คำ�น�ำ
ผ้ายกลายราชวัตรโคมหรือผ้ายกลายราชวัตรดอกใหญ่ เป็นท่ีนิยม
แพรห่ ลายและเปน็ ทักษะความชำ�นาญของช่างทอในพนื้ ทส่ี รุ าษฎรธ์ านีสบื เนอ่ื ง
มานานนับร้อยปี ดังปรากฏหลักฐานว่า เม่ือปีพุทธศักราช ๒๔๐๓ มีหนังสือ
จากราชสำ�นักแจ้งมายังพระยาไชยาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ตอ้ งพระราชประสงคผ์ า้ ราชวตั ร ส�ำ หรบั พระราชทานพระบรมวงศานวุ งศท์ ง้ั ขา้ ง
หนา้ ขา้ งใน จงึ โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานไหมและคา่ แรงใหพ้ ระยาไชยาจดั การให้
ช่างทอเมืองไชยา (ปัจจุบันคือ อำ�เภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ทอเข้าไป
ทูลเกล้าฯ ถวาย ณ กรุงเทพมหานคร
ผ้ายกลายราชวัตรโคมหรือผ้ายกลายราชวัตรดอกใหญ่ มีลักษณะ
โครงสร้างรวมอยู่ในรูปตารางสี่เหล่ียมแนวตะแคงทำ�นองเดียวกับร้ัวราชวัตร
สำ�หรับกำ�หนดขอบเขตมณฑลพิธี จึงสื่อถึงความหมายมงคลเปรียบประดุจ
ร้ัวราชวัตร น�ำ มาซ่ึงคุณงามความดี สิริมงคล และชว่ ยปกปักรักษาผูส้ วมใส่
ดังนั้น จังหวัดสุราษฎร์ธานีจึงได้คัดเลือกผ้ายกลายราชวัตรโคมหรือ
ผา้ ยกลายราชวัตรดอกใหญ่ เป็นลายผ้าอตั ลกั ษณ์ประจำ�จังหวัด
เพอ่ื เปน็ การเฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชชนิ นี าถ
พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง เนอื่ งในวโรกาสทรงเจรญิ พระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ าษฎรธ์ านี ไดจ้ ดั พมิ พห์ นงั สอื “ลายผ้าอัตลักษณ์ประจำ�
จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี ผา้ ยกลายราชวตั รโคม” เผยแพร่
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ าษฎรธ์ านี
สารบญั ๑
๒๕
ผ้ายกลายราชวัตรโคม ๒๕
ลักษณะพเิ ศษหรอื เอกลักษณ์ของผา้ ยกพุมเรียง ๒๗
วตั ถดุ ิบ ๔๗
กระบวนการทอ ๖๘
ลักษณะของลวดลาย ๗๑
การทอผา้ ยกลายราชวัตรโคม ๗๓
เอกสารอา้ งองิ
การพัฒนาต่อยอดและยกระดบั ผ้ายกลายราชวตั รโคม
ผ้ายกลายราชวัตรโคม
จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมที่สำ�คัญของภูมิภาค
เคยเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจักรศรีวิชัย รัฐการค้าทางทะเลท่ีเจริญรุ่งเรืองใน
ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๘ เปน็ พนื้ ทีพ่ หุวัฒนธรรมทมี่ ีความหลากหลายทาง
วัฒนธรรม งานประณีตศิลป์อนั เป็นมรดกทางวัฒนธรรมทที่ รงคุณค่าของชมุ ชน
ซง่ึ เกิดจากการสรา้ งสรรคข์ องผคู้ น มีการถา่ ยทอดสืบเนือ่ งกนั มาเปน็ ระยะเวลา
ยาวนาน นั่นกค็ ือ ผา้ ทอพ้ืนถ่ิน ซ่งึ ประกอบด้วย ผา้ ยก ผ้าตา ผ้าร้วิ ผ้าพ้ืน และ
ผ้าขาวม้า เปน็ ตน้
บรเิ วณภาคใตต้ อนบนของพระราชอาณาจกั รไทยในปจั จบุ นั มอี าณาเขต
นับตัง้ แตจ่ งั หวัดชมุ พรลงไปจนกระทั่งถงึ จงั หวัดสงขลา ประชากรสว่ นใหญเ่ ป็น
ชาวสยาม นับถอื พระพทุ ธศาสนา ในอดีตกาลผู้คนในดินแดนแถบนมี้ วี ฒั นธรรม
การนงุ่ หม่ และแตง่ กาย เฉกเชน่ เดยี วกบั ชาวสยามซงึ่ ตงั้ ถน่ิ ฐานอยใู่ นบรเิ วณทร่ี าบ
ล่มุ แม่น้ําเจ้าพระยา
1
ในงานเขยี นของคณุ ธรรมทาส พานชิ เรื่อง “พนม ทวารวดี ศรีวชิ ัย”
ได้กล่าวถึงหลักฐานในเอกสารจีนฉบับหน่ึงบันทึกถึงผ้าทอยกดอกด้วยเส้นเงิน
เสน้ ทองของรฐั ตนั้ -มา-หลงิ่ ซง่ึ หมายถงึ ตามพรลงิ คห์ รอื นครศรธี รรมราช มใี จความ
วา่ “อากาศในรฐั นอ้ี บอนุ่ สบาย ผชู้ ายผหู้ ญงิ ลว้ นเกลา้ ผมไวเ้ ปน็ ปม เครอ่ื งแตง่ กาย
มีเสื้อผ้าขาว และนุ่งผ้าฝ้ายดำ� ในพิธีแต่งงานพวกเขาใช้แพรเลี่ยน ผ้ายกดอก
ผา้ มีลวดลายเส้นเงนิ เส้นทอง” (ธรรมทาส พานชิ , ๒๕๑๕ : ๒๔๕)
นอกจากน้ีในเอกสารจีนยังกล่าวถึงการทอผ้าของเมืองหรือชุมชน
โบราณแห่งหน่ึง ช่ือ “คันโทลี” ซ่ึงเชื่อกันว่าอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย
อาจจะเป็นตำ�บลคันทุลี ในอำ�เภอท่าชนะ ทางตอนเหนือของอำ�เภอไชยา
ในปจั จบุ นั (จังหวดั สุราษฎร์ธาน)ี เชน่ พงศาวดารจนี สมยั เหลียง (พ.ศ. ๑๐๔๕ -
๑๐๙๙) บันทึกเกี่ยวกับประเทศคันโทลีว่า “ประเทศนี้ทอผ้าเป็นลวดลายและ
สีต่าง ๆ มีสินค้าผ้าและหมาก สินค้าเหล่านี้ของประเทศนี้ มีคุณภาพดีกว่า
ของประเทศใด” (ธรรมทาส พานิช, ๒๕๑๕ : ๖๙)
จากเอกสารดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าดินแดนในภาคใต้ของ
ประเทศไทยในปัจจุบัน มีพัฒนาการเทคโนโลยีการทอผ้าอยู่ในระดับสูง และ
คงจะมีพัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างต่อเน่ือง แม้จะไม่มีการบันทึกเป็น
ลายลักษณ์อักษร แต่มีหลักฐานด้านวรรณกรรมมุขปาฐะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เพลงกล่อมเด็กพ้ืนบ้านภาคใต้ แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของวัฒนธรรม
ด้านงานช่างฝีมือประเภทนี้ตลอดมา มีการนำ�เรื่องราวการทอผ้าซึ่งภาษา
พื้นเมืองเรียกว่า “ทอหูก” หรือ “ทอโหก” มาแต่งเป็นบทกลอนสำ�หรับใช้
กล่อมเด็ก ดงั เช่น
2
บทเพลงกล่อมเด็กของจังหวัดสงขลา ชี้ให้เห็นว่าสตรีท่ีทำ�งานเก่งต้อง
ท�ำ ได้ทกุ ส่งิ รวมทั้งการทอผ้า คอื
“ลูกสาวเหอ ลูกชาวบา้ นนอก
นัง่ อยโู่ รงนอก คอื ดอกดาวรงิ
ทอโหกทอฝา้ ย ทำ�ได้ทกุ ส่ิง
คอื ดอกดาวรงิ ทุกสิ่งนอ้ งทำ�ได้”
(อุบลศรี อรรถพนั ธ์,ุ ๒๕๒๙ : ๒๒)
บทเพลงกลอ่ มเด็กของหมู่ท่ี ๒ บา้ นหัวเลน ตำ�บลพมุ เรียง อ�ำ เภอไชยา
จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี แสดงใหเ้ ห็นความขยันหมัน่ เพยี ร ไม่ทอ้ ถอยในดา้ นการทอ
ผา้ ของสตรพี มุ เรียง ซง่ึ ตอ้ งฝึกฝนเรยี นรู้ต้งั แตย่ ังเล็ก คือ
“ทอหูกเหอ ทอฟืมย่ีสิบหา้
ก้มแลเน้อื ผา้ ลอดหลงั นิ้วก้อย
หาไม่แม่เหอ ตัวหนูยังน้อย
