The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทย์พื้นฐาน ม.2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by watana rassadornwijit, 2020-04-15 09:15:01

วิทย์พื้นฐาน ม.2

วิทย์พื้นฐาน ม.2

ัตวอ ่ยาง หนังสือเรียน รายวชิ าพนื้ ฐาน

วิทยาศาสตร์ ม. 2ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี2

ตามมาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวช้ีวดั กล่มุ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

ผู้เรยี บเรียง เน้อื หาเสรมิ บทเรยี น
ผา่ น AR Technology
ศรีลักษณ์ ผลวฒั นะ ในรปู แบบ 3D และ Multimedia
เจยี มจิต กลุ มาลา
ตวั อยา่ งองค์ประกอบ

ในแผนจดั การเรยี นรู้
ใบงาน
เฉลยใบงาน
ใบความรู้
ใบกจิ กรรม
เฉลยใบกจิ กรรม
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
แบบทดสอบหลงั เรยี น
เฉลยแบบทดสอบ

หนงั สอื เรย� น MAC 4.0

หนังสือเร�ยน MAC 4.0 จัดทำ�ขึ้นเพื่อใช้เป็นส่ือก�รเรียนรู้เพ่ือพัฒน�นักเรียนให้มีคุณภ�พต�มม�ตรฐ�นก�รเรียนรู้และตัวชี้วัด
ส�ระก�รเรียนรู้แกนกล�ง (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ต�มหลักสูตรแกนกล�งก�รศึกษ�ขั้นพ้ืนฐ�น พ.ศ. 2551 ท่ีกำ�หนดไว้
รวมทง้ั พฒั น�นกั เรยี นใหม้ ที กั ษะแหง่ ศตวรรษท ่ี21 และสมรรถนะส�ำ คญั ต�มทตี่ อ้ งก�ร ทง้ั ด�้ นก�รสอ่ื ส�ร ก�รคดิ ก�รแกป้ ญ˜ ห� ก�รสร�้ งสรรค ์ ก�รใช้
เทคโนโลยสี �รสนเทศและก�รสอ่ื ส�ร และทกั ษะชวี ติ โดยออกแบบหนว่ ยก�รเรยี นรใู้ หแ้ ตล่ ะหนว่ ยก�รเรยี นรปู้ ระกอบดว้ ย 9 องคป์ ระกอบส�ำ คญั

หนงั สอื เร�ยน MAC 4.0 มเี คร่ืองมือสนบั สนนุ ก�รจดั ก�รเรียนรสู้ ำ�หรับครแู ละนักเรียนทส่ี �ม�รถเข�้ ถึงและใชง้ �นไดง้ ่�ยบนเวบ็ ไซต์
MACeducation.com ซ่งึ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้

1. “ส�ำ หรบั คร”ู ประกอบด้วย คมู่ ือครู MACTIVE แผนก�รจดั ก�รเรยี นร ู้ MAC PLC และก�รบ้�นและก�รทดสอบออนไลน์ ครสู �ม�รถ
เลือกใช้ง�นในแตล่ ะสว่ นเพอ่ื น�ำ ไปจดั ก�รเรียนรูท้ ั้งในและนอกหอ้ งเรยี นไดอ้ ย่�งมีประสิทธภิ �พ และยงั ได้แลกเปลี่ยนเรยี นรกู้ บั ครดู ว้ ยกนั
ซ่งึ จะท�ำ ให้หนงั สือเรียน MAC 4.0 ใหม้ �กกว่�คว�มรู ้ แต่รวมถึงประสบก�รณท์ ่ีมีคณุ ค่�

2. “สำ�หรับนักเรยี นและผ้ปู กครอง” ประกอบดว้ ย MAC SLC และก�รบ้�นและก�รทดสอบออนไลน์ นกั เรยี นและผปู้ กครองส�ม�รถ
รว่ มเรยี นรู้ส่ิงต่�งๆ นอกเหนือจ�กบทเรียนได้อย�่ งสนกุ สน�นไปกบั MAC 4.0 ทจ่ี ะชว่ ยทำ�ให้โลกทัง้ ใบกล�ยปน็ แหลง่ เรยี นรูด้ ว้ ยเทคโนโลยี
เพื่อก�รศกึ ษ�อันทันสมยั

หMนังAสCือเ4ร.ย� 0น

MACeducation.com แหลงความรนู ักเรียน

ครู และนผักูป เรก�ยคนรอง

การบานและคลังขอ สอบออนไลน

MAC PLC MAC SLC

คูมอืMคAรCูแมTIค็VE4.0 แผนการจัดการเรียนรู

MACeducation.com

ครู นักเรยี นและผูป้ กครอง

สว่ นประกอบ สว่ นประกอบ
“สำ�หรบั ครู” “ส�ำ หรบั นกั เรยี นและผปู้ กครอง”

1. คูม่ อื ครูแมค็ 4.0 MACTIVE 1. MAC SLC (Student Learning
คมู่ อื ส�ำ หรบั ครใู ชใ้ นการจดั การเรยี นรตู้ ามแบบ Active Teaching Community)
4 ขั้นตอน (4I) เพ่ือให้ครสู อนให้นอ้ ยลง (Teach Less) และ Active “แหลง่ ความร”ู้ คอื คลงั บทความและสอ่ื มลั ตมิ เี ดยี
Learning2 ขน้ั ตอน(2L) เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเรยี นรไู้ ดม้ ากขน้ึ (LearnMore) ท่ีจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ เสริมสร้างจินตนาการ
2. แผนการจัดการเรียนรู้ และแรงบันดาลใจสำ�หรับนักเรียน นักเรียนสามารถ
แผนการจัดการเรียนการสอนสำ�หรับครูใช้เตรียมการจัดการ ค้นคว้าและเรียนรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากบทเรียนได้
เรียนรู้ให้แก่นักเรียน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ อย่างอิสระ
Active Learning “iSMART Club” คอื คลบั ออนไลนส์ �ำ หรบั นกั เรยี น
3. MAC PLC (Professional Learning Community) ไดเ้ ขา้ มาแลกเปลยี่ นประสบการณแ์ ละเรยี นรรู้ ะหวา่ งกนั
แบ่งเปน็ 2 สว่ น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะสำ�คัญแห่งศตวรรษที่ 21
“แหลง่ ความร”ู้ คอื คลงั บทความและสอื่ มลั ตมิ เี ดยี เพอ่ื การจดั การ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นที่มีความ
เรียนรู้ครอบคลุมทกุ กลมุ่ สาระฯ ครูสามารถเข้าไปเลอื กชมและน�ำ ไป แตกตา่ ง
ใช้สนบั สนุนการจดั การเรยี นร้ไู ดต้ ลอดเวลา 2. การบ้านและการทดสอบออนไลน์
“ห้องพกั ครู” คอื ชมุ ชนออนไลนส์ �ำ หรบั แลกเปลี่ยนประสบการณ์ MAC Level+ (แม็ค เลเวลอพั ) คือ แอปพลเิ คชนั
และเรยี นรรู้ ะหวา่ งครดู ว้ ยกนั ครสู ามารถน�ำ ความรู้ เทคนคิ วธิ กี ารสอน การบา้ นและการทดสอบออนไลนท์ คี่ รเู ปน็ ผมู้ อบหมาย
และการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระฯ ท่ีตนเองอยู่มาแลกเปลี่ยนและ การบ้านและข้อสอบให้แก่นักเรียน เม่ือนักเรียนทำ�
เรียนรู้กนั ได้ การบ้านหรอื ขอ้ สอบเสรจ็ จะทราบผลได้ในทนั ที
4. การบ้านและการทดสอบออนไลน์
MAC Level+ (แมค็ เลเวลอัพ) คอื แอปพลเิ คชันการบา้ นและ
การทดสอบออนไลน์ที่ครูสามารถเลือกและมอบหมายการบ้าน
และข้อสอบให้แก่นักเรียน โดยครูสามารถเลือกแบบฝึกหัดเพ่ือเป็น
การบา้ น เลอื กขอ้ สอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นหรอื ขอ้ สอบแนวO-NET
เพ่อื เปน็ แบบทดสอบยอ่ ยระหวา่ งเรยี น หรือแบบทดสอบระหว่างภาค
และปลายภาคได้ เม่ือนักเรียนเข้ามาทำ�การบ้านและแบบทดสอบ
ออนไลน์ที่ไดร้ บั มอบหมาย นักเรียนจะทราบผลทนั ทีเมื่อทำ�เสร็จ

หนงั สือเรย� น MAC 4.0

ACTIVE BOOK, ACTIVE TEACHING, ACTIVE LEARNING

การนําเสนอเนือ้ หาแตล ะหนวยการเรย� นรู

1. บทน�า (Introduction) 6. กจิ กรรมบรู ณาการ / กจิ กรรมสะเตม็ ศกึ ษา
ภาพรวมของเนอ้ื หาในหนว่ ยการเรยี นรดู้ ว้ ยภาพ (Integrated Activities/STEM Activities)

หรือสถานการณ์ หรือคำาถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียน 6.1 กิจกรรมบรู ณาการ
สนใจอยากเรยี นรเู้ น้ือหาในหนว่ ยการเรียนรนู้ นั้ ๆ
2. แนวคดิ สา� คญั (Key Idea) กิจกรรมหรือโครงงานท่ีบูรณาการการเรียนรู้
ท่ีหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน โดยวัตถุประสงค์หลัก
เน้ือหาสำาคัญในแต่ละเรื่องหรือหัวข้อเพ่ือให้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วยตัวเอง
ผเู้ รยี นจดจาำ หรอื เขา้ ใจอยา่ งลกึ ซง้ึ จนเกดิ ชน้ิ งานหรอื นวตั กรรม (กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
3. MAC iLink / SnapLearn สงั คมศึกษาฯ)
(Multimedia & AR)
6.2 กิจกรรมสะเตม็ ศึกษา (STEM)
3.1 MAC iLink
กิจกรรมที่บูรณาการความรู้และทักษะ 4 สาขา
เนอื้ หาเสรมิ จากบทเรยี นในรปู แบบของมลั ตมิ เี ดยี วชิ าหลกั คอื วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตร์
ผา่ นการสแกน QR Code โดยใช้สมาร์ทโฟน หรือ และคณิตศาสตร์ เพื่อนำาความรู้เหล่าน้ันไปใช้
ผ่านเว็บไซต์ MACeducation.com เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียน แก้ปัญหาและสร้างสรรค์ช้ินงานท่ีเป็นประโยชน์
เข้าใจเนื้อหาในเรือ่ งน้นั ๆ มากย่งิ ขึ้น ในชีวิตจริงและพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
(กล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร)์
3.2 SnapLearn
6.3 กจิ กรรมเพ�อสง เสรม� ความคดิ สรา งสรรค
เน้ือหาเสริมจากบทเรียนในรูปแบบมัลติมีเดีย
และ 3D Models ผ่าน AR Technology กจิ กรรมทบี่ รู ณาการความรดู้ า้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละ
บนแอปพลิเคชัน SnapLearn ในสมาร์ทโฟน ความรูใ้ นกลมุ่ สาระการเรียนรอู้ ืน่ ๆ โดยนาำ มาสร้าง
เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาในเร่ืองน้ันๆ มากยิ่งขึ้น ผลงานที่มีคุณภาพและความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์
(เฉพาะกลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์) เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ ละพฒั นาทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี21
4. กจิ กรรมตรวจสอบการเรย� นรู้ (กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร)์
(Recheck & Review) 7. สรปุ องค์ความรู้
(Conclusion of Knowledge)
กิจกรรมที่มีความหลากหลายซ่ึงออกแบบมา
เพอื่ ตรวจสอบความรคู้ วามเขา้ ใจเนอ้ื หาในแตล่ ะเรอ่ื ง การสรุปองค์ความรู้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้
ของผู้เรยี น ซงึ่ ประกอบไปด้วยการสรปุ เนื้อหา 3 ด้าน คอื

5. กจิ กรรมตามธรรมชาตวิ �ชา • ด้านความรู้ (Knowledge)
(Activity Based-Learning) • ดา้ นทักษะกระบวนการ (Process)
• ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (Attribute)
กจิ กรรมทใ่ี หผ้ เู้ รยี นไดฝ้ ก ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหเ้ กดิ ทกั ษะ 8. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์
ในวิชานั้นๆ (Achievement Test)
คาำ ถามทเ่ี นน้ ทกั ษะกระบวนการคดิ เพอื่ ตรวจสอบ
ความรรู้ วบยอดของผเู้ รยี นใหเ้ ปน็ ไปตามแนวคดิ หลกั
ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
9. อภธิ านศัพท์ (Glossary)
คาำ สาำ คญั คาำ ยาก หรอื คาำ คน้ ทส่ี มั พนั ธก์ บั เนอื้ หา
ในหนว่ ยการเรยี นรู้ต่างๆ ในหนงั สือเรียน MAC 4.0
โดยจะมกี ารอธบิ ายความหมายหรอื ใหค้ าำ จาำ กดั ความ

MAC iLink

MAC iLink เป็นเนื้อหาเพ่มิ เตมิ นอกเหนอื จากหนงั สือเรียน MAC 4.0 เพื่อให้ครแู ละผูเ้ รียนทมี่ ีความสนใจทีจ่ ะศึกษาคน้ คว้า
เพิม่ เตมิ หาข้อมูลได้จากฐานขอ้ มูลทบี่ รษิ ัทได้จัดท�ำ ขนึ้ โดยผา่ น 2 ชอ่ งทาง ดงั นี้

1 ใช้สมาร์ทโฟนสแกน QR code จากหนา้ หนังสอื ทีม่ ีสัญลกั ษณ์ MAC iLink

2 เปิดเว็บไซต์ MACeducation.com เพ่ือเข้าเมนู การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน MAC iLink และเลือกเปิดดูส่วนเสริม
ของบทเรยี นในหนังสือแตล่ ะเลม่ ได้

ทั้งนี้เนื้อหาเสริมเพม่ิ เตมิ นำ�เสนอหลายรปู แบบ เชน่ แอนิเมชัน วดิ โี อ เสียง ภาพ และข้อความ

12

MACeducation.com

DIGITAL CONTENT DIGITAL CONTENT

SnapLearn

1. ดาวน์โหลดแอปพลเิ คชนั SnapLearn ไดฟ้ รีที่ Google Play Store สาำ หรับ Android หรือ

App Store สาำ หรบั IOS

2. เปิดใชง้ านแอปพลเิ คชนั SnapLearn ค้นหาหนงั สือเรยี น MAC โดย

2.1 การกดปุม เพือ่ สแกนบาร์โค้ด หรอื QR Code

2.2 เข้าไปท่ี Bookstore แลว้ กรอกช่ือหนังสอื เรยี น MAC ลงในช่องค้นหาดา้ นบน

3. กดดาวน์โหลดหนังสอื เร�ยน MAC เลม่ ท่ีต้องการมาไวใ้ น Bookshelf

4. กดเขา้ ไปในหนงั สอื เร�ยน MAC บน Bookshelf แลว้ ทำาการสแกนหน้าหนังสือเรียน MAC ทีม่ สี ญั ลกั ษณ์

เพ่ือเข้าส่โู ลกเสมือนจรงิ หรอื มัลตมิ ีเดีย

1 ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SnapLearn 2 เปดิ ใช้งานแอปพลเิ คชนั SnapLearn
2.1 กดปมุ ตรงกลาง เพอ� สแกนบาร์โคด้ หรอ� QR Code

(Google Play) (App Store) หรอ�

2.2 กรอกช�่อหนงั สือเรย� นลงในช่องค้นหา
Search in SnapLearn

3 กดดาวน์โหลดหนังสือเร�ยน MAC 4 สแกนหนา้ หนังสือเร�ยน MAC

18 วทิ ยาศาสตร์ ม.2
ทบ่ี รเิ วณทอ่ ของหนว่ ยไตจะมกี ารดดู ซมึ สารทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ รา่ งกาย เชน่ แรธ่ าต ุ นา้ำ ตาลกลโู คส
กรดอะมิโน รวมทั้งนำ้ากลับคืนสู่หลอดเลือดฝอยและเข้าสู่หลอดเลือดดำา ส่วนของเสียอื่น ๆ ท่ีเหลือ
ก็คือปัสสาวะจะถกู ส่งมาตามท่อไตเข้าสู่กระเพาะปสั สาวะ ซึ่งมคี วามจปุ ระมาณ 500 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร
แตก่ ระเพาะปสั สาวะสามารถทจี่ ะหดตวั ขบั ปสั สาวะออกมาได ้ เมอ่ื มปี สั สาวะมาขงั อยปู่ ระมาณ 250ลกู บาศก์
เซนติเมตร ซง่ึ ในวนั หนงึ่ ๆ รา่ งกายจะขับปัสสาวะออกมาประมาณ 1-1.5 ลติ ร

เวนา คาวา ไต กรวยไต เมดลั ลา
คอร์เทกซ์
หลอดเลอื ดรนี ลั อารเ์ ตอเอรแีอลอะรเต์ วาน
ทอ่ ไต คอร์เทกซ์
กระเพาะปสั สาวะ ท่อไต

ท่อปสั สาวะ โกลเมอรลู สั
ท่อขดส่วนต้น
โบวแ์ มนสแ์ คปซูล

หลอดเลือดฝอย

ท่อขดส่วนปลาย

ห่วงเฮนเล ทอ่ รวม ท่อรวม
เมดัลลา

ไปกรวยไต

รปู ท่ี 1.8 ระบบการทำางานของไตและอวยั วะทเี่ กี่ยวขอ้ ง
- เวนา คาวา (vena cava) หลอดเลอื ดดาำ ใหญท่ ล่ี าำ เลยี งเลอื ดจากรา่ งกายเขา้ สหู่ วั ใจโดยตรง
- รนี ลั อารเ์ ตอร ี (renal artery) หลอดเลอื ดแดงทแี่ ตกแขนงออกจากเอออรต์ าเพอ่ื ไปยังไต
- รีนัลเวน (renal vein) หลอดเลือดดาำ ทีน่ ำาเลอื ดออกจากไตไปยังหัวใจ
- เอออร์ตา (aorta) หลอดเลือดแดงใหญ่ที่นำาเลือดจากหัวใจห้องล่างซ้ายไปหล่อเลี้ยง
รา่ งกาย

