The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ข้อมูลเนื้อหาประวัติความเป็นมาของสมเด็จพระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลไทย ลำดับพระสังฆราชเจ้า และการปกครองสงฆ์ของไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by bas.pee2543, 2021-10-11 10:21:32

๒๐ สมเด็จพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ข้อมูลเนื้อหาประวัติความเป็นมาของสมเด็จพระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลไทย ลำดับพระสังฆราชเจ้า และการปกครองสงฆ์ของไทย

Keywords: Buddhish,Buddhism,Monk,Social,History,Thai History

๔๖

สมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๔๕๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่


พระปิฎกโกศล

พ.ศ. ๒๔๖๔ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชเวที
ตรีปิฎกภูสิต ธรรมบัณฑิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี

.ศ. ๒๔๖๖ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที
ตรีปิฎกคุณสุนทรธรรมภูสิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเจดีย์
กวีวงศนายก ตรีปิฏกบัณฑิตมหาคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสี
พ.ศ. ๒๔๘๘ ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์เป็นรองสมเด็จพระราชา
คณะที่ พระธรรมวโรดม บรมญาณอดุลย์ สุนทรนายก ตรีปิฎก-
คุณาลังการภูสิต สุทธิกิจสาทร มหาคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณ วิบุลคัมภีรญาณสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม
คามวาสี อรัณยวาสี
พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช มีราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคต
ญาณ สุขุมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณ ญาโณทยาภิธาน
สังฆวิสุต พุทธบริษัทคารวสถาน ธรรมปฏิภาณญาณสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระ
สังฆราช

สิ้นพระชนม์
สมเด
็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทโย) สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคเส้นพระโลหิตในพระ

เศียรอุดตัน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เวลา ๐๒.๒๐ น. สิริพระชันษา ๙๐ ปี ๑๖๖ วัน
สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศให้สถานที่ราชการลดธงครึ่งเสาและข้าราชการไว้ทุกข์ ๑๕ วัน และได้
รับพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่
๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๘

ที่มา : สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี shorturl.asia/GHWuv

องค์ที่ ๑๖
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฏฺฐายี)

พ.ศ.๒๕๐๘ – ๒๕๑๔
สถิต ณ วัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร

๔๘



สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม จวน ศิริสม ฉายา อุฎฺฐายี เป็นสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ ๑๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม
ราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา
ภูมิพลอดุลยเดช ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ ๗ ปี สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อวันที่ ๑๘
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ สิริพระชันษา ๗๔ ปี ๓๓๖ วัน

พระประวัติ

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระนามเดิมว่า ลำจวน ศิริสม ภายหลังเปลี่ยนพระนามเป็น

จวน ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๐ ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เมื่อพระ
ชันษาได้ ๙ ปี ได้เข้ามาศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดคฤหบดี จังหวัดธนบุรี จนจบชั้น ป. ๓
แล้วกลับภูมิลำเนา

ถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ทรงจบชั้นมัธยมศึกษา แล้วเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
ได้ไม่นานต้องลาออกเพราะประชวรโรคเหน็บชา ถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ทรงไปศึกษาอยู่กับพระมหา
สมณวงศ์ (แท่น โสมทดฺโต) เจ้าอาวาสวัดมหาสมณารามราชวรวิหาร (วัดเขาวัง) จังหวัดเพชรบุรี
ซึ่งเป็นพี่ชายของพระอัยกา (ตา) จนพระองค์มีพระชันษา ๑๖ ปี จึงได้มาศึกษาพระปริยัติธรรมกับ
พระอริยมุนี (แจ่ม จตฺตสลฺโล) ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม

วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม โดยมีพระ
ธรรมปาโมกข์ (ถม วราสโย) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอริยมุนี (แจ่ม จตฺตสลฺโล) เป็นพระสรณคมนา
จารย์ และอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ โดยมีพระธรรมปาโมกข์ (ถม
วร
าสโย) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระราชกวี (แจ่ม จตฺตสลฺโล) เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ระหว่างดำรงสมณเพศได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในทางวิชาการ โดยเป็นบรรณาธิการ
หนังสือวารสารรายปักษ์สยามวัด ทำให้พระองค์มีความสามารถในการประพันธ์ต่าง ๆ มีโคลง
ฉันท์ เป็นต้น

พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงอุปสมบทเป็นภิกษุ ในปีเดียวกันนี้ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรี และเปรียญ
ธรรม ๓ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๖๑ สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ. ๒๔๖๒ - ๒๔๖๕ สอบได้เปรียญธรรม ๔,๕ และ ๖ ประโยค ตามลำดับ
พ.ศ. ๒๔๖๖ สอบได้นักธรรมชั้นเอก
พ.ศ. ๒๔๖๗, ๒๔๗๐ และ ๒๔๗๒ สอบได้เปรียญธรรม ๗,๘ และ ๙ ประโยค ตามลำดับ