ลอดหลงั นิ้วก้อย ตวั ฉันยังน้อยอยู่เหอ”
(อบุ ลศรี อรรถพันธ์ุ, ๒๕๒๙ : ๒๒)
มบี ทเพลงกลอ่ มเดก็ ทกี่ ลา่ วถงึ ผา้ ทอพนื้ ถนิ่ ประเภทผา้ ยก คอื บทเพลง
กลอ่ มเด็กของจังหวัดนครศรธี รรมราช ท่วี ่า
“เมืองคอนเหอ มีผา้ ลายทองเป็นพบั พบั
จัดเปน็ ส�ำ รบั ประดับทองห่างหา่ ง
จะนงุ่ กไ็ ม่สม จะห่มกไ็ มค่ วรเจ้าเอวบาง
ประดบั ทองห่างห่าง สำ�หรับขนุ นางนงุ่ ”
(วิมล ดำ�ศร,ี ๒๕๒๖ : ๒๒๗)
3
ในชว่ งยคุ สมัยกรงุ รตั นโกสินทรต์ อนตน้ ระหวา่ งพทุ ธศักราช ๒๓๒๕ -
๒๔๕๓ มีเอกสารของทางราชการหลายฉบับ มีเนื้อหาสาระเกี่ยวพันกับการ
สงั่ ทอผา้ เพอื่ น�ำ มาใชก้ จิ การของราชส�ำ นกั และรายการสง่ มอบสงิ่ ทอของหวั เมอื ง
ในภาคใต้ตอนบนให้แก่ราชสำ�นักนับตั้งแต่เมืองชุมพร ไชยา นครศรีธรรมราช
เร่อื ยลงไปจนถงึ เมืองสงขลา ดงั เช่น
หนังสือพระยาสีเสาราชฯ มีถึงพระยาสงขลา พระยาไชยา และ
พระยาชุมพร ลงวันท่ีตรงกับวันอังคาร ข้ึน ๓ คํ่าเดือน ๗ จุลศักราช ๑๒๒๒
ปีวอก โทศก (๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๐๓) บอกกล่าวเร่ืองพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ดำ�รัสว่าต้องพระราช
ประสงคผ์ า้ ยกตาราชวตั ร เปน็ ตน้
4
หนังสือพระยาสีเสาราชฯ มีถงึ พระยาสงขลา พระยาไชยา และพระยา
ชุมพร ลงวันท่ีตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๓ คํ่าเดือน ๗ จุลศักราช ๑๒๒๒
ปวี อก โทศก (๒๒ พฤษภาคม พุทธศกั ราช ๒๔๐๓) ตอนท่ี ๑ ท�ำ สำ�เนาจาก
หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ
5
หนังสือพระยาสีเสาราชฯ มีถึงพระยาสงขลา พระยาไชยา และพระยา
ชุมพร ลงวันทต่ี รงกับวนั องั คาร ขน้ึ ๓ ค่าํ เดือน ๗ จลุ ศกั ราช ๑๒๒๒ ปวี อก
โทศก (๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๐๓) ตอนที่ ๒ ทำ�สำ�เนาจาก
หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ
6
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
ทรงกล่าวถึงผ้าทอพ้ืนถิ่นของเมืองไชยา (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัด
สุราษฎร์ธาน)ี ในพระนพิ นธ์ ชีววิ ฒั น์ ซงึ่ ทรงแตง่ ท�ำ นองเป็นรายงานการเสดจ็
ตรวจราชการหัวเมอื งปกั ษ์ใต้ ทลู เกลา้ ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้
เจ้าอยูห่ วั เมอื่ พ.ศ. ๒๔๒๗
“...คนไทยทำ�นา ทำ�สวน ทำ�ปลา ตัดมาดเรือ ตัดไม้ทำ�กระดาน
หาซอ้ื ขายสินคา้ ของ ทอผา้ เล้ยี งหมู พวกจีนทำ�สวนทำ�ปลา ต้งั ค้าขายรบั สนิ คา้
สง่ ออกภาษี พวกแขกหากนิ เหมอื นไทยยกไวเ้ สยี แตเ่ ลยี้ งหมู สนิ คา้ ใหญท่ อ่ี อกจาก
เมอื งไชยา มาดเรือ กระดาน ไมเ้ คยี่ ม ไต้ หวาย กระแชง ขา้ ว เขาหนงั โคกระบือ
สกุ ร ผา้ พน้ื ในทอ้ งตลาดกข็ ายของตา่ ง ๆ ทว่ี า่ มาแลว้ ทเ่ี ปน็ ผา้ นงุ่ ผา้ หม่ ผา้ พน้ื
ผา้ ตา ผา้ ริ้ว และผ้าขาวม้า ส่งิ ของเคร่ืองใช้สอยต่าง ๆ มีบ้าง ร้านชำ�เป็นของ
แตเ่ มอื งอนื่ ๆ และเมอื งตา่ งประเทศ จ�ำ นวนราคาสง่ิ ของสนิ คา้ ออกจากเมอื งไชยา
มาดหมกู แุ ละใหญน่ อ้ ย ปหี นง่ึ รวม ๓๐๐ หรอื ๔๐๐ ตง้ั แต่ ๗ ศอกถงึ ๔ วา ๒ ศอก
ราคา ต้งั แต่กง่ึ ต�ำ ลึงไปถงึ ๕ ต�ำ ลงึ ด้ายไหมกระแชงเตยปหี นง่ึ ซ้ือออกประมาณ
๒๐๐๐ หรือ ๓๐๐๐ ต้ังแต่ ๕ วา ราคา ประมาณปีละ ๓๐๐ หาบ ราคา
หาบละ ๑๑ บาท กระดานไมเ้ คีย่ ม ๒๐๐๐ หรือ ๓๐๐๐ ตงั้ แต่ ๕ วา ราคา
แผ่นละ ๕ สลึง ผ้ายก ผ้าไหม ผ้าพื้น ผ้าอาบ ผ้าขาวม้า ประมาณปีละ
๒,๐๐๐ บาท ข้าวราคาเกวียนละ ๕ ตำ�ลึง เขาหนังหาบละ ๓ ตำ�ลึง ราคา
สง่ิ ของที่ขายในตลาด ผ้านุ่ง ผา้ หม่ ผา้ ยกทอง ผา้ ยกไหม ผ้าม่วงไม่มี เปน็ ของ
ทำ�จำ�เพาะผู้สั่งผู้ต้องการ และของทำ�ท่ีบ้านผู้ว่าราชการและผู้ใหญ่ ผ้าด้าย
แกมไหมราคาผืนละ ๓ บาท ๒ สลึง ผ้าพนื้ ราคาอย่างดผี ืนละ ๖ สลึง หรือ
๗ สลึง ผ้าพ้ืนอย่างเลวกุลีละ ๑๘ บาท ๒๐ บาท ๒๔ บาท ผ้าขาวม้า
อย่างกวา้ งกุลลี ะ ๒๐ บาท ผ้าขาวมา้ อย่างแคบกลุ ีละ ๑๐ บาท...” (สมเด็จ
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยาภาณพุ นั ธวุ งศว์ รเดช, ๒๕๐๔ : ๑๔๗-๑๔๘)
7
พระราชหตั ถเลขา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั เรอ่ื ง
เสดจ็ ประพาสแหลมมลายคู ราว ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๓) ทรงกลา่ วถงึ ผา้ พน้ื ถน่ิ
ในคราวเสดจ็ ประพาสตลาดเมืองไชยาทบี่ า้ นพมุ เรยี ง ดงั น้ี
“...วันท่ี ๕ เจือวันที่ ๖ (สงิ หาคม ร.ศ. ๑๐๘) เวลาเชา้ ท่เี รอื เขา้ ไป
ทอดอยู่ในกระเส็ดเมืองไชยา...จนบ่าย ๒ โมง จึงได้ออกเดินไปตามถนน
หน้าบ้านพระยาไชยาผ่านหน้าศาลากลาง ไปเลี้ยวลงทางวัดสมุหนิมิตแวะ
เขา้ ดวู ดั พระสงฆท์ งั้ ในวดั นน้ั และวดั อนื่ นงั่ รบั ในศาลาเตม็ ๆ ทกุ ศาลา ไดถ้ วายเงนิ
องคล์ ะกงึ่ ต�ำ ลงึ บา้ ง องคล์ ะบาทบา้ งทว่ั กนั แลว้ ออกเดนิ ตอ่ ไปตามถนนทอ้ งตลาด
ตลาดเมืองไชยาไม่เป็นโรงแถวปลูกติด ๆ กัน เหมือนเช่นเมืองสงขลา ซึ่งมีจีน
แหง่ ใดมกั จะเปน็ โรงแถวตดิ ๆ กนั เชน่ นนั้ แตท่ ตี่ ลาดเมอื งไชยานเ้ี ปน็ ตลาดไทย
ขายของหนา้ เรอื นหรอื รมิ ประตบู า้ นระยะหา่ ง ๆ กนั มผี า้ พน้ื บา้ ง ขาวมา้ ราชวดั
บา้ ง ยกไหมยกทองกม็ ี เปน็ ของทอในเมอื งไชยา แตผ่ า้ พน้ื ไมม่ มี ากเหมอื นอยา่ ง
เมืองสงขลา...” (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , ๒๕๐๖ : ๖๓-๖๕)
พระราชหตั ถเลขา ในพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เร่อื ง
ระยะทางเสด็จพระราชดำ�เนินประพาส ทางบก ทางเรือ รอบแหลมมลายู
รัตนโกสนิ ทรศก ๑๐๙ (พ.ศ. ๒๔๓๔) ครนั้ เสด็จถงึ เมอื งชุมพร
“...เมยี พระยาไชยา ๒ คน กบั ลกู สาวคน ๑ เอาผา้ ยกทอง ผา้ ราชวตั ผา้ พน้ื
