สตั ววทิ ยา
คานา
หนังสอื สตั ววิทยาเล่มน้ีผู้เขยี นมจี ุดมุง่ หมายเพ่ือใหน้ สิ ิตนักศึกษาไดใ้ ช้เป็นคมู่ ือประกอบการเรียนวิชาสตั ววิทยา
ในระดับอุดมศึกษาเน่ืองจากเนื้อหาในด้านสัตววิทยามีค่อนข้างมากครอบคลุมทั้งสัตว์ช้ันต่าที่ไม่มีกระดูกสัน
หลังและสัตว์ชนั้ สูงทมี่ กี ระดูกสนั หลงั ดังน้นั เน้ือหาในหนังสอื เล่มน้ีจึง จา่ กัด ขอบเขตเฉพาะเนื้อหาทส่ี า่ คญั ในแง่
ของสัณฐานวิทยาสรีรวิทยาอนุกรมวิธานนิเวศวิทยาและวิวัฒนาการของสัตว์แต่ละกลุ่มโดยจะยกตัวอย่าง
เฉพาะสตั ว์ท่เี ปน็ ท่ีรู้จกั กนั ทัว่ ๆ ไปเทา่ น้ัน
สารบญั
บทท่ี หน้า
1 INTRODUCTION 1
2 PHYLUM PORIFERA 6
3 PHYLUM CNIDARIA 13
4 PHYLUM CTENOPHORA 19
5 PHYLUM PLATYHELMINTHES 21
6 PHYLUM NEMATODA 30
7 PHYLUM ANNELIDA 37
8 PHYLUM MOLLUSCA 42
9 PHYLUM ARTHOPODA 50
10 PHYLUM ECHINODERMATA 69
11 PHYLUM CHORDATA 82
1
บทท่ี1
บทนา
INTRODUCTION
Zoology (zoon = สัตว์ + logous = การศกึ ษา) เป็นวทิ ยาศาสตรส์ าขาชวี วิทยาทีศ่ ึกษาทางด้านสัตวป์ ัจจุบัน
สัตว์ท่ีพบและจ่าแนกชนิดแล้วมีจ่านวนมากกว่า 1.5 ล้านชนิดในจ่านวนนี้เป็นแมลงประมาณ 6 แสนชนิดและ
ยั ง ค ง มี ก า ร ค้ น พ บ สั ต ว์ ช นิ ด ใ ห ม่ เ พ่ิ ม ขึ้ น ปี ล ะ ก ว่ า พั น ช นิ ด สั ต ว วิ ท ย า จ ะ ศึ ก ษ า ถึ ง ลั ก ษ ณ ะ ท า ง โ ค ร ง ส ร้ า ง
กระบวนการในการด่ารงชีวิตโภชนาการการเจริญของเอมบริโอการถ่ายทอดทางพันธุกรรมวิวัฒนาการการ
แพร่กระจายท่ีอยู่อาศัยและเร่ืองราวประกอบอีกมากมายดังนั้นสัตววิทยาจึงมีขอบเขตการศึกษาในวงกว้าง
ความรู้ทงั้ หลายท้งั ปวงไม่สามารถจะรวบรวมไวใ้ นตา่ ราเพียงเลม่ เดยี วและในทา่ นองเดียวกันนกั สตั ววทิ ยาแต่ละ
ท่านก็ไม่สามารถจะรู้ลกึ ซึ้งไปหมดทุกเร่ืองแต่ละท่านจะมีความเชยี่ วชาญเพียงส่วนเดียวเป็นผูเ้ ชีย่ วชาญเฉพาะ
เรื่องวิชาสตั ววิทยาจงึ มีการแบง่ ยอ่ ยออกเป็นสาขาวชิ าต่างๆเปน็ วิชาจ่าเพาะแตล่ ะสาขาดังแสดงไว้ในแผนภาพ
2
ลักษณะสาคัญโดยทัว่ ไปของสตั ว์
ก่อนท่ีจะศึกษาถึงกลุ่มสัตว์แต่ละกลุ่มเราควรจะต้องทราบลักษณะพ้ืนฐานท่ัวไปของสัตวซ์ ึ่งมักจะใช้เกณฑ์ของ
สตั ว์มกี ระดกู สันหลงั เปน็ ลักษณะหลักในการศึกษาดงั น้ีคือ
1 สมบัติของสัตว์ สัตว์มีสมบัติต่าง ๆ ตามสมบัติทั่วไปของสิ่งมีชีวิตคือ มีการจัดระบบของร่างกาย
(organization) มีการตอบสนองต่อส่ิงเร้า (irritability) มีปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย (metabolism) มีการเติบโต
(growth) มีการสืบพันธ์ุ (reproduction) มีการปรับตัว (adaptation) และมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
(environment relationships) นอกจากนส้ี ตั ว์ยงั มสี มบัตใิ นการเคลอ่ื นท่ีได้ (locomotion)
2 เซลล์ (Cell) สิง่ มีชวี ติ ประกอบดว้ ยเซลล์ซึง่ เกิดจากการรวมตัวของสารประกอบเคมหี ลายชนิด
องค์ประกอบทางเคมีเหล่าน้ี ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) โปรตีน (Protein) ลิปิด (Lipid) กรด
นิวคลิอิค(Nucleic acid) วิตามิน (Vitamin) และน้่า นอกจากน้ียังมีแร่ธาตุต่าง ๆ อยู่ด้วยเซลล์จึงเป็นหน่วย
เล็กท่ีสุดของชีวิตที่เกิดจากการจัดระบบของสารเคมีต่าง ๆ สิ่งท่ีแสดงความมีชีวิตของเซลล์คือเติบโตและ
ขยายพันธ์ุได้เซลล์ของส่ิงมีชีวติ มคี วามแตกต่างกันในการจัดระบบ ท่าให้มีรูปร่างและกลไกการท่างานแตกตา่ ง
กันไปตามชนิดของเซลล์ เซลล์มี 2 ประเภทคือ เซลล์โพรคาริโอต และเซลล์ยูคาริโอต ลักษณะทั่วไปของเซลล์
จะประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ 3 ส่วน ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์คือ เย่ือหุ้มเซลล์ส่วนภายในเย่ือหุ้มเซลล์คือ
โพรโทพลาซึม (Protoplasm) ซ่ึงประกอบด้วย นิวเคลียส (Nucleus) และไซโทพลาซึม (Cytoplasm)
นิวเคลียสของเซลล์ยูคาริโอตมีเยื่อหุ้มนิวเคลียส (Nuclear membrane) ส่วนเซลล์โพรคารีโอตไม่มีเย่ือหุ้ม
นิวเคลียส ไซโทพลาซึมมีโครงสร้างเล็ก ๆ กระจายอยู่ โครงสร้างเหล่าน้ีเปรียบเสมือนอวัยวะของเซลล์
เปรียบเสมือนร่างกายของสัตว์ท่ีมีอวัยวะภายในอยู่ จึงเรียกโครงสร้างภายในเซลล์ว่า ออร์แกเนลล์
(Organelle)
3 เน้ือเยอ่ื (Tissue) สง่ิ มชี วี ติ แบง่ ตามจ่านวนเซลล์ออกเป็น 2 กลมุ่ คอื กลมุ่ แรกเป็นส่งิ มีชีวิต
เซลลเ์ ดียว (Unicellular organism) รา่ งกายของสง่ิ มชี ีวติ เซลล์เดยี วไม่มกี ารจดั ระเบียบของเซลล์เปน็ เนือ้ เย่ือ
และอวยั วะเพอ่ื แบ่งแยกการท่าหนา้ ที่ในการดา่ รงชีวิต แตก่ ารท่าหนา้ ท่ตี า่ ง ๆ ของชีวิตจะเกดิ ข้ึนภายใน
ร่างกายที่เป็นเซลลเ์ ดียวนน้ั จึงอาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ สง่ิ มชี วี ิตท่ีไม่มีเซลล์ (Acellular organism) อกี กลมุ่ หนึ่ง
คือสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ (Multicellular organism) ร่างกายของสัตว์กลุ่มนี้ประกอบข้ึนมาจากเซลล์จ่านวน
มากเซลลใ์ นรา่ งกายมีการเปล่ียนแปลงไปทา่ หน้าทีเ่ ฉพาะอย่างและมีการรวมกลุ่มเซลล์ท่ีมหี น้าที่อยา่ งเดียวกัน
เป็นเนอ้ื เยอ่ื (Tissue) เซลล์ในเนอ้ื เยอ่ื มักจะมีขนาดและรปู รา่ งเหมือนกัน มกี ารประสานการท่างานระหว่างกัน
3
สัตว์ชั้นสูงมีเนื้อเยื่อหลายชนิดจ่าแนกตามหน้าท่ีและต่าแหน่งท่ีอยู่ในร่างกายเป็น 4ประเภทคือ เนื้อเยือบุผิว
เนือ้ เยอ่ื เก่ยี วพัน เน้ือเยอ่ื กลา้ มเน้อื และเนอื้ เย่อื ประสาท
4 อวยั วะ และระบบอวยั วะ (Organ and organ system) อวยั วะคอื กลุม่ ของเนอื้ เยือ่ ทีร่ วมตวั กนั ในการท่า
หน้าทอ่ี ย่างเดยี วกัน อวยั วะของสิ่งมชี ีวติ ช้ันสูงประกอบด้วยเนื้อเย่ือหลายชนิด เชน่ หวั ใจประกอบดว้ ยเนื้อเยื่อ
บุผิว (Epithelial tissue) ปกคลุมภายนอกและบุภายใน เนื้อเย่ือเกี่ยวพัน (Connective tissue) ท่าหน้าท่ี
ประสาน เนื้อเยือ่ กล้ามเน้ือ (Muscular tissue) ทา่ หน้าทห่ี ดตัว มีส่วนของประสาท (Nervous)
5 กระบวนการย่อยอาหาร (Digestive processes) สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสังเคราะห์อาหารเองซึ่งส่วนใหญ่
จะน่าเข้าทางปาก แต่ส่าหรับโพรโทซัวท่ีไม่สังเคราะห์แสงน่าอาหารผ่านเข้าเซลล์โดยตรงการย่อยอาหาร เป็น
กระบวนการเปล่ียนแปลงสารอาหารให้เป็นสารละลายโมเลกุลเล็กที่เธอดังท่ีพบในโพรโทซัวที่พบในเมทาซัว
ส่วนใหญ่ ชั้นต่าหรือการย่อยนอกเซลล์ การก่าจัดกากอาหาร (Egestion) เป็นการก่าจัดอาหารท่ีใช้ไม่ได้หรือ
อาหารท่ีเหลือจากการย่อยโพรโทษัวก่าจัดส่ิงเหล่านี้ออกทางเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง แต่เมทาซัวส่วนใหญ่ก่าจัด
ออกทางทวารหนกั หรือทางปากในกรณีท่ีไม่มีทวารหนักระบบอวัยวะท่ีมีหน้าทเี่ กย่ี วกบั กระบวนการยอ่ ยอาหาร
6 การหายใจ (Respiration) การหายใจคือกระบวนการท่ีน่าเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและคาย
คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเปน็ การแลกเปล่ียนแก๊สระหว่างเซลลก์ ับสง่ิ แวดลอ้ ม
7 การขับถ่าย (Excretion) เซลลม์ กี ระบวนการเมทาโบลิซึมภายในเซลล์ทา่ ให้เกิดของเสยี (waste product
ที่ต้องก่าจัดออกจากเซลล์และออกจากร่างกายของเสียเป็นส่ิงไม่มีประโยชน์ส่าหรับร่างกายและถ้ามีปริมาณ
มากเกนิ ไปจะเป็นพษิ ตอ่ รา่ งกายของเสียพวกแก๊ส
8 การลาเลียง (Circulation) เซลล์ทุกๆเซลล์จะมีชีวิตอยู่ได้จะต้องได้รับอาหารและออกซิเจนและจะต้อง
ก่าจัดของเสียท่ีเกิดจากกระบวนการเมทาโบลิซึมออกไปจากเซลล์ดังน้ันการล่าเลียงสารต่างๆจึงมีความส่าคัญ
เทา่ เทยี มกบั การย่อยอาหารและการหายใจและการ
4
9 การประสานของประสาท (Nervous coordination)
กิจกรรมทางด้านกายภาพและสรีรวิทยาภายในร่างกายจะต้องมีการประสานกันเพ่ือให้ได้ประโยชน์สูงสุดใน
การด่ารงชีวติ การประสานกจิ กรรมต่างๆภายในร่างกายมีระบบท่ีมหี น้าที่ควบคุมอยู่ 2 ระบบคอื ระบบประสาท
(Nervous System) และระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) ส่วนของเซลล์ที่มีชีวิตมีการตอบสนองต่อส่ิง
เรา้
10 การควบคุมโดยต่อมไร้ท่อ (Endocrine regulation) ต่อมไร้ท่อท่าหน้าท่ีประสานเช่นเดียวกับระบบ
ประสาทการท่างานของระบบประสาทเป็นการท่างานอย่างรวดเร็วโดยการสง่ ข้อมูลต่างๆไปตามเซลล์ประสาท
ที่ประสานกันอยู่ แต่ฮอร์โมนท่ีต่อมไร้ท่อสร้างข้ึนจะส่งผ่านกระแสเลือดไปยังจุดหมายที่ต้องการตอบสนอง
ปฏกิ ิริยาจึงชา้ แตค่ งอยู่นานกวา่
11 การรับความรู้สึก (Sensory perception) ระบบประสาทมีหน้าที่ในการน่าเอาข้อมูลเก่ียวกับส่ิงเร้าท่า
ให้เกิดการตอบสนองการที่จะได้ข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมจะต้องมีเซลล์รับความรู้สึกหลายชนิดท่าหน้าที่รับ
ความรู้สึกท่ีแตกต่างกันเช่นแสงเสียงสัมผัสรสสารเคมีความร้อนความหนาวเป็นต้นแม้ว่าโพรโทซัวและฟองน้่า
จะไมม่ ีอวยั วะรับความรูส้ กึ เฉพาะอย่าง แตก่ ม็ ีปฏิกริ ยิ าตอ่ แสงสมั ผัสและสารเคมสี ัตว์ไมม่ ีกระดกู สันหลังจ่านวน
มากมกี ารพฒั นาของอวัยวะรบั ความร้สู กึ แบบงา่ ยๆ
12 การสบื พันธุ์ (Reproduction) สง่ิ มชี ีวติ ทุกชนิดมอี ายุขัยของตวั เองดงั นนั้ สิ่งมีชวี ิตจะต้องสืบลกู หลานเพื่อ
ด่ารงเผ่าพันธ์ุไว้การสืบพันธุ์ของส่ิงมีชีวิตอาจเป็นแบบไม่อาศัยเพศในสัตว์ชั้นต่าหรือมีระบบสืบพันธ์ุ
(Reproductive System) ในการสืบพันธแ์ุ บบอาศยั เพศ
13 สิ่งหอ่ ห้มุ (Integument) สิง่ ห่อหุ้มคือผวิ หนงั และสิ่งทเี่ ปลี่ยนแปลงมาจากผิวหนังสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
สว่ นใหญ่มสี ิ่งห่อหมุ้ เปน็ เยื่อบุผิว (Epidermis) เพียงชนั้ เดยี ว แตอ่ าจสรา้ งสารเคลือบภายนอกเช่นคิวทเิ คิลหรือ
สร้างเปลือกหุ้มภายนอกสัตว์มีกระดูกสันหลังมีผิวหนังและส่ิงท่ีเปลี่ยนแปลงมาจากผิว หนังคือขนเกล็ดขนนก
เลบ็ และกบี เป็นต้น
5
14 โครงรา่ งค้าจุน (Skeletal support) โครงรา่ งเป็นแกนของรา่ งกายสตั ว์ท่าหน้าท่ีค่้าจุนและปอ้ งกนั
สมมาตรของสัตว์ (Animal symmetry) สมมาตรคือความสมดุลของส่วนสองส่วนที่แบ่งออกโดยระนาบ
กงึ่ กลางสตั ว์มีสมมาตรไดห้ ลายแบบ
1. สมมาตรทรงกลม (Spherical symmetry) คือระนาบทุกระนาบท่ีตัดผ่านจุดศูนย์กลางจะแบ่งร่างกาย
ออกเป็น 2 ส่วนท่ีมีขนาดเท่ากันและเหมือนกันสมมาตรแบบน้ีพบในโพรโทซัวบางชนิดเช่น Vol VOX ซึ่งเป็น
โคโลนีทรงกลมเปน็ ลักษณะทีเ่ หมาะแก่การลอยตัวหรือกล้ิงตัวไป
2. สมมาตรรัศมี (Radial symmetry) เป็นสมมาตรของสัตว์ท่ีมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกหรือรูปถ้วยแกนต้ังใน
แนวเสน้ ศูนยก์ ลางของทรงกระบอกคือเสน้ แกนยาวของล่าตวั (longitudinal axis) ระนาบทุกระนาบท่ีตัดผ่าน
เส้นแกนตั้งน้ีแล้วแบ่งสัตว์ออกเป็นสองส่วนที่เหมือนกันเป็นสมมาตรรัศมีถ้ามีเพียง 2 ระนาบท่ีตัดให้เกิด
สมมาตรไดจ้ ัดเป็น Biradial symmetry ตวั อย่างเชน่ ไฮดรา (Hydra)
3. สมมาตรของคร่ึงซีก (Bilateral symmetry) หรือสมมาตรแบบครึ่งซีกคือระนาบท่ีตัดผ่านเส้นกลางตัวตาม
แนวตั้งแล้วแบ่งสัตว์ออกเป็นสองซีกท่ีเหมือนกันแบบเงาในกระจกสัตว์ที่มีสมมาตรแบบนจี้ ะมีการก่าหนดด้าน
และบริเวณต่างๆของร่างกาย ดังน้ีคือ-ด้านหัวหรือด้านหน้า (Anterior) เป็นบริเวณของหัวจุดปลายสุดของ
ด้านหน้าในสตั วช์ ัน้ สูงคอื -ด้านท้าย (Posterior) เป็นด้านตรงข้ามกบั ดา้ นหนา้ ปลายจมูก
https://en.wikipedia.org/wiki/Symmetry_in_biology#/media/File:Diagram_comparing_bilateral,_radial,_and_spherical_symmetry.jpg
6
บทที่ 2
PHYLUM PERIFERA
Portera (ports => 1 lore = มี) ประกอบด้วยสัตว์ที่มีช่ือเรียกท่ัวไปว่าฟองน้่า (Sponges) การต้ังชื่อ
ไฟลัมน้ีสืบเนื่องจากลักษณะล่าตัวของฟองน้่ามีรูพรุนเล็ก ๆ เต็มไปหมดท้ังตัวรูพรุนเหล่าน้ีจะเป็นทางผ่านเข้า
ของน่า้ ซง่ึ เปน็ การนา่ เอาออกซเิ จนและอาหารเขา้ สู่ตวั ฟองน้่า ฟองนา่้ เป็นสัตว์ท่ไี มม่ อี วยั วะลกั ษณะเน้ือเยื่อขาด
การประสานงานระหว่างเซลล์จึงยังไม่เป็นเน้ือเย่ือท่ีแท้จริงและจากการที่ตัวแก่ของฟองน้่าเป็นสัตว์ที่เกาะอยู่
กบั ทจี่ ึงไมม่ อี วัยวะรับความรู้สึกและระบบประสาทฟองน้่าดา่ รงชีวิตในลักษณะโคโลนีขนาดของฟองน่า้ อาจเล็ก
มากประมาณ 3-4 มม. หรือมีขนาดใหญ่มากความกว้างกว่า 2 ม. ก็มีฟองน้่าส่วนใหญ่มีสีสดใส (แดงส้มเหลือง
ม่วง) เกิดจากรงควัตถุทีอ่ ยูใ่ นเซลลผ์ วิ รปู รา่ งของฟองน่้าท่ีมีความซับซ้อนน้อยท่ีสุดจะมสี มมาตรรัศมี แตฟ่ องน่้า
ส่วนใหญ่ไม่มีสมมาตรความส่าคัญของฟองน้่ามีไม่มากในสมัยก่อนมีการเพาะเล้ียงฟองน้่าถูตัวเป็นการค้า แต่
ปัจจุบันก็มีฟองน้่าวิทยาศาสตร์ซึ่งราคาถูกกว่าเข้ามาแทนท่ีส่วนความส่าคัญทางด้านวิชาการนั้นฟองน้่าเป็น
