The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-พุทธศักราช-2562-หนองอ้อวอทยาคม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nipa Kaewpratib, 2020-11-21 08:27:28

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-พุทธศักราช-2562-หนองอ้อวอทยาคม

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย-พุทธศักราช-2562-หนองอ้อวอทยาคม

๑ ชว่ั โมง : วนั
๕. การคิดและความคิดสร้างสรรค์ ทาให้เด็กเกิดความคิดรวยยอด การคิดเชิงเหตุผล มี

ความสามารถ ในการแก้ปัญหาและตดั สนิ ใจ มจี นิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์
๖. กิจกรรมพัฒนาทักษะทางสังคม เป็นกิจกรรมที่เด็กได้พัฒนาลักษณะนิสัยท่ีดี แสดงออก

อย่างเหมาะสม มีปฏิสัมพันธ์และอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข เด็กที่อายุน้อยยังยึดตัวเองเป็น
ศนู ย์กลาง ดังนนั้ การใหเ้ วลา ในช่วงวยั ๓ ขวบจึงให้เวลานอ้ ยในการทากจิ กรรมกลมุ่ เนอ่ื งจากเด็กยัง
ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง และจะเพ่ิมเวลาเมื่อเด็กอายุมากข้ึน เพราะเด็กต้องการเวลาในการเล่นและ
ทากจิ กรรมร่วมกับคนอ่นื มากข้ึน

๗. กิจกรรมท่ีมีการวางแผนโดยครูผู้สอน ให้คิดรวบยอดโดยครูผู้สอน จะช่วยให้เด็กเกิดทักษะ
หรือ ความคิดรวบยอดในเรื่องใดเรื่องหน่ึงตามสาระการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตร เช่นผู้สอน
ต้องการให้เกิด ความคิดรวบยอดเก่ียวกับน้า ผู้สอนต้องวางแผนกิจกรรมล่วงหน้า เวลาที่ใช้ในแต่ละ
วันท่ีกาหนดไว้ ๓/๔ ช่ัวโมง (๔๕ นาที) ทั้งน้ีมิได้หมายความว่าให้ผู้สอนสอนต่อเนื่อง ๔๕ นาทีใน ๑
กิจกรรม ผู้สอนต้องพิจารณาว่า เด็กมีช่วงความสนใจสั้นตามพัฒนาการ จาเป็นต้องจัดแบ่งเวลาเป็น
หลายชว่ งและในหลากหลายกจิ กรรม กิจกรรมท่ีตอ้ งใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเลก็ และกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้
เวลาต่อเนอ่ื งนานกว่า ๒๐ นาที

๘.๓.๔ แนวทางการจัดกจิ กรรมประจาวนั

การจัดกิจกรรมประจาวัน ครูสามารถนาไปปรับใช้ได้ หรือนานวัตกรรมต่างๆมาปรับใช้ใน
การจัด กิจกรรมประจาวันให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา โดยมีแนวทางในการจัด
กิจกรรม และ การใชส้ อื่ ดงั น้ี

๑. กิจกรรมเคลอ่ื นไหวและจังหวะ

การเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้เคล่ือนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย
อย่าง อิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คาคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะ และอุปกรณ์อื่นๆ มา
ประกอบการ เคลื่อนไหว ซึ่งจังหวะและเคร่ืองดนตรีประกอบ ได้แก่ การปรบมือ การร้องเพลง การ
เคาะไม้ กรุ้งกริ่ง รามะนา กลอง กรับ เพ่ือส่งเสริมให้เด็กพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา เกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับจุดประสงค์
ดงั นี้

จุดประสงค์
๑. เพื่อพัฒนาอวัยวะทกุ สว่ นใหม้ คี วามสมั พนั ธ์กนั อยา่ งดใี นการเคลื่อนไหว
๒. เพอ่ื ฝกึ ทกั ษะภาษา ฝกึ ฟงั คาส่ัง และขอ้ ตกลง
๓. เพอ่ื ฝกึ ใหเ้ กดิ ทกั ษะในการฟงั ดนตรี หรือจังหวะตา่ ง ๆ
๔. เพอื่ ให้เกดิ ความซาบซ้งึ และสุนทรียภาพ
๕. เพื่อฝึกความจาและเสรมิ สรา้ งประสบการณ์
๖. เพอื่ ฝกึ การเป็นผู้นาและผู้ตามทด่ี ี
๗. เพอื่ พฒั นาด้านสังคม การปรับตวั และความรว่ มมือในกลุม่

๘. เพื่อให้โอกาสเด็กได้แสดงออก มีความเช่ือมั่นในตนเอง และความคิดริเร่ิม
สร้างสรรค์

๙. เพ่ือใหเ้ กดิ ความสนกุ สนาน ผอ่ นคลายความตงึ เครียดทั้งร่างกายและจิตใจ
ขอบขา่ ยของการจัดกจิ กรรมเคลอื่ นไหวและจงั หวะ

๑. การเคลือ่ นไหวร่างกาย
๒. การฟงั สัญญาณและการปฏิบัตติ ามข้อตกลง
๓. การฝกึ การเปน็ ผู้นาและผู้ตามทีด่ ี
๔. การฝกึ จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
๕. ความมีระเบยี บวินัย
๖. การเรยี นรจู้ ังหวะ
๗. ความเพลิดเพลินสนุกสนาน
๘. การฝึกความจา
๙. การแสดงออก
๑๐. เนื้อหาของหนว่ ยการสอน

รูปแบบการเคลื่อนไหว

๑. การเคล่ือนไหวพน้ื ฐาน เปน็ กจิ กรรมที่ต้องฝกึ ทกุ คร้ังก่อนที่จะเร่ิมฝึกกิจกรรมอนื่ ๆต่อไป
ลักษณะการจัดกิจกรรมมีจุดเน้นในเรื่องจังหวะและการเคล่ือนไหวหรือท่าทางอย่างอิสระ การ
เคลอ่ื นไหวตาม ธรรมชาตขิ องเด็ก มี ๒ ประเภท ได้แก่

๑.๑ การเคล่ือนไหวอยู่กับท่ี เช่น ปรบมือ ผงกศีรษะ ขยิบตา ชันเข่า ขยับมือและแขน
มือและ นวิ้ มือ เท้าและปลายเทา้

๑.๒ การเคล่ือนไหวเคล่ือนที่ เช่น คลาน คืบ เดิน วิ่ง กระโดด ควบม้า ก้าวกระโดด
เขยง่ กา้ วชิด

๒. การเคล่ือนไหวท่ีสัมพันธ์กับเน้ือหา เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคล่ือนไหวร่างกายโดย
เน้น การทบทวนเร่ืองท่ีได้รับรู้จากกิจกรรมอ่ืนและนามาสัมพันธ์กับสาระการเรยี นรู้ หรือเร่ืองอื่นๆ ท่ี
เดก็ สนใจ ไดแ้ ก่

๒.๑ การเคลื่อนไหวเลียนแบบ เป็นการเคลื่อนไหวเลียนแบบส่ิงต่างๆ รอบตัว เช่น การ
เลียนแบบ ท่าทางสัตว์ การเลียนแบบท่าทางคน การเลียนแบบเคร่ืองยนต์กลไกและเคร่ืองเล่น และ
การเลียนแบบ ปรากฏการณธ์ รรมชาติ

๒.๒ การเคลือ่ นไหวตามบทเพลง เปน็ การเคลอ่ื นไหวหรือทาท่าทางประกอบเพลง เชน่
เพลงไก่ เพลงข้ามถนน เพลงสวสั ดี

๒.๓ การทาท่าทางกายบรหิ ารประกอบเพลงหรือคาคล้องจอง เปน็ การเคล่อื นไหวแบบ
กายบริหาร อาจจะมีท่าทางไม่สัมพันธ์กับเน้ือหาของเพลงหรือคาคล้องจอง เช่น เพลงกามือแบมือ
เพลงออกกาลงั คาคลอ้ งจองฝนตกพราพรา

๒.๔ การเคล่ือนไหวเชิงสร้างสรรค์ เป็นการเคลื่อนไหวท่ีให้เด็กคิดสร้างสรรค์ท่าทางขน้ึ

เอง หรอื อาจใชค้ าถามหรอื คาสง่ั หรอื ใชอ้ ปุ กรณป์ ระกอบ เช่น ห่วงหวาย แถบผ้า ริบบ้ิน ถงุ ทราย

๒.๕ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามคาบรรยายที่ครูเล่า หรือเรื่องราว หรือ
นิทาน

๒.๖ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามคาสั่ง เป็นการเคล่ือนไหวหรือทาท่าทาง
ตามคาส่ังของครู เชน่ การจัดกลมุ่ ตามจานวน การทาท่าทางตามคาสงั่

๒.๗ การเคล่ือนไหวหรือการแสดงท่าทางตามข้อตกลง เป็นการเคล่ือนไหวหรือทา
ทา่ ทาง ตามข้อตกลงท่ีไดต้ กลงไว้ก่อนเรมิ่ กจิ กรรม

๒.๘ การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางเป็นผู้นา ผู้ตาม เป็นการคิดท่าทางการ
เคลอื่ นไหว อยา่ งสร้างสรรค์ของเด็กเองแล้วให้เพ่อื นปฏิบตั ติ าม

จากขอบข่ายของการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะข้างต้น ผู้สอนควรตระหนักถึงลักษณะ
ของการ เคล่ือนไหวโดยการใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ประสานสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ ด้วยการ
เคลอ่ื นไหวลักษณะ

ช้า เร็ว นุ่มนวล ทาท่าทางขึงขัง ร่าเริง มีความสุข หรือเศร้าโศก เสียใจ และเคล่ือนไหวในทิศทางที่
แตกต่างกัน เพ่ือเป็นการฝึกให้เด็กได้เคลื่อนท่ีอิสระโดยใช้บริเวณที่อยู่รอบๆ ตัวเด็ก ได้แก่ การ
เคล่ือนไหวไปข้างหน้าและ ข้างหลัง ไปข้างซ้ายและข้างขวา เคลื่อนตัวขึ้นและลง หรือหมุนไปรอบตวั
โดยให้มรี ะดบั ของการเคลือ่ นไหวสงู กลาง และ ต่า ในบริเวณพ้ืนที่ท่เี ดก็ ต้องการเคลอื่ นไหว

สื่อกจิ กรรมเคลือ่ นไหวและจังหวะ

๑. เครือ่ งเคาะจงั หวะ เช่น นง่ิ เหล็กสามเหลีย่ ม กรับ รามะนา กลอง

๒. อุปกรณ์ประกอบการเคล่ือนไหว เช่น หนังสือพิมพ์ ริบบิ้น แถบผ้า ห่วงหวาย
ห่วงพลาสตกิ ฮลู าฮูบ ถงุ ทราย

แนวการจัดกจิ กรรมเคล่อื นไหวและจงั หวะ

๑. เริ่มจากการทากิจกรรมเคล่ือนไหวพ้ืนฐาน เพ่ือเป็นการเตรียม โดยการแตะสัมผัสส่วน
ต่างๆ ของรา่ งกาย สารวจการใช้สว่ นต่างๆ ของร่างกายในการเคล่อื นไหว

๒. อธบิ ายหรอื สรา้ งข้อตกลงร่วมกันในการกาหนดสญั ญาณ การใช้เคร่ืองใหจ้ งั หวะ และการ
กาหนด จังหวะ เช่น ข้อตกลงเก่ียวกับสัญญาณและจังหวะ จะใช้เคร่ืองเคาะจังหวะเป็นการกาหนด
จังหวะใหส้ ํม่าเสมอ และชดั เจน อาจจะกาหนดดงั นี้

๒.๑ ให้จังหวะ ๑ คร้ัง สม่าเสมอ แสดงว่า ให้เด็กเดินหรือเคลื่อนไหวไปเร่ือยๆ ตาม
จังหวะ

๒.๒ ให้จังหวะ ๒ คร้ังติดกัน แสดงว่า ให้เด็กหยุดการเคล่ือนไหว โดยเด็กจะต้องหยุดน่ิง
จรงิ ๆ หากกาลังอยใู่ นท่าใด กต็ อ้ งหยุดนิ่งในท่านัน้ จะเคลือ่ นไหวหรือเปลีย่ นทา่ ไมไ่ ด้

๒.๓ ใหจ้ ังหวะรวั แสดงวา่ ให้เดก็ เคล่ือนไหวอย่างเรว็ หรือเคลอ่ื นท่เี ร็วขึน้ แต่ไมใ่ ช่การวิ่ง
และสง่ เสยี งดัง บางกจิ กรรมอาจจะหมายถงึ การเปล่ียนตาแหน่ง การทาตามคาส่ัง หรอื ขอ้ ตกลง

๓. ให้เด็กเคล่ือนไหวอย่างอิสระตามความคิด หรือจินตนาการของตนเอง โดยใช้ส่วนต่างๆ
ของ ร่างกายให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันต้องคานึงถึงองค์ประกอบพ้ืนฐานในการเคล่ือนไหว ได้แก่
การใชร้ า่ งกาย ตนเอง การใช้พนื้ ที่ การเคลือ่ นไหวอย่างมอี ิสระ มีระดับและทิศทาง

๔. ให้เดก็ ทดลองปฏบิ ัตแิ ละปฏบิ ัติเพ่ือให้เดก็ ได้เคล่อื นไหวหลากหลายรูปแบบ

๕. หลังจากปฏบิ ัติกจิ กรรมใหเ้ ด็กได้พักผ่อนตามอธั ยาศัย โดยให้เดก็ น่ังกบั พ้ืนห้อง ผู้สอนเปิด
เพลงเบาๆ
ข้อเสนอแนะ
๑. ควรเริ่มกิจกรรมจากการเคล่ือนไหวที่เป็นอิสระ และมีวิธีการท่ีไม่ยุ่งยากมากนัก เช่น ให้
เด็กได้ กระจายอย่ภู ายในห้องหรือบรเิ วณท่ีฝกึ และให้เคลอ่ื นไหวไปตามธรรมชาตขิ องเด็ก
๒. ควรให้เด็กได้แสดงออกด้วยตนเองอย่างอิสระและเป็นไปตามความนึกคิดของเด็กเอง ครู
ไม่ควรชแ้ี นะ
๓. ควรเปิดโอกาสให้เด็กคิดหาวิธีเคล่ือนไหวท้ังท่ีต้องเคลื่อนที่และไม่ต้องเคล่ือนท่ีเป็น
รายบุคคล เปน็ คู่ เปน็ กล่มุ ตามลาดบั และกลมุ่ ไม่ควรเกิน ๕ - ๖ คน
๔. ควรใช้ส่ิงของที่หาได้ง่าย เช่น ของเล่น กระดาษ หนังสือพิมพ์ เศษผ้า เชือก ท่อนไม้
ประกอบการ เคลอื่ นไหวและการใหจ้ งั หวะ
๕. ควรกาหนดจังหวะสัญญาณนัดหมายในการเคล่ือนไหวต่าง ๆ หรือเปล่ียนท่า หรือหยุดให้
เด็กทราบ เมื่อทากิจกรรมทกุ ครง้ั เชน่ เมอื่ ให้จงั หวะ ๑ จังหวะ ให้เดก็ ทาท่าทาง ๑ ท่าทาง ฯลฯ
๖. ควรสร้างบรรยากาศอย่างอิสระ ช่วยให้เด็กรู้สึกอบอุ่น เพลิดเพลิน และรู้สึกสบายและ
สนกุ สนาน
๗. ควรจัดให้มรี ูปแบบของการเคลอื่ นไหวท่หี ลากหลาย เพอ่ื ชว่ ยให้เด็กสนใจมากขึ้น
๘. กรณีเด็กไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรม ครูไม่ควรใช้วิธีบังคับ ควรให้เวลาและโน้มน้าวให้เด็ก
สนใจเขา้ ร่วม กจิ กรรมดว้ ยความสมัครใจ
๙. หลังจากเด็กได้ทากิจกรรมแล้ว ต้องให้เด็กได้พักและผ่อนคลายอิริยาบถ โดยเปิดเพลง
จังหวะชา้ ๆ เบาๆ
๑๐. การจัดกิจกรรมควรจัดตามตารางกิจวัตรประจาวัน และควรจัดให้เป็นท่ีน่าสนใจ เกิด
ความ สนกุ สนาน
๒. กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์/กจิ กรรมในวงกลม

กิจกรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนา
ทักษะการ เรียนรู้ มีทักษะการฟัง การพูด การอ่าน การสังเกต การคิดแก้ปัญหา การใช้เหตุผล โดย
การฝึกปฏบิ ัตริ ่วมกัน และการทางานเปน็ กลุ่ม ท้ังกลมุ่ ย่อยและกลุ่มใหญ่ เพ่ือใหเ้ กิดความคิดรวบยอด
เก่ียวกบั เรือ่ งทไ่ี ดเ้ รยี นรู้ สอดคล้องกับจดุ ประสงคด์ ังนี้

จุดประสงค์
๑. เพื่อใหเ้ ดก็ เขา้ ใจเนอ้ื หาและเรอ่ื งราวในหน่วยการจดั ประสบการณ์
๒. เพ่ือฝึกการใช้ภาษาในการฟงั พดู และการถ่ายทอดเรื่องราว
๓. เพอ่ื ฝกึ มารยาทในการฟัง การพูด

๔. เพอ่ื ฝึกความมีระเบียบวินัย
๕. เพอ่ื ให้เดก็ เรยี นรู้ผ่านการสงั เกต เปรยี บเทียบ
๖. เพอื่ สง่ เสริมความสามารถในการคิดรวบยอด การคิดแก้ปญั หาและตดั สินใจ
๗. เพ่อื สง่ เสริมการเรียนรู้วธิ แี สวงหาความรู้ เกดิ การเรยี นรจู้ ากการค้นพบดว้ ยตนเอง
๘. เพื่อฝึกให้กล้าแสดงความคิดเห็น ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลและยอมรับฟงั
ความ คดิ เหน็ ของผู้อ่ืน
๙. เพ่อื ฝึกใหม้ ลี กั ษณะนิสัยใฝ่รใู้ ฝ่เรยี น
๑๐. เพ่อื ฝึกลกั ษณะนสิ ยั ให้มีคณุ ธรรม จริยธรรม
ขอบขา่ ยสาระของกิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์/กจิ กรรมในวงกลม

สาระท่ีควรเรียนรู้ สาระในส่วนน้ีกาหนดเฉพาะหัวข้อไม่มีรายละเอียด ท้ังน้ีเพ่ือ
ประสงค์จะให้ ผู้สอนสามารถกาหนดรายละเอียดขึ้นเองใหส้ อดคล้องกับวัย ความตอ้ งการ ความสนใจ
ของเด็ก อาจยืดหยุ่น เนื้อหาได้โดยคานึงถึงประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของเด็ก ผู้สอน
สามารถนาสาระที่ควรเรียนรู้มา บูรณาการจัดประสบการณ์ต่างๆ ให้ง่ายต่อการเรียนรู้ ทั้งนี้มิได้
ประสงค์ให้เด็กท่องจาเน้ือหา แต่ต้องการให้ เด็กเกิดแนวคิดหลังจากนาสาระการเรียนรู้น้ันๆมาจัด
ประสบการณ์ให้เด็กเพ่ือให้บรรลุจุดหมายท่ีกาหนดไว้ นอกจากน้ีสาระท่ีควรเรียนรู้ยังใช้เป็นแนวทาง
ช่วยผูส้ อนกาหนดรายละเอียดและความยากง่ายของเนื้อหาให้ เหมาะสมกบั พัฒนาการของเด็ก สาระ
ท่ีควรเรียนรู้ประกอบด้วยเรื่องราวเก่ียวกับตัวเด็ก เรื่องราวเก่ียวกับบุคคล และสถานที่แวดล้อมเด็ก
ธรรมชาตริ อบตวั และส่ิงตา่ งๆรอบตัวเดก็ ดงั นี้

๑. เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับช่ือ นามสกุล รูปร่างหน้าตา
อวัยวะต่างๆ วิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยท่ีดี การรับประทานอาหารที่เป็น
ประโยชน์ การรักษาความ ปลอดภัยของตนเอง รวมท้ังการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย การรู้จัก
ประวัติความเป็นมาของตนเองและ ครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและ
โรงเรียน การเคารพสิทธิของตนเองและผู้อื่น การรู้จัก แสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความ
คิดเห็นของผู้อ่ืน การกากับตนเอง การเล่นและทาส่ิงต่างๆ ด้วยตนเองตามลาพังหรือกับผู้อื่น การ
ตระหนักรู้เก่ียวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้ อารมณ์และความรู้สึกของ
ตนเองและผู้อ่ืน การแสดงออกทางอารมณ์และความรูส้ ึกอย่างเหมาะสม การแสดง มารยาททด่ี ี การมี
คุณธรรมจริยธรรม

๒. เรอื่ งราวเกีย่ วกับบคุ คลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ยี วกับครอบครัว
สถานศกึ ษา ชุมชน และบุคคลต่างๆ ทีเ่ ด็กต้องเกีย่ วข้องหรือใกล้ชดิ และมปี ฏสิ ัมพนั ธ์ในชวี ิตประจาวัน
สถานท่ีสาคัญ วันสาคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สาคัญ
ของชาติไทย และการปฏบิ ัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นไทย หรอื แหล่งเรยี นรู้จากภูมิปัญญา
ทอ้ งถิ่นอน่ื ๆ

๓. ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อ ลักษณะ ส่วนประกอบ การ
เปลี่ยนแปลงและ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเก่ียวกับดิน น้า ท้องฟ้า สภาพ
อากาศ ภัยธรรมชาติ แรง และพลงั งานในชีวติ ประจาวนั ท่ีแวดล้อมเดก็ รวมทัง้ การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม

และการรกั ษาสาธารณสมบตั ิ

๔. ส่ิงต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย ใน
ชีวิตประจาวัน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส
ขนาด รูปร่าง รปู ทรง ปริมาตร นา้ หนกั จานวน สว่ นประกอบ การเปลย่ี นแปลงและความสมั พันธ์ของ
ส่ิงต่างๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช้งาน และการเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การ
คมนาคม เทคโนโลยีและการ ส่อื สารตา่ งๆ ทใ่ี ช้อยู่ในชีวิตประจาวนั อยา่ งประหยดั ปลอดภยั และรักษา
ส่งิ แวดล้อม

สือ่ กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ /กิจกรรมในวงกลม
๑. สื่อของจรงิ ที่อยู่ใกล้ตวั และส่ือจากธรรมชาติหรือวสั ดทุ ้องถิ่น เชน่ ต้นไมใ้ บไม้ เปลือก
หอย เสอื้ ผา้
๒. สื่อท่จี าลองขึน้ เชน่ ต้นไม้ ตกุ๊ ตาสตั ว์
๓. ส่ือประเภทภาพ เช่น ภาพพลิก ภาพโปสเตอร์ หนงั สอื ภาพ
๔. ส่ือ เทคโนโลยี เช่น เครื่องบันทึกเสียง เคร่ืองขยายเสียง โทรศัพท์ แม่เหล็ก แว่น
ขยาย เครอื่ งช่ัง กล้องถา่ ยรปู ดจิ ติ อล
๕. สื่อ แหล่งเรียนรู้ เช่น แหล่งเรียนรู้ภายในและนอกสถานศึกษา เช่น แปลงเกษตร
สวนผัก สมุนไพร ร้านค้า สวนสัตว์ แหลง่ ประกอบการในทอ้ งถ่ิน
แนวการจัดกจิ กรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม
การจดั กจิ กรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม จดั ได้หลายวธิ ี ได้แก่
๑. การสนทนาหรือการอภิปราย เป็นการพูดคุย ซักถามระหว่างเด็กกับครู หรือเด็กกับ
เด็ก เป็น การส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาด้านการพูดและการฟัง โดยการกาหนดประเด็นในการ
สนทนาหรืออภิปราย เด็กจะได้แสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ครูหรือผู้สอน
เปิดโอกาสให้เด็กซกั ถาม โดยใชค้ าถามกระตุ้นหรือเลา่ ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ นาเสนอปญั หาท่ี ท้า
ทายความคิด การยกตวั อย่าง การ ใชส้ ่ือประกอบการสนทนาหรือการอภปิ รายควรใช้ส่ือของจริง ของ
จาลอง รูปภาพ หรือสถานการณ์จาลอง
๒. การเลา่ นิทาน และการอา่ นนทิ าน เป็นกิจกรรมที่ครูหรือผ้สู อนเลา่ หรืออ่านเร่ืองราว
จาก นิทาน โดยการใชํ้น้าเสียงประกอบการเล่าแตกต่างตามบุคลิกของตัวละคร ซึ่งครูหรือผู้สอนควร
เลือกสาระของ นิทานให้เหมาะสมกับวัย สื่อท่ีใช้อาจเป็นหนงั สอื นิทาน หนังสือภาพ แผ่นภาพ หุ่นมือ
หุ่นนว้ิ มอื หรอื การแสดง ทา่ ทางประกอบการเล่าเรื่อง โดยครูใชค้ าถามเพ่ือกระตุ้นการเรยี นรู้ เชน่ ใน
นิทานเร่ืองนี้มีตัวละครอะไรบ้าง เหตุการณ์ในนิทานเร่ืองน้ีเกิดท่ีไหน เวลาใด หรือ ลาดับเหตุการณ์ที่
เกดิ ขน้ึ ในนิทาน นทิ านเร่ืองนมี้ ปี ัญหา อะไรบ้าง และเด็กๆชอบเหตกุ ารณใ์ ดในนอทานเร่ืองน้ีมากทส่ี ดุ
๓. การสาธิต เป็นกิจกรรมท่ีเด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง โดยแสดงหรือทาส่ิงท่ี
ตอ้ งการให้ เด็กได้สังเกตและเรยี นร้ตู ามขั้นตอนของกจิ กรรมน้นั ๆ และเด็กได้อภปิ รายและรว่ มกันสรุป
การเรียนรู้ การสาธิต ในบางคร้ังอาจให้เด็กอาสาสมัครเป็นผู้สาธิตร่วมกับครูหรือผู้สอน เพื่อนาไปสู่
การปฏิบัติจริงด้วยตนเอง เช่น การเพาะเมล็ดพืช การประกอบอาหาร การเป่าลูกโป่ง การเล่นเกม
การศึกษา

