1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ผู้ปฏิบัติงานเป็นช่างประจำร้านซ่อมบำรุง รถยนต์ ร้านประดับยนต์เป็นอาชีพที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจนเกิดเป็นความชำนาญ และยังสามารถเปิดร้าน ซ่อม บำรุง รถยนต์เฉพาะทาง เช่น ร้านอู่ซ่อมรถ ร้านเครื่องเสียงรถยนต์ ร้านแอร์รถยนต์ ร้านประดับยนต์ เป็นต้น และเป็นงานบริการที่เน้นความต้องการของลูกค้า การใส่ใจในรายละเอียด ที่ต้องการที่จะ ปรับเปลี่ยน ตกแต่งรถยนต์ของลูกค้าให้มีความสวยงาม โดดเด่นและเพิ่มสมรรถนะมีความปลอดภัย มากขึ้น ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถของผู้มีความรู้ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติที่ต้องอาศัย เทคนิคและความชำนาญ ที่จะสามารถปฏิบัติงาน และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในการทำงานซอมบำรุง ประดับยนต์ได้ โดยในวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น เป็นการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการใช้ เครื่องมือประดับยนต์การใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์การติดฟิล์มกรองแสง สติก เกอร์ ถอดและติดตั้งระบบเครื่องเสียง กระจกรถยนต์อุปกรณ์ป้องกันการขโมย อุปกรณ์ตกแต่ง อุปกรณ์อํานวย ความสะดวกและการประมาณราคาค่าบริการ (หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 (ปรับปรุง พ.ศ.2565), 2565: 48) ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าวิชานี้มีความสำคัญกับ ผู้ปฏิบัติงานเป็นช่างซ่อมบำรุง ประดับยนต์ และสามารถเปิดกิจการร้านประดับยนต์ หรืออู่ซ่อมบำรุง ของตนเองได้ในอนาคต ผลการวิเคราะห์คะแนนจากแบบบันทึกผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ในรายวิชางาน อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้นของนักศึกษาชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยเทคนิค หนองคาย พบว่า เนื้อหา เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยร้อย ละ 75.00 ซึ่งเท่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย, 2566) ซึ่งผู้วิจัยมองเห็นว่านักศึกษา สามารถพัฒนาคะแนนให้เพิ่มขึ้นอีกได้ และนักศึกษาไม่สามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ไม่มีความ หลากหลาย หรือจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ไม่สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน ซึ่งทำ ให้ผู้เรียนไม่ได้แสดงออกเท่าที่ควร ขาดการคิดวิเคราะห์ และอาจเป็นเพราะวิชางานอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์เบื้องต้น เป็นวิชาที่เนื้อหาบางเรื่องยากเกินที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย จึงยากต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้และยากต่อการทำความเข้าใจอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้นักศึกษามีสมรรถนะไม่ เป็นไปตามเป้าหมาย รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ทักษะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับ พัฒนาการทางกายของผู้เรียน เป็นความสามารถในการประสานการทำงานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย
2 ในการทำงานที่มีความซับซ้อน และต้องอาศัยความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การ ทำงานดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการสั่งงานของสมอง ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทักษะ ปฏิบัตินี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการฝึกฝนที่ดีแล้ว จะเกิดความถูกต้อง ความ คล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญชำนาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถ สังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความเร็วหรือความราบรื่นในการจัดการ ซึ่งกระบวนการ เรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน มี 7 ขั้น ดังนี้ขั้นที่ 1 ขั้นการรับรู้ เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ใน สิ่งที่จะทำ โดยการให้ผู้เรียนสังเกตการทำงานนั้นอย่างตั้งใจ ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม เป็น ขั้นการปรับตัวให้พร้อมเพื่อการทำงานหรือแสดงพฤติกรรมนั้น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โดย การปรับตัวให้พร้อมที่จะเคลื่อนไหวหรือแสดงทักษะนั้นๆ และมีจิตใจและสภาวะอารมณ์ที่ดีต่อการที่ จะทำหรือแสดงทักษะนั้นๆ ขั้นที่ 3 ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรียน ในการตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำ หรือการแสดงทักษะนั้น หรืออาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนลองผิดลองถูก จนกระทั่งสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ขั้นที่ 4 ขั้น การให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จ ในการปฏิบัติ และเกิดความเชื่อมั่นในการทำสิ่งนั้น ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ เป็นขั้นที่ช่วย ให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการกระทำนั้นๆ จนผู้เรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ เป็นไปโดย อัตโนมัติ และด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง ขั้นที่ 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ เป็นขั้นที่ช่วยให้ ผู้เรียนปรับปรุง ทักษะหรือการปฏิบัติของตนให้ดียิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนได้รับการพัฒนาใน สถานการณ์ต่างๆ ขั้นที่ 7 ขั้นการคิดริเริ่ม เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่าง ชำนาญ และสามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเกิดความคิดใหม่ๆ ในการกระทำ หรือปรับการกระทำนั้นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ จากเหตุผลที่นำเสนอข้างต้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงต้องการศึกษารูปแบบการเรียนการสอนทักษะ ปฏิบัติของซิมพ์สัน ว่าจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ จะทำให้นักศึกษาชั้นประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นปีที่ 2 มีสมรรถนะรายวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น และความสามารถในการใช้ เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 หรือไม่ และ นักศึกษามีสมรรถนะรายวิชางานประดับยนต์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนหรือไม่ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์วิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการ เรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์
3 วิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการเรียนการสอนทักษะ ปฏิบัติของซิมพ์สัน ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ ร้อยละ 75 สมมติฐานการวิจัย ความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ด้วยการจัดการเรียนรู้โดย รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 ขอบเขตของงานวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยเทคนิค หนองคาย ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 2 ห้อง จำนวน 30 คน จังหวัด หนองคาย 2. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรต้น คือ รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน ตัวแปนตาม คือ สมรรถนะวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น ความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุธทศักราช 2562 (ปรับปรุง พ.ศ. 2565) วิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เครื่องมือวัดและทดสอบ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ ดังนี้ 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ทำการวิจัยในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 3 วงจร วงจรละ 2 แผน รวมทั้งหมด 6 แผนการจัดการเรียนรู้ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การวิจัยเชิงปฏิบัติการ หมายถึง การวิจัยที่มุ่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะ ปรับปรุง และพัฒนาเรื่องที่พบในการปฏิบัติงาน โดยการศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อระบุปัญหาที่เผชิญอยู่ โดยผู้วิจัยสามารถดำเนินการอย่างเป็น ระบบได้หลายๆ ครั้งจนกระทั่งแก้ปัญหาให้บรรลุผลตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ด้วย ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ เคมมิส และแม็คทากการ์ท (Kemmis and McTaggart) ในการดำเนินการวิจัยโดยผู้วิจัยปฏิบัติการเป็นวงรอบที่มี 4 ขั้นตอน ดังนี้
4 1. การวางแผน (Plan) หมายถึง การกำหนดแนวทางปฏิบัติการ โดยอาศัยการ คาดคะเนแนวโน้มของผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ โดยทั่วไปการวางแผน จะต้องคำนึงถึงความยืดหยุ่น เพื่อจะสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต 2. การปฏิบัติการ (Act) หมายถึง การลงมือดำเนินงานตามแผนที่กำหนดไว้ให้เป็นไป ตามที่ระบุไว้ในแผน โดยดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นพลวัตรภายใต้การใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจ 3. การสังเกตการณ์ (Observe) หมายถึง การเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ กระบวนการและผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานที่ได้ลงมือกระทำลงไป เพื่อจะได้เป็นแนวทางสำหรับ การสะท้อนกลับกระบวนการและผลการปฏิบัติที่จะเกิดขึ้นตามมา 4. การสะท้อนกลับ (Reflection) หมายถึง การให้ข้อมูลถึงการกระทำตามที่บันทึกไว้ จากการสังเกตในเชิงวิพากษ์กระบวนการและผลการปฏิบัติงานตามที่วางแผนไว้ตลอดจนการ วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ซึ่งใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการ ทบทวนและปรับปรุงวางแผนปฏิบัติการในวงจรกระบวนการวิจัยในรอบหรือเกลียวต่อไป 2. รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ทักษะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับ พัฒนาการทางกายของผู้เรียน เป็นความสามารถในการประสานการทำงานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย ในการทำงานที่มีความซับซ้อน และต้องอาศัยความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การ ทำงานดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการสั่งงานของสมอง ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทักษะ ปฏิบัตินี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการฝึกฝนที่ดีแล้ว จะเกิดความถูกต้อง ความ คล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญชำนาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถ สังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความเร็วหรือความราบรื่นในการจัดการ ซึ่งกระบวนการ เรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน มี 7 ขั้น ดังนี้ 1 ขั้นการรับรู้เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ในสิ่งที่จะทำ โดยการให้ผู้เรียนสังเกตการ ทำงานนั้นอย่างตั้งใจ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม เป็นขั้นการปรับตัวให้พร้อมเพื่อการทำงานหรือแสดง พฤติกรรมนั้น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โดยการปรับตัวให้พร้อมที่จะเคลื่อนไหวหรือแสดง ทักษะนั้น ๆ และมีจิตใจและสภาวะอารมณ์ที่ดีต่อการที่จะทำหรือแสดงทักษะนั้น ๆ 3 ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรียนในการ ตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำ หรือการแสดงทักษะนั้น หรือ อาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนลองผิดลองถูก จนกระทั่งสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง 4 ขั้นการให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เองเป็นขั้นที่ช่วยให้ ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติ และเกิดความเชื่อมั่นในการทำสิ่งนั้น ๆ
