The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทยาศาสตร์ ประถม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookrayong, 2020-11-25 04:03:02

วิทยาศาสตร์ ประถม

วิทยาศาสตร์ ประถม

45

การตัดชา
การตดั ชา คือ การนาํ ส่วนต่าง ๆ ของพืชพนั ธุ์ดี เช่น ใบ และ ราก มาตดั และปักชาํ ในวสั ดุ
เพาะชาํ เพือ่ ใหไ้ ดพ้ ืชตน้ ใหม่จากสวนที่นาํ มาตดั ชาํ แต่ในที่น้ีจะขอแนะนาํ ข้นั ตอนการตดั ชาํ ก่ิง
ซ่ึงมีข้นั ตอน ดงั น้ี
1. ตดั โคนก่ิงใหช้ ิดขอ้ ยาวประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร โดยตดั เฉียงเป็นรูปปากฉลาม
และตดั ปลายบนใหเ้ หนือตาประมาณ 1 เซนติเมตร
2. ใชม้ ีดปลายแหลมกรีดบริเวณรอบโคนยาว 1 - 1.5 เซนติเมตร ประมาณ 2 - 3 รอย

3. ปักก่ิงชาํ ลงในวสั ดุเพาะชาํ ลึกประมาณ 2.5 - 5 เซนติเมตร

4. นาํ เขา้ โรงอบพลาสติก หรือถุงพลาสติกขนาดใหญ่

46

5. ประมาณ 25 - 30 วนั กิ่งตดั ชาํ จะแตกยอดอ่อน พร้อมออกราก เมื่อมีจาํ นวนมากพอ
จึงยา้ ยปลูกตอ่ ไป

กจิ กรรม

ใหน้ กั เรียนขยายพนั ธุ์พชื ดว้ ยวธิ ีใดตามท่ีเรียนมาก็ไดแ้ ลว้ บนั ทึกผลลงในตารางท่ีออกแบบไว้

แบบทดสอบ

คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนเลือกคาํ ตอบที่ถูกที่สุดเพยี งขอ้ เดียว
1. ส่วนประกอบใดของดอกท่ีทาํ ใหเ้ กิดการสืบพนั ธุ์

ก. เกสรตวั ผู้ - เกสรตวั เมีย
ข. เกสรตวั ผู้ - กลีบดอก
ค. เกสรตวั เมีย - กลีบดอก
ง. กลีบเล้ียง - กลีบดอก
2. การสร้างอาหารของพชื ไม่ตอ้ งอาศยั ขอ้ ใด
ก. กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์
ข. ก๊าซออกซิเจน
ค. แสงแดด
ง. น้าํ

47

3. การแลกเปล่ียนก๊าซเกิดข้ึนท่ีส่วนใดของตน้
ก. ราก
ข. ใบ
ค. ลาํ ตน้
ง. ดอก

4. ใบไมเ้ ปรียบไดก้ บั หอ้ งใดภายในบา้ น
ก. หอ้ งนอน
ข. หอ้ งน้าํ
ค. หอ้ งครัว
ง. หอ้ งนง่ั เล่น

5. ขอ้ ใดไม่ใช่ปัจจยั ในการเจริญเติบโตของพืช
ก. น้าํ
ข. อากาศ
ค. แร่ธาตุ
ง. วชั พืช

เร่ืองท่ี 4 สัตว์

สัตวแ์ ตล่ ะชนิดท่ีอาศยั อยตู่ ามธรรมชาติ มีลกั ษณะโครงสร้างภายนอก และภายในแตกตา่ งกนั
ทาํ ใหเ้ ราสามารถจาํ แนกประเภทของสัตวอ์ อกเป็ น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ

1. สตั วท์ ี่มีกระดูกสันหลงั และสัตวท์ ี่ไมม่ ีกระดูกสันหลงั
2. สัตว์เป็ นส่ิงมีชีวิตเพราะเคล่ือนที่ได้ กินอาหารได้ หายใจได้ ขับถ่ายได้ และสามารถ
ขยายพนั ธุ์ออกลูกออกหลานได้ ทาํ ให้สัตว์มีจาํ นวนเพิ่มมากข้ึน ในโลกของเรามีสัตวจ์ าํ นวนมากมาย
หลายชนิด สัตวแ์ ต่ละชนิดมีธรรมชาติ และมีการดาํ รงชีวติ แตกต่างกนั ไป ข้ึนอยูก่ บั ลกั ษณะโครงสร้าง
ภายนอกและลกั ษณะโครงสร้างภายในของสตั วน์ ้นั

ประเภทของสัตว์ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ
สัตวท์ ี่มีกระดูกสันหลงั เป็ นสัตวท์ ี่มีกระดูกต่อกนั เป็ นขอ้ ๆ กระดูกเหล่าน้ีทาํ หน้าท่ีเป็ นแกน

ของร่างกาย ตวั อยา่ งสตั วท์ ่ีมีกระดูกสนั หลงั
ปลา เป็ นสัตวน์ ้าํ อาศยั อยู่ท้งั ในน้าํ จืดและน้าํ เค็ม ปลามีรูปร่างเรียวยาว เพ่ือให้สะดวกในการ

เคลื่อนที่ในน้าํ ลาํ ตวั ของปลามีเกล็ดหรือเมือกปกคลุม ปลาหายใจโดยใชเ้ หงือก ปลาส่วนใหญ่ออกลูก
เป็ นไข่ เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาทู เป็ นตน้ แต่ปลาบางชนิดออกลูกเป็ นตวั เช่น

48

ปลาหางนกยูง ปลาเข็ม ปลาสอด ปลาฉลาม (บางพนั ธุ์) ครีบหางและครีบขา้ งลาํ ตวั ปลา ช่วยให้ปลา
เคลื่อนท่ีไปในแนวต่าง ๆ ได้

กบ อ่ึงอ่าง คางคก เขียด เป็ นสัตวค์ ร่ึงบกคร่ึงน้าํ ตอนเป็ นไข่อยใู่ นน้าํ ต่อมาไข่เจริญเติบโตเป็ น
ตวั อ่อนที่เรียกว่า “ลูกอ๊อด” ซ่ึงอาศยั อยูใ่ นน้าํ และหายใจโดยใช้เหงือก ขณะลูกอ๊อดอยใู่ นน้าํ เคล่ือนที่
โดยใชห้ างวา่ ยน้าํ เม่ือลูกอ๊อดเจริญเติบโตข้ึน ส่วนหางจะหายไป และมีขา 4 ขา เกิดข้ึน รูปร่างเหมือน
ตวั แมโ่ ดยทวั่ ไป แต่มีขนาดเล็ก และข้ึนมาอาศยั บนบก สตั วค์ ร่ึงบกคร่ึงน้าํ เม่ือเติบโตเต็มท่ีแลว้ จะหายใจ
โดยใชป้ อดและผวิ หนงั

จระเข้ เต่า งู จิ้งจก เป็ นสัตวเ์ ล้ือยคลานอาศยั อยู่บนบก มีหนังปกคลุมลาํ ตวั เป็ นเกล็ดแข็ง
และแหง้ หายใจโดยใชป้ อด สตั วเ์ หล่าน้ีออกลูกเป็นไข่ ซ่ึงมีเปลือกแขง็ หรือเปลือกเหนียวนิ่มหุม้

นก เป็ ด ไก่ ห่าน เป็นสัตวป์ ี ก อาศยั อยบู่ นบก มีขา 2 ขาและมีปี ก 2 ปี ก เพ่ือใช้บิน ลาํ ตวั ปกคลุม
ดว้ ยขนที่มีการหายใจโดยใชป้ อด สัตวเ์ หล่าน้ีออกลูกเป็นไข่ ที่มีเปลือกแขง็ หุม้

มนุษย์ ลิง สุนัข ค้างคาว วาฬ โลมา เป็ นสัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม เพราะสัตวต์ วั เมียจะมีต่อมสร้าง
น้าํ นม สําหรับเล้ียงลูก ลาํ ตวั ปกคลุมดว้ ยขนที่เป็ นเส้น หายใจโดยใช้ปอด สัตวเ์ หล่าน้ีออกลูกเป็ นตวั
ลกั ษณะโครงกระดูกของลิง คลา้ ยโครงกระดูกของมนุษย์

สัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลงั
เป็นสัตวไ์ มม่ ีกระดูกเป็นแกนของร่างกาย สตั วบ์ างชนิดจึงสร้างเปลือกแขง็ ข้ึนมาห่อหุม้ ร่างกาย

เพ่อื ป้องกนั อนั ตราย
ตวั อยา่ งสตั วไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลงั คือ
พยาธิ เป็นสัตวไ์ มม่ ีกระดูกสันหลงั ท่ีมีลาํ ตวั ยาวรูปร่าง กลม หรือ แบน พยาธิส่วนใหญ่จะอาศยั

อยใู่ นร่างกายมนุษยห์ รือสัตวต์ า่ ง ๆ และดูดเลือดจากสตั วเ์ หล่าน้นั เป็นอาหาร
ก้งุ ก้งั ปู เป็นสตั วไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ท่ีมีสารเป็นเปลือกแขง็ หุ้มลาํ ตวั ลาํ ตวั แบ่งเป็ น 2 ส่วน คือ

ส่วนหวั และส่วนทอ้ ง ที่ส่วนหวั มีตา 1 คู่ มีขนาดใหญ่ท่ีส่วนทอ้ ง มีขาท่ีมีลกั ษณะต่อกนั เป็ นขอ้ สาํ หรับ
ใชเ้ ดิน วา่ ยน้าํ หรือช่วยในการกินอาหาร

แมลง เป็ นสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ท่ีมีสารเป็ นเปลือกแข็งหุ้มลาํ ตวั เช่นเดียวกบั พวกกุง้ ก้งั ปู
แตล่ าํ ตวั ของแมลงแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหวั ส่วนอก และส่วนทอ้ ง ท่ีส่วนหวั มีตา 1 คู่ มีหนวดที่ส่วน
อกมีขาต่อกนั เป็นขอ้ ๆ จาํ นวน 3 คู่ (6 ขา) สาํ หรับ เดิน วง่ิ กระโดด หรือจบั อาหารกิน

หอย จดั เป็ นสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ท่ีมีลาํ ตวั อ่อนนิ่ม มีสารจาํ พวกหินปูน เป็ นเปลือกแขง็ หุ้ม
ลาํ ตวั หอยส่วนใหญ่อาศยั อยูใ่ นน้าํ หอยท่ีอาศยั อยูใ่ นน้าํ จืด เช่นหอยกาบ หอยโข่ง หอยขม หอยท่ีอาศยั
อยู่ในน้าํ เค็ม เช่นหอยแครง หอยแมลงภู่ หอยกะพง เป็ นตน้ ส่วนหอยบางชนิดอาศยั อยู่บนบก เช่น
หอยทาก

49

ปลาหมึกทะเล เป็ นสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ที่มีลาํ ตวั อ่อนนุ่ม รูปร่างเรียวยาว ส่วนทา้ ยของ
ลาํ ตวั มีหนวดสําหรับว่ายน้าํ ในลาํ ตวั ของหมึกทะเล อาจมีแผน่ แข็ง ๆ เรียกว่าลิ้นทะเล ทาํ หน้าท่ีเป็ น
โครงสร้างของร่างกายหมึก

สตั วใ์ นโลกแบ่งเป็ นสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั และสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั สัตวเ์ หล่าน้ีอาศยั อยูใ่ น
แหล่งที่อยอู่ าศยั แตกตา่ งกนั สตั วบ์ างชนิดอาศยั อยใู่ นน้าํ สัตวบ์ างชนิดอาศยั อยบู่ นบก สัตวบ์ างชนิดอาศยั
อยู่ไดท้ ้งั บนบกและในน้าํ สัตวเ์ หล่าน้ีเม่ือเกิดและมีชีวิตอยู่ในป่ าหรือในน้าํ อย่างอิสระตามธรรมชาติ
เราจดั เป็นสตั วป์ ่ า ส่วนสัตวบ์ า้ น หรือสัตวป์ ่ าท่ีคนนาํ มาเล้ียงจนเช่ือง เราเรียกวา่ สัตวเ์ ล้ียง

โครงสร้างและหน้าทข่ี องระบบต่าง ๆ ในร่างกายสัตว์
สัตวต์ ่าง ๆ เป็ นส่ิงมีชีวิตท่ีอาศยั อยู่ในแหล่งที่อยู่ท่ีแตกต่างกนั และสัตวต์ ่าง ๆ เหล่าน้ี บางชนิดมี

เน้ือเยอื่ หรืออวยั วะท่ียงั ไม่มีการพฒั นาใหเ้ ห็นไดช้ ดั เจนแต่บางชนิดกม็ ีการพฒั นาใหเ้ ห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน มีความ
ซับซ้อนของโครงสร้างของร่างกายท่ีแตกต่างกันออกไป ซ่ึงมีผลทาํ ให้ระบบต่าง ๆ มีส่วนประกอบของ
โครงสร้างและหนา้ ท่ีการทาํ งานที่แตกตา่ งกนั ออกไปดว้ ย

1. ระบบย่อยอาหารของสัตว์ ซ่ึงทางเดิน

1.1 การย่อยอาหารในสัตว์มีกระดูกสันหลงั
สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั ทุกชนิดเช่นปลากบกิ้งก่าแมวจะมีระบบทางเดินอาหารสมบูรณ์
อาหารของสตั วม์ ีกระดูกสันหลงั ประกอบดว้ ย

ปากหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร  ลาํ ไส้เลก็  ทวารหนกั

50

รูปแสดงทางเดินอาหารของวัว

51

1.2 การย่อยอาหารในสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลงั
1.2.1 การย่อยอาหารในสัตว์ทไ่ี ม่มีกระดูกสันหลงั ทมี่ ีทางเดนิ อาหารไม่สมบูรณ์

รูปแสดงระบบย่อยอาหารของสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลงั ทมี่ ีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์

52

ตารางสรุปการย่อยอาหารในสัตว์ทไี่ ม่มีกระดูกสันหลังทมี่ ีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์

ชนิดของสัตว์ ลกั ษณะทางเดนิ อาหารและการย่อยอาหาร

1. ฟองน้ าํ - ยงั ไม่มีทางเดินอาหาร แต่มีเซลล์พิเศษอยู่ผนังด้านในของฟองน้ํา

เรียกวา่ เซลลป์ ลอกคอ(CollarCell)ทาํ หนา้ ท่ีจบั อาหาร แลว้ สร้างแวคิว

โอลอาหาร (FoodVacuole)เพ่อื ยอ่ ยอาหาร

2.ไฮดราแมงกะพรุนซีแอนนีโมนี - มีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ มีปาก แต่ไม่มีทวารหนัก อาหารจะผ่าน

บริเวณปากเข้าไปในช่องลําตวั ท่ีเรียกว่า ช่องแกสโตรวาสคิวลาร์

(Gastro vascular Cavity) ซ่ึงจะย่อยอาหารท่ีบริเวณช่องน้ี และกาก

อาหารจะถูกขบั ออกทางเดิม คือปาก

3. หนอนตัวแบน เช่น พลานาเรี ย -มีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ มีช่องเปิ ดทางเดียวคือปาก ซ่ึงอาหารจะเขา้

พยาธิใบไม้ ทางปาก และย่อยในทางเดินอาหาร แลว้ ขบั กากอาหารออกทางเดิม คือ

ทางปาก

1.2.2 การย่อยอาหารในสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลงั ทม่ี ีทางเดินอาหารสมบูรณ์