สัตว์ก่ึงกลางระหว่างส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์หลายเซลล์ชนิดที่มีเน้ือเยื่อที่แท้จริงความสัมพันธ์กับ
สิ่งแวดล้อมฟองน่้าสว่ นใหญ่ในจา่ นวนกว่า 5,000 ชนิดเปน็ ฟองน่้าทะเลมีเพยี งประมาณ 150 ชนิดเทา่ นั้นท่ีอยู่
ในนา่้ จดื ท่สี ะอาดฟองน้่าทะเลพบได้ในทะเลทุกแห่งและทุกระดบั ความลึกบางชนดิ อยู่ในน่้ากรอ่ ยตวั แก่จะเกาะ
อยู่กับส่ิงต่าง ๆ ตามชายฝ่ังทะเลบางชนิดอยู่ตามท้องทะเลท่ีเป็นโคลนหรือทรายรูปร่างของฟองน้่ามักจะ
เหมือนกับส่ิงที่เกาะอยู่และยังสัมพันธ์กับลักษณะกระแสน่้าท่ีไหลผ่านดังน้ันฟองน่้าชนิดเดียวกันจึงมีรูปร่างท่ี
แตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมที่ด่ารงชีวิตอยู่เช่นฟองน้่าในบริเวณน่้าค่อนข้างนิ่งจะต้ังตรงและสูงกว่าฟองน้่า
ในบริเวณท่ีมีกระแสน่้าไหลแรงตัวฟองน่้าเกาะอยู่กับท่ีจึงเป็นท่ีเกาะอาศัยของสัตว์อื่น ๆ มากมายเช่นด าว
เปราะขนาดเล็กที่เข้าไปอยู่ในฟองน่้าบางครั้งมีจ่านวนมากเห็นแขนท่ียื่นออกมาที่ผิวของฟองน้่าเต็มไปหมดตัว
ฟองน้่าก็อาจเตบิ โตโดยเกาะอยู่กบั สัตว์อื่น ๆ โดยเฉพาะในแนวปะการังจะพบฟองน้่าเจรญิ เติบโตอยู่ท่วั ไปตาม
แนวปะการังนอกจากน้ีฟองน้่ายังเป็นอาหารของสัตว์อ่ืนบางชนิดเช่นปลาปะการังบางชนิดและหอยฝาเดียว
บางชนิดลักษณะทั่วไปของฟองน่้าลกั ษณะของฟองน้่าทสี่ ่าคัญคือ
1. การที่เซลล์ในเน้ือเยื่อท่างานเป็นอิสระต่อกันการจัดระบบร่างกายของฟองน่้าจึงเป็นระดับเซลล์ (Cellular
grade)
2. ฟองน่า้ มกี ารหมุนเวียนนา้่ ผ่านเข้าสู่ลา่ ตัวน่้าที่ผ่านเข้าในปริมาตรสูง แตเ่ ปน็ การไหลเวียนอย่างช้าๆ (แรงดัน
ต่า) น่้าท่ีผ่านเข้าไปน้ีจะเป็นส่วนส่าคัญส่าหรับการด่ารงชีวิตของฟองน่้าคือการกินอาหารการหายใจการ
หมุนเวียนการก่าจัดของเสียและการสืบพันธ์ุจะเกิดขึ้นในขณะท่ีมีการไหลเวียนของน่้าโครงสร้างของฟองน้่า
การศึกษาโครงสร้างฟองน่้าจะศึกษาจากรูปร่างแบบที่ซับซ้อนน้อยท่ีสุดซ่ึงจะมีรูปร่างเป็นแบบทรงกระบอก
กลวง ปลายด้านหน่ึงเปิดเป็นทางผ่านออกของน่้าคือออสคูลัม (Osculum) ช่องกลางตัวคือ(spongocoel)
7
ผนังตัวของฟองน้่าประกอบด้วยเซลล์ท่ีมาเรียงตัวเป็นชั้นของเซลล์ 2 ช้ันคือช้ันของเซลล์ผิวด้านนอกหรืออิพิ
เดอร์มิสประกอบด้วยเซลล์เพียงชนิดเดียวคือพินาโคไซต์ (Pinacocyte) จึงอาจเรียกช้ันเซลล์ผิวน้ีว่าพินาโค
เดิร์ม (Pinacoderm) ส่วนด้านในเป็นเซลล์บุช่องกลางตัวคือโคเอโนไซต์ (Choanocyte) จึงเรียกว่าโคเอโน
เดิร์ม (Choanoderm) ระหว่างชั้นของเซลล์ 2 ชั้นเป็น ประกอบด้วยสารคล้ายวุ้น (Gelatinous matrix) ท่ีมี
เซลล์แบบอมีบา (Amoeboid cell) หรืออมีโบไซต์ (amoebocyte) เคลื่อนท่ีอยู่ในช้ันวนั นี้ดังน้ันตัวฟองน่้าจงึ
ประกอบด้วยเซลล์ส่าคญั 3 ชนิดคือพินาโคไซต์โคเอโนไซต์และอมีโบไซต์ทั้งอิพิเดอรม์ ิสและมีเซนไคม์ท่ีอนุโลม
ให้ใช้ได้ในฟองน้่าจะไม่สามารถเทียบได้กับอิพิเดอร์มิสและมีเซนไคม์ของไนดาเรีย (Cnidaria) และเมทาซัวอื่น
ๆ
พินาโคไซต์เป็นเซลล์แบนบางเรียงต่อกันหรือเรียงเกยกันอยู่ท่ีผิวนอกของตัวฟองน่้าและอยู่ภายในตัว
ฟองน้่าบางส่วนเช่นในบริเวณทางน้่าออกพินาโคไซต์หดตัวให้เป็นทรงกลมได้ท่าให้ตัวสั้นลงได้พินาโคไซต์
บางส่วนเปล่ียนแปลงไปเป็นเซลล์ท่ีมีช่องทะลุผ่านกลางเซลล์คือพอโรไซต์ (Porocyte) ช่องเปิดบนพอโรไซต์
คอื ออสเทีย (ostia) พนิ าโคไซต์อาจเปล่ยี นแปลงไปเปน็ เซลล์ท่ีหดตวั ไดเ้ รยี กว่าไมโอไซต์ (Myocyte) ซง่ึ จะเรยี ง
ตัวเป็นแถบล้อมรอบช่องน่้าเข้าของฟองน่้าที่มีรูปร่างแบบซับซ้อนมากข้ึนเป็นทางน้่าเข้าที่เรยี กว่าโพรโซพายล์
(Prosopyle)
โคเอโนไซต์เปน็ เซลล์ส่าคัญทีส่ ุดของฟองน้่า รูปรา่ งของโคเอโนไซต์เปน็ รปู ไขด่ า้ นหน่งึ จะฝงั อยู่ในมีโซฮิล
ด้านตรงข้ามมีแฟลเจลลัมอยู่ภายในปลอก (Collar) ซ่ึงเกิดจากแขนงของไซโทพลาซึมที่ยื่นไปข้างหน้าเป็นเส้น
ใย (Fibril) ที่มีแขนงเชื่อมระหว่างกันทางด้านข้างเรียกว่าไมโครวิลไล (Microvil) ตัวปลอกจึงมีลักษณะคล้าย
ตะแกรงกรองเอาอาหารจากน้่าการตีแฟลเจลลัมจะดึงให้นา้่ ผ่านเข้ามาในปลอกอาหารซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าทจ่ี ะ
ผ่านเข้าจะมีเมือกมาจับไว้แล้วเลื่อนไหลลงมาท่ีฐานของปลอกตัวเซลล์ จะโอบเอาอาหารเข้าไปเกิดถุงอาหาร
ภายในเซลล์มีการย่อยอาหารภายในเซลล์หรืออาจส่งอาหารไปยังอมีโบไซต์เพ่ือให้อมีโบไซต์ย่อย ท้ังพินาโค
ไซต์และโดเอโนไซตส์ ามารถเปลยี่ นแปลงรปู รา่ งไปเป็นอมโี บไซต์ได้
อมีโบไซต์เป็นเซลลท์ ่ีมีรูปร่างและการเคลื่อนท่ีแบบอมีบาอมีโบไซต์มีหน้าท่ีตา่ งๆกันหลายอยา่ งคือโครโม
ไซต์ (Chromocytes) มีรงควัตถุอยู่ธีโซไซต์ (Thesocytes) สะสมอาหารอาร์คีโอไซต์ (Archeocytes) สร้าง
เซลล์สืบพันธุ์สเคลอโรไซต์ (sclerocytes) สร้างสปีคล (spicule) สปันโกไซต์ (Spongocytes) สร้าง
(Spongin) คอลเลนไซต์ (Colencytes) เป็นอมีโบไซต์ท่ีมีเท้าเทียมยื่นออกมาประสานระหว่างเซลล์มลักษณะ
คล้ายเส้นใยคอลลาเจน โลโฟไซต์ (Lophocytes) มีลกั ษณะเปน็ เสน้ ใยมดั เลก็ ๆ
8
โครงรา่ ง
โครงร่างของฟองนา่้ จะท่าหนา้ ทค่ี ่้าจนุ ฟองน้่าให้คงรปู โครงรา่ งของฟองน้่ามี 2 ชนดิ คอื
1. (Spicule) หรือขวาก ถ้าหากเป็นสารประกอบพวกแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcarteous spicule) จะ
สร้างจากแคลโคบลาสต์ (Calcoblast) ถ้าเป็นสารประกอบซิลิกอน (Silicacaus Sticule) สร้างจากซิลิโคบ
ลาสต์ (Silicablast) สปิคลู มลี กั ษณะเป็นแท่งสารทแ่ี ข็งอาจเป็นแท่งเดยี ว หรือหลายแทง่ หามมุ กัน เช่น
สามแฉก ส่ีแฉก หกแฉก และแฉกจา่ นวนมาก สปิคลู มีรูปรา่ งและขนาดต่างๆกันปีคลู ขนาดใหญ่เรยี กว่าเมกะส
เคลยี ร์ (megascler) และขนาดเล็กเรียกว่าไมโครสเคลียร์ ( microscler)
2. สปันจิน (Spongin) เป็นเส้นใยโปรตีนสร้างจากสปันจิโอบลาสต์ (Spongioblast) ภายในเซลล์จะมี
กอ้ นของสปนั จนอยู่เส้นใยเกิดจากสปนั จิโอบลาสต์ทมี่ าทา่ งานรว่ มกนั อย่างต่อเนอื่ ง
การหมุนเวยี นนา้
การหมุนเวียนนา้่ มีความสา่ คัญย่ิงในการด่ารงชวี ติ ของฟองนา่้ น้่าผ่านเขา้ ตัวฟองน้่าในปริมาตรสูง แต่เป็น
การไหลเวียนอย่างช้า ๆ (แรงดันต่า) น้่าที่ผ่านเข้าจะน่าอาหารและออกซิเจนมาให้ฟองน้่าใช้ในการด่ารงชีวิต
และทา่ ใหเ้ กิดการหมุนเวียนการก่าจัดของเสียและการสืบพันธ์ุการหมุนเวยี นน่้าผ่านเข้าไปตามส่วนต่าง ๆ ของ
ล่าตัวเริ่มจากลักษณะการหมุนเวียนน้่าแบบง่ายแล้วพัฒนาให้มีความซับซ้อนมากข้ึนตามล่าดับพัฒนาการนี้
เกิดขึน้ เพ่ือเพ่ิมพื้นทีข่ องเนื้อเย่ือทมี่ ีหนา้ ทใี่ นการกินอาหารให้มากขนึ้ คอื เป็นการเพ่ิมพน้ื ทผ่ี วิ ของโคเอโนไซต์ท่า
ใหก้ ินอาหารได้มากขึน้ ฟองนา่้ เติบโตไดด้ ีข้ึนการหมุนเวยี นนา่้ ผ่านไปเขา้ ในตวั ฟองนา่้
http://www.nana-bio.com/shopping/linkshop/micro_digestive.html
9
โภชนาการ
ดังได้กล่าวมาแล้วในเร่ืองการหมุนเวียนน่้าและการท่างานของโคเอโนไซต์ในการน่าอาหารเข้าและกิน
อาหารโดยการเกิดถุงอาหารภายในเซลล์นอกจากน้สี ารประกอบตา่ ง ๆเช่น เกลือของซิลิกาและแคลเซียมจะถูก
ดูดซับไว้ในขณะท่ีน่้าหมุนเวียนผ่านเข้ามา การกินอาหารส่วนใหญ่จะเป็นการกินของโคเอโนไซต์ แต่อมีโบไซต์
พอโรไซต์และแม้แต่พินาโคไซต์ต่างก็สามารถกินอาหารได้ปริมาณของอาหารท่ีกินสัมพันธ์กั บปริมาณของน้่าที่
ผ่านเข้ามาสัมผัสกับเซลล์การพัฒนาเป็นไซโคนอยด์และลิวโคนอยด์ จึงเป็นการพัฒนาเพ่ือเพิ่มพ้ืนที่ผิวที่จะ
สัมผัสกับน่้าและเป็นการพัฒนาการหมุนเวียนน่้าให้ดีขึ้นการย่อยอาหารเกิดในถุงอาหารและสารอาหารท่ีย่อย
จะซึมผ่านผนังของถุงอาหารออกมาเช่นเดียวกับโพรโทซัวฟองน้่าท่ีมีโคเอโนไซต์ขนาดใหญ่เช่น Scypha,
Grantia จะมีการย่อยอาหารในโคเอโนไซต์ แต่ฟองน่้าส่วนใหญ่เซลล์ที่กินอาหารจะไม่ย่อยอาหาร แต่จะ
ส่งผ่านไปให้อมีโบไซต์ท่าการย่อยอมีโบไซต์จะเคล่ือนที่ไปและน่าเทาราหารไปยังเซลล์ต่าง ๆ เช่นเซลล์ท่ีท่า
หนา้ ที่สะสมอาหาร เซลล์ทร่ี ะพัฒนาไปในทารสบื พันธุ์เปน็ ตน้
การหายใจและขบั ถา่ ย (Respiration and Excretory system )
ฟองน้า่ ไม่มีอวยั วะในการหายใจและขับถ่าย แต่ฟองน่า้ ไดร้ ับออกซิเจนและก่าจัดของเสยี โดยวิธีการแพร่
ผ่านเย่ือหุ้มเซลล์ของแต่ละเซลล์ นอกจากน้ีอมีโบไซต์และโตเบโนไซด์ของฟองน่้าน้่าจัดยังมีคอนแทร็กไทล์
แวคิวโอลอย่ดู ้วย
จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมในการด่ารงชั่วิตของฟองน้่าจะต้องอาศัยการไหลเวียนของกระแสน่้าผ่านตัวซึ่งมี
แรงดันน้่าที่ต่ามาก เช่น ฟองน่้าลิวโคนอยด์ชนิด levconia ซึ่งเป็นฟองน่้าขนาดเล็กสูงไม่เกิน 10 รวม
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ชม. จะมีท่อน่้าเข้า (Incurrent canal) ประมาณ 81,000 ท่ออัตราเร็วของน่้าใน
การไหลผ่านท่อเหล่านี้จะอยู่ประมาณ 0.1 ซม. ต่อวินาทีส่าหรับแขนงรัศมี (Radial canal) ซ่ึงมีอยู่กว่า 2
ล้านซชอ่ งอัตราเร็วของน้่าไหลผ่านลดลงเหลือ 0.001 ชม. ต่อวนิ าทีอัตราการไหลที่ชา้ มากนที้ ่าให้โคเอโนไซต์มี
เวลาจะดักจับอาหารที่มากับน้่าและมีการแลกเปล่ียนแก๊สได้อัตราเร็วของน่้าท่ีไหลอ อกไปทางอยส คลัม
ประมาณ 8.5 ซม. ต่อวินาทีแรงดันน่้าท่ีเพิ่มขึ้นนี้จะส่งกากอาหารและของเสียให้พุ่งออกไปไกลตัวส่าหรับการ
ตอบสนองของฟองน้่าต่อส่ิงเร้ามีน้อยมากและถ้ามีการตอบสนองก็เป็นไปอย่างช้า ๆ เช่น ช่องเปิดบนล่าตัว
ฟองนา่้ สามารถหดปิดและเปดิ ออกได้ช้ามาก
การสืบพันธุ์ (Reproductive system )
ฟองน่้าสืบพนั ธทุ์ ัง้ แบบอาศยั เพศและแบบไม่อาศัย
เพศการสบื พนั ธแุ์ บบไม่อาศัยเพศ เปน็ การแตกหน่อ (Budding) การแตกหนอ่ ภายนอก (External budding)
หน่อใหม่ที่เกิดขึ้นจะเจริญจนมีขนาดพอควรจึงหลุดจากตัวแม่เจริญเป็นตัวใหม่หรืออาจคงอยู่ในลัก ษณะของ
10
โคโลนี้ส่วนการแตกหน่อภายใน (Internal budding) หรือการเกิดเจมมูล (Gemmulation) จะเกิดในฟองน่้า
น่้าจืดและฟองน่้าทะเลบางชนดิ การสร้างเจมมูลมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องคือแสงและอุณหภูมิเจมมูลเกิดจากอาร์คโี อ
ไซด์มารวมตัวกันอยู่ในมีโซฮิลแล้วมีเปลือกไคตินหุ้มและอาจมีหรือไม่มีขวากซิลิกอนมาหุ้ม เม่ือตัวแม่ตายไป
เจมมูลยังคงอยู่รอดได้เป็นลักษณะการด่ารงพันธุ์แบบหนึ่งการฟักตัวของเจมมูลไม่เก่ียวข้องกับฤดูกาล แต่เชื่อ
ว่าเกิดจากปัจจัยภายในและความต้องการอาหารมีการค้นพบว่าเจมมูลของฟองน่้าบางชนิดจะสร้างสารห้าม
การฟักตัวในระยะแรกของการเกิดเจมมูลเจมมูลฟักออกมาทางช่องเปิดเล็ก ๆ ที่เรียกว่าไมโครพายล์
(Micropyle) การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศฟองน้่ามีท้ังชนิดที่เป็นโมนีเชียส (Monoccious) และชนิดที่เป็นไตยี
เชียส (Dioecious) ถ้าเป็นโมนีเซียสจะเป็นแบบโพรแทนตรี (Protandry) คือการที่สัตว์ท่ีมีเพศรวมจะผลิต
สเปิร์มก่อนผลิตไข่อาร์คีโอไซต์และโคเอโนไซต์ของฟองน้่าจะแปรสภาพไปเป็นไข่และสเปิร์มเกิดการปฏิสนธิ
ข้ามตัวอยู่ในมีโซฮิลเอมบริโยเจริญเป็นตัวอ่อนอยู่ในมโี ซซิลแล้วจึงออกมากับกระแสน้า่ ทางระบบหมุนเวียนน่า้
ตวั อ่อนของฟองน้า่ มี 2 แบบคอื
1. แอมฟิบลาสทูลา (Amphibiastula) เป็นระยะตัวอ่อนของฟองน่้าใน Class Calcispogas และ
Subclass Hormoscleromorpha ของ Class Demospongine ไข่ท่ไี ด้รบั การปฏสิ นธิจะพฒั นาข้นึ มาเป็นตัว
อ่อนที่มีลักษณะคล้ายระยะบลาสทูลาคือเซลล์ที่เรียงตัวรอบบลาสโทซิลจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มเซลล์ขนาด
ใหญ่เรียกว่ามาโครเมียร์ (macromere) มีช่องเปิดอยู่กลุ่มเซลล์ขนาดเล็กที่มีแฟลเจลลัมหันเข้าหาบลาสโทซี
ลเรียกว่าไมโครเมียร์ (Microrerc) จากน้ันไมโครเมียร์จะปลิ้นด้านในออกมาด้านนอกทางช่องเปิดของมาโคร
เมียร์แฟลเจลลัมของไมโครเมียร์จึงออกมาอยู่ ภายนอกเรียกตัวอ่อนระยะน้ีว่าแอมฟิบลาสทูลา
(Amphiblastula) ซ่ึงจะเข้าสู่ระบบหมุนเวียนน้่าและออกมาภายนอกเม่ือหาที่เกาะได้แล้วเกิดแกสทรูเลช่ันไม
โครเมียร์จะเป็นด้านที่ปุ่มลงไปในบลาสโทซิลเซลล์ในไมโครเมียร์จะพัฒนาไปเป็นชั้นเซลล์ช้ันในคือโคเอโนเดิร์
มส่วนมาโครเมียร์พัฒนาไปเป็นชั้นเซลล์ผิวลักษณะนี้ต่างจากไนดาเรียและเมทาตัวอื่น ๆ ซึ่งเซลล์ที่มีแฟล
เจลลัมจะพัฒนาไปเป็นอิพิเดอร์มิสดังน้ันเมื่อ 2 ช้ันของฟองน้่าจึงเรียกว่าเย่ือผิวหนัง (Dermal epithelium)
แทนเอคโทเดิร์มและเยื่อบุภายใน (Tinner epithelium) แทนเอนโดเดิร์มตัวอ่อนจะยึดเกาะทางด้านไมโคร
เมยี รแ์ ละทะลุดา้ นตรงข้ามออกเป็นออสคูลัม
2. พาเรนไคมูลา (Prenchymula) เป็นตัวอ่อนของฟองน่้าส่วนใหญ่ ลักษณะตัวอ่อนเป็นก้อนเซลล์ที่ตัน