๔๙

สมณศักดิ์


พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระกิตติสารมุนี

พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชเวที ตรีปิฎก-
ภูษิต ธรรมบัณฑิต ยติคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี
พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที ตรีปิฎก-
คุณ สุนทรธรรมภูษิต ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมปาโมกข์
ยุตโยคญาณดิลก ไตรปิฎกธารี ธรรมวาที ยติคณิศร บวรสังฆาราม
คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระศาสนโศภน
วิมลญาณอดุลย์สุนทรนายก ตรีปิฎกธรรมาลังการภูสิต ธรรมนิตย-
สาทร อุดมคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จาตุรงคประธานวิสสุต พุทธ
พจนมธุรสธรรมวาที คัมภีรญาณปริยัติกุสโลภาส ภูมิพลมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ วิสารศีลา
จารวัตร เวไนยบริษัทประสาทกร ธรรมยุติกคณิสสรมหาสังฆนายก
พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง
สกลมหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลากุสโลภาส ภูมิพลมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์ อุฏฐายีภิธาน
สังฆวิสุต ปาวจนุตตมสาสนโสภณ วิมลศีลขันธสมาจารวัตร พุทธศาสนิกบริษัทคารวสถาน
วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลคัมภีรญาณสุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช

สิ้นพระชนม์


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายี) สิ้นพระชนม์โดยอุบัติเหตุ

ทางรถยนต์ในท้องที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๔
เวลา ๑๐.๐๕ น. สิริพระชันษา ๗๔ ปี ๓๓๖ วัน คณะปฏิวัติประกาศให้สถานที่ราชการลดธงลงครึ่ง
เสา ๓ วัน และข้าราชการไว้ทุกข์ ๑๕ วัน เพื่อถวายความอาลัย และได้รับพระราชทานเพลิงพระ
ศพ ณ พระเมรุ หน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๑๕

ที่มา : สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี shorturl.asia/lE4WP

องค์ที่ ๑๗
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริ)

พ.ศ.๒๕๑๕ – ๒๕๑๖
สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

๕๑

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม ปุ่น สุขเจริญ ฉายา ปุณฺณสิริ เป็นสมเด็จพระ
สังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมล
มังคลารามราชวรมหาวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดำรงพระยศอยู่ ๑ ปีเศษ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๑๖ สิริพระชันษาได้ ๗๗ ปี ๒๕๒ วัน
พระประวัติ


มเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระนามเดิมว่า ปุ่น สุขเจริญ ประสูติเมื่อวันอังคาร แรม ๑๓ ค่ำ
เดือน ๔ ปีวอก จ.ศ. ๑๒๕๘ ร.ศ. ๑๑๕ เวลา ๒๔ นาฬิกาเศษ ตรงกับวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๙
ณ บ้านตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี พระชนกชื่อเน้า สุขเจริญ พระชนนีชื่อวัน
สุขเจริญ เป็นบุตรคนที่ ๖ ในจำนวนพี่น้อง ๘ คน มีพี่เป็นหญิง ๔ คน ถึงแต่กรรมแต่เยาว์วัย พี่คนที่ ๕
เป็นชายชื่อเหลือ น้องชายคนที่ ๗ ชื่อเป้ง สุขเจริญ และน้องชายคนที่ ๘ ชื่อสิ่ว

พ.ศ. ๒๔๔๕ พระชันษา ๖ ปี ศึกษากับพระชนกที่บ้าน จนอ่านหนังสือแบบเรียนเร็วเล่ม ๑ - ๒
จบแล้ว พระชนกจึงส่งให้เข้าเรียนต่อในโรงเรียนเอกชน เป็นเวลาประมาณหนึ่งปี
พ.ศ. ๒๔๔๖ พระชนกนำไปฝากเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์หอม เกสโร (แสงจินดา) ซึ่งเป็นญาติ
มีศักดิ์เป็นอา ณ วัดสองพี่น้อง ได้เริ่มศึกษาภาษาบาลีด้วยอักษรขอม และมูลกัจจายน์ (หนังสือ
ใหญ่) กับพระอาจารย์หอม เกสโร และพระอาจารย์จ่าง ปุณฺณโชติ (พระครูอุภัยภาดารักษ์)
เวลาเย็น ต่อบทสวดมนต์กับพระอาจารย์ที่เรียกว่าต่อหนังสือค่ำ
พ.ศ. ๒๔๕๔ พระชันษา ๑๕ ปี พระอาจารย์หอม วัดสองพี่น้อง นำมาฝากพระภิกษุป่วน (ภาย

หลังย้ายมาอยู่วัดพระเชตุพน และเป็นพระครูบริหารบรมธาตุ เจ้าอาวาสวัดนางชี เขต
ภาษีเจริญ) ผู้เป็นญาติฝ่ายโยมมารดา ณ วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร ได้ศึกษาอักษรขอม
เพิ่มเติมกับพระภิกษุป่วน
พ.ศ. ๒๔๕๕ พระชันษา ๑๖ ปี ย้ายมาอยู่กับพระสด (พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ณ วัดพระเชตุพน
พ.ศ. ๒๔๕๕ พระชันษา ๑๖ ปี บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสองพี่น้อง พระครูวินยานุโยค
(เหนี่ยง อินฺทโชโต) เจ้าอาวาสวัดสองพี่น้อง เจ้าคณะอำเภอสองพี่น้อง เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๔๕๖ พระชันษา ๑๗ ปี ลาสิกขาจากสามเณร เพราะพระชนกป่วยต้องไปช่วยโยม
ทำนา
พ.ศ. ๒๔๕๗ พระชันษา ๑๘ ปี บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งหนึ่ง และกลับมาอยู่วัด
พระเชตุพนตามเดิม