53

สรุปการย่อยอาหารในสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลงั ทม่ี ีทางเดินอาหารสมบูรณ์

ชนิดของสัตว์ ลกั ษณะทางเดินอาหารและการย่อยอาหาร

1. หนอนตัวกลม เช่น พยาธิไส้เดือน - เป็ นพวกแรกที่มี ทางเดินอาหารสมบูรณ์ คือ มีช่องปากและ

พยาธิเส้นดา้ ย ช่องทวารหนกั แยกออกจากกนั

2. หนอนตัวกลมมีปล้ อง เช่ น - มีทางเดินอาหารสมบูรณ์ และมีโครงสร้างทางเดิ นอาหารท่ีมี

ไส้เดือนดิน ปลิงน้าํ จืดและแมลง ลกั ษณะเฉพาะแตล่ ะส่วนมากข้ึน

2. ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์
ในสัตวช์ ้นั สูงมีระบบหมุนเวียนเลือด ซ่ึงประกอบดว้ ยหวั ใจเป็ นอวยั วะสําคญั ทาํ หนา้ ท่ีสูบฉีดเลือด

ไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมีหลอดเลือดเป็ นทางลาํ เลียงเลือดไปทว่ั ทุกเซลล์ของร่างกาย แต่ในสัตวบ์ าง
ชนิดใชช้ ่องวา่ งระหวา่ งอวยั วะเป็นทางผา่ นของเลือด

ระบบหมุนเวยี นเลือดมี 2แบบดงั น้ี
2.1 ระบบหมุนเวยี นเลือดแบบวงจรปิ ด (Closed Circulation System)ระบบน้ีเลือดจะไหลอยภู่ ายใน

หลอดเลือดตลอดเวลาโดยเลือดจะไหลออกจากหวั ใจไปตามหลอดเลือดชนิดต่างๆ แลว้ ไหลกลบั เขา้ สู่หวั ใจใหม่
เช่นน้ีเร่ือยไปพบในสัตวจ์ าํ พวกหนอนตวั กลมมีปลอ้ งเช่นไส้เดือนดินปลิงน้าํ จืดและสตั วม์ ีกระดูกสันหลงั ทุก
ชนิด

รูปแสดงระบบหมุนเวยี นเลือดแบบปิ ด

54

รูปแสดงระบบหมุนเวยี นเลือดแบบวงจรปิ ดของสัตว์ชนิดต่าง ๆ
2.2 ระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรเปิ ด (Open Circulation System) ระบบน้ีเลือดที่ไหลออกจาก
หวั ใจจะไม่อยู่ในหลอดเลือดตลอดเวลาเหมือนวงจรปิ ด โดยจะมีเลือดไหลเขา้ ไปในช่องว่างลาํ ตวั และท่ีว่าง
ระหวา่ งอวยั วะต่าง ๆพบในสตั วจ์ าํ พวกแมลงกงุ้ ปู และหอย

รูปแสดงระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรเปิ ด
3. ระบบหายใจในสัตว์

สัตวต์ ่าง ๆ จะแลกเปล่ียนก๊าซกับสิ่งแวดล้อมโดยกระบวนการแพร่ (Diffusion) โดยสัตวแ์ ต่ละชนิดจะมี
โครงสร้างท่ีใชใ้ นการแลกเปลี่ยนก๊าซที่เหมาะสมกบั การดาํ รงชีวติ และสิ่งแวดลอ้ มตา่ งกนั

55

รูปแสดงระบบหายใจของสัตว์ชนิดต่าง ๆ

56

รูปแสดงระบบหายใจของสัตว์ชนิดต่าง ๆ

ชนิดของสัตว์ โครงสร้างทใี่ ช้ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
1.สัตวช์ ้นั ต่าํ เช่นไฮดรา
-ไมม่ ีอวยั วะในการหายใจโดยเฉพาะการแลกเปล่ียนกา๊ ซใชเ้ ยอื่ หุม้ เซลล์
แมงกะพรุนฟองน้าํ พลานาเรีย หรือผวิ หนงั ที่ชุ่มช้ืน
2.สัตวน์ ้าํ ช้นั สูงเช่นปลากงุ้ ปู
-มีเหงือก(Gill)ซ่ึงมีความแตกต่างกนั ในดา้ นความซบั ซอ้ นแต่ทาํ หนา้ ท่ี
หมึก หอย ดาวทะเล เช่นเดียวกนั (ยกเวน้ สตั วค์ ร่ึงบกคร่ึงน้าํ ในช่วงที่เป็น
ลูกออ๊ ดซ่ึงอาศยั อยใู่ นน้าํ จะหายใจดว้ ยเหงือก ต่อมาเมื่อโตเป็ นตวั เตม็
3.สัตวบ์ กช้นั ต่าํ เช่นไส้เดือนดิน วยั อยบู่ นบกจึงจะหายใจดว้ ยปอด)

4.สตั วบ์ กช้นั สูงมี 3ประเภทคือ -มีผวิ หนงั ท่ีเปี ยกช้ืนและมีระบบหมุนเวยี นเลือดเร่งอตั ราการแลกเปลี่ยน
4.1 แมงมุม กา๊ ซ

4.2แมลงตา่ งๆ -มีแผงปอดหรือลงั บุก๊ (LungBook)มีลกั ษณะเป็นเส้นๆยน่ื ออกมา
นอกผวิ ร่างกายทาํ ใหส้ ูญเสียความช้ืนไดง้ ่าย
4.3สัตวม์ ีกระดูกสนั หลงั -มีทอ่ ลม(Trachea)เป็นท่อท่ีติดต่อกบั ภายนอกร่างกายทางรูหายใจและ

แตกแขนงแทรกไปยงั ทุกส่วนของร่างกาย
-มีปอด(Lung)มีลกั ษณะเป็นถุงและมีความสัมพนั ธ์กบั ระบบหมุนเวยี น

เลือด

4. ระบบขับถ่ายในสัตว์

ในเซลล์หรือในร่างกายของสัตวต์ ่าง ๆ จะมีปฏิกิริยาเคมีจาํ นวนมากเกิดข้ึนตลอดเวลา และผลจากการ
เกิดปฏิกิริยาเคมีเหล่าน้ี จะทาํ ให้เกิดผลิตภณั ฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตและของเสียท่ีตอ้ งกาํ จดั ออกดว้ ยการ
ขบั ถ่ายสตั วแ์ ต่ละชนิดจะมีอวยั วะ และกระบวนการกาํ จดั ของเสียออก นอกร่างกายแตกต่างกนั ออกไป สัตวช์ ้นั
ต่าํ ท่ีมีโครงสร้างง่าย ๆ เซลล์ท่ีทาํ หน้าที่กาํ จดั ของเสียจะสัมผสั กบั สิ่งแวดลอ้ มโดยตรง ส่วนสัตวช์ ้ันสูงที่มี
โครงสร้างซบั ซอ้ น การกาํ จดั ของเสียจะมีอวยั วะท่ีทาํ หนา้ ที่เฉพาะ

57

ระบบขบั ถ่ายของสัตวช์ นิดตา่ ง ๆมีดงั ตอ่ ไปน้ี

รูปแสดงระบบขบั ถ่ายของสัตว์ชนิดต่าง ๆ

ชนิดของสัตว์ โครงสร้างหรืออวยั วะขบั ถ่าย
1. ฟองน้ าํ -เยอื่ หุม้ เซลลเ์ ป็นบริเวณที่มีการแพร่ของเสียออกจากเซลล์
2. ไฮดรา แมงกะพรุ น -ใชป้ ากโดยของเสียจะแพร่ไปสะสมในช่องลาํ ตวั แลว้ ขบั ออกทางปาก

3.พวกหนอนตวั แบนเช่น และของเสียบางชนิดจะแพร่ทางผนงั ลาํ ตวั
พลานาเรี ย พยาธิใบไม้ -ใชเ้ ฟลมเซลล์ (FlameCell)ซ่ึงกระจายอยทู่ ้งั สองขา้ งตลอดความยาวของ

4.พวกหนอนตวั กลมมีปลอ้ ง ลาํ ตวั เป็นตวั กรองของเสียออกทางทอ่ ซ่ึงมีรูเปิ ดออกขา้ งลาํ ตวั
เช่น ไส้เดือนดิน -ใชเ้ นฟริเดียม (Nephridium)รับของเสียมาตามท่อและเปิ ดออกมาทางท่อ

5. แมลง ซ่ึงมีรูเปิ ดออกขา้ งลาํ ตวั
-ใชท้ อ่ มลั พเิ กียน(Mulphigian Tubule)ซ่ึงเป็นทอ่ เลก็ ๆจาํ นวนมากอยู่
6.สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั
ระหวา่ งกระเพาะกบั ลาํ ไส้ ทาํ หนา้ ที่ดูดซึมของเสียจากเลือดและส่ง
ต่อไปทางเดินอาหารและขบั ออกนอกลาํ ตวั ทางทวารหนกั ร่วมกบั กาก
อาหาร
-ใชไ้ ต2ขา้ งพร้อมดว้ ยท่อไตและกระเพาะปัสสาวะเป็นอวยั วะขบั ถ่าย

58

5. ระบบประสาท
ระบบประสาทเป็นระบบที่ทาํ หนา้ ท่ีเก่ียวกบั การสงั่ งาน การติดต่อเช่ือมโยงกบั ส่ิงแวดลอ้ ม
การรับคาํ สั่ง และการปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายใหท้ าํ กิจกรรมไดถ้ ูกตอ้ งเมื่ออยใู่ นสภาพแวดลอ้ มที่

แตกตา่ งกนั

ระบบประสาทของสัตวช์ นิดต่าง ๆมีดงั ต่อไปน้ี

รูปแสดงระบบประสาทของสัตว์ชนิดต่าง ๆ

ชนิดของสัตว์ ระบบประสาท

1. ฟองน้ าํ - ไมม่ ีระบบประสาท

2. ไฮดรา แมงกะพรุ น - เป็ นพวกแรกที่มีเซลล์ประสาท โดยเซลล์ประสาทเช่ือมโยงกนั คลา้ ย

ร่างแหเรียกวา่ ร่างแหประสาท (NerveNet)

3.หนอนตวั แบน เช่นพลานาเรีย - เป็ นพวกแรกท่ีมีระบบประสาทเป็ นศูนยค์ วบคุมอยู่บริเวณหวั และมี

เส้นประสาทแยกออกไป ซ่ึงจะมีระบบประสาทแบบข้นั บนั ได (Ladder

Type System)

4. สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังช้ันสูง - มีปมประสาท (Nerve Ganglion)บริเวณส่วนหวั มากข้ึน และเรียงต่อกนั

เช่นไส้เดือนดิน แมลงหอย เป็ นวงแหวนรอบคอหอยหรือหลอดอาหาร ทาํ หน้าที่เป็ นศูนยก์ ลาง

ระบบประสาทและมีเส้นประสาททอดยาวตลอดลาํ ตวั

5.สัตวม์ ีกระดูกสันหลงั - มีสมองและไขสันหลงั เป็นศูนยค์ วบคุมการทาํ งานของร่างกาย

มีเซลลป์ ระสาทและเส้นประสาทอยทู่ ุกส่วนของร่างกาย

59

6. ระบบสืบพนั ธ์ุในสัตว์
6.1ประเภทของการสืบพนั ธ์ุของสัตว์ แบ่งออกเป็น2ประเภทดงั น้ี
1.การสืบพนั ธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ(AsexualReproduction)เป็นการสืบพนั ธุ์โดยการผลิตหน่วยส่ิงมีชีวติ จาก

หน่วยส่ิงมีชีวติ เดิมดว้ ยวธิ ีการตา่ งๆท่ีไมใ่ ช่จากการใชเ้ ซลลส์ ืบพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ การแตกหน่อ การงอกใหม่ การขาด
ออกเป็นท่อน และพาร์ธีโนเจเนซิส

2.การสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศ(SexualReproduction)เป็นการสืบพนั ธุ์ที่เกิดจากการผสมพนั ธุ์ระหวา่ งเซลล์
สืบพนั ธุ์เพศผแู้ ละเซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศเมีย เกิดเป็ นส่ิงมีชีวิตใหม่ ไดแ้ ก่ การสืบพนั ธุ์ของสัตวช์ ้นั ต่าํ บางพวก และ
สัตวช์ ้ันสูงทุกชนิด สัตวบ์ างชนิดสามารถสืบพนั ธุ์ท้งั แบบอาศยั เพศ และแบบไม่อาศยั เพศ เช่น ไฮดรา การ
สืบพนั ธุ์แบบไม่อาศยั เพศของไฮดราจะใชว้ ธิ ีการแตกหน่อ

6.2ชนิดของการสืบพนั ธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ มีหลายชนิดดงั น้ี
1.การแตกหน่อ(Budding)เป็นการสืบพนั ธุ์ท่ีหน่วยสิ่งมีชีวติ ใหม่เจริญออกมาภายนอกของตวั เดิมเรียกวา่

หน่อ(Bud)หน่อที่เกิดข้ึนน้ีจะเจริญจนกระทง่ั ไดเ้ ป็นส่ิงมีชีวติ ใหม่ ซ่ึงมีลกั ษณะเหมือนเดิมแต่มีขนาดเล็กวา่ ซ่ึง
ต่อมาจะหลุดออกจากตวั เดิม และเติบโตต่อไป หรืออาจจะติดอยกู่ บั ตวั เดิมก็ได้ สัตวท์ ี่มีการสืบพนั ธุ์ลกั ษณะน้ี
ไดแ้ ก่ ไฮดรา ฟองน้าํ ปะการัง

รูปแสดงการแตกหน่อของไฮดรา

2. การงอกใหม่ (Regeneration) เป็ นการสืบพนั ธุ์ที่มีการสร้างส่วนของร่างกายที่หลุดออกหรือสูญเสียไป
ให้เป็ นส่ิงมีชีวิตตวั ใหม่ ทาํ ใหม้ ีจาํ นวนสิ่งมีชีวติ เพิ่มมากข้ึน สัตวท์ ่ีมีการสืบพนั ธุ์ลกั ษณะน้ี ไดแ้ ก่ พลานาเรีย
ดาวทะเลซีแอนนีโมนี ไส้เดือนดิน ปลิงน้าํ จืด

60

รูปแสดงการงอกใหม่ของพลานาเรียและดาวทะเล
3. การขาดออกเป็ นท่อน (Fragmentation) เป็ นการสืบพนั ธุ์โดยการขาดออกเป็ นท่อน ๆ จากตวั เดิม
แลว้ แตล่ ะท่อนจะเจริญเติบโตเป็ นตวั ใหมไ่ ด้ พบในพวกหนอนตวั แบน
4. พาร์ธีโนเจเนซีส (Parthenogenesis)เป็ นการสืบพนั ธุ์ของแมลงบางชนิด ซ่ึงตวั เมียสามารถผลิตไข่ท่ี
ฟักเป็ นตวั ไดโ้ ดยไม่ต้องมีการปฏิสนธิ ในสภาวะปรกติ ไข่จะฟักออกมาเป็ นตวั เมียเสมอ แต่ในสภาพท่ีไม่
เหมาะสมกบั การดาํ รงชีวติ เช่นเกิดความแห้งแลง้ หนาวเยน็ หรือขาดแคลนอาหาร ตวั เมียจะผลิตไข่ที่ฟักออกมา
เป็ นท้งั ตวั ผู้ และตวั เมีย จากน้นั ตวั ผูแ้ ละตวั เมียเหล่าน้ีจะผสมพนั ธุ์กนั แลว้ ตวั เมียจะออกไข่ที่มีความคงทนต่อ
สภาวะที่ไม่เหมาะสมดงั กล่าว แมลงที่มีการสืบพนั ธุ์ลกั ษณะน้ี ไดแ้ ก่ ตกั๊ แตนก่ิงไม้ เพล้ีย ไรน้าํ ในพวกแมลง
สังคม เช่น ผ้งึ มด ต่อ แตน ก็พบวา่ มีการสืบพนั ธุ์ในลกั ษณะน้ีเหมือนกนั แต่ในสภาวะปรกติไข่ท่ีฟักออกมาจะ
ไดต้ วั ผเู้สมอ
6.3ชนิดของการสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศของสัตว์ มี 2ชนิดดงั น้ี
1. การสืบพันธ์ุของสัตว์ที่มี 2 เพศในตัวเดียวกัน (Monoecious) โดยทวั่ ไปไม่สามารถผสมกนั ภายในตวั
ตอ้ งผสมขา้ มตวั เน่ืองจากไข่และอสุจิจะเจริญไม่พร้อมกนั เช่นไฮดราพลานาเรียไส้เดือนดิน

รูปแสดงการสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศของไฮดราตัวอ่อนหลุดจากรังไข่ แล้วเจริญเตบิ โตต่อไป

61

2. การสืบพันธ์ุของสัตว์ท่ีมีเพศผู้และเพศเมียแยกกันอยู่ต่างตัวกัน (Dioeciously) ในการสืบพนั ธุ์ของ
สตั วช์ นิดน้ีมีการปฏิสนธิ 2แบบคือ

2.1การปฏิสนธิภายใน(Internalfertilization)คือการผสมระหวา่ งตวั อสุจิกบั ไข่ที่อยภู่ ายในร่างกายของ
เพศเมีย สัตวท์ ี่มีการปฏิสนธิแบบน้ี ได้แก่ สัตวท์ ี่วางไข่บนบกทุกชนิด สัตวท์ ี่เล้ียงลูกดว้ ยน้าํ นม และปลาท่ี
ออกลูกเป็นตวั เช่นปลาเขม็ ปลาหางนกยงู ปลาฉลาม

2.2การปฏิสนธิภายนอก(Externalfertilization)คือการผสมระหวา่ งตวั อสุจิกบั ไข่ท่ีอยูภ่ ายนอกร่างกาย
ของสัตวเ์ พศเมีย การปฏิสนธิแบบน้ีตอ้ งอาศยั น้าํ เป็ นตวั กลางใหต้ วั อสุจิเคล่ือนท่ีเขา้ ไปผสมไข่ได้ สัตวท์ ่ีมีการ
ปฏิสนธิแบบน้ี ไดแ้ ก่ ปลาตา่ งๆสัตวค์ ร่ึงบกคร่ึงน้าํ และสัตวท์ ี่วางไข่ในน้าํ ทุกชนิด
7. ระบบโครงกระดูกและการเจริญเติบโตของสัตว์

7.1 ประเภทของโครงกระดูกหรือโครงร่างแข็งของสัตว์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.โครงร่างแข็งทอ่ี ย่ภู ายนอกร่างกาย (Exoskeleton)พบไดใ้ นแมลง เปลือกกุง้ ปู หอย เกล็ดและกระดอง

สัตวต์ า่ งๆมีหนา้ ท่ีป้องกนั อนั ตรายท่ีอาจเกิดข้ึนกบั อวยั วะท่ีอยภู่ ายใน

รูปแสดงโครงร่างแข็งทอ่ี ย่ภู ายนอกร่างกายของสัตว์ชนิดต่าง ๆ

62

2. โครงร่างแข็งทอ่ี ยู่ภายในร่างกาย (Endoskeleton)ไดแ้ ก่ โครงกระดูกของสตั วท์ ่ีมีกระดูก
สนั หลงั ท้งั หมด

7.2 การเจริญเติบโตของสัตว์
สัตว์ที่มีโครงร่างหุ้มนอกร่างกาย และมีโครงร่างแข็งอยู่ภายในร่างกาย จะมีแบบแผนของการ

เจริญเติบโตแตกต่างกนั ดงั น้ี
1. การเจริญเติบโตของสัตว์ที่มีโครงร่างแข็งหุ้มนอกร่างกาย เช่น แมลง กุง้ ปู มีการเจริญเติบโตไดย้ าก

ดงั น้นั เม่ือเจริญวยั จะตอ้ งมีการสลดั เปลือกเก่าทิ้งไปท่ีเรียกว่า ลอกคราบ (Molting)เพ่ือให้ผวิ ร่างกายท่ีอ่อนนิ่ม
เติบโตไดแ้ ลว้ จึงสร้างโครงแข็งหรือเปลือกมาหุม้ ใหม่ และต่อไปก็จะเจริญดว้ ยการลอกคราบอีก เป็ นเช่นน้ีเร่ือย
ๆ ไป ทาํ ให้ลกั ษณะเส้นกราฟการเจริญเติบโตเป็ นรูปข้นั บนั ได ซ่ึงเส้นกราฟจะมีลกั ษณะเพิ่มข้ึนอย่างฉบั พลนั
เป็นระยะที่สิ่งมีชีวติ มีการลอกคราบและเติบโตข้ึน สลบั กบั การเพม่ิ ข้ึนอยา่ งชา้ ๆในบางช่วง

กราฟแสดงการเจริญเติบโตของมวลนา้

63

ส่วนหอยมีโครงร่างแข็งหุ้มนอกร่างกายเหมือนกนั แต่ไม่ตอ้ งลอกคราบ มนั จะสร้างเปลือก
เพิม่ ข้ึนเรื่อย ๆ ตวั มนั ท่ีอยภู่ ายในก็จะขยายใหญต่ ามไปดว้ ย

สาํ หรับแมลงการเจริญเติบโตของแมลงแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2พวกดงั น้ี

ชนิดการเจริญเตบิ โตของแมลง ลกั ษณะการเจริญเตบิ โต

1.ไมม่ ีเมตามอร์โฟซีส (Ametamorphosis) -ไม่มีการเปล่ียนแปลงรูปร่างในการเจริญเติบโต คือ

ไข่ (egg)ตวั ออ่ น (young)เหมือนตวั เตม็ วยั

แตเ่ ลก็ กวา่ ตวั เตม็ วยั (adult)

ตวั อยา่ งแมลงเช่นตวั สองง่ามตวั สามง่าม

แมลงหางดีด

วฏั จกั รชีวติ ของแมลงสองง่าม

2.มีเมตามอร์โฟซีส (Metamorphosis) - มีการเปล่ียนแปลงรูปร่างเป็ นข้ัน ๆ ในระหว่างการ

2.1 เมตามอร์โฟซีสแบบสมบูรณ์ (Complete เจริญเติบโตแมลงท่ีเจริญเติบโตลกั ษณะน้ี ไดแ้ ก่ แมลง

Metamophosis) ต่างๆที่นอกเหนือจากขอ้ 1.

-มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างครบ 4ข้นั คือ

ไข่ (egg)  ตวั อ่อน (larva)  ดกั แด้ (pupa)  ตวั

เตม็ วยั (adult)

ตวั อยา่ งแมลงเช่นผ้งึ ดว้ งแมลงวนั มดต่อแตน

ไหม

วฏั จกั รชีวติ ของดว้ ง

วฏั จกั รชีวติ ของแมลงวนั

ชนิดการเจริญเตบิ โตของแมลง 64
2.2 เมตามอร์โฟซีสแบบไม่สมบูรณ์
(Incomplete Metamorphosis) ลกั ษณะการเจริญเติบโต
ตวั อยา่ งแมลงเช่นแมลงปอชีปะขาวจิงโจน้ ้าํ -มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพียง 3ข้นั คือ
ไข่ (egg)ตวั อ่อนในน้าํ (naiad)ตวั เตม็ วยั (adult)

วฏั จกั รชีวติ ของแมลงปอ

2.3เมตามอร์โฟซีสแบบคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป - มีการเปล่ียนแปลงรู ปร่ างทีละน้อย โดยมีการ

(Gradual Metamorphosis) เปล่ียนแปลงรูปร่างเพียง3ข้นั คือ

ตวั อย่างแมลง เช่น แมลงสาบ จิ้งหรีด จกั จน่ั เรือด ไข่ (egg)  ตวั อ่อนบนบก (nymph)  ตวั เต็มวยั

มวนตา่ งๆ (adult)

วฏั จกั รชีวติ ของแมลงสาบ

65

2. การเจริญเติบโตของสัตว์ทม่ี ีโครงร่างแข็งอยู่ภายในร่างกาย มีการเจริญเติบโตเช่นเดียวกบั คน โดยมี
เส้นกราฟของการเจริญเติบโตเป็ นรูปตวั เอส (Growth Curve) เช่นเดียวกนั แต่ในสัตวค์ ร่ึงบกคร่ึงน้าํ เช่น กบ
คางคกในระหวา่ งการเจริญเติบโตจะมีการเปล่ียนแปลงรูปร่างน้นั กค็ ือสัตวพ์ วกน้ีจะมีเมตามอร์โฟซีส ซ่ึงจะแบ่ง
ไดเ้ ป็ น 2 ช่วงชดั เจน คือ ช่วงที่ดาํ รงชีวติ อยใู่ นน้าํ และช่วงที่ดาํ รงชีวิตอยู่บนบกซ่ึงมีลาํ ดบั ข้นั การเจริญเติบโต
คือ

ไข่ ลูกออ๊ ดตวั เตม็ วยั

7.3 ความสัมพนั ธ์ของระบบต่าง ๆ ในร่างกายสัตว์
ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของสัตวม์ ีความสัมพนั ธ์กนั ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม ความสัมพนั ธ์ของระบบ

เหล่าน้ีทาํ ใหส้ ตั วส์ ามารถดาํ รงชีวติ อยไู่ ด้ แมว้ า่ จะอยใู่ นสภาพแวดลอ้ มที่แตกตา่ งกนั
ตวั อยา่ งความสมั พนั ธ์ของระบบต่าง ๆในร่างกายสตั ว์ไดแ้ ก่
1.การเคลื่อนที่ของสัตว์เป็นสมบตั ิที่สําคญั ท่ีทาํ ให้สัตวแ์ ตกต่างจากพืช โดยปรกติสัตวจ์ ะเคลื่อนท่ีเขา้

หาส่ิงท่ีมีประโยชนห์ รือสิ่งที่ตอ้ งการในการดาํ รงชีวิต เช่น อาหาร ที่อยูอ่ าศยั ท่ีเหมาะสม การผสมพนั ธุ์ หรือการ
เล้ียงดูตวั ออ่ นแตจ่ ะเคล่ือนหนีจากสิ่งที่ไมต่ อ้ งการหรือเป็ นอนั ตราย เช่น ศตั รูหรือผูล้ ่า การเคล่ือนที่ของสัตวไ์ ม่
ว่าวตั ถุประสงค์ใดก็ตาม ถ้าเป็ นสัตว์ท่ีไม่มีกระดูกสันหลงั จะเคล่ือนท่ีไดต้ อ้ งอาศยั การทาํ งานร่วมกนั ของ
กล้ามเน้ือและระบบประสาท ส่วนสัตวท์ ี่มีกระดูกสันหลงั จะเกิดจากการทาํ งานร่วมกนั ของระบบกล้ามเน้ือ
ระบบโครงกระดูก และระบบประสาท

66

2. การเจริญเติบโตของสัตวต์ ้งั แต่ตวั อ่อนจนเป็ นตวั เต็มวยั จะตอ้ งอาศยั ทุกระบบในร่างกาย และระบบ
ตา่ งๆเหล่าน้ีจะตอ้ งทาํ งานประสานสัมพนั ธ์กนั จึงจะทาํ ใหก้ ารเจริญเติบโตของสตั วเ์ป็นไปตามปรกติ เช่น

- ระบบย่อยอาหาร จะเป็ นระบบท่ีนาํ สารอาหารต่าง ๆ เขา้ สู่ร่างกาย เพื่อเป็ นวตั ถุดิบสําคญั ในการ
เจริญเติบโต

- ระบบหายใจ นาํ ก๊าซท่ีเซลล์ตอ้ งการเขา้ สู่ร่างกายและกาํ จดั ก๊าซที่เซลล์ไม่ตอ้ งการออกนอกร่างกาย
นอกจากน้ียงั ทาํ หนา้ ที่สร้างพลงั งานใหแ้ ก่เซลล์ ทาํ ใหเ้ ซลลส์ ามารถนาํ ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์

- ระบบหมุนเวยี นเลือดนาํ สารตา่ งๆท่ีมีประโยชนไ์ ปยงั เซลลท์ ว่ั ร่างกาย และนาํ สารท่ีเซลลไ์ ม่ตอ้ งการ
ไปยงั อวยั วะขบั ถ่ายเพอ่ื กาํ จดั ออกนอกร่างกาย

- ระบบขบั ถ่ายกาํ จดั ของเสียที่เซลลไ์ ม่ตอ้ งการออกนอกร่างกาย
- ระบบโครงกระดูก ถา้ เป็ นโครงร่างแข็งท่ีอยู่ภายนอกร่างกาย จะช่วยป้องกนั อนั ตรายภายในไม่ให้
ไดร้ ับอนั ตราย แตถ่ า้ เป็นโครงร่างแขง็ ที่อยภู่ ายใน จะช่วยในการเคล่ือนไหวหรือเคล่ือนที่
- ระบบประสาททาํ หนา้ ที่ควบคุมกลไกลการทาํ งานของทุกระบบในร่างกาย
เมื่อสัตวเ์ จริญเติบโตเป็ นตวั เต็มวยั ก็พร้อมท่ีจะสืบพนั ธุ์เพื่อที่จะเพ่ิมลูกหลาน ทาํ ให้สัตวแ์ ต่ละชนิด
สามารถดาํ รงเผา่ พนั ธุ์ไวไ้ ด้

การเจริญเตบิ โตของสัตว์
(1) การเจริญเติบโต

สิ่งมีชีวติ ท้งั หลายท่ีเกิดข้ึนมาแลว้ ย่อมตอ้ งมีการเจริญเติบโต สัตวก์ ็เช่นเดียวกนั ย่อมจะมีการ
เจริญเติบโต ซ่ึงจะเป็ นกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่าง ซ่ึงเป็ นผลมาจากการเพิ่ม
จาํ นวนเซลลด์ ว้ ยการแบง่ เซลล์ที่มีอยูแ่ ลว้ รวมท้งั มีการขยายขนาดของเซลลด์ ว้ ยการสร้างไซโทพลาสซึม
ทาํ ใหเ้ ซลล์มีขนาดใหญ่โตข้ึน ในลาํ ดบั ต่อมาเซลล์ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและหนา้ ที่ จนกระทง่ั
รวมกลุ่มประสานงานในหนา้ ที่จนเกิดเป็ นอวยั วะหลายๆ อวยั วะ อวยั วะต่าง ๆ เหล่าน้ีรวมตวั กนั เป็ น
ร่างกายของสิ่งมีชีวติ เพอ่ื ดาํ รงชีวติ อยใู่ นสภาพแวดลอ้ มต่อไป

