชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้น เรียน แต่ระดับผลการเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ กรณีที่นักเรียนมีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่าน ครูจะตีความ ว่านักเรียน “ตก” ไม่ได้ หากแต่จำเป็นต้องสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเรียนรู้ที่เหมาะสมมาใช้จัดกิจกรรมการ เรียนรู้แทนนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมเพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้ของนักเรียนให้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านและ เช่นกันกรณีที่จำนวนนักเรียนระดับชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียนแต่ระดับผล การเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูต้องสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเรียนรู้ที่เหมาะมาใช้จัดกิจกรรม(อิสระ ทับสีสด. 2565) การอ่านออกเสียง หมายถึง การอ่านที่ผู้อ่านเปล่งเสียงออกมาให้ผู้อื่นได้ยินเป็นถ้อยคำ ประโยค หรือ เรื่องราว (ออนไลน์. 2564) การอ่านเป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อการเรียนรู้ เมื่ออ่านมากก็ยิ่งทำให้ได้รับความรู้มาก ทักษะการอ่านเป็นกระบวนการที่ต้องให้ความสำคัญฝึกฝนกันอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่การศึกษาคำศัพท์ กลุ่มคำ ประโยคตลอดจนถึงข้อความ ครูผู้สอนได้เห็นความสำคัญของการอ่านออกเสียงคำในภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเป็น พื้นฐานอันสำคัญ จึงได้ทำการศึกษาเรื่องการอ่านออกเสียงคำในภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะหาสาเหตุของปัญหา และอุปสรรคในการอ่านออกเสียงคำในภาษาอังกฤษของนักเรียนและนำไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาทักษะการ อ่านออกเสียงคำในภาษาอังกฤษให้ดียิ่งขึ้นต่อไป (ขวัญสกุล แจ่มใส. 2563) ตัวชี้วัดที่ ต 1.1 ป.4/2 อ่านออก
2 ออกเสียง สะกดคำ อ่านกลุ่มคำ ประโยค ข้อความง่ายๆ และบทพูดเข้าจังหวะถูกต้อง ตามหลักการอ่าน สำหรับ สาระการเรียนรู้แกนกลางระบุว่าคำ กลุ่มคำ ประโยค ข้อความ บทพูดเข้าจังหวะ และการสะกดคำการใช้ พจนานุกรมหลักการอ่านออกเสียง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศให้กับนักเรียนระดับชั้น ป.4 นับตั้งแต่ ปีการศึกษาก่อนหน้า พบว่าการอ่านออกออกเสียง สะกดคำ อ่านกลุ่มคำ ประโยค ข้อความง่ายๆ และบทพูด เข้าจังหวะถูกต้อง ครูพี่เลี้ยงจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม (นิยามเป็นคำศัพท์เฉพาะ แล้ว) สำหรับการวัดและประเมินผลนั้น กำหนดเป็น 3 ด้านคือ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) กำหนดระดับและเกณฑ์ประเมินผลการเรียนรู้แต่ละด้านตามเกณฑ์ของ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2553) เป็น 4 ระดับคือ ดีมาก มีช่วงร้อยละของคะแนน 80 – 100 ดี ช่วงร้อยละของคะแนน 65 – 79 พอใช้ ช่วงร้อยละของคะแนน 50 – 64 และต้องปรับปรุง ช่วงร้อยละของ คะแนน 0 - 49 สำหรับเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้เป็นรายบุคคลนั้น นักเรียนแต่ละคนต้องมีผลการ เรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ดี ส่วนเกณฑ์ประเมินผ่านรู้ระดับชั้นเรียน ต้องมีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมอย่างน้อยร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม จึงจะตัดสินว่า นักเรียนระดับชั้นเรียนมีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง การอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษโดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมกับนักเรียนระดับ ชั้น ป.4 เมื่อทําการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ทั้ง 3 ด้านรวมกันคือ ด้านความรู้ด้านทักษะ/กระบวนการและด้านคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ พบว่า มีค่าเฉลี่ย คะแนนรวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 75 ซึ่งผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน และเมื่อวิเคราะห์เป็นราย ด้านพบว่า ผลการเรียนด้านทักษะการอ่าน มีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 70 ซึ่งแม้จะผ่าน เกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน แต่ระดับผลการเรียนรู้ด้านทักษะการอ่านยังค่อนข้างต่ำเมื่อเมื่อเทียบกับ เปรียบเทียบกับผลการเรียนรู้ระดับดี จากการประมวลผลการการสัมภาษณ์ครูพี่เลี้ยงเพื่อวิเคราะห์สาเหตุที่ทำ ให้นักเรียนมีผลการเรียนรู้ด้านทักษะการอ่านแค่ระดับดีเป็นส่วนมาก พบว่าการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงมี ลักษณะเป็นรูปธรรม จากสาเหตุของปัญหาดังกล่าว เมื่ออ้างอิงความตามบัญญัติมาตรา 22 มาตรา 24(1) และ (5) และมาตรา 30 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 จึงเป็นหน้าที่ตามความบัญญัตินั้นของ ผู้วิจัยในฐานะครูที่จะต้องทําวิจัยเพื่อพัฒนาการการเรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้น ป.4 ผู้วิจัยมีแนวคิดที่จะพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการอ่านขึ้น เมื่อกล่าวเฉพาะสาระสำคัญการจัดการเรียนรู้แบบ MIA (Murdoch, 1986) ผู้คิดค้นคือ จอร์จ เอส เมอร์ดอค (George) มี 7 ขั้นตอน ตังนี้ 1) การถามคำถาม นำก่อนอ่าน (Priming Question) 2) การทำความ เข้าใจคำศัพท์ (Understanding, Vocabulary) 3) การอ่านเนื้อเรื่อง (Reading the Text) 4) การทำความ เข้าใจเนื้อเรื่อง (Understanding the Text) 5) การ ถ่ายโอนข้อมูลในรูปแบบอื่น (Transferring Information) 6) การทำแบบฝึกหัตต่อชิ้นส่วนประโยคและเรียงโครงสร้างอนุเฉท (jigsaw Exercise and Paragraph-Structure) และ 7) การประเมิน และการแก้ไข (Evaluation and Correction) จากขั้นตอนที่
3 กล่าวมานั้น ผู้วิจัยเห็นว่าเป็นวิธีที่เหมาะในการนำมาเป็นแนวทางประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนกับเด็ก ระดับประถมศึกษาโดยมีการจัดกิจกรรม มีสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสม ได้แก่ ภาพยนตร์ ภาพการ์ตูน การเล่นเกม สิ่งดังกล่าวนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาการของเด็กในด้านอารมณ์ภาษาแลสติปัญญา (Piaget,1960 อ้าง ถึงในสุรางค์ โค้วตระกูล 2555) จากดังที่กล่าวมาจะเห็นว่า การสอนจะมีคำถามสอดแทรกอยู่ แตกต่างจากการ สอนอ่านทั่วไป การใช้คำถามจะทำให้นักเรียนได้ฝึกใช้ทักษะการคิด ตั้งแต่การคิดระดับขั้นพื้นฐานจนถึงการคิด ขั้นสูง แม้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบ MIA จะ เป็นการสอนที่แก้ไขปัญหาการใช้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนใน ระดับอุดมศึกษา จากการศึกษางานวิจัยพบว่าประเทศมีการนำไปใช้จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นที่ หลากหลายทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย งานวิจัยของ สุภิญญา ยี่ หมัดอะหลี(2556) ทำวิจัยเรื่องผลการใช้วิธีสอนแบบ MIA ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิกที่มีต่อความสามารถในการ อ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษและความสามารถในกาคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนอ่านแบบ MIA (Murdoch Integrated Approach) ร่วมกับ เทคนิคผังกราฟิกมีความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษและความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 3.01 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ นราธิป เอกสินธุ์ (2557) ได้ วิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามแนวการสอนอ่านของเมอร์ดอค (MA) ผลจากการวิจัยพบว่า ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่นสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ตามแนวการสอนอ่านของเมอร์ดอค (MA) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 จึงนำมาเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นำมาปรับใช้ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการ อ่านออกเสียงด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอนตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตราที่ 22 มาตราที่ 24 วงเล็บ 5 มาตราที่ 30 และจากข้อบกพร่องหรือข้อเสียของการใช้สื่อ นวัตกรรมเดิม การจัดการเรียนรู้ และความสำคัญของผลการเรียนรู้ทักษะด้านการอ่านของ ตัวชี้วัดที่ ต 1.1 ป.4/2 อ่านออกออกเสียง สะกดคำ อ่านกลุ่มคำ ประโยค ข้อความง่ายๆ และบทพูดเข้าจังหวะถูกต้อง ตามหลักการ อ่าน สำหรับสาระการเรียนรู้แกนกลางระบุว่าคำ กลุ่มคำ ประโยค ข้อความ บทพูดเข้าจังหวะ และการสะกด คำการใช้พจนานุกรมหลักการอ่านออกเสียง ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงใน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัด บ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ปีการศึกษา 2566 ผลการวิจัยจะทำให้ผู้เรียนระดับชั้นดังกล่าวมีผล การเรียนรู้ทักษะด้านการอ่านของตัวชี้วัดที่ ต 1.1 ป.4/2 อ่านออกออกเสียง สะกดคำ อ่านกลุ่มคำ ประโยค ข้อความง่ายๆ และบทพูดเข้าจังหวะถูกต้อง ตามหลักการอ่าน สำหรับสาระการเรียนรู้แกนกลางระบุว่าคำ กลุ่มคำประโยคข้อความ
4 คําถามการวิจัย 1.การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านทักษะการอ่านออก เสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA เป็นอย่างไร 2.ผลการศึกษาการทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้าน ทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ รูปแบบ MIA เป็นอย่างไร 3.ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการ ทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA เป็นอย่างไร วัตถุประสงคการวิจัย 1. เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านทักษะการอ่านออก เสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2. เพื่อการศึกษาการทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้าน ทักษะอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการทดลองใช้ แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผลและประโยชนที่คาดวาจะไดรับ 1. ได้สร้างแผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านทักษะการอ่านออก เสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2. ทราบผลการทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้าน ทักษะการอ่านออกเสียงสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 3. ทราบระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการทดลองกิจกรรมการ เรียนรู้ เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการอ่านออกเสียง เรื่องการพัฒนาด้านทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA
5 4. ผลการวิจัยจะนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษเรื่องการพัฒนาด้านทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ขอบเขตการวิจัย 1. ขอบเขตดานแหลงขอมูล กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 14 คน 2. ขอบเขตดานตัวแปร สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2.1 ตัวแปรอิสระ ประกอบด้วย 2 ตัวแปร คือ 1. การทดสอบด้านทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2.2 ตัวแปรตาม 1. ผลการทดสอบด้านทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 จากการทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยการทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA 3. ขอบเขตดานเนื้อหา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA ตามตัวชี้วัดที่ ต 1.1 ป.4/2 อ่าน ออกออกเสียง สะกดคำ อ่านกลุ่มคำ ประโยค ข้อความง่ายๆ และบทพูดเข้าจังหวะถูกต้อง ตามหลักการอ่าน สำหรับสาระการเรียนรู้แกนกลางระบุว่าคำ กลุ่มคำ ประโยค ข้อความ บทพูดเข้าจังหวะ และการสะกดคำการ ใช้พจนานุกรมหลักการอ่านออกเสียง การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA
6 4. ขอบเขตดานระยะเวลาและสถานที่ ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือน มิถุนายน ถึง เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2566 ณ โรงเรียนวัดบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ นิยามคําศัพทเฉพาะ 1. นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 4 หมายถึง นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ 2. นวัตกรรมการเรียนรูเดิมกอนการทําการวิจัย หมายถึง นวัตกรรมที่ครูนำมาใช้จัดกิจกรรมการ เรียนรู้เรื่อง การพัฒนาด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนการ ทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2.1 นวัตกรรมการเรียนรู้ที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอ่านออกเสียงกับนักเรียนระดับระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนการทำวิจัย หมายถึง การจัดการเรียนรู้เรื่องการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ด้วยการใช้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA โดยใช้แผนการสอนในการจัดกิจกรรม 2.2 นวัตกรรมที่สร้างขึ้นตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA ของจอร์จ เอส เมอร์ดอค 3. ผลการเรียนรูหมายถึง 3.1 ผลการเรียนรู้เรื่องการอ่านออกเสียงประกอบด้วย ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะ, กระบวนการ (P) และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 3.2 ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากผลการ ทดสอบทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษที่มีอยู่เดิมของนักเรียนด้วยแบบทดสอบก่อนการทดลองจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ MIA 3.3 ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากผลการ ทดสอบทักษะด้านการอ่านออกเสียงที่เปลี่ยนแปลงของนักเรียนด้วยแบบทดสอบหลังการทดลองจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ MIA 4. ระดับผลการเรียนรู หมายถึง ระดับผลการเรียนรู้ที่กำหนดตามเกณฑ์วัดและประเมินผลของครูพี่ เลี้ยง ดีมาก มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 80-100 ดี มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 65-79 พอใช มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 50-64 ปรับปรุง มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ย 0-49
