๒๐สมเแดห็่จงกพรุรงระัสตันงโฆกสรินาทชร์
พีรพัฒน์ เสียงล้ำ : เรียบเรียง
ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา
๒๐สมเดแ็หจ่งพกรรุงะรัสตังนโฆกรสินาชทร์
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( E-Book ) ๒๐ สมเด็จพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เล่มนี้
มีวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็นหนังสือสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของพรสังฆราช
แห่งสังฆมณฑลไทย ลำดับพระสังฆราชเจ้า แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐ พระองค์ การปกครอง
สงฆ์ของประเทศไทย เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาได้รับความรู้เป็นแนวทางสำหรับปฏิบัติตนเอง เพื่อการอยู่
ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
ผู้จัดทำจึงได้รวบรวมข้อมูล ๒๐ สมเด็จพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อให้
พุทธศาสนิกชนและสาธุชน ได้มีสิ่งอนุสรณ์ อันเนื่องด้วยเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ไว้เป็น
ที่ระลึกและปลื้มปีติ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( E-Book ) ๒๐ สมเด็จ
พระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เล่มนี้ จะอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ที่สนใจทางพุทธศาสนา
และสมเด็จพระสังฆราช ดังที่ปรากฏอยู่ในมือของท่านทั้งหลายบัดนี้
พีรพัฒน์ เสียงล้ำ
ตุลาคม ๒๕๖๔
สารบัญ หน้า
คำนำ ๑
สารบัญ ๕
พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลไทย ๖
ทำเนียบพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๙
๑๑
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ๑๓
สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ๑๕
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) ๑๘
สมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) ๒๐
สมเด็จพระอริยวงษญาณ (ด่อน) ๒๓
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) ๒๖
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (สุวณฺณรังสี) ๒๙
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ๓๒
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) ๓๕
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ๓๘
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ๔๑
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว) ๔๔
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ๔๗
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) ๕๐
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทโย) ๕๔
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฏฺฐายี) ๕๗
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ๖๒
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร)
อ้างอิง
ประวัติผู้จัดทำ
๑
พระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลไทย
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราช เป็นตำแหน่งที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
ดังมีหลักฐานจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้จารึก
คำว่าสังฆราชไว้ด้วย สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระเศวตฉัตร 3 ชั้น
เป็นตำแหน่งสมณะศักดิ์สูงสุดฝ่ายพุทธจักรของคณะสงฆ์ราชอาณาไทย ประจำองค์สมเด็จพระสังฆราช
ทรงเป็นองค์ประธานการปกครองคณะสงฆ์ ตำแหน่งนี้น่าจะมีที่มาจากคณะสงฆ์ไทย
นำแบบอย่างมาจาก ลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงอัญเชิญพระเถระผู้ใหญ่ของลังกา
ที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้เพิ่มตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเป็น สกลมหาสังฆปริณายก มีอำนาจว่า
กล่าวออกไปถึงหัวเมือง โดยมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายคามวาสี เป็นพระสังฆราช
ขวา สมเด็จพระวันรัต เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี เป็นสังฆราชซ้าย องค์ใดมีพรรษายุกาลมากกว่า ก็ได้
เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พระอริยมุนี ได้ไปสืบอายุพระพุทธศาสนาที่ลังกา
ทวีป มีความชอบมาก เมื่อกลับมาได้รับ สมณศักดิ์ สูงขึ้นตามลำดับจนเป็นสมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ มีพระราชดำริให้คง ราชทินนาม นี้ไว้ จึงทรงตั้งราชทินนามสมเด็จพระ
สังฆราชเป็น สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี และมาเป็น สมเด็จพระอริยวงษญาณ ในสมัยกรุงธนบุรี
และได้ใช้ต่อมาจนถึง รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงปรับปรุงเพิ่มเติมเป็น
" สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ " ซึ่งได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ตามทำเนียบสมณศักดิ์ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่มีตำแหน่งสังฆปริณายก ๒ องค์ ที่เรียกว่า พระ
สังฆราชซ้าย/ขวา ดังกล่าวแล้ว ยังมีคำอธิบายอีกประการหนึ่งว่า สมเด็จพระอริยวงศ์ เป็นพระสังฆราช
ฝ่ายขวาว่า คณะเหนือ พระพนรัตน์ เป็นพระสังฆราชฝ่ายซ้ายว่า คณะใต้ มี พระสุพรรณบัฏ จารึก
พระนามเมื่อทรงตั้งทั้ง ๒ พระองค์ แต่ที่สมเด็จพระพนรัตน์ โดยปกติไม่ได้เป็นสมเด็จ ส่วนพระสังฆราช
ฝ่ายขวานั้นเป็นสมเด็จทุกพระองค์ จึงเรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็นมหาสังฆปริณายก มีศักดิ์สูงกว่า
พระสังฆราชฝ่ายซ้าย ที่พระพนรัตน์แต่เดิม ทรงยกพระเกียรติยศเป็นสมเด็จแต่บางองค์ มาในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงเป็นสมเด็จทุกพระองค์
เมื่อครั้งกรุงสุโขทัย เป็นราชธานี วิธีการปกครองพระราชอาณาจักรในครั้งนั้น หัวเมืองใหญ่ที่ห่างไกล
จากราชธานี เป็นเมืองประเทศราชโดยมาก แม้เมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ราชธานี ก็ตั้งเจ้านายในพระราชวงศ์
เสด็จออกไปครองเมือง ทำนองเจ้าประเทศราช เมืองใหญ่แต่ละเมือง จึงน่าจะมีพระสังฆราชพระองค์หนึ่ง
เป็นสังฆปรินายกของสังฆบริษัทในเมืองนั้น ดังปรากฏเค้าเงื่อนในทำเนียบชั้นหลัง ยังเรียกเจ้าคณะเมืองว่า
พระสังฆราชอยู่หลายเมือง จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงเปลี่ยนมา
เป็น สังฆปาโมกข์
พระสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีนี้มีมาแต่ครั้งพุทธกาล คือฝ่ายที่พำนักอยู่ใกล้เมืองเพื่อศึกษา
พระธรรมวินัย เรียกว่าคามวาสี อีกฝ่ายหนึ่งบำเพ็ญสมณธรรมในที่สงบเงียบตามป่าเขา ห่างไกลจากบ้าน
เมืองเรียกว่าอรัญวาสี ภิกษุ แต่ละฝ่ายยังแบ่งออกเป็นคณะ แต่ละคณะจะมี พระราชาคณะ ปกครอง
หัวหน้าพระราชาคณะเรียกว่า สมเด็จพระราชาคณะ
๒
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเปลี่ยนพระอิสริยยศสมเด็จ
พระสังฆราชที่เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ทรงเศวตฉัตร ๕ ชั้น พระราชวงศ์
ชั้นรองลงมา เท่าที่ปรากฏ มีชั้นหม่อมเจ้าผู้ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีคำนำหน้า พระนาม
ว่า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงฉัตรตาดเหลือง ๕ ชั้น
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชหนึ่ง
พระองค์ ตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม ในการนี้
นายกรัฐมนตรีจะเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ แต่ถ้าสมเด็จพระราชา
คณะดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ จะเสนอสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นตามลำดับสมณศักดิ์และความ
สามารถในการทำหน้าที่แทน
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้มีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กำหนดให้
"มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่งและให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับ
สนองพระบรมราชโองการ”
เครื่องยศของสมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระสังฆร
าชจะทรงมีเครื่องพระยศประกอบพระอิสริยยศสมเด็จพระสังราช ดังนี้
พระแท่นภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น
พัดยศสมเด็จพระสังฆราช
บาตร พร้อมฝาบาตร เชิงบาตรถมปัด
พานพระศรี ถมปัด
ขันน้ำและพานรอง ถมปัด
คณโฑ ถมปัด
พระสุพรรณศรี ถมปัด
พระสุพรรณราช ถมปัด
หีบตราพระจักรี ถมปัด
ปิ่ นโตทรงกลม 4 ชั้น ถมปัด
กาทรงกระบอก ถมปัด
หม้อลักจั่น ถมปัด พระแท่นภายใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น พัดยศสมเด็จพระสังฆราช
กระโถน ถมปัด ที่มา : สมเด็จพระสังฆ
ราชไทย วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี shorturl.asia/yjNrf
ธรรมเนียมพระยศของ
สมเด็จพระสังฆราช
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
การทูล ฝ่าพระบาท
การแทนตน เกล้ากระหม่อม/เกล้ากระหม่อมฉัน
การขานรับ เกล้ากระหม่อม
พะย่ะค่ะ/เพคะ
๓
พิธีสถาปนาสังฆราช จากอดีตถึงปัจจุบัน
ย้อนเวลากลับไปในอดีตนับร้อยปี พระราชพิธี
ดังกล่าวไม่ได้มีการกำหนดการจัดงานสถาปนา
ขึ้นเป็นพิเศษ แต่ถือเอาวันเฉลิมพระชนมพรรษา
หรือวันฉัตรมงคล เป็นวันประกอบพระราชพิธี
ร่วมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใกล้กับวันใด โดยถือเป็นการ
สถาปนาพระราชาคณะชั้นหนึ่ง พร้อมๆ
กับการเลื่อนพระสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นอื่นๆ
แม้แต่การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชผู้มีเชื้อสาย
เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ก็กระทำเพียงให้อาลักษณ์ ที่มา : พิธีสถาปนาสังฆราช จากอดีตถึงปัจจุบัน
อ่านประกาศ และรับมอบพระสุพรรณบัฏเท่านั้น MATICHON ONLINE shorturl.asia/vIwQj
หรืออาจอัญเชิญพระสุพรรณบัฏเดิมมาสมโภชอีกครั้งหนึ่ง
“สุพรรณบัฏ” ที่ถวายแด่สมเด็จ พระสังฆราช คือ “ลานทอง” มีลักษณะเป็นแผ่นทองคำบางๆ
ทำตามอย่างใบลานที่ใช้ในการจดจากหนังสือและพระธรรมคัมภีร์ โดยนำทองคำไปแผ่ให้มีรูปร่างและ
ความยาวเท่าๆ กับใบลาน และจากตัวอักษรเป็นพระนามเต็ม ชื่อพระอารามที่สถิต และข้อความอีก
เล็กน้อย
สำหรับพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆรา
ชเป็นการเฉพาะอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพิ่งเกิด
ขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘ เมื่อมีการสถาปนา
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม ขึ้นเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อจะมีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช จะจัดพระราชพิธี
ขึ้นมาเฉพาะสืบถึงปัจจุบัน
ในการขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช จะมีเครื่องประกอบพระอิสริยยศ เครื่องประกอบสมณศักดิ์
สำแดงเกียรติยศ มักทำจากวัสดุจำพวกถมปัด ทองแดง งา หรือไม้ประดับมุก ไม่ใช่จำพวกเงินและ
ทองคำซึ่งขัดต่อพระวินัย เรียกว่า “วัตถุอนามาส” แปลว่า สิ่งที่ (ภิกษุ) ไม่ควรจับต้อง มิเช่นนั้นจะต้อง