อย่างไรก็ตามในขณะที่สัตวก์ าํ ลงั เจริญเติบโต สัตวบ์ างชนิดจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็ น
ระยะ ๆ จนกระทงั่ มีรูปร่างคลา้ ยพอ่ แม่ในที่สุด แต่สัตวบ์ างชนิดจะมีรูปร่างเหมือนพอ่ แม่ต้งั แต่เกิดเลย
เพียงแต่มีขนาดเล็กกวา่ พ่อแม่เท่าน้นั การเจริญเติบโต เป็ นกระบวนการท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเปลี่ยนแปลง
ต่างๆ ของสิ่งมีชีวติ ทุกระดบั ท้งั ทางโครงสร้างและหนา้ ที่ กระบวนการต่างๆ ของการเจริญเติบโต แบ่ง
ไดเ้ ป็นข้นั ตอนง่าย ๆ คือ

1. การเพมิ่ จานวนเซลล์
ในส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดียว การแบง่ เซลลถ์ ือวา่ เป็นการสืบพนั ธุ์ เกิดชีวติ ใหม่ข้ึน มีหลายแบบ เช่น

การแบ่งแยกตวั เป็นส่วน ๆ การแตกหน่อ เป็นตน้

67

ในส่ิงมีชีวติ หลายเซลล์ การแบ่งเซลลเ์ ป็นการเพ่ิมจาํ นวนเซลลใ์ หม้ ากข้ึน เช่น การแบ่งเซลล์
จากตวั อ่อนเป็นตวั เตม็ วยั สร้างเซลลใ์ หมเ่ พือ่ ทดแทนเซลลเ์ ก่า เช่น เซลลผ์ วิ หนงั

2. การเพม่ิ ขนาดเซลล์
เป็นกระบวนการสะสมและสังเคราะห์สารอินทรียภ์ ายในโมเลกลุ ของเซลล์ ทาํ ใหโ้ มเลกุลมี

ขนาดใหญข่ ้ึน หรือมีการรวมกนั ระหวา่ งโมเลกุลกบั โมเลกลุ เป็นผลใหเ้ ซลลต์ อ้ งขยายขนาดตามไปดว้ ย
จึงเกิดการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวติ เช่นงูจะมีการลอกคราบเม่ือมีขนาดตวั ใหญ่ข้ึน

68

3. การเปลย่ี นแปลงสภาพของเซลล์
เนื่องจากในระยะแรกเซลลอ์ าจจะทาํ หนา้ ที่อยา่ งหน่ึงแต่เมื่อมีการเปล่ียนแปลงหนา้ ที่การทาํ งาน

จึงเกิดการเปลี่ยนสภาพเซลล์ตามไปดว้ ยเพ่ือให้ไดเ้ ซลล์ที่สามารถทาํ หนา้ ท่ีท่ีต่างกนั การเปลี่ยนสภาพ
เกิดท้งั ทางกายภาพและชีวเคมี ท้งั ในระดบั โมเลกุล ระดบั เซลล์ ระดบั เน้ือเย่ือ ระดบั อวยั วะ และระดบั
ระบบอวยั วะ เซลลท์ ี่ไดใ้ หม่จะมีหนา้ ตาตา่ งไปจากเซลลเ์ ดิม

พฒั นาการทางร่างกายของมนุษย์

69

4. การเกดิ รูปร่างทแ่ี น่นอน
สิ่งมีชีวติ จะมีการเปล่ียนแปลงรูปร่างตลอดเวลา ต้งั แตแ่ รกเกิดจนเป็นตวั เตม็ วยั เนื่องจากมีการ

แบง่ เซลลห์ รือเพิม่ จาํ นวนเซลล์ รูปร่างตอนโตอาจจะแตกตา่ งจากตอนแรกเกิดมากหรือไม่เหมือนกนั เลย
เช่น กบ ผเี ส้ือ เป็นตน้ การเติบโตในส่ิงมีชีวิตช้นั สูงจะหยดุ เมื่อโตเตม็ วยั โดยการใชค้ วามสูงท่ีหยดุ เป็น
เกณฑ์ ไม่คาํ นึงวา่ น้าํ หนกั จะเพม่ิ หรือลดลง

รูปตัวสามง่าม
.

ปัจจัยทมี่ ผี ลต่อการเจริญเตบิ โต
1. ศกั ยภาพของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม การที่สิ่งมีชีวติ จะมีการเติบโตเป็ นอยา่ งไร

น้ันข้ึนกบั พนั ธุกรรมเป็ นอนั ดบั แรก เพราะการเจริญเติบโตของตวั อ่อนจะมีข้นั ตอนเหมือนพ่อแม่
แต่อตั ราการเติบโตจะแตกต่างกนั ไดข้ ้ึนกบั สภาพแวดลอ้ มของสิ่งมีชีวิตในขณะน้นั

2. ปัจจยั ทางส่ิงแวดลอ้ ม
2.1 ปัจจยั ทางชีวภาพ การเติบโตที่ผดิ ปกติอาจเป็นผลมาจากสิ่งมีชีวติ ที่ดาํ รงชีวติ อยดู่ ว้ ยกนั

เช่น ถา้ ร่างกายมีปรสิต เช่น พยาธิ แบคทีเรีย เกาะทาํ ลายเน้ือเย่ือ หรือดูดสารอาหาร จะทาํ ใหก้ ารเติบโต
ชา้ ผดิ ปกติหรือตายได้

70

2.2 ปัจจยั ทางกายภาพ
2.2.1 ปัจจยั เกี่ยวกบั พลงั งาน ไดแ้ ก่ ความร้อน แสง เสียง เป็นตน้
2.2.2 ปัจจยั เกี่ยวกบั สารเคมี สารเคมีที่มีผลต่อการเจริญเติบโต คือฮอร์โมน

เน่ืองจากฮอร์โมนและสารท่ีเก่ียวขอ้ งฮอร์โมนจะควบคุมการทาํ งานของระบบตา่ ง ๆ ในร่างกายใหเ้ ป็น
ปกติ
การขยายพนั ธ์ุสัตว์

ในปัจจุบนั ประชากรโลกไดเ้ พ่ิมข้ึนเป็ นจาํ นวนมาก ดงั น้นั ความตอ้ งการสัตวเ์ ป็ นอาหาร และ
เป็ นสินคา้ ของมนุษยม์ ีเพิ่มมากข้ึน มนุษยจ์ ึงคิดคน้ หาวิธีการต่าง ๆ ท่ีจะช่วยในการขยายพนั ธุ์สัตวใ์ ห้มี
ปริมาณมากเพียงพอ รวมท้งั มีคุณภาพตามความตอ้ งการ

ปัจจุบนั นกั วทิ ยาศาสตร์ไดน้ าํ วธิ ีการทางเทคโนโลยสี มยั ใหม่มาใชใ้ นการขยายพนั ธุ์ เพื่อใหไ้ ด้
ปริมาณของสัตวเ์ พ่ิมมากข้ึนแทนท่ีจะใหส้ ตั วผ์ สมพนั ธุ์กนั เองตามธรรมชาติ โดยเทคโนโลยี สมยั ใหม่ที่
ใหค้ วามสะดวกและไดผ้ ลดี รวมท้งั เป็นที่นิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่หลายในขณะน้ีไดแ้ ก่

การผสมเทยี มและการถ่ายฝากตวั อ่อน ส่วน การทาโคลนน่ิง เป็นเทคนิคขยายพนั ธุ์แบบใหม่ที่
เพ่ิงคิดคน้ ไดส้ าํ เร็จ เมื่อเดือนกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2540

การผสมเทยี ม
การผสมเทียม หมายถึง การทาํ ใหเ้ กิดการปฏิสนธิระหวา่ งไขก่ บั อสุจิ ที่มนุษยเ์ ป็นผทู้ าํ ใหเ้ กิด
การปฏิสนธิ โดยนาํ น้าํ เช้ืออสุจิจากสตั วต์ วั ผทู้ ี่เป็นพอ่ พนั ธุ์ไปผสมกบั ไข่ของสตั วต์ วั เมียท่ีเป็นแมพ่ นั ธุ์
โดยที่สัตวไ์ ม่ตอ้ งมีการผสมพนั ธุ์กนั เองตามธรรมชาติ
การผสมเทียมสามารถทาํ ไดก้ บั สัตวท์ ้งั ที่มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกายของสตั ว์ เช่น การผสม
เทียมปลา และการปฏิสนธิภายในร่างกายของสัตว์ เช่น โค กระบือ สุกร แพะ แกะ

การผสมเทยี มสัตว์ทม่ี กี ารปฏสิ นธิภายในร่างกาย

71

สตั วท์ ่ีมีการปฏิสนธิในร่างกายของสตั ว์ ท่ีนิยมการผสมเทียม ไดแ้ ก่ โค กระบือ สุกร แพะ แกะ
มีข้นั ตอนปฏิบตั ิดงั น้ี

1. การรีดนา้ เชื้อ เป็นการรีดน้าํ เช้ืออสุจิจากสตั วพ์ อ่ พนั ธุ์ท่ีดี มีความแขง็ แรงสมบูรณ์และมีอายุ
พอเหมาะ โดยใชเ้ ครื่องมือสาํ หรับรีดน้าํ เช้ือโดยเฉพาะ

2. การตรวจคุณภาพนา้ เชื้อ เป็นการตรวจสอบความสมบูรณ์ของน้าํ เช้ือที่รีดไดว้ า่ มีปริมาณของ
ตวั อสุจิมากพอแก่การผสมเทียม และมีความแขง็ แรงเพียงพอแก่การนาํ มาใชห้ รือไม่

3. การเกบ็ รักษานา้ เชื้อ เป็นการเก็บรักษาน้าํ เช้ือก่อนที่จะนาํ ไปใช้ โดยจะมีการเติมอาหารลงใน
น้าํ เช้ือเพ่ือให้ตวั อสุจิไดใ้ ชเ้ ป็ นอาหารตลอดช่วงท่ีเกบ็ รักษา และเป็นการช่วยใหป้ ริมาณน้าํ เช้ือมีมากข้ึน
จะไดน้ าํ ไปฉีดใหต้ วั เมียไดห้ ลาย ๆ ตวั หลงั จากน้นั จะนาํ น้าํ เช้ือที่เติมอาหารแลว้ ไปเก็บไวใ้ นอุณหภูมิต่าํ
ซ่ึงแบ่งออกเป็ น 2 แบบ คือ

1. การเก็บน้าํ เช้ือสด เป็นการเก็บน้าํ เช้ือในสภาพของเหลวในท่ีอุณหภูมิ 4 - 5 องศาเซลเซียส
จะช่วยใหน้ ้าํ เช้ือมีอายอุ ยไู่ ดป้ ระมาณหน่ึงเดือน แต่หากเก็บรักษาไวท้ ่ี อุณหภูมิ 15 - 20 องศาเซลเซียส
จะเก็บรักษาไดป้ ระมาณ 4 - 5 วนั เท่าน้นั

2. การเกบ็ รักษาน้าํ เช้ือแบบแช่แขง็ เป็นการเกบ็ น้าํ เช้ือโดยแช่ไวใ้ นไนโตรเจนเหลวท่ี
อุณหภูมิ ต่าํ - 196 องศาเซลเซียส จะทาํ ใหน้ ้าํ เช้ืออยใู่ นสภาพของแขง็ วธิ ีการเก็บแบบน้ีจะช่วยให้
สามารถเกบ็ ไวน้ านเป็ นปี

4. การฉีดเชื้อให้แม่พนั ธ์ุ เมื่อจะผสมเทียมจะนาํ น้าํ เช้ือสด หรือน้าํ เช้ือแช่แขง็ ออกมาปรับสภาพ
ใหอ้ ยใู่ นสภาพปกติ แลว้ ใชก้ ระบอกฉีดยาดูดน้าํ เช้ือท่ีเตรียมไวฉ้ ีดเขา้ ไปในมดลูกของแมพ่ นั ธุ์ เพ่ือให้
เกิดการปฏิสนธิ และต้งั ทอ้ ง

การผสมเทยี มสัตว์ทม่ี กี ารปฏิสนธิภายนอกร่างกาย
การผสมเทียมในสัตวท์ ี่มีการปฏิสนธิภายนอก นิยมทาํ กบั สตั วน์ ้าํ พวกปลา กุง้ และหอย สาํ หรับ

การผสมเทียมปลาน้นั ก่อนท่ีจะรีดน้าํ เช้ือและไข่จากปลาพอ่ พนั ธุ์และแม่พนั ธุ์มาผสมกนั จะตอ้ งมีการ
เตรียมพ่อพนั ธุ์และแม่พนั ธุ์ให้พร้อมท่ีจะผสมพนั ธุ์เสียก่อน โดยการฉีด " ฮอร์โมน " เพ่ือกระตุน้ ให้
พอ่ พนั ธุ์ผลิตน้าํ เช้ือที่สมบูรณ์ และกระตุน้ ใหไ้ ข่ของแม่พนั ธุ์สุกเตม็ ที่ ซ่ึงฮอร์โมนท่ีใชเ้ ป็ นฮอร์โมนที่ได้
จากต่อมใตส้ มองของปลา หรืออาจจะใชฮ้ อร์โมนสังเคราะห์ก็ได้ การผสมเทียมปลาน้นั มีข้นั ตอนท่ี
สาํ คญั ดงั น้ี

1. การรีดไข่จากแม่พันธ์ุ เป็ นการรีดไข่ออกจากทอ้ งของปลาที่เป็ นแม่พนั ธุ์ ลงในภาชนะ
รองรับ โดยนิยมฉีดฮอร์โมนจากต่อมใตส้ มองของปลาชนิดเดียวกนั เขา้ ไปในตวั ปลาแม่พนั ธุ์ก่อนเพื่อ
เร่งไข่ใหส้ ุกเร็วข้ึน

72

2. การรีดน้าเชื้อจากพ่อพันธ์ุ เป็ นการรีดน้าํ เช้ือออกมาจากปลาตวั ผูท้ ่ีเป็ นพ่อพนั ธุ์ ใส่ลงใน
ภาชนะที่มีไขป่ ลาท่ีรีดไวแ้ ลว้

3. การคนนา้ เชื้อให้ผสมกบั ไข่ เพ่ือใหอ้ สุจิเขา้ ผสมกบั ไข่อยา่ งทว่ั ถึง นิยมคนไข่ดว้ ยขนไก่อ่อนๆ
ใหท้ วั่ ภาชนะแลว้ ทิ้งไวส้ ักครู่หน่ึงจึงถ่ายน้าํ ทิง้

4. นาไข่ปลาทผี่ สมแล้วไปฟัก เป็ นการฟักไข่ท่ีผสมแลว้ ให้เป็ นลูกปลา โดยนาํ ไข่ท่ีผสมแลว้ ไป
ฟักในบอ่ หรือภาชนะท่ีเตรียมไว้ เพอื่ ใหฟ้ ักเป็นตวั อ่อนของลูกปลาตอ่ ไป

การถ่ายฝากตวั อ่อน
การถ่ายฝากตวั อ่อน เป็ นวธิ ีการขยายพนั ธุ์แบบใหม่วิธีหน่ึง โดยมีหลกั การสําคญั คือ การนาํ

ตวั อ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิระหวา่ งพอ่ พนั ธุ์ และแมพ่ นั ธุ์ออกมาจากมดลูกของแม่พนั ธุ์ แลว้ นาํ ไปฝาก
ใส่ใวใ้ นมดลูกของตวั เมียตวั อื่นที่เตรียมไวเ้ พ่ือให้ต้งั ทอ้ งแทนแม่พนั ธุ์ ซ่ึงทาํ ให้สามารถใช้ประโยชน์
จากแม่พนั ธุ์ไดอ้ ยา่ งคุม้ คา่ เพราะแม่พนั ธุ์มีหนา้ ท่ีเพียงผลิตตวั ออ่ น โดยไม่ตอ้ งต้งั ทอ้ ง ซ่ึงวิธีการถ่ายฝาก
ตวั ออ่ นน้ีจะทาํ ไดแ้ ตเ่ ฉพาะสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนมท่ีออกลูกเป็นตวั และออกลูกคร้ังละ 1 ตวั และใชเ้ วลาต้งั
ทอ้ งนาน