7 5. การพัฒนาผลการเรียนรู หมายถึง ผลการเปรียบเทียบระดับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปี่ 4 ระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA กับผลการเรียนรู้ระดับดีมากเมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบ ด้วย One – Sample t Test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (α 0.05) 6. ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปปีที่ 4 โรงเรียนบ้าน เกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาทักษะด้านการอ่านออก เสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 7. ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดย เรียงลำดับจากระดับมากที่สุดถึงน้อยที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึงพอใจมาก มีความพึง พอใจปานกลาง มีความพึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับดังกล่าว กำหนดโดยเกณฑ์ช่วงค่าเฉลี่ยของ บุญชม ศรีสะอาด ดังนี้ ระดับความพึงพอใจ ระดับค่าเฉลี่ย มากที่สุด 5 มาก 4 ปานกลาง 3 พอใช้ 2 น้อย 1 สมมติฐานการวิจัย สมมติฐานการวิจัยที่ 1 จากทบทวนเอกสารและลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้าน การอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA กับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า โดยภาพรวมนักเรียนมีผลการเรียนรู้ตามเกณฑ์ของ สพฐ (2550) รู้ที่ระดับดีและ ต้องการพัฒนาสู่ระดับดีมาก เมื่อวิเคราะห์การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องดังกล่าวด้วยการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้รูปแบบ MIA พบว่า มีประเด็นที่เป็นปัญหาและควรปรับปรุงคือ ด้านการสื่อสาร จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้าน การอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA มีสาระสำคัญคือ7 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การถามคำถาม นำก่อนอ่าน (Priming Question) 2) การทำความเข้าใจคำศัพท์ (Understanding, Vocabulary) 3) การอ่านเนื้อเรื่อง (Reading the Text) 4) การทำความเข้าใจเนื้อเรื่อง (Understanding the Text) 5) การ ถ่ายโอนข้อมูลในรูปแบบอื่น (Transferring Information) 6) การทำแบบฝึกหัตต่อชิ้นส่วน ประโยคและเรียงโครงสร้างอนุเฉท (jigsaw Exercise and Paragraph-Structure) และ 7) การประเมิน และ
8 การแก้ไข (Evaluation and Correction) จากขั้นตอนที่กล่าวมานั้น ผู้วิจัยเห็นว่าเป็นวิธีที่เหมาะในการนำมา เป็นแนวทางประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนกับเด็กระดับประถมศึกษาโดยมีการจัดกิจกรรม มีสื่อการ เรียนรู้ที่เหมาะสม ได้แก่ ภาพยนตร์ ภาพการ์ตูน การเล่นเกม สิ่งดังกล่าวนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาการ ของเด็กในด้านอารมณ์ภาษาแลสติปัญญา (Piaget,1960 อ้างถึงในสุรางค์ โค้วตระกูล 2555) จากดังที่กล่าวมา จะเห็นว่า การสอนจะมีคำถามสอดแทรกอยู่ แตกต่างจากการสอนอ่านทั่วไป การใช้คำถามจะทำให้นักเรียนได้ ฝึกใช้ทักษะการคิด ตั้งแต่การคิดระดับขั้นพื้นฐานจนถึงการคิดขั้นสูง แม้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบ MIA จะ เป็น การสอนที่แก้ไขปัญหาการใช้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา จากการศึกษางานวิจัยพบว่าประเทศ มีการนำไปใช้จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นที่หลากหลายทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และ มัธยมศึกษาตอนปลาย งานวิจัยของ สุภิญญา ยี่หมัดอะหลี(2556) ทำวิจัยเรื่องผลการใช้วิธีสอนแบบ MIA ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิกที่มีต่อความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษและความสามารถในกา คิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนอ่านแบบ MIA (Murdoch Integrated Approach) ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิกมีความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ และความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 3.01 และ สอดคล้องกับงานวิจัยของ นราธิป เอกสินธุ์ (2557) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความ เข้าใจภาษาอังกฤษโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่นสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามแนวการสอนอ่าน ของเมอร์ดอค (MA) ผลจากการวิจัยพบว่า ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษา อังกฤษโดยใช้สาระ การเรียนรู้ท้องถิ่นสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามแนวการสอนอ่านของเมอร์ดอค (MA) หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงนำมาเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นำมาปรับ ใช้ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอนตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตราที่ 22 มาตราที่ 24 วงเล็บ 5 มาตราที่ 30 และจากข้อบกพร่องหรือข้อเสียของการใช้สื่อ นวัตกรรมเดิม ซึ่งสาระสำคัญดังกล่าวสัมพันธ์กับประเด็นที่เป็นปัญหาและควรปรับปรุงของสื่อการเรียนรู้เดิมที่มีผลการเรียนรู้ ด้านทักษะการอ่านยังค่อนข้างต่ำเมื่อเมื่อเทียบกับเปรียบเทียบกับผลการเรียนรู้ระดับดี จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนา นวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ในเรื่องทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น และจากการทบทวนเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องยังพบอีกว่า สุมาลี เพชรคง (2560) ทำการวิจัยเรื่อง ผลการสอน อ่านภาษาอังกฤษตามแบบบูรณาการของเมอร์ด็อค (MIA) กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนห้วย ยอด จังหวัดตรัง โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีการพัฒนาการเรียนรู้อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 สุนารี เธียรธารณา (2549) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความเข้าใจการอ่าน ภาษาอังกฤษกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชัยสิทธาวาส พัฒนาสายบำรุง อำเภอสามโคกโดย ใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีการพัฒนาผลการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.1
9 โดยการอ้างอิงแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวก่อนหน้า จึงกำหนด สมมติฐานการวิจัยข้อที่ 1 ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษ โดยทดลองใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อเปรียบเทียบกับการจัด กิจกรรมเรื่องเดียวกันโดยทดลองใช้กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการสอนรูปแบบ MIA เดิม สมมติฐานการวิจัยที่ 2 จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า สุมาลี เพชรคง (2560) ทำการวิจัยเรื่อง ผลการ สอนอ่านภาษาอังกฤษตามแบบบูรณาการของเมอร์ด็อค (MIA) กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน ห้วยยอด จังหวัดตรัง โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ ทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้เดิมก่อนการทำการวิจัยดังกล่าวที่ระดับดีมาก สุนารี เธียรธารณา (2549) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความเข้าใจการอ่านภาษาอังกฤษกับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชัยสิทธาวาส พัฒนาสายบำรุง โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้เดิม ก่อนการทำการวิจัยดังกล่าวที่ระดับดีมาก โดยการอ้างอิงเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวมา จะเห็นว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ ผลการสอนอ่านภาษาอังกฤษตามแบบบูรณาการของเมอร์ด็อค (MIA) มีผลต่อระดับความพึงพอใจของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ดังนั้น จึงกำหนดสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 2 ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การ พัฒนาความเข้าใจการอ่านภาษาอังกฤษ โดยทดลองใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA มีผลต่อระดับความพึงพอใจ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
10 บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผู้วิจัยขอเสนอผลการทบทวน เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยหัวข้อหลักตามลำดับดังนี้ 1. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 2. ความจำเป็นที่ครูต้องทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 3. นวัตกรรมทางการศึกษา 4. เครื่องมือการวิจัย 5. ความพึงพอใจ 6. ผลการเรียนรู้ 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ละหัวข้อหลักดังกล่าว นำเสนอรายละเอียดตามลำดับขั้น ดังนี้ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู 1. ความหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู เป็นกระบวนการวิจัยที่มุ่งพัฒนา หรือแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดในชั้นเรียนและขณะที่สอน ผู้สอนสามารถนำผลที่ค้นพบมาปรับปรุง การ จัดการเรียนรู้ และพัฒนาสถานศึกษาไปสู่คุณภาพการศึกษาที่แท้จริงและยั่งยืน 2. ประเภทของการวิจัยในชั้นเรียน ประเภทของวิจัยในชั้นเรียน นพเก้า ณพัทลุง (2550) การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนหรือ CAR สามารถแบ่งตามลักษณะของข้อมูล การวิจัยได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ดังรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้ การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) หมายถึง การวิจัยที่มุ่งวัดและวิเคราะห์ ข้อมูลที่ เป็นตัวเลขเพื่อช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุและผล แบ่งการวิจัยที่ไม่ใช่ทดลองและการวิจัยเชิงทดลอง ดังนี้
11 1. การวิจัยที่ไม่ใช่การทดลอง (Non-experimental Research) จำแนกออกเป็น 3 ประเภทคือ 1.1 การวิจัยที่ศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว (Ex-post Facto Research) เป็น การศึกษา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเพื่อสืบค้นหาสาเหตุที่ทาให้เกิดปรากฏการณ์นั้น มีลักษณะการวิจัย เชิง ทดลอง เพียงแต่ไม่ต้องควบคุมตัวแปรอิสระที่เกิดขึ้น 1.2 การวิจัยเชิงหาความสัมพันธ์ (Core-relational Research) เป็นการหาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป โดยวัดสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอดีต 1.3 การวิจัยเชิง สํารวจ (Survey Research) เป็นการศึกษาเพื่อรวบรวมข้อมูล ในเรื่องหรือ ลักษณะต่างๆจากกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา โดยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็น เจตคติ หรือบุคลิก ของ กลุ่มเป้าหมาย 2. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) หมายถึงการวิจัยที่จัดทําโดยการสร้าง เงื่อนไข หรือสถานการณ์ที่จะทดลอง และควบคุมตัวแปรต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้อง หรืออาจเรียกว่าเป็น การศึกษาตัวแปรหนึ่ง (สาเหตุ) ที่เรียกว่าตัวแปรต้น และอีกตัวแปรหนึ่ง (ผลลัพธ์) ซึ่งเรียกว่าตัวแปรตาม มีหลายลักษณะ เช่น Pre-experimental Research แบบ One-shot Case, แบบ One-group PrePost Design หรือการวิจัย แบบ Quasi Experimental Research ซึ่งรูปแบบเหล่านี้ผู้วิจัยสามารถ ศึกษารายละเอียดจากตำราวิจัยทางการศึกษาได้ซึ่งมีอยู่ทั่วไป การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการศึกษาที่มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคม ที่ เกิดขึ้นจากมุมมองของมนุษย์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะ ของ การบรรยาย การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นมีหลายประเภท แต่ที่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการวิจัยปฏิบัติการ ในชั้นเรียน ได้แก่ การศึกษารายกรณี (Case Study) ซึ่งเป็นวิธีการศึกษาเชิงลึกของหน่วยหรือกลุ่มเดียว องค์การเดียว โปรแกรมเดียว ซึ่งการศึกษารายกรณีจะมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้ 1) ขั้นการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับบุคคล (Collecting of the Necessary Data) ซึ่งจะ ช่วยให้รู้จักนักเรียนที่ถูกทำการศึกษา ตลอดจนช่วยทราบภาวะความเป็นไปในปัจจุบันของนักเรียนนั้น อีกด้วย 2) ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) เป็นการนำเอาข้อมูลที่ได้รวบรวมเอาไว้มาวิเคราะห์หา ข้อเท็จจริงต่างๆและจำแนกออกเป็นด้านๆเพื่อสะดวกในการตีความหมาย 3) ขั้นตรวจวินิจฉัยปัญหา (Diagnosis) เป็นการนำเอาผลการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นที่ สองเป็น พื้นฐานประกอบการพิจารณาเพื่อวินิจฉัยว่าอะไรน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาเป็นพื้นฐานการ สังเคราะห์ ข้อเท็จจริงขั้นต่อไป 4) ขั้นสังเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม (Synthesis) คือการศึกษาข้อเท็จจริง 7 เกี่ยวกับปัญหานั้นเพิ่มด้วยวิธีการต่างๆ เช่น สังเกต สัมภาษณ์ ทดสอบ ฯลฯ แล้วนำข้อเท็จจริงที่ค้นพบ