ตรวจสอบรายการหนังสอื เรย� น MAC กลมุ่ สาระการเร�ยนรูว้ ท� ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
ทใ่ี ชแ้ อปพลเิ คชัน SnapLearn ได้ท่ี www.MACeducation.com

หนาตวั อยา งการใชง าน SnapLearn

18 วิทยาศจาาสกตตร์ัวมอ.2ยางหนงั สือเรย� น รายว�ชาพน� ฐานว�ทยาศาสตร ม.2

ทบี่ รเิ วณทอ่ ของหนว่ ยไตจะมกี ารดดู ซมึ สารทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ รา่ งกาย เชน่ แรธ่ าต ุ นา้ำ ตาลกลโู คส
กรดอะมิโน รวมท้ังน้ำากลับคืนสู่หลอดเลือดฝอยและเข้าสู่หลอดเลือดดำา ส่วนของเสียอ่ืน ๆ ที่เหลือ
ก็คอื ปัสสาวะจะถูกสง่ มาตามทอ่ ไตเขา้ สู่กระเพาะปัสสาวะ ซ่ึงมีความจุประมาณ 500 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร
แตก่ ระเพาะปสั สาวะสามารถทจี่ ะหดตวั ขบั ปสั สาวะออกมาได ้ เมอ่ื มปี สั สาวะมาขงั อยปู่ ระมาณ 250ลกู บาศก์
เซนติเมตร ซงึ่ ในวันหนง่ึ ๆ ร่างกายจะขับปัสสาวะออกมาประมาณ 1-1.5 ลิตร

เวนา คาวา ไต กรวยไต เมดัลลา
คอรเ์ ทกซ์
หลอดเลอื ดรนี ลั อารเ์ ตอเอรแีอลอะรเต์ วาน
ทอ่ ไต คอรเ์ ทกซ ์
กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต

ทอ่ ปัสสาวะ โกลเมอรลู ัส
ท่อขดส่วนต้น
โบว์แมนส์แคปซลู

หลอดเลือดฝอย

ทอ่ ขดส่วนปลาย

ห่วงเฮนเล ท่อรวม ท่อรวม
เมดลั ลา

ไปกรวยไต
Ëҧ¡Ò¢ºÑ »˜ÊÊÒÇÐ䴌͋ҧäÃ

รูปที่ 1.8 ระบบการทำางานของไตและอวัยวะท่ีเก่ยี วข้อง

- เวนา คาวา (vena cava) หลอดเลอื ดดาำ ใหญท่ ล่ี าำ เลยี งเลอื ดจากรา่ งกายเขา้ สหู่ วั ใจโดยตรง
- รนี ัลอารเ์ ตอร ี (renal artery) หลอดเลือดแดงท่แี ตกแขนงออกจากเอออรต์ าเพอ่ื ไปยังไต
- รนี ัลเวน (renal vein) หลอดเลอื ดดำาที่นาำ เลือดออกจากไตไปยังหวั ใจ
- เอออร์ตา (aorta) หลอดเลือดแดงใหญ่ที่นำาเลือดจากหัวใจห้องล่างซ้ายไปหล่อเล้ียง
รา่ งกาย

สารบัญ

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 ระบบตา่ ง ๆ ของมนษุ ย ์

(ว 1.2 ม.2/1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17)

1. ระบบหายใจ
2. ระบบหมนุ เวยี นเลือด
3. ระบบก�ำจดั ของเสีย
4. ระบบประสาท
5. ระบบสืบพนั ธ์ ุ
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ ิ์
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 2 การแยกสารผสม

(ว 2.1 ม.2/1, 2, 3)

1. การระเหยแหง้
2. การตกผลึก
3. การกล่ันแบบธรรมดา
4. การแยกสารโดยวิธโี ครมาโทกราฟี
5. การแยกสารโดยวิธกี ารสกดั ดว้ ยตัวท�ำละลายและการสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน�้ำ
6. การน�ำความรเู้ รือ่ งการแยกสารผสมไปใช้ประโยชน์
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 สารละลาย

(ว 2.1 ม.2/4, 5, 6)

1. ชนิดของสารละลายและการน�ำไปใชป้ ระโยชน ์
2. สารกบั พลงั งาน
3. สภาพการละลายได้ของสารและปัจจัยทมี่ ีผลตอ่ การละลาย
4. ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย
5. การเตรียมสารละลาย
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ ิ
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 4 แรงและแรงลัพธ ์

(ว 2.2 ม.2/1, 2)

1. ปรมิ าณทางฟิสิกส์
2. แรงและเวกเตอร์ของแรง
3. แรงลัพธ์
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ ิ

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5 แรงต่าง ๆ ในชีวติ ประจ�ำวัน

(ว 2.2 ม.2/3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15)

21.. แชรนงิดดขันอแงลแะรคงตวาา่ มงดๆันขทอคี่ งวขรอรงู้จเักห ลว
3. แรงพยุง
4. แรงเสยี ดทาน
65.. แโมรเงมแนมต่เห์ขลอ็กงแแลรงะ แรงไฟฟา้
7. แรงโนม้ ถ่วง
8. แรงปฏิกิริยาและแรงกิริยา
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ ์ิ
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 6 งานและพลังงาน

(ว 2.2 ม.2/10 และ ว 2.3 ม.2/1, 2, 3, 4, 5, 6)

1. งานและก�ำลงั
2. เคร่อื งกลอยา่ งง่ายและประโยชนข์ องเครอื่ งกล
แ43..บ บกพทาลดรังอสงนาอนุรบกัศวษดักั พ์ยผโ์ลลนังสม้งมั าถฤนว่ ท งธแ์ิ ละพลงั งานจลน์
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 7 การเคล่อื นที่ของวตั ถุ

(ว 2.2 ม.2/14, 15)

321... รผคะลวยาขะมอทหงาแมงรางยกทขาม่ี อรีผกงลกระตาจรอ่ เดักคาลครอ่ื เวคนาลทมอ่ื่ ีเรน็วที ่และอตั ราเร็ว
4. ความเรง่
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 8 โลกและทรัพยากรธรรมชาต ิ

(ว 3.2 ม.2/4, 5, 6, 7, 8, 9, 10)

1. ความรพู้ น้ื ฐานเกย่ี วกับโลกและโครงสร้างโลก
2. กระบวนการเปลยี่ นแปลงทางธรณีวิทยาของเปลอื กโลก
แ43..บ บทททรรดพััพสยยอาาบกกวรรนดดั นิ�้ำผล สัมฤทธ ์ิ

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 9 เชอื้ เพลิงซากดกึ ด�ำบรรพ ์

(ว 3.2 ม.2/1, 2, 3)

321... กกคราวะราเบมกวริดนพู้ ปกนื้ โิ าฐตรารแนเลยเกกีย่ยีมแวกแกส๊ลับธะรเกชรา้อืมรเชสพา�ลำตรงิวิแซจลา ะกกดาึกรดก�ลำบนั่ รนร้�ำพม์ ันดบิ
4. ผลทีเ่ กดิ จากการผลติ และการใชผ้ ลิตภณั ฑ์ปโิ ตรเลียมตอ่ สง่ิ มชี ีวติ และสง่ิ แวดล้อม
แ5.บ บแทนดวสทอาบงกวาัดรผใลชส้เชัมอ้ื ฤเทพธล์ ิิงฟอสซิลทีถ่ ูกต้องและการหาแหลง่ พลังงานทดแทน

ระบบตา่ ง ๆ ของมนุษย์ 1หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี

สาระการเรยี นรู้

1 ระบบหายใจ 4 ระบบประสาท
2 ระบบหมุนเวียนเลอื ด 5 ระบบสืบพันธ์ุ
3 ระบบก�ำ จัดของเสยี

ตัวชีว้ ัดช้นั ปี

1. ระบอุ วัยวะและบรรยายหน้าทขี่ องอวยั วะทเ่ี กี่ยวขอ้ งในระบบหายใจ (ว 1.2 ม.2/1)
2. อธบิ ายกลไกการหายใจเขา้ และออก โดยใช้แบบจ�ำ ลอง รวมทงั้ อธิบายกระบวนการแลกเปล่ยี นแกส๊ (ว 1.2 ม.2/2)
3. ตระหนักถึงความสำ�คญั ของระบบหายใจโดยการบอกแนวทางในการดแู ลรักษาอวยั วะในระบบหายใจใหท้ ำ�งานเปน็ ปกติ (ว 1.2 ม.2/3)
4. ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ที่ของอวยั วะในระบบขับถา่ ยในการกำ�จัดของเสียทางไต (ว 1.2 ม.2/4)
5. ตระหนักถึงความสำ�คัญของระบบขับถ่ายในการกำ�จัดของเสียทางไต โดยการบอกแนวทางในการปฏิบัติตนท่ีช่วยให้ระบบขับถ่ายทำ�หน้าที่ได้อย่างปกติ (ว 1.2
ม.2/5)
6. บรรยายโครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องหวั ใจ หลอดเลือด และเลอื ด (ว 1.2 ม.2/6)
7. อธิบายการทำ�งานของระบบหมุนเวียนเลอื ดโดยใชแ้ บบจำ�ลอง (ว 1.2 ม.2/7)
8. ออกแบบการทดลองและทดลองในการเปรยี บเทยี บอัตราการเตน้ ของหัวใจขณะปกตแิ ละหลงั ท�ำ กิจกรรม (ว 1.2 ม.2/8)
9. ตระหนักถงึ ความส�ำ คญั ของระบบหมนุ เวียนเลือด โดยบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวยั วะในระบบหมุนเวยี นเลอื ดใหท้ ำ�งานเปน็ ปกติ (ว 1.2 ม.2/9)
10. ระบุอวยั วะและบรรยายหนา้ ที่ของอวัยวะในระบบประสาทสว่ นกลาง ในการควบคมุ การท�ำ งานต่างๆ ของรา่ งกาย (ว 1.2 ม.2/10)
11. ตระหนักถึงความสำ�คัญของระบบประสาทโดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษา รวมถึงการป้องกันการกระทบกระเทือนและอันตรายต่อสมองและไขสันหลัง
(ว 1.2 ม.2/11)
12. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของอวยั วะในระบบสืบพันธ์ุของเพศชายและเพศหญิงโดยใชแ้ บบจ�ำ ลอง (ว 1.2 ม.2/12)
13. อธิบายผลของฮอรโ์ มนเพศชายและเพศหญงิ ท่คี วบคมุ การเปลย่ี นแปลงของรา่ งกายเม่ือเข้าสู่วยั หนุ่มสาว (ว 1.2 ม.2/13)
14. ตระหนักถงึ การเปลย่ี นแปลงของร่างกายเม่ือเข้าสู่วยั หนุม่ สาว โดยการดูแลรกั ษาร่างกายและจติ ใจของตนเองในชว่ งทม่ี ีการเปลย่ี นแปลง (ว 1.2 ม.2/14)
15. อธบิ ายการตกไข่ การมปี ระจ�ำ เดอื น การปฏิสนธิ และการพฒั นาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก (ว 1.2 ม.2/15)
16. เลือกวิธกี ารคมุ ก�ำ เนิดท่ีเหมาะสมกบั สถานการณท์ ก่ี ำ�หนด (ว 1.2 ม.2/16)
17. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของการตง้ั ครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยการประพฤติตนใหเ้ หมาะสม (ว 1.2 ม.2/17)

การว่ิงออกก�ำลังกายระบบใดของรา่ งกาย
ที่มีสว่ นเก่ยี วข้องในการท�ำงานบ้าง

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 ระบบตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ 3

กลไกในรา่ งกายมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ยอวยั วะตา่ งๆ ทที่ าำ งานรว่ มกนั เปน็ ระบบตา่ ง ๆ เพอื่ ดาำ รงชวี ติ
เชน่ ระบบหายใจ ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบขบั ถา่ ย ระบบประสาท และระบบสบื พนั ธ์ุ
ความรู้เก่ียวกับการทำางานของอวัยวะต่างๆ ในแต่ละระบบจะช่วยให้เกิดความเข้าใจและนำาไปใช้ในการ
ดูแลรกั ษาสขุ ภาพใหแ้ ขง็ แรง

1. ระบบหายใจ

แนวคดิ สาำ คญั ระบบหายใจ (respiration system) ของมนุษย์
ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ที่ทำางานร่วมกันเป็นระบบ
ระบบหายใจของมนุษย์มีอวัยวะ มอี วยั วะท่เี ก่ียวข้อง ไดแ้ ก่ จมกู ทอ่ ลม ปอด กะบงั ลม และ
ต่าง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง ได้แก ่ จมูก ทอ่ ลม ปอด กระดกู ซี่โครง
กะบงั ลม และกระดกู ซี่โครง การหายใจเข้า
เป็นการนำาแกสออกซิเจนในอากาศเข้าสู่ 1.1 การหายใจ
ร่างกายเพ่ือนำาไปใช้ในการเผาผลาญ
สารอาหารท่ีอยู่ภายในเซลล์ได้เป็นพลังงาน การหายใจ (respiration) เป็นการนาำ อากาศเขา้
แกสคาร์บอนไดออกไซด์ และไอน้ำา และออกจากรา่ งกาย สง่ ผลใหแ้ กส๊ ออกซเิ จนทาำ ปฏกิ ริ ยิ ากบั
ก า ร ห า ย ใ จ อ อ ก เ ป็ น ก า ร กำ า จั ด แ ก ส สารอาหารได้พลังงาน นำ้า และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
คารบ์ อนไดออกไซด์ ไอนาำ้ และอากาศออก กระบวนการหายใจเกดิ ขนึ้ กบั ทกุ เซลลต์ ลอดเวลา ซงึ่ มกี ลไก
จากปอด การหายใจเขา้ และหายใจออกจะ การทำางานของระบบหายใจ ดังน้ี
มีการเปล่ียนแปลงความดันและปริมาตร
ของอากาศภายในช่องอกซึ่งเกี่ยวข้องกับ หลอดลม หลอดลมในคอ
กะบงั ลมและกระดกู ซโี่ ครงทจี่ ะทาำ ใหอ้ ากาศ (หภลาอยดใลนม) ฝปออยด กระดูกซ่ีโครง
เคล่ือนท่ีเข้าและออกจากปอดได้ ในระบบ
หายใจจะมกี ารแลกเปลยี่ นแกส ออกซเิ จนกบั ปอด
แกสคารบ์ อนไดออกไซด์

กะบงั ลม

การหายใจจำาเป็นต้อง ถุงลม
อาศยั โครงสร้าง 2 ชนิด
คือ กลา้ มเนือ้ กะบงั ลมและ เลือดที่มอี อกซเิ จนสูง
หลอดเลือดฝอย
กระดกู ซี่โครง

ถงุ ลม เลือดทีม่ คี ารบ์ อนไดออกไซด์สงู
รูปที่ 1.1 อวยั วะทีเ่ กี่ยวข้องกบั ระบบหายใจ

4 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

1. การหายใจเขา้ (inspiration) กะบงั ลมจะเลอ่ื น
ต�ำ่ ลง กระดกู ซี่โครงจะเลอื่ นสูงขนึ้ ท�ำ ให้ปรมิ าตรของชอ่ ง
อกเพม่ิ ข้ึน ความดันอากาศภายในบรเิ วณรอบ ๆ ปอดลด
ต่ำ�ลงกว่าอากาศภายนอก อากาศภายนอกจงึ เคล่อื นเขา้ สู่
จมูก หลอดลม และไปยงั ถุงลมปอด ปริมาตรของชอ่ งอกเพ่ิมขึ้น
2. การหายใจออก (expiration) กะบังลมจะ กระดูกซโี่ ครงเลือ่ นสูงข้ึน

เลอื่ นสงู ขนึ้ กระดกู ซโี่ ครงจะเลอื่ นต�่ำ ลง ท�ำ ใหป้ รมิ าตรของ กะบงั ลมเลือ่ นต่ําลง
ช่องอกลดน้อยลง ความดันอากาศภายในบริเวณรอบๆ
ปอดสูงกว่าอากาศภายนอก อากาศภายในถุงลมปอดจึง
เคลือ่ นทจี่ ากถุงลมปอดไปสหู่ ลอดลม และออกทางจมูก

1.2 การหมุนเวยี นของแกส๊ รูปท่ี 1.2 การหายใจเข้า

การหมุนเวียนของแก๊ส เป็นการแลกเปล่ียน
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจนเกิดขึ้นท่ี
บริเวณถุงลมปอด ด้วยการแพร่ของแก๊สออกซิเจนไปสู่
เซลลต์ า่ ง ๆ ทวั่ รา่ งกาย และแกส๊ ออกซเิ จนท�ำ ปฏกิ ริ ยิ ากบั
สารอาหารในเซลลข์ องรา่ งกาย ท�ำ ใหไ้ ดพ้ ลงั งานและแกส๊ ปริมาตรของช่องอกลดน้อยลง
คาร์บอนไดออกไซด์ ดงั สมการ กระดกู ซ่โี ครงเลื่อนต่าํ ลง

เอนไซม์ 6CO26H2O  พลังงาน กะบังลมเลือ่ นสูงข้นึ

C6H12O66O2

แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ท่ีเกิดจากปฏิกิริยาเคมี รปู ที่ 1.3 การหายใจออก

ระหวา่ งแก๊สออกซิเจนกับอาหารจะแพร่ออกจากเซลล์เขา้
สหู่ ลอดเลอื ดฝอยและล�ำ เลยี งไปยงั ปอด แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ะแพรเ่ ขา้ สหู่ ลอดลมเลก็  ๆ ของปอดขบั
ออกจากรา่ งกายพร้อมกบั ลมหายใจออก

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 ระบบต่าง ๆ ของมนษุ ย์ 5

คอหอย โพรงจมูก CO2 O2
ถงุ ลมปอด กลอ่ งเสียง
หลอดลมทค่ี อ O2
ปอดดา้ นขวา หลอดลม
กะบงั ลม หลอดลมฝอย