การทาโคลนนิ่ง

การทาํ โคลนน่ิง เป็นเทคนิคการขยายพนั ธุ์ที่ทาํ ใหเ้ ซลลไ์ ข่ ซ่ึงผา่ นกรรมวธิ ีบางอยา่ งสามารถ
เจริญเป็ นตวั ออ่ นไดโ้ ดยที่ไมต่ อ้ งมีการปฏิสนธิตามธรรมชาติ โดยเซลลไ์ ขด่ งั กล่าว จะถูกนาํ นิวเคลียส
เก่าออก แลว้ ใส่นิวเคลียสใหม่ ซ่ึงเป็นของเซลลต์ น้ แบบจากสัตวต์ วั ท่ีมีลกั ษณะตามตอ้ งการเขา้ ไปแทน
จากน้นั ก็กระตุน้ ใหเ้ ซลลไ์ ขท่ ี่มีนิวเคลียสใหมแ่ บ่งเซลลไ์ ดเ้ ป็นตวั อ่อน แลว้ จึงนาํ ตวั อ่อนที่ไดไ้ ปฝากไว้
ในมดลูกของแม่ฝากใหต้ ้งั ทอ้ ง และคลอดลูกแทนแม่ ซ่ึงเป็นเจา้ ของเซลลต์ น้ แบบ

สัตวท์ ี่เกิดจากเทคนิคการทาํ โคลนน่ิงซ่ึงมีชื่อเสียงโด่งดงั ไปทว่ั โลกกค็ ือ "แกะดอลลี" ซ่ึงถือ
กาํ เนิดข้ึนเม่ือเดือน กมุ ภาพนั ธุ์ พ.ศ. 2540 (ปัจจุบนั เสียชีวติ ไปแลว้ ) โดยเซลลต์ น้ แบบของแกะดอลลี
ไดม้ าจากเซลลเ์ ตา้ นมของแกะหนา้ ขาว ข้นั ตอนการทาํ โคลนนิ่งแกะดอลลีเป็นดงั แผนภาพ

นอกจาก แกะดอลลี

73

แลว้ ยงั มีสัตวโ์ คลนนิ่งตวั อื่น ๆ ถือกาํ เนิดข้ึนมาเป็นระยะ ๆ เช่น
"อิ " โคโคลนน่ิงตวั แรกของไทย ซ่ึงใชเ้ ซลลใ์ บหูของโคพนั ธุ์แบรงกสั เพศเมียเป็นเซลลต์ น้ แบบ
"ซีซี" แมวโคลนน่ิงตวั แรกของโลก ซ่ึงใชเ้ ซลลท์ ่ีอยรู่ อบ ๆ เซลลไ์ ข่เป็นเซลลต์ น้ แบบ

ใบงาน
เรื่องสัตว์

คาส่ัง จงตอบคาถามต่อไปนี้ พร้อมอธิบายมาพอเข้าใจ
1. เราสามารถแยกประเภทของสัตว์ อยา่ งไรบา้ ง
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
2. ปัจจยั อะไรบา้ งท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโตของส่ิงมีชีวติ
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
3. สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั แบง่ ไดก้ ี่กลุ่ม ประกอบดว้ ยกลุ่มอะไรบา้ ง
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
4. จงยกตวั อยา่ งกลุ่มสตั วท์ ่ีไม่มีกระดูกสนั หลงั มา 5 กลุ่ม
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………

74

บทท่ี 4
ระบบนิเวศ

สาระสาคญั

ความหมาย ความสัมพนั ธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวิต ความสัมพนั ธ์ของห่วงโซ่อาหาร ความสัมพนั ธ์
ของส่ิงแวดลอ้ มในทอ้ งถ่ินกบั การดาํ รงชีวติ ของส่ิงมีชีวติ

ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั

1. อธิบายความสัมพนั ธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวติ ตา่ ง ๆ กบั สภาพแวดลอ้ มได้
2. อธิบายความสมั พนั ธ์ของสิ่งมีชีวติ ในห่วงโซ่อาหารได้
3. อธิบายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถ่ินกบั การดาํ รงชีวติ
ของส่ิงมีชีวติ ได้

ขอบข่ายเนื้อหา

เรื่องท่ี 1 ความเป็นอยขู่ องสิ่งมีชีวติ ในทอ้ งถ่ิน
เร่ืองที่ 2 ห่วงโซ่อาหาร
เรื่องที่ 3 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสภาพแวดลอ้ มกบั การดาํ รงชีวิตของสิ่งมีชีวติ

75

เร่ืองท่ี 1 ความเป็ นอยู่ของส่ิงมชี ีวติ ในท้องถิ่น

ระบบนิเวศ (Ecosystem) หมายถึง ความสัมพนั ธ์ของกลุม่ ส่ิงมีชีวติ ในแหล่งที่อยู่ และมี
ความสมั พนั ธ์ซ่ึงกนั และกนั ระบบนิเวศท่ีใหญ่ท่ีสุดในโลกเรียกวา่ โลกของส่ิงมีชีวติ

ระบบนิเวศจะประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบพ้นื ฐาน 2 อยา่ ง คือ
1. องคป์ ระกอบที่ไม่มีชีวิต (abiotic component) ไดแ้ ก่ สารประกอบอินทรีย์ และอนินทรีย์
(abiotic substanc ) สารประกอบอินทรีย์ เช่น โปรตีน ไขมนั คาร์โบไฮเดรต วติ ามิน ส่วนสารประกอบ
อนินทรีย์ เช่น น้าํ คาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ , สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ (abiotic environment) เช่น
อุณหภูมิ แสงสวา่ ง ความกดดนั
2. องคป์ ระกอบที่มีชีวติ (biotic components) ไดแ้ ก่ ผผู้ ลิต (producer) ผบู้ ริโภค ( consumer)
และผยู้ อ่ ยสลาย(decomposer)

ประเภทของระบบนิเวศ
1. ระบบนิเวศบนบก ไดแ้ ก่ ระบบนิเวศทะเลทราย ระบบนิเวศแบบทุ่งหญา้ ระบบนิเวศ

ป่ าดิบช้ืน ระบบนิเวศแบบป่ าผลดั ใบเขตอบอุ่น ระบบนิเวศแบบป่ าสน ระบบนิเวศแบบทุนดรา
2. ระบบนิเวศในน้าํ ไดแ้ ก่ ระบบนิเวศแหล่งน้าํ จืด ระบบนิเวศแหล่งน้าํ เคม็ ระบบนิเวศแหล่ง

น้าํ กร่อย

ความสัมพนั ธ์ระหว่างส่ิงมีชีวติ
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ มี 2 แบบ คือ

1. ความสัมพนั ธ์ระหว่างส่ิงมีชีวติ ชนิดเดียวกนั ซ่ึงก่อใหเ้ กิดท้งั ผลดี และผลเสีย
 ผลดี คือ สร้างความเขม้ แขง็ และความปลอดภยั ในกลุ่ม
 ผลเสีย คือ แก่งแยง่ อาหาร แยง่ ชิงการเป็นจ่าฝงู

2. ความสัมพนั ธ์ระหว่างส่ิงมีชีวติ ต่างชนิดกนั การอยรู่ ่วมกนั ของส่ิงมีชีวติ ต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไป
ในแหล่งท่ีอยเู่ ดียวกนั มีความสัมพนั ธ์หลายรูปแบบ ไดแ้ ก่

ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกนั (protocoopera) ส่ิงมีชีวติ ท้งั 2 ฝ่ ายต่างไดป้ ระโยชนด์ ว้ ยกนั
ท้งั คู่ เช่น ผ้งึ กบั ดอกไม้ เพล้ียกบั มดดาํ นกเอ้ียงกบั ควาย

76

ภาวะพงึ่ พากนั (mutualism) ส่ิงมีชีวติ ท้งั 2 ฝ่ ายไดป้ ระโยชนร์ ่วมกนั แต่ตอ้ งอยรู่ ่วมกนั
ตลอดเวลา หากแยกกนั อยจู่ ะทาํ ใหอ้ ีกฝ่ าย ไมส่ ามารถดาํ รงชีวติ อยไู่ ด้ เช่น ไลเคน โพรโทซวั ในลาํ ไส้
ปลวก แบคทีเรียในปมรากพืชตระกลู ถว่ั

ภาวะองิ อาศัย (commensalism) ส่ิงมีชีวติ ฝ่ ายหน่ึงไดป้ ระโยชนอ์ ีกฝ่ ายหน่ึงไมไ่ ด้ และไม่เสีย
ประโยชน์ แยกกนั อยไู่ ด้ เช่น เถาวลั ยเ์ กาะบนตน้ ไมใ้ หญ่ กลว้ ยไมก้ บั ตน้ สกั นกทาํ รังบนตน้ ไมเ้ หาฉลาม
กบั ปลาฉลาม เพรียงท่ีเกาะบนตวั ของสัตว์
ความสัมพนั ธ์ของส่ิงมชี ีวติ กบั สิ่งแวดล้อม

แสงสว่าง แสงจากดวงอาทิตยเ์ ป็นพลงั งานท่ีมีอิทธิพลตอ่ สิ่งมีชีวติ ทุกชนิดบนโลก ปริมาณแสง
ในธรรมชาติแต่ละแห่งจะแตกต่างกนั ทาํ ใหส้ ่ิงมีชีวติ ในแต่ละแห่งแตกต่างกนั ไป พืชตอ้ งการแสงจาก
ดวงอาทิตยม์ ากกวา่ สตั ว์ พืชใชแ้ สงเป็นพลงั งานในกระบวนการสังเคราะห์แสงเพือ่ สร้างสารอาหาร สารอาหาร
สร้างข้ึนจะถ่ายทอด ไปยงั สัตวใ์ นห่วงโซ่อาหาร ความตอ้ งการแสงของส่ิงมีชีวิตจะมีความแตกต่างกนั
พืชท่ีมีแสงสว่างส่องถึงจะมีความหนาแน่นมากกวา่ บริเวณท่ีมีแสงส่องถึงนอ้ ย พืชแต่ละชนิดตอ้ งการ
แสงในปริมาณแตกต่างกนั แสงมีอิทธิพลต่อการดาํ รงชีวิตของสัตว์ สัตวบ์ างชนิดตอ้ งการแสงนอ้ ยมกั
อาศยั อยใู่ นร่มเงาหรือในที่มืด เช่น ตวั ออ่ นของแมลงในทะเลทรายซ่ึงมีแสงมากในเวลากลางวนั สัตวจ์ ะ
หลบซ่อนตวั และจะออกหากินในเวลากลางคืน ในทะเลลึกจะมีแสงสวา่ งนอ้ ยมากหรือไม่มีเลย สัตวจ์ ะมี
อวยั วะท่ีทาํ หนา้ ที่กาํ เนิดแสงไดเ้ อง เป็นตน้

อณุ หภูมิ สิ่งมีชีวติ จะเลือกแหล่งที่อยอู่ าศยั ที่มีอุณหภูมิเหมาะสมกบั ตวั เอง อุณหภูมิท่ีเหมาะสม
ประมาณ 10 - 30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิบนพ้ืนดินจะมีการเปล่ียนแปลงมากกว่าในน้าํ จึงทาํ ให้
ส่ิงมีชีวติ บนพ้นื ดิน มีการปรับตวั ในหลายลกั ษณะ เช่น การอพยพหนีหนาวของนกนางแอ่นจากประเทศ
จีนมาหากินในประเทศไทย ในช่วงฤดูหนาว การจาํ ศีลของกบเพ่ือหนีร้อนหรือหนีหนาว

77

แร่ธาตุและก๊าซ พชื และสตั ว์ นาํ แร่ธาตุและกา๊ ซต่าง ๆ ไปใชใ้ นการสร้างอาหาร และโครงสร้าง
ของร่างกาย ความตอ้ งการแร่ธาตุและกา๊ ซของส่ิงมีชีวติ จะมีความแตกต่างกนั

ความเป็ นกรด - เบสของดนิ และนา้ สิ่งมีชีวติ จะอาศยั อยูใ่ นดิน และแหล่งน้าํ ท่ีมีความเป็ นกรด -
เบสของดิน และน้าํ ท่ีเหมาะสม จึงจะสามารถเจริญเติบโตและดาํ รงชีวิตอยูไ่ ด้ ความเป็ นกรด - เบสของ
ดินและน้าํ จะข้ึนอยกู่ บั ปริมาณของแร่ธาตุที่ละลายปะปนอยู่

กจิ กรรม

ใหน้ กั เรียนออกไปสาํ รวจระบบนิเวศ หรือส่ิงแวดลอ้ มภายในโรงเรียน หรือท่ีบา้ นพร้อมกบั วาด
รูปส่ิงแวดลอ้ มน้นั วา่ มีองคป์ ระกอบอะไรบา้ ง และมีความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งไร

แบบทดสอบ

จงเลือกคาตอบทถ่ี ูกทส่ี ุดเพยี งข้อเดียว
1. ขอ้ ใดเป็นสิ่งแวดลอ้ มท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน

ก. ป่ าไม้
ข. แม่น้าํ
ค. วฒั นธรรม
ง. พ้ืนดิน
2. ขอ้ ใดกล่าวไดถ้ ูกตอ้ ง
ก. ส่ิงแวดลอ้ มคือสิ่งท่ีอยูร่ อบตวั เราที่ธรรมชาติสร้างข้ึน
ข. ส่ิงแวดลอ้ มคือส่ิงที่อยรู่ อบตวั เราท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน
ค. สิ่งแวดลอ้ มคือสิ่งท่ีมีชีวิตหรือไมม่ ีชีวิตก็ไดอ้ าจมองเห็นหรือไมก่ ไ็ ด้
ง. ถูกทุกขอ้
3. ขอ้ ใดเป็นความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม
ก. นกเอ้ียงบนหลงั ควาย
ข. การปรุงอาหารของพชื
ค. กาฝากบนตน้ ไม้
ง. ปลวกกบั โปรโตซวั

78

4. นกเอ้ียงบนหลงั ควายเป็นความสมั พนั ธ์กนั แบบใด
ก. ไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั
ข. อิงอาศยั
ค. พ่งึ พา
ง. ยอ่ ยสลาย

5. ขอ้ ใดเป็นความสมั พนั ธ์แบบอิงอาศยั
ก. เถาวลั ยเ์ กาะบนตน้ ไมใ้ หญ่
ข. แบคทีเรียในปมรากพชื ตระกลู ถวั่
ค. เพล้ียกบั มดดาํ
ง. ผ้งึ กบั ดอกไม้

เร่ืองท่ี 2 ห่วงโซ่อาหาร (Food Chain)

หมายถงึ ความสัมพนั ธ์ของส่ิงมีชีวติ ในเรื่องของการกินต่อกนั เป็นทอด ๆ จาก ผผู้ ลิตสู่ผบู้ ริโภค