12 มา สังเคราะห์เข้าด้วยกันกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่แล้ว ทำให้มองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูลแต่ละด้านเกิด เป็น ภาพรวมทางบุคลิกของบุคคลนั้น 5) ขั้นให้ความช่วยเหลือ (Treatment) เมื่อผู้ศึกษารายกรณีแน่ใจว่าการตรวจวินิจฉัย ปัญหา ของตนถูกต้องแล้วก็ควรคิดหามาตรการต่างๆที่จะนำมาช่วยเหลือแนะแนวทางนักเรียนในการแก้ปัญหา 6) ติดตามผล (Follow-up) เพื่อให้ทราบว่าการศึกษากรณีประสบความสำเร็จ มากน้อยเพียงไร มีข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร และต้องให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่ 3. ความจําเปนที่ครูตองทําการวิจัยในชั้นเรียน ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหายแม่บทด้านการศึกษา ฉบับแรกของประเทศไทย ได้กล่าวถึงครูผู้สอนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา24(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียนและอำนวย ความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอน สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้เห็นว่า พ.ร.บ. การศึกษาฉบับนี้ให้ความสำคัญในการกระบวนการวิจัยมาใช้ เป็น แนวทางในการพัฒนาวิธีการจัดการเรียนรู้ของครูด้วยตนเองซึ่งการวิจัยเป็นกระบวนการที่ต้องมีการ ดำเนินงานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต การปฏิบัติจริงของครูมิใช่แยกส่วนจากการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น การวิจัยและพัฒนา การเรียนการสอนจึงเกิดขึ้นพร้อมกันในการปฏิบัติงานการเรียนการสอนตามปกติ ของครู 4. ประโยชน/ความสําคัญของการวิจัยในชั้นเรียน ครุรักษ์ภิรมย์รักษ์ (2544) กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนจะมี ประโยชน์ดังนี้ 1. ช่วยให้ครูมีพลังอํานาจในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนเพิ่มมากขึ้น สามารถแก้ปัญหาในชั้น เรียนได้ ทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ 2. ช่วยให้ครูมีความมั่นใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้น และจัดกิจกรรมการ เรียนการ สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ช่วยให้ครูทํางานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ประสบความสําเร็จในการทํางาน มีความรู้สึก เป็น เจ้าของและภาคภูมิใจในวิธีการที่นํามาใช้
13 4. ช่วยให้โรงเรียนสามารถกาหนดนโยบายหรือมาตรการต่างๆเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร และ การเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมโดยมีผลการวิจัยรองรับ 5. ช่วยให้ผู้เรียนได้รับการแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างงสมบูรณ์เต็มศักยภาพทั้งในด้าน ความรู้ ความสามารถ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์นวัตกรรมทางการศึกษา ครุรักษ์ ภิรมยรักษ์ (2544) กล่าวว่า การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน มีความสําคัญสรุปได้ดังนี้ 1) เป็นเครื่องมือสําคัญของครูในการพัฒนาวิถีชีวิตความเป็นครูไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพ เพราะการวิจัยในชั้นเรียน จะช่วยให้ครูเป็นนักแสวงหาความรู้และใช้วิธีการใหม่ๆอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยให้ ครูมีความรู้อย่างกว้างขวางและลุ่มลึกทํางานอย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์และเป็นระบบ 2) เป็นเครื่องมือสําคัญในการพัฒนาหลักสูตรและการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนทำให้ งานของครูมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว ก้าวไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่งอยู่ กับที่ เกิดนวัตกรรมที่ทันสมัยนามาใช้ในการแก้ปัญหาการเรียนการสอนได้ทันท่วงที 3) เป็นเครื่องมือสําคัญที่จะจรรโลงวิชาชีพครูให้มีความเข้มแข็ง เพราะผลจากการวิจัยในชั้น เรียนจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสําเร็จในการทํางานของครูได้เป็นอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือการเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ พึงประสงค์ของผู้เรียนตามที่ครูต้องการและเป็นไปตามความคาดหวังของสังคมทั้งครูและ ผู้เรียน นวัตกรรมทางการศึกษา แผนการจัดการเรียนรู 1. ความหมาย สุวิทย์ มูลคำ (2549) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการ เตรียมการสอนหรือกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบและจัดทำไว้เป็นลายลักษณ์ อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต่างๆมากำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ เอกรินทร์ ลี่มหาศาล (2545) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ (Lesson Plan) เป็นวัสดุหลักสูตรที่ควรพัฒนามาจากหน่วยการเรียนรู้ (UNIT PLAN) ที่กำหนด ไว้ เพื่อให้การ จัดการสอบบรรลุเป้าประสงค์ตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร หน่วยการเรียนรู้จึงเปรียบเสมือน โครงร่าง หรือพิมพ์เขียวที่กล่าวถึงประสบการณ์การเรียนรู้ตามหัวข้อการจัดการเรียนรู้และกระบวนการ วัดผลที่สอดคล้องสัมพันธ์กัน ส่วนแผนการเรียนรู้จะแสดงการจัดการเรียนรู้ตามบทเรียน (lesson) และ ประสบการณ์การเรียนรู้เป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์ดังนั้นแผนการจัดการเรียนรู้ จึงเป็นเครื่องมือหรือ แนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนตามกำหนดไว้ในสาระการเรียนรู้ของแต่ละ กลุ่ม
14 สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดทำขึ้นจาก คู่มือครูทำให้ทราบว่าจะสอนเนื้อหาใด อย่างไร ใช้สื่อการเรียนอย่างไร มีการประเมินอย่างไร 2.การจําแนกประเภท ประเภทของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามหลักสูตรอิงมาตรฐาน สามารถ สรุปได้เป็น 2 ประเภท (ชนาธิป พรกุล. 2552 : 85-86 ; นาตยา ปิลันธนานนท์. 2545 : 168) มี รายละเอียดดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียนรู้ เป็นแผนที่ระบุเป้าหมายหลักและระบุเฉพาะ กิจกรรมหลัก ๆ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ระดับบทเรียนหรือแผนรายชั่วโมง เป็นแผนที่ระบุกิจกรรมหลัก และ กิจกรรมย่อยอย่างละเอียดชัดเจนเป็นรายชั่วโมงหรือรายครั้ง 3. ความสําคัญ การวางแผนการจัดการเรียนรู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้การจัดการเรียนรู้ประสบความสำเร็จ หรือ ล้มเหลวนั้น จำเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์และออกแบบหลายประการ จากการศึกษารวบรวมข้อมูล ทัศนะ ของนักวิชาการได้อธิบายความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558 : 347-348) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้1) แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นครูมืออาชีพ มีการเตรียมล่วงหน้า แผนการจัดการเรียนรู้จะสะท้อนให้ เห็นถึงการใช้เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และจิตวิทยาการ เรียนรู้มาผสมผสานกันหรือประยุกต์ใช้ให้ เหมาะสมกับสภาพของนักเรียนที่ตนเองสอนอยู่ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ช่วยส่งเสริมให้ผู้สอนได้ศึกษา ค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และวิธีการวัดและประเมินผล 3) แผนการจัดการเรียนรู้ทำให้ครูผู้สอนและครูที่จะปฏิบัติการสอนแทน สามารถปฏิบัติการ สอนแทนได้ อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นหลักฐานที่แสดงข้อมูลด้านการเรียนการ สอน การวัดและ ประเมินผลที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในครั้งต่อไป 5) แผนการจัดการ เรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเชียวชาญในวิชาชีพครู ซึ่งสามารถนำไปเสนอเป็นผลงานทางวิชาการ เพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะหรือตำแหน่งได้อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553 : 20) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการ เรียนรู้มีความสำคัญหาย ประการดังนี้ 1) ทำให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจ เมื่อเกิดความมั่นใจในการ สอนย่อมจะสอนด้วยความ คล่องแคล่ว เป็นไปตามลำดับขั้นตอนอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด การสอนจะดำ เนินไปสู่จุดหมายปลายทาง อย่างสมบูรณ์ 2) ทำให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าคุ้มกับเวลาที่ผ่านไป เพราะ ผู้สอนอย่างมีแผนมีเป้าหมาย และ มีทิศทางในการสอน มิใช่สอนอย่างเลื่อนลอย ผู้เรียนจะได้รับความรู้ ความคิด เกิดเจตคติ เกิดทักษะ เกิดประสบการณ์ใหม่ตามที่ผู้สอนวางแผนไว้ ทำให้เป็นการจัดการเรียน การสอนที่มีคุณค่า3) ท าให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทั้งนี้เพราะในการวางแผนการจัดการเรียนรู้
15 ผู้สอน ต้องศึกษาหลักสูตรทั้งด้านจุดประสงค์ เนื้อหาสารที่จะสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน และการวัดผลและประเมินผล แล้วจัดทำออกมาเป็นแผนการจัดการเรียนรู้หลักสูตร 4) ทำให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิ เนื่องจากผู้สอนต้องวางแผนการจัดการเรียนรู้อย่างรอบคอบ ในทุกองค์ประกอบของการ รวมทั้งการจัดเวลาเวลา สถานที่ และสิ่งอำนวยความ สะดวกต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อมีการวางแผนการจัดการเรียนรู้ที่รอบคอบ และปฏิบัติตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่วางไว้ ผลของ การสอนย่อมสำเร็จได้ดีกว่าการไม่ได้วางแผนการจัดการเรียนรู้5) ทำให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจำ สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการสอนต่อไป ทำให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นแนวทางในการ ทบทวนหรือการออกข้อสอบเพื่อวัดผลและประเมินผล ผู้เรียนได้ นอกจากนี้ทำให้ผู้สอนมีเอกสารไว้เป็น แนวทางแก่ผู้ที่เข้าสอนในกรณีจำเป็น เมื่อผู้สอนไม้สามารถเข้าสอนเองได้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้และ ประสบการณ์ที่ต่อเนื่องกัน 6) ทำให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน ทั้งนี้เพราะผู้สอน สอนด้วยความ พร้อม เป็นความพร้อมทั้งทางด้านจิตใจคือ ความมั่นใจในการสอน และความพร้อม ทางด้านวัตถุ คือ การที่ผู้สอนได้เตรียมเอกสาร หรือสิ่งการสอนไว้อย่างพร้อมเพรียง เมื่อผู้สอนมีความ พร้อมในการสอน ย่อมสอนด้วยความกระจ่างแจ้ง ทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนในบทเรียน อันจะส่งให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน แผนการจัดการเรียนรูรูปแบบ MIA กล่าวโดยละเอียด ดังนี้ 1. ความหมาย เป็นวิธีสอนแบบหนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดกิจกรรมส่วนใหญ่จะเน้นให้ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองตามกระบวนวิธีที่ครูเตรียมไว้ล่วงหน้า ผู้เรียนมี บทบาทมากที่สุด ผู้สอนเป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษา ชี้แนะและคอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้เรียนในบางครั้ง ที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ การเรียนการอ่านเขียนด้วยวิธีนี้ต้องมีการร่วมอภิปราย และแสดงความสามารถในการ สื่อความหมายตลอดเวลา ส่วนในเนื้อเรื่องที่จะให้ผู้เรียนอ่านนั้น จะต้องมีคำถามย่อยๆ ให้ผู้เรียนเขียน ตอบ โดยเติมลงในประโยคเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดการตื่นตัว มีสติตลอดเวลาที่อ่าน จุดเด่นการ สอนอ่านด้วยวิธี MIA อีกอย่างหนึ่งคือ กิจกรรมที่จัดในแต่ละครั้งนั้น จะผสมผสานทักษะทางภาษาหลาย รูปแบบเข้าด้วยกันจะทำให้ลดปัญหาการเบื่อหน่ายของผู้เรียนได้มากผู้เรียนจะสนใจเกิดความสนุกสนาน ในการเรียนการอ่านภาษาอังกฤษมากขึ้น (Murdoch. 1986 )