ปอดด้านซา้ ย

ปอด COO22 O2

เซลลเ์ ม็ด CO2 หลอดเลอื ดฝอย
นาำ้ เลอื ด เลือดแดง
CO2

รา่ งกาย

รปู ท่ี 1.4 การแลกเปลี่ยนแกส

สง่ิ ทก่ี าำ หนดอตั ราการหายใจเขา้ และออก คอื ปรมิ าณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นเลอื ด ถา้ ปรมิ าณ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดต่ำาจะทำาให้การหายใจช้าลง เช่น เวลานอนหลับ แต่ถ้าปริมาณ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซดใ์ นเลือดสูงจะทำาใหม้ ีการหายใจเรว็ ขนึ้ เช่น ขณะทีเ่ ราออกกาำ ลงั กาย

การหายใจเข้าและหายใจออกมีความสัมพันธ์กับการหมุนเวียนแก๊สซ่ึงนักเรียนจะศึกษาได้จาก
กิจกรรมที่ 1.1

กิจกรรมการทดลอง

กจิ กรรมที่ 1.1 ระบบหายใจ
ตอนท่ี 1 การหายใจ
วิธปี ฏิบัติ

1. นำาลูกโป่งมา 2 ใบ ใสใ่ นหลอดแก้วรปู ตัว Y ดังรูป
2. นาำ แผ่นยางหรอื ลกู โป่งขนาดใหญ่ตดั ครึ่ง แล้วนำาไปปดิ ปากครอบพลาสตกิ
3. ดึงแผ่นยางลงอยา่ งช้า ๆ สงั เกตและบันทกึ ผล
4. คืนสู่สภาพเดิม สงั เกตและบันทกึ ผล
5. ดันแผน่ ยางข้ึนชา้ ๆ สังเกตและบันทกึ ผล

6 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

ยางวงแหวน ปิดครอบพลาสติก
ดว้ ยแผน่ ยาง (กะบังลม)
หลอดแกว้ รปู ตัว Y
ลูกโปง่ (ปอด)
ครอบพลาสติก

ตัวอยา่ งตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง

การทดลอง การเปลย่ี นแปลงภายในกลอ่ ง ผลการทดลอง

1. ดึงแผนยางลง ปรมิ าตร ความดนั
2. ปลอยแผน ยางปกติ
3. ดนั แผน ยางเขาไปขางใน ใหน้ ักเรยี นบนั ทกึ ผลการทดลอง
ลงในสมุดประจาำ ตัวนกั เรียน

คำาถามท้ายกิจกรรม
1. จากการทดลอง หลอดแกว้ รปู ตัว Y ลูกโปง่ และแผ่นยางมีการทำางานคล้ายกบั อวยั วะใดใน
ร่างกาย
2. เม่อื ดงึ แผ่นยางลง มีการเปล่ยี นแปลงปรมิ าตรและความดันภายในกลอ่ งอย่างไร
3. เมื่อดันแผน่ ยางข้นึ มีการเปล่ยี นแปลงปริมาตรและความดนั ภายในกล่องอยา่ งไร
4. สงิ่ ใดที่มีผลตอ่ อตั ราการหายใจเขา้ และออก
จากการทดลองไดข้ ้อสรุปดังนี้
1. เม่ือดึงแผ่นยางลง ปริมาตรของอากาศในครอบพลาสติกเพิ่มขึ้น ทำาให้ความดัน

อากาศภายในลดลง อากาศจึงเคลื่อนทจ่ี ากบรเิ วณที่มคี วามดันสงู จากภายนอกเข้าส่ภู ายใน ทาำ ให้
ลูกโป่งพองออก

2. เมื่อดันแผ่นยางเข้าไปในครอบพลาสติก ปริมาตรอากาศจะลดลง ทำาให้ความดัน
เพิ่มข้นึ อากาศจึงเคลอื่ นท่ีจากลกู โปง่ ออกสภู่ ายนอกครอบพลาสติก ทาำ ให้ลูกโป่งแฟบลง

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 ระบบต่าง ๆ ของมนษุ ย์ 7

ตอนท่ี 2 แกส ในลมหายใจออก
วิธปี ฏบิ ัติ

1. รินสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ลงในหลอดทดลองขนาดกลาง 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร
จาำ นวน 2 หลอด แลว้ จุ่มหลอดกาแฟลงไปในสารละลาย

2. เปา่ ลมหายใจผ่านหลอดกาแฟลงส่สู ารละลายในหลอดทดลองท่ี 1 ดึงหลอดกาแฟออก แลว้
ปดิ จกุ ใหแ้ นน่ สังเกตการเปลีย่ นแปลง บนั ทกึ ผล

3. ให้นักเรียนออกกำาลังกายโดยการลุก-น่ังอย่างรวดเร็วประมาณ 5 นาที สังเกตอัตราการ
หายใจแล้วเป่าลมหายใจลงในสารละลายแคลเซยี มไฮดรอกไซดใ์ นหลอดทดลองที่ 2 สังเกต
และเปรยี บเทยี บกบั ผลการทดลองในขอ้ 2

หลอดกาแฟ

สารละลายแคลเซียม
ไฮดรอกไซด์ 5 cm3

ตวั อยา่ งตารางบันทกึ ผลการทดลอง

การทดลอง ลกั ษณะของสารละลายแคลเซยี มไฮดรอกไซด์

ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง

1. เปา ลมหายใจผา นหลอดกาแฟลง ใหน้ ักเรียนบนั ทกึ ผลการทดลอง
ไปในสารละลายแคลเซียม- ลงในสมุดประจาำ ตัวนกั เรยี น
ไฮดรอกไซด

2. ลกุ -น่งั อยา งรวดเรว็ 5 นาที แลว
เปาลมหายใจผานหลอดกาแฟ
ลงในสารละลายแคลเซียม-
ไฮดรอกไซด

8 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

คำาถามท้ายกจิ กรรม
1. เม่ือเป่าลมหายใจผ่านหลอดกาแฟลงไปในสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ที่อยู่ใน
หลอดทดลองเกิดการเปลี่ยนแปลงอยา่ งไร
2. แกส๊ ทีอ่ อกจากลมหายใจคอื แกส๊ อะไร และเกดิ ข้ึนได้อยา่ งไร
3. หลังจากนักเรียนลุก-นั่งอย่างรวดเร็วเป็นเวลา 5 นาที สังเกตการเต้นของหัวใจและ
การเปลี่ยนแปลงเมอื่ เป่าลมหายใจออกลงในสารละลายแคลเซยี มไฮดรอกไซด์

จากผลการทาำ กิจกรรมสรุปไดด้ งั น้ี
1. เมื่อเป่าลมหายใจผ่านหลอดกาแฟลงไปในสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์หรือน้ำาปูนใส
จะทำาให้นำ้าปูนใสขุ่น แสดงว่า ลมหายใจออกมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จึงทำาปฏิกิริยากับนำ้าปูนใส
ดงั สมการ

Ca(OH)2(aq)  CO2(g) CaCO3(s) + 2H2O(ᐍ)

สารละลาย แก๊ส แคลเซียม น้ำา
แคลเซียม คารบ์ อนไดออกไซด์ คาร์บอเนต
ไฮดรอกไซด์ (หนิ ปูน)

2. การออกกำาลังกายทำาให้ร่างกายใช้แก๊สออกซิเจนในการเผาผลาญอาหารมากข้ึน เพื่อให้ได้
พลังงานมาใช้ จงึ ทาำ ใหเ้ กิดแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์มากขนึ้

ถา้ เปา่ ลมหายใจไปท่ีกระจกจะเกิดฝา้
ท่กี ระจกเป็นเพราะเหตุใด

1.3 การไอ การจาม การหาว และการสะอกึ

อาการท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การหายใจมดี ังน้ี
1. การจาม เกิดจากการหายใจเอาอากาศท่ีไม่สะอาดเขา้ ไปในรา่ งกาย รา่ งกายจึงพยายามขบั
ส่งิ แปลกปลอมเหลา่ นั้นออกมานอกรา่ งกาย โดยการหายใจเขา้ ลึกแล้วหายใจออกทันที
2. การหาว เกดิ จากการทมี่ ปี รมิ าณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดส์ ะสมอยใู่ นเลอื ดมากเกนิ ไป จงึ ตอ้ ง
ขับออกจากร่างกาย โดยการหายใจเข้ายาวและลึก เพ่ือรับแก๊สออกซิเจนเข้าปอดและแลกเปลี่ยนแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซดอ์ อกจากเลอื ด

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 ระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ 9

3. การสะอกึ เกดิ จากกะบงั ลมหดตวั เปน็ จงั หวะๆ ขณะหดตวั อากาศจะถกู ดนั ผา่ นลงสปู่ อดทนั ที
ทำาใหส้ ายเสียงส่ัน เกดิ เสียงขน้ึ

4. การไอ เป็นการหายใจอยา่ งรนุ แรงเพ่อื ปอ้ งกันไมใ่ หส้ ่ิงแปลกปลอมหลุดเข้าไปในกล่องเสียง
และหลอดลม รา่ งกายจะสงั่ ใหม้ กี ารหายใจเข้ายาวและหายใจออกอย่างแรง

1.4 การดแู ลรักษาอวัยวะในระบบหายใจ

การดูแลรักษาอวยั วะในระบบหายใจให้ทำางานเปน็ ปกติมหี ลักการดงั น้ี
1. อยู่ในบริเวณที่มอี ากาศบรสิ ุทธ์เิ พอื่ ให้ปอดไดร้ ับแก๊สออกซิเจนเพยี งพอ
2. ออกกาำ ลังกายสมำ่าเสมอ
3. ใสเ่ สอื้ ผา้ ใหอ้ บอนุ่ ในสภาพอากาศเยน็ และไมส่ วมเสอื้ ผา้ หรอื รดั เขม็ ขดั ตงึ เกนิ ไปเพราะจะทาำ ให้
ปอดขยายตวั ไม่สะดวก
4. ยนื หรอื นั่งตัวตรงเพ่ือใหป้ อดทำางานได้สะดวก
5. ไม่เลย้ี งสัตวไ์ วใ้ นบา้ นและหลีกเลยี่ งการอยู่ใกลช้ ิดกบั ผปู้ ่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกบั ทางเดินหายใจ
6. ไม่สูบบุหรีแ่ ละหลกี เลี่ยงการอย่ใู นบริเวณท่พี กั สบู บุหร่ี เน่ืองจากการสบู บุหรจ่ี ะมีสารที่กอ่ ให้
เกดิ อนั ตราย

ปรมิ าณแกส๊ ออกซิเจนในอากาศมปี ระมาณร้อยละ 21
ถา้ อยู่ในถำา้ นาน ๆ หรอื ทีอ่ ับอากาศต้องมีแกส๊ ออกซเิ จน

ไม่ตำ่ากวา่ ร้อยละ 18 ถา้ ตำ่ากว่าน้ีจะเปน็ อนั ตราย
ต่อระบบหายใจและอาจเสยี ชีวติ ได้

นิโคติน (nicotin) มีผลทำาให้อัตรา ทาร์ (tar) หรอื นา้ำ มนั ดิบ ทป่ี นเข้าไปกบั
การเตน้ ของหวั ใจเรว็ ขน้ึ มผี ลทาำ ใหเ้ กดิ ควันบุหร่ีจะไปเกาะที่ปอดทำาให้ปอดรับ
ความดนั โลหติ สงู โรคหวั ใจ และมะเรง็ แกส๊ ออกซเิ จนไดน้ อ้ ยลงและมสี ารกอ่ มะเรง็
ทีเ่ รียกว่า คาร์ซโิ นเจน (carcinogen)

แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เป็นแก๊สอันตราย
ท่ีไปทำาปฏิกิริยากับเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงได้
เร็วกว่าแกส๊ ออกซิเจน ทำาใหร้ า่ งกายขาดแกส๊ ออกซเิ จน
ถ้าได้รับปริมาณเล็กน้อยจะรู้สึกเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
ถ้าได้รับปริมาณมากจะทำาให้หมดสติและเสียชีวิตได้
โดยเฉพาะเด็กและคนชรา

10 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

กิจกรรมตรวจสอบการเรียนรทู้ ่ี 1.1

1. ผลที่เกิดข้นึ จากการหายใจคืออะไร
2. การนง่ั ฟงั เพลงกบั การขน้ึ -ลงบนั ได แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากการหายใจออกจะมปี รมิ าณตา่ ง

กันหรอื ไม่ เพราะเหตุใด
3. บอกความสาำ คัญของแกส๊ ออกซิเจนท่มี ตี อ่ รา่ งกายมนษุ ย์
4. ขณะหายใจเข้าจะมีการเปลี่ยนแปลงกระดูกซ่ีโครง กะบังลม และปรมิ าตรของปอดอยา่ งไร
5. นกั เรยี นจะทราบได้อย่างไรวา่ ในลมหายใจออกมีแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละไอนำา้
6. บอกสารที่มอี ยใู่ นควนั บุหร่ี
7. ระบโุ รคทเี่ กดิ จากการสูบบุหร่มี ากเปน็ 3 อนั ดบั แรก

2. ระบบหมนุ เวียนเลอื ด

แนวคิดสำาคญั ระบบหมุนเวียนเลือด (circulatory system)
การไหลเวียนของเลือดจะเกี่ยวข้องกับเลือด หัวใจ และ
ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วย หลอดเลือด ซึ่งมีความสำาคัญต่อร่างกายเน่ืองจากในเลือด
หัวใจ หลอดเลอื ด และเลอื ด การบีบและ มีสารอาหารต่างๆ และมีแก๊สออกซิเจนท่ีใช้ทำาปฏิกิริยา
คลายตัวของหัวใจทำาให้เลือดหมุนเวียน ทางเคมีกับสารอาหาร ทำาให้ได้พลังงาน นำ้า และแก๊ส
และลำาเลียงสารอาหาร แกส ของเสยี และ คาร์บอนไดออกไซด์ โดยมีหัวใจทำาหน้าที่สูบฉีดเลือดผ่าน
สารอ่ืนๆ ไปยังอวัยวะและเซลล์ต่างๆ หลอดเลอื ดไปยงั เซลล์ตา่ ง ๆ ท่ัวร่างกาย ซง่ึ นกั เรยี นจะได้
ท่ัวร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจมี ศึกษาเกี่ยวกับหัวใจหลอดเลือด และเลือดในระบบการ
ความต่างกันในแต่ละบุคคลและขึ้นอยู่กับ หมนุ เวียนเลอื ดดงั นี้
กจิ กรรมทท่ี าำ และอารมณ ์ ซง่ึ จงั หวะการเตน้
ของหวั ใจวัดจากอตั ราการเตน้ ของชีพจร 2.1 หวั ใจ

หัวใจ (heart) ทาำ หน้าท่ีสบู ฉีดเลอื ดไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกาย โดยทาำ ให้เกิดความดันเลือด
ในหลอดเลือดแดง เพือ่ ใหเ้ ลือดเคลื่อนทไ่ี ปยงั อวยั วะสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายไดท้ ว่ั ถึง

วงจรการไหลเวียนเลือดเริ่มจากหัวใจห้องบนซ้ายรับเลือดท่ีมีปริมาณออกซิเจนสูงจากปอด
แล้วบีบตัวดันผ่านลิ้นหัวใจ ซึ่งทำาหน้าที่ปิด-เปิดไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับลงสู่หัวใจห้องล่างซ้าย แล้ว
บีบตัวดันเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมีการแลกเปล่ียนแก๊สออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ แล้วรับ

หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 1 ระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ 11

แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สู่เลือดจึงเป็นเลือดท่ีมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงหรือเลือดดำ�ไหลผ่าน
หลอดเลือดดำ�หัวใจห้องบนขวาแล้วบีบตัวดันผ่านล้ินหัวใจลงสู่ห้องล่างขวา แล้วกลับเข้าสู่ปอดเพ่ือ
แลกเปล่ียนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นแก๊สออกซิเจน เป็นวัฏจักรการไหลเวียนเลือดในร่างกาย
เช่นนตี้ ลอดไป
CO2 หัวใจ

ดํา O2
แดง

O2 O2 O2 ปอด
ร่างกาย

เลือดแดง (มอี อกซเิ จน)
เลือดดำ� (คาร์บอนไดออกไซดส์ ูง)
รูปที่ 1.5 วงจรการไหลเวียนเลอื ด

หลอดเลือดดำ�ใหญ่ หลอดเลือดแดงใหญ่
ด้านบน หลอดเลอื ดแดงน�ำ เลือดสูป่ อด (เลอื ดดำ�)
หลอดเลือดด�ำ จากปอดสู่หวั ใจ (เลือดแดง)
ลน้ิ เลอื ดด�ำ ทเ่ี ปดิ ทางไปสปู่ อด
หวั ใจหอ้ งบนขวา หัวใจหอ้ งบนซา้ ย
ล้นิ สามกลบี
ล้ินรูปจนั ทร์เสีย้ ว
หลอดเลอื ดดำ�ใหญ่ด้านลา่ ง ล้นิ สองกลีบ
หวั ใจหอ้ งลา่ งขวา
หัวใจหอ้ งลา่ งซา้ ย

เลือดแดง (มีออกซเิ จนสงู )
เลอื ดด�ำ (มคี ารบ์ อนไดออกไซด์สงู )