ทาํ ใหม้ ีการถ่ายทอดพลงั งานในอาหารต่อเน่ืองเป็ นลาํ ดบั จากการกินตอ่ กนั

ตัวอย่าง เช่น

ขา้ ว ตก๊ั แตน กบ เหยยี่ ว

จากแผนภาพ จะสังเกตเห็นวา่ การกินต่อกนั เป็ นทอด ๆ ในห่วงโซ่อาหารน้ี เริ่มตน้ ท่ีตน้ ขา้ ว
ตามดว้ ยตก๊ั แตนมากินใบของตน้ ขา้ ว กบมากินตกั๊ แตน และเหยีย่ วมากินกบ ซ่ึงจากลาํ ดบั ข้นั ในการกิน
ตอ่ กนั น้ี สามารถอธิบายไดว้ า่

ต้นข้าว นบั เป็ นผผู้ ลิตในห่วงโซ่อาหารน้ี เนื่องจากตน้ ขา้ ว เป็นพืชซ่ึงสามารถสร้างอาหารไดเ้ อง
โดยใชก้ ระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง

79

ตั๊กแตน นบั เป็นผบู้ ริโภคลาํ ดบั ท่ี 1 เน่ืองจาก ตกั๊ แตนเป็นสัตวล์ าํ ดบั แรกท่ีบริโภคขา้ วซ่ึงเป็น
ผผู้ ลิต

กบ นบั เป็นผบู้ ริโภคลาํ ดบั ที่ 2 เนื่องจาก กบจบั ตกั๊ แตนกินเป็นอาหาร หลงั จากที่ตก๊ั แตนกิน
ตน้ ขา้ วไปแลว้

เหย่ยี ว เป็นผบู้ ริโภคลาํ ดบั สุดทา้ ย เน่ืองจาก เหยย่ี วจบั กบกินเป็นอาหาร และในโซ่อาหารน้ีไม่มี
สตั วอ์ ่ืนมาจบั เหยยี่ วกินอีกทอดหน่ึง

ในการเขียนโซ่อาหาร ให้เขียนเริ่มจากผูผ้ ลิต อยูท่ างดา้ นซ้าย และตามด้วยผูบ้ ริโภคลาํ ดบั ท่ี 1
ผบู้ ริโภคลาํ ดบั ท่ี 2 ผบู้ ริโภคลาํ ดบั ท่ี 3 ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงผบู้ ริโภคลาํ ดบั สุดทา้ ย และเขียนลูกศรแทน
การถ่ายทอดพลงั งานจากสิ่งมีชีวิตหน่ึงไปยงั อีกสิ่งมีชีวติ หน่ึง หรือเขียนให้หวั ลูกศรช้ีไปทางผลู้ ่า และ
ปลายลูกศรหนั ไปทางเหยอื่ นนั่ เอง

80

สายใยอาหาร (Food Web)
หมายถึง ห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่ ท่ีมีความคาบเก่ียว หรือสัมพนั ธ์กนั นนั่ คือในธรรมชาติ
การกินต่อกนั เป็นทอด ๆ ในโซ่อาหาร จะมีความซบั ซอ้ นกนั มากข้ึน คือ มีการกินกนั อยา่ งไม่เป็น
ระเบียบ
ตวั อย่าง เช่น

แผนภาพสายใยอาหาร
จากแผนภาพสายใยอาหารดา้ นบน จะสังเกตเห็นไดว้ า่ ตน้ ขา้ วที่เป็ นผูผ้ ลิตในระบบนิเวศน้นั
สามารถถูกสัตวห์ ลายประเภทบริโภคได้ คือ มีท้งั ววั ตกั๊ แตน ไก่และผ้ึง สัตวท์ ่ีเป็ นผบู้ ริโภคลาํ ดบั ท่ี 1
เหล่าน้นั ก็สามารถจะเป็ นเหย่ือของสัตวอ์ ่ืนและยงั เป็ นผบู้ ริโภคสัตวอ์ ่ืนไดเ้ ช่นกนั อาทิเช่น ไก่สามารถ
จะบริโภคตกั๊ แตนได้ และในขณะเดียวกนั ไก่ก็มีโอกาสท่ีจะถูกงูบริโภคไดเ้ ช่นกนั
การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ
ดวงอาทิตยเ์ ป็ นแหล่งพลงั งานสําหรับโลกของส่ิงมีชีวิต กลุ่มส่ิงมีชีวิตที่เป็ นผูผ้ ลิตจะเปลี่ยน
พลงั งานแสงเป็นพลงั งานที่สะสมไวใ้ นโมเลกุลของสารอาหาร โดยกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงได้
ผลผลิตเบ้ืองตน้ คือ กลูโคส ในกระบวนการน้ีมีแก๊สออกซิเจนปล่อยออกสู่บรรยากาศ พลงั งานใน
โมเลกุลของสารอาหารจะถ่ายทอดจากผูผ้ ลิตสู่ผูบ้ ริโภคลาํ ดบั ต่าง ๆ จนถึงผูย้ ่อยสลายอินทรียส์ าร
ซ่ึงพลังงานจะมีค่าลดลงตามลาํ ดับ เพราะส่วนหน่ึงถูกใช้ในการผลิตพลังงานให้แก่ร่างกายโดย

81

กระบวนการหายใจ อีกส่วนหน่ึงสูญเสียไปในรูปของพลงั งานความร้อน ดงั น้นั ลาํ ดบั การถ่ายทอด
พลงั งานในโซ่อาหารจึงมีความยาวจาํ กดั โดยปกติจะสิ้นสุดที่ผบู้ ริโภคลาํ ดบั 4 - 5 เทา่ น้นั

จากแผนภาพสายใยอาหาร ผทู้ ี่ไดร้ ับพลงั งานจากพืชเป็ นอนั ดบั แรก คือ กระต่าย หนู นกกินพืช
ตก๊ั แตน จดั เป็นผบู้ ริโภคอนั ดบั 1 ส่วน นกกินแมลง แมงมุม แมลงปี กแขง็ จะไดร้ ับการถ่ายทอดพลงั งาน
เป็นอนั ดบั ที่ 2 ส่วนเหยยี่ วจดั เป็นผบู้ ริโภคอนั ดบั ท่ี 3

เมื่อพิจารณาแบบแผนของการถ่ายทอดพลงั งานในโซ่อาหารหน่ึง ๆ สามารถเสนอไดใ้ นรูป
พิรามิด ไดแ้ ก่ พิรามิดจาํ นวนของส่ิงมีชีวติ (pyramit of numbur) โดยทวั่ ไปสัดส่วนของจาํ นวนสิ่งมีชีวิต
จะมีลกั ษณะเป็ นรูปพิรามิดฐานกวา้ ง โดยผูผ้ ลิตซ่ึงมีจาํ นวนมากที่สุดอยู่ตรงตาํ แหน่งฐานพิรามิด
ผบู้ ริโภคลาํ ดบั ตา่ ง ๆ ที่อยถู่ ดั ข้ึนไปตามลาํ ดบั จะลดลง

ตวั เลขที่อยใู่ นพิรามิดแต่ละช้นั แสดงจาํ นวนส่ิงมีชีวิตในแหล่งที่อยู่ จะเห็นไดว้ า่ พ้ืนที่ 1 ตารางเมตร
ของสระน้าํ จืดมีผูผ้ ลิตอยู่จาํ นวนมากมาย ส่วนผูบ้ ริโภคแต่ละลาํ ดบั จะมีจาํ นวนลดหลนั่ กนั ไป จนถึง
ผูบ้ ริโภคลาํ ดบั 3 ซ่ึงเป็ นผูบ้ ริโภคลาํ ดบั สุดทา้ ย การท่ีจาํ นวนของสิ่งมีชีวติ ที่นบั ได้ ไม่เป็ นจาํ นวนเต็ม
เน่ืองจากเราคาํ นวณหาจาํ นวนสิ่งมีชีวติ บริเวณผวิ ของสระน้าํ จืดในพ้ืนท่ี 1 ตารางเมตรเท่าน้นั ซ่ึงตาม
ความเป็ นจริงสระน้าํ จืดน้ี มีพ้ืนท่ีมากกว่า 1 ตารางเมตร เม่ือคาํ นวณจาํ นวนสิ่งมีชีวิตที่เป็ นผูบ้ ริโภค
อนั ดบั 3 บนผวิ ของสระน้าํ จืด ทุก ๆ 1 ตารางเมตร ซ่ึงมีจาํ นวนนอ้ ย ผลลพั ธ์จึงไม่เป็นเลขจาํ นวนเตม็

พิรามิดของจาํ นวนสิ่งมีชีวิตอาจไม่จาํ เป็ นตอ้ งมีลกั ษณะของพิรามิดฐานกวา้ งเพียงอย่างเดียว
ระบบนิเวศสวนลาํ ใยแห่งหน่ึงมีลาํ ใย 200 ตน้ และบริเวณตน้ ลาํ ใยเป็ นแหล่งท่ีอยู่ของกลุ่มส่ิงมีชีวิต
หลายชนิด ไดแ้ ก่ ผ้ึง แมลงวนั ทอง นก นกฮูก จะเห็นไดว้ า่ ผ้ึง และแมลงวนั ทองท่ีอาศยั กินน้าํ หวานจาก
ดอกลาํ ใยน้นั มีจาํ นวนมากกวา่ ตน้ ลาํ ใยหลายเท่า

การเสนอขอ้ มูลในรูปของพิรามิดจาํ นวน อาจทาํ ให้เกิดความเขา้ ใจคลาดเคล่ือนได้ เพราะ
สิ่งมีชีวิตไม่วา่ จะมีขนาดเล็กเพียงเซลล์เดียว เช่น สาหร่ายเซลล์เดียว หรือสัตวห์ ลายเซลล์ และมีขนาด
ใหญ่ เช่น ไส้เดือนดินก็จะถูกนบั เป็ นหน่ึงเท่ากนั หมด ท้งั ท่ีตามความเป็ นจริงแลว้ ปริมาณอาหารที่
ผบู้ ริโภคจะไดร้ ับจากส่ิงมีชีวติ ท้งั สองชนิดน้ีแตกต่างกนั มาก

ดงั น้นั นกั นิเวศวทิ ยาจึงเสนอในรูปของพิรามิดมวลของสิ่งมีชีวิต (pyramit of mass) โดยการ
คาดคะเนมวลของน้าํ หนกั แห้งของส่ิงมีชีวิตแต่ละลาํ ดบั แทนการนบั จาํ นวน ท้งั น้ีเพ่ือใหข้ อ้ มูลมีความ
ถูกตอ้ งตามความเป็นจริงมากข้ึน

จาํ นวน หรือมวลของส่ิงมีชีวิตก็ยงั มีการเปล่ียนแปลงไปแต่ละช่วงเวลา และอตั ราการ
เจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตก็แตกต่างกนั เช่น ตน้ สัก แมว้ า่ จะมีมวลหรือปริมาณมากกว่าสาหร่ายเซลลเ์ ดียว
จาํ นวนเป็ นลา้ นเซลล์ แต่สาหร่ายเซลล์เดียวเจริญเติบโตขยายพนั ธุ์ไดร้ วดเร็วในช่วงเวลา 1 ปี จะให้
ผลผลิตท่ีเป็ นอาหารของผูบ้ ริโภคได้มากกว่าตน้ สักเสียอีก ดงั น้นั จึงมีการเสนอขอ้ มูลของพิรามิด
พลงั งาน

82

การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศมีความสําคญั มากเพราะไม่เพียงแต่สารอาหารเหล่าน้นั มี
การถ่ายทอดแตส่ ารทุกชนิดท่ีปนเป้ื อนอยใู่ นระบบนิเวศ ท้งั ที่เป็นประโยชน์ และเป็นโทษจะถูกถ่ายทอด
ไปในโซ่อาหารดว้ ย ตวั อยา่ งเช่น การใชส้ ารเคมีกาํ จดั ศตั รูพืชพวกแมลง สารเคมีกาํ จดั เช้ือรา ท่ีรู้จกั กนั ดี
คือ DDT ซ่ึงสารเคมีชนิดน้ีจะสลายตวั ยาก มีความคงตวั สูง ทาํ ลายระบบประสาทแมลงไดด้ ี เนื่องจากมี
โลหะหนกั ท่ีเป็ นพิษเจือปนอยู่ เช่น ปรอท ตะกวั่ หรืออาร์เซนิก สารดงั กล่าวจะตกคา้ งในผูผ้ ลิต
และผบู้ ริโภคและถ่ายทอดไปตามลาํ ดบั ในโซ่อาหารซ่ึงปริมาณDDT จะเพ่ิมความเขม้ ขน้ ขน้ เรื่อยๆ ใน
แต่ละลาํ ดบั ของช้นั อาหาร เช่น เน้ือของนกกินปลา 1 กรัม จะมี DDT สะสมมากกวา่ เน้ือปลาที่มีน้าํ หนกั
เทา่ กนั

แหล่งชุมชนท่ีอยู่อาศยั ของแต่ละผูค้ น ในแต่ละแหล่งก็มีการถ่ายเทของเสียออกสู่ธรรมชาติ
และกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น ร้านอาหาร อู่ซ่อมรถ โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม และแหล่ง
เกษตรกรรม ทาํ ให้มีของเสียปล่อยออกสู่ส่ิงแวดลอ้ ม และสะสมอยตู่ ามแหล่งน้าํ ดิน อากาศ ของเสีย
เหล่าน้ีจะถ่ายทอดไปสู่ผูผ้ ลิต และผูบ้ ริโภคลาํ ดบั ต่าง ๆ รวมถึงกลบั มาสู่ตวั มนุษย์ ซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงใน
โซ่อาหาร ทาํ ให้มีผลต่อสุขภาพ ของเสียบางอยา่ งยงั มีพิษรุนแรง เช่น พวกโลหะหนกั ถา้ ร่างกายไดร้ ับ
สารน้นั ในปริมาณมากอาจเป็นอนั ตรายถึงชีวติ ได้

ในบางกรณีของเสีย หรือสารพษิ ที่สะสมอยใู่ นแหล่งต่าง ๆ อาจไมถ่ ่ายทอดถึงมนุษย์ เพราะเป็น
อนั ตรายต่อผบู้ ริโภคในลาํ ดบั ตน้ ๆ เสียก่อนแลว้ ทาํ ใหโ้ ซ่อาหารถูกทาํ ลาย แต่มนุษยก์ ไ็ ดร้ ับผลกระทบ
เช่นกนั ท้งั ในแง่ที่ขาดแคลนอาหาร และส่งผลถึงเศรษฐกิจดว้ ย ดงั น้นั จึงควรมีการป้องกนั และการ
จดั การเกี่ยวกบั การกาํ จดั ของเสียอยา่ งถูกตอ้ ง

กจิ กรรม

ใหน้ กั เรียนออกไปสาํ รวจ ระบบนิเวศ บริเวณโรงเรียนหรือบา้ น แลว้ เขียน สายใยอาหารดงั กล่าว
และระบุดว้ ยวา่ อะไรเป็นผผู้ ลิต อะไรเป็ นผบู้ ริโภคลาํ ดบั ท่ีเท่าใด

83

แบบทดสอบ

จงเลือกคาตอบทถี่ ูกต้องทสี่ ุดเพยี งคาตอบเดียว

ใหพ้ ิจารณาแผนผงั ต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาํ ถามขอ้ 1 - 4

พืช หนอน นก คน

1. ขอ้ ใดเป็นผผู้ ลิต ข. หนอน
ก. พืช ง. คน
ค. นก

2. ขอ้ ใดเป็นผบู้ ริโภค ข. หนอน นก คน
ก. พืช ง. พชื หนอน นก
ค. พชื หนอน นก คน

3. ขอ้ ใดเป็นผบู้ ริโภคข้นั ท่ี 1 ข. หนอน
ก. พืช ง. คน
ค. นก

4. ขอ้ ใดเป็นผบู้ ริโภคข้นั สุดทา้ ย ข. หนอน
ก. พืช ง. คน
ค. นก

เร่ืองท่ี 3 ความสัมพนั ธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมกบั การดารงชีวติ ของส่ิงมชี ีวติ