อาบัติทันที
ตัวอย่างเครื่องประกอบพระอิสริยยศที่สมเด็จพระสังฆราชในอดีตได้รับพระราชทาน จากพระ
มหากษัตริย์ ได้แก่ ไตรแพร พานพระศรี ขันน้ำพานรอง หีบพระศรี กล่องพระศรี พระเต้าน้ำ ถาดสรง
พระพักตร์ บ้วนพระโอษฐ์ปากแตร กาน้ำ หม้อน้ำพระพุทธมนต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีตราประจำตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ตัวอย่างเช่น พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรม
หลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้รับพระราชทาน “ตรางาประจำชาด” จากพระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรูปบุษบกราชรถ มีอักษรโดยรอบว่า “สกลคณาธิเบศร์ มหาสังฆ-
ปริณายก”
อีกหนึ่งเครื่องประกอบสมณศักดิ์ที่สำคัญก็คือ “พัดยศ” ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม
พระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าไทยได้ธรรมเนียมดังกล่าวมาจากลังกา โดยมีใช้มาตั้งแต่ยุค
กรุงเก่าเป็นอย่างน้อย ดังปรากฏในจดหมายเหตุทูตลังกาที่เดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา โดย
พรรณนาว่า สมเด็จพระสังฆราชแห่งสยาม ทรงมีพัดยศ ๒ เล่ม มีลักษณะแตกต่างกัน คาดว่าเป็นพัด
ฝ่ายคามวาสี และอรัญวาสี
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ พัดยศมีลักษณะเป็นพัดแฉก ซึ่งเรียกว่า ทรงพุ่มหัวบิณฑ์ มีตัดพัดยศ
และด้ามแบบต่างๆ ที่แสดงถึงเกียรติยศ พัดยศของพระสังฆราชมีความแตกต่างกันตาม
ชาติกำเนิด กล่าวคือ หากไม่ใช่ราชวงศ์ เป็นพัดพื้นตาดเหลืองสลับตาดขาว ปักดิ้นเลื่อม ส่วนชั้น
ราชวงศ์เป็นพัดพื้นตาดเหลืองสลับตาดขาว ปักดิ้นเลื่อม ใจกลางปักตราเครื่องหมายประจำ
รัชกาลนั้นๆ
๔
สำหรับลำดับพิธีการพระราชพิธีที่จัดขึ้นเป็นพิเศษที่สืบมานั้น พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราช
กระแสรับสั่งให้สำนักพระราชวังจัดพิธีการ กำหนดวันเวลาและรายการตามพระราชประเพณี
ท่ามกลางสังฆมณฑลอันประกอบด้วยกรรมการมหาเถรสมาคม โดยสมณศักดิ์เจ้าคณะใหญ่
เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา
ประธานศาลฎีกา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีการจารึกพระสุบรรณบัฏ พระมหา-
กษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมายังพระอุโบสถเพื่อทรงประกอบพระราชพิธี ทรงจุดธูปเทียนบูชา
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วทรงประเคนผ้าไตรแด่พระสงฆ์กรรมการมหาเถรสมาคม ทรงจุด
ธูปเทียนเครื่องนมัสการพระรัตนตรัย ทรงศีล สมเด็จพระราชาคณะทรงถวายศีลจบ ทรงพระกรุณาโป
รดฯ ให้พนักงานอาลักษณ์อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการสถาปนา
จากนั้น สมเด็จพระราชาคณะนำสวดสังฆานุโมทนา เสด็จไปถวายน้ำมหาสังข์ทักษิณาวัฏพระ
สุพรรณบัฏ พระตราตำแหน่ง พัดยศ เครื่องสมณศักดิ์แด่สมเด็จพระสังฆราช พระสงฆ์เจริญชัยมงคล
คาถา โหรลั่นฆ้องชัย พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ พนักงานประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์
พระสงฆ์ในอารามทั่วพระราชอาณาจักรเจริญชัยมงคลคาถาและย่ำระฆัง พระมหากษัตริย์ถวายใบ
ปวารณาแด่พระสงฆ์ในสังฆมณฑล พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก เสร็จแล้วพระ
สังฆราชขึ้นประทับอาสน์สงฆ์กลางพระอุโบสถ พระเถระผู้ใหญ่ ผู้แทนพระบรมวงศานุวงศ์ หัวหน้า
คณะรัฐบาล ผู้แทนองคมนตรี ประธานสภา ประธานศาลฎีกา เข้าถวายเครื่องสักการะ สมเด็จพระ
สังฆราชทรงออกไปรับเครื่องสักการะของบรรพชิตญวนและจีน แล้วเสด็จกลับ เป็นอันเสร็จพิธี
ที่มา : ‘ในหลวง’ ทรงถวายน้ำพระมหาสังข์ ในพระราชพิธีสถาปนา ‘พระสังฆราช’ องค์ที่ 20
MATICHON ONLINE shorturl.asia/Xwd82
ทำเนียบพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
องค์ที่ ๑
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๓๖
สถิต ณ วัดระฆังโฆษิตาราม
๗
พระประวัติ
พ
ระประวัติในตอนต้นไม่ปรากฏรายละเอียด พบแต่เพียงว่า เดิมเป็นพระอาจารย์ศรีอยู่วัดพนัญ
เชิง-วรวิหาร หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้หนีภัยสงครามไปอยู่ที่เมือง
นครศรีธรรมราช ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จไปตีเมืองนครศรีธรรมราช
ได้อาราธนาพระองค์ให้มาอยู่ที่วัดบางว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) และทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระ
สังฆราช[1] นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงธนบุรี
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี
พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเดิม และไปครองพระอารามตามเดิมด้วย
ทรงเห็นว่าเป็นผู้มีความสัตย์ซื่อมั่นคง ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและ
ชีวิต ควรแก่นับถือเคารพสักการบูชา
พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการชำระและฟื้ นฟูพระพุทธศาสนา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้า ทั้งในด้านความประพฤติปฏิบัติของภิกษุสามเณร การบูรณปฏิสังขรณ์พุทธสถาน
การชำระตรวจสอบพระไตรปิฎก ตลอดจนการประพฤติปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป
ทรงถูกถอดจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓
๒๔ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระสังฆราช
(ศรี) ได้ถูกถอดจากตำแหน่งเนื่องจากได้ถวายวิสัชนาร่วมกับ พระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย (วัดอมริ
นทราราม) และพระพิมลธรรม วัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนหรือวัดโพธิ์) เรื่องพระสงฆ์ปุถุชนไม่ควร
ไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นอริยบุคคล เนื่องจากคฤหัสถ์เป็นหินเพศต่ำ พระสงฆ์เป็นอุดมเพศที่สูง เพราะทรง
ผ้ากาสาวพัสตร์และพระจาตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ดังความว่า
“ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดี แต่เป็นหินเพศต่ำ อันพระสงฆ์ถึงเป็นปุถุชน ก็ตั้งอยู่ใน
อุดมเพศอันสูง เหตุทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และพระจตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ซึ่งจะไหว้นบคฤหัสถ์
อันเป็นพระโสดานั้นก็บ่มิควร”
ข้อวิสัชนาดังกล่าวนี้ไม่ต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์จึงให้ถอดเสียจากตำแหน่ง
พระสังฆราช นำไปเฆี่ยนแล้วให้ไปขนของโสโครกที่วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร แล้วทรงตั้งพระโพธิ
วงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช และตั้งพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นพระวันรัต
๘
สมเด็จพระสังฆราชครั้งที่ ๒
ครั้นเมื่อพร
ะบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกและสถาปนา
กรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คืนสู่สมณฐานันดรศักดิ์และ
พระอารามตามเดิม และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ตรัสสรรเสริญว่าพระองค์ท่าน
ซื่อสัตย์มั่นคงที่จะรักษาพระศาสนาโดยไม่อาลัยชีวิต ควรเป็นที่นับถือ ต่อไปหากมีข้อสงสัยใดใน
พระบาลี ก็ให้ถือตามถ้อยคำพระองค์ท่าน แล้วให้รื้อตำหนักทองของเจ้ากรุงธนบุรีนั้นไปปลูกเป็น
กุฎีถวาย ณ วัดบางว้าใหญ่
สิ้นพระชนม์
ถึงเดือน ๕ ปีขาล จ.ศ. ๑๑๕๖ (พ.ศ. ๒๓๓๗) สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
อาพาธถึงแก่มรณภาพ
ที่มา : พระเจ้าศรีธรรมโศกราช /
FACEBOOK
พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการชำระและฟื้ นฟูพระพุทธศาสนา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้า ทั้งในด้านความประพฤติปฏิบัติของภิกษุสามเณร การบูรณะปฏิสังขรณ์
พุทธสถาน การชำระตรวจสอบพระไตรปิฎก ตลอดจนการประพฤติปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนโดย
ทั่วไป
งานสังคายนาพระไตรปิฎกในครั้งนี้ นับเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุง-
รัตนโกสินทร์ และเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ ของราชอาณาจักรไทย กระทำเมื่อปี
พ.ศ.๒๓๓๑ โดยนำพระไตรปิฎก ที่รวบรวมบรรดาพระไตรปิฎกฉบับที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญ
ตรวจชำระแล้วแปลงเป็นอักษรขอม จารึกลงลานประดิษฐานไว้ ณ หอพระมณเทียรธรรม และ
สร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ ไว้ศึกษาทุกพระอารามหลวง เมื่อตอนต้นรัชกาล มาตรวจ
ชำระ โดยอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะให้ดำเนินการ สมเด็จพระสังฆราชได้เลือก
พระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราช
บัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ทำการสังคายนาที่ วัดนิพพานาราม แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๔ กอง ดังนี้
สมเด็จพระสังฆราช เป็นแม่กองชำระพระสุตตันปิฎก
พระวันรัต เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก
พระพิมลธรรม เป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส
พระธรรมไตรโลก เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก
การชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ใช้เวลา ๕ เดือน ได้จารึกพระไตรปิฎกลงลานใหญ่ แล้วปิดทองทึบ ทั้ง
ปกหน้าปกหลัง และกรอบ เรียกว่า ฉบับทอง ทำการสมโภช แล้วอัญเชิญเข้าประดิษฐานใน
ตู้ประดับมุก ตั้งไว้ในหอพระมณเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
องค์ที่ ๒
สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)
พ.ศ. ๒๓๓๖-๒๓๕๙
สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
๑๐
สมเด็จพระสังฆราช พระนามเดิม ศุข หรือ สุก เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๗ ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ ๒๓ ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวัน
ที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๕๙ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระประวัติ
พระประวัติในตอนต้นไม่ปรากฏหลักฐาน พระประวัติเมื่อครั้งกรุงธนบุรี เป็นพระราชาคณะ
ที่พระญาณสมโพธ อยู่วัดมหาธาตุ ถึงปี พ.ศ. ๒๓๒๓ เมื่อปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
และได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระธรรมเจดีย์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้รับ
การโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นที่ พระพนรัตน อันเป็นตำแหน่งรองสมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ขณะที่ทรงสมณศักดิ์ที่พระพนรัตน ได้เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก
ในครั้งที่มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๑ ทรงรอบรู้
แตกฉานในพระไตรปิฎก ทรงจัดระเบียบการสอบพระปริยัติธรรมเพื่อเป็นเปรียญ แบบ ๓ ชั้น คือ
เปรียญตรี เปรียญโท และเปรียญเอก