รปู ท่ี 1.6 ส่วนประกอบของหัวใจ

12 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

2.2 หลอดเลือด

หลอดเลือด ท�ำ หนา้ ท่ีล�ำ เลยี งเลอื ดจากหวั ใจไปยงั อวัยวะสว่ นต่าง ๆ ท่ัวร่างกาย และเปน็ เส้น
ทางใหเ้ ลือดจากอวัยวะต่าง ๆ ทั่วรา่ งกายกลบั เข้าสหู่ ัวใจ
หลอดเลือดในร่างกายมี 3 ชนิด คอื
1. หลอดเลือดแดง (artery) เป็นหลอดเลือดที่น�ำ เลือดดีจากหวั ใจไปส่เู ซลล์ต่างๆ ของรา่ งกาย
หลอดเลือดแดงมีผนังหนา แข็งแรง ทนต่อความดันสูง และไม่มีลิ้นก้ันภายใน เลือดท่ีอยู่ใน
หลอดเลือดแดงเป็นเลือดท่ีมีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูงหรือเรียกว่า เลือดแดง ยกเว้นหลอดเลือดแดงที่
นำ�เลือดออกจากหัวใจไปยังปอด ภายในเป็นเลือดท่ีมีปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มากหรือเรียกว่า
เลอื ดดำ�
2. หลอดเลือดดำ� (vein) เป็นหลอดเลือดท่ีนำ�เลือดดำ�จากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวใจ
ห้องบนขวา หลอดเลือดดำ�มีผนังบางกว่าหลอดเลือดแดง มีลิ้นก้ันภายในระหว่างห้องบนขวากับ
หอ้ งล่างขวาเพือ่ ป้องกนั เลอื ดไหลยอ้ นกลบั เลือดที่ไหลอยู่ภายในหลอดเลอื ดด�ำ จะเป็นเลือดทม่ี ีปรมิ าณ
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สูงแต่มีแก๊สออกซิเจนตำ่� ยกเว้นหลอดเลือดดำ�ท่ีนำ�เลือดจากปอดเข้าสู่หัวใจ
จะเปน็ เลือดแดง
3. หลอดเลือดฝอย (capillary) เป็นหลอดเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดแดงและ
หลอดเลือดดำ�สานเป็นร่างแหแทรกอยู่ตามเน้ือเยื่อต่างๆ ของร่างกาย มีขนาดเล็กละเอียดเป็นฝอย
และมีผนงั บางมาก เป็นแหลง่ ทมี่ ีการแลกเปล่ียนแก๊สและสารตา่ ง ๆ ระหวา่ งเลอื ดกบั เซลล์

ลิ้นก้ัน
ปอ้ งกนั เลอื ดไหลย้อนกลับ

หลอดเลอื ดแดง หลอดเลือดดำ�

หลอดเลือดฝอย
รปู ท่ี 1.7 หลอดเลือดชนดิ ต่าง ๆ

2.3 เลือด

เลือด (blood) ประกอบดว้ ย 2 ส่วน คือ สว่ นทเ่ี ป็นของเหลวมรี อ้ ยละ 55 ซงึ่ เรียกว่า น้�ำ เลอื ดหรือ
พลาสมา และส่วนท่ไี มเ่ ป็นของเหลวมีรอ้ ยละ 45 ซ่ึงไดแ้ ก่ เซลลเ์ ม็ดเลอื ดและเกล็ดเลอื ด

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 ระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ 13

นำ้�เลือดหรือพลาสมา (plasma) ประกอบด้วยนำ้�ประมาณร้อยละ

1. 91 ทำ�หน้าท่ีลำ�เลียงเอนไซม์ ฮอร์โมน แก๊ส แร่ธาตุ วิตามิน และ
สารอาหารประเภทตา่ ง ๆ ทผ่ี า่ นการยอ่ ยอาหาร มาแลว้ ไปใหเ้ ซลลแ์ ละ
รับของเสียจากเซลล์ เช่น ยูเรีย แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ� ส่งไป
ก�ำ จดั ออกนอกร่างกาย

2. เซลล์เมด็ เลอื ด (blood cell) ประกอบดว้ ย

เลือด 2.1 เซลล์เม็ดเลอื ดแดง (red blood cell) มีลกั ษณะคอ่ นขา้ งกลม ตรงกลางจะเว้า

(blood) เขา้ หากนั (คลา้ ยขนมโดนทั ) เนอ่ื งจากไมม่ นี วิ เคลยี ส องคป์ ระกอบสว่ นใหญจ่ ะเปน็ สารประเภท
โปรตีนที่เรียกว่า เฮโมโกลบิน (hemoglobin) มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบที่สำ�คัญท่ีทำ�ให้
เลอื ดมสี ีแดง เฮโมโกลบนิ มีสมบตั ใิ นการรวมตวั กบั แก๊สต่าง ๆ ไดด้ ี เช่น แกส๊ ออกซิเจน แก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) แกส๊ คารบ์ อนมอนอกไซด์ (CO) ดงั นน้ั จงึ มหี นา้ ทใี่ นการแลกเปลย่ี น
แก๊ส โดยจะลำ�เลียงแก๊สออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และลำ�เลียงแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์จากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายกลับไปท่ีปอด แหล่งสร้างเม็ดเลือดแดงคือ
ไขกระดูก ผู้ชายจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงมากกว่าผู้หญิง เซลล์เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ
110-120 วนั หลังจากนั้นจะถูกนำ�ไปท�ำ ลายทตี่ ับและม้าม

2.2

เซลล์เมด็ เลอื ดขาว (white blood cell) มลี กั ษณะคอ่ นขา้ ง
กลม ไม่มีสีและมีนิวเคลียส เม็ดเลือดขาวในร่างกายมีอยู่ด้วยกัน
หลายชนิด มีหน้าที่ทำ�ลายเช้อื โรคหรือสารแปลกปลอมท่เี ขา้ มาส่รู า่ งกาย
แหลง่ ที่สร้างเม็ดเลอื ดขาว คอื ม้าม ไขกระดูก และต่อมนำ้�เหลอื ง มีอายุประมาณ 7-14 วนั

เกลด็ เลอื ดหรอื แผน่ เลอื ด (blood platelet) ไมใ่ ชเ่ ซลลแ์ ตเ่ ปน็

3. ชิ้นส่วนของเซลล์ ซ่ึงมีรูปร่างกลมรีและแบน เกล็ดเลือดมี
อายุประมาณ 4 วนั ทำ�หน้าทช่ี ่วยให้เลอื ดแขง็ ตัวเม่ือมกี ารไหล
ของเลอื ดจากหลอดเลือดออกสู่ภายนอก

14 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

2.4 ความดันเลอื ด

ความดันเลือด (blood pressure) เกดิ จากการท�ำ งานของหัวใจและหลอดเลอื ดขณะหวั ใจบีบตวั
และคลายตัวเพ่ือสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำ�ให้เกิดความดันเลือดภายในหลอดเลือด
แดง ดงั น้ี ความดนั ของหลอดเลอื ดแดงท่อี ยใู่ กลห้ วั ใจจะมคี วามดันสงู กวา่ หลอดเลือดแดงทอ่ี ยไู่ กลหวั ใจ
ส่วนในหลอดเลอื ดด�ำ จะมีความดนั ต�่ำ กวา่ หลอดเลอื ดแดงเสมอ ความดันเลือดมีหน่วยวดั เป็นมิลลเิ มตร
ปรอท (mmHg) เปน็ คา่ ตวั เลข 2 คา่ คอื คา่ ความดนั เลอื ดขณะหวั ใจบบี ตวั และคา่ ความดนั เลอื ดขณะหวั ใจ
คลายตัว เช่น 110/70 มลิ ลิเมตรของปรอท ตัวเลขค่าแรก 110 คือ คา่ ของความดันเลือดสงู สุด ขณะหวั ใจ
บีบตัว เรียกว่า ความดันซสิ โทลิก (systolic pressure) ตวั เลขคา่ หลัง 70 คอื คา่ ของความดนั เลือดต�่ำ สุด
ทหี่ วั ใจคลายตวั เรียกวา่ ความดนั ไดแอสโทลิก (diastolic pressure)
เคร่ืองมือวัดความดันเลือดเรียกว่า มาตรวัดความดันเลือด จะใช้คู่กับสเตตโทสโคป
(stethoscope) โดยจะวัดความดันที่หลอดเลือดแดง
ปกติความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจมีค่า 100 อายุ และความดัน
เลอื ดขณะที่หวั ใจรบั เลอื ดไมค่ วรเกนิ 90 มลิ ลเิ มตรปรอท ถ้าเกินจะเป็นโรคความดนั เลอื ดสูง ซง่ึ มสี าเหตุ
มาจากหลายประการ เชน่ หลอดเลอื ดตบี ตนั คอเลสเตอรอลในเลอื ดสงู โกรธงา่ ยหรอื เครยี ดอยเู่ ปน็ ประจ�ำ
พบมากในผสู้ ูงอายุหรือผทู้ ่ีมจี ิตใจอยูใ่ นสภาวะเครยี ด นอกจากน้ียงั เกดิ จากอารมณ์โกรธ ทำ�ใหร้ า่ งกาย
ผลิตสารชนดิ หน่ึงออกมา ซึ่งสารนี้จะมผี ลต่อการบีบตวั ของหัวใจโดยตรง
ชีพจร หมายถึง การหดตวั และการคลายตวั ของหลอดเลอื ดแดง ซ่งึ ตรงกับจงั หวะการเต้นของ
หวั ใจ คนปกตหิ ัวใจเต้นเฉลีย่ ประมาณ 72 ครัง้ ต่อนาที การเต้นของชพี จรแตล่ ะคนจะแตกตา่ งกนั ปกติ
อตั ราการเตน้ ของชพี จรในเพศชายจะสงู กวา่ เพศหญงิ นอกจากนย้ี งั ขน้ึ อยกู่ บั อายแุ ละกจิ กรรมทที่ �ำ อกี ดว้ ย
ปัจจยั ท่ีมผี ลต่อความดนั เลอื ด มีดังน้ี
1. อายุ ผสู้ งู อายุมคี วามดันเลือดสูงกวา่ เด็ก
2. เพศ เพศชายมีความดันเลือดสูงกว่าเพศหญิง ยกเว้นเพศหญิงที่ใกล้หมดประจำ�เดือนจะมี
ความดนั เลือี ดค่อนขา้ งสูง
3. ขนาดของรา่ งกาย คนทมี่ รี า่ งกายขนาดใหญม่ กั มคี วามดนั เลอื ดสงู กวา่ คนทมี่ รี า่ งกายขนาด
เลก็
4. อารมณ์ ผู้ท่ีมีอารมณ์เครียด วิตกกังวล โกรธหรือตกใจง่าย ทำ�ให้ความดันเลือดสูงกว่า
คนทอี่ ารมณป์ กติ
5. คนท�ำ งานหนักและการออกกำ�ลังกาย ท�ำ ใหม้ ีความดนั เลอื ดสูง
ศึกษาอตั ราการเตน้ ของหวั ใจในกิจกรรมต่างๆ จากการท�ำ กจิ กรรมท่ี 1.2

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 ระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ 15

กิจกรรมการทดลอง

กจิ กรรมท่ี 1.2 การวัดอัตราการเตน้ ของหวั ใจ
วธิ ีปฏบิ ัติ

1. จบั ชพี จรนบั จาำ นวนครงั้ ภายใน 1 นาที ทาำ 3 ครงั้ หาคา่ เฉลยี่ แลว้ บนั ทกึ ผล
2. เดนิ ไปมา 5 รอบ แลว้ ทำาซา้ำ ขอ้ 0 บนั ทึกผล ทำาการทดลองซ้าำ แต่เปล่ียนจากเดินไปมา 5 รอบ

เป็นกระโดดและวง่ิ ตามลาำ ดับ

ตวั อยา่ งการจับชีพจรบริเวณขอ้ มือ

ตัวอยา่ งตารางบันทึกผลการทดลอง

เพศ สภาพของรา่ งกาย การเต้นของชพี จร (คร้งั ต่อนาท)ี
สภาพปกติ คร้ังที่ 1 ครงั้ ท่ี 2 คร้งั ท่ี 3 เฉล่ีย
เดินไปเดนิ มา
กระโดด ใหน้ ักเรียนบนั ทกึ ผลการทดลอง
ว่ิง ลงในสมุดประจาำ ตวั นักเรยี น

คำาถามท้ายกจิ กรรม
1. สภาพปกติการเตน้ ของชีพจรประมาณกี่ครง้ั ต่อนาที
2. หญงิ และชายมีอัตราการเต้นของชพี จรในสภาพปกติเหมอื นกนั หรอื ไม่ อย่างไร
3. การทำากจิ กรรมตา่ งกัน เชน่ การเดินไปเดินมา การกระโดด การวิง่ อัตราการเต้นของชีพจร
เป็นอยา่ งไร

16 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

นักเรียนจะพบวา่ รา่ งกายของคนแตล่ ะคนจะมีอัตราการเตน้ ของชพี จรไมเ่ ท่ากัน ถา้ รา่ งกายปกติ
อัตราการเตน้ ของชพี จรจะประมาณ 72 ครง้ั ต่อนาที เพศชายจะมีอตั ราการเตน้ ของชพี จรสูงกว่าเพศหญงิ
และหลังการเดินเร็วๆ หรือการออกกาำ ลงั กายอัตราการเต้นของชีพจรจะเรว็ กวา่ ปกติ

1.4 การดแู ลรกั ษาอวัยวะในระบบหมนุ เวยี นเลือด

การดูแลรกั ษาอวยั วะในระบบหมุนเวียนเลือดให้ทำางานเปน็ ปกตมิ ีหลกั การดังนี้
1. ควรออกกำาลังกายสมา่ำ เสมอ
2. การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และไม่มีไขมันมากเกินไป ถ้าร่างกายได้รับไขมัน
มากจะเกิดคอเลสเตอรอลในเลือดสูง เนื่องจากไขมันไปเกาะท่ีผนังหลอดเลือดทำาให้หลอดเลือดตีบตัน
เกิดโรคความดันโลหติ สูงและโรคหัวใจ
3. ควบคมุ นำ้าตาลและไขมันในเลอื ดไม่ให้เกดิ โรคเบาหวานและไขมนั ในเลอื ด
4. ไม่สูบบหุ รี่และด่ืมแอลกอฮอล์
5. พักผ่อนใหเ้ พยี งพอ
6. รักษาอารมณ์และจิตใจใหผ้ ่องใส

กิจกรรมตรวจสอบการเรียนรทู้ ่ี 1.2

1. ศึกษาแผนภาพท่ีกำาหนดให้ประกอบการตอบคาำ ถาม




ข ง ปอด
สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย
1.1 หลอดเลือด ก เรียกวา่ อะไร มลี กั ษณะอย่างไร และมปี รมิ าณแก๊สชนิดใดมากทีส่ ุด
1.2 หลอดเลือด ง เรยี กวา่ อะไร มลี ักษณะอยา่ งไร และมปี ริมาณแกส๊ ชนิดใดมากทสี่ ดุ
1.3 เลือดหมุนเวียนไปในทิศทางเดียวเกิดจากการทำางานของส่วนประกอบใดในระบบ
หมนุ เวยี นเลือด
2. ส่วนประกอบของเลอื ดท่ีไมเ่ ป็นของเหลวมีรอ้ ยละเท่าไร และสารใดเปน็ องคป์ ระกอบ
3. จงระบุสว่ นประกอบทม่ี มี ากท่สี ดุ ในพลาสมาและหนา้ ทข่ี องสว่ นประกอบนน้ั

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 ระบบตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ 17

4. เฮโมโกลบินพบท่ใี ด มีธาตใุ ดเป็นองค์ประกอบทสี่ าำ คัญ และมีความสาำ คัญอยา่ งไรตอ่ รา่ งกาย
5. ถ้ามบี าดแผลแลว้ เลือดแข็งตัวชา้ เป็นเพราะเหตุใด
6. เลือดแดงหมายถึงอะไร ไหลเวยี นในหลอดเลือดชนดิ ใด
7. หวั ใจหอ้ งบนขวารบั เลอื ดมาจากทใี่ ด และเป็นเลือดท่ีมสี ว่ นประกอบใดต่างจากเลือดท่ีเขา้ ส่หู ัวใจ

หอ้ งบนซา้ ย
8. การแลกเปล่ยี นแก๊สและสารต่างๆ ระหว่างเลอื ดกับเซลลเ์ กดิ ขึน้ ที่ใด
9. ถา้ มอี ารมณโ์ กรธหรอื เครยี ดจะมีผลตอ่ ความดันเลือดอย่างไร

3. ระบบกำาจัดของเสยี

แนวคิดสำาคญั 3.1 ระบบกาำ จัดของเสยี ทางไต

ระบบกำาจัดของเสียมีอวัยวะท่ี ของเสีย หมายถึง สารที่เกิดจากกระบวนการ
เกีย่ วขอ้ ง คือ ไต ท่อไต กระเพาะปสสาวะ เมแทบอลซิ มึ (metabolism) ภายในรา่ งกายของสง่ิ มชี วี ติ ทไ่ี มม่ ี
โดยมีไตทำาหน้าท่ีกำาจัดของเสียประเภท ประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ยูเรีย
ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริก รวมทั้งสาร นอกจากนี้สารท่ีมีประโยชน์แต่มีปริมาณมากเกินไปร่างกาย
ท่ีร่างกายไม่ต้องการออกจากเลือด และ ก็จะกำาจัดออก
ควบคุมปริมาณนำ้าในร่างกายให้เหมาะสม
โดยขับถ่ายออกมาในรูปปสสาวะ ส่วนการ เมแทบอลซิ มึ (metabolism) หมายถงึ กระบวนการ
กาำ จดั ของเสยี ทเ่ี ปน็ กากอาหารจะถกู ขบั ถา่ ย หมุนเวียนเปล่ียนแปลงทางชีวเคมีท่ีเกิดขึ้นภายในร่างกาย
ออกทางลำาไส้ใหญ่และการกำาจัดของเสีย ของสิ่งมีชวี ิต
ทางปอดจะถูกกำาจัดออกจากร่างกายโดย
กระบวนการหายใจ การกาำ จดั ของเสยี ในรา่ งกายเกดิ ขนึ้ ไดห้ ลายทาง เชน่
ทางไต ผิวหนัง ปอด ลาำ ไสใ้ หญ่