๕๒

พ.ศ. ๒๔๖๐ พระชันษา ๒๒ ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง
จังหวัดสุพรรบุรี พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) วัดสองพี่น้อง เจ้าคณะอำเภอ
สองพี่น้อง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อโหน่ง อินฺทสุวณฺโณ วัดสองพี่น้อง (ต่อมาเป็นเจ้าอาวาส
วัดอัมพวัน ตำบลดอนมะดัน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระศากยบุตติยวงศ์ (เผื่อน ติสฺสทตฺ
โต) ภายหลังเป็นสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๗
เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง

สมณศักดิ์

มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ พระชันษา ๔๕ ปี พรรษา ๒๔ เป็น
พระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอมรเวที
๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ พระชันษา ๕๐ ปี พรรษา ๒๙ เป็น
พระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสุธี ธรรมปรีชาภิมณฑ์ ปริยัติ
โกศล ยติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี
๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๐ พระชันษา ๕๑ ปี พรรษา ๓๐ เป็น
พระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที ตรีปิฎกคุณ สุนทรธรรม
ภูษิต ยติคณิสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ พระชันษา ๕๒ ปี พรรษา ๓๑ เป็น
พระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมดิลก ศากยปุตติยนายก ตรีปิฎก
บัณฑิต ยติคณิสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ พระชันษา ๖๐ ปี พรรษา ๓๙ เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะชั้น
หิรัญบัฏที่ พระธรรมวโรดม บรมญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกคุณาลังการวิภูสิต สุทธิกิจ
สาทร มหาคณิสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ พระชันษา ๖๕ ปี พรรษา ๔๔ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชา
คณะที่ สมเด็จพระวันรัต ปริยัติพิพัฒนพงศ์ วิสุทธิสงฆ์ปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณ
สุนทร มหาคณปธานาดิศร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญญวาสี
๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ พระชันษา ๗๖ ปี พรรษา ๕๕ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระ
สังฆราชที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรี
ปิฎกกลาสุโกสล วิมลคัมภีรญาณ ปุณณสิริภิธานสังฆวิสุทธิ์ ปาวจนุตตมสิกขวโรปการ ศีล
ขันธสมาจารสุทธิปฏิบัติ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลธรรมวิสาร
สุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกองค์ที่ ๑๗ แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์

สิ้นพระชนม์
โร
งพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้มีแถลงการณ์แจ้งข่าวพระอาการตลอดมาทุกระยะ แถลงการณ์ใน

การสิ้นพระชนม์ มีดังนี้
" สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเข้ารับการ

รักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๖ ด้วยพระอาการเวียนพระเศียร
ความจำทรงเสื่อมลง พระวรกายทางซีกขวาอ่อนเคลื่อนไหวไม่ได้ คณะแพทย์ลงความเห็นว่า พระ
อาการทั่วไปทั้งหมด เนื่องมาจากการที่พระองค์ทรงประชวรเป็นเนื้องอกในปอดข้างซ้าย ซึ่งคณะ
แพทย์ได้ถวายการรักษาด้วยรังสีโคบอลท์ พระอาการดีขึ้นบ้าง

๕๓

ต่อมาวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ มีพระโรคแทรก คือ พระโลหิตออกจากกระเพาะอาหาร
คณะแพทย์ได้ถวายการผ่าตัดเพื่อระงับมิให้สูญเสียพระโลหิตทางลำไส้อีก และถวายการผ่าตัดเพื่อ
มิให้มีพระอาการขึ้นอีก นับตั้งแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นต้นมา พระอาการทางสมองมากขึ้น
จนครึ่งพระวรกายซีกขวาเคลื่อนไหวไม่ได้ ทรงมีพระอาการไข้ขึ้นสูงตลอดมา ปอดบวม มีพระ
อาการทั่วไปอ่อนเพลียลงตามลำดับ ในที่สุดสิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
เวลา ๒๒.๒๕ น. ด้วยพระอาการอันสงบ

คณะแพทย์ได้พยายามเยียวยาถวายการรักษาพระองค์อย่างสุดความสามารถจนถึงสิ้น
พระชนม์ ในตอนกลางคืน วันสิ้นพระชนม์ มีพระสงฆ์เฝ้าเยี่ยมพระอาการประมาณ ๓๐๐ รูป
คฤหัสถ์ประมาณ ๒๐๐ คน"

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระศพตามโบราณราช

ประเพณีทุกประการ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๑๖.๐๐ น.