ในปี พ.ศ. ๒๓๓๖ เมื่อสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) สิ้นพระชนม์ จึงโปรดตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช
และได้เป็นพระอุปัชฌาย์ในคราวผนวชสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังหลัง
เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์
ในสมัยของพระองค์ ได้มีการส่งสมณทูตไทยไปสืบข่าวพระศาสนา ณ ลังกาทวีป เป็นครั้งแรกใน
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๘ หลังจากที่ว่างเว้นมา ๖๐ ปี จากสมัยกรุงศรีอยุธยา
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระสังฆราช (สุก) สิ้นพระชนม์เมื่อวันพุธ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีชวด จ.ศ. ๑๑๗๘
(ตรงกับวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๕๙) เวลา ๒ โมงเช้า
องค์ที่ ๓
สมเด็จพระสังฆราช (มี)
พ.ศ. ๒๓๕๙-๒๓๖๒
สถิต ณ วัด มหาธาตุยุวราชวังสฤษดิ์
๑๒
พระประวัติ
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช มีพระนามเดิมว่า มี ประสูติเมื่อวันพุธขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๘
ตรงกับวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๙๓ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งอาณาจักรอยุธยา ไม่
ปรากฏหลักฐานภูมิลำเนาเดิม ต่อมาผนวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระราชาคณะ
ที่พระวินัยรักขิต ซึ่งเทียบเท่าพระอุบาลีแต่เดิม ที่ต้องเปลี่ยนเพราะเห็นว่าสมณศักดิ์นี้ไปพ้องกับพระอุบาลี
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๓๗ ก็ทรงได้รับพระกรุณาธิคุณเลื่อสมณศักดิ์ให้สูงขึ้นในระดับพระราชาคณะเจ้าคณะรอง
ที่ พระพิมลธรรม ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อน
สมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพนรัตน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๕๙ สมเด็จพระอริยวงษญาณ
สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ได้สิ้นพระชนม์ลง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
พระองค์ที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในราชทินนามที่ สมเด็จพระอริยวงษญาณ
ในปี พ.ศ. ๒๓๖๐ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ผนวช
เป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สามเณรเจ้าฟ้ามงกุฎ เสด็จไปทรงจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุเป็น
เวลา ๑ พรรษา ตลอดเวลาที่ได้ประทับจำพรรษา สมเด็จพระสังฆราช (มี) ทรงทำหน้าที่พระอาจารย์ ถวาย
ความรู้เกี่ยวกับพระธรรมวินัย พระไตรปิฎกตลอดจนทศพิธราชธรรม
ในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม เป็นพระธุระในการพัฒนาการศึกษา ดูและแก้วิธีการสอน การสอบไล่
พระปริยัติธรรมทุกครั้งอย่างใกล้ชิด ได้ทอดพระเนตรเห็นข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขปรับปรุงอยู่ตลอด โดยมิได้
ถือพระองค์ว่าทรงเป็นสังฆราชา จนในที่สุดได้ทรงปรึกษาหารือกับพระราชาคณะที่ เป็นเปรียญเอกอีกนับสิบ
รูป จนเห็นชอบทั่วหน้าในการปรับปรุงแก้ไขวิธีการสอน การสอบไล่ปริยัติธรรมใหม่ ได้ทรงกำหนดหลักสูตร
การเรียนการสอน และการสอบเทียบความรู้ใหม่ ให้มี ๙ ประโยค แทนหลักสูตรเก่าที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา
ซึ่งมีการแบ่งหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมเพียง ๓ ชั้น คือ บาเรียนตรี บาเรียนโท บาเรียนเอก
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๓๖๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๒
สิริพระชันษาได้ ๖๙ ปี ๕๘ วัน
องค์ที่ ๔
สมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร)
พ.ศ. ๒๓๖๓-๒๓๖๔
สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
๑๔
สมเด็จพระอริยวงษญาณ พระนามเดิม สุก เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทยพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ได้รับการสถาปนาเมื่อปี
พ.ศ. ๒๓๖๓ อยู่ในตำแหน่ง ๓ ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๓๖๕ พระชันษาได้ ๘๙ ปี
พระประวัติ
พร
ะองค์ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู จ.ศ. ๑๐๙๕ ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม ๒๒๗๖
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอาณาจักรอยุธยา ในสมัยกรุงธนบุรี ได้เป็นพระอธิการ
อยู่วัดท่าหอย แขวงรอบกรุงเก่า มีพระเกียรติคุณในทางวิปัสสนาธุระ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดให้นิมนต์พระองค์มาอยู่ที่
วัดพลับ (วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร) และให้เป็นพระราชาคณะที่พระญาณสังวรเถร พระองค์เป็น
พระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ตั้งแต่ยังอยู่ที่วัดท่าหอย การที่โปรดให้นิมนต์มา
อยู่ที่วัดพลับ ก็เนื่องจากเป็นวัดสำคัญฝ่ายอรัญวาสีของกรุงธนบุรี ซึ่งต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดราชสิทธาราม
ปี พ.ศ. ๒๓๕๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้รับสถาปนาเป็น
สมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร นับว่าเป็นตำแหน่งพิเศษในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่
พระราชทานแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระโดยเฉพาะ เมื่อสมเด็จพระสังฆราช(มี)
สิ้นพระชนม์ เดิมทรงพระราชดำริจะตั้งสมเด็จพระพนรัตน(อาจ) วัดสระเกศ เปนสมเด็จพระสังฆราช
แต่ภายหลังสมเด็จพระพนรัตนต้องอธิกรณ์จนถูกถอดจากสมณศักดิ์ แล้วทรงพระราชดำริว่า สมเด็จ
พระญาณสังวรเปนสมเด็จพระราชาคณะผู้ใหญ่ และเป็นพระอาจารย์ที่เคารพในพระราชวงศ์ ในวัน
พฤหัสบดีที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๖๓ จึงโปรดให้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เมื่อถึงวันพฤหัสบดี
ที่ ๗ ธันวาคม ศกนั้น จึงทรงตั้งเปนสมเด็จพระสังฆราช
เมื่อครั้งเกิดอหิวาตกโรคระบาดในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๓ มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย
ประมาณถึง สามหมื่นคนเศษ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงให้ตั้งพระราชพิธีอาพาธ
พินาศ โดยพระองค์ทรงศีลและให้ตั้งโรงทาน ส่วนสมเด็จพระสังฆราชทรงให้สังคายนาบทสวดมนต์
ในพระราชพิธีดังกล่าว
ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกพระองค์ว่า "พระสังฆราชไก่เถื่อน"
เพราะร่ำลือกันว่า ทรงช่ำชองวิปัสสนาธุระถึงขนาดทำให้ไก่ป่าเชื่อง
ด้วยอำนาจพรหมวิหารได้
ที่มา : สมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี shorturl.asia/BfLKA
องค์ที่ ๕
สมเด็จพระอริยวงษญาณ (ด่อน)
พ.ศ. ๒๓๖๕-๒๓๘๕
สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
๑๖
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช มีพระนามเดิมว่า ด่อน เป็นสมเด็จพระ
สังฆราชพระองค์ที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๕ ดำรงตำแหน่ง ๒๐ ปี
สิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๕ สิริพระชันษาได้ ๘๑ ปี
พระประวัติ
พระประวัติในตอนต้นไม่พบรายละเอียด มีแต่เพียงว่าประสูติในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่ง
สุริยาศน์อัมรินทร์แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๔ ได้เป็นที่ "พระเทพโมลี" อยู่ที่วัดหงส์ ในรัช
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และได้เป็นที่ "พระพรหมมุนี" ในรัชสมัยพระบาท
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นที่ "พระพิมลธรรม" เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๙ ต่อ
มาได้เลื่อนเป็น "สมเด็จพระพนรัตน์" ในรัชกาลเดียวกัน ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายที่
สถิต ณ วัดมหาธาตุ เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งผนวช
เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๗
ในช่วงปลายสมัยของสมเด็จพระสังฆราช ได้มีการชำระความภิกษุที่ประพฤติอนาจาร
ครั้งใหญ่ ได้ตัวมาชำระสึกเสียจำนวนมาก ประมาณถึง ๕๐๐ รูปเศษ ที่หนีไปก็มีจำนวนมาก และ
พระราชาคณะก็เป็นปาราชิกหลายรูป นับเป็นการชำระสะสางอลัชชีในคณะสงฆ์ครั้งใหญ่ที่สุดของ
กรุงรัตนโกสินทร์ แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของคณะสงฆ์ในยุคนั้น และในขณะเดียวกัน ก็
แสดงให้เห็นถึงความเอาพระทัยใส่ในการคณะสงฆ์ของพระมหากษัตริย์อย่างจริงจัง
ในปลายรัชกาลที่ ๒ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจสำคัญ คือ
ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงผนวชเป็น
พระภิกษุ ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทว
วงศ์ ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันอังคาร เดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๖
กรกฎาคม ๒๓๖๗ เมื่อทรงผนวชแล้วเสด็จไปประทับ ณ วัดมหาธาตุ ๓ วัน แล้วเสด็จไปประทับ
ศึกษาวิปัสสนาธุระ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส)
เนื่องมาจากการทรงผนวชของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยของสมเด็จ
พระสังฆราช (ด่อน) ครั้งนั้น ได้ก่อให้เกิดการฟื้ นฟูพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ที่นับว่าสำคัญ
ครั้งหนึ่ง ในประวัติการณ์ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยในเวลาต่อมา กล่าวคือ หลังจากที่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จกลับมาประทับทรงศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัด
มหาธาตุ จนทรงรอบรู้ในภาษาบาลีและเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกแล้ว ก็ทรงพิจารณาเห็นความ
บกพร่องในวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในยุคนั้น
๑๗
ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว จึงเป็นเหตุให้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระ
ราชดำริปรับปรุงแก้ไขวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ดังที่ได้ทรงศึกษาจาก
ท่าน ผู้รู้และพิจารณาสอบสวนกับพระไตรปิฎกที่ได้ทรงศึกษาจนเชี่ยวชาญแตกฉาน โดยพระองค์
เองทรงประพฤตินำขึ้นก่อนแล้วภิกษุสามเณรอื่นๆ ที่นิยมเลื่อมใสก็ประพฤติตาม
พระราชดำริในการปรับปรุงแก้ไขพระศาสนาของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัวนั้นมิได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องวัตร ปฏิบัติของพระสงฆ์เท่านั้น แต่รวมตลอดไปถึงการศึกษาพระ
ปริยัติธรรม และการเทศนาสั่งสอนพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัทด้วย จึงนับเป็นช่วงแห่ง
ประวัติศาสตร์ที่สำคัญช่วงหนึ่งของพระพุทธศาสนาใน ประเทศไทย
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ ๑๙ ปี ๖ เดือน
สิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๓๘๕
รวมพระชนมายุได้ ๘๑ พรรษา