๔. การทดลองปฏบิ ัติการ เป็นกจิ กรรมท่จี ัดใหเ้ ดก็ ไดร้ ับประสบการณ์ตรง จากการลงมือ
ปฏิบัติ ทดลอง การคิดแก้ปัญหา มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะคณิตศาสตร์ ทักษะ
ภาษา ส่งเสริมให้เด็ก เกิดข้อสงสัย สืบค้นคาตอบด้วยตนเอง ผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างง่าย
สรปุ ผลการทดลอง อภปิ รายผล การทดลอง และสรุปการเรยี นรู้ โดยกิจกรรมการทดลองวทิ ยาศาสตร์
งา่ ย ๆ เช่น การเลี้ยงหนอนผเี สื้อ การปลูกพชื ฝึก การสังเกตการณไ์ หลของน้า

๕. การประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้เรียนรู้ผา่ นการทดลองโดยเปดิ โอกาส
ให้เด็กได้ ลงมอื ทดสอบและปฏิบตั ิการดว้ ยตนเองเกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงของผัก เนอ้ื สตั ว์ ผลไม้ดว้ ย
วิธีการต่างๆ เช่น ต้ม น่ึง ผัด ทอด หรือการรับประทานสด เด็กจะได้รับประสบการณ์จากการสังเกต
การเปลี่ยนแปลงของอาหาร การรับรู้รสชาติและกลิ่นของอาหาร ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสและการ
ทางานร่วมกนั เชน่ การทาอาหารจากไข่

๖. การเพาะปลูก เป็นกิจกรรมท่ีเน้นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซ่ึง
เด็กจะได้ เรียนรู้การบูรณาการจะทาให้เด็กได้รับประสบการณ์โดยทาความเข้าใจความต้องการของ
สิ่งมีชีวิตในโลก และ ช่วยให้เด็กเข้าใจความคิดรวบยอดเก่ียวกับส่ิงท่ีอยู่รอบตัวโดยการสังเกต
เปรยี บเทียบ และการคดิ อยา่ งมเี หตุผล ซง่ึ เป็นการเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กไดค้ ้นพบและเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง

๗. การศึกษานอกสถานที่ เป็นการจัดกิจกรรมทัศนศึกษาท่ีให้เด็กได้เรียนรู้สภาพความ
เปน็ จรงิ นอกหอ้ งเรียน จากแหลง่ เรยี นรู้ในสถานศึกษา หรอื แหลง่ เรยี นรใู้ นชมุ ชน เชน่ ห้องสมุด สวน
สมุนไพรวัด ไปรษณีย์ พิพิธภัณฑ์ เพ่ือเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์แก่เด็ก โดยครูและเด็กร่วมกัน
วางแผนศึกษาสิ่งที่ต้องการเรียนรู้การ เดินทาง และสรุปผลการเรียนรู้ท่ีได้จากการไปศึกษานอก
สถานท่ี

๘. การเล่นบทบาทสมมติ เป็นกิจกรรมให้เด็กสมมติตนเองเป็นตัวละคร และแสดง
บทบาทต่างๆ ตามเน้ือเร่ืองในนิทาน เรื่องราวหรือสถานการณ์ต่าง ๆ โดยใช้ความรู้สึกของเด็กในการ
แสดง เพื่อให้เด็กเข้าใจ เรื่องราว ความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเองและผู้อ่ืน ๆ ควรใช้สื่อ
ประกอบการเล่นสมมติ เช่น หุ่นสวมศีรษะ ท่ีคาดศีรษะรูปคนและสัตว์รูปแบบต่างๆ เครื่องแต่งกาย
และอปุ กรณข์ องจริงชนดิ ต่าง ๆ

๙. การร้องเพลง ท่องคาคล้องจอง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาษา
จังหวะ และ การแสดงท่าทางให้สัมพันธ์กับเนื้อหาของเพลงหรือคาคลอ้ งจอง ครูหรือผู้สอนควรเลือก
ใหเ้ หมาะกับวัยของเด็ก

๑๐. การเล่นเกม เปน็ กิจกรรมทนี่ าเกมการเรียนรู้เพ่ือฝึกทักษะการคิด การแก้ปญั หา และ
การทางานเป็นกลมุ่ เกมทีน่ ามาเล่นไมค่ วรเน้นการแขง่ ขนั

๑๑. การแสดงละคร เป็น กิจกรรมที่เด็กจะได้เรียนรู้เก่ียวกับการลาดับเร่ืองราว การ
เรียงลาดับเหตุการณ์ หรือเร่ืองราวจากนิทาน การใช้ภาษาในการสื่อสารของตัวละคร เพ่ือให้เด็กได้
เรียนรู้ และทาความเข้าใจบุคลิกลักษณะของตัวละครท่ีเด็กสวมบทบาท สื่อที่ใช้ เช่น ชุดการแสดงที่
สอดคลอ้ งกบั บทบาททไี่ ดร้ บั บทสนทนาท่ีเด็กใช้ฝึกสนทนาประกอบการแสดง

๑๒. การใช้สถานการณ์จาลอง เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติตนเม่ืออยู่
ใน สถานการณ์ท่ีครูหรือผู้สอนกาหนด เพอ่ื ใหเ้ ด็กได้ฝึกการแกป้ ัญหา เช่น นา้ ทว่ ม โรคระบาด พบคน
แปลกหน้า

ขอ้ เสนอแนะ
๑. การจัดกิจกรรมควรให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าและมีโอกาส
ค้นพบด้วยตนเองใหม้ ากที่สุด
๒. ผู้สอนควรยอมรับความคิดเห็นท่ีหลากหลายของเด็กและให้โอกาสเด็กได้ฝึกคิดแสดง
ความ คดิ เห็น ฝกึ ตั้งคาถาม
๓. การจัดกิจกรรมอาจเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เพ่ิมเติม เพ่ือช่วยให้เด็กสนใจและ
สนกุ สนานยิง่ ข้นึ
๔. ในขณะที่เด็กทากิจกรรม หรือหลังจากทากิจกรรมเสร็จแล้ว ผู้สอนควรใช้คาถาม
ปลายเปิด ท่ีชวนให้เด็กคิดหลีกเล่ียงการใช้คาถามท่ีมีคาตอบ“ใช่”“ไม่ใช่”หรือมีคาตอบให้เด็กเลือก
และผูส้ อนควรให้เวลาเด็กคิดคาตอบ
๕. ช่วงระยะเวลาที่จัดกิจกรรมสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม โดยคานึงถึงความ
สนใจของเด็กและความเหมาะสมของกิจกรรมน้ัน ๆ เช่น กิจกรรมการศึกษานอกสถานที่ การ
ประกอบอาหาร การปลกู พชื อาจใชเ้ วลานานกวา่ ท่ีกาหนดไว้

๖. ควรสรุปส่งิ ตา่ งๆท่ีไดเ้ รยี นรใู้ ห้เด็กเข้าใจ ซงึ่ ครหู รือผู้สอน อาจใช้คาถาม เพลง คาคล้อง
จอง เกมการเรยี นรู้ แผนภมู ิ แผนผังกราฟกิ ฯลฯ เพือ่ นาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั

๓. กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์

กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิด การรับรู้เก่ียวกับความงาม และ
ส่งเสรมิ กระตนุ้ ให้เด็กแสดงออกทางอารมณ์ ความรูส้ กึ ความคดิ ริเริม่ สร้างสรรค์และจินตนาการ โดย
ใช้กิจกรรมศิลปะ หรือกิจกรรมอ่ืนท่ีเหมาะกับพัฒนาการของเด็กแต่ละวัยและสอดคล้องกับ
จดุ ประสงค์ดงั น้ี

จุดประสงค์
๑. เพื่อพัฒนากลา้ มเนือ้ มือ และตาใหป้ ระสานสมั พันธก์ นั
๒. เพอ่ื ให้เกิดความเพลิดเพลนิ ช่นื ชมในสิ่งทีส่ วยงาม
๓. เพื่อสง่ เสรมิ การปรับตวั ในการทางานรว่ มกับผอู้ น่ื
๔. เพอ่ื สง่ เสรมิ การแสดงออกและความมนั่ ใจในตนเอง
๕. เพอ่ื ส่งเสรมิ คณุ ธรรม จริยธรรม และทักษะทางสังคม
๖. เพอื่ สง่ เสรมิ ทักษะทางภาษา
๗. เพือ่ ฝกึ ทักษะการสงั เกต และการแกป้ ัญหา
๔. เพื่อส่งเสริมความคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ และจนิ ตนาการ

ขอบข่ายการจัดกิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์
การจดั กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ ประกอบดว้ ย
๑. การวาดภาพและระบายสี เชน่ การวาดภาพดว้ ยสีเทยี น หรอื สีไม้ การวาดภาพด้วยสีน้า
๒. การเลน่ กบั สีนา้ เช่น การหยดสี การเทสี การเปา่ สี ละเลงสดี ้วยนิ้วมือ
๓. การพิมพ์ภาพ เช่น การพมิ พภ์ าพดว้ ยพชื การพิมพ์ภาพด้วยวสั ดตุ า่ งๆ
๔. การปั้น เช่น การปั้นดนิ เหนยี ว การปัน้ แป้งป้ัน การป้ันดนิ น้ามนั การปนั้ แป้งขนมปงั

๕. การพับ ฉีก ตัด ปะ เชน่ การพบั ใบตอง การฉกี กระดาษเสน้ การตัดภาพตา่ งๆ
๖. การปะติดวัสดุ
๗. การประดษิ ฐ์ เช่น การประดษิ ฐ์เศษวัสดุ การรอ้ ย การสาน

สอ่ื กจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์
๑. การวาดภาพและระบายสี

๑.๑ สเี ทยี นแทง่ ใหญ่ สีไม้ สชี อลก์ สนี า้
๑.๒ พูก่ ันขนาดใหญ่ (ประมาณเบอร์ ๑๒)
๑.๓ กระดาษ
๑.๔ เสื้อคลมุ หรอื ผ้ากนั เปื้อน
๒. การเล่นกับสี
๒.๑ การเป่าสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สนี า้
๒.๒ การหยดสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ พ่กู ัน สนี า้
๒.๓ การพับสี มี กระดาษ สีนา้ พกู่ นั
๒.๔ การเทสี มี กระดาษ สนี า้
๒.๕ การละเลงสี มี กระดาษ สนี ้า แปง้ เปียก
๓. การพมิ พภ์ าพ
๓.๑ แมพ่ มิ พ์ต่าง ๆ จากของจริง เชน่ น้วิ มอื ใบไม้ ก้านกลว้ ย
๓.๒ แม่พิมพจ์ ากวสั ดอุ ื่น ๆ เช่น เชือก เส้นด้าย ตรายาง
๓.๓ กระดาษ ผ้าเชด็ มือ สโี ปสเตอร์ (สนี ้า สฝี ุน่ ฯลฯ)

๔. การป้ัน เช่น ดนิ น้ามัน ดินเหนยี ว แปง้ โดว์ แผ่นรองปนั้ แม่พิมพ์รูปตา่ งๆ ไมน้ วดแป้ง
๕. การพับ ฉีก ตัดปะ เช่น กระดาษ หรือวัสดุอ่ืนๆที่จะใช้พับ ฉีก ตัด ปะ กรรไกรขนาดเล็ก
ปลายมน กาวน้าหรือแปง้ เปียก ผา้ เช็ดมือ
๖. การประดิษฐ์เศษวัสดุ เช่น เศษวัสดุต่าง ๆ มีกล่องกระดาษ แกนกระดาษ เศษผ้า เศษ
ไหม กาว กรรไกร สี ผา้ เช็ดมอื
๗. การร้อย เชน่ ลกู ปัด หลอดกาแฟ หลอดดา้ ย
๘. การสาน เช่น กระดาษ ใบตอง ใบมะพรา้ ว

แนวการจดั กจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์
๑. เตรียมจัดโต๊ะและอุปกรณ์ให้พร้อม และเพียงพอก่อนทากิจกรรม โดยจัดไว้หลายๆ

กิจกรรม และอยา่ งนอ้ ย ๓-๕ กจิ กรรม เพอื่ ให้เด็กมีอสิ ระในการเลอื กทากจิ กรรมที่สนใจ
๒. ควรสร้างขอ้ ตกลงในการทากิจกรรม เพื่อฝกึ ใหเ้ ดก็ มวี ินยั ในการอยรู่ ว่ มกนั
๓. การจัดให้เด็กทากิจกรรม ควรให้เด็กเลือกทากิจกรรมอย่างมีระเบียบ และทยอยเข้า

ทากิจกรรม โดยจัดโตะ๊ ละ ๕-๖ คน
๔. การเปล่ียนและหมุนเวียนทากิจกรรม ต้องสร้างข้อตกลงกับเด็กให้ชัดเจน เช่น หาก

กิจกรรมใด มเี พือ่ นครบจานวนทีก่ าหนดแลว้ ใหค้ อยจนกว่าจะมีทวี่ ่าง หรือใหท้ ากจิ กรรรมอ่นื ก่อน
๕. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมใหม่ หรือการใช้วัสดุ อุปกรณ์ใหม่ ครูจะต้องอธิบายวิธีการทา

วธิ กี ารใช้ วิธีการทาความสะอาด และการเก็บของเขา้ ที่
๖. เม่ือทางานเสร็จหรือหมดเวลา ควรเตือนให้เด็กเก็บวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้

เขา้ ที่ และช่วยกันดแู ลห้องให้สะอาด
ข้อเสนอแนะ
๑. ควรจดั การจัดกิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ ใหเ้ ดก็ ทาทุกวัน วนั ละ ๓-๕ กจิ กรรม และให้ เด็ก

เลือกทาอย่างน้อย ๑-๒ กิจกรรมตามความสนใจ ควรเน้นกระบวนการทางศิลปะของเด็กและไม่เน้น
ให้ เด็กทาเหมือนกันทง้ั หอ้ ง

๒. การจดั เตรียมวสั ดุอุปกรณ์ ควรพยายามหาวสั ดุทอ้ งถน่ิ มาใชก้ อ่ นเปน็ อันดบั แรก
๓. ก่อนให้เด็กทากิจกรรม ต้องอธิบายวิธีใช้วัสดุท่ีถูกต้องให้เด็กทราบพร้อมท้ังสาธิตให้ดูจน
เข้าใจ เช่น การใช้พู่กันหรือกาว จะต้องปาดหูกันหรือกาวน้ันกับขอบภาชนะที่ใส่ เพ่ือไม่ให้กาวหรือสี
ไหลเลอะเทอะ
๔. ควรให้เด็กทากิจกรรมอิสระ หรือเป็นกลุ่มย่อย เพื่อฝึกการวางแผน และการทางาน
ร่วมกันกับผู้อื่น
๕. ควรแสดงความสนใจ และชื่นชมผลงานของเด็กทุกคน และนาผลงานของเด็กทุกคน
หมุนเวยี นจดั แสดงทปี่ า้ ยนเิ ทศ
๖. หากพบว่าเด็กคนใดสนใจทากิจกรรมเดียวทุกคร้ัง ควรชักชวนให้เด็กเปล่ียนทากิจกรรม
อื่นบ้าง เพราะกิจกรรมสร้างสรรค์แต่ละประเภทพัฒนาเด็กแต่ละด้านแตกต่างกัน และเมื่อเด็กทา
ตามท่แี นะนาได้ ควร ให้แรงเสริมทางบวกทกุ ครัง้
๗. เมื่อเด็กทางานเสร็จ ควรให้เล่าเร่ืองเก่ียวกับส่ิงที่ทาหรือภาพท่ีวาด โดยครูหรือผู้สอน
บนั ทึกเรือ่ งราว ท่ีเดก็ เลา่ และวนั ทที่ ่ีทา เพื่อใหท้ ราบความก้าวหนา้ และระดับพัฒนาการของเด็ก โดย
เขยี นด้วยตวั บรรจงและให้ เดก็ เห็นลลี ามือในการเขยี นที่ถูกต้อง
๘. เก็บผลงานชิ้นท่ีแสดงความกา้ วหนา้ ของเด็กเปน็ รายบุคคลเพื่อเปน็ ข้อมลู สงั เกตพัฒนาการ
ของเดก็

๔. กจิ กรรมการเล่นตามมุม
กิจกรรมการเล่นตามมุม เป็นกิจกรรมท่ีเปิดโอกาสให้เด็กเล่นอิสระตามมุมเล่น หรือมุม

ประสบการณ์ หรือกาหนดเป็นพื้นที่เล่นท่ีจัดไว้ในห้องเรียน ซึ่งพ้ืนท่ีหรือมุมต่างๆเหล่านี้เด็กมีโอกาส
เลือกเล่นได้อย่างเสรีตาม ความสนใจและความต้องการของเด็ก ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่มย่อย
เดก็ อาจจะเลือกทากจิ กรรมท่ีครจู ดั เสรมิ ข้ึน เช่น เกมการศกึ ษา เคร่ืองเลน่ สัมผัส โดยจดั ให้สอดคล้อง
กับจุดประสงค์ ดงั น้ี

จดุ ประสงค์
๑. เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์

ระหวา่ งมือกบั ตา
๒. เพ่อื ส่งเสริมให้รู้จกั ปรับตวั อยู่รว่ มกับผอู้ ื่นมวี นิ ยั เชงิ บวกรจู้ ักการรอคอย เอื้อเฟ้อื เผ่ือแผ่

และให้อภัย
๓. เพอ่ื สง่ เสรมิ ให้เด็กมโี อกาสปฏสิ ัมพันธ์กบั เพือ่ น ครู และสงิ่ แวดล้อม
๔. เพือ่ สง่ เสรมิ พฒั นาการทางด้านภาษา

๕. เพ่อื ส่งเสรมิ ใหเ้ ด็กมีนสิ ยั รกั การอ่าน
๖. เพื่อสง่ เสรมิ ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเองจากการสารวจ การสังเกต และการทดลอง
๗. เพือ่ ส่งเสริมให้เดก็ พฒั นาความคิดสร้างสรรคแ์ ละจินตนาการ
๘. เพอ่ื ส่งเสริมการคดิ แก้ปญั หา การคิดอยา่ งมีเหตผุ ลเหมาะสมกบั วัย
๙. เพื่อส่งเสริมใหเ้ ด็กฝึกคดิ วางแผน และตดั สินในการทากิจกรรม
๑๐. เพือ่ สง่ เสริมให้มีทักษะพ้นื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
๑๑. เพ่ือฝึกการทางานรว่ มกนั ความรับผดิ ชอบ และระเบยี บวนิ ัย

ขอบขา่ ยของการจดั กิจกรรมการเลน่ ตามมมุ

๑. เปิดโอกาสให้เด็กเลือกทากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ และเล่นตามมุมเล่นในช่วงเวลา
เดยี วกัน อยา่ งอิสระ

๒. การจัดมุมเล่นหรือมมุ ประสบการณ์ ควรจัดอย่างนอ้ ย ๓-๕ มุม ดังตวั อย่างมมุ เล่นหรือ มุม
ประสบการณ์ ดังนี้

๒.๑ มมุ บล็อก เป็นมมุ ทส่ี ่งเสริมให้เด็กเรยี นรู้เกยี่ วกับมติ สิ ัมพนั ธผ์ ่านการสร้าง

๒.๒ มมุ หนังสอื เป็นมุมทเ่ี ดก็ เรียนร้เู ก่ียวกับภาษา จากการฟัง การพูด การอ่าน การเล่า
เรือ่ ง หรอื การยมื – คืน หนังสอื

๒.๓ มุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษา เป็นมุมที่เด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว
ผ่านการ เล่นทดลองอยา่ งง่าย

๒.๔ มุมเครื่องเล่นสัมผัส เป็นมุมท่ีเด็กจะได้ฝึกการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา
การ สร้างสรรค์ เช่น การรอ้ ย การสาน การต่อเข้า การถอดออก ฯลฯ

๒.๕ มุมบทบาทสมมติ เปน็ มุมทีเ่ ดก็ ได้เรยี นรู้เกีย่ วกับบทบาทของแตล่ ะอาชีพหรือแต่ละ
หนา้ ท่ีทีเ่ ด็กๆเลยี นแบบบทบาท

สอื่ กจิ กรรมการเลน่ ตามมุม
๑. มุมบทบาทสมมติ อาจจดั เปน็ มุมเลน่ ต่างๆ เชน่
๑.๑ มุมบา้ น

๑) ของเล่นเคร่ืองใช้ในครัวขนาดเล็ก หรือของจาลอง เช่น เตา กระทะ ครก กาน้า
เขยี ง มีด พลาสติก หม้อ จาน ช้อน ถ้วยชาม กะละมัง

๒) เครือ่ งเลน่ ตกุ๊ ตา เสื้อผ้าตกุ๊ ตา เตียง เปลเดก็ ตุ๊กตา
๓) เครื่องแต่งบ้านจาลอง เช่น ชุดรับแขก โต๊ะเคร่ืองแป้ง หมอนอิง หวี ตลับแป้ง
กระจก ขนาดเห็นเต็มตัว
๔) เคร่ืองแต่งกายบุคคลอาชีพต่าง ๆ ที่ใช้แล้ว เช่น ชุดเครื่องแบบทหาร ตารวจ ชุด
เสือ้ ผ้า ผู้ใหญ่ชายและหญงิ รองเทา้ กระเปา๋ ถือท่ไี ม่ใชแ้ ลว้
๕) โทรศพั ท์ เตารีดจาลอง ทรี่ ีดผ้าจาลอง
๖) ภาพถา่ ยและรายการอาหาร

๑.๒ มมุ หมอ

๑) เคร่อื งเลน่ จาลองแบบเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์การรักษาผปู้ ่วย เช่น หูฟัง เสื้อ
คลมุ หมอ

๒) อปุ กรณ์สาหรับเลียนแบบการบนั ทกึ ขอ้ มลู ผู้ปว่ ย เชน่ กระดาษ ดินสอ ฯลฯ
๓) เคร่อื งชงั่ นา้ หนัก วัดสว่ นสงู

๑.๓ มมุ รา้ นคา้

๑) กล่องและขวดผลติ ภณั ฑต์ า่ งๆ ทีใ่ ช้แล้ว
๒) ผลไมจ้ าลอง ผกั จาลอง
๓) อุปกรณป์ ระกอบการเล่น เช่น เครือ่ งคิดเลข ลกู คิด ธนบัตรจาลอง ฯลฯ
๔) ป้ายช่อื รา้ น
๕) ป้ายช่ือผลไม้ ผกั จาลอง

๒. มมุ บลอ็ ก
๒.๑ ไมบ้ ลอ็ กหรอื แท่งไม้ทีม่ ีขนาดและรูปทรงต่างๆกัน เช่นบลอ็ กตนั บล็อกโต๊ะ จานวน

ตัง้ แต่ ๙๐๐ ชน้ิ ข้ึนไป
๒.๒ ของเลน่ จาลอง เช่น รถยนต์ เคร่อื งบนิ รถไฟ คน สัตว์ ตน้ ไม้
๒.๓ ภาพถ่ายตา่ งๆ
๒.๔ ท่ีจัดเก็บไม้บล็อกหรือแท่งไม้อาจเป็นช้ัน ลังไม้หรือพลาสติก แยกตาม รูปทรง