ผิวนอกเปน็ เซลล์ที่มแี ฟลกเจลลัม จงึ ว่ายน่า้ ไดด้ ี เซลลท์ ่อี ยภู่ ายในเป็นอาร์คีโอไซตห์ ลงั จากตัวอ่อนยึดเกาะแล้ว
เซลลแ์ ฟลเจลเลตที่ผิวจะเคลื่อนที่เข้าไปภายในตรงช่องของระยะรากอน (Rhagon stage) รากอนมผี นังท่ีหนา
มาก
เย่อื ชนั้ โคเอโนไซตโ์ ปงยืน่ เขา้ ไปในมโี ชฮลิ เกดิ เปน็ ถุงโดยรอบเหมือนไซโคนอยด์และถ้ามีการโปง่ ออกจากถุงเดิม
นี้ก็จะมีลักษณะแบบลิวโคนอยด์ แต่ยังคงเป็นการโปงยื่นออกของโคเอโนไซต์เท่านั้น ต่างจากไซโคนอยด์และ
11
ลิวโคนอยด์ที่เป็นการโปงของผนังตัวฟองน้่าท่ีมีทางเดินน่้าพัฒนามาจากรากอนนั้นจะมีช่องว่างใต้เนื้อเย่ือผิว
(Subdermal space) ซึง่ จะรบั น่า้ จากชอ่ งเปิดของเยือ่ ผวิ (Dermal pore) และมีแขนงสง่ น้่าไปตามถงุ เหลา่ น้ี
การงอกใหม่ (regeneration) และการเกดิ เอมบรโิ อจากเซลลร์ ่างกาย (somatic embryogenesis)
ฟองน่้ามีความสามารถสูงในการงอกใหม่เพ่ือเสริมสร้างส่วนท่ีเกิดบาดแผลหรือขาดหายไปจึงเป็นการ
งอกใหม่ (Regeneration) เพ่ือรักษาบาดแผล แต่ถ้าฟองน่้าถูกตัดออกเป็นช้ินขนาดเล็กหรือถ้าแยกเซลล์ใน
ฟองน้่าออกจากกันหมดแล้วปล่อยท้ิงไว้จะเกิดการรวมกลุ่มเป็นเชลล์กลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งชิ้นของฟองน้่าแต่ละชิ้น
และกลุ่มเซลล์แต่ละกลุ่มสามารถเติบโตข้ึนมาเป็นฟองน่้าใหม่ได้การเกิดฟองน้่าแบบนี้เป็นการเกิดเอมบริโอ
จากเซลล์ร่างกาย (Somatic embryogenesis) ซึ่งให้ประโยชน์ในการเพาะเล้ียงฟองน้่าถูตัวท่ีเป็นฟองน้่า
เศรษฐกิจในสมัยก่อนการรวมตัวของเซลล์จะเกิดข้ึนในสปีซี่เดียวกันและพบว่าอมีโบไซต์เป็นเซลล์ท่ีท่าหน้าที่
รวบรวมเซลลเ์ ขา้ ดว้ ยกัน
การจดั หมวดหมู่
ฟองน่า้ จา่ แนกตามลกั ษณะของโครงร่างเป็น 4 คลาส
Class 1 Calcispongiae (Calcarea) เรียกว่าฟองน่้าแคลคาเรีย (Calcareous sponge) เนื่องจากเป็น
ฟองน้่าท่ีมีสปิคูลที่เป็นสารประกอบหินปูนสปคิ ูลอาจเป็นแท่งเดยี วหรือเปน็ แฉก 3 แฉกหรือ 4 แฉกแท่งสปิคูล
มกั จะแยกจากกัน แตบ่ างชนิดก็รวมตวั กันเปน็ กลมุ่ กอ้ นขนาดของสปิคูลเท่ากนั ลักษณะการหมุนเวยี นน้่ามีท้ัง 3
แบบไข่และสเปิร์มเปล่ียนแปลงมาจากโคเอโนไซต์และปฏิสนธิภายในฟองน้่ากลุ่มน้ีมีขนาดเล็กสูงไม่เกิน 10
ซม. และมกั อยู่รวมกันเป็นกลุ่มสว่ นใหญ่มีสีคล้า่ แต่บางชนดิ มสี ีสดเช่นสีเหลืองสแี ดงสเี ขียวเปน็ ต้นฟองน่้าแคล
คาเรียดา่ รงชวี ิตอยู่ในบริเวณชายฝ่ัง
Leucosoleria เป็นฟองน่้าทะเลในบริเวณน่้าตื้นการหมุนเวียนน้่าแบบแอสโคนอยด์มีการแตกหน่อ
ออกไปเป็นโคโลนีหนอ่ มกั งอกออกจากแขนงท่ีเกาะไปตามพ้ืน (Stolon like) สปคิ ูลแฉกเดยี วและสามแฉก
Scypha (Sycon) เป็นฟองน้่าที่อยู่เดี่ยว ๆ (Solitary sponge) หรือเป็นโคโลนี้จากการแตกหน่อรูปร่าง
ของ Scypha คล้ายแจกันสูงประมาณ 1-3 ชม. ทางเดินน่้าแบบไซโคนอยด์ท่ีออสคูลัมมีสปิคูลย่ืนออกมา
โดยรอบเพื่อป้องกันไม่ใหส้ ตั วเ์ ล็ก ๆ ผา่ นเขา้ ไป Scypha เปน็ สกุลของฟองน้่าในอเมริกาเหนือซึง่ มักจะเกิดการ
สับสนกับ Grantia ซึ่งเป็นสกุลของฟองน่้าทางแถบยุโรปฟองน่้า 2 สกุลนี้แตกต่างกันตรงท่ี Seypha ไม่มีคอร์
เท็กซ์ซ่ึงเป็นเน้ือเยื่อปกคลุมตัวทางด้านนอก Scypha มีเพียงเยื่อบาง ๆ ยึดระหว่างแขนงรัศมีเอาไว้ แต่
Grantia เปน็ Complex syconoid
Class 2 Hyalospongiae (Hexactinelida) มีช่ือเรียกทั่วไปว่าฟองน่้าแก้ว (Glass sponge) ส่วนใหญ่
ด่ารงชีวิตอยู่ในทะเลลึกประมาณ 500-1,500 เมตรและมีสมมาตรรัศมีมีลักษณะรูปร่างคล้ายแจกันหรือกรวย
12
มักเกาะกับพ้ืนโคลนโดยก้านหรอื รากที่เป็นสปิคูล (Root spicules) ขนาดของฟองน่้าแก้วสูงประมาณ 7.5-10
ชม. หรืออาจมากกว่า 1.3 เมตรลักษณะเด่นคือมีสปิคซิลิกอนแบบหกแฉกที่สานต่อกันเป็นตาข่ายเป็นสปิคู
ลเด่นท่าให้มีลักษณะคล้ายถ้วยแก้วจัดเป็นโครงร่างแข็งแรงสปิคูลมีท้ังขนาดเล็กและขนาดใหญ่การจัดเรียงตัว
ของฟองน้่าแกว้ มีลักษณะต่างจากฟองน่้าอ่ืน ๆ ท้ังหมดล่าตัวที่เป็นท่อล้อมรอบสปองโกซิลน้ันไม่มีพินาโคเดิร์ม
ปกคลุม แต่จะมีเย่ือผิวหนังบาง ๆ (Filmlike dermal membrane) คลุมอยู่บนโครงร่างบนเยื่อน้ีจะมีรูเปิด
(Ostia) ใหน้ ่้าผา่ นเข้าชั้นมโี ซฮิลไม่มีสารกน้ั อาร์คีโอไซตแ์ ละคอลเลนไซต์มีเทา้ เทียมย่นื ยาวออกมาเชื่อมสานกัน
เป็นตาข่าย (trabecular net) ภายในตาข่ายนี้จะมีช่องคล้ายน้ิวมือ (Finger-shape charnber) ซึ่งบุด้วยโคเอ
โนไซตแ์ ละเปิตออกสปองโกซิลกระจายอยู่ออสคลู ัมมีขนาดใหญแ่ ละมีแผ่นตะแกรง (Seivelike plate) ปดิ คลมุ
อยู่ลักษณะของ Charmber ที่คล้ายนิ้วมือท่าให้มีลักษณะค่อนมาทางลิวโคนอยด์ แต่โครงสร้างก็ตา่ งจากลวิ โค
นอยด์อ่ืน ๆ ทั้งปวงเพราะมีโคเอโนไซต์กระจายอยทู่ ้ังหมดไม่ได้มีเฉพาะใน chamber ย่อยจึงไม่อาจจดั เปน็ ลวิ
โคนอยด์ได้
Class 3 Demospongiae มีฟองน่้าประมาณร้อยละ 95 ของฟองน่้าทั้งหมดในไฟลัมส่วนใหญ่เป็นฟองน่้า
ขนาดใหญ่สปิคูลเป็นสารซิลิกอนท่ีไม่เป็นหกแฉกฟองน้่าในกลุ่มน้ีมีหลายชนิดที่มีสปันจนเป็นที่ฝังตัวของชวาก
และบางชนิดมีเฉพาะสปันจินอย่างเดียวทางเดินน่้าเป็นแบบลิวโคนอยด์ด่ารงชีวิตในทะเลยกเว้น Family
Spongilidae ทเี่ ปน็ ฟองน้า่ น้า่ จดื
ฟองน้า่ น่้าจดื กระจายท่ัวไปในน่้าท่มี ีออกซเิ จนสูงฟองน้่าน่้าจดื จะอยเู่ ปน็ กลุ่มก้อนเกาะอยู่ตามก่ิงก้านของ
พชื น้่าหรอื ชิ้นไม้ในน้่าลักษณะคล้ายเศษส่ิงของที่มีรูพรุนสีอาจเป็นสีออกน้า่ ตาลหรือสีออกเขียวสกุลที่พบทั่วไป
คือ Spongile และ Myenia ฟองน่า้ นา้่ จดื เติบโตดใี นช่วงกลางฤดรู ้อน แต่บางชนดิ พบในฤดูร้อนฟองน่้าทะเลมี
ขนาดรูปร่างและสีท่ีแตกต่างกันมากบางเป็นกลุ่มก้อนบางกลุ่มเป็นทรงสูงและแตกแขนงคล้ายนิ้วบางชนิดเต้ีย
และแผก่ วา้ งบางชนดิ เจาะฝังเขา้ ไปในเปลือกหอยบางชนิดมีรปู รา่ งคล้ายพัดแจกันหรือลูกบอลเปน็ ตน้
Class 4 Sclerospongjae มีฟองน่้าน้อยชนิดฝังตัวอยู่ตามรอยแยกของแนวปะการังจึงมักเรียกว่าฟองน้่า
ปะการัง (Coraline sponge) ทางเดินน้่าแบบลิวโคนอยด์มีสปิคูลเป็นสารซิลิกอนและมีสปันจินและมีช้ันของ
หินปูนเป็นโครงร่างบาง ๆ หุ้มตัวลักษณะอื่น ๆ เหมือนฟองน้่าใน Class Demospongine
13
บทที่ 3
PHYLUM CNIDARIA
Cnidaria (knide = ท่าให้ระคายเคือง + arua = เก่ียวข้องกับ) เป็นสัตว์กลุ่มใหญ่มีจ่านวนกว่า 9000
ชนิด ช่ือไฟลัมได้มาจากเซลล์ที่เรียกว่าไนโดไซต์ (Cnidocytes) ไนโดไซต์มีออร์แกเนลล์เป็นถุงเข็มพิษท่ี
เรยี กวา่ นมี าโทซสี ต์ (Nematocysts) เปน็ ลกั ษณะเฉพาะของไฟลัมนีมาโทชีสต์พบได้ในไนดาเรยี และพบในสัตว์
ใน Phylum Ctenophora อีกเพียง 1 ชนิดเท่าน้ัน ช่ือไฟลัมเดิมคือ Coelenterata (koilos = กลวง
+enteron = ทางเดินอาหาร + ata = มีลักษณะ) ซึ่งจะรวมเอา Ctenophora ไว้ด้วยเพราะมีลักษณะล่าตัว
กลวงเชน่ เดียวกนั สตั วใ์ นไฟลัมไนดาเรียน้ดี ่ารงชีวติ ในทะเลในบริเวณน่า้ ต้ืนเปน็ ส่วนใหญ่ แตม่ บี างชนิดท่ีอยู่ใน
นา่้ จืด
ลักษณะท่ัวไป
1. ไนดาเรียเปน็ สตั วน์ ้า่ ในทะเลเปน็ สว่ นใหญ่ บางชนิดอยใู่ นน้า่ จดื
2. สมมาตรรัศมี (Radial symmetry)
3. รปู รา่ งแบบพ้นื ฐานมี 2 แบบคอื โพลิป (polyp) และ เมดชู า (medusa)
4. โครงร่างภายนอกหรอื ภายในเป็นองค์ประกอบประเภทไคติน แคลเซียม หรือ โปรตนี
5. ผนังตวั ประกอบดว้ ยเน้ือเย่ือ 2 ช้ัน (Diploblastic) อิพิเดอร์มิส และแกสโทรเดอรม์ ิส
(Gastrodermis) และมีมีโซเกลยี (Mesoglea) คน่ั กลาง ไนดาเรียบางชนดิ มีเซลลแ์ ละเย่ือเก่ียวพันอยู่ใน
มีโซเกลยี เนื้อเยื่อทั้งสองชนั้ ท่างานในลักษณะของเน้อื เย่ือ เชน่ การหดส่วนลา่ ตวั เป็นการทา่ งานร่วมกัน
ระหวา่ งเซลล์เยอ่ื บแุ ละการประสานงานของเซลลป์ ระสาท ดังนั้นจึงจดั ไนดาเรยี ไวใ้ นระดับเนอ้ื เยื่อ (Tissue
grade)
6. โพรงแกสโทรวาสคลู าร์ (Gastrovascular cavity) เปน็ โพรงกลางตัวมชี ่องเปดิ เพียงช่องเดยี วท่าหน้าทเ่ี ป็น
ปากและทวารหนั มกั จะมีหนวดรอบปากหรือในบรเิ วณของปาก
7. ในโดไซต์จะอยู่ในอิพิเดอร์มสิ หรือแกสโทรเดอร์มิส หรือพบในเนื้อเย่อื ทัง้ สองชั้น ไนโดไซตม์ ีมากที่บรเิ วณ
หนวดซ่ึงอาจเรยี งตวั กนั เป็นกลมุ่ เรยี กว่า แบตเตอร่ี
8. มตี าขา่ ยของเซลล์ประสาท (Nerve net) เซลล์ประสาทมแี ขนงแอกซอน (Axon) ทีป่ ระสานเข้ากับเซลล์รบั
ความรู้สกึ
14
9. ระบบกลา้ มเนื้อเปน็ เสน้ ใยตามยาวและตามขวางแตกแขนงออกจากเซลล์บุผวิ ดา้ นนอกและด้านในของผนงั
ล่าตัว
10. ไมม่ รี ะบบขบั ถา่ ยและระบบหายใจ
11. ไม่มีชลี อม (Acoelom)
การมรี ูปรา่ งสองแบบหรอื ไดมอฟิซมึ (Dimorphism)
ไนดาเรียมีลกั ษณะรูปร่างท่ีแตกต่างกันสองแบบ และรูปรา่ งท้ังสองแบบนอ้ี าจจะมีอยูใ่ นแตล่ ะภาคของวฏั จักร
ชีวติ รูปร่างทีเ่ ป็นรปู แบบพนื้ ฐานสองแบบนค้ี ือ
1. แบบโพลิป (Polyp) เป็นรปู รา่ งแบบทรงกระบอกปลายด้านหนึ่งเปน็ ฐาน ใช้ในการอดื เกาะกับส่งิ ต่างๆ
เปน็ แวน่ ฐาน (Pasal disc) หรือแวน่ เทา้ (Pedal disc) ส่วนลา่ ตวั ท่ีเปน็ ทรงกระบอก (Column body) เป็น
ทอ่ ตั้งขนึ้ ปลายด้านบนคือ แวน่ ปาก (Oral disc) ประกอบด้วยแผ่นเนอื้ ทน่ี นู สูงข้นึ เรยี กวา่ ไฮโพสโทม
(Hypostome) ช่องปากอยูก่ ่ึงกลางไฮโพสโทม ทรี่ อยต่อระหวา่ งลา่ ตวั และแว่นปากจะมีหนวดเรียงตวั โดยรอบ
และอาจมีหนวดเรยี งตัวอย่บู นไฮโพสโทมรอบๆช่องปาก
(ทม่ี า : http://frisch-animiert.ch/wp-includes/js/swfupload/polyp-and)
15
2. แบบเมดูชา (Medusa) มีลักษณะคล้ายร่มหรือระฆัง เพ่ือให้ง่ายแก่การศึกษารูปร่างแบบเมดูชา จึงใช้
วิธีเปรียบเทียบจากโพลิปคือ ถ้าตัดโพลิปส่วนฐานออกประมาณครึ่งตัว จากน้ันดึงเอาเน้ือเยื่อผนังตัวมาเชื่อม
เข้าด้วยกัน ล่าตัวจะมีลักษณะเป็นรูปถ้วยแลว้ ดงึ ปากให้ยาวออกเป็นงวง เมื่อจับคว่าลงแว่นปากจะอยู่ด้านล่าง
โดยมีหนวดอยู่ที่ชอบของแว่นปากปากยาวห้อยลงมาเป็นงวงคือ มานูเบรียม(Manubrium) และมีช่องปากอยู่
ปลายงวง ดังนั้นเราจะได้ในดาเรียท่ีมีลักษณะเป็นถ้วยคว่าลงหรือคล้ายร่มหรือระฆัง จากลักษณะดังกล่าวน้ี
ด้านบนของเมดูซาจะนูนโค้งเป็นแบบร่ม เรียกว่า เอกซ์อัมเบรลลา(Exumbrella) ด้านล่างคือแว่นปากท่ีอยู่
ระหว่างขอบถ้วยกับงวงจะเว้าขึ้นเป็น ซับอัมเบรลลา (Subumbrela)มีหนวดอยู่ขอบถ้วยและมีงวงปากอยู่
กึ่งกลางของซับอัมเบรลลาจากปากเป็นช่องท่ีมีลักษณะเป็นท่อตามลักษณะของงวงซึ่งจะยาวไปถึงโคนงวง ใน
ส่วนของตัวถ้วยซึ่งควรจะมีโพรงขนาดใหญ่แต่ส่าหรับเมดูซาผนังตัวของเอกซ์อัมเบรลลากับซับอัมเบรลลาจะ
ประกบกันเหลือเพียงท่อเลก็ ๆ 4 ท่อแยกออกจากโคนงวง โพรงแกสโทรวาสคูลาร์ของเมดูชาจึงมีลกั ษณะเปน็
ระบบท่อซ่ึงเป็นท่อหลัก 4 ท่อในแนวรัศมี (Radial canals) ท่าให้สมมาตรของเมดูซาเป็นเททราเมอรัส
(Tetramerous) คือ แบ่งล่าตวั ออกเป็น 4 สว่ นท่สี มมาตรกนั หรือเปน็ จ่านวนทวีคูณของ 4 เมดูซาของไนดาเรีย
อาจมีโพรงแกสโทรวาสคูลาร์ตรงบริเวณโคนงวงท่ีพองออกเป็นถุง 4 ถุงก่อนจะเป็นท่อรัศมีถุงเหล่านี้คือถุง
กระเพาะ (gastric pouches) และมานูเบรียมจะปรับเปลี่ยนเป็นหนวดรอบปาก (oral arm) 4 เส้นหรือ
มากกวา่ 4 เส้นดังเชน่ ท่พี บในแมงกะพรุนหลายชนดิ
เน้ือเยอื่
เนือ้ เย่อื ไนดาเรยี มเี นื้อเย่อื 2 ชน้ั ทพี่ ฒั นามาดกี วา่ ฟองน้่าคือมีการทา่ งานประสานกันตามลักษณะของ
เนือ้ เยอื่ การศกึ ษาชนั้ เนื้อเยื่อจะใช้ไฮดราเป็นลักษณะพ้ืนฐานโดยจะศกึ ษาถึงเซลล์ในแต่ละชั้นเน้ือเย่ือดงั นค้ี ือ
1. อพิ เิ ดอรม์ สิ เป็นเนอ้ื เยื่อด้านนอกของผนงั ลา่ ตัวประกอบด้วยเซลล์หลายชนดิ คอื
1.1 เซลล์อิพิธีลีโอมาสคูลาร์ (Epitheliomuscular cell) เป็นเซลล์ส่วนใหญ่ของอิพิเดอร์มิสท่าหน้าท่ี
ห่อหุ้มส่วนภายในเซลล์ทรงสูงหรือเป็นส่ีเหลี่ยมจัตุรัสท่ีฐานของเซลล์มีเส้นใยกล้ามเนื้อย่ืนยาวออกตามความ
ยาวของล่าตวั เปน็ ใยกลา้ มเนอื้ ตามยาว (longitudinal muscle) เวลาเส้นใยกล้ามเนอื้ หดตัวทา่ ให้ตัวสัน้ ลง
1.2 เซลลอ์ ินเทอรส์ ท่ีเชยี ล (Interstitial cell) เป็นเซลลท์ ่ีแทรกอยู่ระหว่างฐานของเซลล์อิพิธีดีโอมาส
คลู ารแ์ ละยงั สามารถเพม่ิ จา่ นวนของตัวเซลล์เองไดด้ ้วย
1.3 เซลล์ต่อม (Gland cell) เป็นเซลล์ทรงสูงสรา้ งเมือก ส่าหรับยึดเกาะจึงมีมากบริเวณแว่นเท้าและ
รอบปากและยังอาจสร้างฟองอากาศด้านลา่ งของแว่นเท้าเพ่ือการลอยตัวเซลล์ต่อมของโพลปิ บางชนิดจะสรา้ ง
เมือกไคตนิ หรือโครงร่างหินปูนหุ้มตวั ไว้
16
1.4 ในโดไซต์ (Cnidocyte) เป็นเซลล์จ่าเพาะที่สร้างออร์แกเนลล์พิเศษท่ีมีเข็มพิษคือนีมาโทซีสต์
(nematocyst เพ่ือใช้ในการจับอาหารป้องกันตัวและยึดเกาะเดิมเคยเรียกเซลล์น้ีว่าไนโดบลาสต์
(Cnidoblast)
1.5 เซลล์รับความรูส้ ึก (Censory cells) กระจายอย่รู ะหว่างเซลล์อิพิเดอร์มสิ โดยเฉพาะที่บรเิ วณรอบ
ๆ ปากและหนวดและบนแว่นเท้าปลายเซลล์ด้านที่เป็นอิสระจะมีแฟลเจลลัมหน่ึงเส้นใช้เป็นอวัยวะรับ