16 2. แนวคิด/ทฤษฎี/หลักการ/วิธีการ มอร์ดอร์ค (Murdoch. 1986 : 9 - 10) อาจารย์สอนภาษาที่มหาวิทยาลัยคูเวต (Kuwait University) ได้คิดหาวิธีการสอนอ่านภาษาอังกฤษแนวใหม่ขึ้นโดยยึดหลักจิตวิทยาภาษาศาสตร์ (Psycholinguistics) เป็นจิตวิทยาในการคิดและการสอนเพื่อการสื่อสาร โดยใช้ชื่อว่า "A More Integrated Approach to the Teaching of Reading" นอกจากยึดหลักดังกล่าวนี้แล้ว เมอร์ ดอค ยังเน้นการฝึกการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ทักษะทั้ง 4 ทักษะ คือ ทักษะการฟัง ทักษะ การพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน ควบคู่กันไปตลอดเวลา และเนื่องจากการสอนของครูผู้สอน เท่าที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะแยกทักษะแต่ละทักษะออกจากกันโดยเด็ดขาด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะการสอนเช่นนี้ไม่เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นผู้รอบรู้ทางภาษา รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการ เรียนการสอนปัจจุบันนี้ มักจะแยกทักษะต่างๆ ออกจากกันอย่างเห็นได้ชัดเจน นอกจากนั้นทักษะการ อ่าน มักจะถูกแยกจากทักษะอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ซึ่งถือว่าเป็นการปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาทักษะอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วทักษะต่างๆ จะต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่เสมอ ดังนั้น ในการ สอนแต่ละครั้งจึงควรมีทักษะทั้ง 4 ทักษะควบคู่กันไป แต่จะมุ่ง ความสนใจไปสู่ทักษะใด ทักษะหนึ่ง เท่านั้นในขณะเดียวกันทักษะอื่นๆ ที่ไม่ได้เน้นก็จะได้รับการพัฒนาไปพร้อมกัน เมอร์ดอค (Murdoch, 1986) ยังกล่าวอีกว่า การสอนอ่านโดยให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดแบบ เลือกตอบ (Multiple Choices) หรือแบบถูก-ผิด (True-False) เป็นการฝึกอ่านที่ยังไม่เหมาะสม เพราะ ผู้เรียนไม่ได้พัฒนาทักษะการอย่างอื่นเลยซึ่งแบบฝึกที่ดีที่สุดควรจะเป็นการฝึกที่ต้องคิดและเขียนออกมา เป็นคำพูดของตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการคิด (Thinking Process) และได้ฝึกทักษะการเขียนไปในตัวอีก ด้วย ดังนั้นจึงเป็นวิธีการสอนรูปแบบ MIA 3. องคประกอบ/โครงสราง/ลําดับขั้น เมอร์ดอค (Murdoch, 1986) ได้ให้แนวทางวิธีสอนแบบ MIA มี 7 ขั้น ตอนดังต่อไปนี้คือ 1. ขั้นถามคำถามนำก่อนการอ่าน (Asking priming questions)เป็น ขั้นตอนที่ครูผู้สอนจะตั้ง คำถามหรือข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่านโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นและก่อให้เกิดการอภิปราย ร่วมกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ก่อนที่จะอ่านเรื่องนั้นๆ เท่ากับว่าเป็นการโน้มน้าวให้ผู้เรียนสนใจเรื่องที่ จะอ่านในโอกาสต่อไป การอภิปรายร่วมกันเป็นกระบวนการคาดคะเนล่วงหน้าว่าเรื่องที่จะอ่านนั้นเป็น เรื่องเกี่ยวกับอะไร พอถึงเวลาอ่านจริงๆทุกๆคนก็พยายามจะค้นหาคำตอบว่าตามที่พวกตนคิดคำตอบไว้ ล่วงหน้านั้น ตรงกับเรื่องที่จะอ่านหรือไม่การอ่านจึงเป็นการกระตุ้นเร้าใจผู้เรียนให้หาคำตอบ ซึ่งตรงกับ ความคิดของ กูดแมน (Williams.1994 : 3 ; อ้างอิงจาก Goodman. 1967 :126) ที่กล่าวไว้ว่า ”การ อ่านเป็นเกมการเดาชนิดหนึ่งการอ่านเป็นการเดาว่า สิ่งที่อ่านนั้นตรงกับความคิดของตนที่คาดหวังไว้ หรือไม่” นอกจากนี้ คำถามนำ ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงขับ (Drive) ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดีของ
17 ผู้เรียน นั่นคือ การกระตุ้นผู้เรียนด้วยปัญหาที่คั่งค้างไว้ในใจผู้เรียน หลังการอภิปรายร่วมกันว่า สิ่งที่พวก ตนเดากันไว้นั้นเป็นการเดาที่ถูกต้องมากน้อยเพียงใดจึงเป็นเรื่องที่ดีที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงขับ อยากจะอ่านเพื่อหาคำตอบให้ตนเอง 2. ขั้นหาความหมายของคำศัพท์(Finding the meaning of vocabularies)สำหรับขั้นตอนนี้ มีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจว่าคำศัพท์บางคำที่เป็นตัวบ่งชี้ความหมาย (Key Words) นั้น ผู้เรียนมีความเข้าใจถูกต้องแล้วหรือยังโดยผู้สอนจะเป็นคนเลือกคำศัพท์เหล่านั้น ขึ้นมาเอง คำบางคำผู้เรียนอาจจะรู้ความหมายแล้ว หรือคำบางคำหากมีความหมายหลายอย่าง ผู้สอนอาจจะเขียน ความหมายของคำศัพท์คำนั้นให้อยู่ในสถานการณ์ที่พบก็แฮริส; และซิเพย์(Harris; & Sipay. 1979 : 294-295) กล่าวว่าถึงแม้ว่าการอ่านเพื่อความเข้าใจนั้นต้องอาศัยความสามารถหลายๆ อย่างรวมกัน ไม่ เฉพาะแต่รู้ความหมายของคำศัพท์เพียงอย่างเดียว แต่คำศัพท์มีส่วนอย่างมาก ต่อความเข้าใจในการอ่าน หากคะแนนความเข้าใจสูง คะแนนความสามารถการใช้คำศัพท์จะสูงตามด้วยดังนั้น จะเห็นได้จาก ตัวอย่างบทอ่านข้างต้น คำศัพท์เหล่านี้จะช่วยปูพื้นฐานให้ผู้เรียนได้อย่างมากอีกขั้นตอนหนึ่ง เพื่อจะ ส่งผลต่อความเข้าใจในการอ่านในโอกาสต่อไป ซึ่งตรงกับความคิดของ วิดโดสัน (Widdowson. 1985 : 82-86) ที่ว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจนั้น เราต้องพยายามขจัดปัญหา และอุปสรรคในการที่จะสะกัดกั้น ไม่ให้ผู้เรียนเข้าใจบทอ่าน เช่น คำ หรือวลีที่ยากๆ วิธีการอย่างหนึ่งที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ก็คือ ให้ ผู้เรียนเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นก่อนการอ่านซึ่งจะได้นำสิ่งเหล่านั้นไปใช้แก้ปัญหาในการอ่านได้ 3. ขั้นอ่านเนื้อเรื่อง (Reading the text)ผู้สอนแจกบทอ่าน (The text) ให้ผู้เรียนอ่านตามเวลา ที่กำหนดให้ ซึ่งในเนื้อหานั้นจะแตกต่างกับเนื้อหาปกติคือ จะมีคำถามย่อยแทรกอยู่ในเนื้อหา เพื่อให้ ผู้เรียนวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคำนามกับคำสรรพนามในเนื้อเรื่องอันจะเป็นการกระตุ้นและ ส่งเสริมความเข้าใจในการอ่านที่ดียิ่งขึ้น เช่น จากการวิเคราะห์เนื้อหาแบบนี้ นอกจากจะทำให้ผู้เรียน สามารถอ่านเรื่องได้เข้าใจขึ้นแล้ว ยังจะช่วยทำให้ผู้เรียนต้องใช้ความคิดตลอดเวลา และต้องพยายามทำ ความเข้าใจเรื่องโดยตลอดด้วย นอกจากนั้นยังพบว่า จากการกระตุ้นผู้เรียนด้วยวิธีนี้ ผู้เรียนจะมีแรง ขับ (Drive) ในการเรียนรู้มากขึ้น เนื้อเรื่องและคำถามในเรื่องจะเป็นสิ่งเร้า (Stimulus) การที่ผู้เรียน เขียนตอบ คือ การตอบสนอง (Response) และได้รับแรงเสริม (Reinforcement) จากการเฉลยคำตอบ ในตอนหลัง ซึ่งมี หลักการอย่างเดียวกับบทเรียนโปรแกรมสำเร็จรูป และ เป็นไปตามกระบวนการเรียนรู้ ที่ดีของ มิลเลอร์(จรัญ รัตนศิลา. 2539: 48; อ้างอิงจาก Miller. 1973: 15-19) คือ การเรียนที่ดีนั้นต้อง ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้แรงขับ แรงกระตุ้น การตอบสนอง แรงเสริม(Drive) (Stimulus) (Response) (Reinforcement) 4. ขั้นทำความเข้าใจเนื้อเรื่อง (Understanding the Text)ในขั้นนี้ เมอร์ดอกช์ เชื่อว่า เป็นขั้น ที่จะใช้ทดสอบความเข้าใจของผู้เรียนได้ดี คือ การให้ผู้เรียนเติมข้อความจากประโยคปลายเปิดที่ผู้สอน
18 กำหนดให้โดยผู้เรียนเขียนเติมประโยคเหล่านั้น ให้เป็นประโยคข้อความที่สมบูรณ์ตามเนื้อเรื่องที่อ่าน (A Sentence Completion Exercise)และการให้ผู้เรียนเติมข้อความนั้น ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า ผู้เรียนจะไม่สามารถไปลอกประโยคจากเนื้อเรื่องมาตอบได้แต่หากผู้สอนคิดว่าความสามารถของผู้เรียน ไม่สามารถที่จะใช้ภาษาและสำนวนของตัวเองได้ อาจจะแก้ไขโดยวิธีเลือกประโยคที่เป็นใจความสำคัญ ของเรื่อง (Main Idea) มาเป็นประโยคที่ให้ผู้เรียนเติมใจความสมบูรณ์แทนก็ได้ และเชื่อว่าจากกิจกรรม ทั้ง 3 ขั้นที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นพื้นฐานอย่างเพียงพอที่จะทำให้ผู้เรียนอ่านเนื้อเรื่องได้วิดโด สัน (Widdowson. 1979: 119-122) กล่าวว่า แบบฝึกหัดเพื่อความเข้าใจนั้น จะต้องมีการเตรียมอย่างดี และต้องพร้อมที่จะทำแบบฝึกหัดเหล่านั้น ซึ่งหมายความว่าจะต้องเสริมให้ผู้เรียน พยายามใช้คำพูดหรือ เขียนออกมาเป็นภาษาของตนเอง จะทำให้ผู้เรียนได้เข้าไปร่วมปัญหาอย่างแท้จริง แบบฝึกหัดเหล่านั้น ได้แก่ 1. การเติมคำให้สมบูรณ์(Completion) 2. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบข้อมูลที่ได้รับ (Transformation) วิดโดสัน ไม่นิยมใช้คำถามแบบเลือกตอบ (Multiple choices) เพราะผู้เรียนอาจจะเกิดการสับสนหรือ ใช้การเดา และไม่ช่วยพัฒนาทักษะอื่นเลย ตรงกันข้ามหากฝึกให้ผู้เรียนตอบแบบเติมคำให้สมบูรณ์ หรือ แบบเปลี่ยนแปลงรูปแบบข้อมูลที่ได้รับ นอกจากเป็นการฝึกการอ่านแล้ว การเขียนของผู้เรียนก็ได้รับ การพัฒนาด้วยพร้อมกัน 5. ขั้นถ่ายโอนข้อมูล (Transferring information) เป็นขั้นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนนำความรู้ หรือ ข้อมูลที่ได้จากการอ่านมาเสนอใหม่ในรูปแบบอื่น เช่น อาจจะให้นำความรู้หรือข้อมูลที่ได้จากการอ่านมา เสนอใหม่ ในรูปแบบตารางแผนภูมิ กราฟ หรือแผนที่อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามความเหมาะสมของข้อมูล หากผู้เรียนทำได้ก็ย่อมแสดงว่าผู้เรียนจับประเด็นสำคัญๆได้ กิจกรรมอย่างนี้น่าสนใจมากตามความ คิดเห็นของเมอร์ดอกช์ที่กล่าวว่ามันไม่ใช่แบบฝึกหัดทั่วๆไปแต่เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนหาทางแก้ไข ปัญหาวิดโดสัน (Widdowson. 1979 : 141-142) กล่าวว่ากิจกรรมแบบการถ่ายโอนข้อมูลนี้เป็น กิจกรรมที่ดี และนับเป็นการสอนเพื่อการสื่อสาร หรือเป็นการแปลงรูปข้อมูลให้เป็นไปอีกรูปแบบหนึ่ง ดังนั้น หากผู้สอนคิดว่าผู้เรียนเข้าใจ และมีความรู้ในสิ่งที่อ่านแล้ว อาจให้ผู้เรียนแสดงความสามารถใน การเขียนแทนคำพูดก็ได้ หรืออาจเขียนในรูปภาพอธิบาย หรือแผนภาพ(Diagram) เป็นต้น เขากล่าว ต่อไปว่า กิจกรรมแบบนี้จะช่วยส่งผลต่อผู้เรียนถึงสองทาง คือพัฒนาความสามารถในการอ่าน ซึ่งเป็น การสื่อสารจากคำพูดของผู้เขียนไปสู่ตัวหนังสือให้ผู้เรียนได้อ่านและอีกด้านหนึ่งคือช่วยพัฒนา ความสามารถด้านการเขียนด้วย 6. ขั้นทำแบบฝึกหัดต่อชิ้นส่วนประโยค และเรียงโครงสร้างอนุเฉท (Doing jigsaw exercise and paragraph structure)ในขั้นนี้ ผู้สอนให้ประโยคมาจำนวนหนึ่ง แล้วให้ผู้เรียนเรียบเรียงอนุเฉทซึ่ง
19 นั่นก็คือ กิจกรรมการต่อชิ้นส่วน สำหรับกิจกรรมนี้ตามความคิดเห็นของ เมอร์ดอกช์ คิดว่ามีประโยชน์ มากอย่างยิ่งทั้งเป็นการฝึกพูดและคิดผู้เรียนต้องใช้สมาธิอย่างมาก วิธีการคือผู้สอนตรียมชิ้นส่วนของ ประโยคให้จำนวนหนึ่ง แล้วให้แต่ละกลุ่มพยายามต่อชิ้นส่วนต่างๆของประโยคเหล่านั้นให้เป็นประโยคที่ สมบูรณ์ และเรียงประโยคเหล่านั้นตามลำดับที่ถูกต้องด้วยกิจกรรมการต่อชิ้นส่วนนี้ อาจจะให้ทำเป็น กลุ่มหรือทำเป็นรายบุคคลก็ได้ประโยคที่ให้ต้องเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง และกิจกรรมนั้นๆก็เพื่อต่อประโยคให้ถูกต้อง อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาหรือรู้เรื่องที่เกิดขึ้น การนำ ข้อมูลของแต่ละคนมาต่อกันต้องพูดและถามกันแล้วพิจารณาเลือกข้อมูลมาต่อกันให้เป็นเรื่องราวที่ ถูกต้อง และตลอดระยะเวลาทำกิจกรรมจะพบว่าผู้เรียนให้ความสนใจและเกิดแรงจูงใจในการเรียนอย่าง มาก เช่น การให้เรียงประโยคต่อไปนี้ ให้เป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 7. ขั้นประเมินผลและแก้ไข (Evaluating and correcting)การประเมินผลการเรียนนั้น ส่วน ใหญ่ก็ทำกันอยู่เกือบทุกขั้นตอนแต่ในขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผลงานส่วนรวมอีกครั้งหนึ่ง และให้การ แก้ไขเกี่ยวกับเรื่องของภาษาเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานที่ดีแก่ผู้เรียนต่อไป 4.ขอดี/ขอเสีย ขอดี 1. นักเรียนที่ได้รับการสอนรูปแบบ MIA มีความสามารถในการอ่านดีมากขึ้น 2. นักเรียนได้ฝึกกระบวนการคิดตลอดเวลาในแต่ละกระบวนการสอน 3. นักเรียนได้พัฒนาทักษะทั้ง 4 ทักษะ ควบคู่กันไปตลอดเวลาในกระบวนการสอน ขอเสีย 1. เนื่องจากการสอนรูปแบบ MIA เป็นการฝึกทักษะจึงต้องใช้เวลานานในการทำวิจัย 5.วิธีการใช 1. โดยประยุกต์เข้ากับแผนการจัดการเรียนรู้ในขั้นกิจกรรมการเรียนรู้ วิธีการสรางและหาคุณภาพของนวัตกรรม 1. วิธีการสราง 1.1 กำหนดปัญหา และความต้องการของการพัฒนา 1.2 เลือกและออกแบบนวัตกรรม 1.3 สร้างนวัตกรรม 1.4 ประเมินนวัตกรรม 1.5 ปรับปรุงนวัตกรรม 2. การหาคุณภาพ 2.1 การหาคุณภาพเชิงเหตุผล
20 2.1.1 ความหมาย กระบวนการที่เป็นการหาประสิทธิภาพโดยใช้หลักของความรู้ และเหตุผลในการตัดสินคุณคา ของสื่อการเรียนการสอน โดยอาศัยผู้เชียวชาญ (Panel of Expert) เป็น ผู้พิจารณา ตัดสินคุณคา ซึงเป็นการหา ความเทียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และความ เหมาะสมในด้านการนําไปใช้ (Usability) ผลการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละคนจะนํามาหาคา ประสิทธิภาพต่อไป 2.1.2 วิธีการ ข้อที่ 1 ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความพึงพอใจ เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดจะสร้างตาม แนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการต่างๆ ข้อที่ 2 สร้างฉบับร่างการสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ ข้อที่ 3 สร้างแบบประเมินค่า IOC เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญทำการประเมินความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ข้อที่ 4 นำแบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่สร้าง ฉบับร่างไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ข้อที่ 5 นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชิดที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ 4 มา แก้ไขปรับปรุง ตามตำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ข้อที่ 6 จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ทำการแก้ไขแล้วตาม คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 2.2 การหาคุณภาพเชิงประจักษ 2.2.1 ความหมาย การนำสื่อไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมายปละเป็นการวิจัยทที่หาความ จริงจากข้อมูลปฐมภูมิ โดยมีการเก็บข้อมูล และใช้สถิติในการวิเคราะห์ 2.2.2 วิธีการ ขั้นที่ 1 นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดทีจัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาหาค่า ความเชื่อมั่น (Reliability)