ไต (kidney) ทำาหนา้ ท่ีกำาจดั ของเสยี ในรปู ของน้าำ ปสั สาวะ มี 1 คู่ รูปร่างคลา้ ยเมลด็ ถัว่ ดาำ อยใู่ น
ช่องทอ้ ง 2 ข้างของกระดกู สันหลงั ระดับเอว ถ้าผา่ ไตตามยาวจะพบว่าไตประกอบด้วยเนอ้ื เยือ่ 2 ช้นั คือ
เปลือกไตช้ันนอกกับเปลือกไตชั้นใน มีขนาดยาวประมาณ 10 เซนติเมตร กว้าง 6 เซนติเมตร และ
หนา 3 เซนติเมตร บริเวณตรงกลางของไตมีส่วนเว้าเป็นกรวยไต มีท่อไตต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ
ไตแต่ละขา้ งประกอบดว้ ยหนว่ ยไต (nephron) นับลา้ นหนว่ ย เป็นท่อท่ีขดไปมาโดยมปี ลายท่อขา้ งหนงึ่ ตนั
เรยี กปลายทอ่ ทตี่ นั นวี้ า่ โบวแ์ มนสแ์ คปซลู (Bowman’s capsule) ซง่ึ มลี กั ษณะเปน็ แอง่ คลา้ ยถว้ ย ภายใน
แอ่งจะมีกลุ่มหลอดเลือดฝอยพันกันเป็นกระจุกเรียกว่า โกลเมอรูลัส (glomerulus) ซ่ึงทำาหน้าท่ีกรอง
ของเสยี ออกจากเลือดที่ไหลผา่ นไต

18 วิทยาศาสตร์ ม.2
ทบ่ี รเิ วณทอ่ ของหนว่ ยไตจะมกี ารดดู ซมึ สารทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ รา่ งกาย เชน่ แรธ่ าตุ นา้ำ ตาลกลโู คส

กรดอะมิโน รวมท้ังน้ำากลับคืนสู่หลอดเลือดฝอยและเข้าสู่หลอดเลือดดำา ส่วนของเสียอ่ืน ๆ ท่ีเหลือ
ก็คือปสั สาวะจะถูกสง่ มาตามท่อไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ซง่ึ มคี วามจุประมาณ 500 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร
แตก่ ระเพาะปสั สาวะสามารถทจ่ี ะหดตวั ขบั ปสั สาวะออกมาได้ เมอ่ื มปี สั สาวะมาขงั อยปู่ ระมาณ 250ลกู บาศก์
เซนตเิ มตร ซงึ่ ในวนั หนง่ึ ๆ ร่างกายจะขบั ปัสสาวะออกมาประมาณ 1-1.5 ลิตร

เวนา คาวา ไต กรวยไต เมดลั ลา
ทอ่ ไต คอร์เทกซ์
หลอดเลอื ดรนี ลั อารเ์ ตอเอรแีอลอะรเต์ วาน
ท่อไต โกลเมอรูลสั คอร์เทกซ์
ทอ่ ขดสว่ นตน้
กระเพาะปัสสาวะ หลอดเลือดฝอย
ท่อปัสสาวะ ท่อขดสว่ นปลาย

โบวแ์ มนส์แคปซูล

ห่วงเฮนเล ท่อรวม ทอรวม
เมดัลลา

ไปกรวยไต ÃÒ‹ §¡Ò¢ºÑ »˜ÊÊÒÇÐä´ÍŒ ÂÒ‹ §äÃ
รูปที่ 1.8 ระบบการทาำ งานของไตและอวัยวะทีเ่ กี่ยวข้อง

- เวนา คาวา (vena cava) หลอดเลอื ดดาำ ใหญท่ ลี่ าำ เลยี งเลอื ดจากรา่ งกายเขา้ สหู่ วั ใจโดยตรง
- รีนลั อาร์เตอรี (renal artery) หลอดเลือดแดงท่แี ตกแขนงออกจากเอออรต์ าเพอ่ื ไปยงั ไต
- รีนัลเวน (renal vein) หลอดเลือดดำาท่ีนำาเลอื ดออกจากไตไปยงั หัวใจ
- เอออร์ตา (aorta) หลอดเลือดแดงใหญ่ที่นำาเลือดจากหัวใจห้องล่างซ้ายไปหล่อเลี้ยง

ร่างกาย

หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 ระบบต่าง ๆ ของมนษุ ย์ 19

ปัสสาวะประกอบด้วยสารต่าง ๆ ดังนี้ คือ นำ้�ร้อยละ 95 โซเดียมร้อยละ 0.35 โพแทสเซียม
ร้อยละ 0.15 คลอรนี รอ้ ยละ 0.6 ฟอสเฟตรอ้ ยละ 0.15 แอมโมเนยี รอ้ ยละ 0.04 ยูเรยี ร้อยละ 2.0 กรดยูรกิ
รอ้ ยละ 0.05 และครีเอทนิ นิ ร้อยละ 0.75
ปสั สาวะจะประกอบดว้ ยน้ำ�และยเู รยี เป็นสว่ นใหญ่ ส่วนแร่ธาตมุ อี ย่เู ลก็ น้อย ถ้ามกี ารตกตะกอน
ของแรธ่ าตไุ ปอดุ ตันทางเดินทอ่ ปสั สาวะ จะท�ำ ให้ปสั สาวะลำ�บาก เรียกลักษณะอาการอย่างนีว้ ่า โรคนว่ิ
ดงั นนั้ ในการดแู ลรกั ษาไตใหท้ �ำ งานเปน็ ปกตคิ วรรบั ประทานอาหารทไ่ี มม่ รี สเคม็ จดั และดมื่ นาํ้ สะอาดให้
เพียงพอ
เมื่อไตผิดปกติจะทำ�ให้สารบางชนิดปนออกมากับปัสสาวะ เช่น เม็ดเลือดแดง กรดอะมิโน
นำ้�ตาลกลูโคส ปัจจุบันแพทย์มีการใช้ไตเทียมหรืออาจจะใช้การปลูกถ่ายไตให้กับผู้ป่วยที่ไตไม่สามารถ
ทำ�งานได้
ไตเทียม เป็นเครื่องมือท่ีอยู่ภายนอกร่างกาย ส่วนการปลูกถ่ายไตเป็นการนำ�ไตของผู้อื่นมา
ใส่ใหก้ บั ผู้ปว่ ย

3.2 การก�ำ จดั ของเสยี ทางผิวหนงั

การขับถ่ายทางผิวหนัง ผิวหนังมีต่อมเหง่ือซึ่งประกอบด้วยท่อเล็กๆ ขดไปมารอบท่อมีกลุ่ม
หลอดเลือดฝอยมาพันอยู่ การกรองของเสียออกจากเลือดจะเกิดท่ีต่อมเหง่ือนี้ ของเสียในเหงื่อ ได้แก่
ยเู รีย เกลือแร่ และน�ำ้ จะผา่ นท่อออกจากตอ่ มเหงื่อมาสู่ภายนอกร่างกายที่รูตอ่ มเหงอื่ บนผิวหนงั เหงื่อ
ประกอบดว้ ยนำ�้ รอ้ ยละ 99 นอกน้นั เป็นเกลอื โซเดียมคลอไรด์ ยูเรยี แอมโมเนีย กรดอะมโิ น น�้ำ ตาล และ
กรดแลกติก ยเู รยี และแอมโมเนียเป็นสารทม่ี กี ลนิ่
ผิวหนังมีการระบายความร้อนออกจากร่างกายทางต่อมเหง่ือประมาณร้อยละ 87.5 ต่อมเหง่ือ
บางสว่ นถกู ควบคมุ ดว้ ยระบบประสาทอตั โนวตั ิ (nervous autonomic system) เมอ่ื ตกใจหรอื มอี ารมณเ์ ครยี ด
จะมกี ารกระตนุ้ ให้เหงอ่ื ออกมากผิดปกติ
ผทู้ อ่ี อกก�ำ ลงั กายมากๆ จะเสยี น�ำ้ และโซเดยี มคลอไรดไ์ ปทางเหงอ่ื จงึ ตอ้ งดมื่ น�้ำ และเกลอื โซเดยี ม
คลอไรดท์ ดแทน
ขน
ปลายใยประสาท รเู หงอื่
หนังก�ำ พร้า

หนงั แท้

ช้ันไขมนั ตอ่ มเหงือ่
เซลลไ์ ขมนั

หลอดเลอื ดแดง
หลอดเลือดด�ำ
รูปท่ี 1.9 ตอ่ มเหงอื่ ของคน

20 วิทยาศาสตร์ ม.2

กจิ กรรมตรวจสอบการเรียนรู้ท่ี 1.3

1. ในเนื้อไตจะพบโครงสร้างท่ที าำ หน้าท่ีกรองสารออกจากเลอื ด โครงสรา้ งนค้ี ืออะไร
2. สารท่ีถกู ดูดซึมกลับคนื ที่บรเิ วณหนว่ ยไตจะกลบั เขา้ สูร่ า่ งกายทางหลอดเลอื ดใด
3. ถ้าไตผิดปกติจะสงั เกตได้จากสิ่งใด
4. ไตกาำ จัดของเสียประเภทใดบา้ ง
5. ของเสียจากหลอดเลือดจะเข้าส่ตู อ่ มเหงอ่ื โดยวธิ ใี ด
6. สว่ นประกอบของเหงือ่ มอี ะไรบา้ ง และเหตใุ ดเหง่ือจงึ มกี ลิ่นและมรี สเคม็ เล็กน้อย
7. การดูแลรักษาให้ไตทำางานเป็นปกตคิ วรทาำ อย่างไร

3.3 การกาำ จดั ของเสียทางลำาไสใ้ หญ่

หลังจากการย่อยอาหารเสร็จส้ินลง อาหารส่วนท่ีเหลือและส่วนท่ีร่างกายไม่สามารถย่อยได้
จะถกู กำาจดั ออกจากรา่ งกายทางลาำ ไส้ใหญ่ (ทวารหนัก) ในรปู รวมทีเ่ รยี กว่า อุจจาระ

ถ้าอุจจาระตกค้างอยู่ในลำาไส้ใหญ่หลายวัน ผนังลำาไส้ใหญ่จะดูดนำ้ากลับเข้าไปในหลอดเลือด
ทาำ ใหอ้ ุจจาระแขง็ เกดิ ความยากในการขบั ถ่าย เรยี กว่า ท้องผูก

ผทู้ ม่ี อี าการทอ้ งผกู จะรสู้ กึ แนน่ ทอ้ ง อดึ อดั บางรายอาจมอี าการปวดทอ้ งหรอื ปวดหลงั ดว้ ย อาการ
ต่างๆ เหลา่ นี้จะหายไปเม่ือถ่ายอจุ จาระออกจากรา่ งกาย ผทู้ ี่มีอาการท้องผกู นานๆ อาจเป็นสาเหตขุ อง
โรครดิ สดี วงทวารได้ สาเหตเุ กดิ จากการรบั ประทานอาหารทมี่ กี ากใยอาหารนอ้ ยเกนิ ไป กนิ อาหารรสจดั
ถา่ ยไม่เปน็ เวลา เครียด สบู บุหรีจ่ ัด ดื่มนำา้ ชาหรอื กาแฟมากเกินไป

ตับ กระเพาะอาหาร

ลำาไสใ้ หญ่
ลาำ ไสเ้ ล็ก
ลาำ ไสต้ รง
ทวารหนกั
รูปที่ 1.10 ส่วนประกอบของลาำ ไสใ้ หญ่

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 ระบบต่าง ๆ ของมนษุ ย์ 21

ใยอาหาร ได้แก่ พืชผักต่าง ๆ ใยอาหารนอกจากจะทำาให้ไม่ท้องผูกแล้ว ยังช่วยลดสารพิษ
ตา่ ง ๆ ทาำ ใหส้ ารพิษผ่านลำาไส้ใหญไ่ ปอย่างรวดเรว็ ปอ้ งกันโรคมะเรง็ ลำาไส้ใหญไ่ ด้

ในลำาไส้ใหญม่ แี บคทีเรียอาศยั อยจู่ าำ นวนมาก มีทั้งท่เี ปน็ ประโยชน์ (ชว่ ยสังเคราะหว์ ติ ามิน B12)
และโทษ (เชือ้ โรคตา่ ง ๆ)

3.4 การกาำ จดั ของเสียทางปอด

ของเสยี ท่ถี กู กาำ จดั ออกจากรา่ งกายทางปอด ไดแ้ ก่ นา้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซ่ึงเกิดข้นึ
จากกระบวนการหายใจของเซลลต์ า่ ง ๆ ในรา่ งกาย

ขัน้ ตอนในการกาำ จัดของเสียออกจากรา่ งกายทางปอด มดี งั นี้
1. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำาท่ีเกิดข้ึนแพร่ออกจากเซลล์เข้าสู่หลอดเลือด โดยจะละลาย
ปนอย่ใู นเลอื ด
2. เลือดทีม่ ีของเสยี ละลายปนอยู่จะถกู ลาำ เลียงสง่ ไปยังปอด โดยการลาำ เลยี งผา่ นหวั ใจเพือ่ สง่ ตอ่
ไปแลกเปล่ยี นแก๊สทปี่ อด
3. เลือดที่มีของเสียละลายปนอยู่เมื่อไปถึงปอด ของเสียต่างๆ ท่ีสะสมอยู่ในเลือดจะแพร่ผ่าน
ผนงั ของหลอดเลอื ดเขา้ สถู่ งุ ลมของปอด แลว้ ลาำ เลยี งไปตามหลอดลม เพอ่ื กาำ จดั ออกจากรา่ งกายทางจมกู
พร้อมกบั ลมหายใจออก ซง่ึ สว่ นใหญ่ คือ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละไอน้าำ

กิจกรรมตรวจสอบการเรียนรทู้ ี่ 1.4

1. จงยกตัวอย่างอาหารท่มี เี สน้ ใยมา 4 ชนิด และมีประโยชน์อย่างไร
2. การกาำ จดั ของเสยี ทางปอดในรปู ของนาำ้ และแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดท์ แ่ี พรอ่ อกมาจากเซลลไ์ ดน้ น้ั

เนอื่ งมาจากกระบวนการใด
3. อาการทอ้ งผูกเกิดจากสาเหตุใด และมผี ลอย่างไรต่อร่างกาย
4. ของเสยี ทถี่ ูกกาำ จดั ออกทางปอดคืออะไร เกิดข้ึนจากกระบวนการใด
5. ผทู้ ส่ี ูบบหุ รบ่ี ่อยจะทาำ ให้เกิดโรคถงุ ลมโปง่ พอง จะมีผลตอ่ ร่างกายอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด

22 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

4. ระบบประสาท

แนวคิดสำ�คัญ ระบบประสาท (nervous system) คือ ระบบ
การตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ ของสตั ว์ ท�ำ ใหส้ ตั วส์ ามารถตอบสนอง
ระบบประสาทเป็นระบบที่มีความ ต่อสง่ิ ตา่ ง ๆ รอบตวั อยา่ งรวดเรว็ ช่วยรวบรวมข้อมลู เพื่อให้
ซับซ้อนและมีความสัมพันธ์กับทุกระบบ สามารถตอบสนองได้ สัตวช์ น้ั ต่ำ�บางชนิด เชน่ ฟองนำ้�ไม่มี
ในร่างกาย ระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาท สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิดเริ่มมี
ประกอบด้วยสมอง ทำ�หน้าที่ร่วมกับเส้น ระบบประสาท สัตว์ชั้นสูงขึ้นมาจะมีโครงสร้างของระบบ
ประสาทซึ่งเป็นระบบประสาทรอบนอกใน ประสาทซบั ซอ้ นยงิ่ ขน้ึ ระบบประสาทของมนษุ ยแ์ บง่ ออกเปน็
การควบคุมการทำ�งานของอวัยวะต่างๆ 2 ส่วน คือ ระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาท
รวมถึงการแสดงพฤติกรรมเพ่ือการตอบ รอบนอก
สนองตอ่ สิ่งเรา้

4.1 ระบบประสาทสว่ นกลาง

ระบบประสาทส่วนกลาง (the central nervous system หรือ somatic nervous system)
เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำ�งานของร่างกาย ซ่ึงทำ�งานพร้อมกันทั้งในด้านกลไกและทางเคมีภายใต้
อำ�นาจจิตใจ ซ่ึงประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง โดยเส้นประสาทหลายล้านเส้นจากทั่วร่างกายจะส่ง
ขอ้ มูลในรปู กระแสประสาทออกจากบริเวณศูนย์กลาง มอี วยั วะทีเ่ กย่ี วข้องดงั นี้
1. สมอง (brain) เป็นส่วนท่ใี หญ่กวา่ ส่วนอ่นื ๆ ของระบบประสาทส่วนกลาง ท�ำ หนา้ ทค่ี วบคุม
การทำ�กิจกรรมทั้งหมดของร่างกาย เป็นอวัยวะชนิดเดียวท่ีแสดงความสามารถด้านสติปัญญา การทำ�
กิจกรรมหรือการแสดงออกต่างๆ สมองของสตั วม์ ีกระดูกสนั หลังทส่ี ำ�คัญแบง่ ออกเปน็ 3 ส่วน ดังนี้
1.1 เซรีบรัมเฮมิสเฟียร์ (cerebrum hemisphere) คือ สมองส่วนหน้า ทำ�หน้าที่ควบคุม
พฤติกรรมที่ซับซ้อนเก่ียวกับความรู้สึกและอารมณ์ ควบคุมความคิด ความจำ� และความเฉลียวฉลาด
เชอื่ มโยงความรสู้ กึ ตา่ งๆ เช่น การไดย้ นิ การมองเห็น การรบั กลน่ิ การรับรส การรับสมั ผสั
1.2 เมดัลลา ออบลองกาตา (medulla oblongata) คอื ส่วนที่อยู่ตดิ กับไขสันหลงั ควบคุม
การทำ�งานของระบบประสาทอัตโนวัติ เช่น การหายใจ การเต้นของหัวใจ การไอ การจาม
การกะพรบิ ตา ความดันเลือด
1.3 เซรีเบลลัม (cerebellum) คือ สมองส่วนท้าย เป็นส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของ
กลา้ มเนอื้ และการทรงตัว ช่วยใหเ้ คล่ือนไหวได้อย่างแม่นยำ� เชน่ การเดิน การวิง่ การขจี่ กั รยาน