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำเมรุผ้าขาวแล้วพระราชทานเพลิง เมื่อวันเสาร์ เดือน ๔
ขึ้น ๑๓ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๓๘๕
องค์ที่ ๖
สมเด็จพระอริยวงษญาณ (นาค)
พ.ศ. ๒๓๘๖-๒๓๙๒
สถิต ณ วัด ราชบูรณะราชวรวิหาร
๑๙
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๖
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชบุรณราชวรวิหาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า
อยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๖ ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ ๖ ปี สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๒
เมื่อพระชันษาได้ ๘๖ ปี
พระประวัติ
พระประวัติตอนต้นไม่พบรายละเอียด มีแต่เพียงว่าประสูติในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์
อัมรินทร์แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๑ เป็นพระราชาคณะที่ พระนิกรมุนี ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เลื่อนเป็น พระพรหมมุนี เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๙ ต่อมา
เป็น พระธรรมอุดม และได้เลื่อนเป็น สมเด็จพระพนรัตน เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๓ ในรัชสมัยพระบาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เนื่องจากในระยะเวลาที่ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์กำลังอยู่
ระหว่างการปฏิสังขรณ์ พระองค์จึงสถิต ณ วัดราชบูรณะตลอดมาจนสิ้นพระชนม์ ทำให้ธรรมเนียม
การแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เป็นอันเลิกไปตั้งแต่นั้นมา และสมเด็จพระ
สังฆราชเคยสถิตอยู่ ณ พระอารามใด เมื่อครั้งก่อน เป็นสมเด็จพระสังฆราช ก็ยังคงสถิตอยู่ ณ พระ
อารามนับสืบต่อไป เป็นแบบธรรมเนียมมาจนถึงปัจจุบัน
ได้มีการส่งสมณทูตไปลังกาเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๗ โดยทางเรือและเดินทางกลับ
ในปีเดียวกัน พร้อมกับ ได้ยืมหนังสือพระไตรปิฎกมาอีก ๓๐ คัมภีร์ พร้อมทั้งมีภิกษุสามเณร และ
คฤหัสถ์ชาวลังกา ติดตามมาด้วยกว่า ๔๐ คน การที่มีพระสงฆ์ชาวลังกาเดินทางเข้ามาสยามบ่อย
ครั้ง จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ขณะผนวชและเป็นเจ้าอาวาสวัดบวร
นิเวศราชวรวิหาร รับภาระต้อนรับดูแลพระสงฆ์ชาวลังกา ดังนั้น วัดบวรนิเวศจึงมีหมู่กุฎีไว้รับรอง
พระสงฆ์ลังกาโดยเฉพาะ เรียกว่า คณะลังกา
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) สิ้นพระชนม์เมื่อปีระกา ตรงกับ
พ.ศ. ๒๓๙๒ ในรัชกาลพระบามสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระ
สังฆราชเป็นเวลา ๖ ปี
องค์ที่ ๗
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๓๙๖
สถิต ณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
๒๑
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระสังฆราชไทย พระองค์
ที่ ๗ แห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ
ปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี สุวัณณรังสี) เป็นพระราชวงศ์พระองค์แรกที่ทรงได้รับ
สถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช และเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกที่ประสูติ
ในสมัยรัตนโกสินทร์อีกด้วย ทรงสถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร สมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระประวัติ
ทรงประสูติ เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ ธ.ค.๒๓๓๓ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าชายวาสุกรี เป็น
พระโอรสองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก อันเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์
จักรี พระมารดา คือ เจ้าจอมมารดาจุ้ย พระสนมโท ต่อมาได้เลื่อนเป็น “ท้าวทรงกันดาล” เป็น
ตำแหน่งผู้รักษาการคลังใน
พ.ศ.๒๓๔๕ ในรัชกาลที่ ๑ กรมพระราชวังหลัง (เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์พระเจ้า
หลานเธอ ในรัชกาลที่ ๑) เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๘ มี เจ้านายตาม
เสด็จออกผนวชเป็นสามเณร เป็นหางนาคหลวง ๒ พระองค์ คือ พระองค์ เจ้าชายวาสุกรี กับ
พระองค์เจ้าชายฉัตร (กรมหมื่นสุรินทรรักษ์)
สามเณรพระองค์เจ้าวาสุกรี ประทับจำพรรษาและศึกษาอยู่ในวัดพระเชตุพนฯ จนสิ้น
รัชกาลที่ ๑ ขณะนั้นพระชนม์ได้ ๑๙ พรรษา ก็ไม่ทรงสึก เนื่องจากอายุยังไม่ครบผนวชเป็นพระ
ภิกษุ จึงทรงเป็นสามเณรต่อไป จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้ทรง
ผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อปีมะแม พ.ศ.๒๓๔๕ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) เป็นพระอุปัชฌาย์ และ
สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ทรงได้รับพระสมณฉายาว่า “สุวัณณรังสี”
พระองค์เจ้าพระสุวัณณรังสี ทรงผนวชอยู่ได้ ๓ พรรษา สมเด็จพระพนรัตน์ อธิบดีสงฆ์
วัดพระเชตุพนฯ ถึงแก่มรณภาพเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จพระราชดำเนิน
ไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระเชตุพนฯ พระองค์โปรดแต่งตั้งให้พระองค์เจ้าพระสุวัณณรังสี เป็น
พระราชาคณะและอธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ
ทรงได้รับเลื่อนเป็นเจ้าต่างกรมครั้งแรก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็น “กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์” และดำรงพระยศนี้อยู่ จนสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๒
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว ทรงมีพระบรม
ราชโองการประกาศเลื่อน “กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์” ให้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆ
ปริณายก ณ วันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน พ.ศ.๒๓๙๔ และได้เลื่อนเป็น “กรมสมเด็จพระปรมา
นุชิตชิโนรส”
พระอัจฉริยภาพ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส มีพระอัจฉริยภาพหลายด้าน ใน
ทางอักษรศาสตร์ ก็ได้นิพนธ์เรื่องฉันท์มาตราพฤติ และวรรณพฤติ ตำราโคลงกลบท คำกฤษฎี
เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้นิพนธ์บทกวีอีกเป็นจำนวนมาก ที่ล้วนมีคุณค่าเป็นเพชรน้ำเอกทาง
วรรณกรรมของไทยตลอดมา
สำหรับวรรณกรรมศาสนา ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องปฐมสมโพธิกถา ร่ายยาวมหาเวสสันดร
ชาดก หรือร่ายยาวมหาชาติ ซึ่งนับเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกทางพระพุทธศาสนาในสมัยรัตนโกสินทร์
นอกจากนี้ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้มากเช่น ลิลิตตะเลงพ่าย พระราชพงศาวดาร ฉบับ
สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เทศนาพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ลิลิตกระบวนพยุหยาตราพระ
กฐินสถลมารค และชลมารค เป็นต้น
ในทางพระพุทธศิลป์ ได้ทรงคิดแบบพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่ง
เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงเลือกพระอิริยาบถต่าง ๆ จากพุทธประวัติเป็นจำนวน ๓๗ ปาง เริ่มตั้งแต่
ปางบำเพ็ญทุกขกิริยา จนถึงปางห้ามมาร พระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหล่านี้
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเป็นบุคคลผู้มี
ผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมระดับโลก ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๓ นับเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่ได้รับการ
ถวายเกียรตินี้
ที่มา : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส บุคคลผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม
KHAOSOD ONLINE
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสฯ ทรงมีพระชนมายุอยู่ในรัชกาลที่ ๔
เพียง ๒ พรรษา ก็ประชวรด้วยพระโรคชรา และสิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๙ ค่ำ ปีฉลู
เบญจศก จุลศักราช ๑๒๑๕ เวลาบ่าย ๓ โมง ตรงกับวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๓๙๖ สิริรวมพระชนมายุ
ได้ ๖๔ พรรษา
เมื่อพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวงแล้ว รัชกาลที่ ๔ โปรดให้มี
ตำแหน่งพระครูฐานานุกรม ประจำสำหรับรักษาพระอัฐิ ถึงเวลาเข้าพรรษาก็เสด็จพระราชดำเนิน
ไปถวายพุ่มบูชาพระอัฐิทุกปี และถึงวันเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน วัดพระเชตุพนฯ ก็
โปรดให้อัญเชิญพระอัฐิไปประดิษฐานในอุโบสถ ทรงสักการบูชาแล้วทอดผ้าไตร ให้พระ
ฐานานุกรมสดับปกรณ์พระอัฐิเป็นประเพณีตลอดมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงประกาศสถาปนากรมสมเด็จ
พระปรมานุชิตชิโนรสขึ้นเป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมา นุชิตชิโนรส” เมื่อวันที่ ๑๒
เมษายน ๒๔๖๔
องค์ที่ ๘
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
พ.ศ. ๒๓๙๖ – ๒๔๓๕
สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
๒๔
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทย
พระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นหนึ่งในสิบพระเถระผู้เป็นต้นวงศ์ธรรมยุต ประทับ
ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้รับมหาสมณุตมาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ขณะพระชันษาได้ ๘๒ ปี
ดำรงตำแหน่งได้ ๑๐ เดือนก็สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๕ ขณะมีพระชันษา ๘๓ ปี ๑๔ วัน
พระประวัติ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระโอรสพระองค์ที่ ๑๘
ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก เมื่อวันพฤหัสบดี
ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๑๔ กันยายน จ.ศ. ๑๑๗๑ (พ.ศ. ๒๓๕๒) เวลาสี่ทุ่มเศษ
เนื่องจากวันประสูตินั้นเป็นวันเริ่มสวดมนต์ตั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระพุทธ
เลิศหล้านภาลัย พระองค์จึงได้รับพระราชทานนามว่าพระองค์เจ้าฤกษ์
เมื่อพระบิดาสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๓๖๐ พระองค์ได้เสด็จไปประทับในพระบรมมหาราช
วังกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าประไพวดี กรมหลวงเทพยวดี เป็นบางคราว เพราะเจ้า
จอมมารดาของพระองค์เคยเป็นข้าหลวงของเจ้าฟ้าพระองค์นี้ ต่อมาเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเทพยวดี
ได้นำพระองค์ไปฝากกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงคุ้นเคยกัน
มานับแต่นั้น
ผนวช
พ.ศ. ๒๓๖๕ เมื่อพระชันษาได้ ๑๓ ปี ได้ผนวชเป็นสามเณร ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
ราชวรมหาวิหาร โดยมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วศึกษาภาษาบาลีตาม
คัมภีร์มูลกัจจายน์กับพระญาณสมโพธิ (รอด) จนชำนาญ ผนวชได้ ๔ พรรษา ก็ประชวรด้วยพระ
โรคทรพิษ จึงลาผนวชมารักษาพระองค์จนหายประชวร สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ
โปรดให้ผนวชเป็นสามเณรอีกครั้ง ณ พระราชวังบวรสถานมงคล
พ.ศ. ๒๓๗๒ เมื่อมีพระชันษาครบ ๒๐ ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ลา
สิกขาบทเพื่อทำการสมโภชพร้อมกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ ที่จะทรงผนวชเป็น
สามเณรในเวลานั้น ได้สมเด็จพระอริยวงษญาณ (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหมื่นนุชิตชิโนรส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระวินัยรักขิต วัดมหาธาตุ เป็นพระอนุสาวนา
จารย์ ผนวชแล้วศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะเป็น
พระภิกษุ
๒๕
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งธรรมยุติกนิกาย ก็ได้ทรงเข้าถือธรรมเนียม
นั้นตาม ทรงทำทัฬหีกรรม ณ นทีสีมา โดยมีพระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงเป็นพระภิกษุเป็นพระกรรมวาจาจารย์ แล้วศึกษา
พระปริยัติธรรมต่อในสำนักพระวิเชียรปรีชา (ภู่) แม้จะไม่เคยสอบพระปริยัติธรรม แต่พระบาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานตาลปัตรสำหรับพระเปรียญที่พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้า ทรงเคยรับ ให้ทรงใช้ต่อ
ปีวอก พ.ศ. ๒๓๗๙ ทรงติดตามพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ย้ายไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์
ทรงเจริญพระชนมายุไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์ ที่มา : ธรรมะไทย shorturl.asia/2tjDx
พระองค์ใดในพระบรมราชตระกูลอันนี้ ที่ล่วงลับ
ไปแล้วก็ดี ยังดำรงอยู่ก็ดี ที่จะมีพระชนมายุเทียมถึง ทั้งยังเป็นที่นับถือของคนทั่วไปทั้งฝ่ายคฤหัสถ์
และฝ่ายบรรพชิต พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก
เลื่อนพระอิสริยยศเป็นกรมสมเด็จพระ พระราชทานเบญจปฎลเศวตฉัตร ตาลปัตรแฉกพื้นตาด รับ
นิตยภัตเดือนละ ๑๒ ตำลึง เบี้ยหวัดปีละ ๓๕ ชั่ง
ตั้งฐานานุกรมได้เพิ่มอีก ๔ รูป มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
" พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ บวรรังษีสุริยพันธุ์ ปิยพรหมจรรย์
ธรรมวรยุต ปฏิบัติสุทธิคณะนายก ธรรมนิติสาธกปวรัยบรรพชิต สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมล
ปรีชา ปัญญาอรรคมหาสมณุดม บรมพงษาธิบดี จักรกรีบรมนารถ มหาเสนานุรักษ์อนุราชวรางกูร
ปรมินทรบดินทร์สูริย์หิโตปัธยาจารย์ มโหฬารเมตยาภิธยาไศรย์ ไตรปิฎกโหรกลาโกศล เบญจ
ปดลเสวตรฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกฤษฐสมณศักดิธำรง มหาสงฆ
ปรินายก พุทธสาสนดิลกโลกุตมมหาบัณฑิตย์ สุนทรวิจิตรปฏิภาณ ไวยัตติยญาณมหากระวี พุทธ
ทิศรีรัตนไตรคุณารักษ์ เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาธิโลกยปฏิพัทธ พุทธบริสัษยเนตร
สมณคณินทราธิเบศร์ สกลพุทธจักโรปการกิจ สฤษดิศุภการ มหาปาโมกษประธานวโรดม
บรมนารถบพิตร "
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ประชวรด้วยต้อกระจกจนทำให้
พระเนตรบอด ต่อมาทรงพระประชวรด้วยพระโรคชราตั้งแต่วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ทำให้
พระบังคนหนักไม่ได้ และรู้สึกหนาวพระวรกาย ถึงวันที่ ๑๗ ทรงพระอาเจียน เสวยไม่ค่อยได้ บรรทม
ไม่หลับ ถึงวันที่ ๒๑ เป็นวันอุโบสถ มีพระประสงค์จะลงอุโบสถ เพราะนับแต่ผนวชมาทรงลงอุโบสถ
เสมอไม่เคยขาด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเกรงว่าหากเสด็จไปพระอาการจะทรุดลง
จึงโปรดอุทิศพระตำหนักนั้นเป็นอุโบสถ เพื่อให้ทรงได้ทำอุโบสถตามพระประสงค์ วันต่อ ๆ มาพระ
อาการยังคงทรุดลงตามลำดับ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๕ เวลา
๒๓:๐๓ น. พระชันษาได้ ๘๓ ปี ๑๓ วัน ผนวชเป็นพระภิกษุได้ ๖๔ พรรษา
พระศพประดิษฐานอยู่ ณ พระตำหนัก นานถึง ๘ ปี จึงพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ
ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๓
องค์ที่ ๙
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว)
พ.ศ. ๒๔๓๖ – ๒๔๔๒
สถิต ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม
๒๗
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม สา ฉายา ปุสฺสเทโว เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทย
พระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ในรัช
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ถึงปี
พ.ศ. ๒๔๔๒ รวม ๖ พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ ๘๖ ปี ๑๔๕ วัน เคยเป็นสามเณรนาค
หลวง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะเป็นผู้สามารถสอบเปรียญธรรม
๙ ประโยค ได้ขณะยังเป็นสามเณร รูปแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น
สามเณรอัจฉริยะ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระประวัติ
สมเด็
จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) เดิมเป็นชาวตำบลบางไผ่ จังหวัดนนทบุรี ประสูติในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๘ ค่ำ ปีระกา จ.ศ. ๑๑๗๕
ตรงกับวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๕๖ บ้านเดิมอยู่บางเชิงกราน จังหวัดราชบุรี พระบิดาชื่อจัน
เคยอุปสมบทและชำนาญในคัมภีร์มิลินทปัญหาและมาลัยสูตรมาก จึงได้ฉายาจากประชาชนว่า จัน
มิลินทมาลัย พระมารดาชื่อสุข มีพี่น้องเกิดร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๕ คน คืออวบ, ช้าง, สา, สัง,
และอิ๋ม น้องชายของสมเด็จพระสังฆราช (สา) มีชื่อว่าสัง ได้บวชเป็นพระภิกษุที่วัดบวรนิเวศ
ราชวรวิหาร ได้สมณศักดิ์สูงสุดที่ตำแหน่งพระสมุทรมุนี แต่ภายหลังก็ลาสิกขา ไม่ปรากฏว่าสมเด็จ
พระสังฆราช (สา) มีนามสกุลเดิมว่าอย่างไร ซึ่งในช่วงที่พระองค์ลาสิกขามาครองเรือนมีภรรยานั้น
จึงมีทายาทที่สืบเชื้อสายมาจากพระองค์นามสกุลว่า "ปุสสเด็จ" และ "ปุสสเทโว" ซึ่งทั้งสอง
นามสกุลนี้ยังคงมีทายาทสืบต่อกันมาในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีจนถึงปัจจุบัน
ลำ
ดับสมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๓๘๒ เป็นพระราชาคณะที่ พระอมรโมลี (หลังจากย้ายจากวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร
มาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหารได้ ๒ ปี)
พ.ศ. ๒๓๙๔ กลับมาอุปสมบทใหม่
พ.ศ. ๒๔๐๑ เป็นพระราชาคณะที่ พระสาสนโสภณ (ตำแหน่งสมณศักดิ์ใหม่ที่พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริขึ้นเพื่อพระมหาสา ผู้กลับมาบวชใหม่และสอบได้
เปรียญธรรม 9 ประโยค ณ สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารอีกครั้งโดยเฉพาะ) ได้รับพระราชทาน
สมณศักดิ์นี้เมื่อปีมะเมีย เดิมที ทรงพระราชดำริจะใช้ตำแหน่งว่า "พระสาสนดิลก"
แต่พระมหาสาได้ถวายพระพรว่าสูงเกินไป จึงทรงใช้ว่า ’พระสาสนโสภณ’
๒๘
ที่มา : ธรรมะไทย shorturl.asia/HEwDY
พ.ศ. ๒๔๑๕ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองคณะใต้ที่ พระสาสนโสภณ วิมลญาณสุนทร บวร
สังฆนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณาลังการวิสุทธิ ธรรมวรยุตติกคณาภิสัมมานิตปาโมกษ์ ที่พระธรรม
วโรดม
พ.ศ. ๒๔๒๒ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือที่ สมเด็จพระ
พุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลย์ สุนทรนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณ วิบลยคัมภีรญาณสุนทร มหาอุดร
คณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี
พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้รับสถาปนาเพิ่มอิสริยยศเป็น สมเด็จพระอริยวงษาคตญาณ สุขุมธรรมวิธาน
ธำรง มหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ ปุสสเทวา
ภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตมสาสนโสภณ วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธสาสนิกบริสัชคารวสถาน
วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณสุนทร มหาอุดรคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสีอรัญ
วาสี
๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชในราชทินนามเดิมว่า
สมเด็จพระอริยวงษาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง มหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุศโลภาศ
ปรมินทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ ปุสสะเทวาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตมสาสนโศภน วิมลศีล
สมาจารวัตร พุทธสาสนิกบริสัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณสุนทร
มหาอุดดรคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสีอรัญวาสี
ดำรงตำแหน่งประธานสมณมณฑลทั่วราชอาณาเขตและเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ประชวรด้วยพระโรคบิดมาตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม
แพทย์หลวงและแพทย์เชลยศักดิ์ต่างจัดพระโอสถถวาย แต่พระอาการไม่ทุเลา จนสิ้นพระชนม์เมื่อ
วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๒ (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. ๒๔๔๓) เวลาเย็นวันต่อมา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ จากพระราชวังบางปะอินมายังวัดราชประดิษฐฯ
พระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการ ร่วมสรงน้ำพระศพ แล้วอัญเชิญพระศพลงในพระ
ลองในประกอบโกศกุดั่นน้อย ทรงสดับปกณณ์แล้วเสด็จกลับ
พระศพตั้งบำเพ็ญกุศลจนถึงวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๓ (นับแบบปัจจุบันตรงกับ
พ.ศ. ๒๔๔๔) จึงอัญเชิญพระบุพโพไปพระราชทานเพลิง ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พร้อมกับพระ
บุพโพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ต่อมาวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๔๔๓ จึงแห่พระศพไปประดิษฐานยังพระเมรุมณฑป ณ ท้องสนามหลวง แล้วพระราชทาน
เพลิงพระศพในวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ศกนั้น เช้าวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ จึงเสด็จฯ มาเก็บพระอัฐิและ
พระอังคารแล้วโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดราชประดิษฐฯ
หลังจากสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเลยตลอดรัชสมัย เป็นเวลา
ถึง ๑๑ ปี
องค์ที่ ๑๐
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
พ.ศ. ๒๔๔๒ - ๒๔๖๔
สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
๓๐
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ-
ปริณายก พระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้รับมหา
สมณุตตมาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงพระ
อิสริยยศ ๑๑ พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ พระชันษา ๖๑ ปี ๑๑๒ วัน
พระประวัติ
ส
มเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าจอมมารดาแพ ประสูติเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ ในวันที่