ทท่ี อเองมาให.้ ..” (พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , ๒๕๐๗ : ๑๗-๑๘)
จากหลกั ฐานเอกสารดงั กลา่ วขา้ งตน้ ท�ำ ใหส้ นั นษิ ฐานไดว้ า่ สงิ่ ทอพน้ื ถน่ิ
เมืองไชยาหรือผ้าทอโบราณพุมเรียง นับต้ังแต่อดีตมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
ประกอบด้วย ผ้ายก ผ้าตา ผ้าร้ิว ผ้าพื้น และผ้าขาวม้า แต่สิ่งทอท่ีโดดเด่น
จัดเป็นงานประณีตศิลป์ชั้นสูง และเป็นส่ิงท่ีภาคภูมิใจของชาวไชยา น่าจะ
ได้แก่ ผ้ายก ทงั้ ผา้ ยกไหมและผา้ ยกทอง
8
9
ผา้ พื้น ทอด้วยไหม
จดั แสดง ณ พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ ไชยา
ผา้ ลายริ้ว มีชือ่ เรียกท้องถิน่ ว่าลายหวั พลู
จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา
10
ผ้าตา หรือผ้าลายตาราง มีผู้ถวายเป็นผ้าห่อคมั ภีร์ วัดสมุหนิมิต
ตำ�บลพุมเรียง อ�ำ เภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
ผ้าตา หรือผ้าลายตาราง มีผู้ถวายเป็นผ้าห่อคมั ภีร์ วดั สมหุ นิมิต
ตำ�บลพุมเรียง อำ�เภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
11
ผา้ ยกทองสกลุ ชา่ งไชยา หรอื ผา้ ยกพมุ เรยี ง มผี ถู้ วายเปน็ พทุ ธบชู า
วดั โพธาราม ตำ�บลพุมเรียง อ�ำ เภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี
ผ้าตาเชิงยก มีผู้ถวายเป็นผ้าห่อคัมภีร์ วดั สมหุ นิมิต
ต�ำ บลพุมเรียง อำ�เภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี
12
ในพระนิพนธ์ “สาส์นสมเด็จ” หนังสือรวบรวมลายพระหัตถ์ตอบโต้
ซักถาม แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับความรู้และวิชาการด้านต่าง ๆ ระหว่าง
นกั ปราชญส์ �ำ คญั สองพระองคข์ องแผน่ ดนิ สยาม คอื สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ ๑กบั สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา
ดำ�รงราชานุภาพ๒
มลี ายพระหตั ถส์ มเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ
ลงวันท่ี ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๘๑ ทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟา้ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงแสดงแนวพระดำ�ริเกี่ยวกับความหมาย
ของผ้ายกไวว้ ่า
“ผ้าไหมอันทอยกลวดลายให้สูงกว่าพื้นผ้า ถ้าลายทอด้วยไหมทองก็
เรียกว่ายกทอง ถ้าลายทอด้วยไหมสามัญก็เรียกว่ายกไหม” (สมเด็จพระเจ้า
บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ และสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
กรมพระยาด�ำ รงราชานุภาพ, สาสน์ สมเดจ็ , ๒๕๐๔ (๑๔) : ๒๗๓-๒๗๔)
แนวพระดำ�ริดังกล่าวนับเป็นการให้ความหมายที่สะท้อนให้ชนรุ่นหลัง
ไดต้ ระหนกั ถงึ ความเขา้ ใจในรปู ลกั ษณข์ องผา้ ยกในหมชู่ นชาวสยามไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
ด้วยหลักสำ�คัญของการสร้างลวดลายผ้าประเภทนี้ คือ การทอเสริมเส้นด้าย
พุ่งพิเศษ ท้ังแบบเสริมยาวต่อเน่ืองตลอดหน้าผ้า และแบบเสริมเป็นช่วง ๆ
โดยใช้วธิ เี ก็บตะกอลอยเพ่อื เปน็ เคร่ืองมอื ชว่ ยจดั กลุม่ เส้นด้ายยืน ให้เปิดอ้าหรอื
ยกและขม่ เปน็ จงั หวะ เพอื่ ทอสอดเสรมิ เสน้ ดา้ ยพงุ่ พเิ ศษตามลวดลายทตี่ อ้ งการ
กอ่ เกดิ เปน็ ผนื ผา้ ทม่ี ลี วดลายยกนนู สงู กว่าพ้ืนผา้ ส่วนวธิ กี ารทอแบบอน่ื ทน่ี ำ�มา
ใช้ผสมผสานกัน ดังเช่น ทอเสริมเส้นยืนพิเศษ มัดย้อมเส้นพุ่งและเส้นยืนก่อน
การทอ และทอแบบเส้นพุ่งไม่ต่อเน่ือง เพียงแต่นำ�มาตบแต่งลวดลายในส่วน
ประกอบปลีกยอ่ ยเทา่ น้นั
๑ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว ประสูตแิ ตพ่ ระสมั พนั ธวงศ์เธอ
พระองคเ์ จ้าพรรณราย
๒ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ประสตู ิแต่เจ้าจอมมารดาช่มุ
13
ไหมสามัญใช้ทอลวดลายยกไหม
ไหมทองใชท้ อลวดลายยกทอง
14
ผ้ายกไหม มีผู้ถวายเป็นผ้าห่อคัมภีร์ วัดสมุหนิมิต
ต�ำ บลพมุ เรียง อำ�เภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ผา้ ยกทอง ลายราชสีห์ ตระกูลศิวายพราหมณ์ มอบให้
จัดแสดง ณ พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ ไชยา
15
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ทรงพระภษู าโจงยกทอง
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สำ�เนาภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ
16
สมเดจ็ พระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงพระภษู าจีบยกทอง
ในการพระราชพิธีเตม็ ยศ ส�ำ เนาภาพจากพระบรมมหาราชวัง
17
สมเดจ็ เจา้ ฟา้ วไลยอลงกรณฯ์ กรมหลวงเพชรบรุ ีราชสิรินธร ทรงพระภษู ายก
ทองจีบโจงไว้หางหงส์ ในการพระราชพิธีโสกันต์ สำ�เนาภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
18
สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก
กรมขุนเพชรบรู ณ์อินทราชยั และสมเด็จ
เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา กรมขุนศรีสชั นาลัย
สรุ กญั ญา ทรงพระภษู าจีบยกทอง ในการ
พระราชพิธีโสกันต์ ส�ำ เนาภาพจาก
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
19
พระยาประดิพทั ธภูบาล (คออยู่เหล ณ ระนอง) นุ่งผ้ายกทองแบบ
บ่าวขนุ ทำ�หน้าทีพ่ ระยาแรกนาในการพระราชพิธีจรดพระนังคลั แรกนาขวญั
สำ�เนาภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
20
ทา่ นผู้หญิงยมราช (ตลับ สุขมุ )
และหม่อมชื้น ประวิตร ณ อยธุ ยา
นุ่งผ้าโจงกระเบนยกไหม สำ�เนาภาพ
จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
21
ผา้ ยก นบั เปน็ สงิ่ ทอชนดิ หนง่ึ ซง่ึ ราชส�ำ นกั สยามและผคู้ นในสงั คมสยาม