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 ระบบตา่ ง ๆ ของมนุษย์ 23

เซรบี รมั คอรป์ ัสคอลโลซัม

เซรเี บลลัม ทาลามสั

เมดลั ลา ออบลองกาตา ต่อมใต้สมอง
ไขสันหลัง พอนส์

รูปที่ 1.11 ลักษณะของสมองมนษุ ย์

2. ไขสันหลัง (spinal cord) เป็นเน้ือเย่ือประสาทท่ีทอดยาวจากสมองไปภายในโพรง
กระดูกสันหลัง กระแสประสาทจากส่วนต่างๆ ของร่างกายจะผ่านไขสันหลัง มีท้ังกระแสประสาทเข้า
และกระแสประสาทออกจากสมอง และกระแสประสาททต่ี ดิ ต่อกบั ไขสนั หลงั โดยตรง

สมอง
ไขสนั หลัง

รปู ท่ี 1.12 ลักษณะของไขสนั หลัง

24 วิทยาศาสตร์ ม.2

3. เซลลป์ ระสาท (neuron) เปน็ หนว่ ยทเ่ี ลก็ ทส่ี ดุ ของระบบประสาท เซลลป์ ระสาทมเี ยอ่ื หมุ้ เซลล์
ไซโทพลาซึม และนิวเคลียสเหมือนเซลล์อ่ืน ๆ แต่มีรูปร่างและลักษณะแตกต่างออกไป เซลล์ประสาท
ประกอบดว้ ยตวั เซลลแ์ ละเสน้ ใยประสาททมี่ ี 2 แบบ คอื เดนไดรต์ (dendrite) ท�ำ หน้าที่น�ำ กระแสประสาท
เข้าสู่ตัวเซลล์ และแอกซอน (axon) ท�ำ หนา้ ทนี่ ำ�กระแสประสาทออกจากตวั เซลล์ไปยังเซลล์ประสาทอ่นื  ๆ
เซลล์ประสาทจำ�แนกตามหน้าทก่ี ารท�ำ งานได้ 3 ชนิด คือ
3.1 เซลล์ประสาทรบั ความรสู้ ึก รับความรู้สึกจากอวัยวะรบั สัมผัส เช่น จมูก ตา หู ผิวหนงั
สง่ กระแสประสาทผ่านเซลลป์ ระสาทประสานงาน

เดนไดรต์
แอกซอน

ตัวเซลล์
เซลล์ประสาทรับความรู้สึก

3.2 เซลล์ประสาทประสานงาน เป็นตัวเชื่อมโยงกระแสประสาทระหว่างเซลล์รบั ความรู้สกึ
กับสมอง ไขสนั หลัง และเซลล์ประสาทสั่งการ พบในสมองและไขสนั หลงั เท่าน้นั

ตัวเซลล์ เดนไดรต์

เซลล์รบั ความรสู้ กึ แอกซอน

เซลล์ประสาทประสานงาน

3.3 เซลล์ประสาทสั่งการ รับคำ�ส่ังจากสมองหรือไขสันหลัง เพ่ือควบคุมการทำ�งานของ
อวัยวะต่าง ๆ
เดนไดรต์
แอกซอน

ตัวเซลล์

เซลลป์ ระสาทสง่ั การ

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 ระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ 25

การท�ำ งานของระบบประสาทส่วนกลาง
ส่ิงเร้าหรือการกระตุ้นจัดเป็นข้อมูลที่เส้นประสาทนำ�ไปยังระบบประสาทส่วนกลางเรียกว่า
กระแสประสาท เป็นสัญญาณไฟฟ้าท่ีนำ�ไปสู่เซลล์ประสาททางด้านเดนไดรต์ และเดินทางออกอย่าง
รวดเรว็ ทางดา้ นแอกซอน แอกซอนสว่ นใหญม่ แี ผน่ ไขมนั หมุ้ ไวเ้ ปน็ ชว่ ง ๆ แผน่ ไขมนั นที้ �ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ ฉนวน
และทำ�ใหก้ ระแสประสาทเดินทางไดเ้ รว็ ข้ึน ถ้าแผน่ ไขมันน้ีฉกี ขาดอาจท�ำ ใหก้ ระแสประสาทช้าลง ทำ�ให้
สญู เสียความสามารถในการใช้กลา้ มเนอื้ เนื่องจากรับคำ�ส่งั จากระบบประสาทสว่ นกลางได้ไมด่ ี
ระบบประสาทช่วยให้รา่ งกายสามารถตอบสนองต่อส่งิ เรา้ หรือสถานการณต์ า่ งๆ ได้ ดังตัวอยา่ ง
ต่อไปนี้

4. สมองรับรู้ข้อมูลเก่ียวกับ 45 5. สมองตัดสินใจที่จะเกาหลัง
การคันที่ผิวหนังบริเวณ มือขวาด้วยมือซ้ายและส่ง
หลังมอื ขวา 3 คำ�สงั่ ลงไปตามไขสันหลงั
6
3. ข้อมูลจะถูกนำ�ส่งไปยังสมอง 6. คำ�สั่งที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อ
เพือ่ บอกวา่ เกิดอะไรขึน้ 2 ท่ีมือจากระบบประสาท
ส่วนกลาง (ไขสันหลัง)
(แปลความหมาย) 7 ไปตามเซลลป์ ระสาทสง่ั การ

1

2. หนว่ ยรบั ความรสู้ กึ สง่ ขอ้ มลู
ไปตามเซลล์ประสาท
รบั ความรสู้ กึ ไปยงั ไขสนั หลงั

1. หน่วยรับความรู้สึกท่ีอยู่ 7. มือซา้ ยเกาหลังมอื ขวา
ในผิวหนัง รับความรู้สึก
คนั ท่หี ลังมอื ขวา

รูปที่ 1.14 ข้ันตอนการทำ�งานของระบบประสาท

26 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

กิจกรรมตรวจสอบการเรยี นรูท้ ี่ 1.5

1. จากรูปจงบอกช่ือสว่ นประกอบของเซลล์ประสาท

A
B
C

1.1 ตาำ แหน่ง A เรยี กวา่ อะไร
1.2 ตำาแหนง่ B เรียกว่าอะไร
1.3 ตำาแหนง่ C เรยี กวา่ อะไร
2. จงลาำ ดบั ขนั้ ตอนในการทาำ งานของระบบประสาทเมอื่ เกดิ บาดแผลทแี่ ขนสามารถตอบโตส้ ถานการณ์
ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
1) สมองรับรูข้ อ้ มูล
2) หน่วยรบั ความรสู้ ึกทผ่ี ิวหนงั รู้สกึ เจ็บ
3) สมองตดั สนิ ใจส่งั การไปตามไขสันหลังให้ยกแขนท่มี บี าดแผลข้ึนมาดยู กมอื ซา้ ยไปสัมผสั แผล
4) ขอ้ มลู ถูกส่งไปยังไขสันหลงั และไขสันหลังส่งต่อไปยงั สมองให้ทราบว่าเกิดอะไรขน้ึ
5) คาำ สง่ั จากสมองถกู สง่ ไปยังกลา้ มเน้อื ที่มอื และตาจากไขสันหลังไปตามเซลล์ประสาทสง่ั การ

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 ระบบตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ 27

4.2 ระบบประสาทรอบนอก

ระบบประสาทรอบนอก (peripheral nervous system) ทำ�หน้าที่รับและนำ�ความรู้สึกเข้าสู่
ระบบประสาทสว่ นกลาง ได้แก่ สมองและไขสนั หลัง จากนนั้ น�ำ กระแสประสาทส่งั การจากระบบประสาท
ส่วนกลางไปยังหน่วยปฏิบัติงาน ซ่ึงประกอบด้วยหน่วยรับความรู้สึกและอวัยวะรับสัมผัส รวมท้ังเซลล์
ประสาทและเสน้ ประสาทท่อี ยู่นอกระบบประสาทสว่ นกลาง ระบบประสาทรอบนอกจ�ำ แนกตามลักษณะ
การท�ำ งานได้ 2 แบบดังน้ี
1. ระบบประสาทภายใต้อำ�นาจจติ ใจ เป็นระบบควบคุมการท�ำ งานของกลา้ มเนือ้ ทีบ่ ังคับได้
รวมท้งั การตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ภายนอก
2. ระบบประสาทนอกอำ�นาจจิตใจ เป็นระบบประสาทที่ทำ�งานโดยอัตโนวัติ มีศูนย์กลาง
ควบคุมอยู่ในสมองและไขสันหลัง ได้แก่ การเกิดรีเฟล็กซ์แอกชัน (reflex action) และเม่ือมีส่ิงเร้ามา
กระตุ้นที่อวัยวะรับสัมผัส เช่น ผิวหนัง กระแสประสาทจะส่งไปยังไขสันหลัง และไขสันหลังจะส่ังการ
ตอบสนองไปยังกล้ามเนื้อโดยไม่ผ่านไปที่สมอง ดังรูปที่ 1.15 เมื่อมีเปลวไฟมาสัมผัสที่ปลายนิ้ว
กระแสประสาทจะถูกส่งผ่านไปยังไขสันหลังโดยไม่ผ่านไปยังสมอง ไขสันหลังทำ�หน้าที่สั่งการให้
กล้ามเน้อื ท่แี ขนเกดิ การหดตัว เพ่อื ดึงมือออกจากเปลวไฟทันที

เซลลป์ ระสาทประสานงาน เซลล์ประสาทรบั ความรสู้ ึก

หนว่ ยรับความรสู้ กึ เจ็บปวดที่ผิวหนัง
เปลวไฟ

ไขสนั หลงั เซลลป์ ระสาทสั่งการ
รปู ท่ี 1.15 การเกิดรีเฟลก็ ซ์แอกชนั

28 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

ตารางท่ี 1.1 ตัวอยา่ งพฤตกิ รรมทเี่ กิดจากระบบประสาทรอบนอก

ระบบประสาทภายใต้อาำ นาจจิตใจ ระบบประสาทนอกอาำ นาจจติ ใจ
การเกาเมอื่ มีอาการคัน การกะพรบิ ตาเมอื่ มีสง่ิ รบกวน
การเคล่อื นไหวของร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ
การบีบตัวของกระเพาะอาหาร
- การเดิน การยกเท้าเมอ่ื เหยยี บตะปู
- การว่ิง การกระตุกมอื เม่อื สมั ผสั วตั ถรุ ้อน
- การยกมอื
- การเขยี นหนงั สอื
- การวาดภาพ

กจิ กรรมการทดลอง

ตอนที่ 1.3 การทดลองรเี ฟลก็ ซ์
วิธปี ฏบิ ัติ

แบ่งกล่มุ นักเรยี นกลมุ่ ละ 4 คน เพือ่ ทดสอบรเี ฟลก็ ซ์ และใหส้ ังเกตดูว่ามอี ะไรเกิดขึน้ บ้าง
ถ้าทำาสงิ่ ตอ่ ไปน้ี
ตัวอย่างตารางบันทึกผลการทดลอง

พฤตกิ รรม การตอบโต้
1. นักเรียนนั่งตัวตรงมองไปข้างหน้า ให้เพ่ือน ให้นกั เรยี นบนั ทึกผลการทดลอง

โบกมอื ผ่านลกู ตาอยา่ งรวดเรว็ ลงในสมดุ ประจาำ ตวั นกั เรียน
2. นักเรียนนั่งห้อยเท้าบนเก้าอี้ ให้เพื่อนเคาะ

เบา ๆ บริเวณใตห้ วั เขา่
3. นักเรียนนำาก้อนน้ำาแข็งไปแตะทแ่ี ขนเพื่อน

จากการทดลองทาำ ใหท้ ราบว่ารเี ฟลก็ ซเ์ กดิ ข้ึนโดยอตั โนมตั แิ ละหา้ มการตอบโต้ไมไ่ ด้ และมักจะ
เกิดขนึ้ เพอื่ ป้องกนั ตนเอง

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 ระบบตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ 29

4.3 พฤติกรรมตอบสนองต่อสิง่ เร้าของมนษุ ย์

พฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าของมนุษย์เป็นปฏิกิริยาอาการที่แสดงออกเพื่อการตอบโต้
ตอ่ สิง่ เร้าท้ังภายในและภายนอกร่างกาย เชน่
- สิ่งเรา้ ภายในรา่ งกาย เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ความหวิ ความต้องการทางเพศ
- ส่ิงเรา้ ภายนอกรา่ งกาย เช่น แสง เสยี ง อณุ หภูมิ อาหาร น�ำ้ การสัมผัส สารเคมี
กริ ยิ าอาการทแี่ สดงออกเพอ่ื ตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ ภายนอกอาศยั การท�ำ งานทป่ี ระสานกนั ระหวา่ ง
ระบบประสาท ระบบกล้ามเน้ือ ระบบตอ่ มไร้ทอ่ และระบบตอ่ มมีทอ่ ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี
1. การตอบสนองเม่ือมแี สงเป็นสิง่ เร้า
- เมื่อไดร้ บั แสงสว่างจา้ มนุษย์จะมีพฤตกิ รรมการหร่ีตาเพื่อลดปรมิ าณแสงทตี่ าไดร้ ับ
2. การตอบสนองเมื่ออณุ หภมู ิเป็นสง่ิ เร้า
- ในวันท่ีมีอากาศร้อนจะมีเหง่ือมาก เหงื่อจะช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย
เพ่อื ปรบั อณุ หภูมภิ ายในรา่ งกายไม่ใหส้ ูงเกนิ ไป
- เมื่อมอี ากาศเยน็ คนเราจะเกดิ อาการหดเกรง็ ของกล้ามเนอ้ื หรอื เรียกว่า “ขนลุก”
3. เมือ่ อาหารหรอื น�้ำ เข้าไปในหลอดลมเกดิ พฤตกิ รรมการไอหรอื จาม เพ่ือขับออกจากหลอดลม
4. การเกิดพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ เป็นพฤติกรรมการตอบสนองหรือตอบโต้ทันทีเพื่อ
ความปลอดภยั จากอันตราย เชน่
- เมอ่ื ฝนุ่ เข้าตามีพฤติกรรมกะพรบิ ตา
- เม่อื สมั ผัสวัตถรุ ้อนจะชกั มอื จากวัตถรุ ้อนทนั ท ี
- เมอ่ื เหยยี บหนามจะรบี ยกเท้าให้พ้นหนามทันที

4.4 การดแู ลรกั ษาอวยั วะในระบบประสาท

การดูแลรักษาอวยั วะในระบบประสาทให้ทำ�งานเปน็ ปกติมหี ลักการดังนี้
1. ท�ำ จิตใจให้ผอ่ งใส ไม่สรา้ งความเครียด ฝกึ คิดบวก มองโลกในแง่ดี ออกกำ�ลังกายสม่�ำ เสมอ
2. นอนหลับใหเ้ พยี งพอ
3. ระวงั ไมใ่ ห้สมองถกู กระทบกระเทอื น เช่น การสวมหมวกกันนอ็ กในการขับขี่รถจกั รยานยนต์
และการทำ�งานในพน้ื ทีเ่ สยี่ ง เช่น พน้ื ที่ก่อสรา้ ง
4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรงและรักษาโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำ�งานของระบบ
ประสาท เช่น โรคเบาหวาน โรคหวั ใจ โรคความดนั โลหติ สูง
5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณพอเหมาะ โดยเฉพาะอาหารไขมันต่ำ� ควร
รับประทานอาหารท่ชี ว่ ยบำ�รุงระบบประสาท เช่น วติ ามนิ บี 6 วิตามินบี 12 และโฟเลต
6. ดื่มนำ�้ ให้เพยี งพอ ไม่ดมื่ แอลกอฮอล์ ไมใ่ ช้สารเสพตดิ และไม่สูบบุหร่ี

30 วิทยาศาสตร์ ม.2

กิจกรรมตรวจสอบการเรียนรทู้ ี่ 1.6

1. เม่ือนักเรียนนั่งห้อยเท้าสบายบนเก้าอ้ี โดยไม่ให้เท้าถึงพ้ืน ให้เพื่อนใช้ค้อนยางเคาะท่ีหัวเข่า
เบา ๆ สงั เกตเหน็ ปลายเท้ากระดกไปข้างหน้าเองได้
1.1 จากสถานการณ์มีอะไรเปน็ สิ่งเรา้
1.2 การท่ีปลายเทา้ กระดกเองได้เปน็ การตอบสนองแบบใด
1.3 การตอบสนองของร่างกายในลักษณะเช่นน้ีถกู ควบคมุ และสง่ั การโดยสมองหรอื ไม่ อยา่ งไร
1.4 จงยกตวั อยา่ งการตอบสนองโดยระบบประสาทอตั โนวตั เิ ชน่ เดยี วกบั สถานการณท์ กี่ าำ หนดให้
มา 2 ตัวอยา่ ง

2. กจิ กรรมต่อไปนเี้ ป็นแบบภายใตอ้ าำ นาจจิตใจหรือแบบรีเฟล็กซ์
2.1 การอาเจยี น
2.2 การไอหรือจาม
2.3 การวาดรูป
2.4 การคดิ คาำ นวณ

5. ระบบสืบพันธ์ุ

ก่อนทช่ี ายและหญิงจะย่างเข้าสูว่ ยั รุ่น ตอ่ มใตส้ มอง
ซ่ึงอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองส่วนหน้าจะหล่ังฮอร์โมน
แนวคดิ สาำ คัญ กระตุ้นต่อมเพศในชายและหญิงให้ผลิตฮอร์โมนเพศ ทำาให้
รา่ งกายเปลย่ี นแปลงไปสคู่ วามเปน็ หนมุ่ เปน็ สาว ตอ่ มเพศใน
ระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ประกอบ-
ด้วยอวัยวะสำาคัญท่ีทำาหน้าที่เฉพาะโดย
เพศหญงิ มรี งั ไขท่ าำ หนา้ ที่ผลิตเซลล์ไข่ และ ผู้ชาย คือ อณั ฑะ ส่วนตอ่ มเพศในผู้หญิง คอื รงั ไข่
เพศชายจะมอี ณั ฑะทาำ หนา้ ทสี่ รา้ งเซลลอ์ สจุ ิ
ซ่ึงมีฮอร์โมนเพศทำาหน้าที่ควบคุมการ
แสดงออกของลกั ษณะทางเพศทแี่ ตกตา่ งกนั
เพศหญิงจะมีการสุกของเซลล์ การตกไข่
และการมรี อบเดือน เพศชายจะมกี ารสร้าง
เซลล์อสุจิ การปฏิสนธิของเซลล์ไข่และ
เซลล์อสุจิจะได้ไซโกตท่ีเจริญเติบโตเป็น
เอม็ บรโิ อและฟต สั จนกระทงั่ คลอดเปน็ ทารก