21 ขั้นที่ 2 ปรับปรุงเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด ขั้นที่ 3 จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด พร้อมสำหรับการนำไป ทดลองใช้ ขั้นที่ 4 นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ความยากง่ายด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ขั้นที่ 5 นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ขั้นที่ 6 จัดทำรูปเล่มของแบบทดสอบ พร้อมสำหรับการนำไปทดลอง เครื่องมือการวิจัย 1. ความหมาย เครื่องมือการวิจัย หมายถึง เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือสิ่งที่ใช้เป็นสื่อสำกรับผู้วิจัยในการ รวบรวมข้อมูลตามตัวแปรในการวิจัย ที่กำหนดไว้ ข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นได้ทั้ง ข้อมูลเชิงปริมาณ และ ข้อมูลเชิงคุณภาพ 2. การจําแนกประเภท 2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง -แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ -แผนการจัดการเรียนรู้ 3. ขั้นตอนการหาคุณภาพ 3.1 การหาคาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) 3.1.1 ความหมาย เป็นการหาค่าความเที่ยงตรงที่ให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาว่าข้อสอบ หรือ ข้อคำถามแต่ละข้อ วัดได้ตรงตามสิ่งที่ต้องการวัดเนื้อหาหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้มากน้อย เพียงใด 3.1.2 วิธีการหาคาความเที่ยงตรง การประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence : IOC ) มีวิธีการดังนี้ 1) นำแบบทดสอบกับจุดประสงค์ให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้ด้านการวัดผลและเนื้อหา 3 – 5 คน พิจารณาว่าแบบทดสอบสอดคล้องจุดประสงค์หรือไม่ โดยกำหนดคะแนนความเห็น ดังนี้ +1 แน่ใจว่าแบบทดสอบสอดคล้องจุดประสงค์ 0 ไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบสอดคล้องจุดประสงค์ -1 แน่ใจว่าแบบทดสอบไม่สอดคล้องจุดประสงค์
22 2) นำคะแนนของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนมาคำนวณจากสูตรดังนี้ IOC = ∑ เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับจุดประสงค์ Σ แทน ผลรวมของคะแนน ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 3) กำหนดเกณฑ์การยอมรับว่าแบบทดสอบข้อนั้น วัดได้ตรงจุดประสงค์จากค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป 3.2 การหาคาความเชื่อมั่น (Reliability) 3.2.1 ความหมาย เป็นคุณสมบัติของเครื่องมือวัดที่แสดงให้ทราบว่า เครื่องมือนั้นๆ ให้ผลการวัดที่คงที่ไม่ว่าจะใช้วัดกี่ครั้ง พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543 : 121) กล่าวว่า ความเชื่อมั่นจะบอกให้ทราบว่าผลการ วัดเกิดจาก ความแปรปรวนของคะแนนจริงอยู่เท่าใด จากคะแนนความแปรปรวนที่วัดได้ 3.2.2 วิธีการหาคาความเชื่อมั่น Test-Retest Method (วิธีสอบซ้ํา) เป็นการหาค่าความเชื่อมั่นโดยวิธีการสอบซ้ำ เป็นการหาค่าความเชื่อมั่นโดยนาเอาแบบทดสอบฉบับหนึ่ง ไปทาการทดสอบกับนักเรียนกลุ่มใดกลุ่ม หนึ่ง 2 ครั้ง ในเวลาที่ต่างกัน โดยเว้นระยะเวลาในการสอบทั้ง 2 ครั้ง ให้ห่างกันพอสมควร ( 2 อาทิตย์ ขึ้นไป) เมื่อทาการสอบซ้ำครั้งที่ 2 แล้วจะทำให้นักเรียนแต่ละคนมีคะแนนผลการสอบของแบบทดสอบ ฉบับนั้นคนละ 2 ค่า คือ คะแนนจากการสอบครั้งที่ 1 และคะแนนจากการสอบครั้งที่ 2 จากนั้นจึงนาค่า คะแนนทั้ง 2 ชุดไปหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โดยใช้สูตรของเพียร์สัน ( Pearson Product Moment Correlation ) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่ได้คือค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบฉบับนั้น Paralleled Form Method (วิธีใชแบบทดสอบคูขนาน) เป็นแบบทดสอบอีกฉบับ หนึ่งที่มีลักษณะเหมือนกับแบบทดสอบฉบับที่ต้องการหาค่าความเชื่อมั่น ซึ่งไม่ใช่แบบทดสอบฉบับ เดียวกันหรือมีข้อคำถามเหมือนกันแต่เป็นแบบทดสอบที่มีค่าคุณลักษณะต่างๆ ประจำตัว (Parameter) เหมือนกัน เช่นเป็นแบบทดสอบที่วัดในเนื้อหาเดียวกัน มีจำนวนข้อเท่ากัน ข้อสอบแต่ละข้อมีค่าความยากง่ายเท่ากัน มีค่าอำนาจจำแนกเท่ากัน มีค่าเฉลี่ยและค่าความแปรปรวน เท่ากัน มีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการวัดเท่ากันและอื่นๆ เมื่อได้แบบทดสอบคู่ขนานกับ แบบทดสอบที่จะหาค่าความเชื่อมั่นมาแล้ว ก็จะนำแบบทดสอบทั้งสองฉบับไปสอบนักเรียนกลุ่ม เดียวกัน ในเวลาที่ต่อเนื่องกัน หรืออาจจะทิ้งช่วงสักระยะเวลาหนึ่งก็ได้เมื่อได้คะแนนออกมาซึ่งจะ มี2 ชุด ก็จะนาคะแนนทั้ง 2 ชุด ไปหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โดยใช้สูตรเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation ) ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ดังกล่าวจะเป็นค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบที่ต้องการ ใช้สูตรเดียวกันกับวิธีการสอบซ้ำ แต่วิธีนี้ไม่นิยมใช้เนื่องจากมีข้อจำกัดคือ การ
23 สร้างแบบทดสอบให้มีลักษณะเป็นแบบทดสอบคู่ขนานกันจริง ๆ ซึ่งเป็นการยากมาก และเมื่อ แบบทดสอบทั้งสองฉบับไม่ใช่ แบบทดสอบที่คู่ขนานกันอย่างจริง ๆ แล้ว ย่อมทำให้เกิดความ คลาดเคลื่อนในการหาค่าความเชื่อมั่น Split-Half Method (วิธีแบงครึ่งขอสอบ) โดยนำเครื่องมือไปทดสอบเพียงครั้ง เดียว แล้วนำเครื่องมือนั้นมาแบ่งครึ่งเพื่อทำการวิเคราะห์ เช่น เครื่องมือมี20 ข้อ ให้แบ่งครึ่ง แรก 10 ข้อ ครึ่งหลัง 10 ข้อ หรือข้อคี่ 10 ข้อ ข้อคู่ 10 ข้อ จากนั้นจึงคำนวณหาค่าสหสัมพันธ์ของ คะแนนรวม ครึ่งแรก – ครึ่งหลัง หรือคะแนนรวมข้อคู่ ข้อคี่ ผ่านสูตรของ Spearman-Brown , Horst , Rulon , Guttman , สำเริง บุญเรืองรัตน์ - Spearman-Brown เป็นการหาค่าความเชื่อมั่นโดยวิธีแบ่งครึ่งข้อสอบมีความคิด พื้นฐานมาจากการหาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้แบบทดสอบคู่ขนาน กล่าวคือ จะนาแบบทดสอบที่ต้องการ หาค่าความเชื่อมั่นไปทดสอบกับนักเรียนเพียงครั้งเดียว แล้วแบ่งแบบทดสอบนั้นออกเป็น 2 ฉบับ ย่อย ๆ โดยพยายามทำให้แบบทดสอบทั้งสองฉบับย่อยมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากที่สุดเท่าที่จะทา ได้ทั้งนี้อาจแยกข้อคาถามข้อคู่รวมเป็นฉบับหนึ่ง และนำข้อคาถามข้อคี่รวมเป็นอีกฉบับหนึ่ง หรือ อาจจะแบ่งแบบทดสอบออกเป็นครึ่งฉบับแรกและครึ่งฉบับหลัง หรืออาจแบ่งโดยการสุ่มข้อคำถามก็ ได้จากนั้นจึงนำคะแนนของแบบทดสอบย่อยทั้ง 2 ฉบับ มาหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โดยใช้สูตร ของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation ) ได้ค่าความเชื่อมั่นครึ่งฉบับ จากนั้นจึงนำมา ปรับขยายค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบให้เต็มฉบับ โดยนาสูตรการประมาณค่าความเชื่อมั่นเมื่อเพิ่ม จานวนข้อคำถามของ สเปียร์แมน-บราวน์( Spearman-Brown ) - Horst ได้เสนอสูตรการปรับขยายค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบในกรณีที่ แบบทดสอบย่อยทั้ง 2 ฉบับมีจำนวนข้อไม่เท่ากัน (หรือเท่ากันก็ใช้ได้) การใชสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบราค (Cronbach’s Alpha Coefficient) การหาความสอดคล้องภายในโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่าง แพร่หลาย เนื่องจากสามารถใช้กับแบบสอบถามมาตรวัดแบบลิเคิร์ท (Likert Scale) แบบมาตร ประมาณค่า (Rating Scale) และแบบเลือกตอบ (Check-list) ซึ่งให้ค่า 2 ค่า (Dichotomous) เช่น ตอบ ถูก ให้ 1 คะแนน ตอบผิด ให้ 0 คะแนน หรือตอบถูก ให้ 2 คะแนน ตอบผิดให้ 1 คะแนน เป็นต้น นอกจากนี้ การวิเคราะห์หาค่าความสอดคล้องภายในโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ยัง สามารถใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS ช่วยในการวิเคราะห์
24 ระดับความพึงพอใจ 1. ความหมาย สมหมาย เปียถนอม (2551: 4-6) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคติ ที่ มีลักษณะเป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นรูปร่างได้ เมื่อบุคคลได้รับการตอบสนองความต้องการจะเกิด ความรู้สึกที่เป็นสุข และความพึงพอใจเป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรมในการแสดงออกของบุคคลที่มีผลต่อการเลือก ที่จะปฏิบัติในกิจกรรมนั้นๆ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553: 25) ให้ความเห็นว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของ บุคคลที่มีต่อการทำงานในทางบวก เป็นความสุขของบุคคลที่เกิดจากการปฏิบัติงานและได้ผลตอบแทนคือ ผล ที่เป็นความพึงพอใจที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกกระตือรือร้น มีความมุ่งมั่น และมีขวัญกำลังใจที่จะทำงาน ซึ่ง สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน รวมทั้งส่งผลต่อความสำเร็จและการบรรลุ เป้าหมายขององค์กร จากความหมายของความพึงพอใจดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก ความ คิดเห็น หรือทัศนคติของบุคคลที่เป็นผู้รับบริการและได้รับการตอบสนองที่ตรงกับความคาดหวังหรือดีเกินกว่า ความคาดหวังของบุคคล 2. เครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ โยธิน แสวงดี. (2551: 9). กล่าวว่า มาตรวัดความพึงพอใจสามารถกระทำได้หลายวิธีได้แก่ 1. การใช้แบบสอบถาม ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยให้กลุ่มบุคคลที่ต้องการวัดแสดง ความคิดเห็นลงในแบบสอบถามที่กำหนด เพื่อต้องการทราบความคิดเห็น ซึ่งสามารถทำได้ในลักษณะที่กำหนด คำตอบให้เลือกหรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าวอาจถามความพึงพอใจในด้านต่างๆ เช่น การบริหารและ การควบคุมงาน และเงื่อนไขต่างๆ เป็นต้น 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีวัดความพึงพอใจทางตรงทางหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคความชำนาญพิเศษของ ผู้สัมภาษณ์และวิธีการที่ดีจึงจะทำให้ผู้ตอบคำถามตอบตามข้อเท็จจริง ได้ข้อมูลที่เป็นจริงได้ 3. การสังเกต เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่าจะแสดงออก จากการพูด กิริยาท่าทาง วิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจังและการสังเกตอย่างมีระเบียบแบบแผน จะเห็นได้ว่า การวัดความพึงพอใจต่อการให้บริการนั้นสามารถกระทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความ สะดวก เหมาะสมตลอดจนจุดมุ่งหมายของการวัดด้วย จึงจะส่งผลให้การวัดนั้นมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือได้ สรุปได้ว่าความสําคัญของความพึงพอใจในการบริการเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของผู้รับผู้บริการและ ความพึงพอใจในงานของผู้ปฏิบัติงานบริการ ซึ่งนับว่าความพึงพอใจทั้งสอง ลักษณะมีความสําคัญต่อการ พัฒนาคุณภาพของการบริการและการดําเนินงานบริการให้ประสบ ความสําเร็จ เพื่อสร้างและรักษาความรู้สึก ที่ดีต่อบุคคลทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการบริการในด้านความ สะดวกในการเข้าถึงบริการ พฤติกรรมการแสดงออก ของผู้ให้บริการตามบทบาทหน้าที่และ ปฏิกิริยาตอบสนองการบริการต่อผู้รับบริการ ความรับผิดชอบต่องาน
25 การใช้ภาษาสื่อความหมาย และการปฏิบัติตนในการให้บริการ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการสร้างความ พึงพอใจให้กับลูกค้าด้วย ไมตรีจิตของการบริการที่แท้จริง 3. วิธีการสรางเครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ มีขั้นตอนดังนี้ได้แก่ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการสร้างแบบสอบถาม 2. ระบุเนื้อหาหรือประเด็นหลักที่จะถามให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ที่จะประเมิน 3. กำหนดประเภทของคำถามโดยอาจจะเป็นคำถามปลายเปิดหรือปลายปิด 4. ร่างแบบสอบถาม โครงสร้างแบบสอบถามอาจแบ่งเป็น 3 ตอน คือ - ตอนที่ 1 ข้อมูลเบื้องต้น/ข้อมูลทั่วไป - ตอนที่ 2 ข้อมูลหลักเกี่ยวกับเรื่องที่จะถาม - ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ 5. ตรวจสอบข้อคำถามว่าครอบคลุมเรื่องที่จะวัดตามวัตถุประสงค์หรือไม่ 6. ให้ผู้เชียวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเนื้อหาและภาษาที่ใช้ 7. ทดลองใช้แบบสอบถามเพื่อดูความเป็นปรนัย ความเชื่อมั่นและเพื่อประมาณเวลาที่ใช้ 8. ปรับปรุงแก้ไข 9. จัดพิมพ์และทำคู่มือ 4. การประเมินระดับความพึงพอใจดวยคาเฉลี่ย ระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดยเรียงลำดับจากระดับมากที่สุดถึงน้อย ที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึงพอใจมาก มีความพึงพอใจปานกลาง มีความพึงพอใจ ค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับดังกล่าวกำหนดโดยเกณฑ์ช่วงค่าเฉลี่ยของบุญชม ศรี สะอาด (ออนไลน์. 2566) ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมากสุด คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อยสุด ผลการเรียนรู 1. ความหมาย องคการยูเนสโก (UNESCO) กล่าวว่าผลการเรียน (Outcomes) คือ ผลที่คาดหวัง หรือ ผลสำเร็จของหลักสูตร หรือการบรรลุเป้าหมายของวัตถุประสงค์ขององค์กรดังที่แสดงให้เห็นได้โดยระดั[