ได้ตระหนักถึงคุณค่า ความงาม และคุณสมบตั เิ ฉพาะตวั พรอ้ มกบั คดิ ใคร่ครวญ
แล้วว่าเป็นสิ่งทอชนิดพิเศษท่ีสามารถตอบสนองแนวความคิด และปรัชญาใน
การด�ำ เนินชีวติ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี รวมท้งั ในแง่ของความตอ้ งการส่งเสริมสถานภาพ
อันสูงส่งของสถาบันกษัตริย์ และการสร้างภาพลักษณ์ของสวรรค์บนพื้นพิภพ
ให้เป็นไปตามคติความเช่ือที่ว่าพระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนสมมุติเทพ หรือ
องค์อวตารของมหาเทพเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ เพ่ือปกครองแผ่นดิน บำ�บัด
ทุกข์บ�ำ รุงสุขอาณาประชาราษฎร์ การสงั่ ทอหรอื เกณฑ์ทอผา้ ยกจากหัวเมืองใน
บริเวณคาบสมุทรภาคใต้ตอนบน รวมทั้งเมืองไชยา เพื่อนำ�มาใช้ในกิจการของ
ราชส�ำ นกั สยาม และการซื้อหาผา้ ยกมาไว้ในครอบครองในหม่ชู นชน้ั สงู ในสังคม
ไทยเมื่อคร้ังอดีตน้ัน ล้วนแต่เพ่ือตอบสนองรูปแบบวัฒนธรรมการแต่งกาย
แบบสังคมเมืองหลวง ซึ่งได้สืบทอดปรัชญาแนวความคิดและประเพณีนิยมที่มี
จุดก�ำ เนดิ มาจากสงั คมยุคกรงุ ศรีอยุธยาแทบท้งั สนิ้
สาเหตทุ ท่ี �ำ ใหก้ ารทอผา้ โดยเฉพาะผา้ ยกในบรเิ วณเมอื งไชยา มชี อ่ื เสยี ง
ปรากฏโดง่ ดงั ขน้ึ ในชว่ งตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ผศู้ กึ ษาสนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเกดิ จาก
ได้รับการปรับปรุงและทำ�นุบำ�รุงส่งเสริมจากชนช้ันผู้ปกครอง เน่ืองมาจากเป็น
ระยะเวลาทม่ี ีปจั จัยและความพรอ้ มในหลายดา้ น เช่น
๑. บุคคลากรหรือช่างทอ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะใน
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนกระท่ังล่วงมา
ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามได้ทำ�ศึกสงครามเพื่อ
ปราบปรามหัวเมืองประเทศราชมลายูบ่อยครั้ง ในแต่ละคราวก็ได้กวาดต้อน
อพยพโยกย้ายประชากรจากหัวเมอื งเหล่าน้นั ใหไ้ ปตั้งถิ่นฐานในท่ีแหง่ ใหม่ เชน่
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หลังจาก
ปราบปรามหัวเมืองมลายูแล้ว “...สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรฯ
22
จึงดำ�รัสให้กวาดครอบครัวแขกเชลยที่ตีทัพจับได้ บรรทุกลงเรือรบ กับทั้ง
ทรัพย์สินส่ิงของเงินทองและเครื่องศัตราวุธต่าง ๆ ซึ่งได้ในการสงคราม และ
ให้แบ่งครอบครัวแขกไว้สำ�หรับบ้านเมืองทุกเมือง...” (พระราชพงศาวดารกรุง
รตั นโกสนิ ทร์ ฉบบั หอสมดุ แห่งชาติ, ๒๕๐๖: ๑๒๕-๑๒๖) และในปีพุทธศกั ราช
๒๓๖๔ เจา้ พระยานคร (นอ้ ย) ขณะเปน็ พระยาศรธี รรมโศกราช ต�ำ แหนง่ เจา้ เมอื ง
นครศรธี รรมราช ไดร้ บั ทอ้ งตราจากพระนครใหน้ �ำ ทพั ไปตเี มอื งไทรบรุ ี เนอ่ื งจาก
เจา้ พระยาไทรบรุ ี (ปะแงรนั ) เปน็ ไสศ้ กึ ใหพ้ มา่ “...พระยานครฯ จงึ ยกกองทพั บก
ทัพเรือ พร้อมด้วยกองทัพเมืองพัทลุง เมืองสงขลา ยกทางบกลงไปตีเมืองไทร
พรอ้ มกนั ไดส้ รู้ บกนั เลก็ นอ้ ย กองทพั พระยานครฯ ตเี มอื งไทรได้ ณ เดอื น ๓ แรม
๘ คํ่า ปีมะเสง็ ตรศี ก จลุ ศักราช ๑๑๘๓ พทุ ธศกั ราช ๒๓๖๔ เจ้าพระยาไทรบรุ ี
(ปะแงรัน) หนีไปอาศัยอังกฤษอยู่ที่เกาะหมาก พระยานครให้กองทัพเรือไปตี
เกาะลงั กาวี ซง่ึ เปน็ เกาะใหญแ่ ขวงเมอื งไทรดว้ ยอกี แหง่ ๑ แลว้ ใหก้ วาดครอบครวั
แขกเมืองไทรบุรี เข้ามา ณ กรุงเทพฯ บ้าง เอาไว้เมืองนครบ้าง...” (พระราช
พงศาวดารกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ฉบบั หอสมดุ แห่งชาต,ิ ๒๕๐๖: ๖๕๐)
ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ซ่ึงอยู่ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ในราช
ส�ำ นักของหวั เมอื งมลายทู างตอนเหนือ คือ ไทรบรุ ี กลนั ตนั และตรงั กานู ซึง่ มี
ฐานะเปน็ หวั เมอื งประเทศราชของพระราชอาณาจกั รสยาม มคี วามเปน็ อยอู่ ยา่ ง
หรหู รา เจา้ ผคู้ รองนครทรงอปุ ถมั ภแ์ ละท�ำ นบุ �ำ รงุ ศลิ ปะแขนงตา่ ง ๆ อาทิ งานชา่ ง
โลหะ งานชา่ งแกะสลกั และการทอผา้ เปน็ ตน้ ดงั นนั้ ในการกวาดครวั แขกมลายู
แตล่ ะคราว จึงมชี ่างฝมี อื แขนงต่าง ๆ รวมท้ังชา่ งทอผ้าปะปนมาด้วย
23
เมอื่ ชา่ งทอผา้ ชาวมลายู ซง่ึ มฝี มี อื ในการทอผา้ ยกไดเ้ ขา้ มาอาศยั ณ เมอื ง
นครศรธี รรมราช เมืองไชยา และหวั เมืองอื่นในภาคใตต้ อนบน ช่างทอเหลา่ นัน้
จงึ ไดร้ บั มอบหมายจากทางราชการใหเ้ ปน็ ผทู้ อผา้ ยกเพอ่ื ใชใ้ นราชการ ตามความ
ถนัดอันติดตัวมาแต่เดิมภายใต้การควบคุมของสยาม โดยมิต้องเสียเวลาในการ
เรียนรู้หรือฝึกสอนข้ึนใหม่ เม่ือสมทบเข้ากับช่างทอที่มีอยู่เดิม จึงส่งผลให้การ
ทอผ้ายกในบริเวณภาคใตต้ อนบนในระยะเวลาดงั กล่าวเฟ่ืองฟูอยา่ งสดุ ขดี
๒. เทคโนโลยกี ารทอ เมอ่ื ทางราชการไดม้ อบหมายหนา้ ทใ่ี หช้ า่ งทอผา้
ยกชาวมลายูเข้ามาปฏิบัติงานสมทบกับช่างทอผ้าชาวสยามจึงเกิดการศึกษา
เรยี นรู้และถา่ ยทอดเทคโนโลยีการทอผา้ ยกใหแ้ กก่ นั ช่างทอชาวสยามได้เรียนรู้
เทคโนโลยหี ลายประการจากชา่ งทอชาวมลายู สง่ ผลใหเ้ ทคโนโลยกี ารทอผ้ายก
ในบรเิ วณภาคใตต้ อนบน มลี กั ษณะทใ่ี กลเ้ คยี งและแสดงใหเ้ หน็ วา่ มคี วามสมั พนั ธ์
กนั หลายประการกบั กระบวนการทอผา้ ยกในวฒั นธรรมมลายู ซงึ่ เปน็ เทคโนโลยี
ทม่ี คี วามสลบั ซบั ซอ้ นและเออื้ อ�ำ นวยใหท้ อผา้ ยกไดว้ จิ ติ รพสิ ดารกวา่ แตก่ อ่ น เชน่
๒.๑) ใชว้ ธิ กี ารเกบ็ ตะกอทเี่ รยี กวา่ “ตะกอลาย”เพอ่ื จดั แบง่ เสน้ ยนื
ให้ยกหรือข่มตามจังหวะลาย ในขณะท่ีบางกลุ่มชน เช่น ไทยวน และไทพวน
ยังคงใช้วิธีการจัดแบ่งเส้นยืนให้ยกหรือข่มตามจังหวะลายด้วยอุปกรณ์ชนิดอ่ืน