ขนาด
๓. มมุ หนังสือ
๓.๑ หนังสอื ภาพนทิ าน หนังสือภาพท่มี คี าและประโยคส้ันๆ พรอ้ มภาพ
๓.๒ ชั้นหรือทวี่ างหนงั สอื
๓.๓ อุปกรณ์ตา่ ง ๆ ท่ีใชใ้ นการสร้างบรรยากาศการอ่าน เช่น เส้ือ พรม หมอน
๓.๔ สมุดเซน็ ยืมหนังสอื กลบั บา้ น
๓.๕ อปุ กรณส์ าหรบั การเขียน
๓.๖ อุปกรณเ์ สรมิ เช่น เคร่อื งเสยี ง แผ่นนทิ านพร้อมหนังสือนทิ าน หฟู ัง
๔. มุมวทิ ยาศาสตร์ หรือมุมธรรมชาติศึกษา
๔.๑ วัสดุตา่ ง ๆ จากธรรมชาติ เชน่ เมลด็ พืชตา่ งๆ เปลอื กหอย ดิน หนิ แร่ ฯลฯ
๔.๒ เครื่องมือเครื่องใช้ในการสารวจ สังเกต ทดลอง เชน่ แว่นขยาย แม่เหล็ก เข็มทศิ
เคร่อื งชั่ง
แนวการจัดกจิ กรรมการเลน่ ตามมุม
๑. แนะนามุมเล่นใหม่ เสนอแนะวธิ ใี ช้ การเล่นของเลน่ บางชนิด
๒. เดก็ และครรู ่วมกันสรา้ งข้อตกลงเกี่ยวกบั การเล่น
๓. ครูเปิดโอกาสให้เด็กคดิ วางแผน ตัดสินใจเลือกเลน่ อยา่ งอิสระ เลือกทากจิ กรรมท่ีจัด

ข้นึ ตามความสนใจของเดก็ แตล่ ะคน
๔. ขณะเด็กเลน่ / ทางาน ครอู าจชแี้ นะ หรอื มสี ว่ นรว่ มในการเลน่ กับเด็กได้

๕. เด็กต้องการความช่วยเหลือและคอยสังเกตพฤติกรรมการเล่นของเด็กพร้อมทั้งจด
บันทกึ พฤติกรรมทน่ี ่าสนใจ

๖. เตือนให้เดก็ ทราบล่วงหน้ากอ่ นหมดเวลาเลน่ ประมาณ ๓ - ๕ นาที
๗. ให้เดก็ เกบ็ ของเลน่ เข้าทใี่ หเ้ รยี บร้อยทุกครง้ั เม่ือเสร็จส้ินกิจกรรม

ขอ้ เสนอแนะ
๑. ขณะเด็กเล่น ครูต้องสังเกตความสนใจในการเล่นของเด็ก หากพบว่ามุมใด เด็กส่วน

ใหญ่ ไม่สนใจที่จะเล่นควรเปล่ียนหรือจัดสื่อในมุมเล่นใหม่ เช่น มุมบ้าน อาจดัดแปลงหรือเพ่ิมเติม
หรอื เปลยี่ นเปน็ มุมรา้ นคา้ มมุ เสรมิ สวย มุมหมอ ฯลฯ

๒. หากมมุ ใดมีจานวนเด็กในมมุ มากเกินไปควรเปิดโอกาสให้เด็กเลือกเลน่ มุมใหม่
๓. หากเด็กเลือกมุมเล่นมุมเดียวเป็นระยะเวลานาน ควรชักชวนให้เด็กเลือกมุมอ่ืนๆ
ดว้ ย เพือ่ ให้เดก็ มปี ระสบการณ์การเรียนรใู้ นด้านอน่ื ๆดว้ ย
๔. การจัดสื่อหรือเคร่ืองเล่นในแต่ละมุม ควรมีการทาความสะอาด และสับเปลี่ยนหรือ
เพ่ิมเติมเป็นระยะโดยคานึงถึงลาดับขั้นการเรียนรู้ เพอ่ื ให้เดก็ เกดิ การเรียนรู้ที่หลากหลาย
๕. กจิ กรรมการเล่นกลางแจง้
กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียนเพื่อ
เคลอ่ื นไหว ร่างกายออกกาลัง และแสดงออกอยา่ งอิสระ โดยยดึ ความสนใจและความสามารถของเด็ก
แต่ละคนเป็นหลกั โดยจัดให้สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์ ดังนี้

จุดประสงค์
๑. เพอื่ พัฒนากลา้ มเนือ้ ใหญ่ กล้ามเนอ้ื เล็ก และการประสานสมั พนั ธ์ของอวัยวะต่าง

๒. เพ่อื ส่งเสรมิ ใหม้ รี ่างกายแข็งแรง สุขภาพดี
๓. เพ่ือสง่ เสริมให้เกดิ ความสนุกสนาน ผ่อนคลายความเครียด
๔. เพื่อปรับตวั เลน่ และทางานรว่ มกับผ้อู ืน่
๕. เพอ่ื เรียนร้กู ารระมัดระวงั รักษาความปลอดภยั ท้งั ของตนเองและผู้อืน่
๖. เพอ่ื ฝึกการตัดสินใจ และแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง
๗. เพอ่ื ส่งเสริมใหม้ คี วามอยากรอู้ ยากเหน็ สง่ิ ต่างๆ ทีแ่ วดล้อมรอบตัว
๘. เพื่อพฒั นาทกั ษะการเรียนรตู้ ่าง ๆ เชน่ การสังเกต การเปรียบเทยี บ การจาแนก

ขอบขา่ ยของกิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง
ลักษณะกจิ กรรมการเล่นกลางแจง้ ทค่ี รคู วรจัดให้เด็กได้เลน่ ได้แก่
๑. การเล่นเครื่องเล่นสนาม

เคร่ืองเล่นสนาม หมายถึง เคร่ืองเล่นท่ีเด็กอาจปีนป่าย หมุน ซ่ึงทาออกมาใน
รปู แบบต่างๆ เชน่

๑.) เครื่องเลน่ สาหรับปีนปา่ ย หรือตาขา่ ยสาหรับปืนเลน่
๒.) เครื่องเลน่ สาหรบั โยกหรือไกว เชน่ ม้าไม้ ชิงชา้ ม้านัง่ โยก ไมก้ ระดก
๓.) เคร่อื งเล่นสาหรบั หมุน เช่น มา้ หมนุ พวงมาลัยรถสาหรบั หมนุ เลน่
๔.) ราวโหนขนาดเลก็ สาหรับเดก็

๕.) ต้นไม้สาหรบั เดินทรงตวั หรือไมก้ ระดานแผ่นเดียว
๖.) เครือ่ งเลน่ ประเภทล้อเลือ่ น เชน่ รถสามล้อ รถลากจงู
๒. การเลน่ ทราย
ทรายเป็นสงิ่ ท่ีเด็กๆ ชอบเล่น ท้ังทรายแห้ง ทรายเปียก นามาก่อเป็นรูปต่างๆ ได้
และสามารถนาวัสดุอ่ืนมาประกอบการเล่นตกแต่งได้ เช่น กิ่งไม้ ดอกไม้ เปลือกหอย พิมพ์ขนม ที่ตัก
ทราย
ปกติบ่อทรายจะอยู่กลางแจ้ง โดยอาจจัดให้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือสร้าง
หลังคา ทาขอบก้ัน เพ่ือมิให้ทรายกระจัดกระจาย บางโอกาสอาจพรมน้าให้ขึ้นเพ่ือเด็กจะได้ก่อเล่น
นอกจากน้ี ควรมี วธิ ีการปิดก้นั มใิ หส้ ตั ว์เล้ยี งลงไปทาความสกปรกในบ่อทรายได้
๓. การเล่นน้า
เด็กท่ัวไปชอบเล่นน้ามาก การเล่นน้านอกจากสร้างความพอใจและคลาย
ความเครียด ให้เด็กแล้วยังทาให้เด็กเกิดการเรียนรู้อีกด้วย เช่น เรียนรู้ทักษะการสังเกต จาแนก
เปรยี บเทยี บปริมาตร
อุปกรณ์ท่ีใส่น้าอาจเป็นถังท่ีสร้างข้ึนโดยเฉพาะหรืออ่างน้าวางบนขาต้ังที่มั่นคง
ความ สงู พอท่เี ด็กจะยืนไดพ้ อดี และควรมีผา้ พลาสตกิ กันเสอ้ื ผ้าเปยี กใหเ้ ด็กใช้คลุมระหวา่ งเล่น
๔. การเลน่ สมมตใิ นบา้ นตุ๊กตาหรอื บ้านจาลอง
เปน็ บ้านจาลองสาหรับให้เด็กเลน่ จาลองแบบจากบ้านจริงๆ อาจทาด้วยเศษวัสดุ
ประเภทผ้าใบ กระสอบป่าน ของจริงที่ไม่ใช้แล้ว เช่น หม้อ เตา ชาม อ่าง เตารีด เคร่ืองครัว ตุ๊กตา
สมมติ เป็นบุคคลในครอบครัว เส้ือผ้าผู้ใหญ่ที่ไม่ใช้แล้วสาหรับผลัดเปล่ียน มีการตกแต่งบริเวณ
ใกล้เคียงให้เหมือนบ้าน จริง ๆ บางครั้งอาจจัดเป็นร้านขายของ สถานท่ีทาการต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเล่น
สมมติตามจนิ ตนาการของเดก็ เอง

๕. การเล่นในมุมชา่ งไม้

เด็กต้องการออกแรงเคาะ ตอก กิจกรรมการเล่นในมุมช่างไม้น้ีจะช่วยในการ
พฒั นา กลา้ มเน้อื ใหแ้ ขง็ แรง ช่วยฝึกการใช้มอื และการประสานสมั พันธร์ ะหว่างมือกับตา นอกจากนี้ยัง
ฝึกใหร้ กั งาน และส่งเสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์อกี ดว้ ย

๖. การเล่นเกมการละเลน่
กิจกรรมการเล่นเกมการละเล่นท่ีจัดให้เด็กเล่น เช่น เกมการละเล่นของไทย เกม

การละเล่นของท้องถิ่น เช่น มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร แม่งู โพงพาง ฯลฯ การละเล่นเหล่าน้ี ต้องใช้
บริเวณท่ี กว้าง การเล่นอาจเล่นเป็นกลุ่มเล็ก/กลุ่มใหญ่ก็ได้ ก่อนเล่นครูอธิบายกติกาและสาธิตให้เดก็
เข้าใจ ไม่ควรนา เกมการละเล่นท่ีมีกติกายุ่งยากและเน้นการแข่งขันแพ้ชนะ มาจัดกิจกรรมให้กับเด็ก
วัยนี้ เพราะเดก็ จะเกิด ความเครียดและสรา้ งความรู้สกึ ท่ีไมด่ ตี อ่ ตนเอง

สอ่ื กิจกรรมการเลน่ กลางแจ้ง
๑. การเลน่ เคร่อื งเลน่ สนาม
เคร่ืองเล่นสนาม หมายถึง เครื่องเล่นที่เด็กอาจปีนป่าย หมุน ซึ่งทาออกมาใน

รูปแบบตา่ งๆเช่น
๑.๑ เครอื่ งเล่นสาหรับปนี ป่าย หรอื ตาขา่ ยสาหรบั ปืนเลน่

๑.๒ เคร่ืองเลน่ สาหรับโยกหรือไกว เชน่ มา้ ไม้ ชิงชา้ ม้านงั่ โยก ไมก้ ระดก
๑.๓ เคร่อื งเล่นสาหรับหมุน เชน่ ม้าหมุน พวงมาลัยรถสาหรับหมุนเลน่
๑.๔ ราวโหนขนาดเลก็ สาหรบั เดก็
๑.๕ ต้นไม้สาหรับเดนิ ทรงตวั หรอื ไม้กระดานแผ่นเดียว
๑.๖ เคร่ืองเล่นประเภทล้อเล่อื น เช่น รถสามล้อ รถลากจูง
๒. การเลน่ ทราย
ทรายเป็นส่งิ ที่เด็กๆ ชอบเล่น ท้ังทรายแห้ง ทรายเปียก นามาก่อเป็นรูปต่างๆ ได้
และ สามารถนาวัสดุอ่ืนมาประกอบการเล่นตกแต่งได้ เช่น กิ่งไม้ ดอกไม้ เปลือกหอย พมิ พ์ขนม ทีต่ ัก
ทราย
ปกติบ่อทรายจะอยู่กลางแจ้ง โดยอาจจัดให้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือสร้าง
หลังคา ทาขอบกั้น เพ่ือมิให้ทรายกระจัดกระจาย บางโอกาสอาจพรมน้าให้ขึ้นเพื่อเด็กจะได้ก่อเล่น
นอกจากน้ี ควรมี วิธกี ารปดิ กนั้ มิให้สตั ว์เล้ียงลงไปทาความสกปรกในบ่อทรายได้
๓. การเล่นน้า
เด็กท่ัวไปชอบเล่นน้ามาก การเล่นน้านอกจากสร้างความพอใจและคลาย
ความเครียดให้ เด็กแล้วยังทาให้เด็กเกิดการเรียนรู้อีกด้วย เช่น เรียนรู้ทักษะการสังเกต จาแนก
เปรียบเทียบปรมิ าตร อุปกรณ์ ท่ีใส่น้าอาจเป็นถังท่ีสร้างขึ้นโดยเฉพาะหรืออ่างน้าวางบนขาต้ังท่ีมน่ั คง
ความสูงพอทเี่ ดก็ จะยืนไดพ้ อดี และควร มีผ้าพลาสตกิ กนั เส้อื ผา้ เปียกให้เดก็ ใช้คลมุ ระหวา่ งเลน่
๔. การเลน่ สมมติในบ้านตุ๊กตาหรอื บา้ นจาลอง
เปน็ บ้านจาลองสาหรับใหเ้ ดก็ เล่น จาลองแบบจากบ้านจรงิ ๆ อาจทาดว้ ยเศษวัสดุ
ประเภท ผ้าใบ กระสอบป่าน ของจริงท่ีไม่ใช้แล้ว เช่น หม้อ เตา ชาม อ่าง เตารีด เครื่องครัว ตุ๊กตา
สมมติเป็นบุคคลใน ครอบครัว เส้ือผ้าผู้ใหญ่ที่ไม่ใช้แล้วสาหรับผลัดเปลี่ยน มีการตกแต่งบริเวณ
ใกล้เคียงให้เหมือนบ้านจริงๆ บางคร้ังอาจจัดเป็นร้านขายของ สถานที่ทาการต่าง ๆ เพ่ือให้เด็กเล่น
สมมตติ ามจนิ ตนาการของเดก็ เอง
๕. การเล่นในมุมช่างไม้
เด็กต้องการออกแรงเคาะ ตอก กิจกรรมการเล่นในมุมช่างไม้น้ีจะช่วยในการ
พฒั นากล้ามเน้อื ใหแ้ ขง็ แรง ชว่ ยฝึกการใช้มอื และการประสานสมั พันธ์ระหว่างมือกบั ตา นอกจากน้ียัง
ฝกึ ให้รกั งานและสง่ เสรมิ ความคดิ สร้างสรรคอ์ ีกดว้ ย

๖. การเล่นเกมการละเล่น
กิจกรรมการเล่นเกมการละเล่นที่จัดให้เด็กเล่น เช่น เกมการละเล่นของไทย เกม

การละเล่น ของท้องถิ่น เช่น มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร แม่งู โพงพาง ฯลฯ การละเล่นเหล่าน้ี ต้องใช้
บริเวณที่กว้าง การเล่นอาจเล่นเป็นกลุ่มเล็ก/กลุ่มใหญ่ก็ได้ ก่อนเล่นครูอธิบายกติกาและสาธิตให้เด็ก
เข้าใจ ไม่ควรนา เกมการละเล่นที่มีกติกายุ่งยากและเน้นการแข่งขันแพ้ชนะ มาจัดกิจกรรมให้กับเด็ก
วยั น้ี เพราะเด็กจะเกิด ความเครียดและสรา้ งความรู้สกึ ที่ไม่ดตี อ่ ตนเอง

แนวการจดั กิจกรรม
๑. เด็กและครูรว่ มกันสรา้ งข้อตกลง

๒. จดั เตรียมวัสดุอปุ กรณ์ประกอบการเล่นใหพ้ ร้อม
๓. สาธิตการเล่นเคร่อื งเล่นสนามบางชนิด
๔. ให้เดก็ เลือกเล่นอสิ ระตามความสนใจและใหเ้ วลาเล่นนานพอควร
๕. ครูควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย (ไม่ควรจัดกิจกรรมพลศึกษา) เช่น การเล่นน้า เล่น
ทราย เล่นบ้านตุ๊กตา เล่นในมุมช่างไม้ เล่นบล็อกกลวง เคร่ืองเล่นสนาม เกมการละเล่น เล่นอุปกรณ์
กีฬา สาหรับเด็ก เล่นเครอ่ื งเล่นประเภทลอ้ เล่อื น เล่นของเล่นพืน้ บา้ น (เดินกะลา ฯลฯ)
๖. ขณะเด็กเล่นครูต้องคอยดูแลความปลอดภัยและสังเกตพฤติกรรมการเล่น การอยู่ร่วมกัน
กบั เพื่อนของเดก็ อย่างใกลช้ ดิ
๗. เมอื่ หมดเวลาควรให้เดก็ เก็บของใชห้ รอื ของเลน่ ใหเ้ รยี บร้อย
๘. ให้เดก็ ทาความสะอาดรา่ งกายและดแู ลเคร่อื งแตง่ กายให้เรยี บร้อยหลังเลน่
ข้อเสนอแนะ
๑. หม่ันตรวจตราเคร่ืองเล่นสนามและอุปกรณ์ประกอบให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยและใช้การ
ไดด้ อี ยู่เสมอ
๒. ใหโ้ อกาสเด็กเลือกเลน่ กลางแจง้ อย่างอสิ ระทุกวนั อยา่ งน้อยวนั ละ ๓๐ นาที
๓. ขณะเด็กเล่นกลางแจ้ง ครูต้องคอยดูแลอย่างใกลช้ ิดเพ่ือระมดั ระวังความ ปลอดภยั ในการ
เล่น หากพบว่าเด็กแสดงอาการเหนื่อย อ่อนล้า ควรให้เดก็ หยดุ พัก
๔. ไม่ควรนากิจกรรมพลศึกษาสาหรับเด็กระดับประถมศึกษามาใช้สอนกับเด็กระดับปฐมวัย
เพราะยงั ไม่เหมาะสมกบั วัย
๕. หลังจากเลิกกิจกรรมกลางแจง้ ควรให้เดก็ ไดพ้ กั ผ่อนหรือน่ังพัก ไมค่ วรใหเ้ ดก็ รบั ประทาน
อาหารกลางวันหรอื ดืม่ นมทนั ที เพราะอาจทาให้เด็กอาเจยี น เกิดอาการจุกแนน่ ได้
๖. เกมการศกึ ษา

เกมการศึกษา (Didactic games) เป็นเกมท่ีช่วยพัฒนาสติปัญญาช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิด
การเรียนรู้ เปน็ พ้นื ฐานการศึกษา มกี ฎเกณฑ์กติกาง่ายๆ เดก็ สามารถเลน่ คนเดียวหรือเลน่ เป็นกลุ่มได้
ช่วยให้เด็กรู้จัก สังเกต คิดหาเหตุผลและเกิดความคิดรวบยอด เกี่ยวกับสี รูปร่าง จานวน ประเภท
และความสมั พนั ธ์ เกยี่ วกับพน้ื ที่ ระยะ เกมการศึกษาท่ีเหมาะสมจะช่วยฝึกทกั ษะความพร้อมทางด้าน
ร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญาสาหรับเดก็ วัย ๓-๖ ปี มจี ดุ ประสงค์ ดงั นี้

จดุ ประสงค์
๑. เพื่อฝกึ ทักษะการสังเกต จาแนกและเปรยี บเทียบ
๒. เพอ่ื ฝกึ การแยกประเภท การจัดหมวดหมู่
๓. เพอ่ื ส่งเสริมการคดิ หาเหตุผล และตดั สนิ ใจแกป้ ัญหา
๔. เพอ่ื ส่งเสริมให้เดก็ เกดิ ความคิดรวบยอดเกี่ยวกบั สงิ่ ทไี่ ดเ้ รียนรู้
๕. เพื่อสง่ เสรมิ การประสานสัมพนั ธ์ระหวา่ งมือกับตา
๖. เพื่อปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมต่างๆ เช่น ความรับผิดชอบ ความ

เออ้ื เฟ้อื เผ่อื แผ่
ประเภทของเกมการศกึ ษา

๑. เกมจับคู่ เช่น จับคู่ภาพเหมือน จับคู่ภาพกับเงา จับคู่ภาพกับโครงร่าง จับคู่ภาพที่ซ่อนอยู่

ใน ภาพหลัก จับคู่ภาพที่มีความสัมพันธ์กัน จับคู่ภาพสัมพันธ์แบบตรงกันข้าม จับคู่ภาพท่ีสมมาตร
จับคู่ ภาพแบบอนกุ รม ฯลฯ

๒. เกมตอ่ ภาพให้สมบรู ณ์ (Jigsaws) หรอื ภาพตดั ต่อ
๓. เกมวางภาพต่อปลาย (โดมโิ น)
๔. เกมเรยี งลาดบั
๕. เกมการจดั หมวดหมู่
๖. เกมการศกึ ษารายละเอียดของภาพ (ลอตโต้)
๗. เกมจบั คู่แบบตารางสัมพนั ธ์ (เมตรกิ เกม)
๘. เกมพ้ืนฐานการบวก
๙. เกมหาความสัมพันธต์ ามลาดับที่กาหนด
สอ่ื เกมการศึกษา
๑. เกมจับคู่

เพ่ือให้เด็กได้ฝึกสังเกตสิ่งท่ีเหมือนกันหรือต่างกันซ่ึงอาจเป็นการเปรียบเทียบภาพต่างๆ
แลว้ จดั เป็นคู่ๆ ตามจดุ มงุ่ หมายของเกมแต่ละชดุ เกมประเภทจบั ค่นู ้สี ามารถแบ่งได้หลายแบบ ดังนี้

๑.๑ เกมจบั คภู่ าพที่เหมอื นกนั หรือจับคสู่ ิ่งของเดียวกนั
๑.๒ เกมจับคู่ภาพสงิ่ ท่มี คี วามสัมพนั ธก์ ัน
๑.๓ เกมจบั คู่ภาพชนิ้ ส่วนทีห่ ายไป
๑.๔ เกมจบั คภู่ าพทสี่ มมาตรกนั
๑.๕ เกมจบั คู่ภาพท่ีสมั พนั ธก์ ันแบบอปุ มาอุปไมย
๑.๖ เกมจับคูแ่ บบอนกุ รม
๒. เกมภาพตัดต่อ
๒.๑ ภาพตดั ต่อท่สี มั พนั ธก์ ับหน่วยการเรียนต่าง ๆ เชน่ ผลไม้ ผัก
๒.๒ ภาพตดั ต่อแบบมติ ิสมั พันธ์
๓. เกมจดั หมวดหมู่
๓.๑ ภาพสงิ่ ต่าง ๆ ทน่ี ามาจดั เปน็ พวก ๆ
๓.๒ ภาพเกี่ยวกบั ประเภทของใช้ในชีวติ ประจาวนั
๓.๓ ภาพจัดหมวดหมตู่ ามรูปรา่ ง สี ขนาด รปู ทรงเรขาคณิต
๔. เกมวางภาพต่อปลาย (โดมโิ น)
๔.๑ โดมิโนภาพเหมือน
๔.๒ โดมิโนภาพสมั พนั ธ์
๕. เกมเรยี งลาดบั
๕.๑ เรียงลาดับภาพเหตกุ ารณต์ ่อเนือ่ ง
๕.๒ เรียงลาดับขนาด
๖. เกมศึกษารายละเอยี ดของภาพ (ลอตโต)
๗. เกมจบั คูแ่ บบตารางสัมพันธ์ (เมตริกเกม)
๘. เกมพ้ืนฐานการบวก

แนวการจดั กจิ กรรมเกมการศกึ ษา
๑. แนะนากจิ กรรมใหม่
๒. สาธติ / อธบิ าย วธิ เี ล่นเกมอย่างเป็นข้นั ตอนตามประเภทของเกม
๓. ให้เด็กหมนุ เวยี นเข้ามาเล่นเปน็ กลุ่ม หรือรายบุคคล
๔. ขณะทเ่ี ดก็ เลน่ เกม ครเู ปน็ เพียงผู้แนะนา
๕. เมือ่ เด็กเลน่ เกมแตล่ ะชุดเสรจ็ เรียบร้อย ควรใหเ้ ด็กตรวจสอบความถูกต้องดว้ ยตนเอง หรือ

รว่ มกนั ตรวจกับเพ่อื น หรอื ครเู ป็นผชู้ ่วยตรวจ
๖. ใหเ้ ด็กนาเกมท่ีเล่นแลว้ เกบ็ ใสก่ ลอ่ ง เขา้ ท่ใี หเ้ รยี บรอ้ ยทุกครงั้ ก่อนเล่นเกมชุดอนื่

ข้อเสนอแนะ
๑. การจัดประสบการณ์เกมการศึกษาในระยะแรก ควรเริ่มสอนโดยใช้ของจริง เช่น การจับคู่

กระปอ๋ งแป้งที่เหมือนกนั หรอื การเรยี งลาดบั กระปอ๋ งแป้งตามลาดับสงู - ตา่
๒. การเล่นเกมในแต่ละวนั อาจจัดให้เล่นทง้ั เกมชุดใหม่และเกมชุดเก่า
๓. ครูอาจใหเ้ ดก็ หมนุ เวยี นเขา้ มาเล่นเกมกับครทู ่ลี ะกลุ่ม หรือสอนท้ังช้ันตามความเหมาะสม
๔. ครอู าจใหเ้ ดก็ ท่ีเลน่ ไดแ้ ลว้ มาช่วยแนะนากตกิ าการเลน่ ในบางโอกาสได้
๕. การเล่นเกมการศึกษา นอกจากใช้เวลาในช่วงกิจกรรมเกมการศึกษาตามตารางกิจกรรม