ความรู้สึกเก่ียวกับสารเคมีและการสัมผัสปลายอีกด้านหน่ึงแตกเป็นแขนง เล็กๆซึ่งจะประสานเข้ากับเซลล์
ประสาท
1.6 เซลล์ประสาท (Nerve cell) เป็นแบบที่มีแขนงย่ืนออกไปหลายแขนง (multipolar) แต่พวกที่
เจรญิ ดีข้นึ จะมีเพียง 2 แขนงแขนงแอกซอนซึ่งมีหลายแขนงจะประสานกับเซลล์ประสาทอื่น ๆ เกดิ เปน็ ตาข่าย
ของเซลลป์ ระสาท และประสานกับเซลล์รับความรู้สกึ และอวยั วะตอบสนอง
2. แกสโทรเดอร์มสิ บุอยู่ในโพรงแกสโทรวาสคูลาร์หรอื ซีเลนเทอรอน ประกอบด้วยเซลล์หลายชนดิ
การกนิ อาหารในดาเรีย
กินสัตว์อ่ืนเป็นอาหาร (Carnivores) เน่ืองจากส่วนใหญ่เป็นพวกท่ีไม่เคลื่อนที่ดังนั้นหนวดจึงเป็นส่วน
ส่าคัญในการกินอาหารหนวดของไนดาเรียส่วนใหญจ่ ะยาวและไม่แตกแขนง แต่บางชนิดก็สั้นและมีส่วนปลาย
ขยายออกเรียกว่า Capitate tentacle เส้นหนวดอาจกลวงซึ่งเป็นชอ่ งกลวงท่ีต่อมาจากแกสเทอรอนหรืออาจ
ตันโดยมีแกสโทรเดอร์มิสท่ีประกบกันเป็นแกนจ่านวนหนวดของไนดาเรียแตกต่างกันไปในชนิดต่าง ๆ และ
แม้แต่ในชนิดเดียวกันก็ยังมีจ่านวนหนวดท่ีต่างกันหนวดปรับตัวเพื่อใช้จับอาหารจึงมีในโดไซต์กระจายอยู่บน
หนวดหรืออาจเรียงตัวกันเป็นกลุ่มโดยมีในโดไซต์ขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยไนโดไซด์ขนาดเล็กหรือ เรียกว่า
แบตเตอร่ี (Ateries) เวลามีเหย่ือมาแตะถูกหนวดจะพุ่งน้ีมาโทชิสต์ออกมาฆ่าเหย่ือแล้วหนวดจับอาหารส่งเข้า
ปากผา่ นไปยังแกสเทอรอนเซลลต์ ่อมสร้างน้่าย่อยพวกโปรตีเอส (Protease) ออกมายอ่ ยจากนน้ั อาหารโปรตีน
ท่ยี ่อยในขนั้ ตน้ รวมทงั้ ลิปดิ และแป้งจะถูกเซลล์นิวทรที ป่ี โอบเขา้ ไปเปน็ ถงุ อาหารเกิดการย่อยจนสมบูรณภ์ ายใน
เซลล์สารอาหารท่ไี ด้จากการย่อยจะสง่ ออกไปยงั เซลล์อ่ืน ๆ
การหายใจ (Respiratory system )
การหมุนเวียนการขับถ่ายการหายใจหมุนเวียนขับถ่ายของไนดาเรียเป็นการแพร่ผ่านเข้าออกจากเยื่อ
ห้มุ เซลล์
17
ระบบประสาท (Nervous system )
ตาข่ายประสาทของในดาเรียเป็นตัวอย่างของระบบประสาทแบบแผ่นกระจายสองตาข่ายท่ี
ประสานกันแอกซอนของเซลล์ประสาทจะประสานกับเซลล์ประสาทอื่นหรือประสานตรงจุดเชื่อมกับเซลล์รับ
ความรู้สึกเพ่ือรับรู้ต่อสิ่งเร้าและประสานกับอวัยวะตอบสนองคือเซลล์อิพิธีลีโอมาสคลาร์และไนโดไซต์ กระแส
ประสาทในสัตวช์ ้นั สูงจะเคลื่อนไปในทศิ ทางเดียวแต่ส่าหรับไนดาเรยี ย้อนกลับได้
การสบื พนั ธุ์ (Reproductive system)
ไนดาเรียมีการสืบพันธ์ุทงั้ แบบไม่อาศัยเพศและอาศัยเพศ ในดาเรียทกุ ชนิดมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัย
เพศโดยการแตกหน่อโพลิปจะแตกหน่อออกจากโพลิปเดิมเท่าน้ัน แต่เมดูซาอาจแตกหน่อ ออกจากโพลิปหรือ
อาจจะแตกหน่อจากเมดูซาการแตกหน่อโดยท่ีหน่อไม่หลุดออกไปท่าให้เกิดโคโลน้ีซึ่งจะพบในไฮโดรซัวและ
แอนโทซัว ส่าหรับการสืบพันธแ์ุ บบอาศัยเพศในดาเรียส่วนใหญ่มีเพศแยกเซลลส์ ืบพันธเ์ุ กิดจากเซลลอ์ ินเทอร์ส
ที่เชียลของอิพิเดอร์มิสหรอื แกสโทรเดอร์มิส การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศมักเกิดในเวลาที่อากาศอุ่นข้ึนไฮโดรซวั
ส่วนใหญ่และไซโฟซัวสร้างเซลล์สบื พันธใ์ุ นเมดูซา แต่แอนโทซัวสร้างเซลล์สืบพันธุ์จากเย่ือชน้ั ในของโพลิปการ
ปฏิสนธิมักเกิดในตัวแม่หรืออาจปฏิสนธิภายนอกตัวไซโกตพัฒนาขึ้นมาเป็นตัวอ่อนที่ว่ายน่้าได้คือตัวอ่อนพ
ลานูลา (planula larva) ซง่ึ จะหาที่เกาะเพ่ือเจริญเตบิ โตเป็นโพลปิ ใหม่เมทาเจเนซิส (metagenesis) เปน็ การ
สืบพันธ์ุแบบสลับโดยการแตกหน่อสลับกับการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศเมทาเจเนซีสจะพบได้ในสัตว์กลุ่มอื่น ๆ
แตเ่ หน็ ไดช้ ดั เจนในไฮโดรซัวโดยเฉพาะ Obelia และพบในไซโฟซัวโดยเฉพาะแมงกะพรุนสกุล Aurelia
การจาแนกหมวดหมู่
ในดาเรียจดั แบ่งออกเปน็ 4 ดังนีค้ อื
Class 1 Hydrozoa สว่ นใหญม่ ีรูปร่าง 2 แบบสลับกนั ในวฏั จักรชีวติ บางชนดิ มเี ฉพาะโพลิปบางชนดิ มี แต่เมดู
ซาการด่ารงชีวิตอาจเป็นในลักษณะตัวเด่ียว (Solitary hydroid) หรือเป็นโคโลนี (Colonial hydroid) มีโซเก
ลียไม่มเี ซลลเ์ ซลล์สบื พนั ธส์ุ ร้างจากอิพเิ ดอรม์ สิ โพลิปกับเมดซู าในวัฏจกั รชีวติ มีขนาดไลเ่ ลี่ยกันเรามักเรยี กสัตว์ที่
อยใู่ น Class Hydrozoa ว่าไฮดรอยด์ (Hydroid)
Class 2 Cubozoa รูปร่างแบบเมดูซาด่ารงชีวิตในทะเลมีโซเกลียหนามีเซลล์อยู่ตัวถ้วยเป็นส่ีเหล่ียมลูกเต๋มี
หนวดยาวอยู่ที่มุมทั้งส่ีของตัวถ้วยตัวอย่าง ได้แก่ ต่อทะเล (sea wasp) Class นี้เดิมรวมอยู่ใน Class
Scyphozoa
Class 3 Scyphozoa รูปรา่ งแบบเมดซู าระยะตัวอ่อนบางระยะมรี ูปร่างแบบโพลิปด่ารงชีวติ ในทะเลมโี ซเกลีย
หนามเี ซลล์อยเู่ ซลล์สบื พันธุส์ รา้ งจากแกสโทรเดอร์มิสมีอวัยวะรบั ความรู้สกึ
18
Class 4 Anthozoa รปู ร่างแบบโพลิปทั้งหมดด่ารงชีวิตในทะเลเซลลส์ ืบพนั ธสุ์ รา้ งจากแกสโทรเดอร์มสิ
วฏั จักรชวี ิตของไซโฟซัว
แมงกะพรุนสกุล Aurelia มีตวั อ่อนหลายระยะระยะแรกคือตวั อ่อนพลานลู า (Planula larva) มซี เี ลีย
รอบตวั วา่ ยน้่าได้จากนน้ั จะยดึ เกาะเจริญเปน็ ตวั อ่อนไซฟสิ โทมา (Scyphistoma) มีลักษณะคล้ายไฮดราตัวเล็ก
ๆ ไซฟสิ โทมาแตกหนอ่ ตามขวางหลายครั้งท่าให้หน่อซ้อนกันเป็นชน้ั ๆ (Strobilation) เป็นตัวอ่อนระยะสทรอ
นลิ า (strobia) ช้นั บนซ่ึงอายุมากที่สดุ จะหลุดออกวา่ ยนา่้ ไป
https://phuketaquarium.org/knowleadge/3689-2/
19
บทท่ี 4
PHYLUM CTENOPHORA
Ctenophora มาจากคา่ กรกี ว่า Ctenos (Comb/หว)ี กบั Phora (Bear/มี ประกอบ) ในภาษาอังกฤษ
เรียกว่า Sea comb ในภาษาไทยเรียกว่า หวีวุ้น ประกอบด้วยสมาชิกจ่านวนประมาณ 90 ชนิด รูปร่าง
คล้ายคลึงกับไนดาเรียนคือ มีสมมาตรแบบ Biradial มีขนาดไม่ใหญ่มาก ล่าตัวใส มีช้ันวุ้นท่ีประกอบด้วยเซลล์
มีเซนไคม์ มีแผงซเิ ลียเรยี งตาขวางทอดยาวต่อกันเปน็ แนว 8 แนว เรียกวา่ Comb rows หรือ Comb plate มี
หนวดเสน้ ยาวที่สามารถขบั สารเหนยี วออกมาเพ่ือใชจ้ ับเหย่ือ แต่ไม่มเี ข็มพิษ และมรี ะบบสืบพันธุ์แบบรวมเพศ
(hermaphrodite) ไม่มีช่วงชีวิตท่ีเปน็ โคโลนี ตัวอ่อนถูกเรยี กว่า cydippid larva บางชนดิ สามารถเรืองแสงได้
มี 2 Class คือ
https://sites.google.com/site/pokaewb/bth-thi-2-xanacakr-satw/2-2-fi-lam-thi-no-f-xr
1. Class Tentaculata เปน็ พวกทมี่ หี นวดเทนตาเคลิ
https://sites.google.com/site/ctenophoraclass/home/tentaculata
20
2. Class Nuda เปน็ พวกทไ่ี มม่ หี นวดเทนตาเคิล
https://quizlet.com/566885607/class-nuda-flash-cards/
21
บทที่ 5
PHYLUM PLATYHELMINTHHES
Platyhelminthes (platys = แบน + helmins = หนอน) มีช่ือเรียกท่ัวไปว่าหนอนตัวแบน (Flat
Worms) ตัวหนอนมีสมมาตรของซีกซ้ายขวาซึ่งเป็นลักษณะร่างกายท่ีมีองค์ประกอบภายในซับซ้อนข้ึนมากจัด
อยู่ในระดับของระบบอวัยวะ (Organ system grade) หนอนตัวแบนมีเน้ือเยื่อมีโซเดิร์ม (Mesoderm) แทรก
ระหวา่ งเอคโทเดริ ์มและเอนโดเดริ ์มจึงมีเน้ือเย่ือ 3 ชัน้ ครบถ้วน (Triploblastics animal) หนอนตวั แบนไม่มีซี
ลอม (Acoelom) คอื ไมม่ ีโพรงระหวา่ งผนงั ตัวกบั ผนงั ของทางเดนิ อาหาร
การจดั หมวดหมู่
หนอนตวั แบนแบง่ เปน็ 4 Class ดังนี้คือ
Class Turbellaria
หนอนตัวแบนท่ีดา่ รงชีวิตได้เองทั้งหมดจะอยู่ในคลาสน้ี แต่ในคลาสน้ียงั มีหนอนตัวแบนที่ดา่ รงชีวติ ใน
ลักษณะอิงอาศัยอยู่นอกตัวโฮสต์ (Ectocommensal) และเป็นปรสิตอีกประมาณ 3,100 ชนิดเทอร์เบลลา
เรียน (Turbelarian) ส่วนใหญ่ด่ารงชีวิตอยู่ในน้่า (ส่วนใหญ่ในทะเล) บางชนิดล่องลอย (Pelagic) อยู่ตามผิว
น้่าในทะเลเปิด แต่ส่วนใหญ่อยู่ใกล้ฝ่ังโดยว่ายน่้าหรือคืบคลานอยู่ตามหินเปลือกหอยและพืชน่้าบางชนิดอยู่
ตามโคลนตมมักเรียกช่ือทั่วไปของเทอร์เบลลาเรียนน้ีว่าพลานาเรีย (planaria) เทอร์เบลลาเรียนบนบกมีน้อย
ชนิดเช่นหนอนหัวขวาน (Bipalium) ล่าตัวของเทอร์เบลลาเรียนส่วนใหญ่เป็นรูปไข่หรือคล้ายใบไม้บางชนิด
ล่าตัวยาวมีตั้งแต่สีขาวสีครีมจนกระท่ังสีด่าหรือน้่าตาลชนิดที่อยู่ในทะเลในเขตร้อนมักมีสีสดคือส้มแดงเหลือง
หรือฟ้าหรืออาจมีมากกว่าหนึ่งสีเช่นสีน่้าเงินขอบเหลืองบางชนิดเป็นสีเขียวเน่ืองจากมีซูโอคลอเรลลี
(Zoochlorellae) อาศยั อยู่ในเซลล์ของชนั้ เอนโดเดริ ม์
ผนงั ตวั
ผนงั ลา่ ตวั ของเทอรเ์ บลลาเรียนประกอบด้วยเนอ้ื เยื่อต่าง ๆ คือ
1. ช้ันอิพิเดอร์มิสประกอบด้วยเซลล์บุผิว (Epidermal cell) ที่มีซีเลียตัวเซลล์เป็นรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัส
ห รื อเป็ น เซล ล์ ทร งสู งพว กที่โ บ ร าณอิพิเดอร์ มิส มีลั กษณะเป็ น ช้ั น ของเซล ล์ ที่ไม่มีผ นั งก้ัน ร ะห ว่างเซล ล์
(Syncytial cell) ซีเลียมีท่ัวผิวตัว แต่บางชนิดมีมากท่ีด้านท้องและบางชนิดไม่มีซีเลียซีเลียมีไว้ใช้ในการ
เคลื่อนที่และในอิพิเดอร์มิสยังมีเซลล์ต่อมท่ีสร้างเมือก (Mucus gland cell) ซ่ึงจะสร้างเมือกเคลือบตัวเพ่ือ
ช่วยในการเคล่ือนที่เซลล์ต่อมอาจแทรกอยู่ระหว่างเซลล์อิพิเดอร์มิสหรืออาจอยู่ลึกลงไปโดยมีท่อมาเปิดออกที่
ผิวนอกจากนี้เทอร์เบลลาเรยี นยังมีโครงสร้างส่าคัญท่ีเรยี กว่าแรบไดต์ (Rhabdite) มีลักษณะเป็นท่อนสรา้ งขึ้น
22
จากเซลล์ต่อม (Rhabdite forming gland cell) เซลล์ทีส่ รา้ งแรบไดต์อาจอยู่ในเย่ืออิพิเดอร์มสิ เช่นที่พบในโพ
ลีแคลดหรืออย่ลู กึ ลงไปในเยือ่ ชั้นกลาง แต่ยงั ไม่มีรายงานว่าแรบไดตเ์ ขา้ ไปอย่ใู นเซลล์ของอิพเิ ดอร์มิสได้อย่างไร
แรบไดตอ์ าจเป็นแทง่ เด่ียวหรือรวมกนั เปน็ กลุ่มเรียงตัวตั้งฉากกบั ผวิ ตัวหน้าที่ของแรบไดต์ยังไมเ่ ปน็ ทที่ ราบชัดมี
แต่สมมติฐานว่าแรบไดต์ท่ีปล่อยออกมาจะสลายเป็นเมือกหุ้มตัวท้ังนี้อาจจะใช้ในการป้องกันตัวด้วยท่ีฐาน
ของอิพิเดอรม์ สิ เป็นชนั้ เยือ่ ฐาน (Basement membrane) เป็นท่เี กาะของอพิ ิเดอร์มสิ
2. กล้ามเน้ือกล้ามเน้ือจะอยู่ใต้เยื่อฐานมี 3 ช้ันคือช้ันของกล้ามเน้ือวงแหวน (Circular muscle
layer) เกาะกับเยื่อฐานถัดเข้าไปเป็นกล้ามเนื้อทะแยง (Diagonal muscle layer) และช้ันกล้ามเนื้อตามยาว
(longtitudinal muscle layer) และยังมกี ลา้ มเนือ้ ท่ีเกาะอย่รู ะหว่างผนังตัวดา้ นหลังและดา้ นท้อง (Dorsoven
tral muscle)
3. Mesenchyme ถัดจากช้ันกล้ามเนื้อเป็นช้ันมีเซนไคม์ซึ่งประกอบด้วยเซลล์พาเรนไคมา
(parenchyma cell) ทเ่ี รยี งตวั หลวม ๆ และมเี ซลล์แบบอมีบาขนาดเล็กอีกจ่านวนมากเรียกวา่ (Neoblast) นี
โอบลาสต์เป็นเซลล์ท่ีจะสร้างเสริมส่วนที่เป็นแผลให้คงสภาพเดิมท่าหน้าท่ีถ่ายเทสารภายในและมีหน้าท่ี
เกี่ยวกับการสบื พนั ธุ์ด้วย
การเคล่ือนที่
พลานาเรียในน่้าจืดเคล่ือนท่ีโดยการคืบคลานไปบนพ้ืนผิวของวัตถุและมักจะยกส่วนหัวขึ้นเล็กน้อย
เวลาเคลื่อนที่ไปจะทิ้งรอยเมือกซึ่งเกิดจากการสร้างเมือกมาหล่อล่ืนการเคลื่อนไหวของซีเลียที่เยื่อบุผิว
ประกอบกบั การเคลอ่ื นไหวแบบลูกคล่นื ของกล้ามเนือ้ จากหัวไปเท้าทา่ ใหเ้ คลือ่ นที่ไปได้
โภชนาการ
เทอร์เบลลาเรียนส่วนใหญ่กินสัตว์อื่นเป็นอาหารบางชนิดได้แอลจีท่ีอาศัยอยู่ร่วมด้วยเป็นอาหารและ
บางชนิดกินพืชและบางชนิดกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ ได้แก่ หนอนจักร หนอนตัวกลม ไบรโอซัว
(Bryozoa) เพรียงหัวหอม ครัสเทเชียนขนาดเล็ก หนอนปล้องและเทอร์เบลลาเรียนด้วยกันเองพวกท่ีมีขนาด
ใหญส่ ามารถจับไส้เดือนดินหอยทากและตัวอ่อนแมลงเป็นอาหารวิธีการกินท่เี ปน็ ลักษณะพนื้ ฐานคือการปล่อย
เมือกออกมาและใช้ล่าตัวคลุมลงบนตัวเหย่อื เหยื่อจะถูกเมือกพันตัวท่าให้เคลื่อนไหวไม่ได้และจะใช้งวงหรือฟา
รงิ ซย์ ื่นออกมาดดู ของเหลวในตัวเหยื่อเปน็ อาหารหรือกลนื เหยื่อเข้าไปในตัว
ท่อทางเดินอาหาร (Digestive tract) ของเทอร์เบลลาเรียนประกอบด้วยช่องปากอยู่ทางด้านท้อง
บริเวณกลางตัวถัดจากปากเป็นฟาริงซ์ (Pharynx) และล่าไส้ทางเดินอาหารมีหน้าที่และความซับซ้อนในระดับ
ตา่ ง ๆ กัน ระหว่างทอ่ และผนังตวั คอื ชอ่ งวา่ งท่ฟี าริงซ์อย่ใู นเวลาหดตวั (Pharyngeal cavity)
23
เทอร์เบลลาเรียนมีการย่อยอาหารนอกเซลล์และช้ินส่วนของอาหารที่ย่อยแล้วจะมีเซลล์ท่ีผนังล่าไส้โอบ
เข้าไปยอ่ ยภายในเซลล์กากอาหารกลับออกทางปาก
https://www.bumblebee.org/invertebrates/Turbellaria.htm
การขบั ถ่ายและปรับสมดลุ น้า (Excretory system)
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังส่วนใหญม่ ีอวัยวะขับถ่ายท่ีเรียกว่า เนฟริเดีย (Nephridia) ท่าหน้าที่ก่าจัดของ
เสียประเภทสารประกอบไนโตรเจนท่ีละลายอยู่ในของเหลวของร่างกาย สัตว์ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นก็ยิ่งมีความ