เช่น ขนเม่น หรือไม้ปลายแหลม เป็นตน้
๒.๒) มีลักษณะโครงสร้างและองค์ประกอบของหูกหรือกี่ทอผ้า
ทีเ่ อ้ืออำ�นวยต่อการทอผ้ายกด้วยวธิ ีการ “เก็บตะกอลาย” ดว้ ย “ตะกอลอย”
24
ลักษณะพิเศษหรือเอกลักษณ์ของผา้ ยกพุมเรยี ง
วตั ถดุ ิบ
วตั ถดุ ิบทจี่ �ำ เป็นในการทอผ้ายก มดี ังน้ี
๑. เส้นไหมธรรมชาติ ในอดีตมักใช้เส้นไหมที่ผลิตเองภายในพระราช
อาณาจักร แต่เนื่องจากภูมิอากาศของภาคใต้ไม่เหมาะสำ�หรับการปลูกหม่อน
เลย้ี งไหม เส้นไหมดบิ ส่วนใหญจ่ งึ เป็นไหมที่ผลิตจากภาคอีสาน ทั้งเส้นไหมจาก
ภาคอสี านตอนบน ซงึ่ เรยี กกนั วา่ “ไหมลาว” และเสน้ ไหมจากภาคอสี านตอนลา่ ง
ซงึ่ เรยี กวา่ “ไหมขอม” หรอื “ไหมเขมร” ส�ำ หรบั ไหมจากตา่ งประเทศซงึ่ มขี นาด
เล็กกว่า เชน่ ไหมจีน แม้จะน�ำ มาใช้ปนกันไปบา้ งแตก่ อ็ ยูใ่ นปริมาณท่ไี ม่มากนัก
เน่อื งจากไหมจนี มีราคาสงู กว่า
๒. เส้นไหมทองหรือไหมเงิน ใช้เป็นเส้นพุ่งพิเศษเพื่อให้เกิดลวดลาย
ยกสงู ขน้ึ กวา่ พน้ื ผา้ ในการทอผา้ ยกทองหรอื ผา้ ยกเงนิ เกดิ จากการน�ำ เสน้ ทองค�ำ
เส้นเงิน หรือเส้นโลหะอย่างอื่น มาดึงให้ได้เส้นเล็กบาง แล้วนำ�ไปปั่น
หรอื พันกบั เสน้ ด้าย โดยใช้เส้นดา้ ยเป็นแกน แบง่ เปน็ ประเภทตามวัสดุที่ใช้ดังนี้
๒.๑) ท�ำ จากเสน้ ทองค�ำ หรอื เสน้ เงนิ แท้ เรยี กวา่ “ไหมทอง” หรอื
“ไหมเงนิ ” ตามแตว่ ัสดุ จัดเป็นของอยา่ งดีมรี าคาสงู สว่ นใหญ่สง่ั นำ�เข้าจากจนี
และอนิ เดีย มีผลิตขนึ้ เองภายในพระราชอาณาจักรแตเ่ พยี งสว่ นนอ้ ย
๒.๒) ทำ�จากโลหะอยา่ งอน่ื เช่น ทองแดง น�ำ มากะไหลท่ องเรยี ก
ว่า “ไหมทอง” หรือนำ�มากะไหล่เงินเรียกว่า “ไหมเงิน” จัดเป็นของชนิดรอง
ส่วนใหญ่สั่งนำ�เข้าจากจีน และอินเดีย มีผลิตขึ้นเองภายในพระราชอาณาจักร
แต่เพยี งส่วนนอ้ ย
๒.๓) ทำ�จากกระดาษสีทอง ซ่ึงเกิดจากการปิดแผ่นทองคำ�เปลว
ลงบนกระดาษ และทำ�จากกระดาษสีเงินซ่ึงเกิดจากการปิดแผ่นเงินเปลวลง
25
บนกระดาษ ตัดเป็นเสน้ ขนาดเลก็ นำ�ไปป่นั หรือพนั กับเสน้ ดา้ ย โดยใช้เส้นดา้ ย
เป็นแกน เรียกวา่ “โหมด” ถ้าส่ังน�ำ เขา้ จากอนิ เดยี เรยี กวา่ “โหมดเทศ” สั่งนำ�
เขา้ จากเมืองกวางตุง้ ประเทศจนี เรียกวา่ “โหมดกวางตงุ้ ” และถา้ สั่งน�ำ เข้าจาก
ประเทศรสั เซยี เรยี กว่า “โหมดรัสเซีย” เปน็ ต้น
ค่าใช้จ่ายในการทอและวัตถุดิบที่จำ�เป็น เช่น เส้นไหมดิบ และเส้น
ไหมทอง สำ�หรับการทอผ้ายกตามคำ�ส่ังของราชสำ�นัก ทางราชสำ�นักเป็น
ผู้รับผิดชอบ ซึ่งมีท้ังกรณีท่ีทางราชการจัดหาวัตถุดิบส่งมอบไปให้ และกรณีท่ี
ใหเ้ มอื งน้ัน ๆ จัดหาวัตถดุ บิ เอาเองโดยคิดเงนิ ค่าใช้จ่ายจัดซอื้ จากทางราชสำ�นัก
มเี อกสารหลายฉบบั ทกี่ ลา่ วถงึ เรอื่ งน้ี สามารถใชเ้ ปน็ เอกสารอา้ งองิ และยนื ยนั ได้
ดังเช่น
หนังสอื พระยาศรสี รราชภักดี มาถึงปลดั เมอื งนครศรีธรรมราช ลงวันที่
ตรงกบั วนั พฤหสั บดี ขนึ้ ๑๔ คาํ่ เดอื น ๑๑ จลุ ศกั ราช ๑๒๒๐ ปมี ะเมยี สมั ฤทธศิ ก
(๒๑ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๐๑) มเี นอื้ ความตอนหนง่ึ กลา่ ววา่ “… ดว้ ย ฯพณฯ
ทสี่ มหุ พระกระลาโหม มพี ระประสาษสงั่ วา่ พระวชิ ติ รยะไตร ใหน้ ายหนมู หาดเลก็
บตุ ร ฯพณฯ ผคู้ รองเมอื งนครศรธี รรมราช หลวงภกั ดโี ยธา กรมการ คมุ ผา้ ยกทอง
คร้ังโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ไหมทองออกไปทอ ได้ผ้ายกทองครั้งน้ี
ผ้ายกทองพื้นแดง ๒ ผืน ผ้ายกทองพื้นม่วงผืน ๑ ผ้ายกทองพ้ืนนํ้าเงินผืน ๑
ผา้ ยกทองพนื้ ตองผนื ๑ รวม ๕ ผนื ….ไดน้ �ำ ขนึ้ กราบบงั คมทลู พระกรณุ าทรงทราบ
ไตฝ้ ่าลอองแล้ว โปรดเกลา้ ฯ ให้เจา้ พนักงานข้างในตรวจรับไว้…”
หนงั สือพระยาศรีเสาราชภักดฯี มถี ึงพระยาสงขลา พระยาไชยา และ
พระยาชมุ พร ลงวันที่ตรงกบั วนั อังคาร ขนึ้ ๓ ค่าํ เดือน ๗ จลุ ศกั ราช ๑๒๒๒
ปวี อก โทศก (๒๒ พฤษภาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๐๓) มเี นอ้ื ความตอนหนง่ึ กลา่ ววา่
“…มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ดำ�รัสว่าจะต้องพระราชประสงผ้า
ตาราชวัฒสำ�รับพระราชทาน พระบรมวงษษานุวงษ เจ้าต้ังกรมแล้วยังไม่ได้
26
ตัง้ กรม ขา้ งหนา้ ข้างใน ผ้าน่งุ ๕๐ ผนื ผ้าห่ม ๑๐๐ ผืน จงึ โปรดเกล้าฯ ใหเ้ จ้า
พนกั งานจดั ไหมขอมส่งออกมาเกนธอ…”
สารตราท่านเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา มาถึงพระปลัด พระยกระบัด
พระเสนหามนตรี ผู้ช่วยราชการ กรมการ ผู้อยู่รักษาเมืองนครศรีธรรมราช
ลงวนั ท่ตี รงกับวันจันทร์ ขนึ้ ๓ คํา่ เดอื น ๕ จุลศกั ราช ๑๒๓๔ ปีระกา จัตวาศก
(๓๑ มนี าคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๑๕) มเี นอ้ื ความตอนหนงึ่ กลา่ วไวว้ า่ “…ดว้ ยมพี ระ
ราชโองการดำ�รสั เหนอื เกล้าสง่ั วา่ ตอ้ งพระราชประสงค์ ผา้ ยกทองน่งุ ดวงเกลด็
พิมเสนฝีมือช่างเมืองนคร สำ�หรับพระราชทานพระบรมวงษานุวงษฝ่ายหน้า
ฝา่ ยใน ศรตี า่ งกนั ๒๔ ผนื ใหพ้ ระปลดั ยกระบดั พระเสนหามนตรี จดั ซอ้ื ไหมทอง
อยา่ งดี ใหช้ า่ งยอ้ มศรที �ำ ใหพ้ นิ ศิ บนั จงดี เงนิ คา่ ไหมทองคา่ จา้ งทอนนั้ ใหห้ กั เอา
เงนิ อากรสุรา…”
กระบวนการทอ
กระบวนการทอผา้ ยกพมุ เรยี ง มกี ระบวนการทอ ดังน ี้
๑. การเตรียมเส้นไหมสำ�หรับทอผ้า เส้นไหมท่ีใช้สำ�หรับทอผ้ายก
ประกอบด้วยเส้นไหมยืน เส้นไหมพุ่ง และเส้นไหมพุ่งพิเศษ ซึ่งมีทั้งเส้นไหม
ธรรมดาและเสน้ ไหมทีท่ �ำ มาจากโลหะมคี า่ วิธกี ารเตรียม มดี งั นี้
๑.๑ การเตรียมเส้นไหมยืน คือ เส้นไหมที่นอนไปตามทางยาว
ของผืนผ้า ซึ่งจะขึงตึงไปตามส่วนยาวของหูกทอผ้า การเตรียมเส้นไหมยืน
มีข้นั ตอน ดังนี้
๑.๑.๑ การลงแปง้ ดว้ ยการใชน้ า้ํ ขา้ ว ภาษาทอ้ งถนิ่ เรยี กวา่