26 ตัวชี้วัด เช่น ทัศนคติ ทักษะทางปัญญา และความรู้ของนักเรียน ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน (Student Learning Outcomes) จะเป็นตัวที่บอกถึงสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องรู้ เข้าใจ และสามารถนำไปปฏิบัติได้ภายหลังจาก ที่ได้สำเร็จกระบวนการในการเรียนรู้แล้ว เช่นเดียวกันกับทักษะทางปัญญาและทักษะในทางปฏิบัติที่ผู้เรียน จะต้องได้รับและปฏิบัติได้หลังจากสำเร็จในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ รายวิชา หรือหลักสูตรรายวิชา หรือหลักสูตร 2.2 การจําแนกประเภท 2.2.1 ดานความรู (Knowledge: K) ) จุดประสงค์การเรียนรู้ที่เน้นความสามารถทางสมอง หรือความรอบรู้ในเนื้อหาวิชาหลักการ หรือทฤษฎีพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านนี้สามารถวัดได้จากการให้ผู้เรียน แจกแจงความรู้ เขียนรายการสิ่งที่รู้ ยกตัวอย่างประยุกต์กฎต่างๆที่เรียนไปหรือวิเคราะห์สถานการณ์ 2.2.2 ดานทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) ) จุดประสงค์การเรียนรู้เกี่ยวกับ การพัฒนาทักษะทางกาย เน้นหนักด้านการวางท่าทางให้ถูกต้องและเหมาะสมกับการปฏิบัติงานแต่ละชนิด สามารถระบุพฤติกรรมที่แสดงออกได้จากการตีความทักษะหรือการปฏิบัติออกมาเป็นพฤติกรรม ซึ่งสังเกตได้ จากความถูกต้องแม่นยำ ความว่องไว คล่องแคล่ว และสม่ำเสมอ 2.2.3 ดานคุณลักษณะอันพึงประสงค (Attribute: A) เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกการเห็นคุณค่า และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในด้านต่าง ๆ 2.3 วิธี/เครื่องมือวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ที่เน้นหนักในด้านความสนใจ เจตคติ ค่านิยม อารมณ์และความประทับใจซึ่งวัดได้โดยการสังเกต แต่บางเรื่องก็ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง การระบุ พฤติกรรมที่คาดหวังให้ผู้เรียนแสดงออกนั้น ต้องอาศัยการรวบรวมพฤติกรรมที่ชี้ถึงความรู้สึก เจตคติและ ค่านิยมของตนเองและผู้อื่น แล้วนำมาใช้ในการกำหนดเป็นพฤติกรรมที่คาดหวัง 2.3.1 ดานความรู (Knowledge: K) - ข้อสอบแบบถูก-ผิด (True-false) - ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching) - ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice) - ข้อสอบแบบตอบสั้น (Short answer) - ข้อสอบแบบความเรียง (Essay) 2.3.2 ดานทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) - แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement test) - แบบทดสอบวินิจฉัย (Diagnostic test) - แบบทดสอบวัดเชาวน์ปัญญาและความถนัด (Intelligence and aptitude test) 2.3.3 ดานคุณลักษณะอันพึงประสงค(Attribute: A) - แบบมาตรวดประมาณค่า (Rating scale) - แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) - แบบบันทึกพฤติการณ์ (Attitude test)
27 งานวิจัยที่เกี่ยวของ 1. งานวิจัยที่ทําการทบทวน การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผู้วิจัยทำการทบทวนงานเฉพาะวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับการใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบ MIA พัฒนา/แก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่องการอ่านออกเสียงของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ผลการทบทวนดังกล่าวนำเสนอตามลำดับ ดังนี้ 1.1 นางสาวฐานิตา ตันเต็ม (2566) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดบ้าน เกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2) ผล การศึกษาการทดลองการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 3) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีผลต่อวัตถุประสงค์ของการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 1.2 นางสาวณัฐสุดา มีมาสุข (2566) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดบ้าน เกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2) ผล การศึกษาการทดลองการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 3) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีผลต่อวัตถุประสงค์ของการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 1.3 นางสาวปริญทิพย์ คำแสน (2566) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดบ้าน เกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2) ผล การศึกษาการทดลองการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 3) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีผลต่อวัตถุประสงค์ของการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA
28 1.4 นางสาวพัสตราภรณ์ มิตแจ่ม (2566) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดบ้าน เกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2) ผล การศึกษาการทดลองการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 3) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีผลต่อวัตถุประสงค์ของการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2. การสรุปประเด็น จากงานวิจัยที่ผู้วิจัยทำการทบทวนทั้งสิ้นจำนวน 2 เรื่อง ขอสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผลการ ทบทวนดังกล่าวเป็นรายข้อ ดังนี้ 1. สุภิญญา ยี่หมัดอะหลี(2556) ทำวิจัยเรื่องผลการใช้วิธีสอนแบบ MIA ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก ที่มีต่อความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษและความสามารถในกาคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนอ่านแบบ MIA (Murdoch Integrated Approach) ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิกมีความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษและความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 3.01 และสอดคล้องกับงานวิจัย ของ นราธิป เอกสินธุ์ (2557) 2. นราธิป เอกสินธุ์ (2557) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ ภาษาอังกฤษโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่นสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามแนวการสอนอ่านของ เมอร์ดอค (MA) ผลจากการวิจัยพบว่า ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษา อังกฤษโดยใช้สาระการ เรียนรู้ท้องถิ่นสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามแนวการสอนอ่านของเมอร์ดอค (MA) หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงนำมาเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นำมาปรับ ใช้ในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอนตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตราที่ 22 มาตราที่ 24 วงเล็บ 5 มาตราที่ 30 และจากข้อบกพร่องหรือข้อเสียของการใช้สื่อ นวัตกรรมเดิม
29 3. ประเด็นที่ทําการวิจัยตอยอด จากการสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผลการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเป็นรายข้อก่อน หน้าแล้วพบว่า การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA มีประเด็นความรู้ที่แตกต่างจากการสรุปประเด็นดังกล่าวคือ 1. ยังไม่มีนักวิจัยท่านใดใช้วิธีแก้ปัญหาผู้เรียนกับเรื่องที่นักศึกษากับเรื่องที่นักศึกษากำลังทำวิจัย
30 บทที่ 3 วีธีดําเนินการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามกรอบของหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ ระเบียบวิธีวิจัย ดำเนินการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) ร่วมกับวิจัยเชิง ปฏิบัติการ (Action Research) วิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ร่วมกับข้อมูลเชิง คุณภาพ (Quantitative Data) แหลงขอมูลการวิจัย กลุมเปาหมาย นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านเกาะ จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ห้อง 1 จำนวน 16 คน คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย 1. นวัตกรรม 1.1 เครื่องมือที่เปนนวัตกรรม นวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA เพื่อทดลองใช้จัดกิจกรรมการ เรียนรู้สำหรับการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 คือ การจัด กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 1.2 วิธีการสรางและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผล(Rational Approach) และเชิงประจักษ์(Empirical Approach) ตามแนวคิดของ เผชิญ กิจระการ (2544) ดังนี้ การสรางและหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล ให้ดำเนินการตามลำดับขั้น 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่ เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ซึ่งการวิจัยนี้จะพัฒนาการอ่านออกเสียงของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยอ้างอิงตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการของเมอร์ดอกช์มีขั้นตอนดังนี้ 1. คำถามนำก่อนการอ่าน (Priming Questions) 2. ทำความเข้าใจกับคำศัพท์(Understanding Vocabulary) 3. อ่านเนื้อเรื่อง (Reading the Text) 4. ทำความเข้าใจเนื้อเรื่อง (Understanding the Text) 5. การถ่ายโอนข้อมูลในรูปแบบอื่น (Information Transfer)
31 6. การทำแบบฝึกหัดต่อชิ้นส่วนประโยคและเรียงโครงสร้างอนุเฉท (Jigsaw Exercise and Paragraph Structure) 7. การประเมินผลและการแก้ไข (Evaluation and Correction) เป็นการสอนการอ่านที่เน้น การฝึกใช้ทักษะต่างๆ คือ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่านและทักษะการเขียนควบคู่กันไปตลอด โดยมีลำดับขั้นการสอนคือ คำถามนำก่อนการอ่าน การให้ความรู้ ด้านคำศัพท์ การอ่านและวิเคราะห์เรื่อง การ ทำความเข้าใจเนื้อเรื่อง การถ่ายโอนข้อมูลการทำ แบบฝึกหัดต่อชิ้นส่วนประโยคและเรียงโครงสร้างอนุเฉท การ ประเมินผล และการแก้ไขข้อผิดพลาด ซึ่งเป็นไปตามลำดับเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเป็นหลัก ตลอดจน ความสามารถด้านอื่นๆพร้อมกันไปด้วย 2. สร้างฉบับร่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA โดยอ้างอิงจากผลการศึกษาเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้อ 1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินความเหมาะสมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญ ประเมินประสิทธิภาพเชิงเหตุผล แบบประเมินความเหมาะสมที่สร้างแสดงแล้วในภาคผนวกที่ 2 4. สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item –Objective Congruence: IOC) ของแบบประเมินความเหมาะสมเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญทำการประเมินค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแต่ละข้อคำถาม (Item) ของแต่ละประเด็น แบบประเมินค่า IOC กล่าวแล้วในภาคผนวกที่ 2 5. นำแบบประเมินค่า IOC ของแบบประเมินความเหมาะสมของ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำ การประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็น แต่ละข้อคำถามที่ประเมินต้องมี ค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามีความตรง จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมี ความเที่ยงตรง ผลการประเมินพบว่า แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรม มีค่า IOC ระหว่าง 0.6 ถึง 1 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามีความตรง จึงลงข้อสรุปว่า แบบสอบถาม เพื่อวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของ แบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมแสดงแล้วดังภาคผนวกที่ 2 6. นำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA ที่สร้างฉบับร่างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา ด้านภาษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมินความ เหมาะสมด้วยแบบประเมิน แต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 จึงจะตัดสิน ว่า ข้อคำถามที่ประเมินมีความเหมาะสม 7. นำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA ที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ 6 มาแก้ไขปรับปรุงตาม คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 8. จัดทำรูปเล่มการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA ที่ผ่านการสร้างและหาคุณภาพเชิงเหตุผลแล้ว
32 การสรางและหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ ดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล 1. นำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA ที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพ เชิงประจักษ์กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็น คนละกลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายการวิจัยการหาประสิทธิภาพจะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 = 80/80 เมื่อ E1 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำกิจกรรม และการทดสอบย่อยระหว่างการ ทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA ซึ่งเกณฑ์ประเมินผ่านคือ ร้อยละ 80 E2 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสิ้นสุดการทดลองใช้การ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA ซึ่งเกณฑ์ประเมินผ่านคือ ร้อยละ 80 การตัดสินประสิทธิภาพจากการทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA เมื่อเทียบกับเกณฑ์ ประสิทธิภาพที่กำหนดขึ้นว่า ถ้าค่าร้อยละของคะแนนที่คำนวณของ E1= 80 ±2.55แสดงว่า ประสิทธิภาพของ E1 เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 80 แต่ถ้ามากกว่า หรือน้อยกว่า 80±2.5 แสดงว่า ประสิทธิภาพของ E1 สูงกว่า หรือ น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้ง ต้องปรับนวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาให้เท่ากับเกณฑ์ที่ตั้งคือ 80/80 ส่วนการตัดสิน ประสิทธิภาพของ E2 ทำเช่นเดียวกับ E1 และถ้าร้อยละของคะแนนระหว่าง E1และ E2 ต่างกันมากกว่าร้อย ละ 5 แสดงว่าประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA มีประสิทธิภาพไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ต้อง ทำการปรับปรุงใหม่ 2. จัดทำรูปเล่มการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป้าหมายการวิจัย ข้อตกลง เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการคือ 1) โรงเรียนบ้านเกาะ เป็นโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งสำหรับ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้วเปิดการเรียนการสอนเพียงขั้นเรียนเดียวและมีนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 16 คน ดังนั้น ด้วยปัจจัยจำกัดดังกล่าว จึงสร้างข้อตกลงว่า การทำวิจัยครั้งนี้จะขอละเว้นการหาประสิทธิภาพ เชิงประจักษ์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA 2. เครื่องมือรวบรวมขอมูล 2.1 ชนิดของเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามวัดระดับความพึง พอใจ แบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรม แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แบบเชิญ ผู้เชี่ยวชาญประเมิน IOC 2.2 วิธีการสรางและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผลและเชิง ประจักษ์ดังนี้