ประจาวนั แล้วอาจใหเ้ ดก็ เลอื กเล่นอิสระในช่วงเวลากิจกรรมการเล่นตามมมุ ได้
๖. การเก็บเกมที่เล่นแล้ว อาจเก็บใส่กล่องเล็กๆ หรือใส่ถุงพลาสติกหรือใช้ยางรัดแยก แต่ละ

เกม แลว้ จดั ใสก่ ล่องใหญร่ วมไวเ้ ปน็ ชุด

หลกั สูตรต้านทจุ รติ ศึกษา (Anti-Corruption Education) ในระดบั ปฐมวัย
กรอบการจดั ทาหลกั สูตรหรือชุดการเรียนรแู้ ละสอ่ื ประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกนั การ

ทุจรติ โดยที่ประชุม ได้เหน็ ชอบรว่ มกนั ในการจดั ทาหลักสตู รหรอื ชดุ การเรยี นรู้และสือ่ ประกอบการ
เรยี นรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต หวั ขอ้ วชิ า 4 วชิ า ประกอบดว้ ย

1) การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม
2) ความอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต
3) STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจริต
4) พลเมืองและความรับผดิ ชอบต่อสังคม
หลกั สตู รตา้ นทจุ ริตศึกษา ระดบั ปฐมวัย จะใชเ้ วลาเรียนท้ังปี จานวน 40 ชั่วโมง จดั ทาเนื้อหา
และกิจกรรมการเรยี นการสอน ตามความเหมาะสมและการเรียนร้ใู นช่วงวยั โดยมีรายละเอยี ดดังนี้

๑. ชื่อหลกั สูตรตา้ นทจุ ริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ในระดับปฐมวยั “รายวิชา
เพิ่มเติม การป้องกนั การทจุ ริต”

ตามที่สานกั งานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ รว่ มกับสานกั งาน
คณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน และหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วข้อง ดาเนินการจดั ทาหลักสตู รหรอื ชดุ การ
เรียนรู้และส่อื ประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทจุ ริต สาหรับใชเ้ ป็นเนือ้ หามาตรฐานกลางให้
สถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานที่เกีย่ วข้องนาไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับกลุ่มเป้าหมายในระดับ

ปฐมวัย เพอื่ ปลูกฝงั จติ สานึกในการแยกประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์สว่ นรวม จิตพอเพียง การ
ไม่ยอมรบั และไม่ทนต่อการทุจริต โดยใชช้ ื่อวา่ หลกั สูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption
Education) หลกั สูตรท่ี ๑ หลกั สตู รการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน โดยมแี นวทางการนาไปใช้ตามความ
เหมาะสมของแตล่ ะโรงเรียน ดงั นี้

๑.นาไปจดั เป็นรายวชิ าเพิม่ เติมของโรงเรยี น
๒.นาไปจดั ในชวั่ โมงลดเวลาเรียนเพิม่ เวลารู้
๓.นาไปบรู ณาการกบั การจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนา
และวัฒนธรรม (สาระหนา้ ที่พลเมือง) หรอื นาไปบูรณาการกับกลมุ่ สาระการเรียนรู้อื่น ๆ

๒. จุดมงุ่ หมายของรายวิชา เพ่อื ให้นักเรียนปฐมวยั
๒.๑ มคี วามรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์

ส่วนรวม
๒.๒ มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ
๒.๓ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับ STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทจุ รติ
๒.๔ มคี วามรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับพลเมืองและมคี วามรับผิดชอบตอ่ สังคม
๒.๕ สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้
๒.๖ ปฏบิ ัตติ นเปน็ ผลู้ ะอายและไม่ทนตอ่ การทุจริตทกุ รปู แบบ
๒.๗ ปฏิบัตติ นเปน็ ผ้ทู ่ี STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทุจรติ
๒.๘ ปฏบิ ตั ติ นตามหน้าที่พลเมืองและมีความรับผิดชอบต่อสังคม

๓. คาอธบิ ายรายวิชา
ศกึ ษาเกยี่ วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ความ

ละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจรติ STRONG / จติ พอเพียงต่อต้านการทจุ ริต รู้หน้าที่ของพลเมือง
และรับผิดชอบต่อสงั คมในการตอ่ ต้านการทจุ รติ

โดยใช้กระบวนการคิด วเิ คราะห์ จาแนก แยกแยะ การฝกึ ปฏบิ ัตจิ ริง การทาโครงงาน
กระบวนการเรยี นรู้ ๕ ขน้ั ตอน (๕ STEPs) การอภปิ ราย การสืบสอบ การแกป้ ัญหา ทกั ษะการอา่ น
และการเขียน เพื่อใหม้ ีความตระหนกั และเห็นความสาคัญของการต่อตา้ นและการป้องกันการทจุ ริต
๔.ผลการเรยี นรู้

๑. มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตน กับผลประโยชน์
สว่ นรวม

๒. มีความรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกับความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต
๓. มคี วามรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกับ STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทุจริต
๔. มีความรู้ ความเข้าใจเกีย่ วกับพลเมืองและมีความรับผิดชอบตอ่ สงั คม
๕. สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน กบั ผลประโยชนส์ ่วนรวมได้
๖. ปฏิบตั ติ นเป็นผ้ลู ะอายและไมท่ นต่อการทุจริตทุกรูปแบบ
๗. ปฏบิ ัติตนเปน็ ผู้ท่ี STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทุจรติ

๘. ปฏบิ ัตติ นตามหน้าท่ีพลเมืองและมีความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม
๙. ตระหนกั และเหน็ ความสาคญั ของการต่อตา้ นและป้องกันการทุจริต
รวมทงั้ หมด ๙ ผลการเรยี นรู้

๘.๔ ตารางกิจกรรมประจาวัน

เวลา กจิ กรรมประจาวัน หมายเหตุ
๐๘.๓๐ - ๐๘.๔๕ น. รบั เดก็ เป็นรายบุคคล
๐๘.๔๕ - ๐๙.๐๐ น. เคารพธงชาตแิ ละสวดมนต์
๐๙.๐๐ - ๐๙.๑๐ น. สนทนา ข่าว เหตกุ ารณ์ ตรวจสุขภาพ
๐๙.๑๐ - ๐๙.๓๐ น. กิจกรรมเคลอื่ นไหวและจงั หวะ
๐๙.๓๐ - ๑๐.๒๐ น. กิจกรรมสรา้ งสรรค์และกจิ กรรมเสรี
๑๐.๒๐ - ๑๐.๔๐ น. กจิ กรรมเสริมประสบการณ์
๑๐.๔๐ - ๑๑.๐๐ น. กจิ กรรมกลางแจ้ง
๑๑.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
๑๒.๐๐ - ๑๒.๓๐ น. แปรงฟัน
๑๒.๓๐ - ๑๔.๐๐ น. นอนพักผ่อน
๑๔.๐๐ - ๑๔.๒๐ น. เกบ็ ทีน่ อน ลา้ งหนา้
๑๔.๒๐ - ๑๔.๔๐ น. พัก (รับประทานอาหารเสริม ( นม) )
๑๔.๔๐ - ๑๕.๐๐ น. กจิ กรรมเกมการศกึ ษา
๑๕.๐๐ - เปน็ ตน้ ไป เตรียมตวั กลบั บา้ น

๘.๕ หนว่ ยการจดั ประสบการณ์

๘.๕.๑ หน่วยการจัดประสบการณ์ ช้ันอนุบาลปีท่ี ๒ ( ๔ ป)ี

สัปดาห์ท่ี สาระการเรยี นรู้ ช่ือเร่ือง/ชอื่ หน่วย หมายเหตุ

๑ เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั ตวั เด็ก เรียนรู้กนั ฉนั กับเธอ

การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ

ผลประโยชนส์ ่วนรวม

- การคดิ แยกแยะ

๒ เรอ่ื งราวเก่ยี วกบั ตัวเด็ก ผูน้ าท่หี นรู กั

การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและ

ผลประโยชนส์ ว่ นรวม

- การคิดแยกแยะ

๓ ส่ิงต่างๆรอบตวั เด็ก เรยี นรเู้ รื่องเส้น

การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ

ผลประโยชนส์ ว่ นรวม

- ระบบคดิ ฐาน ๒

๔ บคุ คลและสถานท่แี วดลอ้ มเดก็ หนูไหวค้ ณุ ครู

การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ

ผลประโยชน์ส่วนรวม

- ระบบคิดฐาน ๒

๕ เรอ่ื งราวเกีย่ วกบั ตัวเดก็ รา่ งกายของเรา

การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ

ผลประโยชนส์ ่วนรวม

- ของเลน่

๖ เร่อื งราวเก่ียวกับตวั เดก็ หนทู าได้

การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ

ผลประโยชนส์ ่วนรวม

- ของเลน่

๗ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก ฝน ฝน ฝน

การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและ

ผลประโยชน์ส่วนรวม

- การรับประทานอาหาร

๘ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก หนูไปทาบุญ

การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและ

ผลประโยชน์ส่วนรวม

- การเข้าแถว

๙ บุคคลและสถานทแ่ี วดลอ้ มเดก็ ศีลหา้

- การเกบ็ ของใช้สว่ นตวั

สปั ดาห์ที่ สาระการเรียนรู้ ชอื่ เรื่อง/ช่ือหนว่ ย หมายเหตุ
อาหารดีมปี ระโยชน์
๑๐ สง่ิ ต่างๆรอบตัวเด็ก
การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและ
๑๑ ธรรมชาตริ อบตวั เด็ก ผลประโยชนส์ ่วนรวม
- ทางานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย
๑๒ เร่อื งราวเกี่ยวกบั ตัวเด็ก
ผกั แสนอร่อย
๑๓ บคุ คลและสถานทีแ่ วดล้อมเด็ก
การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ
๑๔ บคุ คลและสถานทแ่ี วดล้อมเด็ก ผลประโยชน์ส่วนรวม
๑๕ บุคคลและสถานทแี่ วดล้อมเดก็ - การแบง่ ปนั
๑๖ ส่ิงตา่ งๆรอบตัวเดก็
๑๗ บุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก ฟ เอ๋ย ฟ ฟัน
๑๘ เรือ่ งราวเก่ียวกบั ตัวเดก็
๑๙ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ
ผลประโยชน์ส่วนรวม
- การแต่งกาย

แมข่ องแผ่นดนิ

การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ
ผลประโยชน์สว่ นรวม
- การทากจิ วตั รประจาวัน

บ้านแสนสขุ

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ
- ของเลน่

ครอบครวั ของเรา

ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ
- การรบั ประทานอาหาร

ปัจจยั ๔

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต
- การเขา้ แถว

ไร่มะลแิ ม่

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต
- การเก็บของใชส้ ่วนตวั

หนูเป็นเดก็ ดี

ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต
- ทางานที่ได้รับมอบหมาย

ตน้ ไมม้ ีคุณ

ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ
- ทางานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย

สปั ดาห์ท่ี สาระการเรยี นรู้ ชื่อเรอ่ื ง/ช่ือหน่วย หมายเหตุ

๒๐ สงิ่ ต่างๆรอบตัวเด็ก หนูชว่ ยประหยดั ได้

ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต
- การแบ่งปนั

๒๑ บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก กระทงแสนสวย

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ
- การแบง่ ปัน

๒๒ บคุ คลและสถานที่แวดล้อมเด็ก โรงเรยี นของเรา

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ

- การแตง่ กาย

๒๓ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ หนนู ้อยนกั สารวจ

ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ

- การแตง่ กาย

๒๔ บุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก โรงเรียนนา่ อยู่

ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต

- การทากิจวัตรประจาวนั

๒๕ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก พ่อของแผ่นดิน

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ
- การทากิจวัตรประจาวนั

๒๖ สง่ิ ต่างๆรอบตัวเด็ก อากาศอยูไ่ หน

STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทุจริต

- ความพอเพยี ง

๒๗ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก หนาวแล้วนะ

STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทุจรติ

- ความโปร่งใส

๒๘ สง่ิ ตา่ งๆรอบตัวเดก็ พลงั วเิ ศษ

STRONG / จติ พอเพยี งต่อต้านการทจุ ริต

- ความต่ืนรู้ / ความรู้

๒๙ บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเดก็ สวสั ดีปใี หม่

STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทจุ รติ

- ต้านทจุ รติ

๓๐ สิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก นกั อนรุ ักษ์นอ้ ย

STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทจุ ริต

- ม่งุ ไปขา้ งหน้า

๓๑ บุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก วันของเดก็

- ความเอือ้ อาทร

๓๒ สิง่ ต่างๆรอบตวั เดก็ สตั วม์ คี ณุ

STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทจุ รติ

- การรบั ประทานอาหาร

๓๓ บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเดก็ บุคคลต่างๆ

STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทจุ ริต

- การช่วยเหลอื เพ่ือน

๓๔ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก รอบๆตัวหนู

STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทจุ รติ
- การใช้กระดาษ

๓๕ สิ่งต่างๆรอบตวั เด็ก สีสวยๆ

พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบต่อสังคม
- ความรับผิดชอบต่อตนเอง

๓๖ สิ่งต่างๆรอบตัวเดก็ กลางวันกลางคนื

พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบต่อสังคม
- ความรบั ผิดชอบต่อผอู้ นื่

๓๗ สิ่งตา่ งๆรอบตวั เดก็ ตวั เลขนา่ รู้

พลเมืองกับความรับผดิ ชอบต่อสงั คม
- การตรงต่อเวลา

๓๘ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ ฤดรู ้อนมาถงึ แลว้
๓๙ ธรรมชาตริ อบตวั เด็ก
พลเมืองกับความรบั ผิดชอบต่อสังคม
- การทาความสะอาดห้องเรียน

แมลงบ้านเรา

พลเมอื งกบั ความรับผดิ ชอบต่อสังคม
- การชว่ ยเหลือตนเอง

๔๐ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก ยุงจอมยุ่ง
ประเมนิ ผลหลักสตู รต้านทจุ ริตศึกษาระดบั ปฐมวยั

๘.๕.๒ หน่วยการจัดประสบการณ์ ชัน้ อนบุ าลปีที่ ๓ (๕-๖ ปี)

สปั ดาหท์ ่ี สาระการเรยี นรู้ ชือ่ เรอื่ ง/ชื่อหน่วย หมายเหตุ

๑ เร่ืองราวเกย่ี วกับตัวเด็ก เรยี นรกู้ ัน ฉนั กบั เธอ

การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและ

ผลประโยชนส์ ่วนรวม

- การคิดแยกแยะ

๒ เรือ่ งราวเกี่ยวกับตวั เดก็ ผนู้ าทหี่ นรู ัก

การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ

ผลประโยชนส์ ว่ นรวม

- การคิดแยกแยะ

๓ สิง่ ต่างๆรอบตัวเด็ก เรยี นรเู้ ร่ืองเสน้

การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและ

ผลประโยชนส์ ว่ นรวม

- ระบบคิดฐาน ๒

๔ บคุ คลและสถานที่แวดล้อมเด็ก หนูไหว้คณุ ครู

การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ

ผลประโยชน์ส่วนรวม

- ระบบคิดฐาน ๒

๕ เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก รา่ งกายของเรา

การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ

ผลประโยชน์สว่ นรวม

- ของเลน่

๖ เรอ่ื งราวเกี่ยวกับตวั เดก็ หนูทาได้

การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและ

ผลประโยชน์ส่วนรวม

- ของเล่น

๗ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ ฝน ฝน ฝน

การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ

ผลประโยชนส์ ว่ นรวม

- การรบั ประทานอาหาร

๘ บุคคลและสถานทีแ่ วดลอ้ มเด็ก หนไู ปทาบญุ

การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ

ผลประโยชน์สว่ นรวม

- การเข้าแถว

๙ บคุ คลและสถานที่แวดล้อมเดก็ ศลี หา้

- การเกบ็ ของใชส้ ่วนตัว

สปั ดาห์ที่ สาระการเรียนรู้ ชอื่ เรื่อง/ช่ือหนว่ ย หมายเหตุ
อาหารดีมปี ระโยชน์
๑๐ สง่ิ ต่างๆรอบตัวเด็ก
การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและ
๑๑ ธรรมชาตริ อบตวั เด็ก ผลประโยชนส์ ่วนรวม
- ทางานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย
๑๒ เร่อื งราวเกี่ยวกบั ตัวเด็ก
ผกั แสนอร่อย
๑๓ บคุ คลและสถานทีแ่ วดล้อมเด็ก
การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ
๑๔ บคุ คลและสถานทแ่ี วดล้อมเด็ก ผลประโยชน์ส่วนรวม
๑๕ บุคคลและสถานทแี่ วดล้อมเดก็ - การแบง่ ปนั
๑๖ ส่ิงตา่ งๆรอบตัวเดก็
๑๗ บุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก ฟ เอ๋ย ฟ ฟัน
๑๘ เรือ่ งราวเก่ียวกบั ตัวเดก็
๑๙ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ
ผลประโยชน์ส่วนรวม
- การแต่งกาย

แมข่ องแผ่นดนิ

การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ
ผลประโยชน์สว่ นรวม
- การทากจิ วตั รประจาวัน

บ้านแสนสขุ

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ
- ของเลน่

ครอบครวั ของเรา

ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ
- การรบั ประทานอาหาร

ปัจจยั ๔

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต
- การเขา้ แถว

ไร่มะลแิ ม่

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต
- การเก็บของใชส้ ่วนตวั

หนูเป็นเดก็ ดี

ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต
- ทางานที่ได้รับมอบหมาย

ตน้ ไมม้ ีคุณ

ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ
- ทางานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย

สปั ดาห์ท่ี สาระการเรยี นรู้ ชื่อเรอ่ื ง/ช่ือหน่วย หมายเหตุ

๒๐ สงิ่ ต่างๆรอบตัวเด็ก หนูชว่ ยประหยดั ได้

ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต
- การแบ่งปนั

๒๑ บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก กระทงแสนสวย

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ
- การแบง่ ปัน

๒๒ บคุ คลและสถานที่แวดล้อมเด็ก โรงเรยี นของเรา

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ

- การแตง่ กาย

๒๓ ธรรมชาตริ อบตวั เดก็ หนนู ้อยนกั สารวจ

ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ

- การแตง่ กาย

๒๔ บุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก โรงเรียนนา่ อยู่

ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต

- การทากิจวัตรประจาวนั

๒๕ บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก พ่อของแผ่นดิน

ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ
- การทากิจวัตรประจาวนั

๒๖ สง่ิ ต่างๆรอบตัวเด็ก อากาศอยูไ่ หน

STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทุจริต

- ความพอเพยี ง

๒๗ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก หนาวแล้วนะ

STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทุจรติ

- ความโปร่งใส

๒๘ สง่ิ ตา่ งๆรอบตัวเดก็ พลงั วเิ ศษ

STRONG / จติ พอเพยี งต่อต้านการทจุ ริต

- ความต่ืนรู้ / ความรู้

๒๙ บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเดก็ สวสั ดีปใี หม่

STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทจุ รติ

- ต้านทจุ รติ

๓๐ สิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก นกั อนรุ ักษ์นอ้ ย

STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทจุ ริต

- ม่งุ ไปขา้ งหน้า

๓๑ บุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก วันของเดก็

- ความเอือ้ อาทร

สปั ดาห์ที่ สาระการเรียนรู้ ชอ่ื เรื่อง/ชือ่ หนว่ ย หมายเหตุ

๓๒ สง่ิ ตา่ งๆรอบตวั เด็ก สัตวม์ คี ณุ

STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทจุ รติ

- การรับประทานอาหาร

๓๓ บุคคลและสถานท่แี วดล้อมเดก็ บคุ คลต่างๆ

STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทจุ ริต

- การชว่ ยเหลอื เพ่ือน

๓๔ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก รอบๆตัวหนู

STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทุจรติ
- การใช้กระดาษ

๓๕ สิ่งต่างๆรอบตวั เด็ก สีสวยๆ

พลเมืองกับความรับผดิ ชอบต่อสังคม
- ความรับผิดชอบต่อตนเอง

๓๖ สง่ิ ต่างๆรอบตวั เดก็ กลางวันกลางคนื

พลเมืองกับความรบั ผิดชอบต่อสังคม
- ความรบั ผิดชอบต่อผู้อื่น

๓๗ สิ่งตา่ งๆรอบตวั เดก็ ตวั เลขน่ารู้

พลเมอื งกับความรับผิดชอบต่อสังคม
- การตรงต่อเวลา

๓๘ ธรรมชาตริ อบตวั เด็ก ฤดรู ้อนมาถึงแล้ว
๓๙ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก
พลเมอื งกบั ความรับผดิ ชอบต่อสังคม
- การทาความสะอาดห้องเรียน

แมลงบา้ นเรา

พลเมอื งกบั ความรับผดิ ชอบต่อสังคม
- การชว่ ยเหลือตนเอง

๔๐ ธรรมชาตริ อบตัวเด็ก ยุงจอมย่งุ
ประเมนิ ผลหลกั สตู รต้านทุจริตศกึ ษาระดบั ปฐมวัย

๙. การจัดสภาพแวดล้อม สือ่ และแหล่งเรยี นรู้
๙.๑ การจัดสภาพแวดล้อม
การจัดสภาพแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้สาหรับการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย มี

ความสาคัญต่อเด็กเนื่องจากธรรมชาติของเด็กในวัยน้ีสนใจท่ีจะเรียนรู้ ค้นคว้า ทดลองและต้องการ
สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวอีกครั้งสภาพแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ เป็นตัวกลางนาความรู้จาก
ผู้สอนสู่เด็ก ทาให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ท่ีวางไว้ ช่วยให้เด็กไดร้ ับประสบการณ์ตรง ทาให้
ส่งิ ที่เปน็ นามธรรมเขา้ ใจยากเปลย่ี นเปน็ รปู ประธรรมทเ่ี ด็กเข้าใจง่าย เรยี นรูไ้ ด้งา่ ย รวดเร็ว เพลดิ เพลนิ
เดก็ สามารถเรยี นรูจ้ ากการเล่นที่เปน็ ประสบการณ์ตรงที่เกิดจากการรบั รู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ เกดิ
การเรียนรู้และค้นพบด้วยตนเอง ดังนั้น การจัดสภาพแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ ตามความต้องการ
ของเดก็ จึงมีความสาคัญทเ่ี ก่ยี วข้องกบั พฤติกรรมและกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ท้ังในหอ้ งเรยี นและ
นอกห้องเรียนของสถานศึกษา ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ของหลักสูตรสถานศึกษาการศึกษาปฐมวัย
ตามบริบทของสถานศึกษาและท้องถิ่นอย่างเหมาะสม เพ่ือส่งผลให้บรรลุจุดหมายในการพัฒนาเด็ก
ปฐมวยั ตอ่ ไป

การจดั สภาพแวดลอ้ ม
การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยเป็นไปอย่างราบร่ืนและมีประสิทธิภาพ ถ้าหากเด็กอยู่ใน
สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม มีการสนับสนุนอานวยความสะดวกจากผู้ใหญ่ ภายใต้บรรยากาศที่มี
ความสขุ ไมเ่ คร่งเครยี ดดว้ ยกฎระเบียบท่เี ครง่ ครัดหรือยากต่อการปฏิบัติ การจดั บรรยากาศการเรียนรู้
จงึ จัดแบง่ เปน็ ๓ ดา้ น
การจัดสภาพแวดล้อมด้านกายภาพ เป็นการจัดสภาพแวดล้อมตามแนวคิดเร่ือง การ
ตอบสนองความต้องการพื้นฐาน และการเรียนรู้โดยการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม การจัดการจึงมี
เป้าหมายให้เด็กอยู่ร่วมกันอย่างมีสุข อนามัยท่ีดีมีพื้นที่ในการตอบสนอง การทากิจกรรมต่างๆ อย่าง
คล่องตัว และตอบสนองการทากิจกรรมท่ีหลากหลาย ลักษณะการจัดการจึงเน้นในเรื่องความสะอาด
ความปลอดภัย ความอิสระอย่างมีขอบเขตในการเล่น ความสะดวกท่ีจะทาให้รู้สึกคล่องตัว สดใส
กระฉับกระเฉง ความพร้อมของห้องเรียนในสถานศึกษาที่มีลักษณะกายภาพท่ีดีคือ มีการถ่ายเท
อากาศที่ดี มีอุณหภูมิท่ีเหมาะสม มีแสงสว่างพอเพียง มีความสงบท่ีจะทากิจกรรมอย่างสบายและมี
สมาธิ มีท่ีให้เก็บวัสดุของใช้และผลงาน มีท่ีจัดแสดงเพ่ือการสื่อสารข้อมูล แต่ละจุดของพ้ืนที่จะต้อง
สะดวกในการเข้าออก พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเขา้ ไปดูแลได้อยา่ งท่ัวถงึ ในทุกพืน้ ท่ี
สภาพแวดล้อมในห้องเรียน หลักการสาคัญในการจัดต้องคานึงถึงความปลอดภัยความ
สะอาด เปน็ เปา้ หมายการพฒั นาเด็ก ความเปน็ ระเบยี บ ความเปน็ ตวั ของเด็กเอง ให้เดก็ เกิดความรู้สึก
อบอ่นุ มั่นใจ และมคี วามสขุ โดยคานึงถึงเร่อื งต่อไปน้ี
๑)การจัดวางวัสดุ อุปกรณ์ สื่อ เคร่ืองเล่น คุรุภัณฑ์ ควรจัดให้เหมาะสมสอดคล้องกับวัยและ
พฒั นาการเพอ่ื ใหเ้ ด็กสามารถใชห้ รือทากิจกรรม ได้สะดวกดว้ ยตนเอง
๒)วสั ดุ อุปกรณ์ สอื่ เครือ่ งเลน่ คุรภุ ณั ฑ์ ควรใหม้ ขี นาดเหมาะสมกบั เด็กปฐมวยั
๓)การจัดพ้ืนที่ในห้องเรียนควรจัดให้เหมาะสม เลือกท่ีตั้งคุรุภัณฑ์ อุปกรณ์ต่างๆ และมุม
ประสบการณ์ โดยคานึงถึงทิศทางลม แสงสว่างพอเพียงต่อการทากิจกรรม ไม่มีแสงสว่างส่งรบกวน
สายตาเดก็ ขณะปฏิบัตกิ จิ กรรม ทกุ จุดของห้องควรให้มองเห็นได้โดยรวม