จ่าเป็นท่ีจะต้องมีอวัยวะขับถ่ายช่วยก่าจัดของเสียเพิ่มข้ึนแทนท่ีจะเป็นวิธีการแพร่โดยตรงเนฟริเดียที่พัฒนา
มากข้ึนยังมีหน้าที่ในการปรับสมดุลน้่าภายในร่างกาย หรือก่าจัดน้่าส่วนเกินออกไปจากรา่ งกายอีกด้วย ปัญหา
เรื่องน้่าในร่างกายน้จี ะเกิดกบั สิ่งมชี วี ิตที่อยู่ในน้า่ จืดดงั ได้กลา่ วมาแล้วในหัวข้อคอนแทรกไทล์แวคิวโอล ในเรอ่ื ง
โพรโทซัว
แพลทีเฮลมินธีสเป็นไฟลัมแรกท่ีมีเนฟริเดียแบบโบราณเรียกว่า โพรโทเนฟริเดีย (Protonephridia)
คือเปน็ ท่อทป่ี ลายด้านในปิดและมรี เู ปิดออกภายนอก
เทอร์เบลลาเรียนในน่้าจืดมีโพรโทเนฟริเดียท่ีพัฒนาดีมีหน้าที่หลักในการปรับระดับน่้าในตัว แต่เทอร์
เบลลาเรียนในทะเลมีโพรโทเนฟริเดียที่ไม่เจริญนักและในพวกท่ีโบราณจะไม่มีโพรโทเนฟริเดียเลยโพรโทเนฟริ
24
เดีย ประกอบด้วยท่อตามยาวหลายท่อ (Protonephridial canal) จากท่อเล็กๆนี้จะมีท่อแยกออกเป็นท่อย่อย
(Capillary) ทีป่ ลายทอ่ ย่อยมีเซลล์โพรโทเนฟริเดยี ลกั ษณะเป็นรูปถว้ ย (flame bulb) มแี ฟลเจลลมั เป็นกระจุก
อยู่ดา้ นในของถว้ ยซงึ่ จะโบกไปมาดูเหมือนการโบกของเปลวเทียนไขจึงเรียกวา่ เฟลมเซลล์ การตแี ฟลเจลลัมท่า
ให้เกิดแรงดึงน้่าให้ผ่านเข้าสู่ท่อของเสียที่โพรโทเนฟริเดยี ก่าจัดออกเป็นแอมโมเนียที่ละลายอยู่ในน่้าซ่ึงจะไหล
ออกมาตามทอ่ และออกภายนอกทางช่องเปดิ ที่เรยี กวา่ nephridiopore
การหายใจ (Respiratory system)
หนอนตัวแบนยังไม่มีอวัยวะในการหายใจโดยตรงการแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้นโดยการแพร่ผ่านผนัง
ลา่ ตวั
ระบบประสาท (Nervous system )
เทอรเ์ บลลาเรียนโบราณ 2-3 ชนดิ ที่มีตาขา่ ยของประสาท (Nerve net) อยู่ใตช้ น้ั อิพิเดอรม์ ิส แตเ่ ทอร์
เบลลาเรยี นสว่ นใหญ่มีระบบประสาทอยู่ใตช้ น้ั กล้ามเน้ือประกอบด้วยเส้นประสาทตามยาว 4 คูค่ อื ท่ดี ้านหลัง,
สองข้างของด้านหลัง ขอบด้านข้างตัว ทางด้านท้องและสองข้างของด้านท้อง เส้นประสาทเหล่าน้ีเช่ือมกัน
ด้วยวงแหวนประสาท nerve ring) เป็นระยะจากหัวจนถึงส่วนท้ายของล่าตัว พวกท่ีพัฒนามากข้ึนจ่านวนคู่
ของเส้นประสาทจะลดลงและความส่าคัญของเส้นประสาททางด้านท้องมีมากข้ึนเช่นบางชนิดไม่มีคู่ท่ีอยู่สอง
ข้างตัวทางด้านหลังพลานาเรียในน้่าจืดมีเส้นประสาททางด้านท้องเพียงคู่เดียว โพลีแคลดมีการแตกแขนงของ
เส้นประสาทท่าให้มีลักษณะเป็นร่างแหเป็นต้นปมประสาทสมองของเทอร์เบลลาเรียนท่ีพัฒนาดีขึ้ นมีลักษณะ
เปน็ สองพู (Lobe)
https://www.britannica.com/animal/Planaria
25
อวัยวะรบั ความรสู้ ึกตาเปน็ อวัยวะรับความรู้สึกที่พบได้ทวั่ ไปลักษณะตาเป็นรูปถว้ ยประกอบด้วยเซลล์
รงควัตถุ (Pigment cell) เรียงตัวเป็นเน้ือเย่ือชั้นเดียวหุ้มเซลล์ Retina cellท่ี ยาวยืดออกมาจากสมองปลาย
เซลล์เป็นส่วนท่ีไวต่อความเข้มและทิศทางของแสง แต่รับภาพไม่ได้พลานาเรียเคล่ือนตัวหลบจากแสงจ้าจึงมี
ความวอ่ งไวในเวลากลางคืนมากกวา่ ปกติเทอรเ์ บลลาเรียนมตี าคู่ แตอ่ าจพบพวกที่มตี า 2-3 คู่ โพลีแคลดและพ
ลานาเรีย บนบกมีตาหลายคเู่ ป็นต้น
การสืบพนั ธุ์ (Reproductive system)
เทอร์เบลลาเรียนมีเพศรวมสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยการแบ่งตัว มีการแบ่งล่าตัวตามขวางหน่อท่ี
เกิดจากการแบ่งตัวอาจติดอยู่กับตัวแม่ท่าให้เกิดเป็นสายยาวหน่อแต่ละหน่อเรียกว่า ซูออยด์ (Zooid) เม่ือซู
ออยดเ์ จรญิ ดีแล้วจงึ จะหลดุ ออกเตบิ โตเองพลานาเรียแบ่งตัวตามขวาง
การสืบพันธุ์แบบอาศยั เพศของเทอรเ์ บลลาเรยี นโบราณจะยังไม่มีอวัยวะส่าหรบั สรา้ งเซลลส์ บื พันธ์ุ แต่
เทอรเ์ บลลาเรียนสว่ นใหญจ่ ะมีระบบสืบพันธ์ุ
ระบบสบื พนั ธุ์เพศผู้ ประกอบด้วย 1 อัณฑะหรืออาจเป็นหนงึ่ คหู่ รอื หลายคูเ่ มื่ออัณฑะมากกวา่ 1 จะมี
ท่อน่าสเปิร์มจากทุกอัณฑะมารวมกันเป็นท่อเดียว และเปิดเข้าที่อวัยวะส่าหรับจับคู่ผสมพันธุ์ (Copulatory
apparatus)
ระบบสืบพันธุ์เพศเมีย ประกอบด้วยรังไข่ 1 คู่อยู่ทางด้านหน้า ท่อน่าไข่ (oviduct) จากรังไข่จะ
รวมกันเป็นท่อวาไจนา (Vagina) ซึ่งอยู่บริเวณตอนท้ายของล่าตัวนอกจากนี้ยังมีต่อมไข่แดง (Yolk gland,
Viteline gland) เปิดเข้าท่อน่าไข่และมีถุงรับสเปิร์ม (Seminal receptacle) ส่าหรับเก็บสเปิร์มท่ีได้จากการ
จับคู่ผสมพันธ์ุส่วนปลายท่อของวาไจนาจะเปิดเข้าช่องสืบพันธ์ุ มีการปฏิสนธิเป็นการปฏิสนธิข้ามตัว (cross
fertilization) ขณะทีจ่ ับค่ผู สมพนั ธ์ุ
Class Monogenea
พยาธิใบไม้โมโนจีเนียเดิมจัดอยู่ใน Class Trematoda แต่มีลักษณะต่างจากพยาธิใบไม้อ่ืน ๆ มากจึง
แยกออกมาเป็นคลาสใหม่โมโนจีเนียเป็นปรสิตเกาะที่เหงือกและผิวของตัวปลามีบางชนิดที่พบในกระเพาะ
ปัสสาวะของกบและเต่าและมหี นงึ่ ชนิดทพี่ บในตาของฮิปโปโปเทมสั ในสภาพธรรมชาติ
พยาธิกลุ่มน้ีท่าอันตรายต่อโฮสต์น้อย แต่ถ้าโฮสต์มาอยู่รวมกันมากๆ เช่นตามฟาร์มเล้ียงจะท่าให้เกิดการ
ระบาดตดิ ต่อกนั ได้
26
วัฏจักรชีวิตของโมโนจีเนยี ต้องการโฮสต์เพียงชนดิ เดียวมีเพศรวมไข่ฟักเป็นตัวอ่อนท่ีมีซีเลียคือออนโค
ไมราซีเดียม (Onchomiracidium) ซ่ึงจะว่ายน่้าและเกาะกับตัวโฮสต์โดยใช้ตาขอท่ีอยู่ท้ายตัวยึดเกาะแล้ว
พัฒนาเป็นตัวแก่ซึ่งจะมีอวัยวะยึดเกาะที่มีขนาดใหญ่อยู่ทางตอนท้ายของตัวแก่เรียกว่าโอพิสแธปเท อร์
(Opisthaptor) อวัยวะน้ีอาจมีตาขอขนาดใหญ่หรือเล็กแว่นดูดหรือก้ามหนีบหรือมีประกอบกันมากกว่าหนึ่ง
อยา่ งกไ็ ด้บางสกุลมีอวัยวะยึดเกาะอยู่ดา้ นหนา้ สดุ รอบปากเรียกว่าโพรแฮปเทอร์ Prohaptor
https://ro.wikipedia.org/wiki/Fi%C8%99ier:Gyrodactylus_elegans.jpg
Class Trematoda
พยาธิใบไม้ (Fluke) ที่อยู่ในคลาสน้ีต้องการโฮสต์มากกว่า 1 ชนิดในวัฏจักรชีวิตและมีอวัยวะดูดเกาะ
2 อันพยาธใิ บไม้มีหลายอนั ดบั แต่อันดับท่ีส่าคญั ท่สี ุดคือ Digenea ซง่ึ ได้แก่ พยาธิใบไมช้ นิดต่าง ๆ
27
ลักษณะภายนอก
ช่ือพยาธิใบไม้เรียกตามลักษณะรูปร่างที่คล้ายใบไม้ ซึ่งอาจเรียวเล็กหรือแผ่กว้าง (ส่วนค่าว่า Fluke
หมายถึงปลาตัวแบน) ด้านหน้าของพยาธิใบไม้มักเรียวเล็กมีแว่นดูดรอบปาก (Oral sucker) อยู่ตรงปลาย
ล้อมรอบช่องปากถัดจากปลายด้านหน้าลงมาทางด้านท้องประมาณหนึ่งในสามของล่าตัวมีแว่นดูดอีกหนึ่งอัน
คอื แวน่ ดูดด้านทอ้ ง (Ventral sucker) หรืออซีทาบูลัม (Acetabulum) ใชย้ ึดเกาะกับโฮสตเ์ หนือแว่นดูดท้องมี
รสู บื พนั ธ์ุ (Gonopore, Genital pore) ตอนทา้ ยของล่าตัวมชี อ่ งขบั ถา่ ยของเสีย (Excretory pore)
การกนิ อาหาร (Digestive )
พยาธิใบไม้เป็นปรสิตภายในร่างกายมีการดูดซับอาหารจากโฮสต์ผ่านเทกูเมนต์โดยตรงและมีระบบ
ย่อยอาหารร่วมด้วยท่อทางเดินอาหารประกอบด้วยปากฟาริงซ์ (Pharynx) หลอดอาหาร (Esophagus) และ
แขนงลา่ ไส้ (Intestinal ceca)
การขบั ถา่ ยการหายใจ (Excretory and Respiratory)
ระบบขบั ถา่ ยประกอบดว้ ยท่อตามยาว 2 ทอ่ สองข้างตวั (longitudinal tubule) รบั เอาของเสียจากเฟ
ลมเซลล์ (Flame cel) ท่อขบั ถา่ ยจะรวบรวมของเสียเข้าสู่ถุงปัสสาวะ (Excretory vesicle) ซ่งึ พองตัวออกเป็น
กระเปาะ การหายใจเป็นแบบไ ม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic glycolysis) ซ่ึงกระบว นการน้ีให้
คาร์บอนไดออกไซด์และมีกรดอินทรีย์สะสมอยู่ในร่างกายสูงความเข้มข้นของโมเลกุลน้่านอกตัวสูงกว่าภายใน
ตัวจึงมกี ารเคลื่อนทข่ี องนา่้ ผา่ นเข้าสูร่ ่างกายระบบขบั ถ่ายจงึ ท่าหนา้ ทปี่ รับสภาวะน่า้ ในร่างกายใหส้ มดุล
ระบบประสาท (nervous system)
ระบบประสาทเหมือนกับระบบประสาทของเทอร์เบลลาเรียน จากสมองหรือปมประสาทสมองมี
เส้นประสาทตามยาว 3 คู่ คู่ทางด้านท้องเจริญดีท่ีสุดอาจไม่มีคู่ด้านหลังและด้านข้าง และมีวงแหวนประสาท
จา่ นวนมากเชื่อมระหว่างเส้นประสาท และมแี ขนงไปยังอวัยวะยึดเกาะเปน็ จ่านวนมาก อวยั วะรบั ความรู้สึกไม่
เจริญยกเว้นบางชนดิ อาจมีตาเดีย่ ว 1-2 คู่
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive system )
พยาธิใบไม้มีเพศรวมยกเว้นพยาธิใบไม้ในเลือด (Schistosoma) ที่มีเพศแยกอวัยวะสืบพันธุ์มีลักษณะ
โครงสร้างพนื้ ฐานดังนค้ี อื
อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ ประกอบด้วยอัณฑะ 1 คู่ (บางชนิดมีเพียง 1 อันหรือมีหลายอันแตกแขนง
(Branch) ท่อจากแต่ละอัณฑะคือวาสเอฟเฟอเรนส์ (Vas efferens) ท่อเหล่าน้ีจะรวมกันเป็นท่อใหญ่ขึ้น
เรียกว่า Vas deferens
28
อวัยวะสืบพันธเ์ุ พศเมีย มีอวยั วะทเ่ี ป็นศนู ยก์ ลางของระบบมลี ักษณะเปน็ ห้องเล็ก ๆ เรียกว่าโอโอไทป์
(ootype) อวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธ์ุจะมีท่อมาเปิดเข้าโอโอไทป์คือ Ovary ,Oviduct Yolk gland,
Viteline gland , Yolk duct ,seminal receptacle ,Mehlis gland ,uterus , Laurer's canal
Class Cestoda
Cestoda ซ่ึง ได้แก่ พยาธิตัวตืด (Tape Worm) มีพยาธิตัวตืดมีการพัฒนามาดีที่สุดในหมู่พยาธิท้ังหมด
ล่าตัวยาวแบนคล้ายริบบ้ินล่าตัวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือสโคเล็กซ์ (Scolex) คอ (Neck) และสทรอนิลา
(Strobila)
ผนงั ตัว
ผนังตัวช้ันนอกเป็นเทกเมนต์ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับผนังตัวของพยาธิใบไม้ แต่มีไมโครวิลไลมากกว่า
เนื่องจากต้องการพ้ืนท่ีในการดูดซับมากกว่าเพราะไม่มีระบบย่อยอาหารส่วนกล้ามเนื้อและ มีเซนไคม์เหมือน
หนอนตวั แบนอน่ื ๆ
https://quizlet.com/331213074/class-cestoda-diagram/
29
การขบั ถ่ายการหายใจ(Excretory and Respiratory)
ตัวตืดมโี พรโทเนฟรเิ ดียทปี่ ระกอบดว้ ยท่อรวบรวมของเสยี ยาวตลอดตัว 2-4 ท่อการหายใจเป็นแบบไม่ใช้
ออกซิเจน (anaerobic glycolysis) เชน่ เดยี วกบั พยาธิใบไม้
ระบบประสาท (nervous system)
สมองเป็นสองพูอยู่ในสโคเล็กซ์มีเส้นประสาทตามยาว 2 เส้นมีวงแหวนประสาท (ring com missure)
เชอ่ื มเสน้ ประสาททัง้ สองและยังมีเสน้ ประสาทไปยงั อวัยวะยดึ เกาะ
การสบื พันธ์ุ (Reproductive system )
อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ อัณฑะมีลักษณะเป็นเม็ดทรงกลมขนาดเล็กกระจายอยู่ 2 ข้างของปล้องแต่ละ
อัณฑะมีท่อวาสเอฟเฟอเรนส์ น่าสเปิร์มออกมาจากอัณฑะ วาสเอฟเฟอเรนส์จะรวมกันเป็นท่อขนาดใหญ่
เรียกว่า วาสเดเฟอเรนส์ เปน็ ท่อเดย่ี วขดตัว
อวัยวะสืบพันธุ์เพศเมีย มีโครงสร้างคล้ายกับท่ีกล่าวในพยาธิใบไม้คือประกอบด้วยศูนย์กลางของ
อวยั วะเพศเมยี ที่เรียกว่า โอโอไทปอ์ ย่บู ริเวณท้ายปล้องรงั ไข่มี 2 พอู ยู่ 2 ข้างของโอโอไทป์และมีท่อน่าไข่ 1 ท่อ
เปดิ เข้าสูโ่ อโอไทป์
30
บทที่ 6
PHYLUM NEMATODA
สัตว์ในไฟลัมนีมาโทดามีช่ือเรียกทั่วไปว่าหนอนตัวกลม (Found Worms) มีรูปร่างยาวเรียวหัวท้าย
แหลม (Nema เส้นด้าย) หนอนตัวกลมมีทั้งท่ีเป็นปรสติ ในสัตว์ ในพืช และด่ารงชีวิตเป็นอิสระ โดยพบได้แทบ
ทุกแห่งในทุกสภาพของระบบนิเวศ เช่น ในน้่าจืด ในทะเลลึก ในดินโคลน ในทะเลทราย หรือเขตข้ัวโลกท่ี
หนาวเยน็ และอาศยั อยูต่ ามซากพืช ซากสัตว์ พวกทด่ี า่ รงชีวติ เปน็ อิสระมกั จะกินแบคทีเรยี รา และอินทรียวตั ถุ
เป็นอาหาร ดังน้ันในดินหรือโคลนท่ีมีความอุดมสมบูรณ์มากจะพบหนอนตัวกลมจ่านวนมาก เคยมีผู้ตรวจพบ
หนอนตวั กลมนบั ล้านตัวในโคลน 1 ลูกบาศก์เมตรจากบริเวณเขตชายฝ่ังทะเลหนอนตวั กลมสว่ นใหญ่จะมีความ
ยาวน้อยกว่า 5 ซม. หนอนตัวกลมท่ีเป็นปรสิตและพวกที่อาศัยอยู่ในทะเลมักจะมีขนาดใหญ่กว่าพวกที่
ด่ารงชีวิตเป็นอิสระและพวกที่อยู่ในน่้าจืด หนอนตัวกลมที่พบในสายรก (Placenta) ของปลาวาฬหัวทุย
(Sperm Whale) ยาวถึง 9 เมตร
จ่านวนชนิดของหนอนตัวกลมที่ตั้งชื่อแล้วมีประมาณ 30,000 ชนิด และท่ียังไม่ได้ต้ังชื่อยังมีอีกจ่านวน
มากคาดว่าจะมากกว่าที่ได้ต้ังชื่อไว้แล้วหลายสิบเท่าตัว และส่วนใหญ่จะด่ารงชีวิตอย่างอิสระในน่้าและในดิน
สว่ นพวกทเี่ ปน็ ปรสติ มจี ่านวนชนิดน้อยกวา่ มาก
การจัดหมวดหมู่ของหนอนตัวกลมจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ โดยใช้อวัยวะรับความรู้สึกเกี่ยวกับ
สารเคมี (Chemoreceptor) ซ่ึงพบที่ปลายหางของหนอนตัวกลมที่เรียกว่า พลาสมิด (Phasmid) ในการ
จัดแบง่ ออกเป็น 2 Class คอื
1. Class Phasmidia (Secernentia) มีพลาสมดิ ระบบขบั ถ่ายเป็นแบบท่อ (Canal system) ตัวอย่าง
ไดแ้ ก่ หนอนตวั กลมนา่้ จืด (Freshwater nematode) Rhabditis sp.
ไส้เดือนฝอยในปมรากถั่ว (Root-knot nematode ) Meloidogyne sp. พยาธิปากขอ (Hook worm)
Ancylostoma sp.
2. Class Aphasmidia (Adenophorea) ไม่มีพลาสมิด อวัยวะขับถ่ายของเสียเป็นต่อมไม่มีท่อขับถ่าย
ตัวอย่าง ได้แก่ พยาธิแส้ม้า (Whip Worm) Trichuris sp. พยาธิแคพิลลาเรีย (Capillarai Worm)
Capillaria sp. พยาธทิ รแิ คนา (Trichina Worm) Trichinella sp.