33 การสรางและหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล ดำเนินการตามลำดับขั้น 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่ เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะ เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดจะสร้างตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการต่าง ๆ ดังนี้ 1.1แผนการจัดการเรียนรู้ สร้างตามแนวคิด ทฤษฎีของ หลักการ วิธีการทางการของจอร์จ เอส เมอร์ดอค (Murdoch, 1986) 1.2 แบบสอบถามวัดความพึงพอใจ สร้างตามแนวคิด ทฤษฎีของ หลักการ วิธีการทางการ ของ(บุญชม ศรีสะอาด,2545) ซึ่งเป็นที่มาของหลักการสร้างระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดยเรียงลำดับจากระดับมากที่สุดถึงน้อยที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึงพอใจ มาก มีความพึงพอใจปานกลาง มีความพึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับดังกล่าว กำหนดโดยเกณฑ์ช่วงค่าเฉลี่ยของ บุญชม ศรีสะอาด ดังนี้ ระดับความพึงพอใจ ระดับค่าเฉลี่ย มากที่สุด 5 มาก 4 ปานกลาง 3 พอใช้ 2 น้อย 1 2. สร้างฉบับร่างการสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ โดยอ้างอิงผลการศึกษาเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้อย่อยข้อ1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินค่า IOC เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แต่ละข้อ คำถามของแต่ละประเด็นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด แบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวม ข้อมูลแต่ละชนิดกล่าวแล้วในภาคผนวกที่ 2 4. นำแบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่สร้างฉบับร่างไปให้ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการ ประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นด้วยแบบประเมิน IOC แต่ละข้อคำถามของ แต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามีความตรง จึง จะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินพบว่า 4.1 แต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบมีค่าดรรชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.5 ถึง 1 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามีความตรง จึงลงข้อสรุปว่า แต่ละข้อของแบบทดสอบสอบมีความ เที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบแสดงแล้วดัง 2 4.2 แต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจมีค่าดรรชนีความสอดคล้อง ระหว่าง 0.5 ถึง 1 หรือผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 2 ใน 3 คนจึงลงข้อสรุปว่า แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจมี
34 ความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบถามวัดระดับความพึงพอใจแสดงแล้วดัง ภาคผนวกที่ 2 5. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ4 มาแก้ไขปรับปรุง ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 6. จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ทำการแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล 1. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านเกาะ อำเภอพิชัยจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็น คนละกลุ่มกับกลุ่มที่เป็นเป้าหมายการวิจัย การหาค่าความเชื่อมั่นใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอ นบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยมีเกณฑ์ประเมินผ่านทั้งฉบับที่ 0.7 ถ้าน้อยกว่าต้องทำการ ปรับปรุงเครื่องมือใหม่ 2. ปรับปรุงเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดหากพบว่า ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาต่ำกว่า 0.7 3. ยกเว้นแบบทดสอบ จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด พร้อมสำหรับการนำไปทดลอง ใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็น กลุ่มเป้าหมายการวิจัย สำหรับแบบทดสอบนั้น เมื่อทำการประเมินความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นแล้ว ก่อน นำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป้าหมายการวิจัย ต้องดำเนินการต่อ จากข้อ 3 เพื่อหาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจ การจำแนกต่อดังนี้ 4. นำแบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ความยากง่ายด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปข้อคำถามที่ดี ของแบบทดสอบประเภท 4 ตัวเลือกจะมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 (สุมาลี จันทร์ชะลอ. 2542) ถ้าเป็นประเภทแบบถูก-ผิด จะมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.60–0.95 (Nunnally.1967; อ้างถึงใน เยาวดี รางชัยกุลวิบูลย์ศรี. 2552) 5. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใช้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 6. จัดทำรูปเล่มของแบบทดสอบ พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรียนบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายการวิจัย ขอตกลง เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการเช่นเดียวกับดังกล่าวแล้วในหัวข้อ “วิธีการสร้างและหา คุณภาพของนวัตกรรม” จึงสร้างข้อตกลงว่า การวิจัยครั้งนี้จะละเว้นการหาประสิทธิภาพ เชิงประจักษ์ซึ่ง ประกอบด้วย การหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลทุกชนิด การหาค่าความยากง่าย และค่า อำนาจการจำแนกซึ่งเฉพาะสำหรับแบบทดสอบ
35 การดําเนินการรวบรวมขอมูล 1. ทำหนังสือถึงคณะบดีคณะครุศาสตร์เพื่อร้องขอให้คณะครุศาสตร์ออกหนังสือราชการถึง ผู้อำนวยการ 4 โรงเรียนบ้านเกาะ อำเภอพิชัยจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อขออนุญาตที่จะทดลองใช้การจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบ MIA เพื่อปรับปรุงหรือพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการอ่านออกเสียง ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 2. ประชุม ชี้แจง และสร้างข้อตกลงกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เกี่ยวการทดลองใช้การ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงกับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA 4. ทำการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภายหลังการจัด กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงหรือพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการอ่านออกเสียงโดยทดลองใช้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA 5. ให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตอบแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจจากการจัด กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงโดยทดลองใช้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA การวิเคราะหขอมูล 1. การวิเคราะหขอมูลเพื่อหาคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือการวิจัย 1.1 ความเหมาะสมของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย และ ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.2 ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA วิเคราะห์ด้วยเกณฑ์ ประสิทธิภาพ E 1 /E 2 วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.3 ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด วิเคราะห์ด้วยค่าดรรชนี ความสอดคล้องหรือ IOC วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.4 ความเชื่อมั่นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด วิเคราะห์ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอ นบาค วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.5 ความยากง่ายของแบบทดสอบแต่ละข้อ วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.6 ค่าอำนาจการจำแนกของแบบทดสอบแต่ละข้อ วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำเร็จรูป
36 2. การวิเคราะหขอมูลการวิจัย 2.1 ผลการเรียนรู้ของนักเรียน วิเคราะห์ด้วยค่าคะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.2 ระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียน วิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบร้อยละของค่าคะแนนเฉลี่ยกับ ระดับผลการเรียนรู้ตามประเมินผ่านระดับชั้นเรียน 2.3 ผลการทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ MIA วิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ One - Sample t Test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ α 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิธีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 2.4 ระดับความพึงพอใจ วิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิธีการวิเคราะห์ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 2.5 เกณฑ์ประเมินระดับความพึงพอใจของนักเรียนวิเคราะห์ด้วยช่วงระดับค่าเฉลี่ยตามเกณฑ์ ของบุญชม ศรีสะอาด การนําเสนอผลการวิเคราะหขอมูล นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตาราง พร้อมทั้งบรรยายเป็นความเรียงประกอบ
37 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหขอมูล การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผู้วิจัยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตาม ประเด็นของวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านการอ่าน ออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA 2. เพื่อการศึกษาการทดลองใช้แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาด้านอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้รูปแบบ MIA 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการทดลองใช้ แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผลการพัฒนาการจัดการเรียนรูรูปแบบ MIA 1. นวัตกรรมการเรียนรูที่สราง ประกอบด้วย 1.1แผนการจัดการเรียนรูรูปแบบ MIA จํานวน 10 แผน ใชเวลา 10 ชั่วโมง 1.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง What have you got ? ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1.1.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง Favorite subject ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1.1.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง About myself ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1.1.4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง Classroom ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1.1.5 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง Present simple tense 1 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1.1.6 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง Present simple tense 2 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1.1.7 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง Present simple tense 3 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1.1.8 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง My activity ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1.1.9 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง School day 1 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 1.1.10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10 เรื่อง School day 2 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง รายละเอียดของการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA แสดงแล้วดังภาคผนวกที่ 3