5 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการกระทำนั้น ๆ จน ผู้เรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ เป็นไปโดยอัตโนมัติ และด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงทักษะหรือการ ปฏิบัติของตนให้ดียิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนได้รับการพัฒนาในสถานการณ์ต่าง ๆ 7 ขั้นการคิดริเริ่ม เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชำนาญ และสามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเกิดความคิดใหม่ ๆ ในการ กระทำ หรือปรับการกระทำนั้นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ 2. สมรรถนะรายวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น หมายถึง ความสามารถในการใช้ เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ ของผู้เรียนจากการใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะ ปฏิบัติของซิมพ์สัน ที่วัดโดยใช้แบบทดสอบวัดสมรรถนะรายวิชา ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 3. ความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์หมายถึง ความสามารถ ในการใช้เครื่องมือวัด ของผู้เรียนจากการใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน ที่วัด โดยใช้แบบประเมินความสามารถโดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบแยกองค์ประกอบ เรื่อง ความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. ผู้วิจัยได้แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ เบื้องต้น สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้การเรียนการสอน ทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน 2. นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 ได้รับการพัฒนา และยกระดับความสามารถในการใช้ เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพ
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีจากเอกสารและงานที่เกี่ยวข้องโดย มีรายละเอียดดังนี้ 1. รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน 2. สมรรถนะรายวิชา 3. ทักษะการปฏิบัติ 4. วิจัยเชิงปฏิบัติงาน 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6. กรอบแนวคิดในการวิจัย รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน ผู้วิจัยได้ศึกษาคันคว้าเอกสารที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน จึงได้ นำเสนอทฤษฎีวัตถุประสงค์กระบวนการเรียนการสอน และผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตาม รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน จุฑารัตน์ อุสาทรัพย์(2556: ออนไลน์) ได้กล่าวถึง รูปแบบการเรียนการสอนของซิมพ์สันคือ ทักษะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับ พัฒนาการทางกายของผู้เรียน เป็นความสามารถในการประสาน การทำงานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย ในการทำงานที่มีความซับซ้อน และต้องอาศัยความสามารถใน การใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การทำงานดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการสั่งงานของสมอง ซึ่งต้องมี ความสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทักษะปฏิบัตินี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการ ฝึกฝนที่ดีแล้ว จะเกิดความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญชำนาญการ และความคงทน ผล ของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถสังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความเร็วหรือความ ราบรื่นในการจัดการ สรุปได้ว่า รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน หมายถึง ทักษะปฏิบัตินี้ สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการฝึกฝนที่ดีแล้ว จะเกิดความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญชำนาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถสังเกตได้จาก ความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความเร็วหรือความราบรื่นในการจัดการ
8 2. วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวหรือการ ประสานงานของกล้ามเนื้อทั้งหลายได้อย่างดี มีความถูกต้องและมีความชำนาญ (จุฑารัตน์ อุสาทรัพย์ 2556: ออนไลน์) สรุปได้ว่า วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน คือ ช่วยให้ ผู้เรียนมีความสามารถทางด้านทักษะปฏิบัติต่างๆ ที่ผู้เรียนปฏิบัติได้คล่องแคล่ว ถูกต้อง และชำนาญ 3. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน การพัฒนาทักษะปฏิบัติตามลำดับขั้นตอน ที่ซับซ้อนน้อยไปสู่ซับซ้อนมาก 7 ขั้นตอน ลักษณะ การจัดการเรียนการสอนของรูปแบบ ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นการรับรู้ เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ในสิ่งที่จะทำ โดยการให้ผู้เรียนสังเกตการ ทำงานนั้นอย่างตั้งใจ ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม เป็นขั้นการปรับตัวให้พร้อมเพื่อการทำงานหรือแสดง พฤติกรรมนั้น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โดยการปรับตัวให้พร้อมที่จะเคลื่อนไหวหรือแสดง ทักษะนั้น ๆ และมีจิตใจและสภาวะอารมณ์ที่ดีต่อการที่จะทำหรือแสดงทักษะนั้น ๆ ขั้นที่ 3 ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรียนในการตอบสนอง ต่อสิ่งที่รับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำ หรือการแสดงทักษะนั้น หรืออาจใช้ วิธีการให้ผู้เรียนลองผิดลองถูก จนกระทั่งสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ขั้นที่ 4 ขั้นการให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง เป็นขั้นที่ช่วยให้ ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติ และเกิดความเชื่อมั่นในการทำสิ่งนั้น ๆ ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการกระทำนั้น ๆ จน ผู้เรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ เป็นไปโดยอัตโนมัติ และด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง ขั้นที่ 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงทักษะหรือการ ปฏิบัติของตนให้ดียิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนได้รับการพัฒนาในสถานการณ์ต่าง ๆ ขั้นที่ 7 ขั้นการคิดริเริ่ม เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชำนาญ และ สามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเกิดความคิดใหม่ ๆ ในการกระทำ หรือปรับการกระทำนั้นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ (จุฑารัตน์ อุสาทรัพย์2556: ออนไลน์) สรุปได้ว่า กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน มีขั้นตอนการสอน 7 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นการรับรู้ ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม ขั้นที่ 3 ขั้น การสนองตอบภายใต้การควบคุม ขั้นที่ 4 ขั้นการให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำ ได้เอง และ ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ ขั้นที่ 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ขั้นที่ 7 ขั้น การคิดริเริ่ม
9 4. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ สัน ผู้เรียนจะสามารถกระทำหรือแสดงออกอย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ ในสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียน ทำได้ นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และความอดทนให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนด้วย (จุฑารัตน์ อุสาทรัพย์2556: ออนไลน์) สรุปได้ว่า ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของ ซิมพ์สัน คือ ผู้เรียนจะมีความสามารถทางด้านทักษะปฏิบัติจนสามารถกระทำอย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ ถูกต้องสมบูรณ์ และความอดทนให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนด้วย สมรรถนะรายวิชา 1. ความหมายของสมรรถนะ ธเนศ ขำเกิด (2555) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะว่า หมายถึง คุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่ ทำให้บุคลากรในองค์กรปฏิบัติงานได้ผลโดดเด่นกว่าคนอื่น โดยบุคคลนั้นแสดงคุณลักษณะเชิง พฤติกรรมมากกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ (2561: 11) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ รายวิชาหมายถึง ข้อความที่แสดงความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะปฏิบัติ และทักษะด้านความคิดในการปฏิบัติงานโดยให้เขียนครอบคลุม 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย แล้ว (กำหนดไว้ในหลักสูตร) สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ (2561: 11) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ ประจำหน่วย หมายถึง ความสามารถที่ผู้เรียนแสดงออกทั้งทางด้าน ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะที่พึง ประสงค์ของหน่วยนั้น สรุปได้ว่า สมรรถนะรายวิชางานประดับยนต์ หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการนำองค์ ความรู้ ทักษะ และเจตคติในแต่ละรายวิชานั้นๆ ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรนำมาประยุกต์ใช้ในการ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 2. การประเมินสมรรถนะรายวิชา ในการประเมินสมรรถนะรายวิชา ผู้วิจัยสนใจวัดความรู้ความเข้าใจภายในรายวิชาของ นักศึกษาจึงได้ใช้การวัดพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัย หรือวัดผลสัมฤทธิ์ โดยประเภทของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ มีนักวิชาการได้อธิบายไว้ ดังนี้ ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ได้จัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher made tests) และแบบทดสอบ มาตรฐาน (Standardized tests) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะถามเนื้อหาเหมือนกัน คือถามสิ่งที่ผู้เรียนได้รับ
10 จากการ เรียนการสอนซึ่งจัดกลุ่มพฤติกรรมได้ 6 ประเภท คือ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การ นำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมิน 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเองเพื่อใช้ในการทดสอบผู้ เรียนใน ชั้นเรียน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective tests) ได้แก่ แบบถูก - ผิด (True-false) แบบจับคู่ (Matching) แบบเติมคำให้สมบูรณ์ (Completion) หรือแบบคำตอบ สั้น (Short answer) และแบบ เสือกตอบ (Multiple choice) 1.2 แบบอัตนัย (Essay tests) ได้แก่ แบบจำกัดคำตอบ (Restricted response items) และแบบไม่จำกัดความตอบ หรือ ตอบอย่างเสรี (Extended response items) 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) เป็นแบบทดสอบที่สร้าง โดยผู้ เชี่ยวชาญที่ มีความรู้ในเนื้อหา และมีทักษะการสร้างแบบทดสอบ มีการวิเคราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบ มี คำชี้แจงเกี่ยวกับการดำเนินการสอบ การให้คะแนนและการแปลผล มีความเป็นปรนัย (Objective) มี ความเที่ยง ตรง (Validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) สมนึก ภัททิยธนี (2546: 63) ได้แบ่งชนิดของแบบทคสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน แบ่ง ออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1. แบบทคสอบที่ครูสร้าง (Teacher Made Test) หมายถึง แบบทคสอบ ที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ ของนักเรียนเฉพาะกลุ่มที่ครูสอน จะไม่นำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มอื่น เป็น แบบทดสอบที่ใช้ทั่ว ๆ ไปใน โรงเรียน 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) หมายถึง แบบทดสอบ ที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ เช่นเดียวกับแบบทคสอบที่ครูสร้างแต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพ ต่าง ๆ ของนักเรียนที่ ต่างกลุ่มกัน เช่น เปรียบเทียบคุณภาพของนักเรียนใบโรงเรียนแห่งหนึ่งกับ นักเรียนกลุ่มอื่น ๆ ทั่ว ประเทศ (แบบทดสอบมาตรฐานระดับชาติ) หรือกับนักเรียนกลุ่มอื่น ๆ ทั้งจังหวัด (แบบทดสอบ มาตรฐานระดับจังหวัด) เป็นต้น พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2550: 300) ได้สรุปประเภทของแบบทคสอบวัคผลสัมฤทธิ์ ได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher - made Test) เป็นแบบทคสอบ ที่ใช้วัดและ ประเมินผลการเรียนการสอนในห้องเรียน ส่วนมากเป็นข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในการ เรียนวิชาต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอบ หรือเป็นข้อสอบเพื่อประเมินผลการเรียนการสอ 2. ข้อสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทคสอบที่สร้างขึ้น แล้วนำไปใช้ทดสอบ และวิเคราะห์ผลการสอบตามวิธีการ เพื่อปรับปรุงคุณภาพและใช้เป็นมาตรฐานในการทคสอบกับเด็ก ๆ ทั่วไป มีการหาเกณฑ์ปกติ (Norm) เพื่อใช้เป็นหลักใน การเปรียบเทียบคำว่ามาตรฐาน