พระองค์ประสูตินั้นฝนตกหนักมากราวกับฟ้ารั่ว เหมือนนาคให้น้ำบริเวณนั้น พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าอยู่หัวจึงพระราชทานนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ต่อมา
เจ้าจอมมารดาแพถึงแก่กรรมลงในขณะที่พระองค์มีพระชันษาเพียง ๑ ปี พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าบุตรี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา จึงทรงรับไปเลี้ยงดู เมื่อทรงเจริญวัยทรงพระดำเนินได้
รับสั่งได้คล่องแคล่ว จึงเสด็จพำนักอยู่กับท้าวทรงกันดาล (สี) ซึ่งเป็นยายแท้ ๆ
เมื่อพระชันษาได้ ๘ ปี ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี จนสามารถแปล
ธรรมบทได้ก่อนผนวชเป็นสามเณร นอกจากนี้ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษ
และโหราศาสตร์ อีกด้วย ถึงปี พ.ศ. ๒๔๑๖ เมื่อพระชันษาได้ ๑๓ ปี ได้
ทรงผนวชเป็นสามเณร โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศ
วริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และหม่อมเจ้าพระธรรมมุณหิศธาดา
(สี
ขเรศ วุฑฺฒิสฺสโร) ทรงเป็นผู้ประทานศีล ๑๐ หลังจากทรงบรรพชาแล้ว
ได้ประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ประมาณ ๒ เดือน จึงทรงลาผนวช
ครั้นครบปีบวช (พระชันษา ๒๐ ปี) ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๒ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ และพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี)
วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
อยู่ ๑ พรรษา จึงย้ายไปประทับที่วัดมกุฏกษัตริยารามเพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของพระจันทรโคจร
คุณผู้เป็นพระอาจารย์ ในระหว่างนั้นได้ทรงทำทัฬหีกรรมหรือการบวชซ้ำ ที่วัดราชาธิวาส
ราชวรวิหาร โดยมีพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาเดช ฐานจาโร
วัดโสมนัสวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
๓๑
พระอิสริยยศ
เมื่อผนวชได้ ๓ พรรษา ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระที่นั่ง ทรงแปลได้เป็นเปรียญ
ธรรม ๕ ประโยค จากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองในธรรมยุติก
นิกาย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔ พระองค์ได้ครองวัดบวรนิเวศวิหาร สืบต่อจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปวเรศฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ และในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้รับโปรดเกล้าเพิ่มพระอิสริยยศ
เป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต มีราชทินนามว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรม
หมื่นวชิรญาณวโรรส สุนทรพรตวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธ์วรธรรมยุตติ์ ศรีวิสุทธิคณะนายก
สาสนดิลกธรรมานุวาทย์ บริสัษยนารถสมณุดมบรมบพิตร
วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์ได้รับสถาปนาเลื่อนพระอิสริยยศเป็น พระเจ้า
น้องยาเธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส สุนทรพรตวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธ์ธรรมวรยุต ศรีวิ
สุทธิคณนายก สาสนดิลกธรรมานุวาทย์ บริสัษยนารถสมณุดมบรมบพิตร และเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้
ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก แต่งตั้งเป็นเจ้าคณะใหญ่แห่งพระสงฆ์ ทั้งกรุงเทพมหานคร และ
หัวเมืองทั่วพระราชอาณาเขต และเลื่อนพระอิสริยยศจากกรมหลวงขึ้นเป็นกรมพระยา มีพระนาม
ตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
" สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ศรีสุคตขัตติยพรหมจารี สรร-เพชญรังศีกัลยาณวากย์ มนุษย-
นาคอเนญชาริยวงษ์ บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนาถประนับดา
มหามกุฏกษัตรราชวรางกูร จุฬาลงกรณ์ปรมินทรสูรครุฐานิยภาดา
วชิราวุธมหาราชหิโตปัธยาจารย์ ศุภศีลสารมหาวิมลมงคลธรรมเจดีย์
สุตพุทธมหากวี ตรีปิฏกาทิโกศล เบญจปฎลเศวตฉัตร ศิริรัตโนป
ลักษณมหาสมณุตมาภิเษกาภิษิต วิชิตมารสราพกธรรมเสนาบดี
อมรโกษินทรโมลีมหาสงฆปรินายก พุทธศาสนดิลกโลกุตมมหา
บัณฑิตย์ สิทธรรถนานานิรุกติประติภาน มโหฬารเมตตาภิธยาศรัย
พุทธาทิรัตนตรัยสรณารักษ์ เอกอัครมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาธิปัตยพุทธบริษัทเนตร สมณ-
คณินทราธิเบศสกลพุทธจักรกฤตโยปการ มหาปาโมกขประธานสถาวีรวโรดม บรมนาถบพิตร "
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าประชวรด้วยวัณโรค มีพระอาการเรื้อรังมานานนับสิบปี จนกำเริบ
รุนแรงเกินกว่าความสามารถของแพทย์หลวง ในที่สุดสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก็สิ้นพระชนม์เมื่อ
วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ สิริรวมพระชันษาได้ ๖๑ ปี ครองวัดบวรนิเวศวิหารนาน ๓๐ ปี ดำรง
ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ ๑๐ ปี ๗ เดือน
งานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ
วโรรส เริ่มในวันศุกร์ที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปบำเพ็ญพระราชกุศลที่ตำหนักเพ็ชร
วัดบวรนิเวศวิหาร ทุกวันตั้งแต่วันดังกล่าว จนถึงวันอาทิตย์ที่ ๙ เมษายน
เวลา ๑๖:๐๐ น. จึงโปรดให้เคลื่อนพระศพไปประดิษฐานยังพระจิตกาธาน
ณ พระเมรุท้องสนามหลวง แล้วพระราชทานเพลิงพระศพ เช้าวันต่อมา
เจ้าพนักงานภูษามาลาดับพระเพลิงแล้วประมวลพระอัฐิ เวลา ๐๗:๐๐ น.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาเก็บพระอัฐิประมวลลงในพระโกศทองลงยา แล้วให้เจ้าพนักงานเชิญ
พระโกศไปประดิษฐานในบุษบก ณ พระที่นั่งทรงธรรม ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเสร็จแล้ว จึงโปรดให้เจ้าพนักงงานเชิญ
พระโกศไปประดิษฐานที่พระตำหนักเพ็ชร ช่วงบ่ายเสด็จฯ มาทรงสดับพระพุทธมนต์และพระธรรมเทศนา จากนั้นในวัน
อังคารที่ ๑๑ เมษายน ได้เสด็จฯ มาบำเพ็ญพระราชกุศลอีกครั้ง แล้วบรรจุพระอังคารเข้าในฐานพระพุทธไสยา มุขหลัง
วิหารพระศรีศาสดา แล้วเสด็จฯ กลับ
องค์ที่ ๑๑
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
พ.ศ.๒๔๖๔ – ๒๔๘๐
สถิต ณ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
๓๓
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เรียกพ ระนามเดิมว่า
'หม่อมเจ้าภุชงค์'เป็นพระราชวงศ์ในราชสกุล ชมพูนุท ดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระสังฆราชไทยเป็น
พระองค์ที่ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รวม ๑๖ ปี และเป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
พระประวัติ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า มีพระนามเดิมว่า หม่อม
เจ้าภุชงค์ เป็นพระโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนเจริญผลภูลสวัสดิ์ กับหม่อม
ปุ่น ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๒ แรม ๗ ค่ำ เดือนอ้าย ที่วังหน้าวัดราชบพิธฯ
มุมถนนราชบพิธกับถนนเฟื่ องนคร ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อยังทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาอักขรสมัยไทย ในสำนักเจ้าจอมมารดาสัมฤทธิ์ผู้เป็นย่า เมื่อ
เข้าพิธีเกศากันต์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้า ฯ ให้ไปศึกษาที่
โรงเรียน Raffles เมืองสิงคโปร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๔ เป็นเวลา ๙ เดือน แล้วจึงเสด็จกลับพระนคร ต่อ
มาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษสำหรับเจ้านาย
ขึ้นแล้ว ก็ทรงเข้าศึกษาต่อที่นี่โดยไม่กลับไปสิงคโปร์อีก นอกจากนี้ยังทรงศึกษาอักษรขอมจาก
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จนผนวชในปี พ.ศ. ๒๔๑๖
พ.ศ. ๒๔๑๖ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา ผนวชเป็นสามเณร
ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่น
บว
รรังษีสุริยพันธุ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หม่อมเจ้าพระอรุณนิภาคุณากร
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ผนวชแล้วประทับ ณ วัดราชบพิธสถิตมหา-
สีมาราม
เมื่ออายุครบอุปสมบทในปี พ.ศ. ๒๔๒๒ ได้โปรดให้อุปสมบทที่
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริ) เป็นพระ
อุปัชฌาย์ พระสาสนโสภณที่พระธรรมวโรดม (สา ปุสฺสเทโว)
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
หม่อมเจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เป็นพระบรรพชาจารย์ ได้รับพระนาม
ฉายาว่า "สิริวฑฺฒโน" ผนวชแล้วกลับมาประทับที่วัดราชบพิธสถิต ที่มา : พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
มหาสีมารามตามเดิม กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์)
shorturl.asia/b6Yyq
๓๔
ขณะเป็นสามเณรได้ศึกษาภาษาบาลีกับพระครูบัณฑรธรรมสโมทาน (สด) ภาษาไทย
กับพระยาโอวาทวรกิจ (แก่น) และภาษาสันสกฤตกับพราหมณ์ เมื่อผนวชเป็นพระภิกษุแล้วได้
ศึกษาพระปริยัติธรรมกับสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ขณะทรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรม
วโรดม ทรงเข้าสอบเปรียญ ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ได้เป็นเปรียญธรรม ๔ ประโยค
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๐ ทรงเข้าแปลได้เพิ่มอีก ๑ ประโยค รวมเป็นเปรียญธรรม ๕ ประโยค
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานวัตถุจัตุปัจจัยมูลค่า ๒ ชั่งเป็นรางวัล
สมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๔๓๐ ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต
พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่เสมอชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม
๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรม
ปาโมกข์ มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัตรว่า หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต อังคีรส
ธรรมปาโมกข์ ยุตโยคยตินายก ไตรปิฎกธารี ธรรมวาทีคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ เป็นพระองค์ที่ ๒ สืบต่อจากพระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร
๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองในคณะกลาง มีสมณศักดิ์เสมอ
พระพรหมมุนี และมีพระอิสริยยศเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า มีราชทินนามตามจารึกใน
สุพรรณบัตรว่า "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระสถาพรพิริยพรต อังคีรสสาสนธำรง ราช
วรพงษ์ศักดิ์พิบุลย์ สุนทรอรรถปริยัติโกศล โสภณศีลสมาจารวัตร มัชฌิมคณานุนายก สาสนดิ
ลกบพิตร"
๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะกลาง มี
ราชทินนามว่า "พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ ขัตติยพงศ์พรหมจารี ประสาทนีย