ลักษณะภายนอก
หนอนตัวกลมมีรูปร่างแบบเดียวกันหมดคือ ล่าตัวเป็นรูปทรงกระบอกกลม หัวท้ายเรียวเล็กลง ส่วน
หัวไม่เด่นชัด (ไม่มี Cephalization) ร่างกายไม่แบ่งเป็นส่วน ๆ อย่างชัดเจน ไม่มีแฟลกเจลลัมหรือซีเลียท่ีใช้
31
ช่วยในการเคล่ือนที่ ซีเลียพบเฉพาะบริเวณอวัยวะรับความรู้สึกซึ่งอยู่ท่ีส่วนหัว (Amphid) แต่เป็นซีเลียที่
เคล่ือนไหวไม่ได้ มีสมมาตรของซีกซ้ายขวา ปลายด้านหน้าจะมีช่องปากและริมฝปี าก (Lip) เป็นตุ่มเน้ือรอบ ๆ
ปากจ่านวน 3 หรือ 6 อันรอบ ๆ ปากจะมี Sensory papilla หรือ Bristle รับความรู้สึกพวกท่ีโบราณจะมีริม
ฝปี าก 6 อันสว่ นพวกท่อี ย่ใู นดินและพวกทเ่ี ปน็ ปรสติ จะมรี ิมฝีปาก 3 อนั หรือไมม่ ีริมฝปี ากเลย
ปลายหางของหนอนตัวกลมจะเรียวแหลมส่วนปลายหางของตัวผู้มักจะมีอวัยวะท่ีท่าหน้าท่ีช่วยยึด
เกาะขณะผสมพนั ธ์ุเช่น สปคิ ูล (Spicule) เบอรซ์ า (Bursa) เปน็ ต้น
ผนังตวั
ผนงั ล่าตวั ของหนอนตัวกลมประกอบดว้ ย
หนาและใส มองเห็นอวัยวะภายในได้ชัดเจนคิวทิเคิลท่ีหนาท่าให้หนอนตัวกลมแพร่กระจายไปทั่วทุก
แห่ง คิวทิเคิลส่วนมากจะเรียบไม่มีลวดลาย แต่บางบริเวณอาจมีลายขวางมีสันตามแนวยาว (Alae) ที่สองข้าง
ของล่าตัวตอนท้ายและปุ่มต่าง ๆ ซึ่งมักจะใช้ในการจัดหมวดหมู่โครงสร้างทางเคมีของคิวทิเคิลของหนอนตัว
กลมเป็นโปรตีนแข็งหรือสเคลอโรโปรตีน (Scleroprotein) ท่ีไม่มีไคติน (Chitin) หรือเคอราติน (Keratin)
โดยท่ัวไปคิวทิเคิลแบ่งออกเป็น 3 ช้ันคือ Cortical layer อยู่นอกสุดมีลิปิดคลุมบาง ๆ แมทริกซ์ (Matrix
layer) ช้ันกลางเป็นชั้นของสารคล้ายอัลบูมิน (Albumin) ชั้นในสุดคือ Basal layer เป็นช้ันของเส้นใย
(Fibrous) ซงึ่ เปน็ เยือ่ เหนียวควิ ทิเคิลท่าหน้าท่ปี ้องกันตัวโดยรบั แรงกระแทกได้ดีมาก และปอ้ งกันอันตรายจาก
น่้าย่อยในล่าไส้ของสัตว์ที่มันเข้าไปอาศัยอยู่ คิวทิเคิลเก่าจะหลุดออกไปเมื่อมีการลอกคราบ (Molting) และ
สร้างคิวทิเคิลใหม่ขึ้นมาแทนหนอนตัวกลมจะมีการลอกคราบ 4 ชุด ในวัฏจักรคิวทิเคิลเก่าจะหลุดออกมาเป็น
แผ่นหรือเป็นชิ้นเล็ก ๆ แต่ในบางชนิดหลุดออกมาทั้งช้ินเหมือนในกุ้งหรือปู คิวทิเคิลนอกจากจะหุ้มภายนอก
ร่างกายแลว้ ยังบุอยู่ท่ีผวิ ด้านในของท่อทางเดินอาหารตอนต้นและตอนท้ายอีกด้วย
อิพิเดอร์มิส เป็นชั้นที่อยู่ติดกับคิวทิเคิลมักจะเรียกวา่ ชั้นไฮโพเดอร์มิส (Hypodermis) มีลักษณะเป็น
Syncytial layer คือเซลล์ไม่มีผนังก้ันระหว่างเซลล์ แต่หนอนตัวกลมที่โบราณ เช่น พวกที่ด่ารงชีวิตเป็นอิสระ
ในทะเล บางชนิดช้ันอิพิเดอร์มิสไม่เป็น Syncytial layer และในชั้นน้ีอาจจะมีต่อม Hypodermal gland
แทรกอยู่ แตย่ งั ไม่ทราบหน้าทีแ่ นช่ ดั ช้ันอิพเิ ดอรม์ ิสในบางบรเิ วณจะโปงเปน็ สนั ยื่นเขา้ ไปในชลี อมเทยี มนนี้จะมี
4 ช้ัน คือชั้นกลางหลัง (Dorsal cord) ชั้นกลางด้านท้อง (Ventral cord) และช้ันข้างตัว (Lateral cord)
ขนาดใหญ่ 2 ชั้นนิวเคลียสของเซลล์ในชั้นนี้จะมารวมกันอยู่ท่ีสันข้างตัวท้ังสองข้างและอาจจะมีท่อขับถ่ายฝัง
อย่ใู นสนั ข้างตวั ซง่ึ พบในหนอนตัวกลมบางชนดิ
ชั้นกล้ามเนื้อ ของหนอนตัวกลมอยู่ติดกับอิพิเดอร์มิส เป็นกล้ามเนื้อตามยาวเพียงอย่างเดียวใย
กล้ามเน้ือมีรูปร่างยาวเรียวและมีแขนงของกล้ามเน้ือ (Muscle cell process) ยื่นออกมาจากเซลล์กล้ามเน้ือ
32
แตล่ ะเซลล์ไปทเี่ สน้ ประสาทด้านหลงั (Dorsal nerve cord) และเสน้ ประสาทดา้ นท้อง (Vertral nerve cord)
การหดตัวของกลา้ มเนอ้ื ทา่ ใหเ้ กดิ คลื่นต่อเน่ืองจากดา้ นหัวไปยังด้านท้ายของลา่ ตวั เพื่อการเคลื่อนท่ี
ซลี อมเทียม
ซีลอมมีขนาดใหญ่มากและเป็นซีลอมเทียม (Pseudocoelom) มีของเหลวบรรจุอยู่เต็มซีลอมเป็น
โครงร่างเหลวของร่างกาย (Hydrostatic skeleton) ของเหลวดังกล่าวจะพยุงอวัยวะต่าง ๆ ให้ลอยอยู่ในซี
ลอมและมีความส่าคัญต่อการเคลื่อนที่การกินอาหารการขับถ่ายของเหลวในซีลอมมีซีโลโมไซต์
(Coelomocytes) ลอยตัวอยู่ 1-3 คู่เข้าใจว่าเซลล์เหล่าน้ีท่าหน้าที่ก่าจัดของเสียดูดซับอาหารและสังเคราะห์
สารตา่ งๆ
ระบบยอ่ ยอาหารและการกนิ อาหาร
หนอนตัวกลมกินอาหารได้หลายอย่าง เช่น พวกที่ด่ารงชีวิตเป็นอิสระจะกินหนอนจักร หนอนปล้อง
ขนาดเลก็ สาหร่ายราส่วนพวกทเี่ ป็นปรสิตในสตั ว์ มกั จะกนิ เน้ือเยื่อต่างๆของโฮสตห์ รือกินอาหารท่ยี ่อยแล้วจาก
โฮสต์อวัยวะสา่ คัญในการกินอาหารของหนอนตวั กลมคือฟาริงซ์ซ่ึงจะท่าหนา้ ทดี่ ูดเอาอาหารเข้าปากพวกที่เป็น
ปรสิตในพชื จะมสี ไทเลต (Stylet) หรอื สเปียร์ (Spear) ซึ่งเปน็ ท่อแหลมยาวย่ืนออกมาจากปากดูดกินของเหลว
จากพชื และสตั ว์
https://sites.google.com/site/matuslhongpol/4nematoda
ทอ่ ทางเดนิ อาหารของหนอนตัวกลมประกอบด้วย
1. ท่อทางเดนิ อาหารสว่ นหน้า (Fore gut) ได้แก่
ปาก (Mouth) มรี ิมฝีปาก (Lips) 3 หรือ 6 อนั อยู่รอบ ๆ ปากหนอนตวั กลมในทะเลสว่ นใหญ่มีริม
ฝีปาก 6 อัน สว่ นพวกปรสติ ในสตั ว์มักมี 3 อัน
33
อุ้งปาก (Buccal cavity) เป็นผนังด้านในบุด้วยคิวทิเคิลแข็งเป็นชั้นและมีสไทเลตหรือฟันอยู่รอบ ๆ
พวกทเ่ี ปน็ ปรสติ ดดู กนิ น่า้ เลย้ี งของพชื จะมสี ไทเลตยาวยื่นออกมานอกปาก พยาธิปากขอจะมีฟันเปน็ แผน่ ขนาด
ใหญ่อยู่ภายในอุ้งปาก
ฟารงิ ซ์ (Pharynx) เป็นท่อยาวมกี ล้ามเนื้อบผุ นังหนามากชอ่ งภายในค่อนข้างแคบและเป็นรปู สามแฉก
เมื่อมองจากภาพหน้าตัด การบีบตัวคลายตัวของกล้ามเน้ือบุผนังฟาริงซ์จะท่าให้เกิดแรงดูดดูดอาหารเข้ามาใน
ทอ่ ทางเดินอาหาร
2. ท่อทางเดินอาหารตอนกลาง (Mid gut) ได้แก่ ล่าไส้ซึ่งเป็นท่อยาวมีลิ้นปิดเปิดระหว่างล่าไส้กับฟา
ริงซ์การย่อยอาหารและดูดซับอาหารเกดิ ข้นึ ในล่าไส้การย่อยเปน็ แบบย่อยนอกเซลล์
3. ท่อทางเดินอาหารตอนท้าย (Hind gut) เป็นทอ่ สนั้ ๆ ไดแ้ ก่ เรคตัม (Rectum) หรือเรียกวา่ โคลเอ
คา (Cloaca) ในเพศผู้เพราะเป็นทางออกของสเปิร์มด้วยท่อทางเดินอาหารส่วนท้ายน้ีมักจะต่อมเรคทอล
(rectal gland) เป็นต่อมเดี่ยวหลายต่อมมาเปิดเข้าเรคตัม ต่อมเรคทอลพบมากในพวกที่เป็นปรสิตยังไม่ทราบ
หน้าทีแ่ นช่ ัดปลายเรคตมั เปน็ ทวารหนกั
ระบบขับถ่าย (Excretory system)
หนอนตัวกลมมีระบบขับถ่ายท่ีแตกต่างไปจากสัตว์อ่ืน ๆ โพรโทเนฟริเดียซ่ึงมีเฟลเซลล์จะเส่ือมสลาย
ไป แต่ระบบขบั ถ่ายจะมี 2 แบบคือแบบต่อมและแบบท่อแบบต่อมจะพบในหนอนตัวกลมน่้าจืดและปรสิตบาง
ชนิดคือมีต่อมด้านท้อง 1-2 ต่อมเรียกว่า รีเนตต์ (Renette) อยู่ทางด้านหน้าข้างฟาริงซ์ ท่าหน้าที่ดูดซับของ
เสียจากของเหลวของซีลอมเทียม แล้วส่งออกทางรูขับถ่าย (Excretory pore) ที่อยู่บริเวณหัวหนอนตัวกลมท่ี
พฒั นาตวั ดีขึ้นจะมรี ะบบท่อท่ีพัฒนามาจากรีเนตต์คือ รเี นตต์สองข้างยาวออกเป็นท่อจะมีแขนงตามขวางเช่ือม
ท่าให้เกิดเป็นรูปตัว H หรือรีเนตต์ส่วนหน้าหายไปก็จะเป็นรูปตัว U หัวกลับหรือบางชนิดไม่มีระบบขับถ่าย
แต่จะก่าจัดของเสียออกทางคิวทิเคลิ ทวารหนักพวกทมี่ ีท่อขบั ถา่ ยตวั ทอ่ จะฝงั อยู่ในเส้นข้างตวั (Lateral cord)
ระบบหายใจ (Respiratory system)
หนอนตัวกลมแลกเปลย่ี นแก๊สโดยการแพร่โดยตรงและส่าหรับหนอนตัวกลมที่อยู่ในที่ที่ขาดออกซิเจน
จะหายใจแบบไมใ่ ช้ออกซเิ จน (Anaerobic respiration)
ระบบประสาท (Nervous system)
หนอนตัวกลมมีวงแหวนประสาทรอบฟาริงซ์ (Circumpharyngeal brain, Nerve ring) สมอง
ประกอบด้วยปมประสาท 4 ปมและมีเส้นประสาท 6 เส้นแยกออกไปยังอวัยวะรอบ ๆ ปากและมีเส้นประสาท
กลางหลังกลางท้องและสองข้างตัวอยู่ในสันของอิพิเดอร์มิสหนอนตัวกลมบางชนิดมีเส้นเชื่อมระหว่าง
34
เส้นประสาทหนอนตัวกลมเร่ิมมีระบบต่อมไรท้ ่อสร้างฮอร์โมนควบคุมการลอกคราบการสรา้ งคิวทิเคิล และการ
เปลี่ยนแปลงรปู ร่างในชว่ งของการเจริญเติบโต
อวยั วะรบั ความรู้สึกของหนอนตัวกลมที่สา่ คัญ ไดแ้ ก่ พาพิลลี (Papilla) หรือบริสเทลิ (Bristle) ซ่งึ พบ
มากที่บริเวณรอบ ๆ ปากท่าหน้าที่สัมผัสนอกจากนี้ก็มีอวัยวะรับความรู้สึกเกี่ยวกับสารเคมีซึ่งมีอยู่ 2 ชนิดคือ
แอมฟดิ (Amphid) กบั พลาสมิด (Phasmid) แอมฟิดอยู่ทีด่ า้ นขา้ งของส่วนหวั เป็นแอ่งปุ่มลึกลงไปจากควิ ทิเคิล
ก้นแอ่งมีกลุ่มเซลล์ประสาทมารับความรู้สึกจ่านวนมาก ส่วนพลาสมิดเป็นต่อมเดียวอยู่สองข้างของส่วนหาง
ตอ่ มมที อ่ สัน้ เปดิ ออกนอกตวั หนอนตัวกลมจะมแี อมฟิดหรือพลาสมิดเพียงอย่างใดอยา่ งหนง่ึ พวกที่เป็นปรสิต
จะมีพลาสมิดเกือบทั้งหมดส่ วนหนอนตัวกลมที่อยู่ในน้่าจืด ในน่้าทะเล จะมีแอมฟิด หนอนตัวกลมบางชนิดมี
ตา อยสู่ องข้างของฟารงิ ซ์ แตพ่ บในพวกทอ่ี ยใู่ นน้่าเพียงบางชนิดเท่านัน้
การสืบพนั ธ์ุ (Reproductive system)
หนอนตวั กลมมีเพศแยก (Dioecious) บางชนดิ เปน็ เพศรวม (Monoecious) แตจ่ ะสรา้ งเซลล์สืบพันธ์ุ
ต่างเวลากัน (Protandne) มีเพียง 2.3 ชนิด ที่สืบพันธ์ุแบบพาร์ธีในเจเนซิส และมี 23 ชนิด ท่ีมีการปฏิสนธิ
ภายใน ตัวผแู้ ละตวั เมียจะมลี กั ษณะตา่ งกนั เห็นไดจ้ ากลักษณะอ่นื ๆ อวัยวะสืบพันธุม์ กั จะยาวและขดตวั วาสหรื
ออยใู่ นซีลอมเทียมโดยไม่มเี ยอื่ ยดึ
ตัวผู้ อวัยวะสืบพันธข์ุ องตวั ผู้ส่วนใหญ่มีเพียง 1 อัณฑะ สเปริ ม์ สรา้ งจากเซลลส์ ืบพนั ธุ์ (Germ cell) ท่ี
อยปู่ ลายอัณฑะหรืออาจสรา้ งจากผนังของอัณฑะสเปิร์มไม่มีแฟลกเจลลัม เดเฟอเรนส์เปน็ ทอ่ จากอัณฑะยาวลง
มายังตอนท้ายตัวและตอนปลายขยายออกเป็นถุงเก็บสเปิร์ม (Sens vesicle) ซึ่งท่ีผนังมีเซลล์ต่อมสร้างสาร
หลอ่ ลนื่ ใหส้ เปริ ม์ ต่อมาเป็นทอ่ ฉีดสเปริ ม์ (Ejaculatory duct) ซงึ่ เปิดเขา้ โคลเอกาและมีต่อมลูกหมากหรือต่อม
พรอสเทต (Prostate gland) เปิดเข้าท่อฉีดสเปิร์มท่ีผนังของโคลเอคามีถุงยื่นออกไปเป็นถุงของเดือยที่ใช้ใน
การจับคู่ (Spicule pouch) ถุงน้ีจะสร้างเดือยซึ่งเป็นสารคิวติเคิลใช้ในการจับคู่ผสมพันธุ์ (Copulatory
spicule) หนอนตัวกลมส่วนใหญ่มีเดือย 1 คู่ ขนาดเท่ากันหรืออาจไม่เท่ากันมีเพียง 2-3 ชนิด ท่ีมีเพียง 1 อัน
ถุงเดือยของหนอนบางชนิดสร้างสารช้ินเล็ก ๆ ที่เรียกว่า กูเบอนาคูลัม (Gubernaculum) เป็นตัวน่าเดือย
ออกมาท่ที วารหนกั เดือยจะท่าหน้าทชี่ ว่ ยถ่ายสเปิร์มโดยจะขยายรูสบื พันธข์ุ องตัวเมียใหก้ ว้างขนึ้
ตัวเมีย อวัยวะสืบพันธุ์ของตัวเมียส่วนใหญ่มีเปน็ คู่รังไข่เป็นท่อยาวขดพันกันต่อจากรังไข่เป็นท่อน่าไข่
ปลายท่อพองออกเป็นถุงรับอสุจิ (Seminal receptable) ถัดมาเป็นถุงยาวใหญ่คือยูทีรสั (Uterus) ยูทีรัสจาก
ท่อน่าไขท่ ง้ั สองรวมเข้าวาไจนา (Vagina) ปลายวาไจนาเปิดออกท่ีรสู ืบพันธุ์ (Gonopore หรือVulva) ทีบ่ รเิ วณ
ก่ึงกลางดา้ นทอ้ งค่อนมาข้างหน้า
35
การปฏิสนธิ ตัวผู้จะใช้หางพันตัวเมียตรงบริเวณรูสืบพันธุ์ ตัวผู้อาจอยู่ในลักษณะล่าตัวตั้งฉากกับตัว
เมียหรือดา้ นหัวขนานคู่กบั ดา้ นหวั ของตวั เมีย หรอื อาจกลับหัวสลับกับตวั เมียก็ได้ เม่ือตวั ผใู้ ช้เดือยสอดเข้าไปท่ี
รูสืบพันธุ์ตัวเมียถ่ายสเปิร์มเข้าวาไจนา แล้วตัวหนอนจะแยกออกจากกัน สเปิร์มเคลื่อนย้ายไปตามยูทีรัสไปยัง
ถุงรับสเปิร์ม การปฏิสนธิเกิดข้ึนภายในถุงรับสเปิร์มไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะมีเย่ือหุ้มหลายช้ันและเคล่ือนท่ีไป
ยงั บริเวณรูสบื พนั ธ์ุ โดยอาศัยแรงอดั ของของเหลวในซลี อมจา่ นวนไข่แตกต่างกนั ตาม แตช่ นดิ ของหนอนหนอน
ตัวกลมที่เป็นปรสิตวางไข่ถึง 200,000 ฟอง เปลือกไข่เป็นสารประเภทไคตินจงึ ทนต่อความแห้งได้ดีตัวอ่อนจะ
ฟักอยู่ในเปลือกไข่และลอกคราบอยู่ในเปลือกไข่ 1-2 ครั้ง ก่อนจะฟักออกมาภายนอกโดยทั่วไปหนอนตัวกลม
จะลอกคราบ 4 ครัง้ ก่อนจะเปน็ ตัวเต็มวัยตัวเต็มวยั ไมม่ ีการลอกคราบอีก
หนอนตวั กลมที่เป็นปรสิต
หนอนตัวกลมเป็นปรสิตทั้งในสัตว์และพืชคนแทบทุกคนและสัตว์มีกระดูกสันหลังเกือบทุกชนิดจะมี
หนอนตัวกลมอาศัยอยู่ด้วย แต่ที่ไม่มีอาการผิดปกติเนื่องจากหนอนตัวกลมส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายมาก
นกั สา่ หรบั หนอนตวั กลมท่ีสา่ คัญมีอย่หู ลายชนิดคอื เช่น
1. พยาธิไส้เดือนซ่ึงมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ascaris Jumbricoides มีประมาณการว่าท่ัวโลกมีคนได้รับ
พยาธิตัวน้ีถึง 700 ล้านคน หนอนตัวเมียยาวประมาณ 20-40 ซม. และหนอนตัวผู้ยาว 15-31 ซม. ตัวแก่
ด่ารงชีวิตอยู่ในล่าไส้เล็กของคนกินอาหารในล่าไส้เล็กของคนและดูดเลือดจากแผลท่ีผนังล่าไส้พยาธิไส้เดือน
สามารถวางไข่ได้มากถงึ 200,000 ฟองตอ่ วนั และมชี ีวิตอยู่ในลา่ ไส้เล็กของคนนานนับปตี ัวอ่อนระยะแรกอยู่ใน