“นา้ํ หมอ้ ” โดยการน�ำ เสน้ ไหมยนื ทฟ่ี อกและยอ้ มสเี รยี บรอ้ ยแลว้ ไปชบุ ในนา้ํ ขา้ ว
27
ที่เตรียมไว้ บิดนํ้าออก กระตุกเส้นไหมให้กระจายออกจากกัน นำ�ออกผ่ึงแดด
และกระตกุ อกี ๒ - ๓ ครั้ง เมอื่ แห้งเสน้ ไหมจะไดไ้ มจ่ ับกัน เมื่อแห้งดีแลว้ จงึ นำ�
มาหวี ด้วยหวี ให้เส้นไหมเกล้ียง การลงแป้งไหมทำ�ให้เส้นไหมยืนเรียบแข็งไม่
เป็นขุยเมือ่ นำ�ไปทอ
๑.๑.๒ การกรอไหมเข้าหลอด เคร่ืองมือที่ใช้กรอไหม
ได้แก่ ไน ระวิง และหลอดค้น วิธีกรอไหมทำ�ได้โดยการนำ�เข็ดไหม (ขดไหม)
ทลี่ งแปง้ เรยี บรอ้ ยแลว้ สวมทรี่ ะวงิ น�ำ เสน้ ไหมจากระวงิ ไปพนั หลอดคน้ ซงึ่ สวมตดิ
กบั แกนหลอดของไน เมือ่ หมนุ วงล้อไน แกนหลอดจะหมนุ ดงึ เส้นไหมจากระวิง
พันเข้าหลอด การกรอไหมเข้าหลอดต้องกรอไห้ได้จำ�นวนหลอดเพียงพอที่จะ
ค้นไหมหรือสาวไหมแตล่ ะคร้งั
ช่างทอผา้ ยกพุมเรียง กรอไหมเขา้ หลอด โดยการใช้ไนกับระวิง
ณ ต�ำ บลพมุ เรียง อำ�เภอไชยา จงั หวัดสุราษฎร์ธานี
28
๑.๑.๓ การคน้ ไหมหรอื สาวไหม ตอ้ งใชเ้ ครอื่ งมอื คอื รางคน้
และหลกั คน้ โดยน�ำ หลอดคน้ ทกี่ รอไหมยนื เขา้ หลอดคน้ แลว้ ใสใ่ นแกนของรางคน้
การคน้ ไหมแต่ละคร้งั จะใส่หลอดค้นในรางประมาณ ๓๐ - ๔๐ หลอด แลว้ น�ำ
รางค้นไปผูกไวใ้ นที่สงู เชน่ ตงหรอื รอดของบ้านที่มีใตถ้ นุ สูง นำ�หลักคน้ มาวางไว้
ใตร้ างคน้ แยกหลกั ค้นหรือลกู คราด ๒ แถว ออกจากกัน ระยะหา่ งตามต้องการ
วา่ ต้องการจะค้นไหมทอผา้ ก่ชี ดุ รวบเสน้ ไหมท้งั ๓๐ เส้น จากหลอดในรางคน้
ดงึ มาไขว้เป็นรูปเลข 8 สวมลกู คราดที่ ๑ และ ๒ ของหลกั ค้นที่ ๑ แล้วดงึ ไหม
ทั้งหมดพันอ้อมลูกคราดที่ ๑ ของหลักค้นแถวที่ ๒ แล้วดึงกลับมาพันอ้อม
ลกู คราดท่ี ๓ ของหลกั คน้ ท่ี ๑ จากนน้ั ดงึ เสน้ ไหมทง้ั ๓๐ เสน้ พนั ออ้ มลกู คราดอน่ื ๆ
กลับไปกลบั มาระหวา่ งหลักค้น ๒ แถว (หลกั ค้นแตล่ ะแถวมลี ูกคราด ๑๑ หลัก)
จนกระทง่ั ดงึ ลกู คราดที่ ๑๐ และ ๑๑ ของหลกั คน้ แถวท่ี ๒ จะตอ้ งเกบ็ ไหมขดั กนั
โดยการใช้เคร่ืองมอื ซา้ ยดงึ รวบเส้นไหมท้ัง ๓๐ เส้น ให้ตงึ แล้ววางนวิ้ ช้นี ว้ิ กลาง
ของมอื ขวาบนเส้นไหม ทำ�มุมประมาณ ๑๒๐ องศา หมนุ นิว้ ท้ังสองจากซา้ ยไป
ขวา ตวดั เกยี่ วเสน้ ไหม ๑ เสน้ มว้ นเขา้ หาตวั และพลกิ มอื สลบั ขน้ึ ไปอยทู่ ตี่ �ำ แหนง่
เดมิ เกบ็ ไหมดว้ ยวธิ เี ดยี วกันจนครบ ๓๐ เสน้ โดยเฉพาะริมผ้าต้องเกยี่ วไหมครง้ั
ละ ๕ - ๑๐ เสน้ ด้วยวิธีเดียวกันจนได้ความกวา้ งของริมผา้ ตามตอ้ งการ แลว้ จึง
สวมเส้นไหมทีข่ ัดกันแลว้ น้ีลงพนั ในลูกคราดที่ ๑๐ และ ๑๑ ของหลักคน้ แถวท่ี
๒ ตอ่ จากนนั้ น�ำ เส้นไหมทัง้ ๓๐ เสน้ ไปพนั ออ้ มลกู คราดแถวที่ ๑๑ ของหลกั
ค้นแถวที่ ๑ แลว้ ดึงกลับมาพนั ออ้ มลกู คราดท่ี ๙ ของหลักคน้ แถวที่ ๒ จากนัน้
กด็ ึงเสน้ ไหมทั้งหมดพนั อ้อมลกู คราดอ่นื ๆ โดยทบกลบั ไปกลบั มาระหว่างหลัก
ค้นทั้ง ๒ แถว จนหมดความยาวของเสน้ ไหมท่ตี อ้ งการใชท้ อผ้า ทกุ ครง้ั ที่ดึงเสน้
ไหมมาถงึ ลกู คราดที่ ๑๐ และ ๑๑ ของหลกั ค้นแถวท่ี ๒ จะต้องเกบ็ ไหมขัดกนั
เสมอ การเกบ็ เสน้ ไหมขดั กันน้ี มีผลน�ำ ไห้เส้นไหมยืนทใี่ ช้ทอผ้าในหูกทง้ั หมดถกู
แบ่งออกเป็น ๒ ชดุ เสน้ ไหมยืน ๒ ชุดนี้ จะผลดั กันเป็นเสน้ ข้นึ และลงสลบั กนั
29
เมอ่ื สบั ตะกอตอนทอผา้ เมอื่ คน้ ไหมทจ่ี ะใชท้ อผา้ จนครบตามจ�ำ นวนและไดค้ วาม
ยาวตามต้องการแล้ว นำ�ไม้ลูกเขา ๒ อัน สอดเข้าไปในเส้นไหมยืนที่พันอยู่กับ
ลกู คราดท่ี ๑ และ ๒ ของหลักค้นแถวท่ี ๑ และใชไ้ มน้ ัดหวี ๒ อนั สอดเข้าไปใน
เสน้ ไหมยนื ทพ่ี นั อยกู่ บั ลกู คราดที่ ๑๐ และ ๑๑ ของหลกั คน้ แถวที่ ๒ ท�ำ ใหไ้ มน้ ดั
หวี ๒ อัน สอดคัน่ เสน้ ไหมทข่ี ดั กัน แลว้ จงึ ปลดไหมยืนทกุ เส้นออกจากลกู คราด
ดงั กลา่ ว คอ่ ย ๆ มว้ นเสน้ ไหมเขา้ กบั ไมน้ ดั หวที งั้ สองจนถอดเสน้ ไหมยนื ออกจาก
หลักค้นได้ทั้งหมด แล้วจึงนำ�ไปสอดฟนั หวี
หลักค้นหรือคราด ใช้ส�ำ หรับค้นไหมทอผ้ายกพุมเรียง
30
รางคน้ ใช้สำ�หรบั ค้นไหมทอผ้ายกพุมเรียง
31
๑.๑.๔ การสอดฟนั หวี สอดฟมื หรอื จกุ ฟนั หวี คอื การสอด
เส้นไหมยืนด้านที่เก็บขัดกัน เข้าไปในช่องฟันหวี หรือฟันฟืม ช่องละ ๒ เส้น
โดยการเล่ือนไหมจากไม้นัดหวีทีละคู่ ใช้ไม้สอดเกี่ยวเส้นไหมเข้าช่องฟันหวี
เสร็จแลว้ นำ�ไปหวเี พอ่ื มว้ นเขา้ กระดานมว้ นหูก
การสอดฟนั หวี เตรียมทอผ้ายกพมุ เรียง
ณ ตำ�บลพุมเรียง อำ�เภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
32
๑.๑.๕ การหวีไหม คือ การแบ่งเส้นไหมจากลักษณะที่
เป็นกำ�ให้กระจายสม่ําเสมอ แล้วม้วนเข้ากระดานม้วนหูก ภาษาท้องถ่ินเรียก
“มว้ นเกบ็ ” การมว้ นไหมเขา้ กระดานมว้ นหกู ตอ้ งใชแ้ รงงานอยา่ งนอ้ ย ๔ คน คอื
ถอื กระดานม้วนหกู ๒ คน อีก ๒ คน จะคอ่ ยเลอื่ นไม้ลูกพนั หลังจากการม้วน
เก็บเสร็จแล้วก็นำ�กระดานม้วนหูกไปต้ังที่หูก โดยสอดค้างปลาย ๒ ข้างไว้กับ
ลูกตุ้งในหูก ต่อจากน้ันก็ผูกปลายอีกด้านหน่ึงของไหมยืนท่ีสอดฟันหวีแล้วเข้า
กับไม้ม้วนผา้ ขึงให้ตงึ เพ่อื รอเก็บตะกอหรือกอ่ เขา
การมว้ นไหมยนื เขา้ กระดานมว้ นหกู จากนน้ั น�ำ ไปสอดคา้ งไวก้ บั ลกู ตงุ้ ในหกู
เพือ่ เตรียมทอผ้ายกพมุ เรียง ตำ�บลพุมเรียง อำ�เภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
33
๑.๒ การเตรยี มเสน้ ไหมพงุ่ หรอื เสน้ ไหมพนื้ คอื เสน้ ไหมทท่ี อดขวาง
ไปตามแนวยาวของหกู ใชพ้ งุ่ สานขดั กบั เสน้ ไหมยนื ท�ำ ใหเ้ กดิ เปน็ ผนื ผา้ การเตรยี ม
ไหมพงุ่ ไมย่ ากเหมอื นการเตรยี มไหมยนื คอื หลงั จากฟอกและยอ้ มสเี สน้ ไหมแลว้
น�ำ มากรอเข้าหลอดพุ่งหรือลูกเรียด โดยใช้ไนและระวิงเชน่ เดยี วกบั การกรอเสน้