๔) สภาพแวดล้อมในห้องปลอดภัยจากสัตว์ แมลง พืช และสารเคมีท่ีมีพิษ คุรุภัณฑ์ โต๊ะ
เกา้ อี้ ไม่ควรเป็นมมุ แหลมท่เี ป็นอันตราย

๕) การแบ่งพื้นในหอ้ งเรยี นให้เหมาะสมกับการจดั กจิ กรรมมีดังน้ี
๕.๑ พ้ืนทอ่ี านวยความสะดวกเพ่อื เด็กและผสู้ อน
๑) ทีแ่ สดงผลงานของเด็ก อาจจดั เปน็ แผ่นปา้ ย หรือทแี่ ขวนผลงาน
๒) ทเ่ี กบ็ แฟม้ ผลงานของเด็ก อาจจะทาเป็นกล่อง หรือจะใสเ่ ปน็ รายบุคคล
๓) ที่เก็บเครื่องใช้สว่ นตวั ของเดก็ อาจทาเปน็ ช่องครบตามจานวนเดก็
๔) ท่ีเก็บเคร่ืองใช้ของผู้สอน เช่น อุปกรณ์การสอน ของใช้ส่วนตัวผู้สอน
๕) ปา้ ยนเิ ทศตามหน่วยการสอนหรอื สง่ิ ที่เดก็ สนใจ
๕.๒ พนื้ ที่ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและการเคลื่อนไหว ควรกาหนดใหช้ ดั เจน ควรมพี นื้ ท่ีท่ีเด็ก

สามารถจะทางานได้ด้วยตนเอง และทากิจกรรมด้วยกันในกลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ เด็ก
สามารถเคลือ่ นไหวไดอ้ ย่างอสิ ระจากกจิ กรรมหน่ึงไปยงั กิจกรรมหนึง่ โดยไม่รบกวนผู้อ่ืน

๕.๓ พ้ืนท่ีจัดมุมเล่นหรือมุมประสบการณ์ สามารถจัดได้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่
กับสภาพของห้องเรียน จัดแยกส่วนท่ีใช้เสียงดังและเงียบออกจากกัน ต้องมีของเล่น วัสดุ
อุปกรณ์ในมุมอย่างพอเพียงต่อการเรยี นรู้ของเด็ก การเล่นในมุมเล่นอย่างมีเสรีมักถูกกาหนด
ไว้ในตารางกิจกรรมประจาวัน เพื่อให้โอกาสเด็กได้เล่นอย่างเสรี ประมาณวันละ ๑ ช่ัวโมง
การจดั มมุ เล่นต่างๆ ผู้สอนควรคานงึ ถงึ ส่งิ ตอ่ ไปนี้

๑) ในหอ้ งเรยี นควรมีมุมเลน่ อยา่ งนอ้ ย ๓-๕ มมุ ทัง้ นี้ ขึน้ อย่กู ับพื้นที่และขนาดของ
ห้อง
๒) ควรมีการเปลยี่ นสีของเลน่ ตามมมุ ตามหนว่ ยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
และตามความสนใจของเดก็

๓) ควรจดั ให้มสี ่อื และผลงานที่เด็กได้เรียนรู้ไปแล้ว จดั วางอยูใ่ นมมุ เล่น เช่น การ
ทดลองอย่างง่าย เร่ืองการเปล่ียนแปลงของสี เป็นต้น โดยผู้สอนจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้
เด็กได้แลน่

๔) ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดมุมเล่น เพื่อจูงใจให้เด็กรู้สึกเป็น
เจา้ ของ อยากเรยี นรู้ อยากเข้าเล่น

๕) ควรสร้างข้อตกลงในการทากิจกรรม เพ่ือเสริมสร้างวินัยเชิงบวกให้กับเด็ก เช่น
สร้างข้อตกลงร่วมกันว่า เมอื่ เลน่ เสรจ็ แล้วจะต้องจัดเก็บอปุ กรณ์ทกุ อยา่ งเขา้ ทใี่ ห้เรยี บร้อย

๖) การจดั แสดงผลงานและการเก็บของควรคานึงถึงเรือ่ งต่อไปนี้
- จะให้มีท่ีแสดงผลงาน เสนอภาพวาด งานเขียนอิสระหรืองานป้ัน งาน

ประดษิ ฐ์ของเด็กๆ
- จัดท่แี สดงผลงานให้น่าสนใจและสดช่นื
- ให้เดก็ เหน็ ของแปลกๆ ใหม่ๆ ที่เด็กไม่เคยเหน็
- ส่งเสรมิ ใหเ้ ดก็ ๆ รูจ้ ักเลือกสรรหาว่าจะทาอะไร จะแสดงอะไร
- กระตนุ้ ให้เกิดความอยากรอู้ ยากเห็น

- สอนให้รู้จักจัดของเป็นตาม ชนิด/ ประเภท และเลือกของออกมาใช้ตาม
ความตอ้ งการ

- สร้างนสิ ยั ในการเกบ็ ของใหเ้ ปน็ ทเ่ี ป็นทาง
ตวั อย่างมมุ เล่นหรอื มมุ ประสบการณ์ท่ีควรจดั มีดังนี้

มมุ บล็อก
เป็นมุมที่จัดเก็บบล็อกไม้ตันที่มีขนาดและรูปทรงต่างๆกัน เด็กสามารถนามาเล่นต่อ
ประกอบกนั เป็นสิ่งตา่ งๆ ตามจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง นอกจากน้คี วรมีสือ่ อื่นๆ เชน่
ยานพาหนะ หรอื สตั ว์จาลอง ฯลฯ เพื่อประกอบการเล่น
แนวทางการจัด
มมุ บล็อกเปน็ มมุ ทคี่ วรจัดให้อย่หู ่างจากมุมท่ีต้องการความสงบ เช่น มุมหนังสอื ทั้งนี้
เพราะเสียงจากการเล่นต่อไม้บล็อก อาจรบกวนสมาธิเด็กที่อยู่ในมุมหนังสือได้ นอกจากน้ีควรอยู่ห่าง
จากทางเดินผ่านหรือทางเข้าออกของห้อง เพ่ือไม่ให้กีดขวางทางเดินหรือเกิดอันตรายจากการเดิน
สะดุดไม้บล็อกถ้ากรณีเด็กยังเล่นไม่เสร็จครูหรือเด็กร่วมกันกาหนดพื้นท่ีโดย ใช้สัญลักษณ์สีหรื อ
เคร่ืองหมายการจราจรมาก้นั ไว้เพือ่ ให้เดก็ กลับมาเล่นต่อได้
การจัดเก็บไม้บล็อกเรานี้ ควรจะวางไว้ในระดับท่ีเด็กสามารถหยิบมาเล่น หรือนา
เก็บด้วยตนเองได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และควรฝึกให้เด็กหัดจัดเก็บเป็นหมวดหมู่เพื่อความเป็น
ระเบียบ และสะดวกต่อการหยิบใช้และเก็บคืนโดยทาภาพสัญลักษณ์ รูปร่างของไม้บล็อกติดไว้ที่ช่อง
จดั เก็บ
มมุ หนงั สือ
ในห้องเรียนควรมีบริเวณท่ีเงียบ สาหรับให้เด็กได้ดูรูปภาพ อ่านหนังสือนิทาน ฟัง
นิทาน ผู้สอนควรจัดมุมหนังสือให้เด็กได้คุ้นเคยกับตัวหนังสือ และทากิจกรรมตามลาพังหรือเป็นกลุ่ม
เลก็ ๆ
แนวทางการจัด
มุมหนังสือ เป็นมุมที่ต้องการความสงบ ควรจัดห่างจากมุมที่มีเสียง เช่น มุมบล๊อก
มุมบทบาทสมมุติ ฯลฯ และควรจัดบรรยากาศจูงใจให้เด็กได้เข้าไปใช้เกิดความรักและทะนุถนอม
หนังสอื และ ปลกู ฝงั นสิ ยั รักการอ่าน มจี านวนหนงั สือเพียงพอกับเด็กและเหมาะสมกับวยั ของเด็ก ควร
มีการเปลย่ี นหนงั สือทุกสัปดาห์ และเลือกหนงั สอื ที่สง่ เสรมิ คุณธรรมจริยธรรมใหก้ บั เด็กด้วย
มมุ บทบาทสมมตุ ิ
มุมบทบาทสมมุติ เป็นมุมท่ีจัดข้ึนเพื่อให้เด็กมีโอกาสได้นาเอาประสบการณ์ที่ได้รับ
จากบ้านหรือชุมชนมาเล่น แสดงบทบาทสมมุติ เลียนแบบบุคคลต่างๆ ตามจินตนาการของตน เช่น
เป็นพ่อแม่ในมุมบ้าน เป็นหมอ ในมุมหมอเป็น พ่อค้าแม่ค้าในมุมร้านค้า ฯลฯ การเล่นดังกล่าวเป็น
การปลูกฝงั ความสานึกถึงบทบาททางสงั คมทเ่ี ด็กได้พบเห็นในชวี ิตจรงิ
แนวทางการจดั
มุมบทบาทสมมติน้ี ควรอยู่ใกล้มุม บล๊อก หรืออาจจะให้เป็นสถานท่ีต่างๆ
นอกเหนอื จากการจัดเป็นบ้านโดยสงั เกตการเลน่ และความสนใจของเด็กวา่ มีการเปล่ียนแปลงบทบาท
การเล่นจากบทบาทเดิมไปสู่รูปแบบการเล่นอ่ืนหรือไม่ อุปกรณ์ที่นามาจัดควรเปลี่ยนไปตามความ

สนใจของเด็กเช่นกัน มุมบทบาทสมมุติอาจจะเป็นบ้าน/ร้านอาหาร/ร้านขายของ ร้านเสริมสวย
โรงพยาบาล ฯลฯ ในขณะเดียวกันอุปกรณ์ท่ีนามาจัดให้เด็กควรหมั่นดูแลและทาความสะอาดทุก
สัปดาห์ ไม่เปน็ อนั ตราย และความเหมาะสมกับสภาพทอ้ งถนิ่

มมุ วทิ ยาศาสตร/์ มุมธรรมชาติ
มมุ วิทยาศาสตรห์ รือมมุ ธรรมชาติ เปน็ มมุ เล่นท่ีผสู้ อนจะรวบรวมส่งิ ของต่างๆหรอื ส่ิง
ท่ีมีในธรรมชาติมาให้เด็กได้สารวจ สังเกต ทดลอง ค้นพบด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาทักษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ให้กับเด็ก
แนวทางการจดั
มุมวิทยาศาสตร์หรอื มุมธรรมชาติ อาจจะไวใ้ กล้ มมุ หนงั สือ สิง่ ของที่จดั วางต้องคานึงถงึ ความ
ปลอดภัยของเด็กในขณะท่ีใช้หรือเก็บควรอยู่ในระดับท่ีเด็กหยิบ จับ ดูวัสดุอุปกรณ์ เหล่าน้ันได้โดย
สะดวกควรจะปรบั เปลย่ี นสิ่งของที่นามาจัดแสดง อาจมีการจาลองการทดลองอย่างง่าย เพื่อให้เด็กได้
เรยี นรู้
สภาพแวดล้อมนอกห้องเรียน คือการจัดสภาพแวดล้อมบริเวณในสถานศึกษา
รวมทั้งจัดสนามเด็กเล่น พร้อมเคร่ืองเล่นสนาม จะระวังรักษาความปลอดภัยภายในสถานศึกษา ดูแล
รักษาความสะอาด ปลกู ต้นไมใ้ หค้ วามรม่ ร่ืนรอบๆ บริเวณสถานศึกษา สิ่งตา่ งๆ เหลา่ นีเ้ ป็นส่วนหน่ึงที่
สง่ ผลต่อการเรยี นรแู้ ละพฒั นาการของเดก็
สภาพแวดลอ้ มนอกหอ้ งเรียน ประกอบดว้ ย
๑) สนามเดก็ เลน่ ควรมพี นื้ ผิว หลายประเภท เช่น ดนิ ทราย หญา้ พ้นื ทสี่ าหรับเล่น
ของเล่นท่ีมีล้อรวมท้ังที่ร่ม ที่โล่งแจ้ง พื้นดินสาหรับขุด ท่ีเล่นน้า บ่อทรายพร้อมอุปกรณ์ประกอบการ
เล่น เครอ่ื งเล่นสนามสาหรับปีนปา่ ย การทรงตวั ฯลฯ ท้ังน้ตี อ้ งไม่ตดิ กับบริเวณทีม่ ีอันตราย ตอ้ งหมั่น
ตรวจตราเครือ่ งเลน่ ใหอ้ ยู่ในสภาพแขง็ แรง ปลอดภยั อยเู่ สมอและหมน่ั ดูแลเร่ืองความสะอาด
๒) ท่ีน่ังเล่นพักผ่อน จัดท่ีน่ังไว้ใต้ต้นไม้มีร่มเงา อาจใช้กิจกรรมย่อยๆ หรือกิจกรรม
ท่ีต้องการความสงบ หรืออาจจัดเป็นพื้นท่ีให้ความรู้ ประชาสัมพันธ์ ป้ายนิเทศ เพื่อให้ความรู้แก่เด็ก
และผ้ปู กครอง
๓) บริเวณธรรมชาติ ปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ แปลงปลูกพืชสวนครัว หากบริเวณ
สถานศึกษามไี ม่มากนกั อาจปลกู พืชในกระบะหรอื กระถาง หรอื เศษวสั ดใุ นทอ้ งถ่นิ
๔) ห้องปฏิบัติการ และอาคารประกอบต่างๆ เช่น โรงอาหาร เรือนเพาะชา
ห้องสมุดห้องปฏิบัติการต่างๆ ควรจัดให้มีพ้ืนที่สาหรับให้เด็กทากิจกรรมและเรียนรู้ ท่ีสะอาดและ
ปลอดภัยสาหรบั เด็ก
การจัดสภาพแวดล้อมด้านจิตภาพ เป็นการจัดห้องเรียนตามแนวคิดเรื่องการ
เรียนรู้อย่างมีความสุข การจัดสภาพแวดล้อมจึงเป็นการจัดเพ่ือให้เกิดบรรยากาศท่ีดีในการอยู่ร่วมกัน
ซ่ึงจะเกิดความสะดวก ปลอดภัย ราบรื่นจากการทากิจกรรมในห้อง ท่ีมีลักษณะทางกายภาพที่
เหมาะสมและมีการปฏิบัติต่อกันที่เหมาะสมของผูท้ ี่อยู่ในสภาพแวดลอ้ มท้ังเด็กและผสู้ อน นอกจากน้ี
ยังรวมถึงกฎ ระเบียบ กติกา ข้อตกลงที่ทุกคนสามารถปฏิบัติร่วมกันได้และเกิดความสุขในการอยู่
ร่วมกัน การจดั บรรยากาศด้านจิตภาพ จึงเปน็ เป้าหมายเพ่ือให้เด็กได้เรียนรู้การอยรู่ ว่ มกันในสระภาพ
แวดลอ้ มแห่งความสุข ผูส้ อนมที ่าทีทอี่ บอุ่นให้ความมน่ั ใจแกเ่ ด็กสนับสนุนให้เดก็ ไดป้ ระสบความสาเร็จ

ในกิจกรรมต่างๆ มีสถานท่ีที่เด็กสามารถมีความเป็นส่วนตัว หรือเมื่อต้องการอยู่ตามลาพัง ต้องการ
ความสงบ ให้อิสระเด็กในการส่ือสาร เคล่ือนไหว ทากิจกรรมต่างๆ รวมท้ังข้อตกลงต่างๆ สามารถ
ยดื หยุ่นไดเ้ ม่อื จาเป็น การจัดสภาพแวดลอ้ มทางจิตภาพมีรายละเอียดดังนี้

บุคลิกภาพผู้สอน
บุคลิกภาพผู้สอนช่วยเสริมบรรยากาศในการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนในห้องได้เป็นอย่างดี ยิ้มแย้ม
แจ่มใส มีกิริยามารยาทแบบไทย แต่งกายเหมาะสมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ใช้ภาษาถูกต้องชัดเจน เต็ม
ใจตอบคาถามของเด็ก พูดกับเด็กด้วยเสียงนุ่มนวลเป็นมิตร และพูดชี้แจงเหตุผลแก่เด็กด้วยน้าเสียง
ปกติ
การจัดการชัน้ เรยี นของผสู้ อน
ผู้สอนควรใส่ใจดูแลให้เด็กอยู่ร่วมกันในห้องเรียนอย่างมีความสุข พร้อมท้ังเรียนรู้สิทธิและ
หน้าท่ีของตน มีการสร้างข้อตกลงในการปฏิบัติตนร่วมกันระหว่างครกู ับเด็ก และเด็กกับเด็ก การแบ่ง
หน้าที่ความรับผิดชอบ แนวทางปฏิบัติเม่ือเด็กไม่ทาตามข้อตกลง และแก้ไขปัญหาเมื่อมีข้อขัดแย้ง
เกิดขึ้น
การสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผสู้ อนกับเด็ก
ความสมั พันธ์อนั ดรี ะหว่างผู้สอนกับเด็กช่วยเสรมิ สร้างใหเ้ ด็กรสู้ กึ อบอ่นุ ปลอดภัย สร้างความ
ม่ันใจในตนเอง และเกิดความรู้สึกท่ีดีต่อตนเอง ผู้สอนควรสร้างความสัมพันธ์กับเด็กด้วยท่าทาง เช่น
ยิม้ สัมผัส ทักทาย และพูดคยุ กับเด็ก ดูแลเด็กทมี่ ปี ัญหาสุขภาพ ไมส่ บาย หรอื ตอ้ งการกาลังใจ รับฟัง
เมื่อเด็กพูดด้วย ให้โอกาสเด็กท่ีต้องการพูดคุยกับผู้สอน ตอบเม่ือเด็กถาม และยอมรับการช่วยเหลือ
ของเด็ก
การสร้างความสมั พันธ์ระหว่างเดก็ กบั เด็ก
ความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างเด็กกับเด็กในสถานศึกษา จะทาให้เด็กอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
และลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างเด็กกับเด็ก ผู้สอนควรจัดให้มีกิจกรรมท่ีส่งเสริมความสัมพันธ์ท่ีดี
ระหว่างเด็กกบั เด็ก โดยการจดั กจิ กรรมท่ีส่งเสริมการช่วยเหลือซึ่งกันและกนั สรา้ งความรับผิดชอบใน
การทางาน ใหเ้ ด็กไดร้ ว่ มคิด ร่วมทา และรว่ มแก้ปัญหา เชน่ การจัดของเล่นการดแู ลความสะอาดการ
ทางานกลมุ่ เป็นต้น
การสร้างความสมั พันธ์ระหว่างผ้ปู กครองและสถานศกึ ษา
ผู้สอนมีบทบาทสาคัญยิ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครอง
กับสถานศึกษา ผู้สอนจึงควรสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครองด้วยการจัดทาป้ายนิเทศซ่ึงมีสาระ
เกี่ยวกับเด็ก ผู้ปกครอง ชุมชน และโรงเรียน จัดทาจดหมายข่าวถึงผู้ปกครอง หรือการส่ือสารผ่านส่ือ
และเทคโนโลยี กระต้นุ ใหผ้ ู้ปกครองแลกเปล่ียนเรยี นรกู้ ับทางโรงเรยี น สนบั สนนุ ให้ผปู้ กครองเย่ียมช้ัน
เรียนของเด็กจัดประชุมพบปะระหว่างผู้ปกครองและผู้สอน รวมท้ังเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้ทางาน
อาสาสมคั รร่วมกับทางโรงเรยี น
การจัดสภาพแวดล้อมด้านสังคม เป็นการจัดสภาพแวดล้อมท่ีเกิดจากแนวคิดเร่ืองการ
เรยี นรูท้ างสงั คมของเด็กปฐมวัยทเ่ี รยี นรู้ทางสังคมจากการเล่น การทากิจกรรมและการทางานร่วมกับ
ผู้อ่ืนท้ังเด็กและผู้ใหญ่ การจัดสภาพแวดล้อมดา้ นสังคมจึงเป็นการจัดการท่ีใหเ้ ด็กร่วมกับผู้อ่ืนได้อยา่ ง
มคี วามสุข สนับสนุนใหป้ ฏบิ ัตติ นในลักษณะทีส่ ังคมยอมรบั และเกดิ ทักษะทางสงั คม มีสมั พันธภาพที่ดี

กับผู้สนับสนุนให้เกิดการแบ่งปันกันทั้งในด้านความคิด ความรู้สึก พื้นที่และอุปกรณ์ต่างๆ จัดให้มี
บรรยากาศแบบประชาธิปไตย เด็กได้แสดงความเห็นและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่างๆ เช่น การ
กาหนดขอ้ ตกลง กตกิ า กฎ ระเบยี บตา่ งๆ การแบง่ หน้าท่ี การฝกึ การมวี นิ ยั ในตนเอง

การเรียนรู้ของเด็กท่ีได้ปฏิสัมพันธ์สิ่งแวดล้อมท้ังด้านวัตถุและบุคคล ผู้สอนจะต้องพยายาม
จัดสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก ให้เด็กทากิจกรรมร่วมกับผู้อื่น กับสิ่งของและ
กระบวนการต่างๆรวมถึงให้เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับประสบการณ์ต่างๆ และผู้สอนจะต้องมีการวาง
แผนการจัดกิจกรรมประจาวันให้เด็กได้พัฒนาทางร่างกายและสังคม โดยการเตรียมส่ือ วัสดุ ที่
เหมาะสม เพ่ือกระตุ้นให้เด็กได้เกิดกระบวนการคิด ให้เด็กได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ โดยจัด
สภาพแวดล้อมให้เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและกระบวนการต่างๆ อย่างกว้างขวาง การท่ีเด็กอยู่ใน
สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม เด็กจะพัฒนาความรู้สึกท่ีดีต่อตนเอง เกิดความเชื่อมั่นในตนเองและมี
ความคดิ สร้างสรรค์

๙.๒ สอ่ื
สื่อเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก เป็นตัวกลางกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ตาม
จุดมุ่งหมายที่กาหนดการเรียนรู้ ของเด็กอายุ ๔-๖ ปีจาเป็นต้องผ่านการลงมือปฏิบัติจริงหรือเกิดการ
ค้นพบด้วยตนเองเป็นประสบการณ์ตรง ซึ่งเด็กจะเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปประธรรมหรือมองเห็น จับ
ต้องได้ไปสู่สิ่งที่เป็นนามธรรม เพ่ือเข้าสู่อายุท่ีสูงข้ึน การเรียนรู้ของเด็กวัยนี้จึงขึ้นอยู่กับของจริงท่ีพบ
เหน็ ของเลน่ ที่เลยี นแบบของจรงิ นิทานและเพลงดงั น้ี