เปลือกไข่แล้วลอกคราบระยะท่ี (M1) และเจริญอย่างรวดเร็วเป็นตัวอ่อนระยะท่ี 2 อยู่ในเปลือกไข่การติดต่อ
อาจเกิดในระยะนี้เมื่อไข่ถูกกินเข้าไปโดยโฮสต์ตัวอ่อนระยะท่ี 2 พักออกจากเปลือกตัวอ่อนฝังตัวเข้าไปในผนัง
ล่าไสเ้ ข้าสู่กระแสเลือดไปยังตบั หวั ใจและปอดตามล่าดับตัวอ่อนเจาะเข้าผนังปอดเขา้ ไปในถุงลมของปอดต่อมา
ไปยังท่อของถุงลม (Bronchioles) มายังขั้วปอด (Bron chus) หลอดลมและเข้าสู่ฟาริงซ์ตัวอ่อนถูกกลืนกลับ
เข้าไปยังหลอดอาหารกระเพาะสิ้นสุดท่ีล่าไส้เล็กระยะเวลาในการเดินทางไปตามอวัยวะต่างๆประมาณ 10 วัน
ระหว่างนี้ตัวอ่อนลอกคราบระยะท่ี 2 และ 3 (M2 และ M3) เป็นตัวอ่อนระยะท่ี 3 และ 4 เมื่อตัวอ่อนระยะท่ี
4 กลบั มาทลี่ ่าไสเ้ ลก็ จะลอกคราบคร้ังสุดทา้ ย (M4) และเจรญิ เป็นตัวแกใ่ ชเ้ วลาประมาณ 2 เดือน
2. พยาธิปากขอ (Hook Worm) พยาธิปากขอที่พบท่ัวไปในคนคือ Necator americanus และ
Ancylostoma duodenale ชื่อพยาธปิ ากขอมาจากลักษณะท่ีปลายหวั งอไปทางด้านหลังของล่าตวั Ngestor
americanus พบในทวีปอเมริกาและเป็นชนิดท่ีพบได้มากกว่า Ancylostoma duodenale ซ่ึงคนใน
สหรัฐอเมริกามีพยาธิชนิดนี้ถึงรอ้ ยละ 95 พยาธิปากขอมีอุ้งปากขนาดใหญ่ทม่ี ีฟัน (Teeth หรือแผ่นตัด) อยู่ใน
อุ้งปากพยาธิปากขอเกาะโดยใช้ปากเกาะดูดที่ผนังล่าไส้ และดูดกินเลือดเป็นจ่านวนมากและมากกว่าท่ีตัว
พยาธิจะใช้ไปเป็นอาหาร เนื่องจากเลือดที่พยาธิปากขอถ่ายออกมายังคงอยู่ในสภาพเดิมผลท่ีเกิดจากการมี
36
พยาธปิ ากขอคือการสญู เสียเลือดและก่อให้เกดิ โรคโลหิตจาง (Anemia) ความร้ายแรงของโรคขึ้นอยู่กบั ปริมาณ
พยาธิท่ีมีอยู่ในร่างกายพยาธิปากขอตัวผู้มีส่วนหางแผ่ออกและมีแขนงของเน้ือมาค่้าจุนคล้ายร่มเรียกว่า เบอร์
ชา ตวั ผู้ยาว 7-9 มม. สว่ นตวั เมียยาว 9-11 มม. และมหี างเรียวตามปกติตวั เมียวางไขม่ ากถึง 100,000 ฟองต่อ
วัน ไข่ออกมากบั อุจจาระของโฮสต์ เจรญิ เป็นตวั อ่อนและฟักตัวออกจากไข่อยู่ตามดินกินจุลนิ ทรียแ์ ละอจุ จาระ
เป็นอาหารระยะน้ีเป็นระยะท่ีด่ารงชีวิตอยู่ได้เองมีการลอกคราบ 2 ระยะ (M และ M) เป็นลอกคราบระยะ
สุดท้ายเป็นตัวแก่ในลา่ ไส้เลก็ ตวั อ่อนระยะที่ 3 ซึง่ เป็นระยะติดต่อตัวอ่อนระยะตดิ ต่อจะเจาะเข้าผวิ หนังบริเวณ
ง่ามน้ิวเท้าของโฮสต์เข้าสู่กระแสเลือดไปยังปอดเข้าสู่ถุงลมไปยังหลอดลมและฟาริงซ์ในท่ีสุดถูกกลืนเข้าไปใน
ล่าไส้เลก็ ระหว่างทางผา่ นเข้าอวยั วะตา่ ง ๆ มีการลอกคราบระยะที่ 3 เป็นตัวอ่อนระยะท่ี 4 เขา้ สู่ลา่ ไสเ้ ลก็
3.พยาธิทริคินา (Trichina worm-Trichinella spiralis) เป็นพยาธิขนาดเล็กท่ีก่อให้เกิดโรคทคิโนซีส
(Trichinosis) ตัวผู้ยาวประมาณ 1.6 มม. ตัวเมียยาวประมาณ 4 มม. การติดต่อเกิดจากการกินเน้อื หมูท่ีไมส่ กุ
ดี ตัวแก่ทั้งสองเพศฝังตัวอยู่ในเยื่อบุผนังล่าไส้เล็กหลังจากจับคู่ผสมพันธุ์แล้วตัวผู้ตายไปแล้วถูกขับออกมากับ
อุจจาระตัวเมียฝงั ลกึ เข้าไปในผนังล่าไส้ตัวอ่อนระยะที่ 1 ฟักออกจากไข่ตั้งแต่อยู่ในที่รัส (Ovoviviparous) ตัว
เมยี จะให้ตัวออ่ นได้มากถงึ 1,500 ตวั ตัวเมยี มอี ายไุ ม่นานก็จะตายไปตวั อ่อนระยะทจี่ ะออกจากตวั แม่ทางวูลวา
แล้วเจาะเข้าผนังลา่ ไส้เข้าสกู่ ระแสเลือดไปยังกล้ามเนื้อลายตามแขน 1 และผนังล่าตัวตัวอ่อนเจาะฝงั เข้าไปใน
กล้ามเนื้อและเข้าเกราะซีสต์มีเปลือกหินปูนหุ้มแต่ละซีสต์มีตัวอ่อนได้มากกว่า 1 ตัวซีสต์สามารถมีชีวิตอยู่ได้
นาน 7-8 ปี เมื่อโฮสต์ถาวรกินเนื้อท่ีมีซีสต์เข้าไปในทางเดินอาหารตัวอ่อนออกจากซีสต์เจริญเป็นตวั แก่ทรคิ โิ น
ซีส (Trichionosis) เป็นโรคท่ีรุนแรงอาจถึงตายได้อาการของโรคคือกล้ามเน้ืออักเสบแข็งตัวและลีบเล็กโฮสต์
ถาวรทสี่ า่ คญั ทีส่ ุดคือหนู แต่เกดิ ไดก้ บั สตั ว์เลยี้ งลูกดว้ ยน้า่ นมทกุ ชนิด
หนอนตวั กลมทด่ี ารงชีพเปน็ อสิ ระ
หนอนตัวกลมที่ด่ารงชีวิตเป็นอิสระพบทั่วไปในน่้าจืดในทะเลในดินช้ืน ลักษณะเด่นคือ ผิวตัวบางใส
สามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้ชัดเจน โดยทั่วไปจะมีขนาดเล็กกว่าพวกท่ีเป็นปรสิตสกุลที่พบบ่อย ๆ ในน่้า
จืด ได้แก่ สกุล Rhabditis ซึ่งแพร่กระจายอยู่ท่ัวโลกนอกจากน้ีระยะตัวอ่อน (larva) ของหนอนตัวกลมท่ีเป็น
ปรสิตบางระยะจะด่ารงชีวิตเปน็ อิสระอยู่ในน่้ารอโอกาสที่จะเข้าสโู่ ฮสตเ์ พื่อดา่ รงชีวิตเป็นปรสิตต่อไปเชน่ พยาธิ
ปากขอมีตวั อ่อนระยะที่ 1 และ 2 ดา่ รงชวี ิตเปน็ อิสระอยู่ในน้า่ เรียกตวั อ่อนระยะนีว้ ่า Rhabditis form เพราะ
รปู ร่างคลา้ ยสกลุ Rhabditis ต่อมาลอกคราบเปน็ ระยะ Filar form ซ่งึ เปน็ ระยะตดิ ต่อชอนไชเข้าสู่รา่ งกายคน
หนอนตัวกลมที่ด่ารงชีวิตเป็นอิสระอีกชนิดหนึ่งท่ีรู้จักกันมานานแล้ว ได้แก่ หนอนน้่าส้มสายชู
(Vinegar eel) ชนิด Turbatrix aceti มักพบในถังหมักน้่าส้มสายชูหนอนชนิดน้ีออกลูกเป็นตัวแบบ
Ovoviviparous
37
บทท่ี 7
PHYLUM ANILIDA
Annelida (Annual = วงแหวน) ประกอบไปด้วยกลุ่มหนอนท่ีล่าตัวยาวและเป็นปล้อง (Segmented ล่าตัว
อ่อนนุ่มมีเมือกหุ้มตัวอาศัยอยู่ในน้่าเป็นส่วนใหญ่พบทั้งในน้่าทะเลน้่าจืดและอยู่บนบกในดินข้ึนมีประมาณ
10,000 ชนิดขนาดตั้งแต่ 1 มม. ถึง 3 เมตรแอนเนลิดา (Annelida) จัดเป็นสัตว์กลุ่มโพรโทสโทเมียและมีซี
ลอมท่ีแท้จริงแบบคิโซซิลัสซีลอมขนาดใหญ่แอนเนลิดมีเน้ือเย่ือ 3 ช้ัน (Triploblastics animal) และมี
สมมาตรของซีกซ้ายขวามีข้อสันนิษฐานว่าแอนเนลดิ มีก่าเนิดมาจากพวกท่ีไม่มีซีลอมท่ีอยู่ในทะเลสัตว์ในไฟลัม
นี้ท่ีรู้จักคุ้นเคย ได้แก่ ไส้เดือนดิน (Earth worm) ปลิง leech) หนอนปล้องในทะเลพวกหนอนทราย (Sand
worm) หนอนทอ่ (Tube worm) เปน็ ต้น
ลกั ษณะลาตวั ลาตัว
ลักษณะลา่ ตวั ล่าตวั ของสัตว์ในไฟลัมแอนเนลิดาเปน็ ปล้อง ๆ (Segment) เรียงต่อกันในแนวยาวเรียกลกั ษณะน้ี
วา่ เมทาเมอริซึม) แตล่ ะปล้องเรียกว่าเมทาเมียร์ จ่านวนปลอ้ งท่ีพบตั้งแต่ 10 ปลอ้ งจนถึง 1,000 ปล้องปล้องท่ี
เกิดใหม่ ๆ จะอยู่ท้ายตัวปล้องที่เกิดก่อนอยู่ทางด้านหน้าของล่าตัวปล้องแต่ละปล้องจะมีลักษณะคล้ายกัน
ลักษณะของล่าตัวท่ีมีลักษณะเป็นปล้องนี้แตกต่างไปจากปล้องของพยาธิตัวตืด เพราะแต่ละปล้องของตัวตืดมี
อวัยวะภายในครบชุดในแต่ละปล้อง แต่ปล้องของแอนเนลิดไม่มีอวัยวะภายในครบในแต่ละปล้องอวัยวะ
ภายในจะอยู่ในต่าแหน่งที่ค่อนข้างแน่นอนในชนิดเดียวกันและปล้องแต่ละปล้องจะมีผนังภายในกั้นระหว่าง
ปล้องคือเซปทัม (Septum) ซึ่งพบในแอนเนลิดเกือบทุกกลุ่มยกเว้นปลิงน้่าจืดซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีเซปทัมสว่ นของ
ล่าตัวที่อยู่หน้าสุดเรียกว่าโพรสโทเมียม (Srostomium) หรืออครอน (Scron) ส่วนน้ียังไม่ถือว่าเป็นปล้อง
เพราะมีโครงสร้างและอวัยวะไม่เหมือนปล้องอ่ืน ๆ ปล้องถัดมาเรียกว่าเพอริสโทเมียม (Peristomium) ซ่ึง
นับเป็นปล้องท่ีแท้จริงปล้องแรกล้อมรอบปากปลายหางมีไพจิเดีย (Pygidium) ไม่นับเป็นปล้องเช่นเดียวกัน
การเกิดปล้องใหม่จะเกิดหน้าไพจิเดียมส่วนหัว (Head) ของแอนเนลิดามักจะเกิดจากปล้องหลาย ๆ ปล้อง
ทางด้านหน้ารวมกับโพรสโทเมียมเป็นสว่ นหัว ปล้องบริเวณส่วนหัวนี้จะมีหนวดและตาอยู่ไส้เดือนเป็นกลมุ่ ที่มี
(setae) ส่วนหัวไม่เด่นชัดเทา่ กลุ่มอื่น ๆ ปล้อง (Segment) บริเวณล่าตัวจะมีเดือยที่ชว่ ยในการเคล่ือนท่ีติดอยู่
คือซีตห้ี รือคีต้ี ซีตเ้ี ปน็ สารประเภทโปรตีนและไคติน (Chtin) สรา้ งจากเซลล์ฟอลลิเคิล (Folicle cell ในชั้นอิพิ
เดอร์มสิ อาจจะอยเู่ ปน็ กลุ่มหรือเรยี งเปน็ วงรอบปล้องซีต้ีอาจจะติดกับล่าตัวโดยตรงหรืออาจจะตดิ อย่บู นรยางค์
ข้างตัวเรียกว่าพาราโพเดียม โพรสโทเมียมและไพจิเดียมไม่มีซีต้ีลักษณะจ่านวนและการเรียงตัวของซีต้ีจะใช้
เป็นลกั ษณะหลักในการจัดหมวดหมู่
38
ผนังตวั และซีลอม
ผิวตวั ของแอนเนลิดจะชุ่มช้นื และล่ืนอยูเ่ สมอเนื่องจากเซลล์ช้ันอิพเิ ดอร์มิสมเี ซลลส์ รา้ งเมอื กจา่ นวน
มากและเซลล์ชั้นน้ียงั สร้างช้นั ควิ ทิเคิลบาง ๆ คลมุ ตัวไว้คิวติเคลิ ออ่ นนุ่มเพราะไมม่ ีไคตินถัดจากชั้นอิพิเดอร์มิ
สเขา้ มาเป็นชัน้ กลา้ มเน้อื วงแหวน (Circular muscle) และกลา้ มเน้ือตามยาว (longitudinal muscle)
ตามลา่ ดบั ชั้นในสดุ เป็นเยอ่ื บุซีลอม (Parietal peritoneum)
ชลี อม ของแอนเนลิดเปน็ โพรงขนาดใหญ่และมีของเหลว (Coelomic fluid) หรอื เนื้อเยื่ออื่น ๆ บรรจุ
อยเู่ ตม็ จากการทม่ี เี ซปทัมกั้นภายในระหว่างปลอ้ งท่าใหซ้ ลี อมถูกแบง่ เป็นห้อง ๆ ด้วย
ระบบยอ่ ยอาหาร (Digestive system)
แอนเนลิดมีการกินอาหารหลากหลายประเภทมีทั้งท่ีกินพืช ล่าเหยื่อ กินท้ังพืชและสัตว์ กินซากเน่า
เป่ือย และเป็นปรสิตพวกท่ีล่าเหย่ือมักจะมีเข้ียว (jaw) อยู่ในช่องปากมีหนวดและตาท่ีเจริญดีเพื่อช่วยจับ
อาหารท่อทางเดินอาหารจะเป็นท่อตรงแบบสมบูรณ์ (Complete digestive tract) ประกอบด้วยอวัยวะ
ต่างๆกนั ขึ้นอยกู่ ับประเภทของการกินอาหารผนังของท่อทางเดนิ อาหารจะมีกล้ามเนื้อบุอยู่เพื่อท่าหน้าที่บีบตัว
ท่าให้เกดิ การเคล่อื นไหวแบบลกู คลืน่
การหมุนเวียนและการแลกเปล่ียนแก๊ส
ระบบหมนุ เวียนเลือดเปน็ แบบปดิ เสน้ เลอื ดหลักทท่ี ่าหน้าทใ่ี นการหมุนเวยี น ได้แก่
1. เสน้ เลือดหลงั (Dorsal vessel) อย่เู หนอื ทางเดนิ อาหารยาวไปตลอดความยาวของลา่ ตวั
2. เสน้ เลอื ดทอ้ ง (Ventral vessel) อยใู่ ตท้ ่อทางเดนิ อาหาร
3. หัวใจ (Hart) เป็นเส้นเลือดที่เช่ือมระหว่างเส้นเลือดด้านหลังกับเส้นเลือดด้านท้องเป็นวงแหวน
รอบท่อทางเดินอาหารตอนตน้ อาจมีหลายวงเส้นเลือด
การขับถ่าย (Excertary system )
ท่พี บในแอนเนลดิ 2 ประเภทคอื โพรโทเนฟรเิ ดยี (Protonephridia) ซึ่งพบในชนแขนงและปลายตนั
ท่ปี ลายของแต่ละแขนงมเี ซลลจ์ า่ เพาะทีอ่ ย่เู ป็นกลุม่ เรยี กว่าโซลโิ นไซต์ของกล่มุ สัตว์ไม่มีชลี อม ส่วนท่อขับถ่าย
จะขดงอไปมามีเสน้ เลือดฝอยหล่อเลย้ี งของเสียจะถูกกรองเขา้ สู่กรวยโดยตรง (Direct filtra (solenocyte)
39
ระบบประสาท (Nervous system )
ระบบประสาทประกอบไปด้วยปมประสาทและเส้นประสาท (nerve cord) ปมประสาทท่ีส่าคัญ
ไดแ้ ก่
1. สมอง (Brain) เกิดจากปมประสาทเหนือหลอดอาหาร (Supraesophageal ganglion) 2 ปมเชื่อม
รวมกนั ซ่ึงมลี ักษณะเปน็ พู 2 พู (Bilobed brain) มกั เรียกว่าปมประสาทรับล (Cerebral ganglia)
2. ปมประสาทใตห้ ลอดอาหาร (Subesophageal ganglian) อยู่ใตส้ มอง
3. เส้นประสาทเชื่อมระหว่างสมองกับปมประสาทใต้หลอดอาหารมี 1 คู่โดยจะโอบฟาริงซ์หรือหลอด
อาหารเอาไว้
4. เสน้ ประสาทด้านท้อง (Ventral nerve Cord) ใตห้ ลอดอาหารปกตจิ ะมีสองเส้นและมีปมประสาท
อยู่หลายปม แต่ในบางกลุ่มจะมีการเชื่อมรวมกันเป็นเส้นประสาทที่ต่อออกมาจากปมประสาทเส้น
เดียวปมประสาทแต่ละปมมีแขนงประสาทแยกออกมา 3-5 คู่ส่งไปอวัยวะต่างๆเส้นประสาทด้านท้อง
จะมีเซลล์ประสาทขนาดใหญ่ (Giant neuron) หลายเซลล์ท่าหน้าท่ีควบคุมการท่างานของกล้ามเนือ้
ทา่ ใหเ้ คลอ่ื นทไี่ ดร้ วดเรว็ เพราะรับความร้สู กึ และสง่ ความรู้สกึ ได้รวดเรว็ มาก
อวัยวะรับความรสู้ กึ ทพ่ี บในแอนเนลิดประกอบด้วย
1. ตามีทง้ั แบบที่เปน็ ตารบั แสง (Photoreceptor) ธรรมดาและตาชนดิ ท่รี ับภาพได้
2. เซลลร์ บั สมั ผสั (Tactile cel) กระจายอยทู่ ั่วผิวตัวรับความรสู้ กึ โดยการสมั ผสั
3. อวัยวะรับความรู้สึกทางเคมี (Chemoreceptor) เป็นเซลล์บางเซลล์ในชั้นอิพิเดอร์มิสที่ท่าหน้าที่
รับความรู้สึกทางด้านเคมีช่วยในการหาอาหารหรือเซลล์จะรวมอยู่ด้วยกันในแอ่งรับความรู้สึก (Sensory pit)
เรียกวา่ อวัยวะ Nuchal organ
4. อวัยวะทรงตวั (statocyst) พบในแอนเนลิดท่ีขุดรูอย่หู รอื สรา้ งทอ่ และตัวอยู่ในท่อส่ง
40
การสืบพนั ธุ์ ( Reproductive system )
แอนเนลิดมีท้ังเพศรวมและเพศแยกการสืบพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นแบบอาศัยเพศมีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่
สืบพันธ์ุโดยการแตกหน่อ (Budding) อวัยวะสืบพันธุ์จะอยู่ในปล้องล่าตัวช่วงใดช่วงหนึ่งในต่าแหน่งท่ีแน่นอน
ในแต่ละชนิดเซลล์สืบพันธ์ุทั้งไข่และสเปิร์มจะออกจากรังไข่หรืออัณฑะมาอยู่ในซีลอมในรูปของแกมิโทโกเนีย
(Gametogonia) ซ่ึงเป็นเซลล์ท่ียังไม่สมบูรณ์เต็มท่ีดังน้ันต้องอยู่ในซีลอมระยะหนึ่งก่อนหลังจากน้ันจึงจะออก
นอกตัวโดยทอ่ ซีลอม (Coelomoduct) ปฏสิ นธิภายในและปฏสิ นธินอกตวั วธิ ีการสืบพนั ธ์ุจะแตกตา่ งกนั มากใน
แต่ละกลุ่ม ตัวอ่อนที่เรียกว่าตัวอ่อนโทรโคฟอร์ (Trochophore larval ) ซ่ึงอยู่ในทะเลส่วนพวกท่ีอาศัยอยู่บน