11 สมชาย วรกิจเกษมสกุล (2553 ก: 1 10-111) ได้สรุปประเภทของแบบทคสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ดังนี้ 1. จำแนกตามการสร้าง ได้แก่ 1.1 แบบทคสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ครูสร้างขึ้น (Teacher-made Test) เป็น แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ที่ครูผู้สอนได้สร้างขึ้นเอง เพื่อใช้กับนักเรียนที่คนเองได้สอน เนื่องจาก สามารถสร้างแบ บทคสอบที่สอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ แ ละจะมีความยาก ง่ายเหมาะสมกับกลุ่มผู้สอบ 1.2 แบบทคสอบมาตรฐาน (Standardize Test) เป็นแบบทคสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ที่มีการ สร้างเก็บไว้โดยได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ มีมาตรฐานในการดำเนินการ ทดสอบและมีการแปล ความหมายของคะแนนที่ใด้อย่าชัดเจน ที่จะทำให้คะแนนที่ได้รับจากแบบทคสอบประเภทนี้สามารถ นำไปเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มนักเรียนได้ แต่อาจไม่เหมาะสบ สำหรับทุกสถานศึกษาที่มีจุดมุ่งหมาย การเรียนการสอนหรือหลักสูตรสถานศึกษาที่แดกต่างกัน 2. จำแนกตามรูปแบบคำถาม ได้แก่ 2.1 แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) เป็นแบบทคสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ที่กำหนดให้ นักเรียน ได้เขียนตอบ โดยแสดงความรู้ความเข้าใจ เจตกติได้อย่างอิสระ เพิ่มความสามารถของตนเอง ที่ในการทดสอบครั้งหนึ่ง ๆ อาจมีคำถามเพียง 5-10 ข้อเท่านั้น 2.2 แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) เป็นแบบทคสอบที่กำหนดให้ ตอบสั้น ๆ หรือ ให้เลือกคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเคียวจากคำตอบที่กำหนดให้ จำแนกเป็นดังนี้ 2.2.1 แบบทดสอบแบบถูก - ผิด (True-false Test) 2.2.2 แบบทคสอบแบบเติมคำ (Completion Test) 2.2.3 แบบทดสอบแบบจับคู่ (Matching Test) 2.2.4 แบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) 3. จำแนกตามการแปลผล ได้แก่ 3.1 แบบทคสอบอิงกลุ่ม (Norm - Referenced Test) เป็นแบบทดสอบที่ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความแตกค่างระหว่างความรู้ความสามารถของผู้สอบ ดังนั้น แบบทคสอบอิงกลุ่มจึง สร้างและนำมาใช้เพื่อจำแนกระดับความรู้ความสามารถของผู้สอบที่แตกต่าง กัน คะแนนสอบที่ได้จึง นำไปแปลผลโดยการเปรียบเทียบความรู้ความสามารถระหว่างกลุ่มผู้สอบ ด้วยกัน 3.2 แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion - Referenced Test) เป็น แบบทดสอบที่มุ่งวัด ระดับผลการเรียนรู้ความรอบรู้ของนักเรียน ว่ามีความรู้ความสามารถอะไรบ้าง ดังนั้นแบบทคสอบ แบบอิงเกณทั้ จึงสร้างอย่างครอบคลุมความรู้ความสามารถที่สำคัญของการ เรียนรู้ที่ต้องการให้ เกิดขึ้น คะแบนที่ได้จึงนำมาแปลผล โคยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ หรือมาตรฐานที่ กำหนดไว้
12 สรุปได้ว่า ประเภทของแบบหดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีแบบทดสอบหลายลักษณะ ซึ่งแบ่งไปตามลักษณะของการใช้ลักษณะการสร้าง ตามรูปแบบของคำถาม ตามการเปลผลและ จุดประสงค์ในการวัดและประเมินผล ซึ่งในการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยเลือกใช้แบบทดสอบชนิดเลือก คำตอบ โดยยึดหลักในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ตามแนวคิดการประเมิน 4 ด้าน ของบูม ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้และการวิเคราะห์ ทักษะการปฏิบัติ 1. ความหมายของทักษะปฏิบัติ นพระพี ชูน้ำเที่ยง (2557: 31) ได้สรุปว่า ทักษะเป็นความพัฒนาความสามารถของบุคคลให้ เกิดความชำนาญในการ ปฏิบัติกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้การปฏิบัติที่ต่อเนื่อง ทักษะของ บุคคลจะเกิดขึ้นได้ต้อง ใช้การฝึกปฏิบัติบ่อยๆทำมากๆและทำอย่างต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ บุสดี พงศาเจริญนนท์ (2558: 57) ได้สรุปว่า ทักษะปฏิบัติ หมายถึง ความสามารถในการ ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ซึ่งเกิดจากบุดคลได้สั่งสมประสบการณ์ไว้ในตัวเองโดย การฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา จนเกิดความชำนาญในการปฏิบัติงาน พูลสวัสดิ์ มาลา (2559: 48) ได้สรุปว่า ทักษะปฏิบัติเป็นการพัฒนาความสามารถของบุคคล ให้เกิดความชำนาญ ในการปฏิบัติกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้การปฏิบัติที่ต่อเนื่อง ทักษะ ปฏิบัติของแต่ละบุคคลจะเกิดขึ้นได้ต้องใช้การฝึกปฏิบัติบ่อยๆ ทำมากๆ มีการฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา และทำอย่าง ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ สุชาติ ศิริสุขไพบูลย์ (2526: 9) กล่าวว่า ทักษะ(Skill) ในความหมายทั่วไป หมายถึง ความสามารถ ความชำนาญทางกล้ามเนื้อ ของบุคคลซึ่งเรียกว่า ทักษะปฏิบัติ (Motor Skill) หรือ ทักษะทางกล้ามเนื้อ (Psychomotor Skill) ทักษะทางกล้ามเนื้อ หรือทักษะปฏิบัติ เป็นลักษณะ พฤติกรรมที่เป็นผลผลิตจากการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการเรียนรู้ทักษะ ความชำนาญในโรง ฝึกงาน เช่น การตะไบ สกัด เลื่อย การใช้เครื่องจักรกล การเชื่อมโลหะ การซ่อมเครื่องยนต์ การ ประกอบวงจร ฯลฯ ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ต้องแสดงออกของกล้ามเนื้อ ในด้านของความถูกต้อง ความ คล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญและชำนาญการ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกหัดที่เหมาะสม อภิชาติ อนุกูลเวช (2551: 64) ได้สรุปว่า ทักษะปฏิบัติ หมายถึง ความสามารถ ความชำนาญ ทางกล้ามเนื้อ ที่กระทำออกมาอย่างถูกต้อง คล่องแคล่วและรวดเร็ว ซึ่งต้องอาศัย การฝึกหัดอย่าง เหมาะสม ทำให้เกิดเป็นความชำนาญในการปฏิบัติงาน สรุปได้ว่า ทักษะปฏิบัติหมายถึง การพัฒนาความสามารถของบุคคลให้เกิดความชำนาญ ใน การปฏิบัติกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้การปฏิบัติที่ต่อเนื่อง ทักษะปฏิบัติของแต่ละบุคคลจะ
13 เกิดขึ้นได้ต้องใช้การฝึกปฏิบัติบ่อยๆ ทำมากๆ มีการฝึกฝนอยู่ตลอดเวลาและทำอย่าง ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ 2. กระบวนการเกิดทักษะปฏิบัติ มาลินี จุฑะลพ (2537: 128) ได้กล่าวไว้ว่า กำหนดกระบวนการเกิดทักษะไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ 2.1 ขั้นความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Phase) ทักษะในขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนทักษะจะ ทำความข้าใจ หรือเรียนรู้ธรรมชาติของทักษะ ปกติทักษะขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้น โดยไม่ต้องใช้เวลาฝึกฝน มาก ความรู้ความเข้าใจนั้นอาจเกิดจากการสังเกต จากการสอนหรือการอธิบายจากผู้อื่นการ เรียน ทักษะในขั้นนี้ ผู้เรียนจะต้องสนใจเป็นพิเศษแต่จะมีความผิดพรากได้ อาจจะทำให้ช้าได้ถ้าการ ประสานสัมพันธ์ทางกลไกยังไม่ดีหรือถูกรบกวนจากสิ่งแวดล้อม 2.2 ขั้นของการจัดระเบียบกลไกกล้ามเนื้อ (Organization Phase) เป็นขั้นที่มีทักษะ ระดับกลาง ในขั้นตอนนี้อวัยวะที่ได้สัมผัส อวัยวะแสดงออกและการตรวจสอบความถูกต้องจากการ กระทำนั้นๆมีการประสานกันอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งสามารถประกอบกิจกรรมได้ดีจนเกือบจะเป็น อัตโนมัติ เป็นขั้นที่ใช้กลไกกล้ามเนื้อมากกว่าการใช้ความรู้ความเข้าใจการเกิดทักษะในขั้นนี้จะทำได้ดี แม้จะมีความเข้าใจน้อย สามารถตรวจสอบความถูกต้องหรือรู้ผลที่ทำได้รวดเร็ว และตอบสนองคงที่ สม่ำเสมอ 2.3 ขั้นที่มีทักษะอย่างสมบูรณ์ (Perfecting Phase) ขั้นนี้ต้องใช้ความรู้นาน ซึ้งจะต้องผ่าน มาจากการเรียนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 มาก่อน เป็นทักษะระดับความสามารถทำได้รวดเร็วและเป็นไป อัตโนมัติ โอกาสที่จะผิดพลาคมีน้อยมาก ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า กระบวนการฝึกทักษะจะเริ่มจาก ความรู้ความเข้าใจขั้นต้นก่อน จากนั้นจะกลายเป็นจากการจัดระเบียบกลไกกล้ามเนื้อและ กระบวนการที่มีทักษะอย่างสมบูรณ์ บุสดี พงศาเจริญนนท์ (2558: 58) ได้สรุปว่า กระบวนการเกิดทักษะปฏิบัติจะเริ่มจากความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งอาจจะเกิด จากการสังเกต การสอนหรือการอธิบายของผู้อื่น จากนั้นจะเป็นการจัด ระเบียบกลไกกล้ามเนื้อ และกระบวนการที่มีทักษะอย่างสมบูรณ์สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นอัตโนมัติ สรุปได้ว่า กระบวนการเกิดทักษะปฏิบัติเกิดจากการมีความรู้ความเข้าใจซึ่งเป็นขั้นต้น อาจจะเกิดจากการสังเกต การสอนหรือการอธิบายของผู้อื่น จากนั้นจะเป็นการจัดระเบียบกลไก กล้ามเนื้อและกระบวนการที่มีทักษะอย่างสมบูรณ์สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง เป็นอัตโนมัติ และผิดผิดพลาน้อย
14 3. การประเมินทักษะปฏิบัติ 3.1 ความหมายของการประเมินทักษะปฏิบัติ สมนึก ภัททิยธนี (2546: 50) ให้ความหมายของการประเมินทักษะปฏิบัติว่า เป็น การประเมินผลงานที่ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ ซึ่งสามารถวัคได้ทั้งกระบวนการและผลงาน ในสภาพ ธรรมชาติ หรือในสภาพที่กำหนดขึ้นเหมาะกับวิชาที่เน้นการปฏิบัติมากกว่าทฤษฎีและ สามารถ ประเมินคู่กับภาคทฤษฎีได้ บุสดี พงศาเจริญนนท์ (2558: 60) ได้สรุปว่า การประเมินทักษะปฏิบัติเป็นการ ประเมินผลงานที่ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ ซึ่งสามารถวัดได้ทั้งกระบวนการทำงานและผลงาน โดยใช้ เครื่องมือประเมินทักษะปฏิบัติได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การตรวจผลงานจากการปฏิบัติจริง และการทดสอบ 3.2 หลักการประเมินทักษะปฏิบัติ ปัญญา สังข์ภิรมย์ และสุนทร พานิชกุล (2550: 42) ได้นำเสนอถึง หลักการประเมิน ทักษะปฏิบัติว่า ในการประเมินทักษะปฏิบัตินั้น ครูควรประเมินผลงานของนักเรียนทุกๆ ขั้นแล้ว เก็บะแนนไว้ การประเมินผลครูต้องกำหนดหลักการของงานไว้เลยว่างานนั้นมีขั้นตอนใดที่สำคัญควร ให้นักเรียน ทุกคนทำให้ถูกวิธีและแจ้งให้ทราบว่าผลงานที่ทำถูกวิธีจะเป็นอย่างไรและทำไม่ถูกวิธีจะมี ลักษณะ อย่างไร เมื่อผลงานแต่ละกลุ่มออกมาต่างกัน ครูต้องบอกได้ว่าผลงานของกลุ่มใดใกล้เคียง มาตรฐาน มากที่สุดเพราะเหตุใด การประเมินทักษะปฏิบัติควรประเมินใน 2 หัวข้อ ดังนี้ 1. วิธีการปฏิบัติจริง เป็นกระบวนการของการทำงานตามขั้นตอนผู้ประเมิน ต้อง สังเกตการณ์ปฏิบัติงานตั้งแต่ขั้นเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้การทำความสะอาด การปอก หั่น สับ เตรียมเครื่องปรุง พิจารณาการทำงานเป็นขั้น ๆ ขั้นตอนใดทำไม่ถูกต้องก็ให้คำแนะนำแก้ไขทันที 2. ผลผลิต คือ ผลงานสำเร็จรูป ควรพิจารณาในค้านปริมาณและคุณภาพสิ่งที่ผลิต นั้นเป็นไปตามมาตรฐานหรือตามข้อกำหนดที่วางไว้หรือไม่เพียงใด ส.วาสนา ประวาพฤกษ์ (2537: 1-2) ได้นำเสนอหลักการประเมินทักษะปฏิบัติ ว่าใน การประเมินทักษะปฏิบัติต้องประเมินใน 2 ประการ ดังนี้ 1. การประเมินวิธีการ เป็นการประเมินที่ครูจะต้องใช้เวลาและใช้เทคนิคการสังเกต ด้วยโดยจะต้องตั้งจุดหมายว่าเราจะดูอะไรบ้าง โดยเน้นประสิทธิภาพและความแม่นยำของการ คำ เนินการ พึงระลึกอยู่เสมอว่าเมื่อจะประเมินเกี่ยวกับการดำเนินงานนั้นผู้ประเมินจะต้องให้ ผู้ถูก ประเมินอยู่ในสภาวะที่เป็นธรรมชาติที่สุด 2. การประเมินผลงาน งานแต่ละชนิดจะต้องมีเกณฑ์ในการประเมินต่างกัน ซึ่ง จะต้องมีมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่ยอมรับกันได้ เช่น การทำเค้กอาจจะดูความนิ่ม ความฟูของเค้ก 3.3 การวัดและการประเมินผลทักษะปฏิบัติ