ไหมยนื แลว้ บรรจลุ งในกระสวย สว่ นเสน้ พุง่ พเิ ศษทใ่ี ช้ในการทอยกดอก ก็ใช้วิธี
เดยี วกบั การเตรียมเส้นไหมพุ่งธรรมดา
ชา่ งทอผา้ ยกพมุ เรียง กรอเส้นไหมพุง่ เขา้ หลอด โดยการใชไ้ น
ณ ต�ำ บลพมุ เรียง อ�ำ เภอไชยา จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี
34
๒. การกอ่ ตะกอและการเกบ็ ดอก เปน็ ขน้ั ตอนในการก�ำ หนดกระบวน
ลาย ใหก้ ารทอผ้าดำ�เนินไปได้ตามลวดลายท่ีตอ้ งการ มวี ธิ กี ารท�ำ ดังน้ี
๒.๑ การกอ่ ตะกอ ผกู ตะกอ หรอื กอ่ เขา คอื การรอ้ ยคลอ้ งเสน้ ไหม
ยืน ๒ ชดุ ดว้ ยด้ายท้ังด้านบนและดา้ นลา่ งของเส้นไหมยืนทกุ เสน้ เพ่อื ให้ตะกอ
หรอื เขา ยกเสน้ ไหมขน้ึ หรอื ดงึ เสน้ ไหมลง สลบั กนั ตอนทอผา้ การกอ่ ตะกอตอ้ งท�ำ
ทีละซีก คอื กอ่ จากดา้ นบนของทุกตะกอกอ่ น แลว้ จึงพลิกไหมยนื กลบั มาขึ้นมา
กอ่ สว่ นทเ่ี ปน็ ดา้ นลา่ ง จนหมดจ�ำ นวนตะกอทใ่ี ชท้ อผา้ ตะกอทก่ี อ่ เสรจ็ แลว้ ทง้ั ซกี
บนและซีกลา่ ง เรียกว่า หนึ่งตบั วิธีการกอ่ ตะกอเนอื้ หรอื เน้ือเขา ทำ�ในหกู ถัดไป
จากฟืมโดยใช้ไม้นัดใหญ่สอดไปในระหว่างเส้นไหมยืนท่ีขัดกัน แล้วตั้งไม้นัดข้ึน
ตามสว่ นกวา้ ง ภาษาทอ้ งถ่นิ เรียกวา่ “ขันนดั ” ทำ�ใหเ้ ส้นไหมยืนแยกเป็น ๒ ชุด
ใชด้ า้ ยสอดเขา้ ไประหวา่ งเสน้ ไหมยนื ทงั้ ชดุ จากดา้ นซา้ ยไปทางดา้ นขวาโดยน�ำ ไม้
ลกู เขา ๒ อนั วางบนไมต้ ะกอเนอื้ ดงึ ดา้ ยผา่ นไหมยนื ออ้ มไปตะกอเนอื้ ขนึ้ ไปพนั
กับไม้ลูกเขาอันบนทำ�ไหเ้ กิดเป็นห่วงคลอ้ งเสน้ ไหมยนื ๑ เสน้ คือ ด้ายจากชอ่ ง
ของเสน้ ไหมยนื ถดั ไป ออ้ มไมต้ ะกอเนอื้ ขนึ้ ไปพนั กบั ไมล้ กู เขาอนั บนแบบเดยี วกนั
ท�ำ เชน่ นไ้ี ปจนหมดเสน้ ไหมชดุ ที่ ๑ จงึ ปลดไมต้ ะกอเนอื้ และถอดไมน้ ดั ออก แลว้
เร่ิมก่อตะกอท่ี ๒ ซีกบนต่อไป โดยใช้ไม้นัดใหญ่สอดเข้าไปในระหว่างเส้นไหม
ยืนท่ีขัดกัน แล้วขันนัดดึงเส้นไหมยืนชุดท่ี ๒ ข้ึนมา สอดด้ายเข้าไปในช่องว่าง
ระหว่างเสน้ ไหมยนื ทง้ั ๒ ชุด แล้วเรม่ิ ก่อตะกอซกี บนแบบเดยี วกนั จนหมดเสน้
ไหมยืนชดุ ที่ ๒ หลงั จากกอ่ ตะกอ่ ซกี บนเรยี บร้อย จึงพลกิ เส้นไหมยืนกลับข้ึนก่อ
ตะกอซีกล่างอกี ๒ ตะกอ ด้วยวธิ เี ดยี วกับการก่อตะกอซกี บน โดยบว่ งตะกอซกี
ลา่ งแตล่ ะตะกอจะตอ้ งรอ้ ยเสน้ ไหมยนื ใหต้ รงกบั ตะกอชดุ บนแตล่ ะชดุ ทรี่ อ้ ยไว้ ก็
จะไดต้ ะกอขดั หรือตะกอเนอื้ ๒ ตบั ด้านบนของตะกอซกี บนทงั้ ๒ ตะกอ จะผูก
โยงกบั ไม้เย้งิ ยา่ ง ท้ัง ๒ ข้าง ส่วนตะกอซีกลา่ งของแตล่ ะตะกอจะผูกกบั ไม้คาน
เหยียบตะกอละ ๑ คาน และจะตอ้ งผกู ให้ตรงกับต�ำ แหน่งท่ตี ะกอซกี บนโยงกบั
ไมเ้ ยงิ้ ย่าง ๒ ด้าน เทคนคิ การใชไ้ มเ้ ย้ิงยา่ งนับวา่ เป็นเทคนิคทีค่ ่อนขา้ งแปลกไป
กวา่ การทอผา้ ในทอ้ งถน่ิ อนื่ ๆ ของประเทศไทย ซงึ่ สว่ นใหญจ่ ะใชร้ ะบบรอกแทน
ระบบคานกระดกแบบไม้เยิง้ ย่าง
35
การผูกโยงตะกอ ส�ำ หรบั ทอผ้ายกพุมเรียง ต�ำ บลพมุ เรียง อำ�เภอไชยา
จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี ด้านบนของตะกอซีกบนท้ัง ๒ ตะกอ จะผกู โยงกบั ไม้เยิ้งย่าง
36
การผกู โยงตะกอ ส�ำ หรบั ทอผา้ ยกพมุ เรยี ง ต�ำ บลพมุ เรยี ง อ�ำ เภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี
ตะกอซีกล่างของแต่ละตะกอจะผูกกับไม้คานเหยียบตะกอละ ๑ คาน และจะต้องผกู ให้ตรง
กับตำ�แหน่งที่ตะกอซีกบนโยงกับไม้เยิ้งย่าง ๒ ด้าน
37
๒.๒ การเก็บดอก หรือการเก็บดอกลายผ้า ทำ�โดยวิธีใช้ขนเม่น
นับแบ่งเส้นไหมยืนออกเป็นกลุ่ม ๆ โดยการแยกเป็นเส้นยกและเส้นข่มตาม
ลวดลายทตี่ อ้ งการ ค�ำ วา่ ยก หรอื ขม่ หมายถงึ ยกหรอื ขม่ เสน้ ไหมยนื ตามจ�ำ นวน
ฟนั หวี เชน่ ยก ๓ หมายถงึ ยกเส้นไหมยืน ๓ ช่องฟันหวี ซึ่งมเี ส้นไหมชอ่ งละ
๒ เสน้ เทา่ กับยกเส้นไหมขน้ึ ๖ เสน้ ขม่ ๑ หมายถงึ ๑ ชอ่ งฟันหวี ซึง่ มเี ส้นไหม
๒ เสน้ จงึ เท่ากับข่มเสน้ ไหมลง ๒ เสน้ การเก็บดอกลายผา้ จะเกบ็ เพียงครึ่งดอก
โดยเร่ิมเก็บจากกลางดอกหรือกลางลายไปยังริมของลาย บางลายที่เป็นลาย
ต่อเน่ืองก็ต้องเก็บบางส่วนของลายข้างเคียงไปพร้อมด้วยกันเมื่อจะทอให้ลาย
เต็มดอกก็ยกตะกอหรือเขาลายชุดเดิมทวนกลับจากหลังไปหน้าหรือจากตะกอ
สุดท้ายไปยังตะกอแรกสุด หลังจากเก็บดอก แบ่งกลุ่มเส้นไหมเป็นเส้นยกและ
เส้นข่มตามลวดลายท่ีต้องการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำ�การก่อตะกอดอกหรือ
กอ่ เขาลาย ท�ำ โดยวธิ กี ารใชด้ า้ ยผกู เสน้ ไหมทแ่ี บง่ กลมุ่ ไวจ้ นครบทกุ ตะกอ ใชไ้ มน้ ดั
สอดเสน้ ไหมยนื ทเี่ ปน็ เสน้ ยกและเสน้ ขม่ ขนั นดั ดงึ เสน้ ไหมยนื ทเ่ี ปน็ เสน้ ยกขนึ้ มา
ท�ำ ใหเ้ กดิ ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเสน้ ไหม ๒ กลมุ่ สอดดา้ ยเขา้ ไปในชอ่ งวา่ งระหวา่ งชอ่ ง
ว่างน้ันจากดา้ นขวาไปดา้ ยซ้าย น�ำ ไมล้ กู เขา ๒ อนั ต้ังบนไม้กอ่ ตะกอดอกหรอื
เขาลาย แล้วเร่ิมใช้ด้ายร้อยคล้องไหมยืนที่เป็นเส้นยกทีละเส้น เช่นเดียวกับ
การก่อตะกอขัด ไปจนหมดลายก็จะด้ายตะกอซีกบนของตะกอลายตะกอที่ ๑
ตอ่ จากนน้ั กก็ อ่ ตะกอซกี บนของตะกอลายอน่ื ๆ ถดั ไป จนหมดจ�ำ นวนของตะกอ
ทีใ่ ชท้ อลวดลายผ้าลายนั้น แลว้ พลิกเส้นไหมข้นึ กอ่ ตะกอซกี ลา่ ง ซง่ึ เป็นเสน้ ข่ม
โดยใชด้ า้ ยรอ้ ยคลอ้ งเสน้ ไหมทเ่ี ปน็ เสน้ ขม่ ทลี ะเสน้ เชน่ เดยี วกบั วธิ กี ารรอ้ ยตะกอ
ขดั ดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ หว่ งของตะกอลายซกี บนจะรง้ั เสน้ ไหมยนื ทเี่ ปน็ เสน้
ไหมยกขนึ้ หว่ งของตะกอลายซกี ลา่ งจะดงึ เสน้ ไหมยนื ทเี่ ปน็ เสน้ ขม่ ลง ตะกอลาย
ที่ก่อท้ังซีกบนและซีกล่างเสร็จแล้วเรียกว่า ๑ ตับ เช่นเดียวกับตะกอขัด และ