๑) ของเลน่
ของเล่นเป็นส่ิงที่ประกอบการเล่นของเด็ก ของเล่นช่วยกระตุ้นให้เดก็ เกิดการเรยี นรู้
และเกิดความมั่นใจในการเล่น ของเล่นอาจจัดทาข้ึนเองจากวัสดุ ส่ิงของ เศษวัสดุเหลือใช้รอบตัวใน
ชีวิตประจาวันหรือเป็นการเลือกซ้ือของเล่นท่ีมีขายในท้องตลาด ซ่ึงมีการจัดหาของเล่นให้เด็กต้อง
คานงึ ถึงความปลอดภัยและเหมาะสมกบั วยั ของเดก็
๑.๑ ลักษณะของเลน่ เดก็ ของเล่นเก่ยี วขอ้ งกับการเล่นของเด็กแบ่งเป็น
๑.๑.๑ ของจริง เป็นของเล่นท่ีเป็นส่ิงหรือเครื่องใช้ในชีวิตจริง ของจริงท่ีเด็กเล่นได้
เช่น ชอ้ น
ถว้ ย พลาสติก หมอ้ จาน
๑.๑.๒ ของเล่นเลียนแบบของจริง เปน็ ของเลน่ ทีท่ าข้นึ ใหม้ รี ูปแบบเหมอื นของจรงิ
ที่มีอยู่ในชีวิตประจาวัน ทาจากวัสดุประเภทไม้ พลาสติก โลหะ กระดาษ ก็ได้ เช่น ตุ๊กตาสัตว์ขนนุ่ม
ตกุ๊ ตาคน ลูกบอลเด็กเลน่ รถเด็กเลน่ ของเล่นเคร่อื งครวั / เครือ่ งใชใ้ นบ้าน
๑.๑.๓ ของเล่นสรา้ งสรรค์ เปน็ ของเลน่ ที่ทาข้นึ ไมม่ ีรปู แบบที่แน่นอนตายตัว
สามารถประกอบเข้าด้วยกันให้เป็นอะไรก็ได้ตามความต้องการหรือจินตนาการของผู้เล่น เช่น ตัวต่อ
พลาสติก พลาสตกิ สร้างสรรค์ บล็อกพลาสติก/ ไม้ วสั ดทุ ใี่ ชใ้ นการวาดภาพ/ การปน้ั /การประดิษฐ์
๑.๑.๔ ของเลน่ เพ่อื การศึกษา เปน็ ของเล่นทท่ี าข้ึน มีรูปแบบช่วยพัฒนาทกั ษะการ
สังเกต ทกั ษะกล้ามเนื้อมือ ประสานสัมพันธก์ ับตา ทักษะการคิด เช่น ไมบ้ ลอ็ ก เกมภาพตดั ต่อ เกมโด
มิโน่

๑.๑.๕ ของเลน่ พืน้ บ้าน เป็นของเลน่ ทที่ าจากวัสดตุ ามธรรมชาตหิ รอื วัสดุที่มอี ยู่ใน
ทอ้ งถิน่ ด้วยเช่น โมบายปลาตะเพียน ตะกรอ้ ใบลาน ตุ๊กตาสตั วท์ าจากฟาง กงั หันลมใบตาล ลอ้ กลิ้งไม้
ไผ่ นก/ ตั๊กแตนสานใบมะพร้าว กะลารองเท้า ปี่ใบมะพร้าว และป้ันดินเหนีย วรูปสัตว์

๑.๒ ประเภทของเล่นเด็ก ของเลน่ เดก็ มหี ลากหลายรูปแบบ ข้นึ อยกู่ บั วตั ถุประสงค์
ของการใชเ้ ลน่ แบง่ เป็น

๑.๒.๑ ของเล่นฝึกประสาทสัมผัส เป็นของเล่นที่ดึงดูดความสนใจของเด็ก ในการ
มองเห็น ได้ยินและสัมผัส เช่น ของเล่นที่มีผิวสัมผัสเรียบ- ขรุขระ ของเล่น หยิบจับไว้ในมือได้
เสยี งเพลง

๑.๒.๒ ของเล่นฝกึ การเคลอื่ นไหว เป็นของเล่นท่เี คลือ่ นทีไ่ ปมาได้ กระตุ้นให้เด็ก
ใช้กลา้ มเนือ้ แขน ขา เช่น ลูกบอล ของเล่นลากจูงได้ ของเล่นไขลาน ของเล่นมีลอ้ เลอ่ื น

๑.๒.๓ ของเล่นฝึกความสัมพันธ์มือตา เป็นของเล่นท่ีฝึกให้เด็กได้พัฒนาการ
ประสานสัมพันธ์ระหว่างการใช้กล้ามเน้ือมือและตาอย่างมีจุดหมาย เช่น กระดานค้อนตอก กล่อง
หยอดรูปทรง ของเลน่ รอ้ ยลกู ปดั เมด็ โต ของเลน่ ร้อยเชือกตามรู ของเลน่ ผูกเชือก/รดู ซปิ /ตดิ กระดมุ

๑.๒.๔ ของเลน่ ฝึกภาษา เป็นของเล่นที่ชว่ ยในการฟัง การสอ่ื สารทางด้านการฟงั
การพดู เลา่ เร่ือง เช่น หนังสือภาพนิทาน เทป เพลงเดก็ เคร่อื งดนตรี หนุ่ มอื

๑.๒.๕ ของเลน่ ฝกึ การสงั เกต เปน็ ของเล่นฝกึ ทักษะการเปรียบเทียบ การจาแนก
หรือจัดกลุม่ ของ เชน่ ของเลน่ รูปทรงเรขาคณิต แผ่นภาพจบั คู่ บลอ็ กตา่ งสตี ่างขนาด

๑.๒.๖ ของเล่นฝกึ การคิด เปน็ ของเลน่ สอนใหเ้ ด็กมสี มาธแิ ละร้จู ักแกป้ ัญหา คดิ ใช้
เหตผุ ล เช่น ภาพตัดต่อ ตัวตอ่ ภาพ ปรศิ นา บล็อกไม้

๑.๒.๗ ของเลน่ ฝกึ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นของเล่นท่ีส่งเสริมใหเ้ ด็กสร้าง
จนิ ตนาการตามความนึกคิดหรือแสดงบทบาทสมมตุ ิ เชน่ บล็อกไม้ ตัวต่อ ของเล่นเครอื่ งครวั ของเล่น
รา้ นค้า ของเลน่ เครื่องมือแพทย์

๑.๓ การเลือกของเล่นเด็ก หลักเกณฑ์ท่คี วรคานึงถงึ มดี งั น้ี
๑.๓.๑ ความปลอดภยั ในการเลน่ ของเล่นสาหรบั เด็ก อาจทาด้วยไม้ ผา้ พลาสตกิ
หรอื โลหะ ท่ีไมม่ ีอนั ตรายเกี่ยวกบั ผิวสมั ผัสทแี่ หลมคม หรือมีชิน้ สว่ นทหี่ ลดุ หรือแตกหกั ได้ ตลอดจนทา
ให้วัสดุท่ีไม่มีพิษมีภัยต่อเด็กในสีที่ทา หรือส่วนผสมในการผลติ มีขนาดไม่เล็กเกินไป จนทาให้เด็กกลนื
หรอื หยบิ ใส่รูจมกู หรอื เขา้ ปากได้ รวมทง้ั มนี า้ หนกั พอเหมาะท่เี ด็กสามารถหยบิ เล่นเองได้
๑.๓.๒ ประโยชนใ์ นการเล่น ของเลน่ ทีด่ ีควรชว่ ยเรา้ ความสนใจของเด็กให้อยากรอู้ ยากเห็น มี
สีสันสวยงามสะดุดตาเด็ก มีการออกแบบท่ีส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิดและจินตนาการที่จะเล่นอย่าง
ริเริ่มสร้างสรรค์หรือแก้ปัญหาช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว และการใช้มือได้อย่าง
คลอ่ งแคล่ว ท้งั ยังเสรมิ สร้างการพัฒนาประสาทมอื และตาใหส้ ัมพันธ์กัน
๑.๓.๓ ประสทิ ธภิ าพในการใชเ้ ลน่ ของเลน่ ท่เี หมาะในการเล่นควรมีความยากงา่ ยกับอายุและ
ความสามารถตามพัฒนาการของเด็ก ของเล่นท่ียากเกินไปจะบ่ันทอนความสนใจในการเล่นของเด็ก
และทาให้เด็กรู้สึกท้อถอยได้ง่าย ส่วนของเล่นท่ีง่ายเกินไปก็ทาให้เด็กเบื่อไม่อยากเล่นได้ นอกจากนี้

ของเล่นควรทาให้เด็กได้ใช้ประสบการณ์ตรงและเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความแข็งแรงทนทาน
และปรบั เปลย่ี นแปลงใช้ประโยชน์ได้หลายโอกาส หลายรูปแบบเลน่ ไดห้ ลายคน

๑.๓.๔ ความประหยดั ทรัพยากร ของเล่นท่ีดไี ม่จาเปน็ ตอ้ งมรี าคาแพงหรือผลติ ดว้ ย
เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีตราเคร่ืองหมายผลิตภัณฑ์ของบริษัทท่ีมีช่ือเสียงเป็นที่นิยมทั่วไป หากแต่เป็น
วัสดุของหรือของเล่นท่ีสามารถจัดหาง่ายๆ มีราคาย่อมเยา และมีอยู่ในท้องถ่ินนั้นโดยหาซื้อได้ง่าย
หรอื ทาขึ้นเองไดจ้ ากภูมิปญั ญาพ้นื บา้ นหรือวฒั นธรรมท้องถน่ิ

ตารางเกณฑ์พิจารณาการเลอื กซื้อของเล่นใหเ้ ด็ก
ประเดน็ การพิจารณา

๑. ของเล่นที่มีลักษณะปลอดภยั สาหรับเด็กตามวัย สที ี่ใช้ เปน็ สที ่ปี ลอดภัย ไม่มีช้นิ สว่ นแหลมคมหรือแตกหักง่าย
๒. ของเล่นเหมาะกบั วัยของเดก็ ไม่ยากหรืองา่ ยเกินไปทเี่ ด็กจะเล่นไดเ้ อง
๓. ของเล่นดึงดดู ความสนใจการเล่น ท้าทายความสามารถของเด็ก
๔. ของเล่นมีการออกแบบอยา่ งพถิ ีพถิ ัน มองดูเหมาะกบั ธรรมชาตขิ องเดก็
๕. ของเล่นสามารถปรบั เปล่ียนรูปแบบไดห้ ลากหลาย ใชเ้ ล่นไดห้ ลายแบบ หลายวธิ ตี ามความต้องการของผเู้ ลน่
๖. ของเล่นมคี วามคงทนใชเ้ ล่นได้นาน ไมบ่ ุบสลายงา่ ย
๗. ของเล่นชว่ ยส่งเสริมทักษะการเรียนรูข้ องเดก็ ทาให้เด็กเรยี นรหู้ ลายๆดา้ นเก่ยี วกบั ส่ิงแวดล้อมรอบตวั
๘. ของเลน่ ชว่ ยขยายความคิดสรา้ งสรรคข์ องเดก็ ทาให้เดก็ ใชจ้ นิ ตนาการ การคิดทาส่ิงใหม่ๆ
๙. ของเล่นทาใหเ้ ด็กมสี มาธิ ใจจดจอ่ อย่กู ับการเล่นเปน็ เวลานานพอควรตามชว่ งความสนใจของวัย
๑๐. ของเลน่ ทาความสะอาดได้ง่าย หรอื นากลับมาเลน่ ใหม่ได้
๑๑. ของเลน่ ทาใหเ้ ด็กเกดิ ความรูส้ ึกดตี ่อตนเองและค้นพบความสาเรจ็
๑๒. ของเลน่ มรี าคาไมแ่ พงจนเกนิ ไป เม่อื เปรียบเทยี บกับคุณภาพของวสั ดุและการใช้ประโยชน์

๒.นทิ าน
นิทานเป็นสื่อ เคร่ืองมือและวิธีการท่ีสาคัญในการพัฒนาเด็ก การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง จะ
ช่วยสร้างความคุ้นเคยระหว่างเด็กกับหนังสือ ถือเป็นการบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านหนังสือในเด็กได้
อย่างแยบยล
๒.๑ ประโยชน์ของนทิ าน นทิ านมีบทบาทสาคัญตอ่ การเสรมิ สรา้ งพัฒนาการเด็กดงั นี้

๒.๑.๑ ด้านร่างกาย การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เด็กจะได้บริหารร่างกายตามเรื่องราว
ของนทิ าน ทาใหอ้ วัยวะสว่ นต่างๆของร่างกายแขง็ แรง

๒.๑.๒ ดา้ นอารมณ์ จติ ใจ การอา่ นหนังสอื ให้เด็กฟงั เด็กจะรู้สึกสนกุ สนานมีความสุขที่ได้
ฟังเรื่องราวหรือท่องบทกลอนและแสดงท่าทางอย่างอิสระตามความต้องการ เด็กจะมีอารมณ์ดี ยิ้ม
แยม้ แจ่มใส

๒.๑.๓ ดา้ นสงั คม สร้างความสัมพันธ์ในครอบครวั และสังคมรอบด้าน
๒.๑.๔ ด้านสติปัญญา การอ่านหนังสือจะช่วยให้เด็กสามารถจดจาถ้อยคา จาประโยค

และเร่ืองราวในหนังสือได้ รู้จักเรียนแบบคาพูด เข้าใจความหมายของเรื่องที่จะอ่าน รู้จักคิดและรู้จัก
จนิ ตนาการ

๒.๒ วธิ กี ารเลา่ นิทานและเรือ่ งราวสาหรบั เดก็
เม่ือเลือกนิทานเร่ืองราวที่เหมาะสมกับวัยของเด็กได้แล้ว วิธีการเล่านิทาน

หรอื เรอ่ื งราวเพือ่ ให้เดก็ เกิดความสนใจติดตามฟังเน้ือเรื่องจนจบ จึงจาเปน็ ตอ้ งทาใหเ้ หมาะสมกับเร่ือง
ทจี่ ะเล่าดว้ ย ในการเล่าเร่ืองนิทานที่นิยมใชม้ ี ๒ วิธีดงั น้ี

๒.๒.๑ การเลา่ เร่ืองโดยไม่มีอุปกรณ์ เปน็ การเลา่ นิทานเรื่องการบอกเล่าด้วยนา้ เสียง
และลีลาของผเู้ ลา่ ซง่ึ มีรายละเอยี ดดังน้ี

๑) การข้ึนต้นเรื่องที่จะเล่าควรดึงดูดความสนใจเด็ก โดยค่อยๆ เริ่มเล่าด้วยเสียงพูดท่ีชัดเจน
ลีล่าของการเลา่ ช้า ชา้ และเร่มิ เรว็ ขน้ึ จนเปน็ การเลา่ ดว้ ยจงั หวะปกติ

๒) ระดบั เสยี งท่ีใช้ควรดัง และประโยคทเ่ี ล่าควรแบ่งเป็นประโยคสั้นๆ แต่ไดใ้ จความ การเล่า
ควรดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรจังหวะการเล่าให้นานและจะทาให้เด็กเบ่ือ อีกท้ังไม่ควรมีคาถาม
หรือคาพดู อืน่ ๆ ที่เป็นการขดั จงั หวะทาให้เด็กหมดสนกุ

๓) การใช้น้าเสียง สีหน้า ท่าทาง ควรแสดงให้สอดคล้องกับลักษณะของตัวละคร ไม่ควรพูด
เนอื่ ยๆ เรอ่ื ยๆ เพราะขาดให้ความต่ืนเตน้

๔) การนั่งเลา่ เรอ่ื ง ควรจดั หาเกา้ อี้นงั่ ใหเ้ หมาะกับระดบั สายตาเด็ก ควรเวน้ ระยะห่างของการ
นง่ั เผชญิ หน้าเด็กพอประมาณท่ีจะสามารถสบตาเด็กขณะเล่าเรื่องได้ทั่วถึง

๕) การใช้เวลาไม่ควรเกิน ๒๐ นาที โดยสังเกตจากท่าทางการแสดงออกของเด็ก ซึ่งไม่ได้ให้
ความสนใจจดจอ่ กับเรอ่ื งที่เลา่

๖) การเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กได้คิดและวิจารณ์เรื่องท่ีเล่า ควรใช้คาถามสอบถามความคิดของเด็ก
เกี่ยวกบั เรอื่ งราวทไ่ี ดฟ้ งั ให้เด็กมโี อกาสแสดงความคดิ เห็นภายหลังทเ่ี รอ่ื งเลา่ จบลง

๒.๒.๒ การเล่าเรื่องโดยมอี ปุ กรณ์ช่วย อุปกรณท์ ชี่ ่วยในการเลา่ เร่อื งมีหลายประเภท ได้แก่
๑) ส่ิงแวดล้อมรอบตัวเด็ก ซ่ึงสามารถนามาเลา่ เรื่องราวประสบการณ์ได้แก่เดก็ ได้ อุปกรณ์ที่
เป็นส่ิงแวดล้อมได้แก่สัตว์ พืช บุคคลสาคัญ สถานที่สาคัญ ข่าวและเหตุการณ์ ตลอดจนสิ่งท่ีมีอยู่ตาม
ธรรมชาติ
๒) วัสดุเหลือใช้ สิ่งของท่ีไม่เป็นที่ต้องการ แต่ยังมีประโยชน์ เช่น ภาพจากหนังสือนิตยสาร
กง่ิ ไม้ ของกระดาษ สงิ่ เหลา่ น้อี าจนามาใชป้ ระโยชนใ์ นการเล่าเรอ่ื งได้
๓) ภาพ ใช้รูปภาพที่มีเรื่องราวเล่าได้ เช่น ภาพที่มีเร่ืองราวรวมอยู่ในแผ่นเดียวหรือทาเป็น
แผน่ ภาพพลิกหลายๆแผน่ ขนาดใหญ่พอควรและมเี นอื้ เรอื่ งเขียนไวด้ า้ นหลัง
๔) หุน่ จาลอง ใช้ห่นุ ท่ที าดว้ ยผา้ หรือกระดาษทาเป็นละครหุ่นมือ หุ่นเชดิ หุ่นชกั
๕) สไลด์ประกอบการเล่าเรอื่ ง ใชภ้ าพถา่ ยเป็นสไลด์เเผ่นฉายใชท้ ลี ะภาพ
๖) หน้ากาก ทาเป็นรปู ตวั ละคร ใช้วัสดทุ าเปน็ หน้ากากรูปตวั ละครต่างๆ
๗) เทปนิทานหรือเรื่องราว ใช้การเปดิ เทปทมี่ เี สียงเลา่ เรอื่ งราว
๘) น้ิวมอื ประกอบการเล่าเร่อื ง ใชน้ ิว้ มอื เคลือ่ นไหวเป็นตัวละครต่างๆ

๒.๓ การอา่ นนทิ าน
การสร้างนิสัยรักการอ่านให้เด็กเป็นหน้าที่สาคัญประการหน่ึงของผู้สอน เพราะ

หนงั สอื คอื อาหารสมองและอาหารใจ หนังสือคือความสุข หนงั สอื คอื เพอ่ื น หนงั สือคือแหลง่ เรยี นรู้ของ
เด็กไปตลอดชีวิต การสร้างนิสัยรักการอ่านให้เด็ก จึงเป็นการสร้างพื้นฐานสาคัญของชีวิตให้เด็ก เด็ก
จะรักหนังสือได้จากการที่ผู้สอนอ่านหนังสือที่เด็กชอบให้ฟังซ้าแล้วซ้าเล่าเท่าท่ีเด็กเรียกร้องต้องการ
เด็กจะรู้สึกพอใจและมีความสุขมากในขณะที่ผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้ฟัง และจะตื่นโตขึ้นมาเป็นคนรัก
หนังสือ และรักการอ่านหนังสือ การการอ่านนิทานให้เด็กฟัง คือการอ่านหนังสือท่ีไม่ปล่อยให้เด็ก
เดินทางไปคนเดียว หรอื เป็นผู้รับฟังเพียงอย่างเดียว แต่ผู้สอนตอ้ งมีสว่ นร่วมไปกบั เด็กด้วย นิทานเป็น
ส่ือสาหรับผู้สอนในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีเด็กที่เติบโตมาด้วยการหล่อหลอมให้ฟังนิทาน มักจะเป็น
เด็กที่ใช้ภาษาได้ดีมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันที่ไม่ได้ถูกหล่อหลอมมาด้วยหนังสือหรือนิทาน อีกทั้งเด็ก
ท่ีมีนิสัยรักการอ่านจะพัฒนาในด้านอื่นๆได้อย่างรวดเร็วตามมา เช่นสมองพฤติกรรมและอารมณ์ท่ีดี

การพัฒนาสอื่
การพัฒนาส่ือเพื่อใช้ประกอบการจัดกิจกรรมในระดับปฐมวัยน้ัน ก่อนอ่ืนควรได้สารวจข้อมูล

สภาพปัญหาตา่ งๆของสื่อทุกประเภทท่ีใชอ้ ยู่ว่ามีอะไรบ้างท่ีจะต้องปรับปรุงแก้ไข เพ่ือจะได้ปรับเปลย่ี น
ใหเ้ หมาะสมกับความตอ้ งการ

แนวทางการพัฒนาสอ่ื ควรมีลักษณะเฉพาะ ดงั นี้
๑. ปรับปรุงสื่อให้ทันสมัยเข้ากับเหตุการณ์ ใช้ได้สะดวก ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะสมกับวัย
ของเด็ก
๒. รักษาความสะอาดของส่ือ ถ้าเป็นวัสดุท่ีล้างน้าได้ เม่ือใช้แล้วควรได้ลา้ งเช็ด หรือ ปัดฝุ่น
ให้สะอาด เกบ็ ไวเ้ ป็นหมวดหมู่ วางเป็นระเบยี บหยบิ ใช้ง่าย
๓. ถ้าเป็นส่ือท่ีผู้สอนผลิตข้ึนมาใช้เองและผ่านการทดลองใช้มาแล้ว ควรเขียนคู่มือ
ประกอบการใช้สื่อนั้น โดยบอกช่ือสื่อ ประโยชน์และวิธีใช้สื่อ รวมทั้งจานวนช้ินส่วนของสื่อในชุดนั้น
และเกบ็ คูม่ อื ไว้ในซองหรือถุง พรอ้ มสอื่ ที่ผลติ
๔. พัฒนาส่ือที่สร้างสรรค์ ใชไ้ ด้เอนกประสงค์ คือ เป็นไดท้ งั้ สื่อเสรมิ พฒั นาการ
และเป็นของเลน่ สนุกสนานเพลิดเพลิน

๙.๓ แหลง่ เรียนรู้
แหล่งเรยี นรเู้ พือ่ ส่งเสรมิ พฒั นาการและการเรียนรู้ของเด็ก แหลง่ เรียนรมู้ ีความสาคัญคือ

เป็นแหล่งการศึกษาตามความสนใจและความต้องการตามอัธยาศัยปลูกฝนั สิ ัยรกั การอา่ น การสืบเสาะ
หาความรู้ การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง การสร้างเสริมประสบการณ์ด้วยประสบการณ์ตรง เพื่อ
ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สภาพแวดล้อมท่ีเป็นแหล่งเรียนรู้สาหรับเด็กปฐมวัยขอเสนอแหล่ง
เรียนรู้ท่ีเป็นตัวอย่างแหล่งวิทยาการการเรียนรู้ในชุมชน และกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดในชุมชนและ
ธรรมชาติดังนี้ แหล่งเรียนรู้ในชุมชน เช่น วัดและในชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ เ?สบาล
ตาบล สถานีตารวจ พพิ ธิ ภัณฑธ์ รรมชาติ ตา่ งๆ เป็นตน้ แหล่งเรียนรใู้ นชมุ ชนอีกประเภทหน่ึง เป็น
สถาบันของชุมชนที่มีอยู่ในวิถีชวี ิตและการทามาหากินในชมุ ชน เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญใน

วัด หรือ ศาสนสถาน ซ่ึงเป็นสถานที่ทาบุญตามประเพณี ตลาด ร้านขายของชา ซึ่งเป็นแหล่งชุมชน
ชาวบ้าน สถานีอนามัย ป่าทุกแห่ง ล้วนเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่เปิดกว้างสร้างบรรยากาศและ
จนิ ตนาการการเรยี นร้ขู องเดก็

แหล่งเรยี นรู้ภายใน แหล่งเรียนรภู้ ายนอก

 อาคารเรยี นต่างๆ  โรงเรยี นตา่ งๆ ในเขตเทศบาลตาบลบา้ นยาง
 ห้องสมุด / ICT  โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพ
 หอ้ งคอมพิวเตอร์  วัดบา้ นออ้
 ห้องประชุม วดั บ้านหว้ ยผักหนาม
 หอ้ งแนะแนว วดั บ้านหนองเชือก

 ห้องพยาบาล วดั บ้านหนองอ้อ
 สวนเกษตรพอเพยี ง สถานตี ารวจอาเภอลาทะเมนชัย
 หอ้ งวิชาการ หอ้ งสมุด กศน.
 หอ้ งสหกรณ์โรงเรียน โรงพยาบาลทาทะเมนชยั
 สนามเดก็ เล่น วดั ศิริชัย

 สวนสขุ ภาพ
 สนามกฬี า
 สวนมะละกอและมะนาว
 บ่อปลา
 โรงเรือนเล้ียงไก่พันธ์ไุ ข่

ภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ
ปราชญช์ าวบ้าน / ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ / ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ท่สี ถานศกึ ษาเชญิ มาให้ความรู้แก่ ครู /
นักเรียน ไดแ้ ก่ การทาไรน่ าสวนผสม การเล้ียงไก่ การเลีย้ งปลา การทานา การตดั ผม ฯลฯ

๑๐. การประเมินพัฒนาการ
การประเมนิ พฒั นาการเดก็ อายุ ๔-๖ปี เปน็ การประเมนิ พัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์