15 ประวีนา เอี่ยมยี่สุ่น (2564: 23-31) กระบวนการวัดทักษะปฏิบัติต้องมีการจัด สภาพการณ์ให้ผู้เรียนได้มีการปฏิบัติจริง ผู้สอนต้องใช้การสังเกตพฤติกรรมการทำงานของผู้เรียนใน ระหว่างการปฏิบัติงาน ดังนั้น การวัดทักษะการปฏิบัติ ส่วนหนึ่งจึงขึ้นอยู่กับการเตรียมการเรื่อง สถานที่ อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน กระบวนการวัดผลด้านทักษะปฏิบัติมีขั้นตอนที่สำคัญดังนี้ 1. การกำหนดงานให้ผู้เรียนปฏิบัติ ในขั้นนี้ผู้สอนต้องศึกษาว่ามุ่งเน้นให้ผู้เรียนทำ กิจกรรมใด ต้องการให้บรรลุผลในเรื่องใด แล้วกำหนดงานให้สอดคล้องกับรายวิชานั้น 2. การกำหนดสถานการณ์หรือเงื่อนไขที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ผู้สอนต้องกำหนด สภาพการณ์ หรือเงื่อนไขในการปฏิบัติงานแก่ผู้เรียนให้ชัดเจนว่าจะให้มีลักษณะเช่นใด การวัดทักษะ อาจเกิดขึ้นในสภาพการณ์จริง ในสถานการณ์ที่มีการจำลองให้คล้ายคลึงกับสภาพการณ์จริง ใน สถานการณ์ที่ผู้สอน ควบคุมเงื่อนไขต่าง ๆ ในการทำงานเพื่อการทดสอบกระบวนการปฏิบัติงานใน ครั้งนั้น ๆ หรือไม่ให้มีการปฏิบัติงานแต่วัดโดยการทดสอบด้วยข้อสอบ 3. การกำหนดคุณลักษณะที่วัดทักษะ การกำหนดคุณลักษณะที่วัดทักษะโดยเน้นให้ เห็นว่าในการปฏิบัติงานนั้น ให้ความสำคัญกับการวัด กระบวนการหรือผลงาน หรือทั้งสองส่วนและจะ ผ่านตัวบ่งชี้ อะไรบ้าง 4. การกำหนดวิธีการวัดภาคปฏิบัติ วิธีการที่ใช้วัดภาคปฏิบัติ มีหลายประเภท เช่น การวัดโดยการให้เขียนตอบ การวัดโดยสร้างสถานการณ์จำลอง การวัดโดยให้ปฏิบัติจริง 1) วัดโดยการให้เขียนตอบ การวัดแบบนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของงานที่ให้ทำ เช่น การคัดไทย การวาดภาพ การสร้างข้อสอบ นอกจากนี้ ยังมีงานบางประเภทที่ต้องทำการวัดความรู้ เกี่ยวกับการปฏิบัติ ด้วยการสอบข้อเขียน ก่อนที่จะให้ผู้เรียนไปปฏิบัติจริง เพื่อตรวจสอบทักษะ ความสามารถในงานที่ทำ โดยเฉพาะงานที่ทำแล้วมีความเสี่ยงอันตรายสูง เช่น การกระโดดร่ม การดำ น้ำ 2) การวัดโดยการสร้างสถานการณ์จำลอง การกำหนดสภาพการณ์ที่จะวัดขึ้นอยู่ กับ พฤติกรรมที่จะวัด ผู้วัดอาจทำได้โดยการจัดเตรียมสถานการณ์จำลองที่มีความคล้ายคลึงกับ สภาพการณ์ที่เป็นจริง เช่น สนามฝึกหัดขับรถ โดยให้ผู้เรียนปฏิบัติให้ดู หรืออาจให้ผู้เรียนทำการ ปฏิบัติในสถานการณ์ ของการทำงานที่เป็นจริง เช่น ในสำนักงาน การเลียนแบบโดยสร้างสถานการณ์ จำลอง สามารถทำได้หลาย ระดับ โดยมีระดับของความเป็นจริงต่างกัน 3) การวัดโดยให้ปฏิบัติงานจริง การวัดตัวอย่างของงานที่ได้จากการปฏิบัติจริง สำหรับการวัดส่วนที่เป็นผลงานนั้น ส่วนใหญ่จะไม่วัดในสถานการณ์ที่มีการสอบ แต่มักจะพิจารณา จากชิ้นส่วนของงานที่ผู้เรียนส่งจะอยู่ในรูปของการเขียนตอบแต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป เช่น การให้ผู้เรียน ส่งรายงานผลการทดลองตัวอย่างแบบคัดลายมือ บทประพันธ์ที่ให้แต่ง การให้อ่านทำนองเสนาะ
16 5. การกำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวัด ผู้วัด ช่วงเวลาที่วัด หลังจากที่ผู้สอนเลือก วิธีการที่ใช้ไนการวัดภาคปฏิบัติแล้ว ต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ใช้วัดภาคปฏิบัติ นั่นคือ จะ ใช้วิธีการให้ผู้เรียนเขียนตอบในสิ่งที่ปฏิบัติ หรือจะให้ผู้เรียนสอบปฏิบัติภายในช่วงเวลาที่กำหนดขึ้น เวลาใดเวลาหนึ่ง หรือว่าจะวัดพฤติกรรมการปฏิบัติที่มีการเก็บข้อมูลเป็นช่วงที่ต่อเนื่อง การวัด ภาคปฏิบัติที่ดีควรใช้วิธีการที่ผู้สอนมีโอกาสสังเกตการณ์ปฏิบัติงานของผู้เรียนเป็นเวลานาน ได้เห็น การปฏิบัติงานที่แท้จริง เห็นพัฒนาการของผู้เรียน นอกจากนี้ผู้สอนยังต้องเตรียมหาเครื่องมือที่มี ความเหมาะสมเพื่อใช้ในการวัด ภาคปฏิบัติซึ่งมีหลายประเภท เช่น แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบ ตรวจสอบรายการ แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินพฤติกรรม แบบบันทึกพฤติกรรม 6. การกำหนดวิธีการประเมินผลและรายงานผลการวัด กระบวนการวัดทักษะการ ปฏิบัติ จะยังไม่สิ้นสุดจนกว่าจะมีการประเมินผลและรายงานผลความสามารถในการทำงานของ ผู้เรียน วิธีการประเมินผลการวัดทักษะเพื่อพัฒนาการเรียนรู้มีหลายแบบ คือ การประเมินผลแบบอิง เกณฑ์ การประเมินผลแบบอิงความก้าวหน้าของผู้เรียน สุคนธ์ สินธพานนท์ (2550: 123) ได้นำเสนอว่า การวัดและประเมินผลการจัดการ เรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการทำงาน มีดังนี้ 1. การวัดกระบวนการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถวัดได้จากการทำแบบทคสอบชนิดต่างๆ การตอบคำถาม การสัมภาษณ์ 2. การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย ผู้สอนสามารถประเมินได้จากการสังเกต พฤติกรรม ที่เป็นจริง สถานการณ์จำลอง จากแบบสอบถาม 3. การวัดความสามารถหรือทักษะในการทำงาน ผู้สอนอาจวัดได้ 3 วิธีคังนี้ 3.1 การวัดหรือประเมินโดยการสังเกตในสถานการณ์ที่เป็นจริง ผู้สอนสังเกต พฤติกรรมของนักเรียน ขณะที่นักเรียนดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ ว่าทำงานเป็นระบบเป็นขั้นตอน หรือไม่ โดยมีแบบประเมินหรือแบบสังเกตที่ผู้สอนสามารถสร้างแบบประเมินได้เอง 3.2 สอบวัดในสถานการณ์จำลอง เช่น ให้นักเรียนจัดนิทรรศการ จัดแสดงละคร หรือบทบาทสมมติ เป็นต้น ผู้สอนสร้างแบบประเมินกระบวนการให้นักเรียนประเมินตนเอง เพื่อน กลุ่มอื่นหรือผู้สอนประเมินได้ 3.3 วัดหรือประเมินการปฏิบัติงานของนักเรียนจากภาระงานที่กำหนดให้ นักเรียนวางแผนการทำงาน ปฏิบัติงานจนสำเร็จและรายงานขั้นตอนการปฏิบัติงาน โดยผู้สอน สังเกต กระบวนการการทำงานระหว่างทำงาน และสังเกตการณ์นำกระบวนการไปใช้นเกิดเป็นนิสัย สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2551: 127-153) ได้เสนอการประเมินการ ปฏิบัติ (Performance assessment) ว่าเป็นวิธีการประเมินงานหรือกิจกรรมที่ผู้สอนมอบหมาย ให้ ผู้เรียนปฏิบัติงาน เพื่อให้ทราบถึงผลการพัฒนาของผู้เรียน การประเมินลักษณะนี้ผู้สอนต้อง เตรียมสิ่ง
17 สำคัญ 2 สิ่ง คือภาระงาน (Tasks) หรือกิจกรรมที่จะให้ผู้เรียนปฏิบัติ เช่น การทำโครงการ การสำรวจ การนำเสนอ การสร้างแบบจำลอง เป็นต้น และเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubrics) ที่ใช้ประเมิน การปฏิบัติอาจจะปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะงานหรือประเภทกิจกรรม ดังนี้ 1. ภาระงานหรือกิจกรรมที่เน้นขั้นตอนการปฏิบัติและผลงาน เช่น การทคลอง วิทยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร การแสดงเคลื่อนไหว การประกอบอาหาร การ ประดิษฐ์ การสำรวจ การนำเสนอ การจัดแบบจำลอง เป็นต้น ผู้สอนจะต้องสังเกตประเมิน วิธีการ ทำงานที่เป็นขั้นตอนและผลงานของผู้เรียน 2. ภาระงานหรือกิจกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างลักษณะนิสัย เช่น การรักษา ความ สะอาดการรักยาสาธารณสมบัติสิ่งแวดล้อม กิจกรรมหน้ำเสาธง เป็นต้น ผู้สอนจะประเมิน ด้วยวิธีการ สังเกต จดบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับผู้เรียน 3. ภาระงานที่มีลักษณะเป็นโดรงงาน เป็นกิจกรรมที่เน้นขั้นตอนการปฏิบัติ และ ผลงานที่ต้องใช้เวลาในการคำเนินการ จึงควรมีการประเมินเป็นระยะ ๆ เช่น ระยะก่อนดำเนิน โครงงาน โดยประเมินความพร้อม การเตรียมการและความเป็นไปได้ ในการปฏิบัติงานระหว่าง ดำเนินโครงงาน จะประเมินการปฏิบัติจริงตามแผน วิธีการและขั้นตอนที่กำหนดไว้และการ ปรับปรุง ระหว่างการปฏิบัติ สำหรับระยะสิ้นสุดการคำเนิน โครงงานจะประเมินผลงานผลกระทบ และวิธีการ นำเสนอผลการคำเนิน โครงงาน 4. การะงานที่เน้นผลผลิตมากกว่ากระบวนการขั้นตอนการทำงาน เช่น การจัดทำ แผนผัง แผนที่ แผนภูมิ กราฟ ตาราง ภาพ แผนผังความคิด เป็นต้น อาจประเมินเฉพาะคุณภาพ ของ ผลงานก็ได้ ในการประเมินการปฏิบัติงาน ผู้สอนต้องสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ประกอบการ ประเมิน เช่น แบบมาตราส่วนประมาณค่า แบบบันทึกพฤติกรรม แบบบันทึกผลการปฏิบัติ เป็นต้น ทิวัตถ์ มณีโชติ (2554: 6-7) ได้นำเสนอถึง การวัดภาปฏิบัติไว้ว่า แบบวัดภาคปฏิบัติ (Performance test) เป็นการวัดความสามารถในการทำงานของบุคคลภายใต้สถานการณ์ และ เงื่อนไขที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด โดยจะวัดทั้งวิธีการ (Process) และผลงาน (Product) ที่ผู้ทดสอบแสคงการกระทำออกมาในการวัคภาคปฏิบัติดรูผู้สอนต้องกำหนด งาน (Tasks) ให้ผู้เรียนกระทำหรือปฏิบัติและกำหนดเกณฑ์การประเมิน (Rubric) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. งานที่กำหนดให้ผู้เรียนทำ งานที่กำหนคให้ผู้เรียนทำแบ่งได้เป็น 5 ลักษณะ คือ การปฏิบัติโดยข้อเขียน การระบุชื่อและกระบวนการปฏิบัติ การสร้างสถานการณ์จำลอง การกำหนด งานให้ปฏิบัติ และการปฏิบัติงานจากสถานการณ์จริง 2. เกณฑ์การประเมิน (Rubric) วิธีการกำหนดเกณฑ์การประเมินมี 2 แบบ ได้แก่
18 2.1 การกำหนดเกณฑ์โดยภาพรวม (Holistic Score) เป็นการให้ระดับคะแนน ใน ภาพรวมสำหรับงานนั้น เช่น การประเมินการเขียน จะได้คะแนนออกมาเป็นคะแนนในภาพรวม ของทั้งหมดแต่จะมีบรรยายคุณภาพของการเขียนทั้งฉบับเป็นระดับคุณภาพ 2.2 การกำหนดเกณฑ์โดยแยกเป็นด้าน ๆ (Analytic Score) เป็นการแบ่ง คะแนนเป็นส่วนๆ จากความสามารถที่จะต้องปฏิบัติ หรือผลผลิตนั้น แจกแจงรายละเอียคออกเป็น ด้าน ๆ และแต่ละด้านมีคุณภาพอย่างไร เช่น การประเมินการเขียนแบ่งเกณฑ์การประเมินเป็น 3 ค้าน คือ ด้านสำนวนภาษา ความคิดสร้างสรรค์ การเขียนถูกหลักไวยากรณ์ เป็นต้น ผู้วิจัยใช้แบบประเมินการปฏิบัติงาน กระบวนการทำงานเป็นแบบสังเกตพฤติกรรม เพื่อใช้สังเกตพฤติกรรมนักศึกษาขณะปฏิบัติงานว่า นักศึกษามีกระบวนการทำงานเป็นระบบ เป็น ขั้นตอน มีการวางแผนการทำงานที่เป็นขั้นตอน มีการวางแผนการแก้ปัญหาและ ปฏิบัติงานจนสำเร็จหรือไม่ อย่างไร โดยใช้แบบสังเกตชนิดมาตราส่วนประมาณค่าแบบตัวเลข ซึ่ง กำหนดพฤติกรรมออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้ 4 หมายถึง ผลการปฏิบัติงานดีเยี่ยม 3 หมายถึง ผลการปฏิบัติงานดี 2 หมายถึง ผลการปฏิบัติงานพอใช้ 1 หมายถึง ผลการปฏิบัติงานควรปรับปรุงแก้ไข วิจัยเชิงปฏิบัติการ 1. ความหมายของการวิจัยปฏิบัติการ การวิจัยเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบ อย่างต่อเนื่อง การวิจัยเชิง ปฏิบัติการเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากขึ้นตามลำดับตาม ความต้องการ จำเป็นของแต่ละสถาบันและหน่วยงาน โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนนั้นได้มี การใช้วิจัยเชิงปฏิบัติการกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้มีนักวิชาการให้ความหมายของการ วิจัยเชิง ปฏิบัติการ ดังนี้ สมถวิล วิจิตร และคณะ (2556 : 7) ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการไว้ว่า เป็นการวิจัยที่มุ่ง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า มุ่งแก้ปัญหางานในหน้าที่ของตนหรือของทั้ง หน่วยงาน ผลของการวิจัยนี้ใช้ได้ในขอบเขตของปัญหานั้น นวลอนงค์ บุญฤทธิ์พงศ์ (2556 : 17) ได้สรุปความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ไว้ว่า เป็นการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือเพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ในการปฏิบัติงานกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จอนห์สัน (Johnson, 2008 : 28) ให้ความหมายการวิจัยเชิงปฏิบัติการว่า เป็นการวิจัย ระหว่างการปฏิบัติงานเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ปฏิบัติงานกำลังเผชิญอยู่ โดยเป็นกระบวนการศึกษาสภาพ