ความหมายของการปรับตัว

การปรับตวั (Adaptation) หมายถึง กระบวนการท่ีส่ิงมีชีวติ มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับลกั ษณะ
บางประการให้เข้ากบั สภาพแวดล้อมท่ีอาศยั อยู่ซ่ึงลักษณะที่เปล่ียนแปลงไป ดังกล่าวจะอาํ นวย
ประโยชน์แก่ชีวติ ในแง่ของการอยรู่ อดและสามารถสืบพนั ธุ์ต่อไปได้

ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตมีหลายประการ ได้แก่ การแสวงหาอาหาร
การสืบพนั ธุ์ การตอ่ สู้กบั ศตั รู และการหลบหลีกศตั รู หรือสิ่งแวดลอ้ ม

84

ส่ิงมชี ีวติ มีการปรับตวั ดังนี้

1. การเกิดและการคงรูปร่าง ท่าทาง ลกั ษณะ หรือหน้าที่ ของสิ่งมีชีวิตในประชากร ทาํ ให้
เหมาะสมและสามารถดาํ รงชีพอยู่ไดใ้ นสภาวะแวดลอ้ มน้นั ๆ การปรับตวั ชนิดน้ีเกิดจากการคดั เลือก
โดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวติ ท่ีแปรผนั ทาํ ใหเ้ กิดความแตกตา่ งกนั ทางพนั ธุกรรม

2. ลกั ษณะทางสรีรวิทยา พฤติกรรมหรือสัณฐาน ซ่ึงควบคุมโดยพนั ธุกรรม เอ้ืออาํ นวยให้
สิ่งมีชีวติ ชนิดน้นั ๆอยไู่ ดใ้ นสภาวะแวดลอ้ มอยา่ งเหมาะสมจนกระทงั่ สืบพนั ธุ์ได้

3. เกิดการเปล่ียนแปลงในช่วงชีวิตของส่ิงมีชีวิตชนิดใดชนิดหน่ึง เช่น การขาดออกซิเจนไป
เล้ียงสมองทาํ ให้คนลม้ ลง ทาํ ให้เลือดส่งออกซิเจนไปเล้ียงสมองไดเ้ ร็วข้ึน นน่ั คือ การเป็ นลมหรือนก
บางชนิดมีการเปลี่ยนสีของขนนก หรือพฤติกรรมในบางฤดู เช่น ในช่วงสืบพนั ธุ์ของนกยูง นกยงู ตวั ผู้
จะรําแพนอวดหางอนั สวยงาม การปรับตวั ทางพนั ธุกรรมเป็ นผลท่ีเกิดจากการคดั เลือกโดยธรรมชาติ
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจาํ เป็ นตอ้ งปรับตวั ให้เขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มไดจ้ ึงจะอยรู่ อด การปรับตวั น้นั เกิดไดท้ ้งั
ในแง่รูปร่าง สรีรวทิ ยาหรือพฤติกรรม หากการปรับตวั น้นั เหมาะสมและสามารถถ่ายทอดไดพ้ นั ธุกรรม
แลว้ ทาํ ใหเ้ กิดววิ ฒั นาการท้งั สิ้นการปรับตวั ของส่ิงมีชีวติ เป็นผลของการคดั เลือกตามธรรมชาติ ลกั ษณะ
ท่ีปรากฏจะอาํ นวยประโยชนแ์ ก่สิ่งมีชีวติ ในแง่ของการอยรู่ อด และสามารถสืบพนั ธุ์ได้ ลกั ษณะดงั กล่าว
ท่ีคงไวใ้ นสิ่งมีชีวิตน้ีถูกควบคุมโดยหน่วยพนั ธุกรรม ส่ิงมีชีวิตที่ปรับตวั ไดด้ ีจะสามารถดาํ รงชีวิตและ
แพร่พนั ธุ์ต่อไปได้

ดงั น้นั ส่ิงมีชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลงร่างกายให้มีความคลา้ ยคลึงกบั ธรรมชาติท่ีอาศยั อยู่ ท้งั น้ี
เพือ่ อาํ พรางศตั รูท่ีจะเขา้ มาทาํ ร้าย และอาํ พรางเหยอ่ื ท่ีหลงเขา้ ไปใกลต้ วั ซ่ึงเหยอื่ ของส่ิงมีชีวติ แต่ละชนิด
จะแตกตา่ งกนั เพอ่ื ความสะดวกในการบริโภค

การปรับตัวด้านต่าง ๆ ของส่ิงมีชีวติ

ส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดจะมีการปรับตวั ให้เขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มท่ีอาศยั อยู่เสมอ ท้งั น้ีก็เพื่อความอยู่
รอดและสามารถสืบพนั ธุ์ต่อไปได้ แต่เน่ืองจากส่ิงมีชีวิตในโลกมีมากมายหลายชนิด การปรับตวั ของ
สิ่งมีชีวติ แตล่ ะชนิดจึงมีลกั ษณะแตกตา่ งกนั ไป ซ่ึงจะพอสรุปไดด้ งั น้ี

การปรับตวั ของจิ้งจก จิง้ จกจะปรับสีตามผนงั หรือเพดานที่มนั อาศยั อยู่ ถา้ เป็ นตึกสีขาวจิ้งจกจะ
ปรับตวั ใหม้ ีสีซีดเกือบขาว แตถ่ า้ อยตู่ ามบา้ นไม้ กจ็ ะปรับสีเป็นสีน้าํ ตาล

การปรับตวั ของนกเป็ ดน้าํ นกเป็ ดน้าํ ท่ีอาศยั และหากินอยู่ในน้าํ จะปรับขนเป็ นมนั ขามีพงั ผืด
ระหวา่ งนิ้ว เพ่ือใชใ้ นการวา่ ยน้าํ และสะดวกในการจบั ปลากินเป็นอาหาร

การปรับตวั ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เหล่าน้ี มีจุดประสงคเ์ พ่ืออาํ พรางตวั ใหร้ อดพน้ จากการล่าของ
ศตั รูหรืออาํ พรางเหยอ่ื ที่หลงเขา้ มาใกลต้ วั และเพ่ือสะดวกในการหาอาหารกิน

85

ส่ิงมีชีวิตบางชนิดจะมีการปรับตวั ทางดา้ นรูปร่าง ให้มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั ธรรมชาติ ซ่ึงเป็ น
แหล่งท่ีอยอู่ าศยั เพื่ออาํ พรางศตั รูท่ีจะเขา้ มาทาํ ร้าย เพอื่ อาํ พรางเหยอ่ื ที่หลงเขา้ มาใกลต้ วั

การปรับตัวของต๊กั แตนท้งั 3 ชนิด มกี ารปรับลกั ษณะรูปร่างดังนี้

1. ตก๊ั แตนกิ่งไม้ มีลาํ ตวั สีน้าํ ตาลและขายาวเกง้ กา้ ง เมื่อเกาะอยูก่ บั ที่นิ่ง ๆ จะมีลกั ษณะคลา้ ย
กิ่งไม้

2. ตกั๊ แตนใบโศก มีลาํ ตวั สีเขียวหรือสีน้าํ ตาล เม่ือเกาะอยูก่ บั ท่ีน่ิง ๆ ปี กจะประกบกนั ทาํ ให้
มองดูคลา้ ยใบไม้

3. ตกั๊ แตนตาํ ขา้ ว มีลาํ ตวั สีเขียว ขาคู่หนา้ มีขนาดใหญ่ และปลายขาจะมีอวยั วะสําหรับจบั เหยื่อ
เม่ือเกาะอยกู่ บั ท่ีนิ่ง ๆ ปี กจะซอ้ นกนั คลุมลาํ ตวั มองดูคลา้ ยใบไม้

สิ่งมีชีวิตนอกจากจะปรับลกั ษณะรูปร่างให้กลมกลืนกบั สิ่งแวดลอ้ ม ท่ีอาศยั อยูแ่ ลว้ บางชนิด
เช่น แมลง ยงั ปรับลกั ษณะปากเพอ่ื ความเหมาะสมตอ่ อาหารหรือเหยือ่ ท่ีกินอีกดว้ ยการปรับลกั ษณะปาก
ของแมลงใหเ้ หมาะสมต่อเหยอ่ื ท่ีกิน มีผลทาํ ใหแ้ มลงแต่ละชนิดมีโครงสร้างทางสรีระแตกต่างกนั คือ

แมลงท่ีกดั กินใบไม้ จะปรับส่วนปากให้มีลกั ษณะคล้ายกรรไกรหรือคีมเพ่ือกดั กิน บดเค้ียว
หรือแทะอาหารออกเป็ นชิ้นเล็ก ๆ เช่น จิ้งหรีด ตก๊ั แตน แมลงสาบ มด เป็ นตน้ ปากของแมลงกลุ่มน้ี
เรียกวา่ ปากกดั

แมลงท่ีกินอาหารเป็ นของเหลว จะปรับส่วนปากให้มีลกั ษณะแบนคลา้ ยใบพายริมฝี ปากจะแผ่
กวา้ งเพ่ือเลียและดูดซับอาหาร ภายในมีท่อกลวงสาํ หรับเป็ นทางเปิ ดของท่อน้าํ ลายช่วยในการยอ่ ยและ
เป็ นทางเดินของอาหารสู่คอหอย แมลงกลุ่มน้ี เช่น แมลงวนั เหลือบ ผ้ึง เป็ นตน้ ปากของแมลงกลุ่มน้ี
เรียกวา่ ปากเลียและดูด

แมลงที่ดูดน้าํ จากเหยื่อ จะปรับส่วนปากให้มีลกั ษณะเป็ นท่อยาวๆคลา้ ยเข็มยื่นออกมาเพ่ือใช้
เจาะและดูดอาหารจาํ พวกน้าํ จากเหย่ือ เช่น ยุง เพล้ียอ่อน แมงดานา เป็ นตน้ ปากของแมลงกลุ่มน้ี
เรียกวา่ ปากเจาะและดูด

แมลงท่ีดูดกินน้าํ หวานจากดอกไม้ ปรับส่วนปากให้มีลกั ษณะเป็ นวงมว้ นเก็บไดห้ ลงั จากดูด
อาหารเสร็จแลว้ เช่น ผเี ส้ือ เป็นตน้ ปากของแมลงกลุ่มน้ีเรียกวา่ ปากดูด

การปรับตวั ของสัตวเ์ พ่ือความเหมาะสมต่อการกินอาหารของสัตว์ แต่ละชนิดทาํ ให้สัตวแ์ ต่ละ
ชนิดมีโครงสร้างทางสรีระแตกตา่ งกนั เช่น แมลงท่ีกดั กินใบไมจ้ ะมีขากรรไกรเพื่อการบดเค้ียว แมลงที่
กินอาหารเป็ นของเหลวก็จะปรับส่วนปากเป็ นท่อสาํ หรับดูดซบั เป็ นตน้ การปรับตวั ของสัตวเ์ ช่นน้ีทาํ
ใหส้ ัตวด์ าํ รงชีวติ อยใู่ นส่ิงแวดลอ้ มน้นั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และสามารถแพร่พนั ธุ์ตอ่ ไปได้

86

การปรับตัวของพืช

การปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม นอกจากจะพบในสัตวแ์ ลว้ ยงั พบในพชื อีกดว้ ย การปรับตวั
ของพชื ข้ึนอยกู่ บั สิ่งแวดลอ้ มที่อาศยั อยู่ เช่น

ผกั ตบชวา เป็นพืชน้าํ จะมีกา้ นใบที่พองออกเป็นกระเปาะ ภายในมีช่องวา่ งระหวา่ งเซลลม์ าก
น้าํ หนกั เบา ทาํ ให้ สามารถ ลอยอยเู่ หนือน้าํ ได้

กจิ กรรม

ใหน้ กั เรียนออกไปสาํ รวจระบบนิเวศบริเวณในโรงเรียนหรือบา้ น วา่ มีสตั วช์ นิดใดบา้ งท่ีมีการ
ปรับตวั เขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ มพร้อมท้งั อธิบายเหตุผล

แบบทดสอบ

จงเลือกคาตอบทถี่ ูกทส่ี ุดเพยี งข้อเดยี ว
1. นกั เรียนคิดวา่ เหตุใดตน้ กระบองเพชรจึงมีใบเป็นหนาม

ก. เพื่อใชใ้ นการปรุงอาหารไดม้ ากข้ึน
ข. เพือ่ ลดการคายน้าํ ของพืช
ค. ป้องกนั การทาํ ลายของศตั รูตามธรรมชาติ
ง. เพราะกระบองเพชรมีการพลดั ใบบอ่ ย

2. ขอ้ ใดเป็นผลกระทบที่เกิดจากสิ่งแวดลอ้ มท่ีมีต่อสิ่งมีชีวติ
ก. ผกั บุง้ หรือผกั ตบชวามีลาํ ตน้ ที่กลวง เพ่อื สามารถลอยน้าํ ได้
ข. สุนขั มีขนดา้ นหลงั มากกวา่ ดา้ นทอ้ งเพือ่ ระบายความร้อนจากแสงแดด
ค. สตั วต์ วั เล็กๆรักษาเผา่ พนั ธุ์ตนเองโดยการออกลูกคร้ังละมากๆ
ง. ถูกทุกขอ้

3. ส่ิงแวดลอ้ มมีผลต่อการดาํ รงชีวติ อยา่ งไร
ก. อาจทาํ ใหส้ ่ิงมีชีวติ สูญพนั ธุ์ได้
ข. ทาํ ใหส้ ิ่งมีชีวติ ตอ้ งมีการปรับตวั
ค. ส่ิงมีชีวติ ตอ้ งพบกบั อุปสรรคตา่ งๆ
ง. ถูกทุกขอ้

87

4. ขอ้ ใดไม่ใชก้ ารปรับตวั เขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ ม
ก. นกแกว้ มีขนสีเขียวสวยงาม
ข. นกเพนกวนิ ไม่มีขนแตม่ ีผวิ หนงั ที่ล่ืน
ค. หมีข้วั โลกมีขนท่ียาว
ง. ตกั๊ แตนกิ่งไมม้ ีสีน้าํ ตาลและขายาว

5. หากนาํ หมีแพนดา้ มาเล้ียงในประเทศท่ีมีอากาศร้อน มนั จะตายเพราะ
ก. อาหารเปลี่ยนไปจากเดิม
ข. อากาศร้อนเกินไป
ค. สภาพแวดลอ้ มเปลี่ยนไปจากเดิม
ง. ขาดสารอาหารท่ีจาํ เป็น

88

บทที่ 5
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในท้องถิน่

สาระสาคญั

ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และมนุษยส์ ามารถนาํ มาใช้
ประโยชน์ได้ เช่น ดิน น้าํ อากาศ ป่ าไม้ ทุ่งหญา้ แร่ธาตุ ฯลฯ

ความหมายของความสําคัญของทรัพยากรธรรมชาติ ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ
ผลกระทบของการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนกบั ชีวติ ความหมายและประเภทของ
สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น การป้องกนั การเปล่ียนแปลงของส่ิงแวดล้อมและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมใน
ทอ้ งถิ่น

ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั

1. สามารถอธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงแทนท่ีของส่ิงมีชีวติ ได้
2. สามารถอภิปรายการใชท้ รัพยากรธรรมชาติสภาพปัญหาสิ่งแวดลอ้ มได้
3. สามารถอธิบายสาเหตุของปัญหาวางแผนและลงมือปฏิบตั ิได้
4. สามารถอธิบายการป้องกนั แกไ้ ข เฝ้าระวงั อนุรักษ์ และ พฒั นาทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดลอ้ มได้
5. สามารถอธิบายปรากฏการณ์ของธรณีวทิ ยาที่มีผลต่อสิ่งมีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ มได้
6. สามารถอธิบายปรากฏการณ์ สภาวะโลกร้อน สาเหตุและผลกระทบต่อชีวิตมนุษยไ์ ด้

ขอบข่ายเนื้อหา

เรื่องท่ี 1ทรัพยากรธรรมชาติ
เร่ืองท่ี 2สิ่งแวดลอ้ ม

89

เรื่องท่ี 1 ทรัพยากรธรรมชาติ

ความหมายของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งตา่ ง ๆ ท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และมนุษยส์ ามารถนาํ มาใช้

ประโยชนไ์ ด้ เช่น ดิน น้าํ อากาศ ป่ าไม้ ทุ่งหญา้ แร่ธาตุ ฯลฯ
ส่ิงแวดล้อม หมายถึง ส่ิงตา่ ง ๆ ที่อยลู่ อ้ มรอบตวั เรา ท้งั สิ่งท่ีมีชีวติ และไม่มีชีวติ รวมท้งั สิ่งท่ีเกิดข้ึนเอง

ตามธรรมชาติ และสิ่งท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนมา จะเห็นไดว้ า่ ทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภท เป็นส่วนหน่ึง
ของส่ิงแวดลอ้ ม แตส่ ิ่งแวดลอ้ มทุกชนิดไม่ไดเ้ ป็ นทรัพยากรธรรมชาติท้งั หมด

ความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม
ทรัพยากรธรรมชาติเป็ นปัจจยั สาํ คญั ในการดาํ รงชีพของมนุษย์ และส่งผลต่อการพฒั นาประเทศให้

เจริญกา้ วหนา้ ประเทศใดท่ีมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และมีสิ่งแวดลอ้ มที่ดี จะส่งผลใหป้ ระชาชน
ในประเทศน้นั มีคุณภาพชีวติ และความเป็นอยทู่ ี่ดีตามไปดว้ ย จากความสาํ คญั ของทรัพยากรธรรมชาติดงั กล่าว
ไดแ้ ยกความสาํ คญั ออกเป็น 3 ลกั ษณะ คือ

1. ความสาคัญทางด้านเศรษฐกจิ ประเทศใดที่มที รัพยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบูรณ์จะทาํ ใหเ้ ศรษฐกิจ
ของประเทศน้นั ดีข้ึน และส่งผลต่อการพฒั นาประชากรใหม้ ีคุณภาพชีวติ ท่ีดีข้ึน

2. ความสาคัญทางด้านสังคม ทรัพยากรธรรมชาติมีความสาํ คญั ตอ่ สงั คม เพราะจะเป็ นปัจจยั ใน
การพฒั นาประเทศไดร้ วดเร็ว ทดั เทียมนานาอารยประเทศ

3. ความสาคัญทางด้านการเมือง ประเทศใดก็ตามท่ีมีทรัพยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบูรณ์จะส่งผล
ใหป้ ระเทศน้นั มีพลงั อาํ นาจเป็ นที่ยอมรับของอารยประเทศ สามารถสร้างอาํ นาจต่อรองในเวทีระดบั โลกได้
จะเห็นไดจ้ ากในอดีตที่ผา่ นมาจะมีการล่าอาณานิคมใหเ้ ป็ นเมืองข้ึน เพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึงทรัพยากรธรรมชาติใน
ประเทศน้นั ๆ

ประเภทของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม
ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดงั น้ี
1. ทรัพยากรท่ีใช้แล้วหมดไป คือ ทรัพยากรที่ใชแ้ ลว้ เมื่อหมดไป ไม่สามารถเกิดข้ึนใหม่ได้

หรือถา้ จะเกิดข้ึนใหม่ จะตอ้ งใช้เวลานานหลายลา้ นปี เพราะฉะน้นั เราควรจะช่วยกนั ประหยดั ใชใ้ ห้
คุม้ ค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดเพ่ือใหส้ ามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ งยาวนาน เช่น แร่ธาตุ ก๊าซธรรมชาติ น้าํ มนั

2. ทรัพยากรทใ่ี ช้ไม่หมดสิ้น เช่น ดิน น้าํ อากาศ ป่ าไม้ สตั วป์ ่ า ฯลฯ
ดนิ เป็นทรัพยากรท่ีไม่หมดสิ้น แตเ่ สื่อมสลายไดง้ ่าย เราควรจะมีการรักษาคุณภาพของดิน

เพอ่ื ใหเ้ กิดความสมบูรณ์ใหม้ ากที่สุด ไมค่ วรใชส้ ารพษิ เพื่อการปลูกพืชมากเกินไป

90

นา้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ีไม่หมดสิ้น เพราะธรรมชาติจะนาํ น้าํ กลบั คืนมาใหม่ในรูปของ
น้าํ ฝน การรักษาแหล่งน้าํ ไวใ้ หม้ ีคุณภาพเพือ่ จะไดม้ ีน้าํ ใชต้ ลอดเวลา

ทรัพยากรธรรมชาติเป็ นสิ่งจาํ เป็นแก่มนุษย์ เน่ืองจากสามารถนาํ มาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์แก่ตวั
มนุษยใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ มากมาย การที่มนุษยน์ าํ ทรัพยากรไปใชน้ ้นั หากมีการใชอ้ ยา่ งฟ่ ุมเฟื อย ไมร่ ู้คุณคา่ ก็
จะทาํ ใหเ้ กิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย โดยทวั่ ไป ทรัพยากรธรรมชาติจดั ออกเป็ นประเภทต่าง ๆ ดงั น้ี
ทรัพยากรดนิ

ดินเกิดจากการสลายและผพุ งั ของหินชนิดต่าง ๆ แลว้ คลุกเคลา้ ปะปนกบั อินทรียส์ ารชนิดต่าง ๆ
รวมท้งั น้าํ และอากาศ ลกั ษณะของดินท่ีแตกต่างกนั น้นั เนื่องจากองคป์ ระกอบที่แตกต่างกนั ไป ลกั ษณะ
ของดินในประเทศไทย มีความแตกต่างกนั ไปตามพ้ืนที่ที่พบดินน้นั ๆ คือ

บริเวณท่ีราบน้าํ ท่วมถึงสองฝ่ังแม่น้าํ เป็ นบริเวณที่มีโคลนตะกอนถูกพดั มาทบั ถมกนั เป็ น
จาํ นวนมาก โดยมากมกั เป็ นดินตะกอนที่มีอายุนอ้ ย ลกั ษณะของดินเป็ นดินเหนียว เน้ือละเอียด เม่ือแห้งจะ
จบั ตวั กนั แน่น เช่น บริเวณพ้นื ดินสองฝ่ังแม่น้าํ ในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ปทุมธานี เป็นตน้

บริเวณที่ราบลุ่มต่าํ มาก เป็นบริเวณท่ีมีน้าํ ท่วมขงั อยเู่ ป็ นประจาํ มีซากพืชซากสัตวท์ บั ถมกนั เป็ น
ช้นั หนาจนเป็ นดินท่ีมีอินทรีย์วตั ถุปะปนอยู่มากพบได้ในบริเวณชายฝ่ังจงั หวดั นราธิวาสบริเวณบึง
บอระเพด็ จงั หวดั นครสวรรค์

บริเวณที่เป็ นชายฝ่ังทะเล เป็ นบริเวณท่ีมกั จะมีเนินทรายหรือหาดทรายอยู่มาก ความอุดม
สมบูรณ์ค่อนขา้ งนอ้ ย พบในบริเวณพ้ืนที่ชายฝ่ังทวั่ ไป เช่น ชายฝ่ังทะเลจงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์

91

บริเวณท่ีห่างจากสองฝั่งแม่น้าํ ออกไป เป็ นดินที่ถูกชะลา้ งเนื่องจากการไหลของน้าํ ความอุดม
สมบูรณ์ค่อนขา้ งต่าํ ส่วนมากมกั เป็ นดินเหนียว เม่ือเวลาผา่ นไปดินบริเวณน้ีจะค่อย ๆ ลดความอุดม
สมบูรณ์ลงไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นดินที่ไม่มีคุณภาพ

บริเวณภูเขาท่ีไม่สูงชนั ส่วนมากเป็ นดินที่ถูกปกคลุมดว้ ยป่ าไมต้ ามธรรมชาติ มีอินทรียสาร
สะสมอยู่ แต่หากป่ าไมถ้ ูกทาํ ลายจะทาํ ใหเ้ กิดการชะลา้ งหนา้ ดินโดยน้าํ และลมอยา่ งรุนแรง ทาํ ใหด้ ิน
เส่ือมสภาพลงอยา่ งรวดเร็ว

บริเวณดินที่มีสารประเภทเบสปะปนอยู่มาก เช่น หินปูน ดินมาร์ล เป็ นตน้ เมื่อสารเหล่าน้ี
สลายตัวลงจะทาํ ให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ เป็ นดินที่เหมาะในการเพาะปลูกพืชประเภทพืชไร่
การใชด้ ินใหเ้ กิดประโยชน์ การใชด้ ินใหม้ ีประสิทธิภาพสูงสุดและนานท่ีสุดสามารถทาํ ไดด้ งั น้ี

การปลกู พืชหมุนเวยี น

92

การปลูกพืชแบบข้นั บันได

การปลกู ป่ าในพืน้ ทลี่ าดชัน และไม่ใช้พืน้ ทด่ี ังกล่าวในการเกษตรกรรม
ปัญหาทรัพยากรดิน ในประเทศไทยมี 2 แบบ คือ ปัญหาที่เกิดข้ึนจากธรรมชาติและปัญหาที่เกิดจากการ
กระทาํ ของมนุษย์

93

ทรัพยากรนา้
โลกที่เราอาศยั อยปู่ ระกอบไปดว้ ยพ้ืนน้าํ ถึง 3 ส่วน เป็นทรัพยากรท่ีสามารถหมุนเวยี นได้ ไมม่ ี

วนั หมดไปจากโลก แตถ่ ูกทาํ ใหเ้ สื่อมสภาพหรือมีคุณภาพต่าํ ลงได้

แหล่งน้าํ แบ่งไดเ้ ป็ น 2 ประเภท คือ
นา้ บนดิน ไดแ้ ก่ น้าํ ในแม่น้าํ ลาํ คลอง หนอง บึง อ่างเกบ็ น้าํ น้าํ จากแหล่งน้ีจะมีปริมาณมากหรือ

นอ้ ยข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ต่อไปน้ี
- ปริมาณของน้าํ ฝนท่ีไดร้ ับ
- อตั ราการสูญเสียของน้าํ ซ่ึงมีสาเหตุมาจากการระเหยและการคายน้าํ
- ความสามารถในการกกั เก็บน้าํ
นา้ ใต้ดิน เป็นน้าํ ท่ีแทรกอยใู่ ตด้ ิน ไดแ้ ก่ น้าํ บาดาล การที่ระดบั น้าํ ใตด้ ินจะมีปริมาณมากหรือ

นอ้ ยเพียงใดข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ต่อไปน้ี
- ปริมาณน้าํ ท่ีไหลจากผวิ ดิน
- ความสามารถในการกกั เก็บน้าํ ไวใ้ นช้นั หิน

ความสาคัญของนา้ น้าํ มีความสาํ คญั ต่อสิ่งมีชีวิตมากมายดงั น้ี
- ดา้ นเกษตรกรรม เพ่ือการเพาะปลูก เล้ียงสตั ว์ ฯลฯ
- ดา้ นการคมนาคมขนส่งทางน้าํ
- ดา้ นการอุตสาหกรรม
- ดา้ นการอุปโภคและการบริโภค

การอนุรักษ์ทรัพยากรนา้ มีแนวทางในการปฏิบตั ิดงั น้ี
- การพฒั นาแหล่งน้าํ โดยการขดุ ลอกแหล่งน้าํ ต่างๆ ที่ต้ืนเขิน
- ใชน้ ้าํ อยา่ งประหยดั ไม่ปล่อยใหน้ ้าํ ที่ใชเ้ สียไปโดยเปล่าประโยชน์
- ไมต่ ดั ไมท้ าํ ลายป่ า
- ป้องกนั ไมใ่ หเ้ กิดมลพษิ กบั แหล่งน้าํ

94

ทรัพยากรป่ าไม้
ป่ าไมเ้ ป็ นส่วนที่มีความสําคญั ต่อระบบนิเวศเป็ นอยา่ งยิ่ง เป็ นตน้ น้าํ เป็ นท่ีอยูอ่ าศยั ของสัตวป์ ่ า

มากมาย ช่วยป้องกนั การชะลา้ งหนา้ ดิน เป็ นส่วนสําคญั ที่ทาํ ให้เกิดการหมุนเวียนของสารต่าง ๆ ใน
ธรรมชาติ ฯลฯ

ป่ าเป็ นสิ่งจาเป็ นต่อโลก

แนวทางในการอนุรักษ์ป่ าไม้
- การทาํ ความเขา้ ใจถึงความสาํ คญั ของป่ าต่อการดาํ รงชีวิตของมนุษย์ สตั ว์ และส่ิงตา่ งๆ ท่ีอยใู่ นโลก
- การสร้างจิตสาํ นึกร่วมกนั ในการดูแลรักษาป่ าไมใ้ นชุมชน ซ่ึงแนวทางหน่ึงคือการเปิ ดโอกาส

โดยภาครัฐในการออกพระราชบญั ญตั ิป่ าชุมชน
- การออกกฎหมายเพือ่ คุม้ ครองพ้นื ท่ีป่ า และการออกกฎเพื่อป้องกนั การตดั ไมท้ าํ ลายป่ า
- ช่วยกนั ปลูกป่ าในพ้นื ที่ป่ าเสื่อมโทรม โดยอาจจะเป็ นการร่วมมือกบั สมาชิกในชุมชนเพื่อปลูก

ป่ าในโอกาสตา่ ง ๆ
- ติดตามข่าวสารเก่ียวกบั สิ่งแวดลอ้ มเป็นประจาํ เพอ่ื จะไดท้ ราบความเคลื่อนไหวเก่ียวกบั การ

ร่วมอนุรักษป์ ่ าไมร้ วมถึงสิ่งแวดลอ้ มในดา้ นอื่นดว้ ย
ทรัพยากรแร่

ทรัพยากรแร่ หมายถึง แร่ธาตุตา่ งๆ ที่มีอยใู่ นโลก ท้งั บริเวณส่วนที่เป็นพ้ืนดินและส่วนท่ีพ้นื น้าํ
ซ่ึงมนุษยส์ ามารถนาํ มาใชป้ ระโยชน์ไดต้ ามความตอ้ งการ
แหล่งกาเนิดแร่ แร่ธาตุต่าง ๆ ท่ีมีอยใู่ นบริเวณเปลือกโลกเกิดมาจากสาเหตุหลกั ๆ ดงั น้ี

- ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น การระเบิดของภูเขาไฟ การเคล่ือนที่ของแผน่ เปลือกโลก เป็นตน้
ซ่ึงจะทาํ ใหแ้ ร่ธาตุตา่ ง ๆ ท่ีอยใู่ ตผ้ วิ โลกถูกผลกั ดนั ข้ึนมา


Click to View FlipBook Version