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมา

ถวายน้ำสรงพระศพ ณ ตึกกวี เหวียนระวี แล้วทรง ประชุมจารึกวัดพระเชตุพนฯ
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระโกศประดิษฐานเหนือ หนึ่งในหนังสือที่ระลึกงาน
ชั้นแว่นฟ้าประกอบพระลองกุดั่นใหญ่ แวดล้อมด้วยเครื่องประดับ พระราชทานเพลิงพระศพ

พระเกียรติยศ ณ หอประชุมสงฆ์ วัดพระเชตุพน และทรงพระกรุณา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ

โปรดเกล้าฯ ให้มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมทั้งกลางวัน และ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ)
กลางคืน รับพระราชทานฉันเช้าวันละ ๘ รูป เพลวันละ ๔ รูป ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส

กำหนด ๗ วัน ทั้งได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทานถวาย เมื่อ

ครบ ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วัน พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดการพระราชกุศลออกพระเมรุ

และพระราชทานเพลิง วันที่ ๒๒, ๒๓ และ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๗

ในการบำเพ็ญกุศลถวายพระศพนี้ มหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และ

จังหวัดต่าง ๆ ทั่วทุกภาค คณะรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม สมาคม พ่อค้า ประชาชน ศิษยานุศิษย์

คณะสงฆ์จีน คณะสงฆ์ญวน สมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา สมาคมฮินดู

สมาช สมาคมฮินดูธรรมสภา และในต่างประเทศ ก็มีพระภิกษุสงฆ์พร้อมด้วยพุทธบริษัทจาก

ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ได้โดยเสด็จพระราชกุศลมาจนถึงวันพระราชทานเพลิงพระศพ

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน องค์ที่ ๑๑ เป็น

เวลา ๒๖ ปี ๘ เดือน ๓๐ วัน ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๗ เป็นเวลา ๑ ปี

๔ เดือน ๑๘ วัน สิริพระชันษา ๗๗ ปี

พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อ

วันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๗

ที่มา : สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
วิกิพีเดีย shorturl.asia/Z5BMo

องค์ที่ ๑๘
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ

(วาสนมหาเถร)
พ.ศ.๒๕๑๗ – ๒๕๓๑
สถิต ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

๕๕

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ พระนามเดิม วาสน์ ฉายา วาสโน เป็นสมเด็จ
พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชบพิธสถิต
มหาสีมารามราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรม
ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงอยู่ในตำแหน่ง ๑๔ พรรษา
สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ สิริพระชันษา ๙๑ ปี ๑๗๘ วัน

พระประวัติ

มเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ มีพระนามเดิมว่ามัทรี นิลประภา ภายหลัง

เปลี่ยนพระนามเป็น วาสน์ ประสูติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ เวลา ๑๙.๓๓ น. ที่ ตำบลบ่อ-
โพง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรคนโตของพระชนกผาด และพระชนนี
บาง นิลประภา

พระองค์ได้บรรพชา ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ โดยมี
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ครั้งทรงกรมหมื่น เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยมุนี
(แปลก วุฑฺฒิญาโณ) เป็นพระศีลาจารย์ แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวันที่ ๒ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๔๖๑ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัย
มุนี(แปลก วุฑฺฒิญาโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระญาณดิลก (รอด วราสโย) วัดเสนาสนาราม
พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "วาสโน"
เมื่ออุปสมบทแล้วได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้ตามลำดับดังนี้

พ.ศ. ๒๔๕๘ นักธรรมชั้นตรี

พ.ศ. ๒๔๕๙ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค (ได้รับพระราชทานพัดใบตาลพื้นแพรเขียว

ประดับเลื่อม เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน
พ.ศ. ๒๔๖๑ สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ. ๒๔๗๐ สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค

๕๖

สมณศักดิ์


พ.ศ. ๒๔๖๕ เป็นพระครูฐานานุกรมในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง

ชินวรสิริวัตน์ ที่ พระครูโฆสิตสุทธสร
พ.ศ. ๒๔๖๖ เป็นพระครูฐานานุกรมในสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงชินวรสิริวัตน์ ที่ พระครูธรรมธร และพระครูวิจิตรธรรมคุณ
พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นพระราชาคณะปลัดซ้ายฐานานุกรมในสมเด็จพระสังฆ-
ราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ที่ พระจุลคณิศร สัทธรรมนิติธรมหาเถรา
ธิการ คณกิจบรรหารธุรการี สมุหบดีศรีธรรมภาณกาจารย์
พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชกวี นรสีหพจนปิลันธน์ คันถรจนาบัณฑิต
ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพโมลี ตรีปิฎกธาดา มหากถิกสุนทร ยติคณิ
ศร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมปาโมกข์ ยุตตโยคญาณดิลก ไตรปิฎก
ธารี ธรรมวาที ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ญาณวิสุทธิจริยา
ปริณายก ตรีปิฎกคุณาลังการ นานานสถานราชคมนีย์ สาธุการีธรรมากร สุนทรศีลาทิขันธ์
พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุล สุนทรนายก
ตรีปิฎกวิทยาคุณ วิบุลคัมภีรญาณสุนทร ธรรมิกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี
พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง
สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกคัมภีรญาณ วาสนภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมโสภณ ภัทรผลสา
ธารณูปกร ชินวรวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลศีลสมาจารวัตร
สุนทร บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช
๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ทรงได้รับการสถาปนาพระอัฐิเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรม
หลวงชินวราลงกรณ ธรรมาภรณคุณวิจิตรปฏิภาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง อริยวงศาคตญาณ
วิมล สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกคัมภีรญาณบัณฑิต วชิราลงกรณนริศหิโตปัธยาจารย์
วาสนภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตตมพิศาล นิทัศนนิทานนิพนธปรีชา ปาวจนุตตมโสภณ ภัทรผล
สาธารณูปการ วิมลศีลสมาจารวัตรสุนทร สรรพคณิศรมหาสังฆาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร

สิ้นพระชนม์


สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคปับผาสะอักเสบ

พระหทัยวาย ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลา ๑๖.๕๐ น. สิริพระ
ชันษา ๙๑ ปี ๑๗๘ วัน สำนักนายกรัฐมนตรีได้ประกาศถวายความอาลัยโดยให้สถานราชการทุกแห่ง
ลดธงลงครึ่งเสาเป็นเวลา ๓ วัน และข้าราชการไว้ทุกข์เป็นเวลา ๑๕ วัน ได้รับพระราชทานเพลิงพระ
ศพเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๒ ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส

ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาพระอัฐิของสมเด็จ
พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโน) ในฐานะพระราช
อุปัธยาจารย์เมื่อครั้งทรงผนวช ขึ้นเป็น "สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ" ในการนี้
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง ๕ ชั้น ถวายกางกั้น
พระรูปบรรจุพระสรีรางคาร ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด
กระหม่อมให้แบ่งพระอัฐิบรรจุลงพระโกศทองคำ เชิญมาประดิษฐานในหอพระนาก วัดพระ
ศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาและทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายในพระฐานะ
พระบุพการีทางธรรมสืบไป

องค์ที่ ๑๙
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

(สุวฑฺฒนมหาเถร)
พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๕๕๖
สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

๕๘

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร พระนามเดิม เจริญ คชวัตร ฉายา สุวฑฺฒโน
เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัด
บวรนิเวศราชวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชน
กาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ถือเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชันษา
มากกว่าสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ในอดีตและเป็นพระองค์แรกของไทยที่มีพระชันษา
๑๐๐ ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เนื่องจากติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

พระประวัติ

มเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อ

วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรคนโตของพระชนกน้อย คชวัตร และ
พระชนนีกิมน้อย คชวัตร พระองค์มีน้องชาย ๒ คน ได้แก่ นายจำเนียร คชวัตร และนายสมุทร
คชวัตร พระชนกของพระองค์ป่วยเป็นโรคเนื้องอกและเสียชีวิตไปตั้งแต่พระองค์ยังเล็ก หลังจาก
นั้น พระองค์ได้มาอยู่ในความดูแลของนางกิมเฮ้ง หรือกิมเฮงซึ่งเป็นพี่สาวของพระชนนีกิมน้อยที่
ได้ขอพระองค์มาเลี้ยงดู และนางกิมเฮ้งจึงตั้งชื่อหลานชายผู้นี้ว่า "เจริญ"

พระชนกน้อย คชวัตร เป็นบุตรคนที่สามจากทั้งหมดสี่คนของเล็ก กับแดงอิ่ม คชวัตร เป็น
หลานปู่-หลานย่าของหลวงพิพิธภักดี ผู้เคยเป็นข้าราชการชาวกรุงเก่า กับนางจีนผู้ภริยาหลวง
พิพิธภักดีเป็นหลานยายของ ท้าวเทพกระษัตรี ส่วนพระชนนีกิมน้อย หรือน้อย ซึ่งเคยเปลี่ยนชื่อ
เป็นแดงแก้วนั้น มีบิดาเป็นคนเชื้อสายจีนคือนายเฮงเล็ก แซ่ตั๊น กับมารดาเชื้อสายญวนชื่อนาง
ทองคำ ครั้นนายเฮงเล็กถึงแก่กรรม นางทองคำจึงสมรสใหม่กับนายสุข รุ่งสว่าง มีบุตรด้วยกัน

คน

เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเข้าเรียนที่โรงเรียนประชาบาล วัดเทวสังฆาราม จนจบชั้นประถม
๕ (เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ และ ๒ ในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ในขณะที่มีพระชันษา
๑๒ ปี หลังจากนั้น ทรงไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหน ทรงเล่าว่า " เมื่อเยาว์วัยมี
พระอัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมา
แต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย " จึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น

เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ โดยมีอยู่คราวหนึ่งที่ทรงป่วย
หนักจนญาติ ๆ ต่างพากันคิดว่าคงไม่รอดแล้วและได้บนไว้ว่า ถ้าหายป่วยจะให้บวชเพื่อแก้บน แต่
เมื่อหายป่วยแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ได้บวช จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม ๕ แล้ว พระองค์จึงได้ทรง
บรรพชาเป็นสามเณรเพื่อแก้บนในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ขณะมีพระชันษาได้ ๑๔ ปี ที่วัดเทวสังฆาราม