19 หรือสถานการณ์ที่เป็นจริงของสถานศึกษาเพื่อทำความเข้าใจและพัฒนา ปรับปรุงคุณภาพของการ ปฏิบัติงาน จากที่กล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นการวิจัยที่มุ่งแก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะ ปรับปรุง และพัฒนาเรื่องที่พบในการปฏิบัติงาน โดยการศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อระบุปัญหาที่เผชิญอยู่ โดยผู้วิจัย สามารถดำเนินการอย่างเป็นระบบได้หลายๆ ครั้งจนกระทั่งแก้ปัญหาให้บรรลุผลตามเป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ 2. จุดมุ่งหมายของการวิจัยปฏิบัติการ กิตติพร ปัญญาภิญโญผล (2541: 33) จุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อมุ่งปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในชั้นเรียนของตน ส่งผลต่อการพัฒนาวิชาชีพครู และต่อการปรับปรุงผลการเรียนรู้ของนักเรียน และการพัฒนาวิชาชีพครูให้เจริญก้าวหน้า วีระยุทธ์ ชาตะกาญจน์ (2558 : 39) จุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อจะปรับปรุง ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงานประจำให้ดีขึ้น โดยนำเอางานที่ปฏิบัติอยู่มาวิเคราะห์ สภาพปัญหาอันเป็นเหตุให้งานนั้นไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร นอกจากนั้นต้องใช้แนวคิดทางทฤษฎี และประสบการณ์จากการปฏิบัติงานที่ผ่านมา เสาะหาข้อมูลและวิธีการที่คาดว่าจะแก้ปัญหาดังกล่าว ได้แล้วสะท้อนวิธีการดังกล่าวไปทดลองใช้กับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ จากที่กล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนโดยมุ่งเน้นการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนควบคู่ไปกับการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์และพัฒนาการจัดการเรียนการ สอนของครูให้มีประสิทธิภาพ 3. ลักษณะของการวิจัยเชิงปฏิบัติการทางการศึกษา ยาใจ พงษ์บริบูรณ์ (2537 : 11-15) ให้รายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของการวิจัยเชิง ปฏิบัติการทางการศึกษาไว้ 4 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. เป็นการวิจัยแบบมีส่วนร่วมและมีการร่วมมือ กล่าวคือ ใช้การทำงานเป็นกลุ่ม โดยผู้ร่วม วิจัยทุกคนมีส่วนสำคัญและมีบทบาทเท่าเทียมกันในทุกกระบวนการของการวิจัย ทั้งการเสนอ ความคิดเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติการ ตลอดจนการวางนโยบายการวิจัย 2. เป็นการวิจัยที่เน้นการปฏิบัติการ การวิจัยชนิดนี้ต้องปฏิบัติเพื่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลง และศึกษาผลของการปฏิบัติการเพื่อมุ่งให้เกิดการพัฒนา
20 3. เป็นการวิจัยที่ใช้การวิเคราะห์วิจารณ์ กล่าวคือมีกิจกรรมการวิเคราะห์ การปฏิบัติ อย่าง ลึกซึ้งจากสิ่งที่สังเกตใด้ จะนำไปสู่การตัดสินใจที่สมเหตุสมผลเพื่อการปรับแผนการปฏิบัติการ 4. เป็นการใช้วงจรการปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis and Mctaggart คือ การ วางแผน การปฏิบัติการ การสังเกต และการสะท้อนผลการปฏิบัติการ ตลอดจนการปรับปรุง ผลเพื่อ นำไปปฏิบัติในวงจรต่อไป จนกว่าจะได้รูปแบบชองการปฏิบัติงานที่เป็นที่พึงพอใจและ ได้ข้อเสนอเชิง ทฤษฎีเพื่อเผยแพร่ต่อไป คารร์ และเคมมิส (Carr and Kemmis, 1986 : 164) กล่าวถึง ลักษณะของการวิจัยเชิง ปฏิบัติการไว้ว่า เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยและผู้เกี่ยวข้องมีสวนร่วมดำเนินการร่วมกันภายใต้ การทำงาน แบบประชาธิปไตย โดยผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีความเต็มใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วม และในขณะดำเนินการ วิจัยอาจเกิดความขัดแย้ง ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักวิจัยและผู้เกี่ยวข้อง จะต้องได้รับความไว้วางใจ ซึ่งกันและกัน และยอมรับกฎระเบียบสำหรับการควบคุมของข้อมูลและการทำงานของพวกเขา นอกจากนี้ การวิจัยเชิงปฏิบัติการจะนำไปสู่วิทยาศาสตร์สังคมและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จากที่กล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ลักษณะของการวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นการวิจัย ที่ควรมี ผู้ช่วยวิจัยเพื่อแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่ประสบ โดยผู้วิจัยและผู้เข้าร่วมวิจัยจะได้ปฏิบัติงานและ ตัดสินใจร่วมกันเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแผนการปฏิบัติการที่เหมาะสม ซึ่งรูปแบบการดำเนินการ สามารถยึดหยุ่นได้และไม่เข้มงวด เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการวิจัย ผู้วิจัยควรเสนอผลการวิจัยในรูปแบบ ที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย สิ่งที่สำคัญ คือ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ไม่นิยมสรุปอ้างอิงผลไปยังบริบทอื่นๆ 4. รูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เคมมิส และแม็คทากการ์ท (Kemmis and McTaggart, 1988 : 11) ได้ทำการ นำเสนอกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ในรูปของวงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (The Action Research Spiral) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การวางแผน (Plan) 2. การปฏิบัติ (Act) 3. การสังเกต (Observe) 4. การสะท้อนผลการปฏิบัติ (Reflect) ซึ่งเมื่อครบวงจรหนึ่งๆ จะพิจารณาปรับปรุงแผน (Re-planning) เพื่อนำไปปฏิบัติใน วงจรต่อไปจนกว่าจะบรรลุความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ดังแสดงรายละเอียดตามภาพที่ 1
21 ภาพที่ 1 วงจรของการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & McTaggart ที่มา : Kemmis and McTaggart (1988 :11) ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมการวิจัยหลักที่หมุนเคลื่อนไปเป็นวัฏจักรของกระบวนการวิจัย ดังกล่าว จึงเป็นเสมือนแหล่งที่ก่อให้เกิดความรู้เชิงปฏิบัติการและกลไกการนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ แก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เป็นการดำเนินงานวิจัยที่ไม่แยกกิจกรรมการสืบ ค้นหาความรู้ ความจริงออกจากกิจกรรมการพัฒนา (องอาจ นัยพัฒน์, 2548 : 343) ซึ่งกิจกรรมการ วิจัยหลักแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. การวางแผน (Plan) เป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติการไว้ก่อนล่วงหน้าโดยอาศัยการ คาดคะเนแนวโน้มของผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ประกอบกับการระลึกถึง เหตุการณ์หรือเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไขตามประสบการณ์ทั้ง ทางตรงและทางอ้อมของผู้วางแผน ภายใต้การไตร่ตรองถึงปัจจัยสนับสนุนขัดขวางความสำเร็จในการ แก้ไข ปัญหาการต่อต้าน รวมทั้งสภาวการณ์เงื่อนไขอื่นๆ ที่แวดล้อมปัญหาอยู่ในเวลานั้น โดยทั่วไป การวางแผนจะต้องคำนึงถึงความยืดหยุ่น ทั้งนี้เพื่อจะสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในอนาคต 2. การปฏิบัติการ (Act) เป็นการลงมือดำเนินงานตามแผนที่กำหนดไว้อย่างระมัดระวังและ ควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในแผน อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงการปฏิบัติตามแผน ที่กำหนดไว้มีโอกาสแปรเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขและข้อจำกัดของสภาวการณ์เวลานั้นได้ ด้วยเหตุนี้ แผนปฏิบัติการที่ดีจะต้องมีลักษณะเป็นเพียงแผนชั่วคราว ซึ่งเปิดช่องให้ผู้ปฏิบัติการสามารถ ปรับเปลี่ยนได้ตามเงื่อนไขและปัจจัยที่เป็นอยู่ในขณะนั้น การปฏิบัติการที่ดีจะต้องดำเนินไปอย่าง ต่อเนื่องเป็นพลวัตรภายใต้การใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจ
22 3. การสังเกตการณ์ (Observe) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการและผลที่ เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานที่ได้ลงมือกระทำลงไป รวมทั้งสังเกตการณ์ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัย อุปสรรคการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ ตลอดจนประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติการ ตามแผนว่ามีสภาพหรือลักษณะเป็นอย่างไรการสังเกตการณ์ที่ดีจะต้องมีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า อย่างคร่าวๆ โดยจะต้องมีขอบเขตไม่แคบหรือจำกัดจนเกินไป เพื่อจะได้เป็นแนวทางสำหรับการ สะท้อนกลับกระบวนการและผลการปฏิบัติที่จะเกิดขึ้นตามมา 4. การสะท้อนกลับ (Reflection) เป็นการให้ข้อมูลถึงการกระทำตามที่บันทึกข้อมูลไว้จากการ สังเกตในเชิงวิพากษ์กระบวนการและผลการปฏิบัติงานตามที่วางแผนไว้ตลอดจนการวิเคราะห์ เกี่ยวกับปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยอุปสรรคการพัฒนา รวมทั้งประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่าเป็นไป ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ การสะท้อนกลับโดยอาศัยกระบวนการกลุ่มในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ หรือ ประเมินผลการปฏิบัติงานระหว่างบุคคลที่มีส่วนร่วมในการวิจัย จะเป็นวิธีการปรับปรุงวิธีการ ปฏิบัติงานตามแนวทางดั้งเดิมไปเป็นการปฏิบัติงานตามวิธีการใหม่ ซึ่งใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการ ทบทวนและปรับปรุงวางแผนปฏิบัติการในวงจรกระบวนการวิจัยในรอบหรือเกลียวต่อไป จากรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการข้างต้นจึงสรุปได้ว่า การนำกระบวนการวิจัยเชิง ปฏิบัติการมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนจะช่วยให้ผู้สอนสามารถพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน ได้เหมาะสมกับสภาพการณ์ของผู้เรียนและสามารถแก้ปัญหาตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างแท้จริง และจำเป็นต้องอาศัยผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยมีการสะท้อนกลับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานเพื่อให้ เกิดการพัฒนาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นสำหรับการปฏิบัติในครั้งต่อไป ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ เลือกการดำเนินวิจัยตาม เคมมิส และแม็คทากการ์ท (Kemmis and McTaggart, 1988) มี กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน (Plan) การปฏิบัติ (Act) การ สังเกต (Observe) การสะท้อนผลการปฏิบัติ(Reflect) โดยการบูรณากระบวนการดังกล่าวควบคู่กับ การเรียนการสอนและการวิจัยไปพร้อมกันและนำมาปรับปรุงแก้ไขแผน (Re-planning) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน 1.1 งานวิจัยในประเทศ จริยา อันเบ้า (2563: 98) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติฟ้อน ออนซอนสาดบ้านแพงสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามแนวคิดของซิมพ์สัน ผลการวิจัยปรากฏ ว่า (1) การวัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติ มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 81.18/90.32 เป็นไป ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 (2) นักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์
23 ฟ้อนออนซอนสาดบ้านแพง มีคะแนนเฉลี่ยรวมเท่ากับ 17.95 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 1.25 คิดเป็นร้อยละ 89.76 จึงส่งผลให้การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมทักษะปฏิบัติ นาฏศิลป์หลังเรียนการให้ คะแนนของครูผู้สอนทั้งสองมีความใกล้เคียงกัน 99 (3) นักเรียนมีความพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ ทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ฟ้อนออนซอนสาด บ้านแพง สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตาม แนวคิดของซิมพ์สัน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.81 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.12 ความพึงพอใจระดับ มากที่สุด ณัฐพัชร์ มหายศนันท์ และปรุฬห์จักร อัครารัศม์สกุล (2563: บทคัดย่อ) ได้ศึกษา การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์เพื่อเสริมทักษะเรื่องฟ้อนซอปั่นฝ้ายโดยวิธีการสอนแบบ ทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก่อน และหลังเรียน เพื่อประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์ มี ประสิทธิภาพระหว่างเรียน/หลังเรียนเท่ากับ 83.16/83.00 ซึ่งสูงกว่าร้อยละ 80/80และมีผลการเรียน ก่อนและหลังได้เรียนรู้รูปแบบกิจกรรมนาฏศิลป์เพื่อเสริมสร้างทักษะนาฏศิลป์เรื่องฟ้อนซอปั่นฝ้าย โดยวิธีการสอนแบบทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์อยู่ ในระดับพึงพอใจมาก นรนิติ พรหมพื้น, เพชรผ่อง มยูขโชติ และจรีลักษณ์ รัตนาพันธ์ (2563: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนแบบเบื้องต้น ด้วยรูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรีผลการวิจัยปรากฏว่า (1) ผลการวิเคราะห์คะแนนทักษะการเขียนแบบเบื้องต้น ด้วยรูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน พบว่า นักเรียนมีคะแนน สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 70 ทุกคน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2) ผลการเปรียบเทียบคะแนนทักษะการเขียน แบบเบื้องต้น ของนักเรียนที่เรียน ด้วยรูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน สูงกว่าคะแนนของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการสอน แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ (3) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนใน ภาพรวมที่มีต่อการเรียนการสอนการเขียนแบบเบื้องต้นด้วยวิธีการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน อยู่ ในระดับมากที่สุด 1.2 งานวิจัยต่างประเทศ ลู ทรองตวน (Luu Trong Tuan, 2010) ทำการทดลองการจัดกิจกรรมการ สอดแทรก การเรียนแบบร่วมมือในชั้นเรียนภาษาต่างประเทศของนักศึกษาเวียดนามปีที่ 1 ในวิชาการ อ่าน ภาษาอังกฤษ ด้านการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน การปฏิสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่ม/คู่ และผลสัมฤทธิ์