คุณากร สถาพรพิริยพรต อังคีรสศาสนธำรง ราชวรวงศ์วิสุต วชิราวุธมหาราชอภินิษกรมณา
จารย์ สุขุมญาณวิบุล สุนทรอรรถปริยัติโกศล โศภนศีลสมาจารวัตร มัชฌิมคณิศรมหา
สังฆนายก พุทธศาสนดิลกสถาวีรบพิตร"
๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุติกนิกายด้วยอีกตำแหน่ง
๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายก
นับว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์แรก มีพระนามว่า "พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชิ
นวรศิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า"
๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลื่อนพระอิสริยยศ
เป็นกรมหลวง มีราชทินนามว่า "พระเจ้าวรวงศเธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน ขัติยมหาเจษฎานุ
พงศ อริยวงศาคตญาณวิมลสกลมหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลาโกศล ภัทรผลพลูสวัสดิสัทธรรม
ทีปกร ไทวภราดรมหาราชาภินิษกรมณาจารย์ ภุชงคบุราภิธานครุฐานิยมมหาบัณฑิต สุขสิทธิ
หิตรรถเมตตาขันตยาศรัย ศรีรัตนตรัยศรณาภิรัต สยามาธิปัตยามหาสังฆปาโมกข
ประธานาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร"
สิ้นพระชนม์
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ประชวรด้วยพระโรคเส้น
พระโลหิตในกระเพาะพระบังคนเบาพิการ ทำให้บังคนเบาเป็นโลหิต สิ้นพระชนม์เมื่อวันพุธ ที่ ๒๕
สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๙ สิริรวมพระชนมายุได้ ๗๙ พรรษา ดำรงสมณเพศได้
๕๙ พรรษา ได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๑ ณ พระเมรุวัด
เทพศิรินทราวาส
องค์ที่ ๑๒
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว)
พ.ศ.๒๔๘๑ – ๒๔๘๗
สถิต ณ วัดสุทัศนเทพวราราม
๓๖
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม แพ ฉายา ติสฺสเทโว เป็นสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ ๑๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดสุทัศนเทพวรารามราช
วรมหาวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ในรัชสมัยสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ ๖ ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๔๘๗ ขณะพระชันษาได้ ๘๘ ปี ๑๔ วัน
พระประวัติ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช มีพระนามเดิมว่าแพ ประสูติในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๙ เป็นชาวสวน
บางลำภูล่าง อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี พระชนกชื่อนุตร พระชนนีชื่ออ้น สกุล พงษ์ปาละ
เมื่อพระชันษาได้ ๗ ปี ได้ไปศึกษาอักษรสมัยกับสมเด็จพระวันรัตน์ (สมบุรณ์) ขณะยังเป็น
เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ กรุงเทพมหานคร เมื่อสมเด็จพระวันรัตน์ (สมบูรณ์) ย้ายไปครองวัดราชบุ
รณราชวรวิหาร พระองค์ได้ย้ายตามไปด้วย ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๑ โดยมี
สมเด็จพระวันรัตน์ (สมบูรณ์) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อสมเด็จพระวันรัตน์ (สมบูรณ์) ย้ายไปครองวัด
พระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ก็ให้รับพระองค์ไปอยู่ด้วย ขณะอยู่วัดพระเชุตพนฯ
พระองค์ได้ศึกษากับสมเด็จพระวันรัตเป็นหลัก นอกจากนี้ก็ศึกษากับเสมียนตราสุขบ้าง พระโหราธิ
บดี (ชุ่ม) บ้าง อาจารย์โพบ้าง ได้เข้าสอบครั้งแรกที่พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาทในปี พ.ศ. ๒๔๑๙
ฉต่สอบไม่ผ่าน
พ.ศ. ๒๔๑๙ ท่านอายุครบอุปสมบท แต่สมเด็จพระวันรัต (สมบูรณ์) อาพาธ พระองค์อยู่
พย
าบาลจนกระทั่งท่านมรณภาพ จึงไปฝากตัวเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) วัดสุ
ทัศนฯ ตามที่สมเด็จพระวันรัต (สมบุรณ์) ฝากฝังไว้ ในปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๒๒ จึงได้อุปสมบทเป็นพระ
ภิกษุ ณ วัดเศวตรฉัตร โดยมีสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วย้ายมาอยู่
วัดสุทัศนฯ ศึกษากับสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) เป็นหลัก และไปศึกษากับสมเด็จพระอริ
ยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) บ้าง เข้าสอบอีกครั้งที่พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาทในปีมะเมีย
พ.ศ. ๒๔๒๕ ได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค ต่อมาปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘ เข้าสอบที่วัดพระ
ศรีรัตนศาสดาราม แปลเพิ่มได้อีก ๑ ประโยค เป็นเปรียญธรรม ๕ ประโยค
๓๗
สมณศักดิ์
พ
.ศ. ๒๔๒๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรมในพระธรรมวโรดม (แดง สีลวฑฺฒโน) ใน
ตำแหน่งพระครูใบฎีกา พระครูมงคลวิลาส และพระครูวินัยธร ตามลำดับ
๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระศรีสมโพธิ
มีนิตยภัตเดือนละ ๔ ตำลึง
พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเสมอพระราชาคณะชั้นเทพ
พ.ศ. ๒๔๔๑ ได้เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระเทพโมลี ตรีปิฎกธรา มหาธรรมกถึกคณฤศร
บวรสังฆารามคามวาสี
พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ พระธรรมโกษาจารย์ สุนทรญาณนายก ตรีปิฎกมุนี มหา
คณาธิบดีสมณิศร บวรสังฆารามคามวาสี
พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้รับพระราชทานหิรัญบัฏเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองคณะ
กลางที่ พระพรหมมุนีศรีวิสุทธิญาณ ตรีปิฎกธรรมาลังการวิภูษิต มัชฌิมคณิศร บวรสังฆาราม
คามวาสี สังฆนายก
๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ โปรดให้ย้ายมาเป็นเจ้าคณะรองหนใต้[8]
๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ โปรดให้บัญชาคณะมณฑลที่ขึ้นกับคณะใต้แทนสมเด็จพระวันรัต
(ฑิต อุทโย)
พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญ
วาสีที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ อเนกสถานปรีชา สัปตวิสุทธิจริยาสมบัติ นิพัทธธุตคุณ ศิริสุนทร
พรตจาริก อรัญญิกคณฤศร สมณนิกรมหาปรินายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์ สรรพสมณคุณ
วิบุลยประสิทธิ์ บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี มหาสังฆนายก
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๒ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะทักษิณมหาคณิศวราธิบดีที่
สมเด็จพระวันรัต ปริยัตติพิพัฑฒนพงศ์ วิสุทธสงฆปรินายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณ
สุนทร มหาทักษิณคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี
๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้รับเฉลิมพระนามตามสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระอริยวงศาคต
ญาณ สุขุมวิธานธำรง สกลสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุศโลภาส อานันทมหาราชพุทธมามกา
จารย์ ติสสเทวภิธานสังฆวิสสุต ปาวจนุตตมโศภน วิมลศีลสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคา
รวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลคัมภีรญาณสุนทร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญญวาสี
เมื่อมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เพื่อประสานนโยบายฝ่ายพุทธจักรและ
อาณาจักรให้เป็นไปด้วยดี พระองค์ก็ได้บริหารงานคณะสงฆ์ให้ลุล่วงไป โดยแต่งตั้งพระมหา
เถรานุเถระในสังฆสภา ให้ดำรงตำแหน่งตามบทบัญญัติ แห่ง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฉบับดังกล่าวโดย
ครบถ้วนด้วยดีทุกประการ
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สิ้นพระชนม์เมื่อ
วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๗ ขณะพระชันษาได้ ๘๘ ปี
๑๔ วัน ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ ๖ ปี
ที่มา : หลวงปู่แพ ติสฺสเทโว (สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช)
shorturl.asia/7D0Zd
องค์ที่ ๑๓
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
พ.ศ.๒๔๘๘ – ๒๕๐๑
สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
๓๙
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระนามเดิม หม่อมราชวงศ์ชื่น ราชสกุล
นพวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต
ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงดำรงตำแหน่งอยู่
๑๔ ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๑ สิริพระชันษา ๘๕ ปี ๓๕๔ วัน
พระประวัติ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ มีพระนามเดิมว่า หม่อมราชวงศ์ชื่น เป็น
โอรสในหม่อมเจ้าถนอม นพวงศ์ และหม่อมเอม (สกุลเดิม คชเสนี) ประสูติภายในวังของพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส (ต้นราชสกุลนพวงศ์) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ตรงกับวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒
ปีวอก ส่วนหม่อมเอมพระชนนีเป็นธิดาพระยาดำรงราชพลขันธ์ (จุ้ย คชเสนี) ซึ่งเป็นบุตร
เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ คชเสนี)
ต่อมาได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยาม
มกุฎราชกุมาร โดยทำหน้าที่เป็นคะเดท ทหารม้าในกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภ มีหน้าที่ตาม
เสด็จรักษาพระองค์
พระองค์บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๘ โดยมีพระพรหม
มุนี (เหมือน สุมิตฺโต) วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วทรงศึกษาพระปริยัติธรรม
กับอาจารย์หลายท่าน เช่น หม่อมเจ้าประภากร มาลากุล พระสุทธสีลสังวร (สาย) และสมเด็จพระ
มห
าสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเข้าสอบไล่ครั้งแรกเมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๓๓ ที่วัดพระ
ศรีรัตนศาสดาราม สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร และได้รับพระราชทาน
พัดเปรียญในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๑๒
ต่อมาวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ได้อุปสมบท ณ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร
โดยพระพรหมมุนี (แฟง กิตฺติสาโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโร
รส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ผนวชแล้วมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร
ในตอนแรกทรงตั้งพระทัยจะสอบถึงเพียงเปรียญธรรม ๕ ประโยคเท่านั้น แต่สมเด็จฯ
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โปรดให้สอบต่อ และทรงส่งพระองค์เข้าสอบในปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๓๗
ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงได้อีก ๒ ประโยค รวมเป็นเปรียญธรรม ๗ ประโยค
๔๐
สมณศักดิ์
พ
.ศ. ๒๓๓๙ ได้รับโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระสุคุณคณาภรณ์
พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นเทพพิเศษที่พระญาณวราภรณ์ สุนทร