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 ระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ 31

5.1 ระบบสบื พนั ธุ์ของเพศชาย

ระบบสบื พันธ์ขุ องเพศชายประกอบดว้ ย
1. อัณฑะ (testis) มี 2 ข้าง ท�ำ หนา้ ท่สี รา้ งตัวอสุจิ (sperm) ซ่ึงเป็นเซลล์สบื พันธ์เุ พศชาย และ
สรา้ งฮอร์โมนเพศชายท่ีใชค้ วบคุมลกั ษณะตา่ ง ๆ ของเพศชาย เชน่ เสียงห้าว มหี นวดเครา มขี นหนา้ แข้ง
ภายในอณั ฑะประกอบดว้ ยหลอดสรา้ งตวั อสจุ ิ (seminiferous tubule) มลี กั ษณะเปน็ ทอ่ ขดเรยี งกนั ท�ำ หนา้ ท่ี
สร้างตัวอสุจิ ตัวอสุจิมีจำ�นวนโครโมโซมครึ่งหนึ่ง (23 โครโมโซม) ของเซลล์ร่างกาย (46 โครโมโซม)
หลอดสรา้ งตวั อสจุ จิ ะมขี า้ งละประมาณ 800 หลอด แต่ละหลอดมขี นาดเทา่ เส้นดา้ ย ยาวท้ังหมดประมาณ
800 เมตร อณั ฑะทัง้ 2 ขา้ งบรรจุอยู่ในถงุ อัณฑะ (scrotum) ซงึ่ ท�ำ หนา้ ทป่ี รับอุณหภมู ิให้ต�่ำ กวา่ อุณหภูมิ
ปกติของรา่ งกายประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส (ประมาณ 34 องศาเซลเซียส) เพ่อื ใหเ้ หมาะสมในการสร้าง
ตัวอสจุ ิ
2. หลอดเก็บตัวอสุจิ (epididymis) อยู่ด้านบนของอัณฑะ ทำ�หน้าท่ีเก็บตัวอสุจิจนตัวอสุจิ
แข็งแรงพรอ้ มท่ีจะปฏิสนธิ
3. ทอ่ น�ำ ตัวอสุจิ (vas deferens) อยตู่ อ่ จากหลอดเก็บตัวอสุจิ ท�ำ หนา้ ท่ีล�ำ เลยี งตัวอสจุ ิไปเก็บไว้
ที่ตอ่ มสรา้ งนำ้�เลย้ี งตวั อสุจิ
4. ต่อมสร้างนำ้�เล้ียงตัวอสุจิ (seminal vesicle) ทำ�หน้าท่ีสร้างอาหารมาเล้ียงตัวอสุจิ ได้แก่
น�ำ้ ตาลฟรกั โทส วติ ามนิ ซี โปรตนี โกลบลู นิ และสรา้ งของเหลว เพอื่ ท�ำ ใหเ้ กดิ สภาพทเี่ หมาะสมกบั ตวั อสจุ ิ
5. ต่อมลูกหมาก (prostate gland) อยู่ตอนต้นของท่อปัสสาวะ ทำ�หน้าท่ีสร้างสารท่ีเป็นเบส
อยา่ งออ่ น เพอ่ื ผสมกบั น�ำ้ เลย้ี งตวั อสจุ ิ เปน็ การลดความเปน็ กรดในทอ่ ปสั สาวะ ชว่ ยใหต้ วั อสจุ เิ คลอ่ื นไหว
ได้เร็วขึน้
6. ต่อมคาวเปอร์ (Cowper’s gland) อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก ทำ�หน้าที่สร้างเมือกหล่อลื่น
ในทอ่ ปสั สาวะเพ่ือใหต้ ัวอสุจิเคลื่อนตัวได้เร็วขนึ้
ฮอร์โมนเพศชาย ได้แก่
- เทสโทสเทอโรน (testosterone) สร้างโดยต่อมใต้สมองจะส่งสัญญาณไปยังอัณฑะให้ผลิต
ฮอร์โมนทแี่ สดงลักษณะความเป็นเพศ เชน่ เสียงท้มุ รา่ งกายสงู ใหญ่ มผี มและขนบริเวณผวิ หนา้ รา่ งกาย
และอวัยวะเพศ
- แอนโดรเจน (androgen) สร้างจากอณั ฑะ สง่ ผลตอ่ การเจรญิ เติบโตของเน้อื เยื่อและอวยั วะ
ท่แี สดงลักษณะของเพศชาย ขนาดอณั ฑะและรูปรา่ งของอวยั วะเพศชายมีขนาดใหญ่ข้นึ และสรา้ งอสจุ ิ

32 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

ท่อไต

กระเพาะปัสสาวะ กระดูกสันหลัง
ทอ่ น�ำ อสจุ ิ
ล�ำ ไส้ใหญ่
ตอ่ มสร้างน�้ำ อสุจิ
ต่อมลกู หมาก

องคชาต ตอ่ มสร้างน้�ำ เมอื ก ทวารหนกั
อัณฑะ ทอ่ ปสั สาวะ

หลอดเกบ็ ตัวอสุจิ
ถงุ หุ้มอณั ฑะ

รปู ท่ี 1.16 อวัยวะในระบบสืบพันธ์ุเพศชาย

โดยทั่วไปเพศชายจะเรมิ่ สรา้ งตวั อสุจเิ มอื่ อายุ 12-13 ปี อสจุ ิ

และจะสร้างไปจนตลอดชีวิต การหล่ังน้ำ�อสุจิออกมาแต่ละคร้ัง สว่ นหาง
จะมขี องเหลวอยปู่ ระมาณ 3-4 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร มตี วั อสจุ เิ ฉลยี่
ประมาณ 350-500 ลา้ นตวั น�้ำ อสจุ จิ ะถกู ขบั ออกทางทอ่ ปสั สาวะ
และออกจากร่างกายตรงปลายสุดของอวัยวะเพศชาย ตัวอสุจิ ส่วนตัว

เมอ่ื ออกสภู่ ายนอกจะมชี วี ติ ไดเ้ พยี ง 2-3 ชว่ั โมง แตถ่ า้ อยใู่ นมดลกู ส่วนหัว

ของเพศหญงิ จะอย่ไู ด้นานประมาณ 24-48 ชั่วโมง
ชายท่ีมีปริมาณอสุจิน้อยกว่า 30-50 ล้านตัวต่อ 1 รูปท่ี 1.17 ส่วนประกอบของตวั อสุจิ
ลกู บาศก์เซนติเมตร หรือมตี ัวอสุจทิ ี่ผดิ ปกติมากกวา่ รอ้ ยละ 25
จัดวา่ เป็นหมนั
ตวั อสจุ มิ สี ว่ นประกอบอยู่ 3 สว่ น คอื สว่ นหวั ส่วนตัว และสว่ นหาง ซ่ึงทำ�ใหต้ ัวอสจุ เิ คลื่อนทไ่ี ด้

ขนาดของตัวอสจุ เิ ลก็ มาก มองดว้ ยตาเปลา่ ไม่เหน็ ต้องใชก้ ล้องจลุ ทรรศน์สอ่ งดู

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ระบบตา่ ง ๆ ของมนุษย์ 33

5.2 ระบบสบื พันธเุ์ พศหญิง

ระบบสืบพันธุเ์ พศหญิงประกอบดว้ ย ท่อนำ�ไข่
1. รงั ไข่ (ovary) มี 2 ขา้ ง อยคู่ นละ กระดกู สันหลงั มรังดไลขูก่
ข้างของมดลูก มีขนาดเท่ากับหัวแม่มือ ปากมดลูก กระเพาะปสั สาวะ
ลักษณะคล้ายเม็ดมะม่วงหมิ พานต์ มีนำ�้ หนัก
ประมาณ 2-3 กรัม รังไขม่ ีหนา้ ท่ีดงั น้ี ลำ�ไสใ้ หญ่ ทอ่ ปัสสาวะ
1.1 สร้างไข่ (ovule) ไข่ซึ่งเป็น ชอ่ งคลอด
เซลล์สืบพันธุ์เพศเมียจะสุกและตกออกมา
ทวารหนกั

ประมาณกง่ึ กลางของรอบเดอื น เรยี กว่า การ มดลูก รังไข่
ตกไข่ (ovulation) การตกไข่เกิดขึน้ ทุกเดือน
เดือนละ 1 เซลล์ โดยสลับกันระหว่างรังไข่ ทอ่ น�ำ ไข่

ด้านขวากบั รงั ไข่ดา้ นซา้ ย ไข่ท่ีตกออกมาจาก
รงั ไขจ่ ะมชี วี ติ อยปู่ ระมาณ 1 วนั หรอื 24 ชว่ั โมง
ไขจ่ ะมจี �ำ นวนโครโมโซมครง่ึ หนง่ึ (23โครโมโซม) ปากมดลูก ช่องคลอด
ของเซลล์ร่างกาย
1.2 ฮอรโ์ มนเพศหญงิ ไดแ้ ก่
- อสี โทรเจน (estrogen) เปน็ รปู ท่ี 1.18 อวัยวะตา่ งๆ ในระบบสืบพนั ธุ์เพศหญงิ

ฮอร์โมนท่ที ำ�หน้าทเ่ี กยี่ วกับการพฒั นาของมดลกู ชอ่ งคลอด ต่อมน้�ำ นม และลักษณะของเพศหญิงอนื่ ๆ
เชน่ เสยี งแหลมเล็ก สะโพกผาย
- โพรเจสเทอโรน (progesterone) เป็นฮอร์โมนที่ทำ�งานร่วมกับอีสโทรเจนเก่ียวกับ
การเจริญของมดลูก และการเปล่ียนแปลงของเยอ่ื บุมดลูกเพอื่ เตรียมรบั ไข่ท่ีผสมแลว้
2. ปกี มดลกู หรอื ทอ่ น�ำ ไข่ (oviduct) เปน็ ทางเดนิ ของไขม่ ายงั มดลกู ทอ่ น�ำ ไขม่ ขี นาดปกตเิ ทา่ กบั
เขม็ ถักไหมพรม ยาวประมาณ 6-7 เซนตเิ มตร
3. มดลูก (uterus) เป็นท่ฝี งั ตัวของไขห่ ลังการปฏิสนธิแล้วเรยี กวา่ เอม็ บรโิ อ และเจรญิ เตบิ โต
เป็นทารกต่อไป มดลูกมรี ูปร่างคลา้ ยผลชมพู่ ยาวประมาณ 6-8 เซนตเิ มตร กว้างประมาณ 4 เซนติเมตร
และมีผนังหนาประมาณ 2 เซนตเิ มตร
4. ช่องคลอด เป็นทางเดินใหต้ วั อสจุ เิ ข้าสู่มดลกู และปีกมดลูก หรือใหท้ ารกคลอดออกมา และ
เปน็ ช่องท่ปี ระจ�ำ เดือนออกส่ภู ายนอกร่างกาย

34 วิทยาศาสตร์ ม.2

ประจำ�เดือน คือ เนื้อเย่ือผนังมดลูกด้านใน และหลอดเลือดที่สลายตัวไหลออกมาทาง
ช่องคลอด ประจำ�เดือนจะเกิดข้ึนเม่ือเซลล์ไข่ไม่ได้รับการผสมกับเซลล์อสุจิ เพศหญิงจะมีประจำ�เดือน
ตง้ั แตอ่ ายุประมาณ 12 ปีข้นึ ไป ซึง่ จะมรี อบของการมีประจำ�เดือนทุก 21-35 วนั เฉลี่ยประมาณ 28 วัน
จนอายุประมาณ 50 ปี จงึ จะหมดประจำ�เดอื น
ผหู้ ญงิ จะมชี ว่ งระยะเวลาการมปี ระจ�ำ เดอื นประมาณ 3-6 วนั ซง่ึ จะเสยี เลอื ดทางประจ�ำ เดอื นแตล่ ะ
เดอื นประมาณ 60-90 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร ดงั นน้ั ผหู้ ญงิ จงึ ควรรบั ประทานอาหารทมี่ ธี าตเุ หลก็ และโปรตนี
เพ่อื สรา้ งเลือดชดเชยสว่ นที่เสยี ไป

ระยะตกไข่
ระยะสืบพนั ธุ์

สร้างเยือ่ บผุ นงั เย่ือบุมดลูกช้ันในหนาข้ึนและมี
มดลูกชั้นในข้นึ ใหม่ หลอดเลือดจำ�นวนมากสำ�หรับ
การฝงั ตัวของไข่ทป่ี ฏิสนธิแล้ว
ระยะมปี ระจำ�เดอื น

แผนภาพท่ี 1.1 รอบประจำ�เดือน

การท่ีผู้หญิงบางคนมีประจำ�เดือนมาไม่ปกติ อาจเน่ืองมาจากอารมณ์และความวิตกกังวล
ท�ำ ใหก้ ารหลง่ั ฮอรโ์ มนของสมองผดิ ปกติ ซง่ึ จะมผี ลตอ่ การหลง่ั ฮอรโ์ มนของตอ่ มใตส้ มองทที่ �ำ หนา้ ทกี่ ระตนุ้
ให้ไข่สุก คอื ฮอรโ์ มน FSH (Follicle Stimulating Hormone) และฮอร์โมนที่กระต้นุ ใหเ้ กิดการตกไข่ คอื
ฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone) เซลล์ไข่มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์อสุจิประมาณ 50,000-90,000 เท่า
ขนาดของเซลลไ์ ขป่ ระมาณ 0.2 มลิ ลเิ มตร เราสามารถมองเหน็ เซลลไ์ ขไ่ ด้ดว้ ยตาเปล่า

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 ระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ 35

5.3 การใช้เทคโนโลยกี ารผสมเทียม

การผสมเทียม คือ การปฏิสนธิแบบไม่ต้องมีการร่วมเพศตามธรรมชาติ ซ่ึงเป็นการพัฒนา
เทคโนโลยีเพือ่ แกป้ ัญหาใหแ้ ก่คูส่ มรสท่มี บี ตุ รยาก ปญั หาโรคทางพนั ธกุ รรม และการเลือกเพศบุตร

การผสมเทียมเป็นวิธกี ารแกป้ ญั หาท่ีเกิดขึน้ ในเพศชายและเพศหญิงในกรณีต่าง ๆ ดงั นี้
1. มีปรมิ าณตัวอสุจินอ้ ยกวา่ ปกติหรอื มีตวั อสจุ ิทไ่ี มแ่ ข็งแรง
2. มีความบกพร่องของหน่วยพันธุกรรม กรณีนี้อาจใช้วิธีฉีดเซลล์อสุจิของเพศชายอื่นเข้าไป
ในมดลกู ของภรรยาแทน
3. มีความบกพร่องทางโครงสร้างและการทำางานของระบบสืบพันธุ์ จนทำาให้ไม่สามารถมีลูก
เองได้ เชน่ กรณขี องเพศหญงิ ทีม่ ปี ัญหาเกิดขน้ึ กับโครงสรา้ งและระบบการทาำ งานของระบบสืบพันธุ์ เชน่
ท่อนำาไข่ตีบ ไข่ไม่สามารถเดินทางมาผสมกับตัวอสุจิได้ สามารถผสมเทียมได้โดยนำาเซลล์ไข่จากรังไข่
มาผสมกบั เซลลอ์ สจุ ภิ ายนอกรา่ งกาย เมอื่ เกดิ การปฏสิ นธแิ ลว้ จงึ นาำ เอม็ บรโิ อทไี่ ดฉ้ ดี เขา้ ไปทางชอ่ งคลอด
ของฝ่ายหญิง เพ่ือให้เอ็มบริโอไปฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไปในมดลูก เรียกทารกท่ีกำาเนิดแบบนี้ว่า
เดก็ หลอดแก้ว (test-tube baby)

กิจกรรมตรวจสอบการเรยี นรทู้ ่ี 1.7

1. จงบอกชือ่ ส่วนประกอบและหนา้ ทีข่ องอวยั วะสบื พันธข์ุ องเพศชายและเพศหญงิ
11
1 12

7 17 13
14
3 18
16 15
10
28 9

6

54 ระบบสบื พันธเุ์ พศหญิง

ระบบสืบพันธ์ุเพศชาย

2. เซลล์ไข่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าหรือไม่ และถ้าเซลล์ไข่ไม่ได้รับการผสมกับอสุจิจะมีผล
ต่อร่างกายอย่างไร

3. นางป่ินต้องการมีบุตร แต่มีปัญหาในเร่ืองท่อนำาไข่ตีบตัน ทำาให้ไข่ไม่สามารถเดินทางมาผสม
กบั ตวั อสุจิได้ นางปน่ิ ควรแกป้ ญั หาอยา่ งไร

4. จากการแกป้ ัญหาของนางปิ่น เรียกวิธีการนนั้ วา่ อย่างไร

36 วิทยาศาสตร์ ม.2

5.4 การตั้งครรภ์กอ่ นวัยอันควร

การต้ังครรภ์ก่อนวัยอันควรเป็นภาวะการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เกิด
จากวยั รนุ่ ชายหญงิ มเี พศสมั พนั ธก์ อ่ นวยั อนั ควร ทาำ ใหเ้ กดิ การตง้ั ครรภข์ น้ึ
ในขณะที่ยังไม่พร้อมทางด้านครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคมท่ีจะเล้ียงดู
บตุ ร เน่อื งจากยังอยู่ในวยั เรียน ไม่มีรายได้เป็นของตนเอง สภาพร่างกาย
ยงั ไมเ่ จรญิ เตบิ โตเตม็ ทแ่ี ละยงั ไมเ่ ปน็ ทย่ี อมรบั ของสงั คม ทาำ ใหส้ ง่ ผลกระทบ
ต่อสภาพร่างกาย จิตใจ และอนาคตของวัยรุ่น ดังน้ันจึงควรตระหนักถึง
ผลกระทบทีจ่ ะเกดิ ข้นึ โดยการปอ้ งกันไม่ใหม้ เี พศสัมพนั ธก์ อ่ นวัยอนั ควร