24 การ เรียนด้านทักษะการอ่าน เพื่อเปรียบเทียบผลการพัฒนาทักษะการอ่านกบแบบการเรียนที่ แตกต่างกัน ของนักศึกษาระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง พบว่าจำนวนนักศึกษาในกลุ่มทดลองมี ผลสัมฤทธิ์ การเรียนที่สูงขึ้น และจำนวนชิ้นงานที่ไม่ได้คุณภาพน้อยกวากลุมควบคุม กรอบแนวคิดการวิจัย 1.แนวคิดการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัย ตามกระบวนการ 4 ขั้นตอน คือ (1) การวางแผน (Plan) (2) การปฏิบัติการ (Act) (3) การสังเกตการณ์ (Observe) (4) การสะท้อนกลับ (Reflection) ดังภาพที่ 2 ภาพที่ 2 กรอบแนวคิดการวิจัย การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ วิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2
25 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมและเปรียบเทียบ ความสามารถในการเขียนภาพฉาย วิชาเขียนแบบเทคนิคเบื้องต้น ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 ที่ เรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวิส์ โดยมีหัวข้อในการดำเนินการวิจัยดังนี้ กลุ่มเป้าหมาย แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล แบบแผนการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis and McTaggart เพื่อ ส่งเสริมการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน ทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางานประดับยนต์ สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 โดยใช้แบบ แผนการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลหลังการทดลอง (One–Shot Case Study) X O สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง X แทน รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน O แทน การทดสอบหลังเรียน กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 จำนวน 30 คน ภาคการเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย ที่ได้มาจากการเลือกสมาชิกของประชากร
26 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน จำนวน 6 แผน แผน ละ 2 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง 1.2 แบบทดสอบสมรรถนะรายวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น เป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ จำนวน 10 ข้อ 1.3 แบบวัดความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ เป็นมาตราประมาณค่า 4 ระดับ จำนวน 2 ข้อ การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัยประกอบไปด้วย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน ผู้วิจัยได้ดำเนินการ สร้างและ พัฒนาดังนี้ 2.1.1 ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบการเรียนการ สอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน 2.1.2 ศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 (ปรับปรุง พ.ศ. 2565) ประเภท วิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาช่างยนต์ 2.1.3 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคหนองคาย 2.1.4 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น 2.1.5 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน จำนวน 6 แผน รวม 12 ชั่วโมง 2.1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปหาคุณภาพจากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ (ความ เที่ยงตรง ตามเนื้อหา) 2.1.7 นำแผนจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนักศึกษากลุ่มเล็ก 2.1.8 ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้แล้วนำไปใช้ทดลองจริง 2.2 แบบทดสอบวัดสมรรถนะวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น ของนักศึกษาประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ ผู้วิจัยได้ ดำเนินการสร้างและพัฒนาดังนี้ 2.2.1 ศึกษาทฤษฎี วิธีสร้างเทคนิคการเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบ คู่มือการจัดการ เรียนรู้วิชา งานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 (ปรับปรุง พ.ศ.2565)
27 2.2.2 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาสาระวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น เรื่อง เครื่องมือวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 2.2.3 สร้างแบบ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ ให้ครอบคลุม เนื้อหาสาระและผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2.2.4 นำแบบทดสอบไปหาคุณภาพ พบว่า ความเที่ยงตรงจากค่าความสอดคล้องระหว่าง ผู้เชี่ยวชาญอยู่ระหว่าง 0.59 -1.00 อำนาจจำแนก มีค่าอยู่ระหว่าง 0.35-0.80 และ ความเชื่อมั่น มีค่า 0.68 2.2.5 นำแบบทดสอบที่ได้ไปวัดสมรรถนะวิชาเขียนแบบเทคนิคเบื้องต้นของกลุ่มเป้าหมาย 2.3 แบบประเมินความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ ของนักศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบประเมินแบบมาตราส่วนประมาณค่า 4 ระดับ จำนวน 2 ข้อ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและพัฒนาดังนี้ 2.3.1 ศึกษาทฤษฎีวิธีสร้างมาตราส่วนประมาณค่า คู่มือการจัดการเรียนรู้วิชาเขียนแบบเทคนิค เบื้องต้น ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 (ปรับปรุง พ.ศ.2565) 2.3.2 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาสาระวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น เรื่อง เครื่องมือวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 2.3.3 สร้างแบบมาตรส่วนประมาณค่า จำนวน 2 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระและผลการเรียนรู้ ที่คาดหวัง 2.3.4 แบบประเมินความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ ไปหาคุณภาพ พบว่า ความ เที่ยงตรงจากค่าความสอดคล้องระหว่างผู้เชี่ยวชาญอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ความเชื่อมั่นจากความสอดคล้อง ระหว่างผู้ประเมิน 2 คน มีค่า 0.95 2.3.5 นำแบบมาตรส่วนประมาณค่าที่ได้ไปวัดความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ ของกลุ่มเป้าหมาย
28 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ดำเนินการวิจัยด้วยระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมความสามารถในการใช้เครื่องมือวัด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน จำนวน 6 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 12 ชั่วโมง ตามวงจรของ Kemmis and McTaggartตามขั้นตอน วงจรละ 2 แผน เมื่อดำเนินการวิจัย จบแต่ละแผน ในแต่ละวงจร แล้วเก็บรวบรวมคะแนนไว้ 2. เมื่อดำเนินการวิจัยครบทั้ง 6 แผน ในแต่ละวงจร วงจรละ 2 แผน แล้วทำการประเมินความสามารถใน การใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 วิชางาน อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น โดยใช้แบบประเมินความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ทดสอบหลังเรียน การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น โดยใช้รูปแบบการเรียนการ สอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน ของนักศึกษาชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 ผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณ ดังนี้ 1. ข้อมูลเชิงคุณภาพ 1.1 ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์โดยการแจกแจงข้อค้นพบในการเก็บรวบรวมข้อมูล จัดหมวดหมู่ ประเด็น เนื้อหาเชิงพรรณนา วิเคราะห์ ซึ่งนำมาจากผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นรูปแบบการปฏิบัติการจัดการเรียนรู้โดยผู้วิจัย ใช้เครื่องมือและวิธีการ ได้แก่ แบบบันทึกการสังเกตการณ์จัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบประเมินการตรวจผลการ ปฏิบัติงาน เริ่มแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมระหว่างเรียนของนักศึกษา ข้อมูลทั้งหมดที่ได้ นำมาวิเคราะห์เชิง เนื้อหาเพื่อพัฒนาสภาพที่เกิดว่ามีข้อบกพร่องข้อปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไร แล้วหาทางแก้ไขและปรับปรุงพัฒนา ให้ดียิ่งขึ้น 1.2 ระหว่างดำเนินการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตรวจสอบของข้อมูลโดยวิธีการ ตรวจสอบสามเส้า (Triangulation) ไปพร้อมกันเพื่อให้ยืนยันข้อมูลเชิงคุณภาพตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย โดยมี วิธีการดังนี้ 1) การตรวจสอบสามเส้า (Triangulation) ด้านข้อมูล เป็นการใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลายจากผู้ใช้ ข้อมูลหลายกลุ่มในประเด็นเดียวกันหรือถามซ้ำผู้ให้ข้อมูลกลุ่มเดิม 2) การตรวจสอบสามเส้า (Triangulation) ด้านวิธีการ เป็นการใช้วิธีการวิจัยที่หลากหลายใน การศึกษาปรากฏการณ์ เช่น ศึกษาเอกสารประกอบและใช้วิธีสังเกต
29 2. ข้อมูลเชิงปริมาณ การวิเคราะห์ความสามารถในการขับรถยนต์ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิเคราะห์แบบทดสอบย่อย แบบทดสอบท้ายแผน โดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ ทดสอบสมุติฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ 1. สถิติสำหรับหาคุณภาพของเครื่องมือ 1.1 ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) สูตร IOC= ΣR N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อความกับโครงสร้างหลักของเนื้อหา (IC : Index of Item Objective Congruence) ∑ R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละข้อคําถาม N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 1.2 ค่าอำนาจจำแนกของแบบประเมิน (RXY) สูตร r = n ∑ xy- ∑ x ∑ y √[n ∑ x 2 -(∑ x) 2 ][n ∑ y 2 -(∑ y) 2 ] เมื่อ r แทน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม n แทน จำนวนคน ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนรายข้อ ∑ y แทน ผลรวมของคะแนนรวมทุกข้อ ∑ xy แทน ผลรวมของผลคูณระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม ทุกข้อของ ทุกคน ∑ x 2 แทน ผลรวมของคะแนนรายข้อแต่ละตัวยกกําลังสอง ∑ y 2 แทน ผลรวมของคะแนนรวมทุกข้อแต่ละตัวยกกําลังสอง 1.3 ความเชื่อมั่นของแบบประเมินทั้งฉบับ สูตร αk= k k-1 (1- Sum sitems 2 s total 2 ) เมื่อ α แทน ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α-Coefficient)
30 K แทน จำนวนข้อของเครื่องมือวัด sitems 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนแต่ละข้อ stotal 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมทุกข้อ 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 ค่าร้อยละ สูตร ร้อยละ = ( f N ) ×100 เมื่อ f แทน ความถี่ของรายการนั้นทั้งหมด N แทน ความถี่ทั้งหมด 2.2 ค่าเฉลี่ย สูตร X̅= ∑ n n เมื่อ x แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 2.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สูตร SD= √ n ∑ x 2 -(∑ x) 2 n(n-1) เมื่อ SD แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ x 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกําลังสอง (∑ x) 2 แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกําลังสอง n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง
31 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ n แทน จำนวนนักเรียน X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง (Mean) S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) df แทน ระดับชั้นความเป็นอิสระ (Degree of freedom) MD แทน ค่าเฉลี่ยของผลต่างของคะแนนระหว่างการทดสอบหลังเรียน กับการทดสอบก่อนเรียน S.D.D แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลต่างของคะแนนระหว่างการทดสอบ หลังเรียนกับการทดสอบก่อนเรียน E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการที่ได้จากการประเมินพฤติกรรมกลุ่ม ประเมินผลงานนักเรียน และการทดสอบย่อยของแต่ละแผน E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของนักเรียนทุกคน % แทน ร้อยละ t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตจากการแจกแจงแบบที (t-distribution) P แทน ความน่าจะเป็นสำหรับบอกนัยสำคัญทางสถิติ * แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ** แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
32 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลได้ดังนี้ ตอนที่ 1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางาน อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบหาความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์หลังเรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ตอนที่ 1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางาน อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ตารางที่1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางานอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้น ปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 รายการประเมิน จำนวน นักเรียน คะแนนเต็ม คะแนนรวม คะแนน เฉลี่ย ประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 75/75 คะแนนกระบวนการ ระหว่างเรียน (E1 ) 30 60 1,426 47.53 79.22 คะแนนวัดสมรรถนะ รายวิชาหลังเรียน (E2 ) 30 20 478 15.93 79.67
33 จากตารางที่ 1 พบว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางาน อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 มีประสิทธิภาพ 79.22/79.67 สูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 75/75 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบหาความสามารถในการหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียน การสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชาอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ดัง ตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบหาความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ หลังเรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 (n=30) การทดสอบ คะแนน เต็ม X S.D. % of Mean t Sig. (2-tailed) ความสามารถ ในการใช้ เครื่องมือวัด อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ 30 25.27 1.39 84.22 10.92* 0.0000 * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 จากตารางที่ 2 พบว่า การเปรียบเทียบหาความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางาน อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 25.27คะแนน
34 คิดเป็นร้อยละ 84.22 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเกณฑ์กับคะแนนหลังเรียนของนักเรียน พบว่า ความสามารถใน การใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน ทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน หลังเรียนของนักศึกษาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
35 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางาน อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. สรุปผล 2. อภิปรายผล 3. ข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย 1. การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางานอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้น ปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. ความสามารถในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน หลังเรียนของนักศึกษาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อภิปรายผล 1. การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน วิชางานอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์เบื้องต้น เรื่องการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้น ปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 สอดคล้องกับ จริยา อันเบ้า (2563: 98) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการ เรียนรู้ทักษะปฏิบัติฟ้อนออนซอนสาดบ้านแพงสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามแนวคิดของซิมพ์สัน ผลการวิจัยปรากฏว่า (1) การวัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติ มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 81.18/90.32 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 (2) นักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ฟ้อน ออนซอนสาดบ้านแพง มีคะแนนเฉลี่ยรวมเท่ากับ 17.95 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 1.25 คิดเป็นร้อยละ 89.76 จึงส่งผลให้การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมทักษะปฏิบัติ นาฏศิลป์หลังเรียนการให้คะแนนของครูผู้สอนทั้งสองมี
36 ความใกล้เคียงกัน 99 (3) นักเรียนมีความพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ฟ้อนออนซอนสาด บ้านแพง สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามแนวคิดของซิมพ์สัน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.81 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.12 ความพึงพอใจระดับมากที่สุด 2. ความสามารถในการการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน หลังเรียนของนักศึกษาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับผลการวิจัยของ ณัฐพัชร์ มหายศนันท์ และปรุฬห์จักร อัครารัศม์สกุล (2563: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์เพื่อเสริมทักษะเรื่องฟ้อนซอปั่นฝ้ายโดย วิธีการสอนแบบทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ก่อนและหลังเรียน เพื่อประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้นาฏศิลป์ มีประสิทธิภาพ ระหว่างเรียน/หลังเรียนเท่ากับ 83.16/83.00 ซึ่งสูงกว่าร้อยละ 80/80และมีผลการเรียนก่อนและหลังได้เรียนรู้ รูปแบบกิจกรรมนาฏศิลป์เพื่อเสริมสร้างทักษะนาฏศิลป์เรื่องฟ้อนซอปั่นฝ้ายโดยวิธีการสอนแบบทักษะปฏิบัติของ ซิมพ์สัน แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยหลังเรียนสูงกว่าก่อน ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน 1.1 ผู้สอนต้องศึกษาและทำความเข้าใจ ขั้นตอนแต่ละขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้รูปแบบการเรียน การสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน เป็นอย่างดีมีความอดทนในการรอฟังความคิดเห็นต่าง ๆ จากผู้เรียน ใส่ใจ และ คอยให้คำชี้แนะอย่างทั่วถึง ไม่ลำเอียงหรืออคติ สร้างความรู้สึกเป็นกันเองระหว่างผู้เรียนและครูผู้สอน 1.2 การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์สัน เป็นรูปแบบการสอน ที่ต้องใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ ดังนั้นครูผู้สอนจำเป็นต้องวางแผนเรื่องเวลาให้ดีและปฏิบัติตามแผนที่ กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการสอนเนื้อหาในเรื่องอื่น ๆ ไม่ทันกับเวลา 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการศึกษา เกี่ยวกับการการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของซิมพ์ สัน ที่มีต่อความสามารถในทักษะอื่นๆ
37 เอกสารอ้างอิง กิตติพร ปัญญาภิญโญผล. (2541). รูปแบบของวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน: กรณีศึกษา สำหรับครูมัธยมศึกษา. ภาควิชาประเมินผลและวิจัยการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัย เชียงใหม่. กุลิสรา จิตรชญาวณิช. (2564). การจัดการเรียนรู้. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. จิตติรัตน์ แสงเลิศอุทัย. (2558). เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, 12(58), 13-24. ชาญชัย ยมดิษฐ์. (2548). เทคนิคและวิธีการสอนร่วมสมัย. กรุงเทพมหานคร: หลักพิมพ์ ชัยวัฒน์ สุทธิวัฒน์. (2557). 80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: แดเน็กซ์อินเตอร์คอปอเรชั่น . ทิศนา แขมณี. (2560). 14 วิธีสอนสำ หรับครูมืออำชีพ. พิมพ์ครั้งที่13. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2564). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 25. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมณีและคณะ. (2544). วิทยาการด้านการคิด. กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ. นวลอนงค์ บุญฤทธิพงศ์. (2556). ระเบียบวิธีวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 3. สุราษฎร์ธานี: จุดทอง. มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม. (2557). การสังเกต. สืบค้นเมื่อ 20 กุมภาพันธ์2565, จาก http://elearning.psru.ac.th. พินันทร์ คงคาเพชร. (2552). การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ: แดเน็กซ์ อินเตอร์ คอร์ปอเรชั่น. ยาใจ พงษ์บริบูรณ์. (2537). การวิจัยเชิงปฏิบัติการ. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 17(4), 11-15. ราชบัณฑิตยสถาน (2558). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔. สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม 2565, จาก https://dictionary.orst.go.th/index.php. วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย. (2564). รายงานผลสมรรถนะทางการเรียน ประจำปี การศึกษา 2564. หนองคาย: วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย.
38 วีระยุทธ์ ชาตะกาญจน์. (2558). การวิจัยเชิงปฏิบัติการ Action Research. วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี, 2(1): 29-49. สมถวิล วิจิตร และคณะ. (2556). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: บริษัทเจริญดี มั่นคง การพิมพ์. สมปอง พะมุลิลา (2561). การวิจัยเชิงปฏิบัติการ. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2565, จาก http://www.nurse.ubu.ac.th/new/?q=node/740. สุวิทย์ มูลค ำ. (2550). กลยุทธก์ำรสอนคิด. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ภำพพิมพ์. (2547). กลยุทธ์กำรสอนคิดประยุกต์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ภำพพิมพ์. สุวิมล ว่องวาณิช. (2555). การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสริมศรี ลักษณศิริ. (2540). หลักการสอน. กรุงเทพฯ: ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏพระนคร. ไสว ฟักขาว. (2557). การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ: เอมพันธ์. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2561). สภาวะการศึกษาไทยปี 2559/2560 แนวทางการ ปฏิรูปการศึกษาไทยเพื่อก้าวสู่ยุค Thailand 4.0. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา องอาจ นัยพัฒน์. (2548). วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรมศาสตร์และ สังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ: สามลดา. อินทิรา บุณยาทร. (2542). หลักการสอน. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. Johnson, A. P. (2008). A Short Guide to Action Research (3rd ed.). Boston: Pearson Education. Kemmis, S. and McTaggart, R. (1988). The action research planer (3rd ed.). Victoria: Deakin University. Stringer, E.T. (2007). Action research (3rd ed.). Thousand Qaks, CA: Sage.