บกหรือน้่าจืดมักจะสร้างถุงฟักไข่หรือโคคูน (cocoon) ไข่ฟักอยู่ภายในถุงซึ่งถูกปล่อยท้ิงไว้ตามพื้นในบริเวณที่
อาศยั อยแู่ ละฟักออกมาเป็นตัวโดยไมผ่ ่านระยะตัวอ่อน 24 ปล้องจะมีลักษณะบวมพองมีสเี ข้มเนื่องจากมีเซลล์
สร้างเมือกจ่านวนมากเรียกปล้องบริเวณนี้ว่าไคลเทลลัม (Chitellum) ดังน้ันการจ่าแนกกลุ่มของแอนเนลิดจึง
อาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือกลุ่มท่ีมีไคลเทลลัมโคคูนจะสร้างจากเซลล์ชนั้ อิพิเดอร์มิสของปลอ้ งล่าตัวช่วงที่
อยู่ค่อนไปทางด้านหน้าปล้องล่าตัวช่วงนี้2-6ปล้อง (Clitelates) ได้แก่ ไส้เดือนดินและปลิงและกลุ่มท่ีไม่สร้าง
ไคลเทลลัม Aclitelate ไดแ้ ก่ หนอนปลอ้ งอาศัยอย่ใู นทะเล
การจดั หมวดหมู่
แอนเนลดิ าจ่าแนกออกเปน็ 3 class คอื
Class 1 Polychaeta อยู่ในทะเลเกือบทั้งหมดส่วนหัวเจริญดีมักมีตาหนวดอยู่บนหัวปล้องแต่ละ
ปล้องมีพาราโพเดีย (Parapodia) ซีท่ีมีจ่านวนมากเป็นกระจุกอยู่บนพาราโพเดียไม่มีไคลเทลลัมเพศแยก
อวัยวะสืบพันธุ์ไม่ปรากฏชัดยกเว้นช่วงสืบพันธุ์มีตัวอ่อนระยะโทรโคฟอร์ตัวอย่าง ได้แก่ แม่เพรียง ,tube
worm , หนอนฉัตร , หนอนเกล็ด
https://biologyboom.com/class-polychaeta-poly-many-chaise-hair/
41
Class 2 Oligochaeta ล่าตัวเป็นปล้องชัดเจนจ่านวนซีต้ีต่อปล้องมีจ่านวนน้อยซีต้ีมีขนาดเล็กไม่มีส่วนหัวที่
ชัดเจนซีลอมขนาดใหญ่และแบ่งเป็นห้อง ๆ โดยมีเซปทัมมีไคลเทลลัมมีเพศรวมไม่มีระยะตัวอ่อนตัวอย่าง
ได้แก่ ไส้เดอื น , ไส้เดือนน่า้ พบทวั่ ในทะเลและน่า้ จืดไส้เดือนน้่าจืด
https://lh3.googleusercontent.com/proxy/Aahfhfi5vKxvKIoshYC1i4ibWro9yKqnF6MSh-
lnblbcsf8X8Gxk47L7WmptiClubvnQA0M4oWtOAfJzqLOWjxtOvyZ-
dTCqeMlwzFBtZIMa1Wrwhi5oGAzkMk58zLcF4KP8S8jiWbqBjZ9wHlCdoOWI
Class Hirudinea ล่าตัวมีจ่านวนปล้องท่ีแน่นอน (34 ปล้อง) ปล้องแต่ละปล้องแบ่งเป็นวงย่อยหลายวงไม่มี
ซีต้ีไม่มีรยางค์ข้างตัว แต่มีแว่นดูด 2 อันอยู่ปลายหัวและท้ายสุดของล่าตัวซีลอมมีเน้ือเย่ือบางอย่างบุอยู่เต็มซี
ลอมเพศรวมไม่มีระยะตวั อ่อนอยใู่ นนา้่ จืดและบนบกตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ ปลงิ , ทากดดู เลอื ด
42
บทท่ี 8
PHYLUM MOLLUSCA
สัตว์ในไฟลัมมอลลัสคาประกอบด้วยหอยปลาหมึกลิ่นทะเลและมอลลัสค์ (Mollusc) สัตว์ที่อยู่ใน
ไฟลัมน้ีประมาณว่ามีถึง 100,000 ชนิดนับว่ามากเป็นอันดับสองรองลงมาจากแมลงใน 100,000 ชนิดท่ีกล่าว
มานีพ้ บว่าสูญพนั ธไ์ุ ปแลว้ อยใู่ นรปู ซากดึกดา่ บรรพ์ ประมาณ 35,000 สตั วป์ ระเภทหอยเป็นท่ีรู้จกั ของมนษุ ย์มา
นานแล้วมีการศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับสัตว์กลุ่มน้ีอย่างกว้างขวางตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันวิชาที่ศึกษาเร่ืองหอย
โดยเฉพาะ (ไม่รวมปลาหมึก) คือ Malacology ซึ่งได้มีการแปลเป็นภาษาไทยว่าวิชาสังขวิทยา แต่ศัพท์ค่าน้ียัง
ไม่เป็นทแ่ี พรห่ ลายนกั สัตว์ในไฟลัมมอลลสั คามีล่าตวั อ่อนนุ่มและเปน็ เมือกลน่ื ซึ่งลักษณะดังกล่าวไดน้ า่ มาต้ังช่ือ
ไฟลัมกล่าวคือค่าว่า Molluscus เป็นภาษาลาตินแปลว่าอ่อนนุ่มและเนื่องจากมีล่าตัวอ่อนนุ่มจึงจ่าเป็นต้องมี
เปลือกแข็งห่อหุ้มล่าตัวไว้อีกช้ันหนึ่งดังน้ันหอยโดยทั่วไปจึงมีเปลือกแข็งหุ้มถ้าไม่มีเปลือกหรือเปลือกเล็กมาก
เรามกั จะเรยี กว่าทาก (Slug) แต่
ลักษณะโดยทว่ั ไป
สัตว์ในไฟลัมมอลลัสคามีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันมากในแต่ละชนิด แต่มีลักษณะส่าคัญลักษณะ
ทวั่ ไปทเ่ี หมือนกันคอื รา่ งกายจะแบ่งเป็น 3 สว่ นใหญ่ ๆ ได้แก่
1. หัวและเท้า (Head and foot) เป็นอวัยวะที่เจริญดีเห็นเด่นชัดและจะเชื่อมติดกันท่าหน้าท่ีรับ
ความรสู้ ึกและเคลื่อนทเี่ ป็นหลักหอยฝาเดียวและปลาหมึกมสี ว่ นหัวทีเ่ ดน่ ชดั สว่ นหัวของหอยสองฝาไมเ่ จรญิ
2. ก้อนอวัยวะภายใน (Visceral mass) อวัยวะภายในของสตั วใ์ นไฟลัมมอลลสั คามักจะจับตัวกันเป็น
กอ้ นใหญก่ อ้ นเดียวในก้อนอวัยวะภายในน้จี ะประกอบด้วยระบบอวัยวะที่ส่าคัญ ได้แก่ ระบบย่อยอาหารระบบ
หมุนเวียนระบบขบั ถ่ายและระบบสืบพนั ธ์ุ
3. แมนเทิลหรือพาเลียม (Mantle) แมนเทิลเป็นแผ่นเย่ือเจริญมาจากผนังตัวทางด้านหลังของก้อน
อวัยวะภายในเป็นแผ่นเย่ือห้อยลงมาด้านท้องหอยฝาเดียวมีเยื่อแมนเทิ ลแผ่นใหญ่แผ่นเดียวแนบติดอยู่กับ
เปลือกด้านในหอยสองฝามีเย่ือแมนเทิลสองแผ่นประกบอยู่สองข้างของก้อนอวัยวะภายในอวัยวะภายใน
เรียกว่าโพรงแมนเทิล (mantle cavity) ภายในโพรงแมนเทิลมีเหงือก (gill) เย่ือแมนเทิลมีหน้าที่สร้างเปลือก
(Shell) และรบั ความรู้สกึ ขอบล่างของเย่ือแมนเทิลในหอสองฝาจะแบง่ ออกเป็น 3 โลบ นบั จากนอกสุดทตี่ ิดกับ
เปลอื กเขา้ มาใน
43
เปลอื ก
เปลือกหอยเกิดข้ึนต้ังแต่หอยยังเป็นตัวอ่อนระยะyeliger และเมื่อหอยเติบโตขึ้นจะสร้างเปลือก
เพ่ิมขนึ้ ตามขนาดของล่าตวั ท่ีเพิ่มข้นึ เปลอื กที่สรา้ งเพิ่มขึ้นในชว่ งหลังนส้ี รา้ งจากเยอ่ื แมนเทิลเปลือกของหอยฝา
เดียวและหอยสองฝาประกอบดว้ ยชั้นของสาร 3 ช้นั เรยี งจากนอกสุดเขา้ ไปคอื
1. Periostracum เป็นชั้นนอกสุดเป็นแผ่นบางมีสีส่วนประกอบทางเคมีเป็นสารโปรตีนที่แข็งเหมือน
โปรตีนของเขาสัตว์มีชอ่ื เฉพาะวา่ คอนคิโอลิน
2. Prismatic เป็นช้ันกลางมีความหนามากกว่าชั้นอ่ืนส่วนประกอบทางเคมีเป็นผลึกทรงสูงของ
แคลเซยี มคาร์บอเนต Calcium carbonate อดั ตัวกันแน่นมากและเรยี งตั้งฉาก
3. Nacreous เป็นชั้นในสุดเป็นผลึกของแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีลักษณะเป็นแผ่นแบนบางและมัน
วาวเรียงซอ้ น ๆ กันเรียกว่าช้ันมุกเพราะเป็นบรเิ วณทมี่ กี ารสร้างมุก (Pearl) ในหอยสองฝาบางชนิด
ผวิ ตวั
ผิวตัวหรือเย่ือบุผิว (Epidermis) ของสัตว์ในมอลลัสค์ประกอบไปด้วยเซลล์อิพิเดอร์มิสที่มีซีเลีย
(Ciliated epithelium) เซลล์ประเภทนี้มักจะพบทั้งในเย่ือบุภายนอกและเยื่อบุภายในของอวัยวะหลายอย่าง
ช่วยในการเคล่ือนที่หมุนเวียนน้่ากรองอาหารขับถ่ายสืบพันธุ์และการเคลื่อนที่ของเซลล์นอกจากนี้ผิวตัวท่ีลื่น
มากเกิดจากเซลล์อิพิเดอร์มิสบางเซลล์เปลี่ยนแปลงไปสร้างเมือกจึงมีต่อมเมือก (Mucus gland) แทรกอยู่
ทั่วไปและพบมากท่ีสุดท่ีเท้าช่วยให้เคล่ือนท่ีได้สะดวกนอกจากนี้เมือกยังท่าหน้าที่อ่ืน ๆ อีกเช่นช่วยจับอาหาร
ให้ความชุ่มชน้ื กบั ผวิ ตวั และท่าความสะอาดพ้นื ผวิ ท่มี ันเกาะอยู่
ซีลอมและโพรงแมนเทลิ
ซีลอม (coelom) ของมอลลัสค์มีขนาดเล็กเป็นซีลอมที่แท้จริงแบบคิโซซิลัส (ซีลอมท่ีเกิดจากการ
แยกตัวของมีโซเดิร์มที่อยู่ด้านข้างของอาร์เคนเทอรอนในขณะเป็นตัวอ่อน) ซีลอมเป็นโพรงที่อยู่รอบ ๆ หัวใจ
และบางส่วนของล่าไส้ภายในซีลอมมีของเหลว (coelomic fluid) บรรจุอยู่ซีลอมอยู่บนบกหลายชนิดโดยท่ี
โพรงแมนเทิลจะแบ่งเป็นชอ่ ง ๆ เหมือนปอดมีของเหลวบรรจุอยู่สามารถแลกเปลี่ยนแก๊สได้
44
การแลกเปล่ียนแกส๊
อวยั วะในการแลกเปลยี่ นแกส๊ ของมอลลัสคป์ ระกอบดว้ ย
1.เหงอื ก (gil) อย่ภู ายในโพรงแมนเทลิ พบในมอลลัสค์ทวั่ ไป
2. ผิวตัวในทากทะเล (Sea slug) ผิวตัวจะเปลี่ยนรูปไปเป็นแขนงอยู่บนล่าตัวเรียกว่าเซอราทา
(Cerata) หรอื บางชนิดมีอยรู่ อบรทู วาร
3. โพรงแมนเทลิ หรอื ปอดหอยฝาเดียวท่ีข้นึ มาอยู่บนบกจะมโี พรงแมนเทิลท่ีมผี นังยน่ื ลงมากนั เป็นห้อง
มีของเหลวหลอ่ เลยี้ งในโพรงนีท้ ่าใหส้ ามารถแลกเปลย่ี นแก๊สได้
ระบบย่อยอาหาร ( Digestive system )
มอลลสั ค์กินอาหารได้หลายแบบหอยฝาเดียวมีทั้งประเภทกินพืช กนิ สตั ว์ กนิ ซากเนา่ เปื่อย) กินท้ังพืช
และสัตว์ ปลาหมึกเป็นพวกกินสัตว์ส่วนหอยสองฝากินทั้งพืชและสัตว์จ่าพวกแพลงก์ตอนซ่ึงปนมากับน่้าโดย
วิธีการกรองด้วยเหงือก ดังน้ันอวัยวะที่ใช้ในการกินอาหารย่อยอาหารจะแตกต่างกันไปในสัตว์แต่ละกลุ่มหอย
ฝาเดยี วมอี วยั วะในการกนิ อาหารท่ีส่าคัญและไม่พบในไฟลมั อน่ื คือมีแรดูลา (radula)
ระบบขบั ถ่าย ( Excretory system)
ของมอลลัสค์ ได้แก่ ไต (Kidney) ซึ่งเป็นไตประเภทเมทาเนฟริเดีย 1 คู่มีท่อขับถ่ายยาวขดงอไปมา
ปลายท่อข้างหน่ึงของไตจะจ่มอยู่ในซลี อม (Coelom) ของเสียซ่ึงละลายอยู่ในของเหลวของซีลอมจะได้มาจาก
การสกัดของต่อมบริเวณเย่ือหุ้มหัวใจ (Pericardial gland) หรือมาจากผนังของหัวใจโดยตรงของเสียจะเข้าสู่
ทอ่ ไตทางเนโฟรสโทมผา่ นไปตามท่อไต
ระบบประสาท (Nevous system )
ระบบประสาทประกอบไปด้วยเส้นประสาท (Nerve cord) และปมประสาท (Ganglion) การเรียงตวั
ของเส้นประสาทและปมประสาทแตกต่างกันไปในมอลลัสค์แต่ละคลาส ปลาหมึกมีระบบประสาทท่ีเจริญมาก
และรวมกันเป็นก้อนใหญ่ที่ส่วนหัว2ระบบประสาทโดยทัว่ ไปของมอลลัสค์จะประกอบไปด้วยวงแหวนประสาท
รอบหลอดอาหารบนวงแหวนประสาทมีปมประสาทสมอง (Cerebral ganglion) 1 คู่และมีเส้นประสาทออก
จากปมประสาทนี้ 2 คู่
45
ระบบสบื พันธ์ุ
มอลลัสค์ส่วนใหญ่มีเพศแยกถึงแม้ว่าหอยฝาเดียวบางกลุ่มจะมีเพศรวม (Hermaphrodite) ก็ตาม แต่การ
ปฏิสนธิก็จะเป็นแบบข้ามตัว (Cross fertilization) มีการจับคู่ (Copulation) เหมือนกับมีเพศแยกและมี
อวยั วะในการจบั คู่ (Copulatory organ) ในพวกทมี่ ีเพศรวมอวัยวะทีส่ ร้างเซลล์สืบพนั ธ์จุ ะมี 1 หรือ 2 กอ้ นอยู่
ทางด้านหลังเรียกว่าโอโวเทสทิส (Ovotestis) การสร้างไข่กับสเปิร์มจะไม่พร้อมกันเซลล์สืบพันธุ์จากโอโว
เทสทสิ จะเข้ามาอยู่ในซีลอมและออกไปยงั โพรงแมนเทิลโดยอาศัยท่อไต (Coelomoduct) หรอื อาจจะมีท่อน่า
ไข่และท่อน่าสเปิร์มแยกต่างหากจากท่อไตออกมายังโพรงแมนเทิลโดยไม่ต้องอาศัยท่อไตก็ได้การปฏิสนธิมีท้ัง
แบบปฏิสนธนิ อกตวั และปฏิสนธใิ นตวั
การจัดหมวดหมู่
มอลลัสค์จดั แบ่งออกเป็น 7 Class ตามลกั ษณะรูปรา่ งของเปลือกและเท้า
Class Aplacophora
เป็นมอลลัสค์ที่โบราณมากล่าตัวคล้ายหนอนไม่มีเปลือกอาจมีหรือไม่มีเท้าถ้ามีจะเล็กมากเป็นสันอยู่ด้านท้อง
และถูกแมนเทิลหุ้มไว้ขนาดตัวเล็กยาวประมาณ 1-40 มม. อาศัยอยู่ในโคลนกันท้องทะเลหรือคืบคลานอยู่บน
ฟองน่้าและในดาเรียสัตว์ชนิดน้ีจัดไว้ในมอลลัสคาเน่ืองจากมีแรดูลาอยู่ในปากและมีเย่ื อแมนเทิลผิวของแมน
เทลิ มสี ปคิ ูลหินปนู ฝงั อยู่และด้านท้องของตัวมรี อ่ งกลางท้องยาวตลอดตัวมีเพศแยกหรือเพศรวมปฏสิ นธนิ อกตวั
http://depts.washington.edu/natmap/mollusks/aplac/2apla_menu_sbclass5.html
46
Class Monoplacophora
สตั ว์ในคลาสนี้มีเปลอื กเพยี งอนั เดียวเปน็ รปู คล้ายฝาชี แต่ปลายยอดของฝาชีค่อนมาอยู่ดา้ นหน้าไม่อยู่ตรงกลาง
เทา้ เป็นแผ่นกลมแบนอยู่ดา้ นท้องหัวไมเ่ จรญิ ไม่มีหนวดไม่มตี าปากมเี ยื่อวีลม (velum) เป็นแผ่นโค้งอยู่สองข้าง
ปากมีกล้ามเน้ือหดเท้า (Pedal retractor muscle) 8 คู่มีเหงือก 5-6 คู่ ไต 6 คู่ มีแรดูลาในปากมีเพศแยก
ปฏิสนธินอกตัว
https://www.tekportal.net/neopilina/
Class Polyplacophora
ล่าตัวของลินทะเลเป็นรูปไข่ด้านหลังโค้งนูนมีเปลือก 8 แผ่น เรียงเกยกันจากหัวไปท้ายด้านท้องแบนมีเท้า
ขนาดใหญ่เปลือกจะฝังอยู่ในแมนเทิลขอบของแมนเทิลที่ล้อมรอบเปลือกเป็นส่วนท่ีหนาแข็งเรียกว่าเกอร์เดิล
(Girdle) ซ่งึ มักจะมีขนแข็ง (Calcareous spicule) ฝงั อยบู่ นเกอร์เดลิ สว่ นหวั มีหนวด 1 คู่ อยดู่ า้ นหนา้ ของเท้า
ไม่มีตาร่องระหว่างเท้ากับเกอร์เดิลเป็นร่องแมนเทิลหรือร่องพาลเลียล (Pallial groove) ภายในร่องมีเหงือก
อยู่หลายคู่ ลินทะเลมีหลายร้อยชนดิ ล่ินทะเลอาศยั เกาะตามก้อนหินบริเวณเขตน่าข้ึนนา่้ ลงมีแรดูลาแข็งแรงขูด
สาหร่ายตามก้อนหินกินเป็นอาหารอวัยวะรับความรู้สึกอยู่ตามผิวตัวและบริเวณเปลือกมีเพศแยกปฏิสนธิ
ภายนอกในน้่าทะเลหรือในร่องแมนเทิลของเพศเมียตวั อ่อนเปน็ โทรโคฟอร์ แตไ่ มม่ รี ะยะเวลิเจอร์
47
https://bralanca.weebly.com/other-classes-of-mollusca.html
Class Scaphopoda
สัตว์ใน Class Scaphopoda ได้แก่ หอยงาช้าง (Tooth shell, Tusk shell) ซ่ึงในปัจจุบันพบอยู่ประมาณ
300 ชนิดอาศัยอยู่ตามพ้ืนทรายในทะเลในที่ต้ืนเปลือกเป็นรูปงาช้างปลายท่อด้านหัวกว้างกว่าด้านท้ายมีช่อง
เปิดของเปลือกทางด้านหัว เป็นช่องให้หัว-เท้ายื่นออกมาและช่องเปิดทางด้านท้ายเป็นช่องให้น้่าผ่านเข้าและ
ออกนอกตัวช่องเปิดด้านท้ายนี้จะโผล่พ้นพ้ืนทราย แต่จะจมอยู่ในน่้าเปลือกด้านเว้าเป็นด้านหลังหอยงาช้างมี
ขนาดยาวประมาณ 5-6 ซม. เปลอื กอาจจะเรยี บหรือมลี ายตามขวางหรือตามยาวโดยท่ัวไปมีสขี าว
https://sen842cova.blogspot.com/2017/02/mollusca-anatomy.html