ศีลวิสุทธินายก ไตรปิฎกเมธา มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๕๑ ลาออกจากหน้าที่พระราชาคณะเพื่อเตรียมลาสิกขาบท แต่ยังทรงอาลัยในสมณ
เพศจึงรั้งรออยู่
พ.ศ. ๒๔๕๔ รับพระราชทานพัดยศเดิมและกลับเข้ารับราชการตามตำแหน่งเดิม
พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นธรรมในราชทินนามเดิม
พ.ศ. ๒๔๖๔ ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นธรรมพิเศษที่ พระญาณวราภรณ์
สุนทรธรรมปาโมกข์ ยุตโยคญาณดิลก ไตรปิฎกธารี ธรรมวาทียติคณิศร บวรสังฆาราม
คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๗๑ โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตติกา
ในพระราชทินนามพิเศษว่า สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ปาพจนงคญาณวราภรณ์ สุนทรวิสุทธิ
พรหมจารี ตรีปิฎกธรรมโกศล วิมลศีลขันธ์สรรพสุจิตต์ มหากิริฏราชประนับดา นพวงศวรานุ
วรรตน์ อุตกฤษฏรัตตัญญูกาพยปฏิภาณ คุโณธารสังฆประมุข ธรรมยุกติกคณิสสร บวรสังฆา
ราม คามวาสี อรัณยวาสี
ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว) ผู้สำเร็จราชการ
แทนพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้สถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์เป็น
สมเด็จพระสังฆราชในราชทินนามเดิม เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้
โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามเป็น
"สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ วิสุทธิสงฆคุณาลังการ อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆปรินายก
ตรีปิฎกกลากุสโลภาส ภูมิพลมหาราชสรณคมนาจารย์ สุจิตตาภิธานสังฆวิสุต มหามกุฎมหาราช
ประนัปดา นพวงศราชกุลาภิวรรธน์ สุขุมอรรถธรรมวิจารปรีชา กาพยรจนาฉันทพากยปฏิภาน
ปาวจนุตตมญาณวราภรณ์ สุนทรวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคา
รวสถาน วิจิตรปฏิภานพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณบัณฑิต สรรพคณิสสรมหาปธานาธิบดี คามวาสี
อรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช
และในวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรม
นาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม
พร้อมเฉลิมพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
"สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วิสุทธิสงฆคุณาลังการ อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสังฆ
ปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาส ภูมิพลมหาราชหิโตปัธยาจารย์ สุจิตตาภิธานสังฆวิสุต มหามกุฎมหาราชประนัปดา นพ
วงศราชกุลาภิวรรธน์ สุขุมอรรถธรรมวิจารปรีชา กาพรจนาฉันทพากยปฏิภาน ปาวจนุตตมญาณวราภรณ์ สุนทรวิสุทธิ
พรหมจรรย์ วิมลศีลขันธสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภานพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณบัณฑิต
สรรพคณิสสรมหาปธานาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร คชนาม"
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๐๑ เวลา ๐๑:๐๘ น. พระศพตั้งบำเพ็ญพระกุศล ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร คณะ
ปฏิวัติให้สถานที่ราชการทุกแห่งลดธงลงครึ่งเสา ๓ วัน และให้ข้าราชการไว้ทุกข์ ๑๕ วันเพื่อถวาย
ความอาลัย และได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิริ
นทราวาสเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นพระองค์แรกที่ใช้พระเมรุถาวร และใช้เป็นพระ
เมรุและเมรุ ในงานพระราชทานเพลิงพระศพและงานพระราชทานเพลิงศพ พระบรมวงศานุวงศ์
ตลอดจนบุคคลสำคัญจนถึงปัจจุบัน
องค์ที่ ๑๔
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ)
พ.ศ.๒๕๐๓ –๒๕๐๕
สถิต ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
๔๒
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม ปลด ฉายา กิตฺติโสภโณ เป็นสมเด็จพระ
สังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ ๑๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดเบญจมบพิตร
ดุสิตวนารามราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ ๒ ปี ๑ เดือน ๑๓ วัน
สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ สิริพระชันษา ๗๓ ปี ๒๑ วัน
พระประวัติ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช มีพระนามเดิมว่า ปลด ประสูติเมื่อ
วันจันทร์ ที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๒ ตรงกับแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู ณ บ้านในตรอกหลัง
ตลาดพาหุรัด ติดกับวัดราชบุรณราชวรวิหาร เป็นบุตรพระชนกขุนพิษณุโลกประชานาถ (ล้ำ
เกตุทัต) กับพระชนนีปลั่ง พระชนกของพระองค์เป็นเจ้ากรมคนแรกในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุน
พิษณุโลกประชานาถ แต่ด้วยปัญหาสุขภาพจึงได้กราบทูลลาออกก่อนที่จะทรงกรมหลวง
ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๔ที่วัดพระเชตุพน-
วิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เริ่มเรียนภาษาบาลีตั้งแต่
พระชนมายุ ๘ ปี เรียนมูลกัจจายน์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ได้ประโยค ๑ ได้รับโปรดเกล้า ฯ จากพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้อยู่ที่วัดเบญจมบพิตร ต่อมาได้เข้า
แปลประโยค ๒ และประโยค ๓ ได้ สอบได้ประโยค ๔ เมื่อ
พ
๑ร๔ะ,ชั๑น๕ษ,า๑ได๖้ ๑๓ ปี ประโยค ๕ ถึงประโยค ๗ เมื่อพระชันษาได้
ปี ตามลำดับ สอบประโยค ๘ ได้เมื่อพระชันษา
ได้ ๑๙ ปี และประโยค ๙ เมื่อพระชันษาได้ ๒๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑
ทรงอุปสมบทเป็นนาคหลวงสายเปรียญธร
รม
ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒ สมเด็จพระวันรัต
(ฑิต อุทโย) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระธรรมวโรดม (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระธรรมเจดีย์ (เข้ม ธมฺมสโร) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ที่มา : สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
ได้ฉายาว่า "กิตฺติโสภโณ" วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี shorturl.asia/YyIav
๔๓
สมณศักดิ์
พ
.ศ. ๒๔๕๗ เป็นพระราชาคณะที่ พระศรีวิสุทธิวงษ์
พ.ศ. ๒๔๖๖ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชเวที ตรีปิฎกภูษิต
ธรรมบัณฑิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๖๙ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพมุนี ศรีวิสุทธศีลาจารย์
ญาณนายก ตรีปิฎกธรา มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๗๓ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโกศาจารย์
สุนทรญาณดิลก ตรีปิฎกธรรมภูษิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองหนกลางที่ พระพรหมมุนี
ศรีวิสุทธิญาณนายก ตรีปิฎกธรรมาลังการวิภูษิต มัชฌิมคณิศร บวรสังฆาราม
คามวาสี สังฆนายก
พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระวันรัต ปริยัติพิพัฒนพงศ์ วิสุทธิสงฆ
ปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณะปธานาดิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
อรัณยวาสี
พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่
" สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาส
ภูมิพลมหาราช อนุศาสนาจารย์ กิตติโสภณาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมโศภน วิมลศีล
สมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลคัมภีรญาณสุนทร บวร
ธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช "
สิ้นพระชนม์
หลังจากเสวยภัตตาหารเพลในงานทำบุญบ้านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๐๕ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ทรงกลับวัด ถึงเวลา ๑๕.๐๐ น.
หลังสรงน้ำ ทรงปวดพระเศียรอยางรุนแรง พระอุปฐากเชิญแพทย์มาดูพระอาการ พระองค์ตรัสกับ
แพทย์ได้ไม่กี่คำก็สิ้นพระชนม์ แพทย์ลงความเห็นว่าเส้นพระโลหิตใหญ่ในพระมัตถลุงค์แตก[16]
เมื่อเวลา ๑๖.๒๗ น. สิริพระชันษาได้ ๗๓ ปี ๒๑ วัน สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้สถานที่
ราชการลดธงครึ่งเสา ๓ วัน และข้าราชการไว้ทุกข์ ๑๕ วัน เพื่อถวายความอาลัย และได้มีพระราช
พิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส
องค์ที่ ๑๕
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทโย)
พ.ศ.๒๕๐๖ – ๒๕๐๘
สถิต ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
๔๕
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม อยู่ ช้างโสภา ฉายา ญาโณทโย เป็นสมเด็จพระ
สังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดสระเกศราช
วรมหาวิหาร ดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหาราช บรมนาถบพิตร ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ ๒ ปี สิ้นพระชนมเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๐๘ สิริพระชันษา ๙๐ ปี ๑๖๖ วัน
พระประวัติ
ส
มเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระนามเดิมว่า อยู่ ช้างโสภา (นามสกุลเดิม "แซ่ฉั่ว") ประสูติ
เมื่อวันอังคารที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๑๗ ที่เรือนแพหน้าวัดกัลยาณมิตร อำเภอบางกอกใหญ่
(ในปัจจุบันคือ เขตบางกอกใหญ่) ธนบุรี พระชนกชื่อตรุษ พระชนนีชื่อจันทน์ ทรงรับการศึกษา
เบื้องต้นในสำนักของบิดา และพระอาจารย์ช้างที่วัดสระเกศ
สมเด็จพระสังฆราช (อยู่) ทรงบรรพชาเป็นสารเณรอยู่วัดสระเกศ จนถึงปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๓๗
จึงทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระ
ธรรมทานาจารย์ (จุ่น) และพระธรรมกิตติ (เม่น) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
หลังจากบรรพชาเป็นสามเณร จึงได้ศึกษาภาษาบาลีตามคัมภีร์มูลกัจจายน์กับพระอาจารย์ช้าง
และศึกษาในสำนักของพระธรรมกิตติ (เม่น) สำนักสมเด็จพระวันรัตน์ (แดง สีลวฑฺฒโน) และสำนัก
ของพระยาธรรมปรีชา (ทิม) ด้วย
พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง ได้เป็นเปรียญธรรม ๓ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๓๖ สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค ได้เป็นเปรียญ ๕,๖,๗,๘ และ ๙ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๔๑ - ๒๔๔๕ ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรม
ตามลำดับ ทรงเป็นเปรียญ ๙ ประโยค เมื่อพระชนมายุ ๒๘ พรรษา และเป็นเปรียญธรรม ๙
ประโยครูปแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้รับพระมหากรุณาให้
นำรถยนต์หลวงมาส่งถึงอารามเป็นพิเศษ และได้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อได้เปรียญธรรม ๙ ประโยคแล้ว พระองค์ก็ทรงดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสนาม
หลวง สอบไล่พระปริยัติธรรมตลอดมา