จติ ใจ สังคม และสติปญั ญาของเดก็ ถือเป็นส่วนหน่ึงของการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้และการปฏิบัติ
กจิ วัตรประจาวนั เป็นความรบั ผดิ ชอบของผสู้ อนทตี่ ้องดาเนินการตอ่ เน่ือง โดยเปิดโอกาสใหผ้ เู้ ก่ยี วข้อง
มีสว่ นร่วมวิธกี ารประเมนิ ทเ่ี หมาะสม ไดแ้ ก่ การสงั เกต การบนั ทึกพฤติกรรม การสนทนาหรือ
สมั ภาษณ์ การวเิ คราะห์ข้อมลู จากผลงานเด็กและสรปุ ผลการประเมนิ เพ่ือให้ได้ข้อมูลว่าเด็กบรรลุ
ตามสภาพที่พงึ ประสงค์ ตวั บง่ ชี้ และมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์หรือไม่เพียงใด ผสู้ อนควร
วางแผนและพฒั นาการจดั ประสบการณ์อยา่ งไรต่อไป โดยมีการประเมนิ พัฒนาการเด็กปฐมวยั ควรยดึ
หลักการ ดังน้ี

๑. วางแผนการประเมนิ พฒั นาการอย่างเปน็ ระบบ การวางแผนการประเมนิ พัฒนาการอยา่ ง
เป็นระบบ เปน็ ภารกิจหนง่ึ ของผสู้ อนโดยเริม่ ตน้ จาก

๑.๑ นาหลักสูตรสถานศึกษาระดบั ปฐมวัยไปสู่การปฏิบัติดว้ ยการออกแบบและจัดทาหนว่ ย
การเรยี นรูแ้ ละแผนการจดั การประสบการณ์เรยี นรู้

๑.๒ กาหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารประเมิน วธิ กี ารและเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการประเมิน
๑.๓ เกบ็ รวบรวมข้อมูล ซ่งึ ผสู้ อนจะต้องวางแผนและออกแบบวา่ ในแตล่ ะวนั แตล่ ะกิจกรรม
จะสังเกตพฤติกรรมใด สงั เกตเดก็ คนใดบ้าง และนาข้อมูลที่ได้ไปสกู่ ารวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผล
ต่อไป
๒. ประเมินพฒั นาการเดก็ ครบทกุ ด้าน การประเมินพัฒนาการเดก็ ครบทุกด้านตามหลักการ
น้ี คือ การประเมินพฒั นาการเดก็ ด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสติปญั ญา ซงึ่ ต้อง
สอดคลอ้ งและครอบคลมุ มาตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ ตัวบ่งช้ี และสภาพท่ีพงึ ประสงคแ์ ตล่ ะ
วัยที่กาหนดไว้ในหลกั สตู รสถานศึกษา และสอดคล้องกบั วิสยั ทศั นข์ องหลักสตู รการศึกษาปฐมวัย ที่
มุ่งเน้นพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รบั การพฒั นาด้านรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปญั ญาอยา่ งมี
คณุ ภาพและต่อเน่อื งนน่ั เอง
๓. ประเมนิ พฒั นาการเดก็ เปน็ รายบคุ คลอย่างสม่าเสมอต่อเน่ืองตลอดปี จดุ มุ่งหมายของ
การประเมินพัฒนาการเด็ก เพ่อื พฒั นาความกา้ วหน้าของเดก็ เปน็ รายบุคคลใหเ้ ต็มตามศักยภาพ ท้ังนี้
ความนา่ เชอ่ื ถือของผลการประเมินจึงเปน็ ส่งิ สาคัญ ผู้สอนต้องสังเกตพฤติกรรมหรือการปฏิบัติตนของ
เด็กเป็นระยะๆ ตลอดปีการศกึ ษา มจี านวนคร้งั ในการสังเกตพฤติกรรมอยา่ งเหมาะสมและเพยี งพอ
ก่อนจะสรปุ หรือให้ระดับคุณภาพของพฤติกรรมตามสภาพทพี่ งึ ประสงคใ์ นแต่ละวยั
๔.ประเมนิ พฒั นาการตามสภาพจริงจากกจิ กรรมประจาวนั ด้วยเคร่ืองมือและวธิ ีการท่ี
หลากหลาย ไมค่ วรใชแ้ บบทดสอบ เน่อื งจากแนวคดิ การจดั การศึกษาปฐมวยั ให้ความสาคัญกบั ตวั
เดก็ ทงั้ การพัฒนาเด็กโดยองคร์ วมและการปฏบิ ตั ทิ ี่เหมาะสมกับพฒั นาการ การอบรมเล้ยี งดแู ละให้
การศึกษา การเลน่ และการเรยี นรู้ของเด็กภายใต้บรบิ ทสังคมและวัฒนธรรมทเ่ี ดก็ อาศัยอยู่ ดังนั้น
การประเมนิ พัฒนาการตามสภาพจรงิ จากการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ หรือการปฏบิ ัติกิจวัตร
ประจาวัน ดว้ ยวิธกี ารสงั เกต การบนั ทึกพฤตกิ รรม การสนทนา การสัมภาษณ์ การวเิ คราะห์ข้อมูล
จากผลงานเด็ก จงึ เป็นวิธีการประเมนิ ท่ีเหมาะสมและสอดคล้องกับเดก็ วัยนี้ ผสู้ อนจึงไม่ควรใช้
แบบทดสอบท่ีใช้กระดาษและดนิ สอในการเขยี นตอบ เพื่อประเมนิ พัฒนาเด็กวยั น้ี

๕. สรปุ ผลการประเมนิ จดั ทาขอ้ มูลและนาผลการประเมินไปใช้พัฒนาเด็ก ขอ้ มูลที่ได้จาก
การสังเกตพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนตามสภาพท่ีพงึ ประสงค์ รวบรวมได้จากการจดั ประสบการณ์
การเรียนรู้ในแตล่ ะหน่วยการเรยี นรู้และการปฏบิ ตั ิกจิ วตั รประจาวนั ผู้สอนต้องนาไปเทียบเกณฑ์การ
ใหร้ ะดับคุณภาพใจ แตล่ ะสภาพที่พึงประสงค์ ตัวบง่ ชี้และมาตรฐานคุณลักษณ์ท่ีพึงประสงค์ พร้อม
จัดทาเป็นข้อมลู สารสนเทศในระดับหอ้ งเรยี นว่า เด็กแต่ละคนมีพฒั นาการใดบา้ งเป็นจดุ เด่นหรือควร
ได้รับการส่งเสริม และนาไปใช้ในการพฒั นาเด็กเป็นรายบคุ คลและใชเ้ ป็นข้อมูลส่อื สารกับผู้ปกครอง
ในการเสรมิ ศักยภาพเด็กเป็นรายบุคคลต่อไป

แนวทางการประเมนิ พัฒนาการตามหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (ฉบับ
ปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๒)

หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (ฉบบั ปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๒)
กาหนดเป้าหมายคณุ ภาพของเด็กปฐมวยั โดยยดึ พฒั นาการเดก็ ปฐมวัยด้านรา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ
สังคม และสตปิ ญั ญา ดังนี้

๑) พฒั นาการดา้ นรา่ งกาย เป็นการเปลย่ี นแปลงความสามารถของร่างกายในการ
เคลือ่ นไหวสุขภาพอนามยั ทีด่ ีรวมถงึ การใชม้ ือกับตาทป่ี ระสานสมั พันธก์ ันในการทากจิ กรรมต่างๆ

การประเมินพฒั นาการด้านรา่ งกาย ประกอบด้วย การประเมนิ นา้ หนักและสว่ นสูงตาม
เกณฑ์ สขุ ภาพอนามัย สขุ นิสัยที่ดี การรู้จักความปลอดภัย การเคลอื่ นไหวและการทรงตวั การเล่น
และการออกกาลังกายและการใชก้ ล้ามเน้อื เล็กอย่างประสานสัมพันธก์ ัน

๒) พฒั นาการด้านอารมณ์ จิตใจ เป็นความสามารถในการแสดงอารมณ์และความรู้สึก
โดยท่เี ดก็ รู้จกั ควบคมุ อารมณ์และแสดงออกอย่างเหมาะสมกบั วัยและสถานการณ์ เพ่ือเผชญิ กับ
เหตกุ ารณ์ต่างๆ ตลอดจนการรูส้ ึกทดี่ ีต่อตนเองและผอู้ ่ืน

การประเมนิ พฒั นาการดา้ นอารมณ์ จติ ใจ ประกอบดว้ ย การประเมนิ ความสามารถใน
การแสดงออกทางอารมณอ์ ย่างเหมาะสมกับวยั และสถานการณ์ ความรู้สกึ ทด่ี ีต่อตนเองและผอู้ ่นื มี
ความเหน็ อกเหน็ ใจ ความสนใจ ความสามารถ และมคี วามสขุ ในการทางานศิลปะ ดนตรี และการ
เคลอ่ื นไหวความรบั ผดิ ชอบในการทางาน ความซื่อสัตย์สุจรติ และรูส้ ึกถูกผดิ ความเมตตากรุณา มี
นา้ ใจและช่วยเหลือแบง่ ปันตลอดจนการประหยดั อดออม และพอเพียง

๓) พฒั นาการดา้ นสงั คม เป็นความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อนื่ ปรับตัวในการ
เลน่ และอยูร่ ว่ มกบั ผ้อู ื่น สามารถทาหน้าทตี่ ามบทบาทของตน ทางานร่วมกับผ้อู นื่ มีความรับผิดชอบ
รู้กาลเทศะ สามารถชว่ ยเหลือตนเองในชวี ติ ประจาวนั เรยี นร้กู ารปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั เด็กอื่น รูจ้ กั รวม
มอื ในการเล่นกบั กลุ่มเพื่อน ปฏิบตั ิตามข้อตกลงในการเล่น รูจ้ กั รอคอยตามลาดับก่อน-หลัง

การประเมนิ พฒั นาการด้านสังคม ประกอบดว้ ย การประเมินความมวี ินยั ในตนเอง การ
ช่วยเหลือตนเองในการปฏบิ ัติกจิ วตั รประจาวนั การระวงั ภายจากคนแปลกหนา้ และสถานการณ์ที่
เสีย่ งอันตราย การดแู ลรกั ษาธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม การมสี ัมมาคาระและมารยาทตามวัฒนธรรม
ไทย รักความเปน็ ไทย การยอมรับความเหมือนความแตกต่างระหว่างบุคคล การมปี ฏิสมั พันธ์ทีด่ กี บั
ผอู้ ่ืน การปฏบิ ตั ิตนเบ้ืองต้นในการเปน็ สมาชิกทดี่ ขี องสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีประมหา
กษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ

๔) พัฒนาการด้านสตปิ ญั ญา เปน็ การเปล่ยี นแปลงความสามารถทางสมองท่ีเกิดขึ้นจาก
การเรยี นรูส้ งิ่ ตา่ งๆ รอบตัว และความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและสิ่งแวดล้อม ดว้ ยการรับรู้ สงั เกต
จดจา วเิ คราะห์ รู้คิด รูเ้ หตผุ ล และแกป้ ัญหา ทาให้สามารถปรบั ตวั และเพิม่ ทกั ษะใหม่ ซึ่ง
แสดงออกดว้ ยการใช้ภาษา สือ่ ความหมายและการกระทา เดก็ วยั นี้สามารถโตตอบหรือมีปฏิสมั พันธ์
กับวัตถแุ ละส่ิงของที่อยู่รอบตัวได้ สามารถจาสงิ่ ต่างๆ ท่ีไดก้ ระทาซา้ กนั บ่อยๆ ไดด้ ี เรยี นรูส้ ง่ิ ต่างๆ
ไดด้ ีขึ้นแต่ยงั อาศยั การรับรเู้ ป็นส่วนใหญ่แก้ปัญหาการลองผิดลองถูกจากการับร้มู ากกว่าการใช้เหตผุ ล
ความคดิ รวบยอดเกีย่ วกับสิง่ ต่างๆ ทีอ่ ยูร่ อบตัวพัฒนาอย่างรวดเรว็ ตามอายุทเ่ี พิ่มขึ้นในสว่ นของ
พัฒนาการทางภาษาของเดก็ วัยน้ี เป็นระยะพัฒนาภาษาอย่างรวดเร็ว โดยมโี อกาสใช้ภาษาจากการ
ทากจิ กรรมตา่ งๆ ในรูปของการสนทนา ตอบคาถาม เล่าเรอ่ื งนทิ านและทากจิ กรรมต่างๆ

การประเมนิ พฒั นาการดา้ นสตปิ ญั ญา ประกอบด้วย การประเมนิ ความสามารถในการ
สนทนาโต้ตอบและเลา่ เร่ืองให้ผอู้ นื่ เข้าใจ ความสามารถในการอ่าน เขียนภาพ และสัญลักษณ์
ความสามารถในการคิดรวบยอม การคิดเชิงเหตุผล การคิดแก้ปญั หาและตดั สินใจ การทางานศิลปะ
การแสดงท่าทาง/เคลื่อนไหวตามจินตนาการและความสร้างสรรค์ การมเี จตคติที่ดตี ่อการเรยี นรแู้ ละ
ความสามารถในการแสดงหาความรู้

สาหรับหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (ฉบบั ปรบั ปรุง พุทธศักราช
๒๕๖๒)ไดก้ าหนดมาตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ทีต่ อ้ งการให้เกดิ ข้ึนในตวั เด็ก เพื่อให้สถานศกึ ษา
และหนว่ ยงานทเี่ กย่ี วขอ้ งท่มี ีหน้าท่รี บั ผดิ ชอบในการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยใช้เป็นจดุ หมายในการ
พัฒนาและการประเมนิ เด็กให้บรรลุคุณภาพตามมาตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ จานวน ๑๒ ข้อ
ดังน้ี

๑. พัฒนาการดา้ นรา่ งกาย ประกอบดว้ ย ๒ มาตรฐาน คือ
มาตรฐานท่ี ๑ ร่างการเจริญเติบโตตามวยั และมีสขุ นิสัยที่ดี
มาตรฐานที่ ๒ กลา้ มเน้ือใหญ่และกล้ามเน้ือเล็กแข็งแรง ใชไ้ ดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคล่วและ

ประสานสมั พนั ธ์กนั
๒. พัฒนาการดา้ นอารมณ์ จิตใจ ประกอบดว้ ย ๓ มาตรฐาน คอื
มาตรฐานที่ ๓ มีสุขภาพจติ ดีและมีความสขุ
มาตรฐานที่ ๔ ชน่ื ชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลอ่ื นไหว
มาตรฐานที่ ๕ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และมีจติ ใจที่ดงี าม
๓. พัฒนาการด้านสงั คม ประกอบด้วย ๓ มาตรฐาน คือ
มาตรฐานท่ี ๖ มที ักษะชวี ติ และปฏบิ ตั ติ นตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มาตรฐานที่ ๗ รกั ธรรมชาติ สง่ิ แวดล้อม วัฒนธรรมและความเปน็ ไทย
มาตรฐานท่ี ๘ อยูร่ ่วมกบั ผู้อื่นได้อยา่ งมีความสขุ และปฏบิ ัตติ นเป็นสมาชกิ ท่ีดีของ

สงั คมในระบอบประชาธปิ ไตย อนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข รวมท้ังเกดิ วัฒนธรรมตอ่ ตา้ น
การทจุ ริต สร้างความตระหนักใหน้ กั เรยี น ยึดถือประโยชนส์ ่วนรวมมากกว่าประโยชน์สว่ นตน มีจติ
พอเพยี งตา้ นทุจริต ละอายและเกรงกลัวท่ีจะไม่ทจุ รติ และไมท่ นต่อการทุจรติ ทุกรปู แบบ

๔. พฒั นาการด้านสติปญั ญา ประกอบด้วย ๔ มาตรฐาน คือ
มาตรฐานท่ี ๙ ใช้ภาษาสอ่ื สารไดเ้ หมาะสมกบั วยั
มาตรฐานท่ี ๑๐ มีความสามารถในการคิดท่ีเปน็ พ้ืนฐานในการเรยี นรู้
มาตรฐานที่ ๑๑ มีจินตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์
มาตรฐานที่ ๑๒ มเี จตคติทีด่ ีตอ่ การเรยี นรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้

ได้เหมาะสมกับวยั
แผนภาพแสดงความเชื่อมโยงของหลักสูตรสถานศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐

(ฉบับปรบั ปรุง พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒) กับการประเมินพัฒนาการ

หลักสตู รสถานศกึ ษา กจิ วตั รประจาวัน การประเมินพฒั นาการ
ปฐมวัย การจดั ประสบการณ์

มาตรฐาน หน่วยการจัด ๑. การวิเคราะห์มาตรฐาน
คณุ ลกั ษณะ ประสบการณ์ ตวั บง่ ช้ี สภาพทพ่ี ึงประสงค์
ที่พงึ ประสงค์ และกาหนดการประเมนิ

ตัวบ่งช้ี

สภาพทพ่ี ึงประสงค์ แผนการจดั ๒. การกาหนดวธิ กี ารและ
ประสบการณ์ เคร่อื งมือทใ่ี ช้ประเมนิ
สาระการเรียนรู้
- ประสบการณส์ าคญั - จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๓. การกาหนดเกณฑก์ าร
- สาระที่ควรเรียนรู้ - สาระการเรยี นรู้ ประเมินและระดับคุณภาพ
- กจิ กรรมการเรยี นรู้
- สือ่ ๔. การดาเนนิ การเกบ็
- การประเมินผล รวบรวมข้อมลู
- บนั ทกึ หลังการจดั
ประสบการณ์ ๕. การสรุปผลการประเมิน
พฒั นาการ

๖. การรายงานผลการประเมิน
และการนาข้อมลู ไปใช้

ขั้นตอนการประเมินพฒั นาการ
การประเมินพัฒนาการตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยท่ีมีคุณภาพและประสิทธิภาพน้ัน

เกิดขึ้นในห้องเรียนขณะจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิบัติกิจวัตรประจาวันของเด็ก มี
ขั้นตอนดงั นี้

๑. การวิเคราะห์มาตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพท่ีพึงประสงค์ และการกาหนดประเด็นการ
ประเมนิ

ผสู้ อนต้องวิเคราะหม์ าตรฐาน ตวั บ่งชี้ สภาพท่พี ึงประสงค์ และกาหนดส่งิ ทีจ่ ะประเมิน
จากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิบัติกิจกวัตรประจาวัน เพื่อวางแผนการประเมิน
พัฒนาการและการตรวจสอบทบทวนความถูกต้อง ความครอบคลุมและความเชื่อมโยง อันจะเป็น
ประโยชน์ในการดาเนินงานประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวัยอยา่ งเป็นระบบ ดังน้ี

๑.๑ การวเิ คราะห์มาตรฐาน ตัวบง่ ชี้ สภาพที่พงึ ประสงค์
การนาหลกั สตู รสถานศึกษาไปสู่การจัดประสบการณ์ ได้มีวเิ คราะหส์ าระการเรียนรู้

รายปที ส่ี อดคลอ้ งของมาตรฐาน ตวั บ่งช้ี สภาพท่พี ึงประสงค์ และสาระการเรยี นร้เู พื่อกาหนดหน่วย
การเรียนรู้ โดยการนาสภาพที่พึงประสงค์ได้จากการวิเคราะห์มากาหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้
ของหน่วยการเรียนรู้นั้นๆ และกาหนดกิจกรรมหนัก ๖ กิจกรรม หรือใช้รูปแบบการจัด
ประสบการณ์ตามท่ีสถานศึกษากาหนดในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้
ดังน้ัน ผู้สอนต้องวางแผนการประเมินพัฒนาการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับมาตรฐาน ตัวบ่งช้ี
และสภาพที่พึงประสงค์

๑.๒ การกาหนดประเด็นการประเมิน เป็นการกาหนดพัฒนาการท่ีต้องการประเมิน
คือ สภาพที่พึงประสงค์ที่นามากาหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้ซ่ึงครอบคลุม
พัฒนาการท้ัง ๔ ด้านในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ และเช่ือมโยงไปยังจุดประสงค์ของแผนการจัด
ประสบการณ์ในแต่ละวัน ดังนั้นประเด็นการประเมินจึงประกอบไปด้วยจุดประสงค์ของแผนการจัด
ประสบการณ์ทส่ี อดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ของหนว่ ยการเรยี นร้นู ั้นๆ

เมื่อกาหนดประเด็นการประเมินได้แล้วให้พิจารณาว่า ในแต่ละจุดประสงค์การ
เรยี นรขู้ องหน่วยการเรียนรสู้ ามารถเกบ็ ข้อมลู การประเมินไดจ้ ากการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ และ
จากกิจวัตรประจาวนั โดยการตรวจสอบข้อมูลท่ีเกิดจากจัดกิจกรรมในแต่ละแผนการจัดประสบการณ์
และการปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน เนื่องจากกิจวัตรประจาวันของเด็กเป็นสิ่งที่ปฏิบัติเป็นประจาซ้าๆ
จนเกดิ เป็นทกั ษะและมกี ารพัฒนาจนเป็นลักษณะนิสัย

๒. การกาหนดวิธีการและเครื่องมือท่ใี ช้ในการประเมินพัฒนาการ
เม่ือผู้สอนกาหนดประเด็กการประเมินพัฒนาได้ชัดเจนแล้ว ข้ันตอนต่อไปคือ การ

กาหนดวิธีการและเครื่องมือท่ีใช้ในการประเมินพัฒนาการ ครูผู้สอนต้องวางแผนและกาหนดวิธีการ
ประเมินให้เหมาะสมกับกิจกรรม เช่น ใช้การสังเกตพฤติกรรม การประเมินผลงาน/ชิ้นงาน การ
พูดคุยหรือสัมภาษณ์เด็ก ฯลฯ วิธีการท่ีครูผู้สอนเลือกใช้ต้องมากกว่า ๒ วิธีการ หรือใช้วิธีการ
หลากหลาย ซึง่ วธิ ีการทเี่ หมาะสมและนยิ มใชใ้ นการประเมินเดก็ ปฐมวัย มีดังตอ่ ไปน้ี

๒.๑ การสังเกตและการบันทึก แบ่งออกเป็น ๒ แบบ ได้แก่ ๑) การสังเกตแบบ
เป็นทางการ คือ การสังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมายท่ีแน่นอนตามแผนที่วางไว้ และ ๒) การสังเกตแบบ
ไมเ่ ปน็ ทางการ
คือ การสังเกตในขณะท่ีเด็กทากิจกรรมประจาวันและเกิดพฤติกรรมที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
ครูผู้สอนต้องจดบันทึกส่ิงที่รวบรวมได้จากการสังเกตอย่างเหมาะสม ทั้งน้ีการบันทึกพฤติกรรม
ความสาคญั อย่างย่ิงทต่ี ้องทาอย่างชัดเจนและสม่าเสมอ เนือ่ งจากเด็กเจริญเตบิ โตและมเี ปล่ียนแปลง
อย่างรวดเร็ว การสังเกตและบันทกึ พฒั นาการเด็กปฐมวยั สามารถใช้แบบง่ายๆ ดังน้ี

๑) แบบบันทึกพฤติกรรมแบบเป็นทางการ โดยกาหนดประเด็นหรือพัฒนาการท่ี
ต้องการสังเกต (สอดคล้องกับสภาพที่พึงประสงค์หรือจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้)
ระบชุ อื่ นามสกลุ เด็ก วนั เดอื น ปี เกิด ไวล้ ว่ งหนา้ รวมท้ังชอ่ื ผทู้ าการสังเกต ดาเนนิ การสังเกต
โดยบรรยายพฤตกิ รรมเดก็ ท่สี งั เกตไว้ตามประเดน็ ผู้สังเกตต้องบนั ทึกวนั เดือน ปที ท่ี าการสังเกตแต่
ละคร้ัง ข้อมูลการสังเกตท่ีครูผู้สอนบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมน้ีจะช่วยให้ครูผู้สอนเข้าใจ
พฤติกรรมเด็กได้ดีขึ้น และทราบว่าเด็กแต่ละคนมีจุดเด่น มีความต้องการ มีความสนใจ หรือ
ต้องการความชว่ ยเกลือในเร่อื งใดบา้ ง