39 ภาคผนวก
40 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - แผนการจัดการเรียนรู้ - แบบทดสอบวัดสมรรถนะ - แบบวัดความสามารถ - สื่อการเรียนรู้ หน่วยที่ 4 เครื่องมือวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
41 แผนการจัดการเรียนรู้
42 แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยที่ 4 วิชา งานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น รหัสวิชา 20101-2103 สอนสัปดาห์ที่ 4 ชื่อหน่วย เครื่องมือวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เวลา 4 ชม. หัวข้อเรื่อง 1. หลักการตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 2. หลักการตรวจสอบการทำงานของระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ 3. การใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 4. การวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 5. งานตรวจสอบความดันน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบ สาระสำคัญ ปัจจุบันเครื่องยนต์ระบบฉีดเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างมากโดย อุปกรณ์ส่วนใหญ่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และควบคุมการทำงานของ เครื่องยนต์ด้วยกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์หรือกล่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ส่วนใหญ่ จำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษา ตรวจวัด และตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายหลักการตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ได้ 2. อธิบายหลักการตรวจสอบการทำงานของระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ได้ 3. บอกชื่อเครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ได้ 4. บอกวิธีการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ได้ 5. อธิบายหลักการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ได้ 6. ตรวจสอบความดันน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบได้ สาระการเรียนรู้ 1. หลักการตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 2. หลักการตรวจสอบการทำงานของระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ 3. การใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์
43 3.1 ขั้นตอนการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 3.2 ข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 4. การวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 4.1 ขั้นตอนการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 4.2 ข้อควรระวังในการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ 5. งานตรวจสอบความดันน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบ 5.1 การใช้เครื่องมือตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 5.2 ขั้นตอนการตรวจสอบความดันน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบ การวิเคราะห์ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักความพอประมาณ - เนื้อหาเหมาะสมกับระดับความรู้ของผู้เรียน หลักความมีเหตุผล - นักเรียนมีความรู้เรื่องหลักการตรวจสอบการทำงานของระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ หลักภูมิคุ้มกัน - มีความรู้เรื่องหลักการตรวจสอบการทำงานของระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ - นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เงื่อนไขคุณธรรม - มีความรับผิดชอบ - มีความรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง - มีความสามัคคี - มีระเบียบวินัย - มีความซื่อสัตย์ - ตรงต่อเวลา - มีมนุษยสัมพันธ์ - มีความสุภาพเรียบร้อย -
44 เงื่อนไขความรู้ - ความรู้เกี่ยวกับหลักการตรวจสอบการทำงานของระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ การเชื่อมโยงสู่ 4 มิติ มิติสังคม - เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้เรื่องหลักการตรวจสอบการทำงานของระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในครอบครัวในสังคมและชุมชนได้ มิติเศรษฐกิจ - เมื่อนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ มิติวัฒนธรรม - สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างฉลาด มิติสิ่งแวดล้อม - รู้จักแยกแยะสิ่งดีและสิ่งไม่ดีในสังคมสิ่งแวดล้อมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในการใช้ชีวิต การบูรณาการกับคุณลักษณะ 3 D แก่ผู้เรียน ด้านประชาธิปไตย (Democracy) ใช้กิจกรรมการเรียนการสอนปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักการแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังข้อเสนอแนะ ต่าง ๆ ตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ด้านคุณธรรมจริยธรรมและความเป็นไทย (Decency) ใช้กิจกรรมการเรียนการสอนในส่วนของการทำแบบฝึกหัด แบบทดสอบ ปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักซื่อสัตย์ สุจริต ไม่โกงผิดก็ยอมรับผิดแก้ไขและให้อภัยกัน ตกก็ซ่อมทบทวนเนื้อหาวิชาด้วยกัน เอื้ออาทรเป็นกัลยาณมิตร ตามแบบขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมความเป็นไทยที่สืบทอดต่อกันมา ด้านภูมิคุ้มกันจากยาเสพติด (Drug-Free) ใช้ระบบการเรียนเป็นกลุ่มเมื่อมีปัญหาให้ปรึกษาหาทางออกที่ถูกต้อง อย่าหันไปหายาเสพติด
45 กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ครูใช้คำถาม “การตรวจสอบการทำงานของเครื่องยนต์ระบบฉีดเชื้อเพลิง อิเล็กทรอนิกส์สามารถทำได้อย่างไรบ้าง” คำถามที่ 2 “นักเรียนคิดว่าเครื่องมือชนิดใดที่จำเป็นต้องใช้ในการ ตรวจสอบเครื่องยนต์ระบบฉีดเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์บ้าง” ขั้นให้ข้อมูลเนื้อหา ให้เนื้อหาเรื่องหลักการตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์, หลักการตรวจสอบ การทำงานของระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์,การใช้เครื่องมือวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์, การวัดและทดสอบ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ด้วยการบรรยายสลับกับการถามตอบ และบรรยายสาธิตขั้นตอนการตรวจสอบ ความดันน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบ ขั้นพยายาม ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดท้ายบทหน่วยที่ 4 ตอนที่ 1-2, ฝึกปฏิบัติใบงานที่ 1 ขั้นสำเร็จผล เฉลยแบบฝึกหัดร่วมกับผู้เรียน, ประเมินผลการฝึกปฏิบัติใบงานที่ 1 หมายเหตุ: หลังจากสิ้นสุดการเรียนการสอนในบทเรียนหน่วยที่ 4 เรียบร้อยแล้ว ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลัง เรียน (ตอนที่ 3) จำนวน 15 ข้อ เพื่อเก็บคะแนนตามสภาพจริงต่อไป การวัดผลและประเมินผล วิธีการวัดผล ภาคทฤษฎีโดยการทดสอบ เครื่องมือในการวัดผล แบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 15 ข้อ เกณฑ์การประเมิน (ใช้เกณฑ์ผ่านร้อยละ 60 ตามระบบบริหารสถานศึกษา ศธ.02) - ระดับดี ทำแบบทดสอบได้ 12 ข้อขึ้นไป - ระดับปานกลาง ทำได้ 9-11 ข้อ - ระดับต้องปรับปรุง ทำได้ไม่เกิน 9 ข้อ วิธีการวัดผล ภาคปฏิบัติโดยประเมินผลการปฏิบัติงาน เครื่องมือในการวัดผล แบบประเมินผลการปฏิบัติงาน เกณฑ์การประเมิน (ใช้เกณฑ์ผ่านร้อยละ 60 ตามระบบบริหารสถานศึกษา ศธ.02)
46 สื่อประกอบการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิชางานอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เบื้องต้น 2. สื่อ Power point 3. เครื่องคอมพิวเตอร์ (Notebook) 4. เครื่องฉายภาพโปรเจคเตอร์ (Projector) 5. เครื่องยนต์ตั้งแท่น/รถยนต์สำหรับฝึก
47 บันทึกหลังการสอน ผลการใช้แผนการสอน ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. วิธีการสอน ( ) บรรยาย ( ) สาธิต ( ) ทดลอง,ปฏิบัติ ( ) กิจกรรมกลุ่ม ( ) อื่นๆ…………………………………....... ผลการสอนของครู ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. . ผลการเรียนของนักศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ปัญหาและอุปสรรค ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ…………………...………… นักศึกษาฝึกสอน ลงชื่อ…………………………….หัวหน้าแผนก ( นายชัชพงษ์ เริงสุขเกษม ) ( นายสุดสาคร พาติกบุตร ) ลงชื่อ………………………….หัวหน้างานหลักสูตร ลงชื่อ……………………………..รองฯฝ่ายวิชาการ ( นางสาวอังคณา อัตถาพร ) ( นางสุรีรัตน์ จันธัมมา ) ลงชื่อ……………………………..ผู้อำนวยการ ( นายเดชวิชัย พิมพ์โคตร )
48 แบบฝึกหัดบทที่ 4 ตอนที่ 1 จงเขียนตอบบนนยายหรืออธิบายตามหัวข้อต่อไปนี้ 1.จงอธิบายหลักการตรวจสอบการสตาร์ตของเครื่องยนต์ ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... 2. จงอธิบายหลักการตรวจสอบจานจ่าย ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... 3. จงอธิบายหลักการตรวจสอบไฟสัญญาณ Check engine ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... 4. จงบอกขั้นตอนการตรวจสอบปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ .........................................................................................................................................................................
49 ตอนที่ 2 คาสั่งให้เขียนชื่อส่วนประกอบของมัลติมิเตอร์แบบเข็ม 1. ......................... 2. ......................... 3. ......................... 4. ......................... 5. ......................... 6. ......................... 7. ......................... 8. .........................
50 เฉลยแบบฝึกหัด ตอนที่ 1 จงเขียนตอบบนนยายหรืออธิบายตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. จงอธิบายหลักการตรวจสอบการสตาร์ตของเครื่องยนต์ ให้ตรวจสอบการสตาร์ตของเครื่องยนต์ สตาร์ตติดได้หรือไม่ได้ ถ้าสตาร์ตไม่ติดให้ตรวจสอบประกายไฟจาก หัวเทียนเป็นลำดับแรก ถ้ายังสตาร์ตไม่ติดให้ตรวจสอบรายการต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้ 1.1 ตรวจสอบตัวตรวจจับอุณหภูมิน้ำ 1.2 ตรวจสอบตัวตรวจจับสุญญากาศ 1.3 ตรวจสอบสวิตช์ความร้อนเวลา 1.4 ตรวจสอบหัวฉีดสตาร์ตเย็น 1.5 ตรวจสอบหัวฉีดประจำสูบ 1.6 ตรวจสอบวงจรไฟฟ้าหัวฉีดประจำสูบ และตรวจสอบองศาการจุดระเบิด 2. จงอธิบายหลักการตรวจสอบจานจ่าย ตรวจสอบการแตกร้าวของฝาครอบจานจ่าย, หัวโรเตอร์, ตรวจสอบการสึกกร่อนของขั้วสาย, ตรวจสอบการ สึกหรอของศูนย์กลางการสัมผัสของจานจ่ายและหัวโรเตอร์ 3. จงอธิบายหลักการตรวจสอบไฟสัญญาณ Check engine 1. เปิดสวิตช์จุดระเบิดตำแหน่ง ON 2. สังเกตหลอดไฟเตือนจะติดสว่าง ถ้าไม่ติดให้ตรวจสอบหลอดไฟ ฟิวส์ รีเลย์หลัก วงจรไฟตามลำดับ 4. จงบอกขั้นตอนการตรวจสอบปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง 1. เตรียมเครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ 2. ตรวจสอบระดับน้ำมันเชื้อเพลิงภายในถังน้ามันเชื้อเพลิง 3. ติดตั้งเกจวัดความดันน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากับท่อจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 4. เปิดสวิตช์จุดระเบิดตำแหน่ง ON 5. ใช้สายไฟลัดวงจรระหว่างขั้ว +B กับขั้ว Fp ที่ขั้วตรวจสอบหรือที่รีเลย์เปิดวงจร 6. เครื่องยนต์ฯ 5A-FE ให้สังเกตที่เกจวัดความดันน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงทางานปกติ หรือ ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานปกติ เข็มเกจวัดความดันจะชี้ขึ้น (ไม่อยู่ในตำแหน่งเลข 0) 7. เครื่องยนต์ฯ 4A-GE ให้สังเกตที่หัวสกรูของตัวปูองกันการกระเพื่อม ถ้าปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานปกติ หรือระบบน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานปกติหัวสกรูจะถูกความดันของน้ำมันเชื้อเพลิงดันให้สูงขึ้น
51 ตอนที่ 2 คาสั่งให้เขียนชื่อส่วนประกอบของมัลติมิเตอร์แบบเข็ม 1. สเกลบนหน้าปัด 2. สายไฟสาหรับวัดค่า 3. ปุมปรับเข็มให้ตรง 0 4. ปรับเลือกย่านวัด 5. ช่วงการวัด 6. โครงมัลติมิเตอร์ 7. เข็มมิเตอร์ 8. หน้าปัด