๕๙

โดยมีพระเทพมงคลรังษี (ดี พุทฺธโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครู
นิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลาราม เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล

ภายหลังบรรพชาแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทวสังฆาราม ๑ พรรษา และได้มาศึกษาพระธรรม
วินัยที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้น พระเทพมงคลรังษี (ดี พุทธฺโชติ) พระอุปัชฌาย์ได้พา
พระองค์ไปยังวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และนำพระองค์ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระวชิรญาณ
วงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร (ต่อมาคือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่อ
อยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ทรงได้รับประทานนามฉายาจาก
สมเด็จพระสังฆราชว่า “สุวฑฺฒโน” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” จนกระทั่งพระชันษาครบ
อุปสมบทจึงทรงเดินทางกลับไปอุปสมบทที่วัดเทวสังฆารามเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ ภายหลังจึงได้เดิน
ทางเข้ามาจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัยและที่วัด
บวรนิเวศวิหารนี่เอง พระองค์ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทซ้ำในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ ๑๕
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖ (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. ๒๔๗๗) โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรม
หลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเทพเมธี (จู อิสฺสรญาโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์

สมเด็จพระสังฆราช


พ.ศ. ๒๕๑๕ พระองค์ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระ

ญาณสังวร ซึ่งเป็นราชทินนามที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดให้ตั้งขึ้นใหม่
สำหรับพระราชทานสถาปนา สมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) พระราชาคณะฝ่าย


วิปัสสนาธุระ เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๙ ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณ

สังวร จึงเป็นตำแหน่งพิเศษที่โปรดพระราชทานสถาปนาแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระ
เท่านั้น

เมื่อ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ
สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้นสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑
ทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระบาทสมเด็จ
พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรจึงมีพระบรม
ราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็น สมเด็จ
พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในราชทินนามเดิมคือ
สมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งราชทินนามดังกล่าวนับเป็น
ราชทินนามพิเศษ กล่าวคือ สมเด็จพระสังฆราชที่มิได้เป็น
พระบรมวงศานุวงศ์นั้น โดยปกติจะใช้ราชทินนามว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ บางพระองค์
ครั้งนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งครั้งมีการใช้ราชทินนาม สมเด็จพระญาณสังวร สำหรับสมเด็จพระ
สังฆราชเพื่อเป็นการยกย่องพระเกียรติคุณทางวิปัสสนาธุระของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์

สมณศักดิ์

.ศ. ๒๔๙๐ พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระโศภณคณาภรณ์
พ.ศ. ๒๔๙๕ พระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. ๒๔๙๘ พระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. ๒๔๙๙ พระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมวราภรณ์ บรมนริศรธรรมนีติสาธก ตรีปิฎกคุณวิภูสิต
ธรรมวิทิตคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๕๐๔ รองสมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามตามจารึกในหิรัญบัฏว่า พระสาสนโสภณ วิมลญาณ
สุนทร บรมนริศรธรรมนีติสาธก ตรีปิฎกธรรมาลังการวิภูสิต ธรรมยุตติกคณิสสร
บวรสังฆาราม คามวาสี

๖๐

พ.ศ. ๒๕๑๕ สมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามตามจารึกใน
สุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติสาธก
ตรีปิฎกปริยัตติธาดา สัปตวิสุทธิจริยาสมบัติ อุดมศีลจารวัตรสุนทร
ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี
๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๒ ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า
สมเด็จพระญาณสังวร บรมนริศรธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมล
สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒน-
ภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธำรง วชิรญาณวงศ
วิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร
บวรธรรมบพิตร สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสี อรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช
๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ทรงได้รับการสถาปนาพระอัฐิเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรม
หลวงวชิรญาณสังวร วชิราลงกรณราชาภินิษกรมณาจารย์ สุขุมธรรมวิธานธำรง อริยวงศาคต
ญาณวิมล สกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสังฆวิ
สุต ปาวจนุตตมพิสาร วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุล
สีลาจารวัตรสุนทร สรรพคณิศรมหาสังฆาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร

สิ้นพระชนม์


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๔

ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๑๙.๓๐ นาฬิกา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากติดเชื้อในกระแส
พระโลหิต มีการเคลื่อนพระศพจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มายังตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๑๗.๐๐ น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราช
กุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ถึงตำ
หนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อถวายน้ำสรงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จ
พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์

เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ถวายน้ำสรงพระศพเสร็จแล้ว เจ้า
พนักงานสุกำพระศพลงสู่หีบ แล้วเชิญไปประดิษฐานหลังชั้นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระโกศกุดั่น
ใหญ่ภายใต้เศวตฉัตร ๓ ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องประกอบพระเกียรติยศ เสร็จแล้วทรงทอดผ้าไตร
ถวายพระศพ พร้อมทั้งทรงวางพวงมาลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ และพวงมาลาส่วนพระองค์ ที่หน้าพระโกศพระศพ