๒) แบบบันทึกพฤติกรรมแบบไม่เป็นทางการ เป็นการบันทึกพฤติกรรม
เหตุการณ์ หรือจากการจัดประสบการณ์ท่ีเกิดขึ้นในชั้นเรียนทุกวัน โดยระบุชื่อ นามสกุล วัน
เดอื น ปีเกดิ เด็ก ผสู้ ังเกต วัน เดือน ปีทีบ่ ันทกึ อาจบนั ทึกโดยใช้การบรรยาย ใคร ทาอะไร ที่ไหน
ทาอย่างไร ซึ่งจะเน้นเฉพาะเด็กรายกรณีที่ต้องการศึกษา ควรมีรายละเอียดและข้อมูลที่ชัดเจน
ครูผู้สอนควรบรรยายส่ิงที่เด็กทาได้มากกว่าสิ่งท่ีเด็กทาไม่ได้ และวิเคราะห์ประเด็นการประเมินตาม
สภาพที่พึงประสงค์อย่างเป็นระบบ ข้อมูลในการบันทึกต้องเป็นตามความเป็นจริง ซ่ึงข้อดีของการ
บันทึกรายวัน คือ การชี้ให้เห็นความสามารถเฉพาะอย่างของเด็ก จะช่วยครูผู้สอนได้พิจารณา
ปัญหาของเด็กเป็นรายบุคคล รวมท้ังช่วยให้ผู้เช่ียวชาญมีข้อมูลสาหรับวินิจฉัยเด็กได้ชัดเจนขึ้นว่า
สมควรจะไดร้ บั คาปรกึ ษาเพื่อลดปัญหา หรือสง่ เสรมิ พัฒนาการของเดก็ ได้อย่างถูกต้องและเปน็ ข้อมูล
ในการพจิ ารณาปรับปรุงแกไ้ ขหรอื พฒั นาการจัดกจิ กรรมและประสบการณ์ของครูให้ดยี ิง่ ขน้ึ

๓) แบบสารวจรายการ โดยกาหนดประเด็กหรือพัฒนาการที่ต้องการสารวจ
(สอดคล้องกับสภาพท่ีพึงประสงคห์ รือจุดประสงค์การเรียนรู้ของหนว่ ยการเรียนรู)้ ระบุชื่อ นามสกุล
เด็ก วนั เดือน ปี เกิด ล่วงหน้า มกี ารกาหนดรายการพฤตกิ รรมทีต่ ้องการสารวจละเอียดข้ึน และ
กาหนดเกณฑ์ในการสารวจพฤติกรรม เช่น ปฏิบัติ-ไม่ปฏิบัติ ทาได้-ทาไม่ได้ เป็นต้น ช่วยให้ครู
สามารถบันทึกได้สะดวกขึ้น ควรมีการสารวจพฤติกรรมในเร่ืองเดียวกันอย่างน้อย ๓ คร้ัง เพื่อ
ยนื ยนั วา่ เดก็ ทาได้จรงิ

ข้อพึงระวังในการสงั เกตพฤตกิ รรมของเด็ก
ระหวา่ งการสังเกต ไม่ควรแปลความพฤติกรรมของเดก็ ให้สังเกตการแสดงออกของเดก็ ทเี่ ด็กใช้

ประสาทสัมผสั ท้งั ๕ คือ ตา หู จมกู ลิน้ และรา่ งกายหรอื สัมผัส การแปลความจะดาเนินการหลังเสรจ็ สิ้น
การสังเกตในสว่ นของการบนั ทกึ ครูอาจบันทกึ ย่อหรือทาสัญลกั ษณ์ไวแ้ ละบันทึกเป็นหลักฐานทันทเี มื่อมีเวลา

๒.๒ การบันทึกการสนทนา เปน็ การบนั ทกึ การสนทนาทง้ั แบบเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล
เพ่ือประเมินความสามารถในการแสดงความคิดเห็นและพัฒนาการด้านการใช้ภาษาของเด็ก
ความสามารถในการคิดรวบยอด การแก้ปัญหา รวมถึงพัฒนาการด้านสังคม อารมณ์ จิตใจ และ
บันทกึ ผลการสนทนาลงในแบบบนั ทึกพฤตกิ รรมหรือบนั ทกึ รายวัน โดยระบุ ช่ือ นามสกุล อายเุ ด็ก
ภาคเรียนท่ี และกิจกรรมที่ใช้สนทนา ช่องที่ใช้ในการบันทึกในแบบสนทนาให้ระบุ วัน เดือน ปี /
คาพูดของเด็ก / ความคิดเห็นของครูผู้สอนที่สะท้อนพฤติกรรมที่แสดงออกของเด็กสอดคล้องกับ
สภาพท่ีพึงประสงค์หรือจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียน ซ่ึงข้อมูลเหล่านนี้จะเป็นส่วนหนึ่ง
ในการพจิ ารณาการผ่านสภาพทพ่ี ึงประสงค์ทเ่ี ก่ียวข้องในแต่ละเรื่อง

๒.๓ การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการพูดคุยกับเด็กเป็นรายบุคคลและควรจัดในสภาวะ
แวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดและวิตกกังวล ครูผู้สอนควรใช้คาถามที่เหมาะสมเปิด
โอกาสให้เด็กได้คิดและตอบอย่างอิสระจะทาให้ครผู ูส้ อนสามารถประเมินความสามารถทางสติปัญญา
ของเด็กและค้นพบศักยภาพในตัวเด็กได้โดยบันทึกข้อมูลลงในแบบสัมภาษณ์ ครูผู้สอนควรปฏิบัติ
ดังนี้

การเตรียมการก่อนการสัมภาษณ์ โดยกาหนดวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์
กาหนดคาพดู /คาถามท่ีจะพดู กับเด็ก ควรเปน็ คาถามทเ่ี ด็กสามารถตอบโตห้ ลากหลายไม่มีผดิ /ถูก

การปฏิบัติขณะสัมภาษณ์ ครูผู้สอนควรสร้างความคุ้นเคยเป็นกันเอง สร้าง
สภาพแวดล้อม ทีอ่ บอุ่นไม่เคร่งเครยี ด ใช้คาถามท่ีกาหนดไว้ถามเด็กที่ละคาถาม ใหเ้ ด็กมโี อกาสคิด
และมเี วลาในการตอบคาถามอยา่ งอสิ ระ ใชร้ ะยะเวลาสมั ภาษณไ์ มค่ วรเกนิ ๑๐ นาที

หลงั การสมั ภาษณ์ บันทกึ ในแบบสัมภาษณ์ ให้บันทกึ คาพดู ของเด็กตามความเป็น
จริง หลังเสร็จการสมั ภาษณ์ครผู ูส้ อนค่อยพิจารณาข้อมูลจากคาพูดเด็กและลงความคิดเหน็ ท่สี ะท้อน
พฤตกิ รรมทีแ่ สดงออกของเด็ก สอดคล้องกับสภาพที่พึงประสงคห์ รือจดุ ประสงค์การเรยี นรขู้ องหน่วย
การเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ซ่ึงข้อมูลเหล่านี้จะเป็นส่วนหน่ึงในการพิจารณาการผ่านสภาพท่ีพึงประสงค์ท่ี
เกย่ี วขอ้ งในแตล่ ะเร่ือง

๒.๔ สารนทิ ศั นส์ าหรบั เด็กปฐมวัยเพอ่ื การประเมนิ พัฒนาการ
การจัดทาสารนิทัศน์ (Documentation) เป็นการจัดทาข้อมูลท่ีเป็นหลักฐานหรือ

แสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจากการทา
กิจกรรมทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม ซ่ึงหลักฐานและข้อมูลที่บันทึกเป็นระยะๆ จะเป็นข้อมูลอธิบาย
ภาพเด็ก สามารถบ่งบอกถึงพัฒนาการท้ังด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา สาร
นิทัศน์จึงเป็นการประมวลผลที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการจัดประสบการณ์ของครูและร่องรอยผลง
นของเด็ก จากการทากิจกรรมท่ีสะท้อนถึงพัฒนาการในด้านต่างๆ การจัดทาสารนิทัศน์จึงเป็นส่วน
หน่งึ ของกระบวนการวดั และประเมนิ พัฒนากรเด็กปฐมวัย ซึ่งมหี ลายรูปแบบ ได้แก่

๑) พอรต์ โฟลโิ อสาหรบั เด็กเปน็ รายบุคคล เชน่ การเก็บชิน้ งานหรอื ภาพถ่ายเด็ก
ขณะทากิจกรรมมีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการบันทึกเสียง บันทึกภาพที่แสดงให้เห็นถึง
ความกา้ วหน้าในงานทเี่ ดก็ ทา เป็นตน้

๒) การบรรยายเก่ียวกับเร่ืองราวหรือประสบการณ์ท่ีเด็กได้รับ เช่น การสอน
แบบโครงการ (Project Approach) สามารถให้สารนิทัศน์เก่ียวกับพัฒนาการเด็กทุกด้าน ท้ัง

ประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กและการสะท้อนตนเองของครู เด็กกับเด็ก การบันทึกของครู การ
บรรยายของพ่อแม่ผู้ปกครองในรูปแบบหนังสือหรือจดหมาย แม้กระทั่งการจัดแสดงบรรยายสรุปให้
เห็นภาพการเรยี นรทู้ ัง้ หมด

๓) การสังเกตและบันทึกพัฒนาการเด็ก เช่น ใช้แบบสังเกตพัฒนาการ การ
บนั ทกึ สัน้

๔) การสะท้อนตนเองของเด็ก เป็นคาพูดหรือข้อความที่สะท้อนความรู้ ความ
เข้าใจ ความรู้สึกจาการสนทนา การอภิปรายแสดงความคิดเห็นของเด็กขณะทากิจกรรม ซึ่งอาจ
บันทึกดว้ ยเทคโนโลยีบนั ทึกเสียง หรือบนั ทึกภาพ

๕) ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม ที่แสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้ ความสามารถ
ทักษะ จิตนินัยของเด็ก ครูสามารถนาผลงานของเด็กมาใช้พิจารณาพัฒนาการและกระบวนการ
ทางานของเด็ก ครูส่วนใหญ่มักจะเก็บผลงานการเขียนและผลงานศิลปะ อย่างไรก็ตามครูควรเก็บ
ผลงานหลากหลายประเภทของเด็ก เช่น ภาพเขียน การร่วมระดมความคิดเห็นและเขียนออกมาใน
ลักษณะใยแมงมุม การแสดงออกทางดนตรี การก่อสร้างในรูปแบบต่างๆ ตัวอย่างคาพูด เป็นต้น
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเก็บข้อมูลหลักฐานเพื่อประเมินการเรียนรู้และประเมินพัฒนาการของ เด็ก
วัยขา้ งตน้

➢ การจัดทาสารนิทัศน์ที่หลากหลายจะช่วยครูในแง่ของการตรวจสอบคุณภาพของการศึกษาท่ีดี
เน่ืองจากการศึกษาในปัจจุบันเน้นการประเมินเพ่ือตรวจสอบความเข้มแข็งของการศึกษา ซ่ึงส่งผลให้
สถานศึกษาหรอื สถานพัฒนาเด็กปฐมวยั และหน่วยงานทีจ่ ัดการศึกษาปฐมวยั ตอ้ งปรบั ปรุงประสิทธิภาพของ
การจัดการศกึ ษาอยา่ งสม่าเสมอ ทาให้บางหน่วยงานนาแบบทดสอบมาตรฐานซึง่ ไม่เหมาะสมมาประเมินเด็ก
ปฐมวยั

➢ ผู้สอนท่ีจัดทาสารนิทัศน์อย่างสม่าเสมอ จะจัดประสบการณ์ให้กับเด็กได้สอดคล้องปัญหาและ
พฒั นาการเด็ก ซงึ่ นาไปสู่การพัฒนาสมองอย่างชัดเจน สารนทิ ศั นส์ ามารถช่วยครูใหจ้ ัดประสบการณ์ได้ตรง
ประเด็น เนอื่ งจากงานวิจัยเกยี่ วกับสมอง พบว่า เด็กจะเกิดการเรียนรไู้ ด้ดี หากเข้าไปมสี ่วนรว่ มและลงมือ
ปฏิบัติ กระบวนการเรียนรู้ท่ีสัมพันธ์กับความรู้สึกและอาวรณ์มีความสาคัญอย่างย่ิงต่อการเรียนรู้ของเด็ก
เช่น เด็กรู้สึกต่อการอ่านอย่างไร? เด็กต้องการเรียนอ่านหรือไม่? ความรู้สึกนี้จะมีผลกระทบต่อการอ่าน
ของเด็กในระยะวาว ดังน้ันการทดสอบด้วยข้อสอบมาตรฐานไม่ช่วยเด็กเลยในด้านจิตใจและความสามารถ
ซ่ึงต่างจากการใช้สารนิทัศน์ในการประเมิน จากผลการวิจับ พบว่า สมองจะทางานต่อเน่ือง ไม่แยกส่วน
เป็นวิชาหรือเป็นเร่ือง ดังนั้น การใช้แบบทดสอบประเมินเป็นการแยกส่วนของสมอง ซ่ึงจะไม่บอกถึง
ความสามารถในการบรู ณาการความร้ขู องเด็กทีแ่ ท้จรงิ แต่การรวบรวมผลงานของเด็กจะบอกให้ครูรู้ว่า เด็ก
คดิ และบรู ณาการความคิดของตนอย่างไร

๒.๕ การประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก เป็นการประเมินการเจริญเติบโตด้าน
ร่างกายของเด็ก ซึ่งการพิจารณาการเจริญเติบโตในเด็กที่ใช้ทั่วๆ ไปอย่างต่อเน่ือง ได้แก่ น้าหนัก
ส่วนสูง เส้นรอบศีรษะ ฟัน และการเจริญเติบโตของกระดูก สาหรับแนวทางประเมินการ
เจรญิ เติบโต มดี งั นี้

๒.๕.๑ การประเมินการเจริญเติบโต โดยการช่ังน้าหนักและวัดส่วนสูงเด็กแล้ว
นาไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ปกติในการแสดงน้าหนักตามเกณฑ์อายุของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งใช้
สาหรับตดิ ตามการเจริญเติบโตโดยรวม

ขอ้ ควรคานงึ ในการประเมินการเจริญเตบิ โตของเดก็
๑) เดก็ แตล่ ะคนมีความแตกต่างกันในด้านการเจริญเติบโต บางคนรูปร่างอว้ นบางคนผอม บางคน
รา่ งใหญ่ บางคนรา่ งเลก็
๒) ภาวะโภชนาการเป็นตัวสาคัญท่เี กย่ี วข้องกับขนาดของรปู รา่ ง แต่ไมใ่ ชส่ าเหตเุ ดียว
๓) กรรมพนั ธ์ุ เดก็ อาจมรี ปู รา่ งเหมือนพ่อหรือแมค่ นใดคนหนึ่ง ถ้าพ่อหรือแมเ่ ตีย้ ลูกอาจเต้ยี และ
กรณนี ้ีอาจมนี ้าหนักตา่ กวา่ เกณฑเ์ ฉล่ยี ไดแ้ ละมักจะเปน็ เด็กทีท่ านอาหารไดน้ ้อย
๔) ช่วงครึ่งหลังของขวบปีแรก น้าหนักเด็กจะข้ึนช้า เน่ืองจากห่วงเล่นมากขึ้นและความอยาก
อาหารลดลง

๒.๕.๒ การตรวจสุขภาพอนามัย เป็นการตรวจสอบท่ีแสดงคุณภาพชีวิตของเด็ก
โดยพิจารณาความสะอาด ส่ิงผิดปกติของร่างกายท่ีจะส่งผลต่อการดาเนินชีวิตและการเจริญเติบโต
ของเดก็

๓. การกาหนดเกณฑก์ ารประเมินและระดับคุณภาพ
การกาหนดเกณฑ์การประเมินและการใหร้ ะดับคุณภาพ ผลการประเมินพัฒนาการของ

เด็กท้ัง ๔ ด้าน ในแต่ละสภาพท่ีพึงประสงค์ เพ่ือเช่ือมโยงไปสู่การผ่านตัวบ่งชี้และมาตรฐาน
คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ดังนั้น ในระดับช้ันเรียนและระดับสถานศึกษาควรกาหนดในลักษณะ
เดียวกัน สถานศึกษาสามารถกาหนดเกณฑ์การประเมินและการให้ระดับคุณภาพผลการประเมิน
พัฒนาการของเด็กท่ีสะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์หรือ
พฤติกรรมท่ีจะประเมิน เป็นระบบตัวเลข เช่น ๓, ๒, ๑ หรือ เป็นระบบที่ใช้คาสาคัญ เช่น ดี,
พอใช,้ ควรส่งเสริม ตามทสี่ ถานศึกษากาหนด

การกาหนดเกณฑ์การประเมินและการให้ระดับคณุ ภาพ

ระบบ ระบบทใี่ ช้ ความหมาย
ตัวเลข คาสาคญั

๓ ดี ปรากฏพฤติกรรมตามชว่ งอายุ เป็นไปตามสภาพท่พี ึงประสงค์

๒ พอใช้ ปรากฏพฤติกรรมตามชว่ งอายุ เป็นไปตามสภาพทพ่ี ึงประสงค์ โดยมกี ารกระตนุ้

๑ ควรสง่ เสริม ไมป่ รากฏพฤตกิ รรมตามชว่ งอายทุ เี่ ปน็ ไปตามสภาพที่พึงประสงค์

เพื่อนาไปสู่การกาหนดเกณฑ์การประเมินตามสภาพท่ีพึงประสงค์ที่กาหนดไว้ตามหลักสูตรการศึกษา
ปฐมวยั พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (ฉบับปรับปรงุ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒) สถานศกึ ษาอาจกาหนดคาอธิบายคุณภาพ
ตามระดับคณุ ภาพของสภาพท่ีพงึ ประสงค์ของพฒั นาการแต่ละด้านเป็น ๓ ระดับ ดังน้ี

คาอธบิ ายคุณภาพตามระดับคุณภาพ

ดา้ นรา่ งกาย : กระโดดขาเดียวไปข้างหนา้ อยา่ งต่อเนอ่ื งโดยไมเ่ สยี การทรงตวั

ระดับคณุ ภาพ คาอธิบายคุณภาพ

๓ หรอื ดี กระโดดขาเดียวไปขา้ งหน้าอย่างต่อเนอื่ งโดยไม่เสยี การทรงตวั ได้อย่างคล่องแคลว่

๒ หรือ พอใช้ กระโดดขาเดยี วไปข่างหนา้ อย่างตอ่ เนอ่ื งโดยไมเ่ สยี การทรงตวั เปน็ บางครั้ง

๑ หรอื ควรสง่ เสริม กระโดดขาเดยี วไปข้าหน้าอยา่ งต่อเนื่องไม่ได้

ด้านอารมณ์ : สนใจ มคี วามสขุ และแสดงออกผา่ นงานศลิ ปะ

ระดบั คุณภาพ คาอธิบายคุณภาพ

๓ หรือ ดี แสดงสหี น้า ทา่ ทางสนใจ และมีความสขุ ขณะทางานทกุ ช่วงกิจกรรมศลิ ปะ

๒ หรือ พอใช้ แสดงสีหน้า ทา่ ทางสนใจ และมีความสขุ ขณะทางานบางช่วงกิจกรรมศลิ ปะ

๑ หรอื ควรสง่ เสรมิ ไม่แสดงสหี นา้ ท่าทางสนใจ ขณะทางานช่วงกิจกรรมศิลปะ

ดา้ นสงั คม : ใชส่ ิ่งของเคร่ืองใช้อยา่ งประหยัดและเพียงพอด้วยตนเอง

ระดับคุณภาพ คาอธิบายคุณภาพ

๓ หรือ ดี ใช้สงิ่ ของเครื่องใชอ้ ยา่ งประหยัดและเพียงพอตามความจาเป็นทุกคร้ัง

๒ หรือ พอใช้ ใชส้ ง่ิ ของเครอื่ งใช้อย่างประหยัดและเพยี งพอตามความจาเป็น เป็นบางครงั้

๑ หรือ ควรสง่ เสริม ใช้สง่ิ ของเครื่องใช้เกินความจาเปน็

ด้านสติปญั ญา : เขียนช่อื ของตนเองตามแบบ เขยี นข้อความด้วยวิธที ี่คดิ ข้นึ เอง

ระดบั คณุ ภาพ คาอธบิ ายคุณภาพ

๓ หรอื ดี เขียนช่ือตนเองตามแบบได้ ตัวอักษรไม่กลับหัว ไม่กลับด้าน ไม่สลับที่ และเขียน

ขอ้ ความด้วยวธิ ที ค่ี ดิ ขน้ึ เองได้

๒ หรอื พอใช้ เขียนช่ือตนเองตามแบบได้ มีอักษรตามตัวกลับหัว กลับด้านหรือสลับท่ีมีความ

พยายามทจี่ ะเขียนข้อความที่คิดขึ้นเอง

๑ หรอื ควรส่งเสริม เขยี นชือ่ ตนเองไม่ได้ หรือเขยี นเป็นสัญลกั ษณท์ ไี่ ม่เปน็ ตัวอักษร

๔. การดาเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
เมื่อผู้สอนวางแผนการประเมินพัฒนาการแล้วควรทาการสังเกตพฤติกรรมของเด็กเป็น

รายบุคคลหรือรายกลุ่ม ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เช่น การพูดคุย หรือสัมภาษณ์เด็ก หรือการ
ประเมินผลงาน/ชิ้นงานของเด็กอย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมข้อมูลพัฒนาการของเด็กให้ครอบคลุม
เดก็ ทุกคนแล้วสรปุ ลงในแบบบันทึกผลการประเมนิ สภาพท่พี ึงประสงค์

ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพท่ีพึงประสงค์ ผู้สอน
ควรเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นรายบุคคล โดยสภาพที่พึงประสงค์ ๑ ตัว ควรได้รับการประเมิน
พฒั นาการอย่างน้อย ๒ คร้งั ต่อ ๑ ภาคเรยี น ระยะแรกควรเป็นประเมินเพ่ือความก้าวหน้าไม่ควร

เป็นการประเมินเพื่อตัดสินพัฒนาการของเด็ก ดังนั้น การเก็บรวบรวมข้อมูลการประเมินพัฒนาการ
ตามสภาพทพี่ ึงประสงค์ จงึ เปน็ การสะสมเพื่อยืนยนั วา่ เดก็ เกิดพัฒนาการตามสภาพที่พึงประสงค์นั้นๆ
ชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือ

๕. การสรุปผลการประเมินพัฒนาการเดก็
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ กาหนดเวลาเรียนสาหรับเด็กปฐมวัย

ต่อปีการศึกษา ไม่น้อยกว่า ๑๘๐ วัน สถานศึกษาจึงควรบริหารจัดการเวลาเรียนให้เกิดประโยชน์
สูงสุดต่อการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้านและสมดุล ผู้สอนต้องเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมที่แสดงถึง
พฒั นาการของเดก็ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มกี ารประเมนิ ซ้าของพฤตกิ รรมนัน้ ๆ เพ่อื ยนื ยนั ความเชื่อม่นั ของผล
การประเมนิ สรปุ ผลการประเมนิ พฒั นาการเด็กตามสภาพที่พงึ ประสงคใ์ ห้ครบทุกสภาพที่พงึ ประสงค์
ซึ่งจะเช่ือมโยงไปสู่การสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กรายตัวบ่งช้ี รายมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึง
ประสงค์และในภาพรวมพัฒนาการรายดา้ นของเด็กแต่ละคนตามลาดับ

สถานศึกษาควรสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กรายตัวบ่งชี้ รายมาตรฐานคุณลกั ษณ์
ที่พึงประสงค์ และในภาพรวมของพัฒนาการรายด้าน ภาคเรียนละ ๑ คร้ัง สาหรับแนวทางการ
สรุปผลการประเมินพฒั นาการเด็กตามสภาพท่ีพงึ ประสงค์ในแต่ละตัวบ่งชี้ควรใชฐ้ านนิยม (Mode) ไม่
ควรนาค่าระดบั คณุ ภาพของสภาพทพ่ี ึงประสงคม์ าหาค่าเฉลย่ี ในกรณีมีฐานนิยมมากกว่า ๑ ฐานนยิ ม
คือ มีระดับคุณภาพซ้ามากกว่า ๑ ระดับคุณภาพ การสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กในแต่ละ
ตัวบ่งช้ีให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา โดยคานึงถึงปรัชญาการศึกษา และหลักการของหลักสูตร
การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ รวมท้งั การนาขอ้ มลู ผลการประเมนิ ไปใช้เพ่อื พฒั นาเด็กต่อไป

๖. การรายงานผลการประเมนิ พฒั นาการและการนาขอ้ มลู ไปใช้
การรายงานผลการประเมินพัฒนาการเป็นการสื่อสารให้พ่อแม่ ผู้ปกครองและ

ผู้เก่ียวข้องได้ทราบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของเด็ก ซ่ึงสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมิน
พัฒนาการและจัดทาเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ ๑
คร้ัง การรายงานผลการประเมินพัฒนาการสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพตามพฤติกรรมท่ี
แสดงออกถึงพัฒนาการแต่ละด้านท่ีสะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้ง ๑๒ ข้อตาม
หลกั สตู รศึกษาปฐมวยั

๖.๑ จุดมงุ่ หมายการรายงานผลการประเมนิ พฒั นาการ
๑) เพื่อให้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และผู้เก่ียวข้องใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไข
ส่งเสริม และพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพตามมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ในหลักสูตรการศึกษา
ปฐมวัย
๒) เพ่ือให้ผู้สอนใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้มี
ประสิทธิภาพย่งิ ข้นึ
๓) เพื่อเป็นข้อมูลสาหรับสถานศึกษา เขตพ้ืนท่ีการศึกษาและหน่วยงานต้นสังกัดใช้
ประกอบในการกาหนดนโยบายวางแผนพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา

๖.๒ ขอ้ มูลในการรายงานผลการประเมนิ พฒั นาการ


Click to View FlipBook Version