สาเหตุของการตงั้ ครรภก์ อ่ นวยั อนั ควร

ปัจจุบันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรเป็นปัญหาสังคมที่ทวีความรุนแรงมากข้ึนในประเทศไทย
เกดิ จากสาเหตดุ ังน้ี

1. ปัจจัยดา้ นพันธุกรรม เน่อื งจากการเปลีย่ นแปลงของฮอรโ์ มนเพศที่ส่งผลต่อสภาพร่างกาย
และจิตใจของวัยรุ่น ทำาให้มีความสนใจเพศตรงข้ามมากข้ึน ประกอบกับความใคร่รู้ใคร่ลองในเรื่องเพศ
ทาำ ให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์โดยไมต่ ้ังใจเกดิ ขนึ้

2. การขาดความร้คู วามเขา้ ใจเกีย่ วกับเร่ืองเพศในวยั รุ่น และไมร่ ้จู ักการปฏิเสธเมื่อถกู ขอ
มเี พศสมั พนั ธ์ ประกอบกบั ค่านยิ มผิด ๆ คิดวา่ เรอ่ื งการมเี พศสัมพันธ์เป็นเร่ืองธรรมชาติ

3. ความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว เน่ืองจากวัยรุ่นขาดการดูแลเอาใจใส่และขาดความ
อบอุ่นจากพ่อแม่หรือคนในครอบครัว ทำาให้วัยรุ่นขาดส่ิงยึดเหน่ียวทางจิตใจและทำาตามคำาแนะนำาที่ไม่
เหมาะสมของเพื่อนหรอื คนรัก

4. สภาพแวดล้อมท่ีเอื้ออำานวยต่อการมีเพศสัมพันธ์ เช่น อยู่ในชุมชนเดียวกันกับผู้ที่มี
เพศสมั พนั ธก์ อ่ นวยั อันควร มีการเสพยาเสพติด ดมื่ เคร่อื งดม่ื ทม่ี ีแอลกอฮอล์ท่ีทำาให้ขาดสตไิ ดง้ ่าย และ
อยูด่ ้วยกนั สองต่อสองระหวา่ งชายหญงิ ในท่ลี ับตาคน

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 ระบบตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ 37

5. การเลียนแบบพฤติกรรมตามกระแสตะวันตกในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ โดยได้รับ
อิทธิพลจากสือ่ ลามกต่าง ๆ และขาดการอบรมกลอ่ มเกลาจิตใจจากบคุ คลในครอบครวั
6. ละเลยการคมุ กำ�เนดิ หรอื ขาดความร้ดู า้ นการคมุ กำ�เนดิ ทถ่ี กู ต้อง

ผลกระทบจากการต้ังครรภ์ก่อนวยั อันควร

การต้ังครรภ์ก่อนวัยอันควรเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของประชากรของประเทศ
ในหลายด้านดังน้ี
1. ผลต่อสุขภาพรา่ งกาย
- วัยรุ่นท่ีต้ังครรภ์อาจละเลยการฝากครรภ์ ทำ�ให้เกิดความเส่ียงต่อภาวะความดันโลหิตสูง
ภาวะโลหิตจาง และภาวะครรภ์เป็นพิษซ่ึงหากมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงอาจส่งผลให้มารดาและบุตร
เสียชวี ติ ได้
- การต้ังครรภ์ในวัยรุ่นเส่ียงต่อการคลอดก่อนกำ�หนด ทำ�ให้ทารกมีน้ำ�หนักตัวตำ่�กว่า
มาตรฐาน หรือเส่ยี งต่อปัญหาสขุ ภาพของทารก เชน่ รา่ งกายและสมองเจริญเตบิ โตผิดปกติ ระบบตา่ ง ๆ
ในรา่ งกายทำ�งานผิดปกติ ท�ำ ให้เกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจ
2. ผลตอ่ สขุ ภาพจติ เกดิ ความเสย่ี งตอ่ ภาวะซมึ เศรา้ หลงั คลอดจากความเครยี ด ความรสู้ กึ หดหู่
และโดดเด่ียวระหว่างต้ังครรภ์หรือหลังคลอด เน่ืองจากการต้ังครรภ์ในวัยรุ่นมีผลกระทบต่อการเรียน
ท�ำ ให้อาจไม่ได้เรียนต่อ ครอบครัวไม่ยอมรับ ไม่มีรายได้เล้ียงดูบุตร ส่งผลกระทบต่ออนาคตของวัยรุ่น
และบุตรในระยะยาว

การปอ้ งกันปญั หาการต้งั ครรภ์ก่อนวัยอันควร

การต้ังครรภ์ก่อนวัยอันควรเป็นปัญหาท่ีส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของหญิง
วัยรุน่ ทต่ี ้ังครรภ์และครอบครวั รวมทั้งส่งผลต่ออนาคตของวัยรนุ่ และทารกในดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม และ
เป็นปญั หาระดบั ประเทศ จึงควรหาวธิ กี ารป้องกนั ไม่ใหเ้ กิดการตั้งครรภ์กอ่ นวยั อันควรดงั นี้
1. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ซึ่งเป็นวิธีท่ีดีท่ีสุด หากเกิดจากการถูกข่มขืนกระทำ�ชำ�เรา
หรอื ใช้ก�ำ ลงั ข่มขบู่ ีบบงั คับ ควรแจ้งตำ�รวจและครอบครัวผใู้ กลช้ ิด หรือใชบ้ รกิ ารปรกึ ษาทางโทรศพั ท์ของ
หน่วยงานในสังกดั กรมสขุ ภาพจติ หมายเลข 0323 ตลอด 24 ชวั่ โมง หรอื สายด่วนเร่ืองเพศภาคีเครือข่าย
ของ สสส. หมายเลข 0663
2. การคุมกำ�เนิดท่ีถูกต้อง ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ปัจจุบันมีการคุมกำ�เนิดหลากหลาย
เช่น การใช้ถุงยางอนามยั การรบั ประทานยาคมุ กำ�เนิด การฉดี ยาคุมก�ำ เนดิ การฝงั ยาคมุ กำ�เนดิ การใช้
แผน่ แปะคมุ ก�ำ เนดิ หรอื การใช่หว่ งอนามัย ซึง่ แต่ละวิธมี ขี ้อดแี ละขอ้ เสยี แตกต่างกนั จงึ ควรศึกษาวธิ ีการ
คุมก�ำ เนดิ และปรกึ ษาแพทย์หรือพยาบาลผมู้ คี วามร้ดู า้ นการคมุ ก�ำ เนดิ
3. ครอบครัวใหค้ วามอบอนุ่ การอบรมเล้ยี งดูใหเ้ พศชายมคี วามเป็นสุภาพบรุ ษุ ไม่ล่วงเกิน
เพศตรงข้าม เมื่อยังไม่พร้อม ไม่สามารถเล้ียงดู และรับผิดชอบครอบครัวได้ วัยรุ่นหญิงควรมีความ

38 วิทยาศาสตร์ ม.2

รกั นวลสงวนตัว ไม่ใจออ่ นยินยอมใหม้ ีเพศสัมพนั ธเ์ มือ่ อยใู่ นวยั เรียน โดยยดึ หลักทางศาสนาและไม่ด่มื
เคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ หรอื สารเสพตดิ ซง่ึ ทำ�ใหข้ าดสตไิ ดง้ ่าย
4. ท�ำ กจิ กรรมทีช่ ว่ ยให้จติ ใจแจ่มใส รา่ งกายแข็งแรง โดยไมห่ มกม่นุ ในเรื่องเพศ เช่น การ
ออกก�ำ ลังกาย การอ่านหนังสือธรรมะ และปฏิบตั ธิ รรม
5. รณรงคแ์ ละใหค้ วามรเู้ ยาวชนในการปฏบิ ตั ติ นใหถ้ กู ตอ้ ง เพอ่ื ปอ้ งกนั การตงั้ ครรภก์ อ่ น
วยั อนั ควร

5.5 การคุมก�ำ เนดิ

การคุมก�ำ เนิด (birth control) หมายถงึ เทคนิคหรือวิธีการปอ้ งกนั ไมใ่ ห้เกดิ การตั้งครรภ์ข้ึน
โดยป้องกันไม่ให้เซลล์อสุจิของเพศชายมีโอกาสผสมกับเซลล์ไข่ของเพศหญิง หรือป้องกันการตกไข่และ
การฝงั ตวั ของเอมบรโิ อ การคมุ ก�ำ เนดิ แบง่ ออกเปน็ 2 วธิ ี คอื การคมุ ก�ำ เนดิ แบบชว่ั คราวและการคมุ ก�ำ เนดิ
แบบถาวร
1. การคุมกำ�เนิดแบบชั่วคราว เป็นเทคนิคหรือวิธีการป้องกันการตั้งครรภ์ท่ีเหมาะสำ�หรับ
ผู้ท่ียังไม่พร้อมที่จะมีบุตร แต่เมื่อต้องการมีบุตรก็หยุดใช้วิธีการคุมกำ�เนิดแบบน้ีได้ การคุมกำ�เนิด
แบบชัว่ คราวมีหลายวธิ ดี ังน้ี
0.0 วธิ ธี รรมชาติ เปน็ วธิ หี าระยะทป่ี ลอดภยั ในรอบประจ�ำ เดอื น โดยการมเี พศสมั พนั ธเ์ ฉพาะ
ในช่วงเวลาของรอบเดอื นทเี่ ซลล์ไขแ่ ละเซลลอ์ สจุ ิไมม่ โี อกาสปฏสิ นธิได้ ซึ่งมี 2 ช่วง ไดแ้ ก่ ระยะเวลา 7 วัน
กอ่ นมปี ระจ�ำ เดือน และนับจากวนั แรกทม่ี ีประจ�ำ เดือนไปอีก 7 วนั
0.2 การคุมกำ�เนดิ โดยใชอ้ ุปกรณ์
- ในเพศชายใช้ถุงยางอนามัย (condom)
เพ่ือป้องกันไม่ให้เซลล์อสุจิเข้าไปในช่องคลอด และช่วย
ป้องกันโรคท่ีเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์
โรคหนองใน โรคซิฟลิ ิส
รูปท่ี 1.19 ถุงยางอนามยั

- ในเพศพญงิ ใช้หว่ งคมุ กำ�เนดิ (intrauterine device : IUD) เพื่อปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ อม็ บริโอ
ไปฝงั ตวั ท่ผี นังมดลกู โดยแพทย์จะเปน็ ผใู้ ส่เข้าไปในมดลกู

รปู ที่ 1.20 การใสห่ ่วงคุมกำ�เนดิ รปู ท่ี 1.21 ลกั ษณะของห่วงคุมกำ�เนดิ ชนดิ ตา่ งๆ

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 ระบบตา่ ง ๆ ของมนุษย์ 39

0.3 การคุมกาำ เนดิ โดยใช้สารเคมีหรือฮอรโ์ มน ใช้กบั เพศหญงิ โดยการรบั ประทานยาคุม
กาำ เนิด การฉดี หรอื ฝงั ใต้ผวิ หนงั และแผน่ แปะคมุ กำาเนิด ซ่ึงยาคุมกำาเนดิ จะมีสว่ นประกอบของฮอรโ์ มน
เพศหญงิ ทจ่ี ะยบั ยง้ั ไมใ่ หม้ กี ารตกไขห่ รอื ทาำ ใหส้ ภาพของผนงั มดลกู ไมเ่ หมาะสมกบั การผงั ตวั ของเอม็ บรโิ อ

ด้านหนา้ ดา้ นหนา้

ด้านหลัง ดา้ นหลัง

รปู ที่ 1.22 ยาคมุ กาำ เนดิ ชนิดต่างๆ

2. การคุมกำาเนิดแบบถาวร เป็นเทคนิคหรือวิธีการป้องกันการต้ังครรภ์ท่ีเหมาะสำาหรับ
ผทู้ ่ไี มต่ อ้ งการจะมีบตุ รอกี เป็นวิธกี ารปอ้ งกนั การตัง้ ครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ท่ีใหผ้ ลดที สี่ ุด ทาำ ได้โดย
การผ่าตัดทาำ หมัน
ตัดและผกู
ทอ่ นาำ ไข่

ท่อปัสสาวะ

ทอ่ นาำ ตวั อสจุ ิ รงั ไข่

องคชาต

รูปท่ี 1.23 การทาำ หมนั เพศชาย รปู ท่ี 1.24 การทาำ หมนั เพศหญิง

ในเพศชาย แพทยจ์ ะผูกและตดั หลอดนำาอสุจิ ในเพศหญงิ แพทย์จะผกู และตัดทอ่ นาำ ไข่แต่ละข้าง
ให้แยกจากกนั เพอ่ื ป้องกันไม่ใหเ้ ซลลอ์ สุจิ เพ่ือปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ ซลลไ์ ขเ่ คล่อื นทีไ่ ปตามท่อนาำ ไข่
จึงทำาให้เซลลอ์ สุจไิ ม่สามารถเข้าผสมกบั เซลล์ไขไ่ ด้
เข้าผสมกบั เซลลไ์ ข่

40 วทิ ยาศาสตร์ ม.2

กิจกรรมตรวจสอบการเรยี นรทู้ ่ี 1.8

1. ครอบครัวมีความสาำ คัญอย่างไรตอ่ การป้องกันการต้ังครรภก์ อ่ นวัยอันควร
2. ถ้าต้องไปร่วมงานสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อน ควรปฏิบัติตนอย่างไรเพ่ือจะไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์

ก่อนวยั อนั ควร
3. การคมุ กาำ เนิดโดยใชย้ าคุมกาำ เนดิ ใช้ได้ผลกับเพศใด และมผี ลดผี ลเสยี อยา่ งไร
4. การคุมกำาเนดิ ท่ไี ด้ผลดที ี่สุดเปน็ วิธีการคมุ กาำ เนดิ แบบใด
5. การป้องกนั ไมใ่ ห้เซลลไ์ ขเ่ คลอื่ นทไ่ี ปตามทอ่ นำาไขท่ าำ ได้อย่างไร และเป็นการคุมกำาเนดิ แบบใด

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 ระบบตา่ งๆ ของมนษุ ย์ 41

กจิ กรรมเพื่อสง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์
“ระบบต่างๆ ของมนษุ ย์”

คาำ ช้ีแจง
1. ให้นกั เรียนจัดกลมุ่ กลมุ่ ละ 4 คน และต้งั ชื่อกล่มุ
2. ทำากิจกรรมเพ่ือสง่ เสริมความคดิ สร้างสรรค์หัวขอ้ ทก่ี ำาหนดใหห้ รอื ทาำ ตามความตอ้ งการของ
นกั เรยี นในกลุ่ม เพื่อทาำ กจิ กรรมเพื่อส่งเสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรคเ์ พยี ง 1 เรอ่ื ง
3. การทำากิจกรรมนักเรียนต้องคิดสร้างสรรค์ ออกแบบวิธีทำากิจกรรมด้วยตนเอง มีครูเป็นที่
ปรึกษา และต้องระดมสมองในการสบื ค้นความรู้ด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละความรู้ในกลมุ่ สาระ
การเรียนรู้อ่ืน ๆ โดยนำามาบูรณาการสร้างผลงาน อภิปรายเพ่ือแสดงความคิดเห็นโดยใช้
เหตุผลในการโต้แย้งจากประจักษ์พยานท่ีพบตลอดการทำากิจกรรม เพ่ือให้ได้ผลงานที่มี
คณุ ภาพ มีความคิดริเรมิ่ สร้างสรรค์ โดยคำานงึ ถงึ ประโยชน์ท่จี ะได้รบั จากการทำากิจกรรม
4. นาำ เสนอผลงานเพอ่ื การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้

หัวขอ้ ท่กี าำ หนด
● หน้ากากอนามยั กนั เช้ือโรค
แนวคดิ

1. ระบบหายใจมีอวัยวะท่เี กย่ี วข้อง ได้แก่ จมูก ทอ่ ลม กะบงั ลม และกระดูกซโ่ี ครง การหายใจ
เป็นการนำาแก๊สออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เพ่ือให้เผาผลาญสารอาหารภายในเซลล์ซึ่งจะได้
พลงั งาน แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ไอนา้ำ และมสี ว่ นผสมของแกส๊ อน่ื ๆ ทีไ่ มไ่ ด้ใช้ สารท่เี กิด
ขนึ้ จะออกสูภ่ ายนอกรา่ งกายขณะหายใจออก

2. หนา้ กากอนามัยชว่ ยปอ้ งกนั ระบบหายใจหรือระบบหมนุ เวยี นเลือดจากมลพษิ ทางอากาศท่ี
มีฝุ่นละอองและเชื้อโรคมาก แพทย์แนะนำาให้ใช้หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคที่เกี่ยวกับ
ระบบหายใจและทางเดินลมหายใจ

3. หนา้ กากอนามยั ผลติ จากผา้ หรอื ใยพอลโิ พรพลิ นี ซงึ่ เปน็ พลาสตกิ ประเภทหนงึ่ ทปี่ ลอดภยั ตอ่
ผใู้ ช้

4. ถา้ ออกแบบหน้ากากอนามยั ใหเ้ หมาะสม สวยงามทงั้ ขนาดและรปู รา่ ง สืบค้นข้อมลู เพื่อนาำ
มาใช้ในการทำาหนา้ กากอนามัย นอกจากจะนำาไปใช้ประโยชน์แลว้ อาจทาำ จำาหนา่ ยได้


Click to View FlipBook Version