จ�ำ นวนของตะกอลายหนึ่ง ๆ เรยี กวา่ ๑ เชา ปลายท้ัง ๒ ด้านของตะกอลายท้งั
๒ ชุด จะแขวนไว้ทีไ่ ม้ค้างเขาทง้ั ๒ ดา้ น
38
ตะกอลาย สำ�หรบั ทอผ้ายกพุมเรียง ตำ�บลพมุ เรียง อำ�เภอไชยา จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี
ตะกอลายแต่ละชุดหรือแต่ละเชานี้ เมื่อใช้ทอผ้าเสร็จแล้วจะปล่อย
เส้นไหมสว่ นปลายท่เี หลือไว้ทกุ ตะกอ ถ้าตอ้ งการจะทอผ้าลายเดมิ ก็สามารถน�ำ
ตะกอนชดุ เดมิ ไปใชไ้ ดอ้ กี โดยไมต่ อ้ งรอ้ ยตะกอลายใหม่ แตจ่ ะใชว้ ธิ ี “สบื ตะกอ”
คอื การน�ำ ไหมยนื ทค่ี น้ ใหม่ มาผกู กบั ปลายเสน้ ไหมทเ่ี หลอื ทงิ้ ไว้ ในตะกอชดุ เดมิ
จนครบทุกเสน้ แล้วดงึ เส้นไหมยนื ชดุ เกา่ ให้ร้งั เสน้ ไหมยนื ชดุ ใหม่ รอ้ ยเข้าไปใน
หว่ งของตะกอเดมิ ท้งั หมด โดยไม่ต้องเสียเวลาเก็บดอกและกอ่ ตะกอใหม่
๓. การทอ การทอผ้ายกพมุ เรียงทีส่ บื ทอดมาแต่ครั้งโบราณ แบง่ การ
ทอเปน็ ๒ ขั้นตอน คือ
๓.๑ การทอเน้ือผา้ มีขน้ั ตอน ดงั นี้
๓.๑.๑ สบั ตะกอเนอื้ ผา้ โดยการใชส้ น้ เทา้ เหยยี บคานเหยยี บ
ที่ ๑ เพ่อื รั้งตะกอขดั ที่ ๑ ลง ซ่งึ จะดงึ เสน้ ไหมยนื กลุม่ ที่ ๑ ลงมาดว้ ย ตะกอท่ี ๒
กจ็ ะยกเส้นไหมยืนกล่มุ ท่ี ๒ ขึ้น เกิดเปน็ ช่องวา่ งระหวา่ งเส้นไหมยนื ท้ังสองกลุ่ม
39
การสบั ตะกอเนือ้ ผา้ โดยการใช้สน้ เท้าเหยียบคานเหยียบ เพือ่ ให้เกิดเป็น
ช่องว่างระหว่างเส้นไหมยืนทั้งสองกลุ่ม
40
๓.๑.๒ พุ่งกระสวยเส้นไหมพุ่ง หรือเส้นไหมพ้ืน เข้าไปใน
ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเสน้ ไหมทงั้ ๒ กลมุ่ จากทางขวาไปทางซา้ ย ใชม้ อื ซา้ ยรบั กระสวย
ท�ำ ให้เสน้ ไหมพงุ่ สอดเข้าไปสานขัดกับเส้นไหมยนื
การพ่งุ กระสวยเสน้ ไหมพุ่ง หรือเสน้ ไหมพืน้ เข้าไปในช่องว่างระหว่างเส้น
ไหมท้ัง ๒ กลุ่ม จากทางขวาไปทางซ้าย ใช้มือซ้ายรับกระสวย ท�ำ ให้เส้นไหมพุ่งสอดเข้าไป
สานขดั กับเส้นไหมยืน
๓.๑.๓ กระทบฟืม หรอื ฟนั หวี เพอ่ื อดั เสน้ ไหมพุ่งให้ชิดกัน
เป็นเส้นตรง โดยใชฟ้ มื กระแทกเสน้ ไหม ๑ - ๒ ครั้ง
๓.๑.๔ สับตะกอ โดยใช้ปลายเท้าเหยียบคานเหยียบที่ ๒
ตะกอขัดที่ ๒ จะร้งั เสน้ ไหมยนื กลุ่มท่ี ๒ ลง และตะกอขดั ท่ี ๑ จะดึงเส้นไหมยืน
กล่มุ ท่ี ๑ ข้ึน เปิดเปน็ ชอ่ งระหวา่ งเส้นไหมทั้ง ๒ กลมุ่ อีกครั้ง แตต่ ำ�แหน่งของ
เส้นไหมยืนจะสลบั กัน
41
กระทบฟืม หรือฟนั หวี เพือ่ อดั เส้นไหมพุ่งให้ชิดกนั เปน็ เส้นตรง
42
๓.๑.๕ พุ่งกระสวยกลับ เข้าไปในช่องไหมยืนจากด้านซ้าย
กลับมาด้านขวา ใช้มือขวารับกระสวย เส้นไหมพุ่งก็จะสอดเข้ามาสานขัดกับ
เสน้ ไหมยนื
๓.๑.๖ กระทบฟมื หรอื ฟนั หวี อดั ไหมพงุ ใหช้ ดิ แนน่ เปน็ เสน้
ตรงอีกคร้งั
การสบั ตะกอและพุ่งกระสวยกลบั ไปมา และกระทบฟืม หรอื
ฟนั หวหี ลาย ๆ คร้ัง ทำ�ให้เกดิ เป็นเน้ือผา้ ขน้ึ ตามต้องการ
๓.๒ การทอดอก หรอื ทอลาย การทอผา้ ยกของบา้ นพมุ เรยี งเมอื ง
ไชยา ในสมัยโบราณพบวา่ มีกระบวนการทอ อยู่ ๒ วิธกี ารหลัก คือ
๓.๒.๑ การทอแบบเพิ่มเส้นไหมพุ่งพิเศษติดต่อกันตลอด
หน้ากว้างของผ้า หรือท่ีเรียกกันว่า “ยกเขา” ทำ�นองเดียวกับการทอผ้าขิด
วิธีการทอเช่นน้ีสามารถทำ�ได้รวดเร็วและไม่ยุ่งยาก จึงเป็นท่ีนิยมมาจนกระท่ัง
ปัจจบุ นั แตเ่ ปลืองวสั ดคุ อื เสน้ ไหมพงุ่ พิเศษ มีขน้ั ตอนดงั น้ี
- ใชไ้ มน้ ัดแทงไม้จูดตะกอลายที่ ๑ จากด้านซา้ ยไป
ดา้ นขวา ถา้ ลายผา้ ทท่ี อเปน็ ลายตลอดผนื ตามความกวา้ งของเนอื้ ผา้ ใชไ้ มน้ ดั ใหญ ่
แต่ถ้าหากเป็นลายเฉพาะเชิงผ้า ใช้ไม้นัดท่อน ขันนัด ดึงเส้นไหมยืนท่ีเป็นเส้น
ยกขึ้น ปล่อยไม้นัดค้างไว้ ทำ�ให้เกิดช่องว่างระหว่างเส้นไหมยืนที่เป็นเส้นยก
และเสน้ ขม่
- พุ่งกระสวยเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปในช่องว่าง แล้ว
ลม้ นดั คอื การพลกิ ไมน้ ดั ทต่ี งั้ ขน้ึ ตามสว่ นกวา้ ง ใหน้ อนลงในแนวราบ ท�ำ ใหเ้ สน้
ไหมยืนถูกดึงกลับมาต�ำ แหนง่ เดิม
- ทำ�ลายขดั ผ้า ๑ เส้น โดยใช้วิธีแบบการทอเน้อื ผา้
ตะกอลายท่ี ๒ และตะกอลายลำ�ดับต่อ ๆ ไป ก็ใช้วิธีทอเช่นเดียวกับตะกอ
ลายที่ ๑ เมือ่ ทอจนครบทกุ ตะกอก็จะได้ลายครง่ึ ลาย ถา้ จะทอให้ครบเต็มลาย
ก็ตอ้ งใช้ตะกอลายเดิมทวนกลบั จากตะกอสุดท้ายจนถงึ ตะกอที่ ๑
43
ใช้ไมน้ ัดแทงไม้จดู ตะกอลาย จากด้านซ้ายไปด้านขวา
สอดไมน้ ดั จากด้านซ้ายไปด้านขวา
44
ขันนดั ดึงเสน้ ไหมยืนทีเ่ ป็นเส้นยกขึน้ ปล่อยไม้นดั ค้างไว้ ทำ�ให้เกิดช่องว่าง
ระหว่างเส้นไหมยืนที่เปน็ เส้นยกและเส้นข่ม
๓.๒.๒ การทอแบบเพมิ่ เสน้ ไหมพงุ่ พเิ ศษเปน็ ชว่ ง ๆ ไมต่ ดิ ตอ่
กนั ตลอดความกว้างของหน้าผา้ เรยี กวา่ การทอแบบ “จุ่มดอก” หากมีการทอ
สอดสตี รงใจกลางลายกเ็ รยี กวา่ “ถมเกสร” ข้ันตอนการทอปฏิบตั ิเช่นเดยี วกับ
การทอแบบยกเขาทกุ ประการ นอกจากข้นั ตอนการเพิ่มเส้นพงุ่ พิเศษ ไม่ใช้การ
พุ่งกระสวยไปตลอดหน้าผ้าแบบการยกเขา แต่จะใช้เส้นพุ่งพิเศษสอดเข้าไปใน
ช่องวา่ งระหว่างเสน้ ไหมยกและขม่ เปน็ ชว่ ง ๆ
45
การพงุ่ กระสวยเสน้ พงุ่ พิเศษ เข้าไปในชอ่ งว่างระหวา่ งเสน้ ไหมยืนทเี่ ปน็ เส้นยกและ
เส้นข่ม
46
ผา้ ยกพมุ เรยี งทอแบบเพม่ิ เสน้ ไหมพงุ่ พเิ ศษเปน็ ชว่ ง ๆ ไมต่ ดิ ต่อกนั ตลอด
ความกว้างของหน้าผ้า เรียกว่าการทอแบบ “จุ่มดอก” และทอสอดสีตรงใจกลางลาย
แบบที่เรียกว่า “ถมเกสร” การพุ่งกระสวยเส้นพุ่งพิเศษ เข้าไปในช่องว่างระหว่างเส้นไหม
ยืนที่เป็นเส้นยกและเส้นข่ม
ลักษณะของลวดลาย
เม่ือได้พิจารณาศึกษาตัวอย่างผ้ายกอย่างจริงจัง พบว่าผ้ายกท่ีผลิต
โดยหัวเมืองภาคใต้ตอนบน เพ่ือนำ�มาใช้ในกิจการของราชสำ�นักสยามนั้น
มีรายละเอียดปลีกยอ่ ยพอจะจ�ำ แนกออกเปน็ กลมุ่ ได้ดงั น้ี
47