การนี้พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้พระราชทานเลื่อน
ชั้นยศพระโกศประกอบพระอิสริยยศจากพระโกศกุดั่นน้อยเป็นพระโกศกุดั่นใหญ่ตั้งแต่วันแรกที่
สิ้นพระชนม์ ครั้นถึงวาระพระราชทานเพลิงพระศพ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหาราช บรมนาถบพิตรจึงทรงพระกรุณาโปรดถวายพระโกศทองน้อยประกอบพระอิสริยยศและ
ให้เจ้าพนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง ๕ ชั้นกางกั้นพระโกศ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ
ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งถือเป็นกรณีพิเศษเพราะยังไม่เคยปรากฏการ
พระราชทานเลื่อนพระโกศถึงสองครั้งมาก่อน

สำหรับพระอัฐิของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้แบ่ง
ออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนแรกประดิษฐาน ณ พระตำหนักเดิม ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพระอัฐิของเจ้าอาวาส
วัดบวรนิเวศวิหารทุกรูป ส่วนที่สองประดิษฐานที่วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดที่
พระองค์ทรงผนวชและส่วนที่สามประดิษฐานที่วัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นวัดที่
พระองค์สร้างขึ้น ส่วนพระสรีรางคารประดิษฐานที่พระวิหารเก๋ง วัดบวรนิเวศวิหาร

๖๑

ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงสถาปนาพระอัฐิของสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ในฐานะพระราชกรรมวาจาจารย์เมื่อครั้งทรงผนวช ขึ้นเป็น
"สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร"
ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้า
พนักงานจัดฉัตรตาดเหลือง ๕ ชั้น ถวายกางกั้นพระรูปบรรจุ
พระสรีรางคาร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กับทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แบ่งพระอัฐิบรรจุลงพระโกศ
ทองคำ เชิญมาประดิษฐานในหอพระนาก วัดพระศรีรัตน-
ศาสดาราม เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาและทรงบำเพ็ญ
พระราชกุศลอุทิศถวายในพระฐานะพระบุพการีทางธรรม
สืบไป

พระโกศกุดั่นใหญ่ถวายพระเกียรติยศ
ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร




ผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา (Supreme Holiness of World Buddhism) อัน
เป็นตำแหน่งที่ได้รับการทูลถวายจากผู้นำชาวพุทธโลกจาก ๓๒ ประเทศเข้าร่วมประชุมสุดยอด
พุทธศาสนิกชนแห่งโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในฐานะที่ทรงได้รับการเคารพอย่าง
สูงสุด รวมทั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแห่งประเทศไทย ผู้สอนพระธรรมคำ
สั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทุกคนปฏิบัติธรรมตั้งอยู่ในพระปัญญาธรรมและพระกรุณา
ธรรมนำ ไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองมีพระบารมีปกแผ่ไพศาลไปทั่วราชอาณาจักรไทย
และทั่วโลก นับเป็นแบบอย่างของสากลโลก ซึ่งเป็นการมอบตำแหน่งนี้เป็นครั้งแรกของโลก

เอกสารถวายตำแหน่งผู้นำคณะสงฆ์สูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา




ที่มา : สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี shorturl.asia/SHn34

องค์ที่ ๒๐
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร)

พ.ศ. ๒๕๖๐ - ปัจจุบัน
สถิต ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

๖๓

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม อัมพร ประสัตถพงศ์ ฉายา อมฺพโร เป็นสมเด็จ
พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงเริ่มดำรง
ตำแหน่งในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ และทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
ราชวรวิหาร ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต แม่กองงานพระ
ธรรมทูต
พระประวัติ


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระนามเดิมว่า อัมพร ประสัตถพงศ์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์
ที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ตรงกับแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีเถาะ ณ ตำบลบางป่า อำเภอเมือง
ราชบุรี จังหวัดราชบุรี พระชนกชื่อนับ ประสัตถพงศ์ พระชนนีชื่อตาล ประสัตถพงศ์ เป็นบุตรคน
ที่ ๒ จากพี่น้องทั้งหมด ๙ คน มีพระอนุชาหนึ่งในนั้นคือพระธรรมวุฒาจารย์ (ไสว วฑฺฒโน) ที่
ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี เจ้าอาวาสวัดศรีสุริยวงศารามวรวิหาร จังหวัดราชบุรี ครอบครัว
ประกอบอาชีพค้าขาย เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทวานุเคราะห์ กองบินน้อยที่ ๔ ตำบลโคก
กะเทียม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ แล้วมาศึกษาต่อที่โรงเรียนประชา
บาลวัดพเนินพลูจนจบชั้น ป. ๔ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐


เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ พระองค์ผนวชเป็นสามเณร ณ วัดสัตตนารถ
ปริวัตรวรวิหาร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โดยมี
พระธรรมเสนานี (เงิน นนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วย้ายไปอยู่
วัดตรีญาติเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม

ต่อมาได้ทรงเข้าพิธีผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๔๙๑ ณ พัทธสีมาวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมี
พระเทพโมลี (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระจินดากรมุนี
(ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์

๖๔

สมเด็จพระสังฆราช


วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ พระบาทสมเด็จ

พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการโปรดสถาปนา
สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช


พระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และได้เสด็จ

พระราชดำเนินไปประกอบพระราชพิธีสถาปนาเมื่อ
วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ เวลา ๑๖.๕๐ น.
ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยนิมนต์
สมเด็จพระราชาคณะ กรรมการมหาเถรสมาคม
เจ้าคณะภาค และเจ้าคณะจังหวัดทั่วราชอาณาจักร เข้าร่วมพระราชพิธี

เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชฯ
เสด็จลงพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุข
แห่งคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยอย่าง
เป็นทางการ

สมณศักดิ์

ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระปริยัติกวี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสารสุธี ศรีปริยัติวราทร
ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเมธาภรณ์ สุนทรธรรมานุนายก
วิสุทธิสาธกสาธุกิจ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรม
เมธาภรณ์ สุนทรวาสนวงศวิวัฒ ศรีปริยัติกิจจานุกิจ ปาพจนวิภูษิต
คุณาลงกรณ์ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่
พระสาสนโสภณ วิมลญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกธรรมาลังการภูษิต
ธรรมนิตยสาทร ศาสนกิจจานุกร ธรรมยุติกคณิสสร บวรสังฆาราม
คามวาสี
๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จ
พระมหามุนีวงศ์ พิพัฒนพงศ์วิสุต พุทธปาพจนานุศาสน์ วาสนวรางกูร
วิบูลศีลสมาจารวัตรสุนทร ตรีปิฎกธรรมวราลงกรณวิภูษิต ธรรมยุตติก
คณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี
๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จ
พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามตามจารึกใน
พระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง
สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกธราจารย อัมพราภิธานสังฆวิสุต
ปาพจนุตตมสาสนโสภณ กิตตินิรมลคุรุฐานียบัณฑิต วชิราลงกรณนริศรปสันนาภิสิตประกาศ
วิสารทนาถธรรมทูตาภิวุฒ ทศมินทรสมมุติปฐมสกลคณาธิเบศร ปวิธเนตโยภาสวาสนวงศวิวัฒ
พุทธบริษัทคารวสถาน วิบูลสีลสมาจารวัตรวิปัสสนสุนทร ชินวรมหามุนีวงศานุศิษฏ
บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช

๖๕

ตำแหน่งปัจจุบัน



พระกรณียกิจด้านการปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๑ - ๒๕๕๐ เจ้าคณะภาค ๑๔-๑๕ (ธรรมยุต)
พ.ศ. ๒๕๓๙ - ปัจจุบัน กรรมการมหาเถรสมาคมคณะธรรมยุต
พ.ศ. ๒๕๕๐ - ปัจจุบัน ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔-๑๕ (ธรรมยุต)
พ.ศ. ๒๕๕๑ - ปัจจุบัน เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
พ.ศ. ๒๕๖๐- ปัจจุบัน สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
พ.ศ. ๒๕๖๐ - ปัจจุบัน เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
พ.ศ. ๒๕๖๐ - ปัจจุบัน ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม

พระกรณียกิจด้านการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๕๔ - ปัจจุบัน นายกสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
พระกรณียกิจด้านการเผยแพร่
พ.ศ. ๒๕๕๘ - ปัจจุบัน แม่กองงานพระธรรมทูต

ที่มา : สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร)
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี shorturl.asia/nbSWm

เอกสารอ้างอิง

นนทพร อยู่มั่งมี. 2564. สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) “พระสังฆราชคู่พระทัยในรัชกาลที่ 5”
(ออนไลน์). shorturl.asia/c7kVS, 1 ตุลาคม 2564.

ประวัติสมเด็จพระสังฆราชไทย สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ออนไลน์). www.dhammathai.org/
thailand/sangkharaja.php, 1 ตุลาคม 2564

สมเด็จพระสังฆราช' 20 พระองค์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ออนไลน์). www.voicetv.co.th/
read/45983, 11 ตุลาคม 2564

ชื่อ - สกุล นายพีรพัฒน์ เสียงล้ำ
วัน เดือน ปี เกิด ๖ มีนาคม ๒๕๔๓
ที่อยู่ ๔๙/๒ หมู่ ๔ บ้านห้วยลึกสันติสุข ตำบลชุมภูพร
อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ
เบอร์โทรศัพท์ ๐๖๔-๖๓๕๕๐๗๗
อีเมล์ [email protected]
ประวัติการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนพรเจริญวิทยา จังหวัดบึงกาฬ
ปัจจุบันกำลังศึกษา สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี

๒๐สมเดแ็หจ่งพกรรุงะรัสตังนโฆกรสินาชทร์

๒๐สมเแด็หจ่งพกรุรงะรัสตังนโฆกรสินาชทร์


Click to View FlipBook Version