38 2. การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนรู 2.1 การหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล (Rational Approach) เมื่อประเมินความเหมาะสมของ การจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA ด้วยแบบประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ผลการ ประเมินแสดงดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1: แสดงผลการประเมินความเหมาะสมของการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ประเด็นที่ประเมิน รายการประเมิน � . มาตราฐานการเรียนรู/ ตัวชี้วัด สอดคล้องกับเนื้อหาตามหลักสูตรสาระภาษาอังกฤษ 5.00 .000 ตัวชี้วัดสอดคล้องกับเนื้อหา 5.00 .000 จุดประสงคการเรียนรู จุดประสงค์การเรีย นรู้ระบุพฤติกรรมชัดเจน สามารถวัดได้ 4.33 1.155 สมรรถนะของผูเรียน ความสามารถในการสื่อสาร 4.67 .577 ความสามารถในการคิด 4.67 .577 แผนการจัดการเรียนรู มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ตรงตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 5.00 .000 สาระการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรู้สอดคล้องกับ ตัวชี้วัด 5.00 .000 กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสมกับจุดประสงค์และสาระการ เรียนรู้ 5.00 .000 กิจกรรมครอบคลุมสาระการเรียนรู้ 4.67 .577 กิจกรรมการเรียนรู้ MIA สร้างเสริมทักษะด้านการอ่าน ความสามารถของผู้เรียน 4.00 1.732 กิจกรรมการเรียนรู้มีความสอดคล้องตามขั้นตอน MIA 4.33 1.155 กิจกรรมน่าสนใจ จูงใจให้กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และร่วม กิจกรรม 3.67 2.309 สื่อการเรียนรู สื่อเหมาะสม กับวัย ความสนใจ ความสามารถของผู้เรียน 4.67 .577 สื่อสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการสอน 5.00 .000 การวัดและประเมินผล วัดได้ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.67 .577 เครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินครอบคลุมจุดประสงค์การ เรียนรู้ 4.00 1.000 เกณฑ์ที่ใช้วัดและประเมินผลครอบคลุมจุดประสงค์การ เรียนรู้ 4.67 .577 จากตารางที่ 1 พบว่า แต่ละรายการที่ประเมินของแต่ละประเด็นมีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.67 ถึง 5 ซึ่ง ผ่านเกณฑ์ประเมินขั้นต่ำคือ 3.50 ดังนั้น จึงสรุปว่าการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA มีความเหมาะสม
39 2.2 การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ(Empirical Approach)วิธีการหาประสิทธิภาพเชิง ประจักษ์ของการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA จะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 = 80/80 โดยนำ การจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA ที่หาประสิทธิภาพเชิงเหตุผลแล้วไปทดลองกับกลุ่มนักเรียนที่เป็นคนละกลุ่มกับ กลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมายการวิจัย แต่ตามข้อตกลงดังระบุในบทที่ 3 ว่า เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบาง ประการคือ โรงเรียนวัดบ้านเกาะ เป็นโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้ว เปิดการเรียนการสอนเพียงขั้นเรียนเดียวและมีนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 16 คน การทำวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยขอละเว้นการ หาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA ดังข้อตกลงแล้วในบทที่ 3 การพัฒนาผลการเรียนรู 1. คะแนนผลการเรียนรู จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษให้กับ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านเกาะ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 16 คน ซึ่งเป็น กลุ่มเป้าหมายโดยทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA คะแนนผลการเรียนรู้จากการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ดังกล่าวแสดงดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2:แสดงคะแนนผลการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA กับกลุ่มเป้าหมาย คะแนนเต็มเท่ากับ 100 คะแนน นักเรียน (คน) คะแนน คิดเปนรอยละ 1 70 70 2 75 75 3 79 79 4 81 81 5 85 85 6 79 79 7 87 87 8 87 87 9 70 70 10 91 91 11 85 85 12 78 78 13 85 85 14 84 84 15 80 80 16 79 79
40 รวมจํานวน16คน รวมค่าคะแนนทั้งหมด = 1295 รวมรอยละคาคะแนน = 1295 ค่าคะแนนเฉลี่ย = 80.93 = 5.93 คาคะแนนเฉลี่ยรอยละ = 80.93 = 5.93 จากตารางที่ 2 ภายหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษโดยทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA กับกลุ่มเป้าหมายพบว่า มีค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 80.93 คะแนน และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 5.93 คิดเป็นค่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80.93 และค่า เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 5.93 2. การเปรียบเทียบผลการเรียนรู เมื่อใช้ร้อยละค่าคะแนนเฉลี่ยผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การ พัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษกับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ Audio sound และโดยทดลองใช้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบแสดงดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3: แสดงผลและระดับผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่าน ออกเสียงภาษาอังกฤษโดยทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA เมื่อ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ของ สพฐ. ที่กำหนด เป็นเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน เกณฑประเมินผานระดับชั้นเรียนของเกณฑที่ใชเทียบ รอยละคาคะแนนเฉลี่ยและระดับผลการเรียนรูจากนวัตกรรม การเรียนรู รอยละคาคะแนน ระดับผลการเรียนรู รอยละคาคะแนนเฉลี่ย ระดับผลการเรียนรู 70 ดี 80.93 ดีมาก จากตารางที่ 3 พบว่า 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยทดลองใช้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA นั้น กลุ่มเป้าหมายมีค่าคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 80.93 ซึ่งสูงกว่าค่า คะแนนผลการเรียนรู้ที่กำหนดเป็นเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียนตามเกณฑ์ของ สพฐ. คือร้อยละ 70 จึงอธิบาย ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยทดลองใช้ การจัดการ เรียนรู้โดยใช้รูปแบบ MIA ทำให้มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมาย 2. เมื่อเปรียบเทียบระดับผลการเรียนรู้พบว่า ระดับผลการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมายจากการจัด กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยทดลองใช้การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้รูปแบบ MIA สูงกว่าระดับผลการเรียนรู้ที่กำหนดเป็นเกณฑ์ประเมินผ่านตามเกณฑ์ของสพฐ. คือที่ระดับดี มาก จากผลการวิเคราะห์ตารางที่ 3 จึงสรุปว่า เมื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ระหว่างการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้Audio sound กับการจัดกิจกรรมการ
41 เรียนรู้เรื่องเดียวกันโดยทดลองใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ทำให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรียนบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการการศึกษา 2566 เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 10.93 รวมถึงมีผลต่อการพัฒนาระดับผลการเรียนรู้ ของนักเรียนระดับชั้นดังกล่าว ระดับความพึงพอใจ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นการวิจัยตาม ตัวชี้วัดโดยการทดลอง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA ใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาที่ 4 ปี การศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 16 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายผู้วิจัยต้องการศึกษาระดับความพึงพอใจ ของของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อการทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจ แสดงดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4: แสดงระดับความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อการทดลองใช้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA เพื่อ พัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นการวิจัยตามตัวชี้วัด ประเด็นและรายการที่ประเมิน � . ระดับความพึงพอใจ เนื้อหารายวิชา 1. รายวิชาเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน 2.88 .885 พอใช้ 2. รายวิชาเหมาะสมกับพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน 3.56 .727 ปานกลาง รวม 3.22 .806 ปานกลาง ดานครูผูสอน 1. ผู้สอนมีการเตรียมการสอนล่วงหน้า 3.19 1.32 ปานกลาง 2. ผู้สอนมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ใน เนื้อหาวิชา 2.75 .931 พอใช้ 3. ผู้สอนมีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอนเป็นอย่างดี 2.94 .929 พอใช้ 4. ผู้สอนมีความรอบรู้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาการ 2.63 .806 พอใช้ 5. ผู้สอนมีความเป็นกันเองให้คำแนะนำและรับฟังความคิดเห็น 3.31 .806 ปานกลาง รวม 2.96 .958 พอใช้ ประเด็นและรายการที่ประเมิน � . การจัดการเรียนการสอน 1. มีการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3.38 1.088 ปานกลาง 2. มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ได้คิด วิเคราะห์ ปฏิบัติกิจกรรม 3.19 .911 ปานกลาง 3. มีกิจกรรมการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง 3.00 .816 ปลานกลาง 4. มีการใช้สื่อและเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมในการสอน เพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้ให้แก่นักเรียนอย่างเหมาะสม 2.88 .885 พอใช้
42 รวม 3.11 .925 ปานกลาง การวัดและประเมินผล � . 1. มีเกณฑ์การประเมินผลที่ชัดเจน 3.06 1.124 ปานกลาง 2. มีการประเมินผลการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ ที่จัดให้ผู้เรียนและอิงพัฒนาการของผู้เรียน 3.38 1.258 ปานกลาง 3. ใช้เทคนิคหรือวิธีการวัดและประเมินผลอย่างหลากหลาย 3.06 .929 ปานกลาง รวม 3.16 1.103 ปานกลาง รวมทั้งหมด 3.02 .948 ปานกลาง จากตารางที่ 4 พบว่า เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมกลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใช้ต่อการทดลองใช้การ จัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เป็นการวิจัยตามตัวชี้วัด ที่ระดับปานกลาง (� = 3.02 . =.948) แต่เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านโดยเรียงลำดับ ระดับค่าเฉลี่ยจากระดับมากสุดไปหาน้อยสุด 3 ลำดับ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อด้านเนื้อหารายวิชา (� =3.22 = .806) สูงสุด มีความพึงพอใจระดับปานกลาง รองลงมาคือด้านการวัดและประเมินผล (� =3.16 =1.103) ความพึงพอใจระดับปานกลางและลำดับสุดท้ายคือด้านครูผู้สอน (� =3.11 =.925) มี ความพึงพอใจระดับปานกลาง
43 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และขอเสนอแนะผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย เป้าหมายของการวิจัยเพื่อต้องการพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA โรงเรียนวัด บ้านเกาะ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้เพราะว่าจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย Audio sound พบว่า กลุ่มเป้าหมายมีผลการเรียนรู้ที่ระดับดี ตามเกณฑ์ของคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน (2553) ซึ่งแม้จะผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน แต่ระดับผลการเรียนรู้ด้านทักษะการอ่านยัง ค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับผลการเรียนรู้ระดับดี ด้วยสาเหตุดังกล่าว ผู้สอนจึงต้องการทำการวิจัยเพื่อพัฒนา ผลการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 โดยอาศัยแนวคิดของ เมอร์ดอค (Murdoch, 1986) ซึ่งเป็นผลจากการทบบทวนเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องผู้สอนจึงสร้างแผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA พร้อมทั้งกำหนดสมมติฐานการวิจัยว่า การทดลองใช้ แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA จัดกิจกรรมการเรียนรู้จะมีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนา ทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้รูปแบบ MIA และระดับความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมาย เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA กับกลุ่มตัวอย่างโดยทดลองใช้ แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA พบว่า 1. กลุ่มเป้าหมายมีผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 70 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10.93 2. ผลการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมายผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน 3. ผลการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ระดับดีมากเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (2553) ซึ่ง เท่ากับ ระดับผลการเรียนรู้ที่เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ 4. เมื่อทำการประเมินระดับความพึงพอใจซึ่งกำหนดเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านเนื้อหารายวิชา ด้าน ครูผู้สอน ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวัดและประเมินผล พบว่า เมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวม กลุ่มเป้าหมายมีความ พึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยภาพรวมทุกด้านที่ ระดับปานกลาง และมีความ พึงพอใช้เฉพาะต่อการใช้ แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA ที่ระดับ ปานกลาง จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวข้อ 1-4 สรุปว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้แผนการ จัดการเรียนรู้รูปแบบ MIA มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบ MIA โรงเรียนวัด